การบินไทยจะเหมือนเดิมไหม? กลยุทธ์ที่ทำให้การบินไทยกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พร้อมรายได้ทะยานแสนล้าน

หลายคนอาจทราบข่าวคราวของการบินไทย ที่ได้ยื่นขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง หลังจากที่เมื่อปี 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติให้การบินไทยต้องยื่นฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ด้วยหนี้สินราวแสนล้านบาท 

แรกเริ่มของการฟื้นฟูกิจการ ศาลเห็นชอบแผนฟื้นฟูฉบับแรกและวางแผนว่าต้องการเงินใหม่กว่า 50,000 ล้านบาทแต่ท้ายที่สุด ตลอดระยะเวลา 4 ปี ของการอยู่ในแผนงาน การบินไทยไม่ได้รับเงินใหม่และหาทางรอดให้กิจการด้วยตนเอง 

จากติดลบ วันนี้การบินไทยมีรายได้รวมหลักแสนล้าน พร้อมเตรียมกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ ทั้งยังประกาศอย่างชัดเจนว่าการบินไทยชัดเจนและมั่นใจว่าต่อจากนี้จะคงสถานะการเป็นกิจการเอกชนเพื่อให้บริหารงานได้คล่อง หลังจากที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจ 

เชื่อว่าคนในแวดวงการบินและหลายคนที่ชื่นชอบการเดินทางน่าจะสนใจไม่น้อยว่า การบินไทยงัดไม้เด็ดอะไรใช้พลิกชะตาบริษัท Keynote ตอนนี้จึงพาไปสรุปกลยุทธ์เหล่านั้นจากงานแถลงข่าวล่าสุดของการบินไทย

✈️ ไม่มี hair cut แต่แปลงหนี้เป็นทุน และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแทน

แต่เดิม การบินไทยตั้งใจขอเงินทุนใหม่แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เงินจำนวนนั้น การบินไปจึงต้องหาทางรอดอื่นที่ไม่ใช่การ hair cut หรือการลดหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้เจ้าหนี้แต่ใช้การแปลงหนี้เป็นทุน และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแทน

การแปลงหนี้เป็นทุนคือการเปลี่ยนเจ้าหนี้ให้เป็นผู้ถือหุ้น เช่น ถ้าการบินไทยเป็นหนี้ 1 ล้านบาท ก็อาจเจรจากับเจ้าหนี้บางรายว่าขอออกหุ้นเท่าจำนวนหนี้แทน เพื่อให้ไม่ต้องหาเงินสดมาจ่ายทันที ทั้งยังทำให้หนี้ลดลง ซึ่งในครั้งนี้ การบินไทยได้แปลงหนี้เป็นทุน 53,453 ล้านบาท 

ส่วนการขายหุ้นเพิ่ม คือการที่บริษัทได้ออกหุ้นใหม่ แล้วเสนอขายซึ่งทำให้บริษัทได้เงินสดเข้ามาโดยไม่ต้องกู้เพิ่ม ในครั้งนี้ การบินไทยได้ขายหุ้นเพิ่มทุน 22,987 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินสดก้อนแรกที่เข้าบริษัทตั้งแต่เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ

เมื่อปลายปี 2563 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 43,142 ล้านบาท แต่การแก้เกมด้วย 2 วิธีนี้ ทำให้การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงาน และทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นกลายเป็นบวก 55,439 ล้านบาท และสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือเพียง 2.2 เท่า จาก 12.5 เท่าในปี 2562 ได้

✈️ ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งองค์กรเพื่ออุดทุกช่องโหว่ของการบริหารงาน  

การบินไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 11 คน ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน ทั้งการบิน การเงิน กฎหมาย กลยุทธ์ การตลาด ดิจิทัล ซึ่งเป็นการผสมผสานบุคลากรเดิมจากยุคฟื้นฟู และกรรมการใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัว เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง 

การบินไทยยังปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหม่ จากเดิมที่การบินไทยมีสัดส่วนต้นทุนพนักงานคิดเป็น 23% ของรายได้จากบริการการบินซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยสายการบินอื่น ในปี 2024 หลังปรับองค์กรอย่างเข้มข้น ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 10.7% ถือว่าต่ำกว่าสายการบินชั้นนำอื่นๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา 

แม้ลดจำนวนพนักงานลง การบินไทยยังดึงดูดผู้สมัครคุณภาพสูงได้ เพราะจากข้อมูลพบว่าอัตราการคัดเลือกนักบินอยู่ที่ 1 คนจาก 18 ผู้สมัคร และตำแหน่งลูกเรืออยู่ที่ 1 คนจาก 9 คน สะท้อนว่าการบินไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขันด้านแรงงานไม่น้อย 

มากกว่าการปรับโครงสร้างองค์กร การบินไทยยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้โปร่งใสมากขึ้น ด้วยมาตรการใหม่ เช่น จัดซื้อแบบรวมศูนย์เพื่อควบคุมต้นทุนอย่างเป็นระบบ ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงเสริมระบบควบคุมภายในให้แน่นหนากว่าที่เคย

✈️ บริหารต้นทุนใหม่และส่งมอบประสบการณ์การบินผ่านการปรับฝูงบินและปรับห้องโดยสาร 

ก่อนหน้านั้น การบินไทยมีเครื่องบินทั้งหมด 8 แบบ และมีเครื่องยนต์ 9 แบบ แต่จากการปรับโครงสร้างนี้ การบินไทยตัดสินใจลดเครื่องบินเหลือเพียง 4 แบบ และเครื่องยนต์ 5 แบบ เพื่อบริหารต้นทุนและซ่อมบำรุงได้ง่ายขึ้น 

นอกจากนี้ การเดินทางโดยเครื่องบินยังไม่ใช่แค่การเดินทางเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายเท่านั้น แต่ผู้โดยสารโดยเฉพาะผู้โดยสารชั้นพรีเมียมยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ การบินไทยจึงเริ่มปรับห้องโดยสารให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มความสบายและคุณภาพของประสบการณ์การเดินทาง โดยเฉพาะในเส้นทางภูมิภาคที่มีการแข่งขันสูง 

ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งที่นั่งใหม่ในทุกชั้นให้มีมาตรฐานเดียวกัน ปรับห้องโดยสารให้มีเก้าอี้ Royal Silk Class รวมถึงให้บริการ Wi-Fi ครอบคลุม และระบบความบันเทิงใหม่ที่มีภาพยนตร์ที่หลากหลายมากขึ้น มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมเกมใหม่ๆ เพิ่มเติมเพื่อความบันเทิงตลอดการเดินทาง ที่สำคัญ ยังมี amenity kits แบบใหม่ ที่ร่วมออกแบบกับแบรนด์ไทย เช่น THANN, PAÑPURI และแบรนด์ระดับโลกอื่นๆ เพื่อสร้างความประทับใจ 

✈️ วางเป้าหมายเติบโต พร้อมแข่งขันระดับภูมิภาค

การบินไทยยังไม่พึ่งแต่เอเจนซีอีกต่อไป แต่จริงจังกับช่องทางขายตรงผ่าน TG website และ mobile app ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% ลดการขายผ่านเอเจนซีไป 7% ทำให้ลดค่าคอมมิชชั่นจาก 3.8% เหลือ 2.5% ซึ่งการจะดึงผู้โดยสารให้ใช้งานและซื้อ-ขายบัตรผ่านการบินไทยโดยตรงหมายความว่าการบินไทยต้องทำระบบให้พร้อม

ทั้งการทำเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นใหม่ให้ใช้งานง่าย รองรับการซื้อ-ขายตั๋วโดยตรง เพิ่มความยืดหยุ่นเรื่องราคา และขยายความครอบคลุมการขายทั่วโลกผ่านเอเจนซีท่องเที่ยวออนไลน์ นอกจากนั้นยังยกระดับศูนย์บริการลูกค้า อย่างการเปิด THAI Contact Center ในต่างประเทศ โดยให้บริการใน 24 ประเทศ และ 6 ภาษา ช่วยเพิ่มความพึงพอใจลูกค้าจาก 94% เป็น 98% มีอัตราการวางสายก่อนรับบริการจาก 8.8% เป็น 5.9%

ในแง่เป้าหมายนั้น การบินไทยตั้งใจเพิ่ม market share ที่สุวรรณภูมิจาก 26% เป็น 35% ภายในปี 2572 ให้ได้ โดยขยายเส้นทางผ่านกรุงเทพฯ ให้เป็น hub ระดับภูมิภาค พร้อมขยายพันธมิตรสายการบิน เช่น Turkish Airlines (joint business agreement) ขยายเส้นทางบินและเพิ่มความถี่ในภูมิภาค (regional hub)

จากแผนงานที่รัดกุมเหล่านี้เองที่ทำให้ในปี 2567 การบินไทยมีรายได้รวม (รายได้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจตามปกติ เช่น ขายตั๋วเครื่องบิน ขนส่งสินค้า ฯลฯ โดยไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เช่น การขายทรัพย์สินอย่างเครื่องบิน) อยู่ที่ 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16.7% และมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 41,515 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร 22.1%  

ในไตรมาส 1 ปี 2568 การบินไทยยังมีรายได้รวม 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 13,661 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 26.5% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มสายการบินแบบ full-service ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป  

สิ่งที่การบินไทยทำได้สำเร็จจึงไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน แต่คือการปรับวิธีคิดขององค์กรทั้งหมดให้กล้าลดสิ่งที่ไม่จำเป็น กล้าปรับโครงสร้าง กล้าหาทุนจากแหล่งใหม่ และกล้าออกจากความเป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อคล่องตัวขึ้น ทำให้องค์กรที่ใหญ่และเชื่องช้ากลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการบินไทยไม่ได้กลับมา ‘เหมือนเดิม’ เพราะโครงสร้างทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แต่กลับมาในแบบที่โปร่งใสกว่า คล่องตัวกว่า และแข็งแรงกว่า พร้อมแข่งขันในระดับภูมิภาคและพร้อมกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง

Frasers Property Thailand กับเบื้องหลังการสร้าง ‘พื้นที่สมดุล’ เพื่อชีวิตที่ดีของผู้คน

ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากอะไร? สุขภาพที่ดี การงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่น่ารัก ฯลฯ เชื่อว่าแต่ละคนมีคำตอบในใจที่ต่างกันไปตามเงื่อนไขในชีวิต

แต่หนึ่งในคำตอบที่น่าจะใจตรงกันมากที่สุดลำดับต้น ๆ คงมีเรื่องของ ‘ที่อยู่อาศัย’ เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะในรูปแบบบ้านหรือคอนโด ล้วนเป็นปลายทางที่ควรค่าแก่การเอนตัวทิ้งกายปล่อยใจ และพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าจากเรื่องราวที่ต้องเผชิญตลอดวัน 

อย่างไรก็ดี โจทย์ของคนที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยทุกวันนี้ เชื่อว่ามีมากกว่าแค่เรื่องความสวยงามหรือเดินทางสะดวก แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์และยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตได้ครบถ้วน รวมไปถึงสร้างความรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และสัมผัสได้ถึงมวลแห่งความสุข

ยกตัวอย่าง ‘เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย (Frasers Property Thailand)’ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำนั้นเชื่อว่าคุณภาพชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการมี ‘พื้นที่ที่ดี’ ไม่ใช่แค่การเป็นที่อยู่อาศัยหรือสำนักงานเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้าง ‘พื้นที่’ ที่สมดุลทุกมิติ ทั้งในแง่ของพื้นที่ใช้ชีวิต การเดินทาง และความยั่งยืน ดังแนวคิด Inspiring experiences, creating places for good.

