7 สเตปที่ทำให้ Birkenstock แปลงโฉมจากรองเท้าฮิปปี้ที่คนไม่เอา สู่แฟชั่นที่คนเท่และสายลักชูฯ ต้องมีติดบ้าน 

เชื่อว่า Birkenstock น่าจะเป็นหนึ่งในรองเท้าแตะยอดนิยมของใครหลายคน ด้วยดีไซน์ที่เรียบแต่มีอะไร แถมยังใส่สบายแบบที่ผู้ใช้งานพร้อมโฆษณาให้ปากต่อปาก ชนิดที่ Birkenstock ติดท็อป 5 ของแบรนด์รองเท้าระดับโลก

86% ของผู้ซื้อ Birkenstock ยังกลายเป็น loyalty customer ที่ต้องการกลับมาซื้อซ้ำ และรูปลักษณ์ยังโดนใจคนทุกกลุ่ม ด้วยสัดส่วนมิลเลนเนียล 31%, เบบี้บูมเมอร์ 30%, เจนฯ X 27% และเจนฯ Z 12% ความน่าสนใจคือแม้ฐานลูกค้าของแบรนด์จะเป็นผู้หญิงกว่า 72% แต่ชัดเจนว่า Birkenstock ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัย

แต่เชื่อไหมว่ารองเท้าแตะสัญชาติเยอรมันอายุ 250 ปีนี้ เคยเป็นรองเท้าที่หลายคนไม่เอา และกว่าจะพลิกภาพลักษณ์จนได้มงในวันนี้ก็เหนื่อยใช่ย่อย Capital List ตอนนี้จึงสรุป 7 สเตปที่ทำให้ Birkenstock แปลงโฉมจากรองเท้าฮิปปี้ที่คนไม่เอา สู่แฟชั่นที่คนเท่และสายลักชูฯ ต้องมีติดบ้านมาคลายความสงสัย

อ้อ! แต่ถ้าใครอยากลงลึกเรื่องราวของแบรนด์เข้าไปอ่านเรื่องราวแบบจัดเต็มได้ที่ capitalread.co/birkenstock หรือ capitalread.co/biztory-birkenstock

1. Fussbett Comfort พื้นรองเท้าเอกสิทธิ์ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาเท้าให้ผู้คน

Birkenstock เริ่มพัฒนาพื้นรองเท้าแบบ Fussbett หรือ footbed ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Konrad Birkenstock ได้ออกแบบพื้นรองเท้าภายในที่เลียนแบบรูปทรงธรรมชาติของเท้ามนุษย์ ใช้วัสดุหลักเป็นไม้ก๊อกที่มีความยืดหยุ่นและระบายอากาศดีเยี่ยม ในปี 1963 รุ่นแรกอย่าง Madrid ถูกเปิดตัว โดยพื้นรองเท้านี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะกับเท้าทุกประเภท

Fussbett ช่วยให้รองเท้า Birkenstock ไม่เพียงแต่สวมใส่สบาย แต่ยังช่วยแก้ปัญหาเท้า เช่น การกระจายน้ำหนักและลดแรงกระแทก ทำให้รองเท้าได้รับความนิยมผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปากมาจนถึงปัจจุบัน

2. Versatile Design ดีไซน์ที่ใส่ได้ทุกโอกาส ตั้งแต่วันสบายๆ ไปจนถึงลุคเท่แบบไม่ต้องพยายาม

จากงานวิจัย Understanding Birkenstock Footwear: A Laddering Study โดย ชัชวาล เกษมรุ่ง พบว่านอกจากรองเท้าจะสวมใส่สบายแล้ว หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจซื้อ Birkenstock คือดีไซน์ที่ใส่ได้ทั้งในวันสบายๆ และวันที่ต้องการลุคแบบ business casual ทั้งยังให้ลุคเก๋ เท่แบบไม่ต้องพยายาม

3. Targeted Marketing การตลาดถูกจุดจนพลิกเกมให้มีที่ยืน

ในอดีต Birkenstock เป็นแบรนด์รองเท้าที่คนมองว่าไม่สวยงาม แถมดีไซน์ยังยูนิเซ็กซ์เกินไป ไม่เหมาะกับยุคสมัยที่ชายหรือหญิงจะใส่รองเท้าที่บอกเพศของตน นอกจากนั้น การใส่รองเท้าแตะออกจากบ้านยังไม่ใช่เรื่องปกติที่คนทั่วไปจะทำในตอนนั้น