สำหรับ Inspiring experiences, creating places for good. ที่ว่า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ได้ถ่ายทอดผ่านการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก นั่นคือ Residential, Industrial, Commercial ซึ่งเราอยากชวนไปทำความรู้จักแต่ละกลุ่มอย่างลงลึก

1. Residential as a Service
มากกว่าบ้าน แต่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่ ‘ห่วงใย’ และ ‘เข้าใจ’ ถึงชีวิต

พื้นที่อยู่อาศัย (Residential) คือหัวใจสำคัญประการแรกที่เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย คำนึงถึง ผ่านโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้หลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ที่ดีต่อทั้งลูกบ้านและต่อโลกใบนี้ ภายใต้คำนิยามที่ว่า ‘บ้านที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกช่วงชีวิต

ถามว่าบ้านที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกช่วงชีวิตหน้าตาเป็นยังไง คงต้องยกตัวอย่างโครงการ ‘เดอะ แกรนด์ ริเวอร์ฟร้อนท์ ราชพฤกษ์ – พระราม 5’ ที่เพิ่งได้รับเครื่องหมายมาตรฐานอาคารเขียว LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวในระดับ Gold ไปเมื่อช่วงต้นปี 2568 และหากลงลึกรายละเอียดถึงภายในบ้านของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย อย่างแบรนด์ Grandio, The Grand ก็มีการออกแบบที่น่าสนใจ ตั้งแต่ห้องกระจกที่แม่บ้านและพ่อบ้านต้องหลงรัก เพราะสามารถทำการซักรีดและตากผ้าภายในบ้าน ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่นหรือในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ และระบบ Clean & Cool Air ที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 และมลพิษภายนอก พร้อมเพิ่มค่าออกซิเจนภายในบ้าน 

ส่วนวัสดุที่นำมาใช้ก่อสร้างยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ, ไฮโดรลิกซีเมนต์, สีทาบ้านที่ปล่อย VOC (Volatile Organic Compounds) หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายในปริมาณที่ต่ำ รวมไปถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั้งที่บ้านและส่วนคลับเฮาส์

ภายในโครงการยังมีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกบ้าน เช่น วิ่ง เวิร์กช็อปต่างๆ หรือกิจกรรมพิเศษอย่างการพาไปดูหนัง หรือคอนเสิร์ต เพื่อสร้างความผูกพันกลมเกลียวในฐานะชุมชนที่ดีไปพร้อมกัน

2. Industrial as a Service
เชื่อมโยงและสนับสนุนระหว่างธุรกิจกับชุมชนบนพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม

ไม่เพียงแต่การสร้างพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยยังพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยการเชื่อมโยงภาคธุรกิจและชุมชนโดยรอบเข้าด้วยกัน 

ภายในเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เป็นทั้งพื้นที่ที่เสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจครบวงจร ด้วยโรงงานและคลังสินค้าแบบ Ready-Built, Built-to-Suit, Built-to-Function ที่พัฒนาตามมาตรฐานอาคารเขียว LEED, EDGE, TREES พร้อม business support services มีทีมงานประสบการณ์สูงในการช่วยดูแลทรัพย์สิน และให้คำปรึกษาแก่ผู้เช่าในการติดต่อกับภาครัฐ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ในโครงการมีการจัดสรรพื้นที่ออกกำลังกายให้แก่พนักงาน ลู่วิ่ง สนามฟุตซอล ไปจนถึงโรงอาหาร เพื่อมอบความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตที่ดี พร้อมด้วยการพัฒนาชุมชนผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมรูปแบบต่าง ๆ เพื่อยกระดับสังคมที่เป็นแวดล้อมส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจการธุรกิจ

3. Commercial as a Service
‘ศูนย์กลางของชีวิตเมือง’ ที่ผสมผสานและโอบรับความเป็นเมืองอย่างเข้าใจ

กลุ่มธุรกิจสุดท้ายคือการสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มากกว่าแค่การเป็นอาคารสำนักงานหรือศูนย์การค้า แต่เป็น ‘ศูนย์กลางของชีวิตเมือง’ ที่เข้าใจ เชื่อมโยงผู้คน เพิ่มโอกาส และตอบรับไลฟ์สไตล์คนทำงานได้อย่างชาญฉลาด 

ยกตัวอย่างศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โครงการ mixed-use ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของผู้คนย่านดังกล่าว ภายใต้แนวคิด ‘Urban Life Library’ หรือ ‘คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้’ ที่ผสมผสานระหว่างพื้นที่ที่รวบรวมร้านอาหารและโซนพื้นที่เพื่อการเรียนรู้อย่าง C asean Samyan CO-OP ซึ่งเป็น co-learning space ที่มีการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อป หรือ edutainment ต่างๆ 

นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่โอบรับผู้คนทุกมิติ โดยมี event space ที่สนับสนุนผู้ประกอบการระดับ SME ผ่านกิจกรรมการจัดตลาดนัดที่มีให้เห็นเป็นประจำ พร้อมด้วยการเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สามย่านผ่านอุโมงค์เชื่อมมิตร ที่ทำให้เข้าสู่พื้นที่ได้ง่ายอย่างไร้รอยต่อ

หรือในส่วนของอาคารสำนักงาน Sathorn Square ที่ภายในถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยการผนวก Smart Grade-A Office ที่รองรับการทำงานแบบไฮบริด และมีบริการ PromptMove ที่ตกแต่งภายในพร้อมเข้าใช้งานได้ทันที พร้อม flexible leasing หรือสัญญาเช่าที่ยืดหยุ่น

จากธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มที่กล่าวถึงเบื้องหลังมุมคิดและการออกแบบของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ทำให้เราได้เห็นว่า ‘พื้นที่ที่เข้าใจ’ ต้องเป็นแบบไหน ผ่านโครงการที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ซึ่งกระจายแยกย่อยอยู่ในหลากหลายพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย บริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่เป็นมากกว่าผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ได้สร้างเมืองที่เข้าใจ สร้างชีวิตที่ดี และเชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้อย่างแท้จริงในทุกมิติ

คุยกับ ‘ต้ามู่’ เต้าหู้ 100 ปีนครปฐม ในวันที่ผสานวิธีทำดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยี

ช่วงเวลาตี 2 ของใครหลายคนอาจเป็นเวลานอน แต่ที่โรงงานแห่งหนึ่งในนครปฐมเริ่มเปิดไฟมาเตรียมวัตถุดิบและใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมงจวบจนบ่าย 2 ถึงจะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นเต้าหู้สักก้อน ด้วยการใช้กรรมวิธีการผลิตเต้าหู้แบบโบราณที่สืบทอดกันมาถึง 100 ปี และมีลูกค้ามาสั่งจองเต้าหู้ถึงหน้าร้านไม่ขาดสาย

ร้านที่เรากำลังพูดถึงคือ ‘ต้ามู่’ เต้าหู้ในตำนานแห่งจังหวัดนครปฐม ที่ทำให้หลายคนยอมขับรถมาหลายชั่วโมง เพื่อลิ้มลองเต้าหู้ที่ทำกันสดๆ วันต่อวัน มีความนิ่มเหมือนที่คนชอบเปรียบเทียบกันว่าเหมือนเนื้อคัสตาร์ด

เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ยอมขับรถมาจากกรุงเทพฯ และถึงโรงงานแห่งนี้ตอนตี 5 เพื่อให้ได้เห็นภาพวิธีการทำกับตาและอยากสนทนากับ เอก–วิโรจน์ อางนานนท์ ทายาทรุ่นที่ 4 ของต้ามู่

“อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์แบบดั้งเดิม เพราะวิธีการทำเต้าหู้ของร้านต้ามู่ เราจะใช้คนทำในทุกขั้นตอน จึงต้องทำซ้ำจนเกิดความชำนาญ ถ้าใช้อุปกรณ์เหมือนเดิมจะทำซ้ำได้ง่ายกว่า”

ชายตรงหน้าบอกกับเราก่อนจะพาไปดูการทำ ที่เขาเน้นย้ำว่าข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปไม่ได้เลย เพราะทุกขั้นตอนมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพื่อให้ได้เต้าหู้ในความทรงจำของเขาที่มีทั้งความนิ่มและความสดใหม่

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยด้วยการเปลี่ยนจากการต้มจากตอนแรกที่ใช้ฟืน มาใช้หม้อต้มแบบสตีมไอน้ำและใช้เตาแก๊ส เพื่อให้สามารถทำเต้าหู้ได้ไวยิ่งขึ้น

และที่น่าทึ่งคือในทุกวัน เต้าหู้ของต้ามู่มียอดจองเกือบเต็มตลอด และในช่วงเวลาบ่าย 2 ที่เพิ่งเปิดรับคิววอล์กอิน ก็มีคนมาต่อแถวจนเต็มหน้าโรงงานและขายหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนรอช้า แล้วตามมาดูกันว่าเบื้องหลังตำนานเต้าหู้ที่ส่งต่อกรรมวิธีการทำจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 100 ปีมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่

ย้อนรอยจุดเริ่มต้นของเต้าหู้อายุนับ 100 ปี

ถ้าใครเคยเห็นในหนังหรือละครที่คนจีนโล้สำเภาเข้ามาตั้งรกรากที่ประเทศไทย พร้อมเสื่อผืนหมอนใบ ชีวิตของครอบครัวเอก ทายาทรุ่น 4 ผู้สืบทอดธุรกิจต้ามู่ เต้าหู้โบราณที่ส่งต่อกันมากว่า 100 ปี ก็มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน

“ช่วงการปฏิวัติซินไฮ่ คุณปู่ของผมก็โล้สำเภามาตั้งโรงงานที่นี่ แล้วมีอาชีพติดตัวไม่กี่อย่างคือเป็นหมอดูกับทำเต้าหู้นี่แหละ แต่ไม่มีใครสืบทอดวิชาหมอดู มีแต่เต้าหู้ที่ยังส่งต่อสูตรและวิธีการทำกันมาเรื่อยๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นพวกนี้เป็นเรื่องที่เขาเล่าต่อๆ กันมา

“ผมก็รู้มาจากญาติที่อยู่ข้างบ้าน เขาเป็นหลานของลูกชายคนโตที่ตอนนี้อายุก็ปาไป 80 ปีแล้ว และเป็นคนเดียวที่ยังทันคนรุ่นเดิมอยู่ ส่วนผมเป็นหลานของลูกคนที่ 3 ตอนที่ผมเกิดปู่ก็เสียไปแล้วเลยรู้เรื่องอะไรไม่ค่อยมาก”

ด้วยความที่อยากรู้จุดเริ่มต้นของเต้าหู้ที่แท้จริง เอกได้ไปพูดคุยกับอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ความว่าจุดเริ่มต้นของเต้าหู้มาจากที่หมอหลวงเห็นฮ่องเต้ประชวร จึงอยากหาอาหารเสริมที่เป็นสมุนไพรหรือแร่ธาตุต่างๆ หนึ่งในนั้นมีตัวที่เราเรียกกันว่ายิปซัม ซึ่งไม่ได้อยู่ในเนื้อสัตว์ แต่เป็นแคลเซียมธรรมชาติที่พบได้ในพืช

ปัญหาต่อมาคือแล้วจะให้ฮ่องเต้เสวยยิปซัมได้ยังไง หมอหลวงจึงลองใส่ไปในเครื่องเทศต่างๆ และใส่ไปในเต้าหู้ ปรากฏว่าเต้าหู้จับตัวเป็นก้อน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเต้าหู้จริงๆ ก่อนที่จะปรับสูตรกันมาเรื่อยๆ จนได้เต้าหู้ที่มีสัมผัสและรสชาติเฉพาะของแต่ละร้าน

จากเต้าหู้ตาโต สู่เต้าหู้ต้ามู่

“สมัยที่ผมเป็นเด็ก แถวนี้จะมีโรงงานที่ทำเต้าหู้หลายโรงงาน ไม่ได้มีแค่ผมเจ้าเดียวนะ อารมณ์เหมือนในประเทศจีนที่จะมีหมู่บ้านหนึ่งที่ทำแต่เต้าหู้ แล้วเวลาเขามาซื้อเต้าหู้กับปู่ผมเขาก็จะเรียกว่าร้านเต้าหู้ตั๊วมัก เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่าตาโตหรือตาใหญ่ เพราะปู่ผมเขาเป็นคนตาโต พอมาถึงรุ่นพ่อผมเขาก็ยังเรียกชื่อร้านแบบนี้อยู่”

เอกเล่าถึงชื่อร้านก่อนที่เขาจะมารับช่วงต่อและเปลี่ยนชื่อร้าน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พร้อมสร้างแบรนด์ให้คนจดจำในตัวสินค้ามากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากทิ้งภาพจำ จึงเลือกที่จะใช้ภาษาจีนกลางที่ดูเป็นสากลมากขึ้น และใช้ชื่อเป็น ‘ต้ามู่’ ที่มีความหมายว่าตาโต เหมือนกับความหมายของชื่อร้านเดิม

ปัจจุบันโรงงานเต้าหู้ที่ผลิตด้วยวิธีแบบดั้งเดิมปิดตัวลงไปหลายแห่ง และเหลืออยู่เพียง 4-5 โรงงานเท่านั้น เต้าหู้ต้ามู่ก็เกือบจะไม่มีผู้สืบทอดกิจการเช่นเดียวกัน ด้วยความที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ทำให้เอกเห็นภาพการทำเต้าหู้มาตั้งแต่เด็ก ว่าต้องใช้คนเยอะในการทำงาน และใช้เวลานานกว่าจะได้เต้าหู้สักก้อน ทำให้เขาและน้องๆ ในครอบครัวแยกย้ายกันไปเรียนต่อ และไม่ได้กลับมาดูกิจการของที่บ้าน

“จุดพลิกผันที่ทำให้ผมมารับช่วงต่อ เกิดจากตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยจบแล้วพ่อป่วยเป็นโรคไตวาย ซึ่งในยุค 20 ปีก่อนไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการรักษามากนัก เครื่องฟอกไตมีอยู่แต่โรงพยาบาลในตัวเมืองอย่างเดียว ค่าใช้จ่ายก็สูง ในครอบครัวก็มีความเห็นตรงกันว่าจะรักษาพ่อ

“นั่นแปลว่าต้องมีทั้งคนพาพ่อไปหาหมอ มีคนทำเต้าหู้ขาย เพื่อให้ธุรกิจนี้เดินต่อไปได้ ตอนนั้นไม่ได้มีการมาถ่ายทอดวิชาแบบเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แต่อาศัยครูพักลักจำจากการที่ครอบครัวคนจีนจะสอนให้ลูกหลานทำงานตั้งแต่เด็ก แล้วให้มาช่วยงานที่บ้านได้”

จังหวะที่มารับช่วงต่อเอกยอมรับว่าเกิดปัญหาขึ้นมากมาย แต่เขามองว่าทุกธุรกิจย่อมมีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องคนงาน เรื่องการบริหารกระแสเงินสด แต่สิ่งที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้คือการแก้ปัญหาทีละเรื่อง ไม่เอาปัญหาทุกเรื่องมาปะปนกัน และหัวใจสำคัญคือพอเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วจะต้องเข้าใจทุกๆ เรื่องให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน

คงวิถีดั้งเดิม เพิ่มเติมวิถีใหม่

เอกพาเดินทัวร์โรงงานและชี้ให้ดูว่าอุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์แบบดั้งเดิม เพราะวิธีการทำเต้าหู้ของร้านต้ามู่จะใช้คนทำในทุกขั้นตอนจึงต้องทำซ้ำจนเกิดความชำนาญ ถ้าใช้อุปกรณ์เหมือนเดิมจะทำซ้ำได้ง่ายกว่า และมีหลายขั้นตอนกว่าจะได้เต้าหู้สักก้อน

ต้องเริ่มตั้งแต่ตื่นมาแช่ถั่วเหลืองตอนตี 2 เริ่มโม่ถั่วตอนตี 5 กรองถั่วด้วยผ้าขาว ก่อนจะนำไปต้มในเตาและได้ผลิตภัณฑ์แรกคือฟองเต้าหู้ ที่ขายเป็นทั้งฟองเต้าหู้สดและฟองเต้าหู้แห้ง รวมถึงได้น้ำเต้าหู้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ยังคงเป็นน้ำเต้าหู้ที่ดื่มง่าย ไม่เหม็นกลิ่นถั่วเหลือง

หลังจากนั้นได้มีการเติมดีเกลือลงไปเพื่อให้เต้าหู้แยกชั้นและจับตัวเป็นก้อน ก่อนจะตักเต้าหู้ลงบล็อกไม้ ห่อด้วยผ้าขาวบาง หลังจากเต้าหู้ขึ้นรูปก็นำไปให้หินทับเพื่อรีดน้ำออกมา ก็จะได้เป็นเต้าหู้นิ่มๆ เหมาะสำหรับทำแกงจืดโดยเฉพาะ และเต้าหู้ขาวที่เหมาะสำหรับทำกับข้าวแทนเนื้อสัตว์

ส่วนเต้าหู้เหลืองจะใส่ขมิ้นลงไป เหมาะสำหรับนำไปผัดหรือทอด หรือถ้าอยากกินเต้าหู้ทอดทันที ที่ร้านก็มีขาย นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้แบบใหม่ที่เอกคิดค้นตอนไปออกรายการปัญญา 5 ดาว คือเต้าหู้ดำ ที่ใส่ซีอิ๊วสูตรเฉพาะของทางร้าน ได้เต้าหู้ที่มีความหวานเค็มกำลังดี และกว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนพร้อมขาย ก็เป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย 2

“เรามีขั้นตอนการทำเยอะมาก และไม่สามารถข้ามขั้นตอนไหนไปได้เลย ทุกขั้นตอนเรายังใช้คนทำ เพราะเป็นวิธีการที่เน้นการใช้ประสบการณ์แบบที่เครื่องจักรยังมาแทนทั้งหมดไม่ได้ อย่างการห่อเต้าหู้แต่ละรอบจะใช้ความแน่นในการห่อไม่เท่ากัน ต้องกะด้วยสายตาว่าประมาณไหนถึงพอดี แล้วจะปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้ เต้าหู้มันจะเละเกินไป หรือตอนใช้หินทับรีดน้ำออก ถ้าน้ำออกเยอะเกินเต้าหู้ก็จะแข็งไป พวกนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มองข้ามไม่ได้เลย

“ยิ่งเรื่องของวัตถุดิบที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรอย่างถั่วเหลือง ก็จะคล้ายข้าวที่มีข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ถั่วแต่ละล็อตก็จะไม่เหมือนกัน อย่างถั่วล็อตเก่าจะเก็บน้ำไม่ดีเท่าถั่วล็อตใหม่ ทำให้ทุกครั้งที่เปลี่ยนล็อตวัตถุดิบ ผมต้องมาดูว่าเนื้อเต้าหู้แต่ละแบบยังเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงของเดิมไหม”

ถึงแม้เอกจะพยายามคงอุปกรณ์และวิธีทำแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เขาก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้อย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนขั้นตอนการต้มจากตอนแรกที่ใช้ฟืน มาใช้หม้อต้มแบบสตีมไอน้ำและใช้เตาแก๊ส เพราะช่วงเวลาที่ใช้ฟืนมีทั้งปัญหาเรื่องของฟืนเปียก ทำให้ไฟจุดติดยาก ต้องคอยเติมฟืนตลอดเวลา ถ้าวันไหนขั้นตอนนี้ล่าช้า ก็จะทำให้ทุกขั้นตอนช้าไปหมด แต่การเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สก็สามารถเปิดเตาทิ้งไว้แล้วไปทำอย่างอื่นต่อได้ ทำให้การผลิตเร็วขึ้นด้วย

สินค้าดีที่อยู่ได้ด้วยการบอกต่อ

หลายคนชอบบอกว่าต้ามู่ทำเต้าหู้ที่ไม่เหมือนใคร เอกบอกว่าเขาไม่อยากเปรียบเทียบกับใคร เพียงแค่อยากทำเต้าหู้ให้ออกมาเหมือนกับที่เขาเคยกินตั้งแต่เด็ก เป็นเต้าหู้ในความทรงจำที่มีความสดใหม่ ความนิ่ม ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่านิ่มมากหรือนิ่มน้อย ไม่เหมือนกับเวลาไปสั่งน้ำหวานที่จะบอกได้ว่าเอาหวาน 25% หวาน 50% แต่เขาเองจะเป็นคนรู้จากประสบการณ์ว่านิ่มประมาณนี้แหละคือเต้าหู้ตามมาตรฐานของต้ามู่

“เราอยากให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ในการทานเต้าหู้สดใหม่นั่นคือหัวใจหลัก เราเลยทำเต้าหู้ปลอดสารก็คือไม่ใส่สารกันบูด เพราะผมรู้สึกว่าในปัจจุบันถ้ามองว่าสินค้าทุกอย่างเป็นธุรกิจมากจนเกินไป อาจจะกัดกร่อนคุณภาพของสินค้าได้ แล้วหันไปใส่สารกันบูดเพื่อให้ขายได้นานขึ้น แต่การทำแบบนี้ไม่ตรงตามความตั้งใจของเราตั้งแต่ต้น เรารู้สึกว่าเราอยากคงเต้าหู้ให้อยู่เหมือนเดิม ลูกค้าจะได้ประสบการณ์การทานของสดใหม่เสมอ”

เอกจึงเน้นที่การทำเต้าหู้สดใหม่ทุกวัน และไม่มีการสต็อกสินค้า เพราะเขารู้สึกว่าการสต็อกสินค้าทำให้คุณภาพของสินค้าลดลง แค่ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน คุณภาพก็ไม่มีทางเหมือนเดิมแล้ว ต่อให้จะแช่เย็นดีแค่ไหนก็ตาม เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการที่แกะห่อขนมออกมาแล้ว ต่อให้จะเก็บรักษาดียังไง รสชาติก็ไม่มีวันเหมือนตอนที่ทำสดใหม่หรือตอนที่ขนมยังไม่ถูกฉีกห่อออก

“ถ้าลูกค้ามองหาความสะดวกในการซื้อสินค้าเป็นอันดับแรก ผมบอกเลยว่าเราไม่ตอบโจทย์ เพราะถ้าเอาความสะดวกมาก่อน คือคุณจะต้องสต็อกสินค้า ซึ่งทุกวันนี้โลกมีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะไปหมด แค่สั่งของในเซเว่นครบ 100 บาท เขาก็มาส่งถึงหน้าบ้านคุณแล้ว แต่ผมรู้ว่าลูกค้าผมเป็นคนประเภทไหน คนที่อยากกินเต้าหู้สดใหม่ สินค้าผมก็จะไปตอบโจทย์คนเหล่านี้”

เอกเชื่อว่าสินค้าดีต้องขายตัวเองได้ เพราะหัวใจที่ทำให้ต้ามู่อยู่มาได้ถึง 100 ปี คือพลังของการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก เขาเล่าว่าสมัยรุ่นปู่จะขายเต้าหู้ในตลาด เพราะเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่าน และตั้งใจไปจับจ่ายใช้สอยกันแต่ในทุกวันนี้เอกให้ลูกค้ามาสั่งเต้าหู้ที่หน้าร้านเท่านั้น เพราะสินค้ามีการจองเต็มเกือบทุกวัน ถ้าลูกค้าโทรศัพท์มาแล้วเขาไม่รับคือออร์เดอร์เต็มแล้ว 

เมื่อก่อนเขาเคยรับทุกสายและแจ้งรายละเอียดการสั่งล่วงหน้า นั่นทำให้เขาเสียเวลาไปกว่า 4-5 ชั่วโมงต่อวัน เขาจึงเลือกรับออร์เดอร์แค่หน้าร้านเท่านั้น เพื่อป้องกันการตกหล่นของออร์เดอร์ด้วย หากลูกค้าสั่งจำนวนมาก เอกจะให้ลูกค้าสั่งล่วงหน้าประมาณ 3 วัน หรือหากสั่งไปทานเองในจำนวนไม่มาก จะเปิดรับลูกค้าแบบวอล์กอินในเวลา 14:00 น.เป็นต้นไป

“โชคดีที่เราอยู่มานานและเห็นการเปลี่ยนผ่านในหลายเจเนอเรชั่น ตั้งแต่เด็กก็เห็นการตลาดสมัยก่อนคือต้องนำสินค้าไปขายในที่ที่คนเยอะๆ ในยุคสมัยกลางที่มีสื่อเข้ามา เราก็เอาสินค้าไปออกทีวีเพื่อโฆษณาได้ แต่ในปัจจุบันนี้ต่างออกไปแล้ว เราสามารถผลิตสื่อเองได้ ขายสินค้าออนไลน์ได้ก็จะง่ายขึ้นหน่อย เรามองว่าการตลาดส่วนใหญ่ถ้าแม่นยำจริงๆ ต้องมีคนบอกต่อ ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนบอกเองว่าเต้าหู้เราอร่อยที่สุดในโลก มันเหมือนกับเราพูดว่าเราหล่อที่สุดในโลก อันนั้นคนอื่นต้องเป็นคนพูดมันถึงจะถูก”

ตั้งแต่เอกมารับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัว จวบจนปัจจุบันเขารับช่วงต่อมาถึง 20 ปีแล้ว ทำให้เขาได้บทเรียนว่าในการทำธุรกิจจะเติบโตเป็นเส้น curve ไม่ว่าจะเป็นทรงคว่ำหรือทรงหงาย แต่สุดท้ายทุกเส้น curve จะเริ่มนิ่งเป็นค่ากลางไม่ช้าก็เร็ว เอกเล่าว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่ไปตั้งบูท ทำทุกอย่างให้คนรู้จัก ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ดังเป็นพลุแตก บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่ดังมาก มีช่วงเวลาที่ยอดขายนิ่งบ้าง

ถึงอย่างนั้น เอกก็เข้าใจว่าคงไม่มีใครทานเต้าหู้ทุกวัน ยิ่งในประเทศไทยที่เต้าหู้ไม่ใช่แหล่งสารอาหารหลัก ไม่เหมือนกับที่ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮาวาย ที่เป็นพื้นที่เกาะ ไม่มีการทำปศุสัตว์ ต้องกินเต้าหู้เป็นอาหารหลัก แต่ในไทยเต้าหู้เป็นอาหารทางเลือก ทำให้ตลาดนี้ในประเทศไทยไม่ได้โตมากนัก  

ที่สำคัญเขายังขายในราคาที่ไม่แพงเพราะเขามองว่าปัจจุบันนี้อาหารที่ดีต่อสุขภาพมักมีราคาที่สูงเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นทุนอาจไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่พอขายคำว่าสุขภาพ คนมักจะยอมจ่าย เขาไม่อยากให้แบรนด์ตัวเองเป็นแบบนั้น เพราะเชื่อว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ซื้อสิ่งที่ดีต่อสุขภาพได้

“ในมุมของคนที่ทำธุรกิจมานาน ผมมองว่าทิศทางของตลาดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปัญหาคือเราจะต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับตลาดมากที่สุด ผมเชื่อว่าไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่ปรับตัวแล้ว แต่ว่าจะปรับแบบไหนหรือว่าจะทำแบบไหน อันนั้นเป็นเรื่องของแต่ละธุรกิจ อย่างผมเลือกที่จะรักษาการทำแบบเดิมไว้ มีเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือ นำเทคโนโลยีมาใช้บ้างเพื่อให้ผลิตได้ไวและสะดวกขึ้น แต่บางคนอาจจะเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดีไปเลย หรือว่ามีบางเจ้าที่แตกไลน์ผสมนั่นผสมนี่ลงไปในเต้าหู้ด้วย เช่น เต้าหู้งาดำ เต้าหู้ผสมมุก

“แต่สุดท้ายแล้วผมว่าผู้บริโภคเขาจะเป็นคนให้คุณค่าของของสิ่งนั้นเอง ต้องอย่าลืมว่าเงินอาจจะอยู่บนถนนทั่วไป ทำยังไงให้เขายอมควักมาจ่าย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก”

ส่วนหลังจากนี้จะมีการสืบทอดธุรกิจของต้ามู่อีกหรือไม่ เอกบอกว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะชอบเต้าหู้หรือชอบวิธีการทำแบบนี้ เขาจึงยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายจะยังมีต่อหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในยุคที่เขายังดำเนินธุรกิจต่อนี้ เขาจะรักษาสิ่งเดิมและปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

6 ความพิเศษที่ทำให้คาแร็กเตอร์สุดน่ารักของซานริโอเป็นที่จดจำและตกผู้คนได้ทั่วโลก 

เฮลโลคิตตี้ (Hello Kitty), มายเมโลดี้ (My Melody), คุโรมิ (Kuromi), ปอมปอมปูริน (Pompompurin), ซินนามอโรล (Cinnamoroll) 

ใครที่เป็นแฟนซานริโอ (Sanrio) น่าจะคุ้นหูกับชื่อเหล่านี้เป็นอย่างดี กับบรรดาคาแร็กเตอร์สุดคลาสสิกที่ยังคงครองใจผู้คนทุกช่วงวัย จนสินค้าของซานริโอมียอดขายถึง 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2024 และมีผู้แวะเวียนไปเยี่ยมธีมปาร์กของซานริโอกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี แต่กว่าจะถึงวันนี้ซานริโอก็ผ่านอะไรมามากทีเดียว 

ย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 1960 ชินทาโร่ สึจิ (Shintaro Tsuji) ได้ก่อตั้งบริษัทผ้าไหมขึ้นที่จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ต่อมาก็ผลิตรองเท้าแตะออกขายเพิ่ม ด้วยความต้องการให้สินค้าแตกต่างจากเจ้าอื่นในตลาด รองเท้าแตะที่มีลวดลายสตรอว์เบอร์รีจึงถูกผลิตออกมาเป็นลายแรกและได้รับผลตอบรับที่ดีมาก

ชินทาโร่จึงเริ่มทำสินค้าในกลุ่ม ‘ของขวัญ’ และออกแบบลวดลายอื่นๆ เพิ่มเติม เขาลองซื้อลิขสิทธิ์ตัวละครสนูปี้ (Snoopy) มาใช้ในสินค้า ไปจนถึงนำเข้าตุ๊กตายอดฮิตอย่างบาร์บี้ (Barbie) มาขายในญี่ปุ่น แต่เหล่าตัวละครจากตะวันตกครองใจคนญี่ปุ่นได้ไม่มากนัก ชินทาโร่จึงเกิดไอเดียสร้างคาแร็กเตอร์ออริจินอลขึ้นมาเอง ก่อนจะได้ ชิมิสึ ยูโกะ (Shimizu Yuko) นักออกแบบมือทองมาสร้างสรรค์คาแร็กเตอร์ 

ในปี 1973 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็นซานริโอ (Sanrio Company, Ltd) จนกระทั่งในปี 1974 ตัวละครยอดนิยมอย่าง ‘คิตตี้’ ปรากฏโฉมเป็นครั้งแรก

จนถึงวันนี้ บรรดาคาแร็กเตอร์จากซานริโอยังเป็นที่จดจำของผู้คนอยู่เสมอ ล่าสุดก็ยังมี My Melody and Kuromi ซีรีส์ที่ซานริโอทำร่วมกับเน็ตฟลิกซ์ และอีเวนต์สร้างสีสันที่มีเป็นประจำแทบทุกปีอย่างการโหวตตัวละครยอดนิยม ซึ่งในปี 2025 นี้ผู้ชนะก็คือ ปอมปอมปูริน ส่วนผลโหวตของประเทศไทย โยชิคิตตี้ (Yoshikitty) เป็นผู้ได้รับชัยชนะไป

ด้วยความน่ารักและคลาสสิกของเหล่าตัวละครนับร้อยที่ซานริโอสร้างขึ้นมา Capital List ตอนนี้เลยขอพาไปสำรวจ 6 ความพิเศษที่ทำให้คาแร็กเตอร์ของซานริโอครองใจผู้คนทุกรุ่นทุกวัยมาจนถึงทุกวันนี้

1. เสกให้คาแร็กเตอร์มีชีวิตด้วยการสร้างเรื่องราวและลักษณะนิสัย 

รู้ไหมว่า ตัวละครยอดฮิตอย่างคิตตี้ไม่ใช่ตัวละครแรกของซานริโอ แต่เป็นคาแร็กเตอร์ที่ 2 โดยมีชื่อแรกว่า Hi Kitty ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Hello Kitty อย่างในปัจจุบัน

ถึงหลายคนจะเข้าใจจากรูปลักษณ์ที่มีสิ่งคล้ายหูแหลมๆ 2 ข้างบนหัว หนวด และจมูกสีเหลืองที่ทำให้คิดไปได้ว่าคิตตี้เป็นแมว แต่บริษัทเคยออกมายืนยันว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงต่างหาก ชื่อจริงๆ ของเธอคือคิตตี้ ไวต์ (Kitty White) เกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน มีบ้านเกิดอยู่ที่กรุงลอนดอนในเขตชานเมือง คิตตี้เป็นเด็กหญิงที่มีนิสัยร่าเริง สดใส ชอบทำคุกกี้และเล่นเปียโน เธอยังมีพี่สาวฝาแฝดที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ติดโบสีเหลืองแทน

หากสังเกต จะเห็นว่าคาแร็กเตอร์ของซานริโอทุกตัวถูกสร้างขึ้นให้มีเรื่องราวของตัวเอง เช่น ครอบครัว บ้านเกิด ลักษณะนิสัย และสิ่งที่ชอบ เพื่อเพิ่มมิติตัวละครให้มีมากกว่าความน่ารัก อีกทั้งการสร้างเรื่องราวให้กับคาแร็กเตอร์ยังสามารถเชื่อมโยงแฟนคลับกับเหล่าตัวละครได้มากขึ้น เช่น บางคนอาจจะชื่นชอบตัวละครเพราะชอบอาหารอย่างเดียวกันหรือมีนิสัยคล้ายกัน 

2. เชื่อมโยงเหล่าตัวละครกับผู้คนด้วย emotional branding 

ซานริโอรับรู้ถึงความสำคัญว่าความน่ารักจะสามารถมัดใจคนเอาไว้ได้ จึงออกแบบเหล่าตัวละครให้ทั้งจดจำง่ายและน่ารักน่าเอ็นดู กลยุทธ์แบบนี้เรียกว่า ‘emotional branding’ หรือการที่แบรนด์ใช้ความรู้สึกและความผูกพันของผู้คนให้เชื่อมโยงกับสินค้า เพื่อให้เกิดการซื้อจากเหตุผลทางด้านความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกรัก ชอบ ผูกพันกับตัวละคร หรือความรู้สึกดีต่อแบรนด์เองก็ด้วย

ลองนึกถึงความรู้สึกเวลาที่เราเอ็นดูหมา แมว หรือสัตว์ต่างๆ ที่น่ารักๆ ทั้งหลาย ถ้าเรามีความรู้สึกแบบนี้ให้กับตัวละครและนำไปสู่การซื้อสินค้า ก็เรียกได้ว่าแบรนด์ทำ emotional branding สำเร็จ ซึ่งกลยุทธ์ที่ว่าได้กลายมาเป็นจุดแข็งของซานริโอ เช่นการทำอีเวนต์จัดอันดับตัวละครที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างแฟนคลับกับตัวละครในดวงใจ

3. สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจด้วยสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษ 

ความพิเศษที่ทำให้สินค้าของซานริโอมีคนตามซื้ออยู่เสมอ แม้จะทำออกมาเป็นร้อยคอลเลกชั่น คือ ‘ความใหม่’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ ในการจับวาระโอกาสต่างๆ ไปจนถึงการเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรมมารังสรรค์เป็นคอลเลกชั่นพิเศษ

อย่างคอลเลกชั่นของซานริโอที่ถูกพูดถึงมากชิ้นหนึ่ง คือคิตตี้และผองเพื่อนผิวแทนในคอลเลกชั่นฮาวาย ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นที่มีขายใน ABC Store ที่ฮาวายเท่านั้น ทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจกับความน่ารักที่แปลกใหม่ เพราะเหล่าตัวละครกลับมีผิวสีแทนสวย เชื่อมโยงกับบรรยากาศหน้าร้อนและชายหาดของฮาวาย 

หรือในประเทศไทย เมื่อหลายปีก่อนมีการคอลแล็บระหว่างซานริโอกับร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในแคมเปญ สแตมป์รักเมืองไทย ที่นำเหล่าคาแร็กเตอร์มาวาดในธีมชุดสไตล์ไทยได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู และให้สะสมแต้มเป็นแสตมป์เพื่อแลกรับของ 

และเนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 50 ปีของคิตตี้เมื่อปีก่อน ก็มีคอลเลกชั่นพิเศษออกวางขายเพื่อให้แฟนๆ ได้เก็บสะสม ในคอลเลกชั่นเต็มไปด้วยคิตตี้หลากสีหลายดีไซน์ ซึ่งในประเทศไทยก็มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเครือเซ็นทรัล ที่นำเข้าตุ๊กตาจากงานครบรอบ 50 ปีของคิตตี้มาให้ได้จับจอง

นอกจากนี้ การคอลแล็บก็ถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดความแปลกใหม่กับโปรดักต์และสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ อย่างเช่นการคอลแล็บกับแบรนด์ตุ๊กตาของสะสมชื่อดังอย่าง Funko โดยนำตัวละครมาทำให้อยู่ในรูปแบบของตัวละครหัวเหลี่ยม ตากลมโต แต่คาแร็กเตอร์สุดน่ารักไม่ได้เป็นได้เพียงของสะสม เพราะซานริโอยังคอลแล็บไปถึงอนิเมะญี่ปุ่นและเกมออนไลน์ต่างๆ  

ซานริโอยังเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ของใช้ที่เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางหรือเครื่องแต่งกาย อย่าง Rom&nd แบรนด์เครื่องสำอางที่ทำโปรเจกต์ออกผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลายเป็นมายเมโลดี้และคุโรมิ ซึ่งความน่ารักก็ช่วยดึงดูดให้คนอยากจับจองกันมากขึ้น

4. เนรมิตจักรวาลซานริโอผ่านสวนสนุกที่มีเหล่าตัวละครเป็นไกด์พาเที่ยว

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซานริโอมีรูปแบบความบันเทิงที่ครบวงจรของจริง นั่นคือสวนสนุก การสร้างสวนสนุกเป็นเหมือนกับการสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา และทำให้แฟนคลับได้ก้าวเข้ามาหาแบรนด์ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวบรวมความเป็นซานริโอทั้งหมดเท่าที่คุณจะนึกออก 

สวนสนุกของซานริโอในปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่งในประเทศญี่ปุ่น คือ Sanrio Puroland และ Sanrio Character Park Harmonyland สำหรับ Sanrio Puroland ตั้งอยู่ที่โตเกียวในบริเวณชานเมือง ความพิเศษคือ ที่นี่มีการจัดงานฉลองวันเกิดให้กับตัวละครตามเดือนเกิด หากแวะไปเยือนในช่วงนั้นก็จะพบกับงานวันเกิดสุดอลังการของเหล่าตัวละคร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมาย เช่น พาเหรดจากเหล่าคาแร็กเตอร์ โซนพูดคุยกับเจ้าไข่ขี้เกียจอย่างกูเดทามะ (Gudetama) และร้านขายสินค้าลิขสิทธิ์ให้ได้ซื้อไปสะสม

ส่วน Sanrio Character Park Harmonyland ซึ่งตั้งอยู่ที่ภูมิภาคคิวชูจะต่างออกไปอีกหน่อย คือมีเครื่องเล่นสุดน่ารักให้ได้เล่นสนุก และมีห้องนอนของตัวละครอย่างคิตตี้ให้ได้เข้าชม รวมถึงพาเหรดตัวละครสุดจัดเต็ม และยังมีอาหารในธีมตัวละครซานริโอขายอีกด้วย ที่นี่ยังถูกขนานนามว่าเป็นสวนสนุกคิตตี้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

นอกจากในญี่ปุ่น ซานริโอยังพาเหล่าคาแร็กเตอร์ไปยังสถานที่อื่นๆ ทั่วโลกเพื่อเข้าถึงและเชื่อมโยงกับผู้คนมากยิ่งขึ้น ผ่านแคมเปญการท่องเที่ยวที่ทำร่วมกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย เช่น มาเก๊าในประเทศจีน กับแคมเปญการเดินทางไปพร้อมกับเหล่าตัวละครโปรดที่โรงแรม Studio City (Macau) ซึ่งติดตั้งรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงของเหล่าคาแร็กเตอร์ไว้ในรีสอร์ต นอกจากนั้นก็มีการตกแต่ง รวมถึงทำชุดอาหารและเซตน้ำชายามบ่ายในธีมซานริโอด้วย

เรียกได้ว่าซานริโอเข้าถึงไปในทุกสถานที่ ทุกวงการ และอยู่ในสายตาของผู้คนตลอดเวลาจนมีแบรนดิ้งที่แข็งแรงแทบจะที่สุดในโลกทีเดียว แต่ยุคสมัยและกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้บริษัทต้องเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน

5. ปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์จนสร้างกำไรได้แม้เผชิญวิกฤต  

ในปี 2020 ชินทาโร่ สึจิ ผู้ก่อตั้งและ CEO ที่บริหารบริษัทด้วยตัวเองมาเป็นเวลากว่า 60 ปี ได้ประกาศลาจากตำแหน่งและให้หลานชายอย่างโทโมคุนิ สึจิ (Tomokuni Tsuji) ขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ทว่าการรับช่วงต่อของ CEO คนใหม่ไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปี 2018-2019 ซานริโอประสบกับวิกฤตรายได้ที่ลดลงต่อเนื่อง รวมไปถึงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2020 ที่ตามมาแบบติดๆ ส่งผลให้สวนสนุกซึ่งคิดเป็น 23% ของรายได้บริษัทต้องหยุดชะงัก เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายของโทโมคุนิในการเข้ามารับช่วงต่อ และเป็นความท้าทายของซานริโอว่าจะยืนหยัดสู้ลมฝนที่พัดมายังไง

สิ่งที่ CEO หนุ่มทำเพื่อให้ซานริโอรอดพ้นวิกฤตไปได้ คือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการเน้นขายสินค้าตามหน้าร้านเป็นหลักมาพัฒนาธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น โปรเจกต์วิชวลอย่าง SANRIO Virtual Festival in Sanrio Puroland ที่ให้ผู้คนเข้าไปเยี่ยมชมสวนสนุก และเทศกาลดนตรีผ่านออนไลน์ในช่วงโควิด-19 รวมทั้งเริ่มวางแผนทำโซเชียลมีเดียของแบรนด์

ภายใน 2 ปีหลังเข้ารับตำแหน่ง ซานริโอก็กลับมามีกำไรอีกครั้ง และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเมื่อปี 2024 มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2023 ถึง 43% แต่นอกจากกลยุทธ์ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในธุรกิจมากขึ้น ซานริโอก็ยังโฟกัสไปที่กระดูกสันหลังของแบรนด์อย่างเหล่าตัวละครสุดน่ารักที่อาจจะต้องถึงเวลาขยับขยายกลยุทธ์เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

6. ไม่หวังพึ่งคาแร็กเตอร์ใดคาแร็กเตอร์หนึ่ง แต่สร้างจักรวาลซานริโอให้จับใจได้ทุกเจนฯ

ในยุคสมัยที่ซานริโอก้าวสู่อายุ 50 ปี สิ่งที่ทำให้โลกของซานริโอยังคงอยู่ได้อย่างแข็งแรงก็คือเหล่าคาแร็กเตอร์ที่ได้รับความรักจากผู้คนมากมายอยู่เสมอ และตัวละครชื่อดังตลอดกาลอย่าง Hello Kitty ก็เป็นเหมือนหนึ่งในรากฐานที่ทำให้ซานริโอเป็นซานริโออย่างในตอนนี้ แต่ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความนิยมของคิตตี้จะลดลงไป และถูกคาแร็กเตอร์อื่นๆ แซงขึ้นนำไปหลายตัวในการจัดอันดับ

แต่โทโมคุนิได้ให้คำตอบว่าความนิยมของคิตตี้ไม่ได้ลดลง แต่คาแร็กเตอร์อื่นกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่างหาก จากการสังเกตเห็นสิ่งนี้ บริษัทจึงพัฒนากลยุทธ์ที่ในอดีตเน้นขายความน่ารักของเหล่าคาแร็กเตอร์เพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการผลักดันคาแร็กเตอร์อื่นๆ ที่เข้ากับบริบทสังคมในยุคปัจจุบันมากขึ้น อย่างเช่น กูเดทามะ หรือเจ้าไข่ขี้เกียจที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้คนในยุคปัจจุบัน ที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากเรื่องราวในชีวิตจนอยากอยู่เฉยๆ เหมือนเจ้าไข่ขี้เกียจนั่นเอง

หรือคาแร็กเตอร์อย่าง เร็ตสึโกะ (Retsuko) ที่ได้รับความนิยมในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ชื่อ Aggretsuko ซึ่งถูกทำออกมาถึง 5 ซีซั่นตั้งแต่ปี 2018-2023 ด้วยเรื่องราวการเป็นพนักงานบริษัทวัย 25 ที่ต้องเผชิญกับชีวิตการทำงานอันยากลำบาก และระบายความเครียดด้วยการร้องคาราโอเกะเพลงเมทัลหลังเลิกงาน ซึ่งเชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนหนุ่มสาววัยทำงานที่มีชีวิตเหนื่อยล้า แม้จะขายความน่ารักเป็นหลัก แต่ซานริโอเองก็พยายามเข้าถึงผู้คนมากขึ้นด้วยคาแร็กเตอร์ที่เข้าใจชีวิตในสังคมปัจจุบัน  

คติที่ซานริโอยึดถือมาตลอดคือ ‘Everyone Getting Along Together.’ ที่สื่อถึงความต้องการเชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน และคตินั้นได้นำมาสู่วิสัยทัศน์ของบริษัทในปี 2021 ภายใต้ผู้บริหารคนใหม่ในประโยค ‘One World, Connecting Smile.’ (โลกหนึ่งใบเชื่อมโยงด้วยรอยยิ้ม) ซึ่งโทโมคุนิอธิบายว่าซานริโอต้องการสร้างรอยยิ้มให้ผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการเชื่อมโยงกันด้วยรอยยิ้มก็จะทำให้เราสามารถส่งต่อความสุขให้แผ่ขยายไปในโลกนี้ได้ 

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจนถึงการปรับเปลี่ยนสู่ยุคใหม่ของบริษัท ซานริโอนับเป็นแบรนด์ใหญ่ที่น่าสนใจในหลายแง่มุมธุรกิจ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าบริษัทสุดเก๋าที่อยู่มาได้นานนับครึ่งศตวรรษจะสร้างประวัติแบบไหนต่อไปในอนาคต

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าคาแร็กเตอร์แสนพิเศษของซานริโอจะสามารถสร้างความสุขให้ผู้คนได้อีกตราบนานเท่านานแน่นอน

——–

โปรเจกต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Capital Class of 2025 โครงการฝึกงานประจำปีที่เปิดโอกาสให้ได้เข้าไปเรียนรู้วิธีคิดผ่านเวิร์กช็อปพิเศษ สังเกตวิธีการทำงานของมืออาชีพ พร้อมกับได้ทดลองคิดและลงมือทำจริง รวมทั้งได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ทีมงาน Capital ตลอดระยะเวลาการฝึก 

อ้างอิง

WP Solar for Good แคมเปญจาก WP ENERGY ที่พร้อมติดโซลาร์รูฟฟรีทั่วไทย กว่า 60 ล้านบาท

WP ENERGY หรือที่เราคุ้นชื่อ ‘เวิลด์แก๊ส’ ประกาศเปิดตัวโครงการ ‘WP Solar for Good’ ต่อยอดพันธกิจด้านความยั่งยืน ‘WE PROMISE’ โดยเตรียมติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปให้กับวัด โรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชนทั่วประเทศ รวมกว่า 200 แห่ง ภายใน 5 ปี แบบไม่มีค่าใช้จ่าย รวมกำลังการผลิตกว่า 2,060 กิโลวัตต์ พร้อมสนับสนุนก๊าซหุงต้มอีกปีละ 50,000 กิโลกรัม

โครงการนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ที่อยากผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต และปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้คนไทยอย่างยั่งยืน ทั้งยังต่อยอดความเชี่ยวชาญจากการให้บริการติดตั้งโซลาร์ในภาคอุตสาหกรรมกว่า 11 เมกะวัตต์ มาสู่โครงการเพื่อสังคมครั้งนี้

การติดตั้งโซลาร์ในโครงการนี้จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตร EPC โดยเริ่มจากการติดตั้งนำร่อง 6 แห่งในปี 2568 และตั้งเป้าขยายเพิ่ม 40 แห่งต่อปีในปีถัดไป ให้ครบ 200 แห่งในปี 2573 โดยมุ่งเน้นกลุ่มที่มีความจำเป็นและค่าไฟฟ้าสูง เช่น โรงเรียน ชุมชน วัด โรงพยาบาล และองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ขาดแคลนงบประมาณ

โครงการนี้ไม่ได้แค่ติดโซลาร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยมีการอบรมชุมชนให้ดูแลระบบได้เองในระยะยาว พร้อมจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน เช่น การปลูกต้นไม้ เวิร์กช็อปพลังงานสะอาด และกิจกรรมจิตอาสา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและต่อยอดการใช้พลังงานไปสู่รายได้

WP ENERGY คาดว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยประเทศลดค่าใช้จ่ายพลังงานได้มากกว่า 12.36 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1,483 ตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 67,000 ต้น พร้อมตั้งเป้าความพึงพอใจของผู้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 80% เพื่อให้มั่นใจว่า ‘พลังงานสะอาด’ เข้าถึงและเปลี่ยนชีวิตได้จริง

ตอนนี้เปิดรับสมัครหน่วยงานหรือชุมชนที่สนใจร่วมโครงการแล้ว ติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 085-058-8033

หรืออีเมล [email protected]

4P+1 ของ Sue แบรนด์ไทยแท้สีสดใส ที่มากกว่าขายสินค้า คือพร้อมส่งต่อความรู้สึกดีๆ ในทุกวัน

ไม่ไกลจาก MRT คลองเตยเราเดินทางมาที่โครงการ TUR GUB CHAN คอมมิวนิตี้สไตล์ดิบเท่ที่รวบรวมร้านค้าแบรนด์ไทย หนึ่งในนั้นคือ Sue แบรนด์ที่หญิงสาวอย่าง มิ้น–ช่อทิพ ศิรโกวิท ทั้งก่อตั้งและลงมือออกแบบลวดลายสินค้าด้วยตนเอง

มิ้นเริ่มต้นชีวิตหลังเป็นบัณฑิตจากรั้วมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยการออกแบบลายผ้าให้แบรนด์ ก่อนไปเรียนต่อด้านการตลาด เพราะอยากเข้าใจกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นที่รับบรีฟจากลูกค้า การทำแผนงาน ไปจนถึงปลายทาง

“ลึกๆ รู้อยู่แล้วว่าตัวเองอยากทําอะไร คือเราอยากทําแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งช่วงอายุ 30 มันเกิดคำถามว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิต ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าไม่ทําวันนี้ หลังจากนี้คงไม่ได้ทําแล้วก็เลยลาออก และเกิดเป็น Sue”

จุดเด่นของ Sue คือลวดลายและสีสัน ไปจนถึงสินค้าที่แตกต่าง เช่นว่าหากเป็น tote bag ก็มีกิมมิกสายที่ปรับรูดได้ หากเป็นกระโปรงก็สามารถปรับไซซ์ได้ตามต้องการ แม้โดยรวมดูเหมาะกับคนที่รักความสดใส แต่กลุ่มลูกค้าของ Sue กลับหลากหลาย เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ไม่ว่าคนคนนั้นจะชอบแต่งตัวแบบใดก็อยากได้ Sue ไปครองสักชิ้น (และหลายคนก็กลับมาซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก)

หากมองจากภายนอก หลายคนอาจคิดว่า Sue คือแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น แต่สำหรับมิ้นแล้วนั้น Sue คือ life decor 

“มันคิดมาจากว่าเวลาจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องทำให้มันแตกต่าง ไม่ใช่แค่ว่าจะขายอะไร แต่คือขายไปทำไมมากกว่า แปลว่าเราไม่ได้จะขายแค่กระเป๋าหรือเสื้อผ้า แต่เราอยากขายความรู้สึกดีๆ ให้ผู้คนผ่านสีสันหรือลวดลายที่ออกแบบ เราเลยไม่ได้มองว่า Sue เป็นแบรนด์แฟชั่น แต่เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่มันจะเป็นอะไรก็ได้”

คอลัมน์ 5P ครั้งนี้ เราขอพาทุกคนไปพักผ่อน พร้อมกับฟังเบื้องหลังการปั้นแบรนด์ของ Sue ในร้านที่เรียงรายด้วยสินค้าหลากสีสัน ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายได้ทุกวัน แม้วันนี้จะเป็นอีกวันทำงานของเราก็ตาม

Product
สินค้าที่ส่งต่อความรู้สึก

ก่อน Sue จะเป็น Sue เช่นทุกวันนี้ มิ้นเล่าไอเดียตั้งต้นว่าเธออยากทำของแต่งบ้าน แต่ด้วยต้นทุนที่สูงและจำเป็นต้องทำสต็อกจำนวนมาก มิ้นจึงคิดหาสินค้าที่เธอเองก็แบกรับต้นทุนไหว ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็น่าจะซื้อได้ง่ายๆ เป็นที่มาของสินค้าชิ้นแรกอย่างกระเป๋า ที่มีจุดเด่นคือแพตเทิร์นแบบลายชนลายที่เธอออกแบบเอง

“5-6 ปีที่แล้ว คนนิยมสไตล์มินิมอล แต่งตัวเรียบๆ ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเราทำลายแบบนี้คนจะเก็ตไหม แต่อีกใจก็คิดว่ามันต้องมีคนชอบแบบเราบ้างแหละ กลายเป็นว่าขายดีเพราะมันต่าง คนซื้อเพราะชอบลายที่เราออกแบบจนกลายเป็นคีย์ของสินค้าไปเลย”

เธออธิบายตามตรงว่า การจะบอกได้ว่าลายไหนจะขายได้มากหรือน้อยค่อนข้างเดายาก เช่น ลายมะพร้าวที่เธอชอบมากกลับไม่ได้รับความนิยม ลายที่เธอคิดว่าอาจดูแรงเกินไปกลับมีคนชื่นชอบ ลายขนมต้มรวมถึงลายขนมไทยต่างๆ เป็นลายที่ทั้งคนไทยและต่างชาติซื้อเก็บ ไปจนถึงลายแมวที่เธอได้แรงบันดาลใจจากแมวของตนเองซึ่งขายดีมากในช่วงโควิด-19

“ลูกค้าแบ่งเป็นหลายแบบ แบบ niche คือเก็ตเรามาก ไม่ว่าเราจะออกลายไหนเขาพร้อมจะเอาด้วย ต่อมาจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมั่นใจก็จะชอบลายหรือสีฉูดฉาด กับกลุ่มที่ชอบอะไรเรียบๆ ลายทาง หรือลายดอกเล็กๆ ก็จะตอบโจทย์ เวลาเราออกแบบก็ต้องคิดถึงคนหลายกลุ่ม มีทั้งสีฉูดฉาด สีพื้นฐานแบบขาว-ดำ” 

แม้ลวดลายต่างๆ ที่มิ้นออกแบบจะแตกต่างและตอบโจทย์คนต่างกลุ่ม แต่จุดร่วมสำคัญที่เธอยืนหยัดคือแต่ละลายจะต้องสื่อสารถึงความรู้สึกบางอย่างให้ลูกค้าได้ ที่เห็นเด่นชัดคือคอลเลกชั่น Shades of Happiness ที่มีด้วยกัน 5 ลาย

อย่าง Girls Just Wanna Have Fun โทนสีเหลืองและเขียว ตัดด้วยสีแดงที่สื่อถึงชีวิตอิสระ ลาย When The Wind Blows โทนสีฟ้าที่สื่อถึงโมเมนต์การนั่งชิลล์ในบรรยากาศดีๆ ให้ความรู้สึกเหมือนลมพัดโชยกระทบหน้า หรือจะเป็น Wine By The Sunset โทนสีส้มและน้ำตาล ลวดลายวงกลมแบบ gradient สื่อถึงการซึมซับความสุขในช่วงเวลา golden hour ดูแล้วรู้สึกสบายใจ

ลาย Shine in the Dark โทนน้ำเงินเข้มที่สื่อถึงพลังที่จะยืนหยัด ส่องแสง และไม่ยอมแพ้ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายหรือความมืดในชีวิต ลาย Self-Love โทนชมพูที่เน้นการย้ำเตือนว่าการรักตัวเองคือของขวัญที่ดีที่สุด  

 “เราอยากให้คนใส่แล้วรู้สึกบางอย่าง ไม่ใช่แค่ซื้อเพราะสวย แต่ว่ามีอินเนอร์กับมัน”   

ดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่าง

ตั้งแต่ wrap skirt หรือกระโปรงแบบผูก ที่ใส่สบาย ไม่ว่าจะไซซ์ไหนก็ใส่ได้จนกลายเป็นสินค้าขายดี กระเป๋า twist bag ที่สายกระเป๋าถักขึ้นด้วยมือจากผ้าส่วนเกินที่เหลือจากการตัดเย็บซึ่งเธอมีเซนส์ว่าน่าจะต้องโดนใจลูกค้าและผลลัพธ์ก็ดีเกินคาด

ทั้งหมดนี้ตั้งต้นจากความคิดที่ว่า “เราเก่งทำลายผ้า ไม่ได้เก่งแพตเทิร์นขนาดนั้น เลยคิดหาว่าอะไรที่เราทำได้ดี แล้วทุกคนก็ใส่ได้ ไม่ซับซ้อนเกินไป ที่สำคัญ เราอยากให้สินค้าทุกชิ้นมีกิมมิกที่สะท้อนว่าเราตั้งใจออกแบบจริงๆ”

อย่าง buddy bag ตั้งต้นจากว่าใครๆ ก็ทำ tote bag ขาย หาก Sue อยากจะทำออกมาอีกสักชิ้น จะทำยังไงให้แตกต่าง จนได้เป็น buddy bag ที่ผลิตจากผ้าซึ่งรีไซเคิลจากขวดน้ำ และสายที่รูดปรับได้ ทำเป็นแบบ cross body ได้ จนขายดิบขายดี 

“คิดว่ากระเป๋าเป็นอีก SKU ที่เราไปต่อได้ เพราะมันใช้ได้ทุกวัน ไม่ต้องแต่งตัวจัดก็ใช้ได้ ถ้าคนอยากเพิ่มสีสันให้การแต่งตัวก็แค่สะพายกระเป๋าลวดลายของเราเข้าไป”

 ความน่ารักคือสินค้าแต่ละชิ้นยังมีการ์ดเล็กๆ ที่เขียนอธิบายลายผ้า รวมไปถึงวัสดุที่ใช้ตัดเย็บ 
“เราไม่ได้ออกคอลเลกชั่นบ่อย ออกแต่ละครั้งก็อยากจริงจังกับมัน ถ้าในเชิงสินค้า เราอาจจะไม่ได้ไปแนวขวางแต่เราไปแนวลึก สินค้าแต่ละชิ้น เราตั้งใจทำและคิดมาแล้วว่าอยากให้มีดีเทลอะไรตรงไหน จะตั้งชื่อแบบไหน ถ้าเปรียบกับการทำร้านอาหาร เราไม่ได้มีเมนูเยอะ แต่อาหารเราอร่อยเพื่อให้คนได้กลับมากินซ้ำๆ”

แม้สินค้าของ Sue จะมีสีสัน แต่ลูกค้าของ Sue นั้นหลากหลายมาก บางคนแต่งตัวจัด บางคนเป็นสาวเก๋ บ้างเป็นคนเรียบๆ

“ถึงแม้ว่าบางคนจะชอบแต่งตัวเรียบๆ แต่เราคิดว่ามันจะมีสักมุมหนึ่งของชีวิตที่อยากจะสนุก หรืออยากจะแต่งตัวต่างออกไป เช่น เวลาไปเที่ยว แต่เราก็พยายามผลักให้สินค้าของ Sue ดูใช้ในชีวิตประจําวันได้มากขึ้น 

“นี่คือเหตุผลที่เราใช้คำว่า ‘Sue loves everyday’ กับ ‘everyday holiday’ ไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนออกไปเที่ยว แต่เราอยากให้ทุกคนรู้สึกว่าทุกวันมีความสุขเหมือนวันหยุดพักผ่อน”

Price
ราคาเข้าถึงได้ พร้อมสินค้าที่มีคุณภาพ

20-40 ปี คือช่วงอายุของคนที่ชอบและช้อปสินค้าจาก Sue ด้วยทั้งสไตล์การออกแบบ ประเภทสินค้า ไปจนถึงช่วงราคาที่มีหลากหลายทั้งหลักร้อยไปจนถึงหลักพันต้น

“เราอยากทําของที่มีคุณภาพ ให้คนเห็นคุณค่าแล้วรู้สึกว่าพร้อมจ่าย ราคามันคงไม่ได้ถูกมาก แต่มันไม่ได้เข้าถึงยากจนเกินไป ซึ่งราคาที่ตั้ง มันก็มาจากต้นทุนที่เราเลือกใช้ผ้าที่ดี ใส่สบาย คัตติ้งก็ดี เหล่านี้ก็มาจากฟีดแบ็กลูกค้าด้วยที่เขาชอบมาก และนั่นทำให้เรารู้ว่าเราต้องไปต่อในคุณภาพแบบนี้”

 Place & Promotion
ช่องทางที่ต่างฟังก์ชั่น พร้อมนำเสนอให้ลูกค้ารู้สึก

จากขายออนไลน์ในช่วงแรกสุด ไม่นานนักก็มีคนติดต่อนำ Sue ไปวางหน้าร้านแถวสยาม 

ส่วนปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์ที่ใช้สื่อสารกับลูกค้าเป็นหลักคือ Instagram และมีช่องทางช้อปปิ้งทั้ง Shopee, LAZADA, LINE OA และเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าต่างชาติ 

นอกจากนั้น Sue ยังวางขายในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น Absolute Siam Store ที่สยามเซ็นเตอร์ชั้น 1, Gaysorn Amarin ชั้น 1, สารพัดไทย, ES Phuket และ THE PLACE KHAO-LAK จุดร่วมของสถานที่เหล่านี้คือการเป็นแหล่งรวมสินค้าดีไซเนอร์ไทยในทำเลที่เข้าถึงกลุ่มคนที่สนใจแฟชั่น ศิลปะ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ  

“ส่วนหน้าร้านหลักนั้น เราอยากให้ลูกค้ามาที่นี่แล้วได้ประสบการณ์ของแบรนด์ครบ นอกจากสินค้า เราทำโซนตรงกลางให้มาคัสตอมตัวอักษรสำหรับทำ charm ห้อยกระเป๋าได้ด้วย”

มิ้นยังมองว่าฟังก์ชั่นของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์นั้นต่างกัน ออนไลน์มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนไทย ส่วนออฟไลน์ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้านั้นมีเพื่อเป็นเวทีให้ Sue เข้าถึงกลุ่มชาวต่างชาติได้ 

ความท้าทายของช่องทางออฟไลน์อย่างหน้าร้านที่ฝากขาย คือการเลือกที่ที่ถูกต้อง มีคนเดินเยอะ หากเลือกที่ได้ถูกสินค้าจะพูดแทนตัวเองอยู่แล้ว ส่วนช่องทางออนไลน์ ความท้าทายคือจะทำยังไงให้ลูกค้าที่ไม่เคยสัมผัสสินค้าจริงเห็นแล้วอยากได้และเข้าใจถึงคุณค่า

“เราต้องทำให้เขาเชื่อว่าเรากําลังให้ของที่ดีกับเขา มันเป็นช่องทางที่ใช้ความเชื่อใจประมาณหนึ่ง เราจึงคิดว่าผู้ประกอบการตัวเล็กๆ ต้องรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองให้ชัดเจน ต้องเข้าใจว่าเราทําอะไรได้และเราทําอะไรไม่ได้ อะไรที่เราต้องหาคนมาช่วยทำและจำเป็นต้องลงทุนกับสิ่งนั้น”

ยกตัวอย่างว่าเธอทำกราฟิกได้ แต่ไม่ถนัดถ่ายรูปหรือแต่งรูป เธอจึงต้องยอมลงทุนจ้างสไตลิสต์และช่างภาพมืออาชีพมาช่วยถ่ายทอดสินค้า เพื่อให้สื่อสารความเป็น Sue ในแต่ละคอลเลกชั่นออกไปให้ลูกค้าเข้าใจ

“เราไม่ได้ขายฟังก์ชั่นอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วสินค้าของเราขายความรู้สึกหรือ emotion ของที่ขายฟังก์ชั่นต้องบอกว่าทําไมคุณถึงต้องการสิ่งนี้ มันดียังไง แต่ของที่ขายความรู้สึก เราต้องขายเรื่องราวให้คนอิน ต้องทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกชอบ เห็นตัวเองใช้สิ่งนี้ เราเลยให้ความสำคัญกับการถ่ายรูปและการสื่อสารมากๆ”

Pleasure
ความสุขจากผู้ให้ถึงผู้รับ

“ถ้าเลือกอีก P เราคิดว่า pleasure สำคัญมาก” มิ้นตอบ เมื่อเราเอ่ยถามว่านอกจาก 4P ตามหลักการธุรกิจแล้ว มีอะไรอีกบ้างที่เธอคิดว่ามองข้ามไม่ได้

“เราเชื่อว่าถ้าอยากจะขายสินค้าอะไร เราต้องชอบสินค้านั้นก่อนด้วย เราถึงจะมีความเชื่อมั่นแล้วอยากบอกต่อ ถ้าเรามีความสุข ความตื่นเต้นในกระบวนการทำ ความชอบในสินค้าตัวเอง เราจะส่งมอบ pleasure มอบความประทับใจเล็กๆ ให้ลูกค้าทุกคนที่สั่งสินค้าได้”

ตั้งแต่ tag หรือป้ายห้อยสินค้า เธอก็อธิบายสินค้าอย่างละเอียดให้ลูกค้าอินและเข้าใจมากที่สุด ไปจนถึงการเขียนชื่อลูกค้าทุกคนในกล่องเพื่อให้เปิดกล่องมาแล้วรู้สึกได้รับของพิเศษเหมือนได้ซื้อของขวัญให้ตัวเอง หรือถ้าใครอยากส่งเป็นของขวัญ Sue ก็มีบริการเขียนชื่อผู้รับ พร้อมผูกโบที่กล่องให้เช่นกัน

“เรามีความสุขเวลาลูกค้าได้รับของไปแล้วเขาฟีดแบ็กว่าเขาชอบ หรือแค่คนเข้าใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใส่ลงไป เข้าใจที่มาของลาย หรือมีคนมาคอมเมนต์ว่าชอบเวลาเราเขียนแคปชั่นยาวๆ มันก็รู้สึกเติมเต็มแล้ว

“แต่ในเชิงธุรกิจ เราก็ต้องพยายามบาลานซ์ตัวตนของเราที่ต้องบริหารทั้งเชิง emotional กับเชิง logical เพื่อให้ธุรกิจไปต่อด้วย”

หนึ่งในภาพใหญ่ที่มิ้นอยากให้ Sue เป็นคือการมีห้องแถวที่ด้านล่างเป็นร้านค้าของ Sue ส่วนด้านบนเป็นที่พักที่ตกแต่งด้วยลายของ Sue และสไตล์แบบมิ้น ให้คนได้เข้าใจว่าโลกของ Sue นั้นเป็นยังไง

“แต่ถ้าเอาฝันเล็กๆ ไม่ใหญ่ขนาดห้องแถว” เธอเล่าพลางหัวเราะ “คือเราอยากเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ต่างชาตินึกถึง อยากให้เขามาแล้วซื้อกลับไปเป็นของฝากจากประเทศไทย”

7 รหัสสร้างคาแรกเตอร์ให้ปัง เมื่อการทำคาแรกเตอร์ให้ดังไม่ใช่แค่ความน่ารักหรือโชคดวง

มองไปทางไหน ก็เห็นแต่คาแรกเตอร์และมาสคอตสุดน่ารัก ทั้งจากศิลปินที่ทยอยปล่อยของออกมาไม่มีพัก ไปจนถึงบรรดาแบรนด์ต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้คาแรกเตอร์เป็นส่วนเสริมทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวสร้างรายได้ช่วยให้แบรนด์ดูมีชีวิต มีบุคลิกที่จดจำได้ เรียกว่าขณะที่ตัวแทนขายอาจทำให้คนเดินหนี แต่คาแรกเตอร์กลับดึงดูดให้คนเดินเข้ามาหา

ถ้าจะบอกว่าวงการคาแรกเตอร์และมาสคอตบ้านเรามาแรงและบูมถึงขีดสุดก็ไม่ผิดนัก เพราะข้อมูลจาก DEPA ระบุว่าหลังโควิด-19 อุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ในไทยเติบโตอย่างมาก DEPA ยังคาดว่าในปี 2568 มูลค่าของอุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ไทยจะอยู่ที่ 2,324 ล้านบาท หรือโตเฉลี่ยปีละ 6% ทั้งจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว ไปจนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับคาแรกเตอร์ใหม่มากขึ้น 

เพราะคาแรกเตอร์เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังในการเล่าเรื่องได้ แถมยังสร้างแฟนคลับและรายได้มหาศาล คาแรกเตอร์จึงกลายเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่หลายภาคส่วนหันมาผลักดัน เป็นที่มาของ Character Fest Thailand 2025 ที่ ‘ขายหัวเราะ’ ร่วมกับ PTT จัดงานรวมพลังคาแรกเตอร์ไทยจากทั้งแบรนด์ใหญ่ คาแรกเตอร์ที่ศิลปินไทยสร้างเอง และกลุ่มคาแรกเตอร์หน้าใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อเปิดพื้นที่ให้คาแรกเตอร์ไทยได้แสดงพลัง ทั้งด้านการตลาด การออกแบบ และการเล่าเรื่อง พร้อมเป็นแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น

แต่ก่อนที่จะไปเชกแฮนด์ แชะภาพ หรือช้อปสินค้าจากเหล่าคาแรกเตอร์ไทยในงาน ระหว่างวันที่ 14-17 สิงหาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Capital ขอชวน ‘พิมพ์พิชา อุตสาหจิต’ ทายาทรุ่นที่ 3 ของ ขายหัวเราะ และบริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จำกัด ซึ่งอยู่เบื้องหลังการสร้างคาแรกเตอร์ให้สารพัดแบรนด์ มาถอด 7 รหัสสร้างคาแรกเตอร์ให้ปัง ในยุคที่คาแรกเตอร์เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน และไม่ใช่ทุกคาแรกเตอร์ที่จะอยู่อย่างยั่งยืน 

1. Clear Role & Purpose เป้าหมายการสร้างต้องชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะคาแรกเตอร์แบรนด์ 

คาแรกเตอร์ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินนั้นมักสร้างจากความต้องการส่วนตัว อาจไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายในการทำชัดเจนมากนัก แต่จะดีกว่าไหม หากเราตั้งเป้าหมายให้ชัดแต่แรกว่าน้องๆ ที่สร้างจะสื่อสารหรือพูดอะไรกับผู้คน เช่น อยากให้คนเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ อยากให้คนเห็นแล้วรู้สึกว้าว เพราะอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้คนจดจำคาแรกเตอร์ของเราได้ตั้งแต่แรกเห็น 

ขณะที่คาแรกเตอร์ที่สร้างเพื่อแบรนด์หรือองค์กร เป้าหมายการสร้างไม่ใช่ทางเลือก แต่คาแรกเตอร์ต้องมีเป้าหมายแน่ชัดว่าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร เรียกว่าไม่ใช่แค่สวย น่ารัก หรือตลก แต่ต้องมีหน้าที่ในเชิง ‘กลยุทธ์’ เช่น ทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้คนได้ อธิบายเรื่องที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่าย กระทั่งเป็นทูตสื่อสารแทนองค์กร

พิมพ์พิชายกตัวอย่างน้องเอนจี้ จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นทูตสื่อสารแทนองค์กร และพูดเรื่องเทคนิคเฉพาะทางที่จับต้องยากให้เข้าใจง่ายขึ้น ทำให้จากแต่เดิมที่ดูเป็นองค์กรขายไฟฟ้า ก็ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น และพูดเรื่องที่คนทั่วไปก็เข้าใจได้

2. Personality บุคลิกต้องชัด เพื่อให้คาแรกเตอร์นั้นเสมือนมีชีวิตจริง

ไม่ใช่แค่รูปร่างภายนอก แต่พิมพ์พิชามองว่าคาแรกเตอร์ที่ดีต้องมีบุคลิก มีอารมณ์ มีพฤติกรรมชัดเจน เพื่อให้คนที่เห็นรู้สึกว่าน้องเหล่านี้ดูเหมือนมีชีวิตจิตใจจริงๆ ในการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ตัวหนึ่งๆ ผู้สร้างจะต้องถามคำถามแบรนด์อย่างลงลึกว่าทั้งเพศ อายุ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ ไปจนถึงท่วงท่าในการเดินนั้นเป็นแบบไหน

“มันคือการสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาในหัว แล้วเราต้องเชื่อในตัวเขา” เธอบอกแบบนั้น พร้อมยกตัวอย่างปังปอนด์ คาแรกเตอร์แต่ดั้งแต่เดิมของขายหัวเราะที่เธอเปิดเผยว่าปังปอนด์ถูกปรับเปลี่ยนมาหลายเวอร์ชั่น จนสุดท้ายได้ออกมาเป็นเด็กชายขี้เล่นวัย 5 ขวบ ที่ชอบพูดกับหมาแมวและสิ่งของ มีโลกจินตนาการสูง และเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ 

3. Distinctive Visual ดีไซน์ต้องจำได้ ชนิดที่เห็นแค่เงาก็ร้องอ๋อ

อย่างที่บอกว่าคาแรกเตอร์เกิดขึ้นใหม่มากมาย การทำให้คาแรกเตอร์จำได้ง่ายๆ ตั้งแต่แรกเห็นจึงสำคัญ ซึ่งการทำให้จำง่ายนั้นก็ควรมีรายละเอียดไม่ซับซ้อน และต้องมี ‘จุดจำ’ ที่ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องสวยมากมาย แต่ต้องทำให้คนเห็นแค่เงาแล้วยังรู้ได้ว่าน้องคนนี้เป็นใคร

“ถ้าเห็นเงาแล้วคนยังจำไม่ได้ แสดงว่าไม่ผ่าน ต้องกลับไปดูดีไซน์ใหม่” ยกตัวอย่างโก๋แก่ ที่มีภาพของหนุ่มผมหยิก ใส่ชุดยูโด แค่หันหลังก็รู้ว่าใช่ ไปจนถึงเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่างปังปอนด์ที่มี ‘ผมสามเส้น’ เป็นเอกลักษณ์

4. Emotional Hook ถ้าไม่มี story backup รูปลักษณ์ก็ต้องกระแทกใจตั้งแต่แรกเห็น

จากประสบการณ์ พิมพ์พิชายังแชร์ว่าคาแรกเตอร์นั้นแบ่งเป็น 2 สาย คือสาย story แน่น เช่น Disney ที่สร้างจักรวาลตัวละคร มีภูมิหลัง ความสัมพันธ์ และรายละเอียดชัดเจน อีกสายคือ story ไม่ต้องละเอียดมากมาย แต่ขอให้น่ารัก โดนใจ เช่น Sanrio ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ว่าคิตตี้ไม่ใช่แมวแต่เป็นเด็กหญิง คนก็อยากพาน้องกลับบ้านตั้งแต่แรกเห็น

“ไม่มีผิดหรือถูก อยู่ที่ว่าต้องการผลลัพธ์แบบไหน story จะช่วยให้ยืนระยะได้ แต่ถ้าอยากให้คนชอบเลยตั้งแต่แรกเห็น visual ก็ต้องโดนจริงๆ” เธอยังยกตัวอย่างคาแรกเตอร์ไทยอย่างก๊อดจิที่มี story ชัดเจน สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของพลังงานในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำมัน ทำให้น้องก๊อดจิมีนิสัยร่าเริง สดใส เข้ากับคนง่าย ช่างสงสัย ชอบการผจญภัย และมีความใส่ใจเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม 

ก๊อดจิไม่ได้เป็นเพียงตัวการ์ตูน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับสัญลักษณ์ของ ปตท.ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการค้นพบแหล่งปิโตรเลียม ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ 

เรื่องเล่าที่ชัดเจนนี้เองทำให้น้องก๊อดจิไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจผู้คน แต่ยังมีเพจของตัวเองที่เล่าเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ดูไกลตัวให้คนสนใจได้

5. Character Management การบริหารคาแรกเตอร์ต้องแม่นยำและต่อเนื่องมากพอให้คนจดจำ

ไม่ใช่คาแรกเตอร์ทุกตัวจะอยู่ยั้งยืนยง หัวใจสำคัญจึงคือการบริหารคาแรกเตอร์ให้สื่อสารอย่างถูกต้องเพื่อให้ภาพจำไม่แกว่งและสื่อสารอย่างต่อเนื่องให้คาแรกเตอร์ไม่หายไปจากใจคน 

อย่างดิสนีย์ที่คาแรกเตอร์อยู่มาได้อย่างยาวนาน เพราะมีไบเบิลหรือตำราการบริหารคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนว่าตัวละครแต่ละตัวทำอะไรได้บ้าง และห้ามทำอะไร ยิ่งโดยเฉพาะคาแรกเตอร์แบรนด์ ผู้สร้างควรทำสไตล์ไกด์หรือวิธีการสื่อสารและใช้คาแรกเตอร์ให้แบรนด์นั้นๆ เพื่อให้การสื่อสารในแต่ละช่องทางไม่แกว่งไปมา เช่น ต้องใช้กับฟอนต์อะไร สีไหน

เธอยังอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นว่าคาแรกเตอร์บางตัวสร้างขึ้นมานานและอาจไม่เข้ากับความนิยมในยุคปัจจุบันอีกต่อไป แทนที่จะทิ้งคาแรกเตอร์เดิมไปเลย ทางออกอาจเป็นการทำให้คาแรกเตอร์นั้นมีลูกหลานซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของคาแรกเตอร์เดิมได้อยู่เพื่อสานต่อความรู้สึกของวันวาน ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน เช่น คาแรกเตอร์เดิมมีนิสัยขี้อาย แต่ปัจจุบันคนชอบให้คาแรกเตอร์เต้นได้ แทนที่จะทำลายภาพจำของคาแรกเตอร์เดิม ก็สร้างตัวลูกที่รักการเต้นขึ้นมาแทน

“สำคัญที่สุดคือเมื่อคาแรกเตอร์ถูกทำให้เป็นชุดมาสคอต เราไม่ควรให้คนเห็นจังหวะการถอดชุดหรือถอดหัวออกเลย เพราะนั่นคือการทำลายจินตนาการของคน”

6. Content Activation คาแรกเตอร์จะไปได้ไกล ต้องพาออกไปเจอผู้คน  

“คาแรกเตอร์ที่ดี ถ้าถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก มันไม่มีวันเกิดผล” เพราะในมุมของเธอนั้นคาแรกเตอร์ต้องมีชีวิตและต้องออกไปเจอคน ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีเอื้อให้เราพาคาแรกเตอร์ไปให้คนรู้จักได้หลากหลายช่องทาง 

เช่น ปังปอนด์ หนูหิ่น หรือคาแรกเตอร์ในจักรวาลขายหัวเราะก็ไม่จำกัดว่าจะต้องพูดคุยกับคนผ่านแอนิเมชั่นหรือหนังสือแบบเดิมเท่านั้น แต่ยังสามารถมีโซเชียลมีเดีย มีเพลง กิจกรรม หรือทำเป็นสติ๊กเกอร์ไลน์ได้ด้วย อย่างน้องเอนจี้ จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็ประสบความสำเร็จจากยอดดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ไลน์ที่แตะหลักล้าน 

7. Multi-window Expansion แตกไลน์สินค้าให้เข้าถึงทุกรูปแบบและสร้างรายได้จากหลายช่องทาง

เมื่อพูดถึงคาแรกเตอร์ หลายคนอาจนึกภาพเพียงตัวการ์ตูนในช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือในแอนิเมชั่น แต่ที่จริงแล้วนั้น จักรวาลคาแรกเตอร์แตกแยกย่อยออกไปได้หลายรูปแบบ ทั้งของเล่น เกม ธีมพาร์ก หรือแม้แต่การเป็นพรีเซนเตอร์ หรือลิขสิทธิ์ให้แบรนด์อื่นนำไปต่อยอด  

พิมพ์พิชายกตัวอย่าง Star Wars ที่แม้จะเป็นภาพยนตร์ดังระดับโลก แต่รายได้จากตัวหนังจริงๆ กลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่ารายได้รวมจากภาพยนตร์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายได้จากสินค้า  เช่น ของเล่น เสื้อผ้า ของสะสม และลิขสิทธิ์ต่างๆ สูงกว่ามาก โดยมีมูลค่ารวมระหว่าง 32,000-42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่ารายได้จากภาพยนตร์ถึง 3-4 เท่า 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังทางธุรกิจของลิขสิทธิ์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนจอ แต่ยังขยายสู่สินค้าที่จับต้องได้ และกลายเป็นรายได้หลักของจักรวาล Star Wars อย่างแท้จริง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของกลยุทธ์สร้างแบรนด์ผ่านคาแรกเตอร์ที่นอกจากจะสร้างการรับรู้ให้คนหลายกลุ่ม ก็ยังทำให้แบรนด์เติบโตในระดับโลกได้ยาวนานหลายทศวรรษ  

คาแรกเตอร์หลายตัวดังจากความน่ารัก บางตัวดังจากลีลาการเต้น บ้างก็โด่งดังจากความตลก แต่นอกไปจากนั้น ก็ยังมีคาแรกเตอร์อีกหลายตัวนักที่อาจยังไม่เป็นที่รู้จัก สะท้อนให้เห็นว่าการจะปั้นคาแรกเตอร์ขึ้นมานั้นบางครั้งก็ไม่ใช่โชค แต่มีเบื้องหลังการสร้างที่ละเอียดทุกดีเทล

ส่วนใครอยากทำความรู้จักคาแรกเตอร์ไทยมากขึ้น ชวนไปจอยที่ Character Fest Thailand 2025 วันที่ 14-17 สิงหาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

อ้างอิง