ถัดมาอีกหน่อย เมื่อได้นำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาก็ถูกมองว่าเป็นรองเท้าฮิปปี้สายกบฏ กว่าจะได้รับความนิยมก็ช่วงที่ดาราเซเลบหยิบ Birkenstock มาใส่ พร้อมกับการที่แบรนด์ออกรองเท้ารุ่นใหม่ๆ ที่ทำให้คนมีตัวเลือกมากขึ้น นั่นทำให้แบรนด์เริ่มมองเห็นลู่ทางของการเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเองมาสู่รองเท้าสวมใส่สบายที่สายแฟก็ใส่ได้

หลังจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เปลี่ยนไป Birkenstock เริ่มวางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม ราคาที่สูงสะท้อนถึงวัสดุที่มีคุณภาพ งานฝีมือ และความทนทาน แบรนด์ยังเน้นการตลาดที่สื่อสารให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อสุขภาพเท้า 

4. Global Partnerships การคอลแล็บและพาร์ตเนอร์ที่ช่วยขยายฐานแฟนไปทั่วโลก

เมื่อแบรนด์เริ่มได้รับความสนใจในแวดวงแฟชั่น จากแต่เดิมที่แบรนด์ไม่เคยให้คนนอกเข้ามายุ่งเรื่องดีไซน์ ก็ได้เชิญ Marc Jacobs มาเป็นผู้ออกแบบให้แบรนด์ หลังจากนั้น Birkenstock ก็เปิดตัวว่าร่วมงานกับโมเดล Heidi Klum 

จุดเปลี่ยนอีกครั้ง คือในปี 2013 เมื่อ Phoebe Philo ได้นำ Birkenstock รุ่น Arizona มาติดขนมิงก์ จนคนเรียกว่า ‘furkenstocks’ นั่นเองที่ทำให้ Birkenstock ได้รับผลดีไปด้วย และตัดสินใจร่วมงานกับกลุ่มและแบรนด์หรูยักษ์ใหญ่อย่าง Valentino, Proenza Schouler, Dior และ Manolo Blahnik ปัจจุบัน Birkenstock ยังมีคอลเลกชั่นที่คอลแล็บมากมาย นอกจากได้ฐานลูกค้าเพิ่ม ยังสร้างการซื้อซ้ำได้อีกด้วย

5. Omnichannel Experience ประสบการณ์ช้อปแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ยังคงเป็นเรื่องจริงที่การเลือกรองเท้าที่หน้าร้านย่อมทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้มากกว่า นั่นทำให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 แบรนด์วางแผนเพิ่มจำนวนสาขามากขึ้น ด้วยเห็นว่าผู้บริโภคหันกลับมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริง หรือการจับ และลองจริงในร้าน

ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่องทางออนไลน์สำคัญต่อการเติบโตของแบรนด์ไม่น้อย ในปี 2015 หรือเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว แบรนด์ได้ก่อตั้ง Birkenstock Digital GmbH ขึ้นเพื่อลุยช่องทางขายออนไลน์โดยเฉพาะทั้งเว็บไซต์ใหม่ แอพฯ มือถือ รวมถึงการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ เป็นข้อดีให้ในช่วงโควิด-19 ที่ไลฟ์สไตล์ผู้คนเปลี่ยนไป คือต้องการความสบายมากขึ้นเมื่ออยู่บ้าน ทำให้ยอดขายแบรนด์พุ่งกระฉูด

นั่นเองจึงเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อปี 2020 ยอดขายออนไลน์ของแบรนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายที่สูงขึ้นนี้มาพร้อมกับการออกแบบประสบการณ์การซื้อที่ดี เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานง่าย มีบริการจัดส่งฟรีและการคืนสินค้า สิ่งที่น่าสนใจคือตามข้อมูลของ Reichert เมมเบอร์ของ Birkenstock ในช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 36% จากปีที่แล้ว รวมเป็น 6.9 ล้านราย ทั้งยังมีแนวโน้มใช้จ่ายมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ถึง 25%

นอกจากช่องทางการขายแล้ว แบรนด์ยังเน้นการทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ที่บอกเล่าจุดเด่น รวมถึงเรื่องราวของแบรนด์ ไม่ว่าจะความสบาย ความเป็นธรรมชาติ ไลฟ์สไตล์ เบื้องหลังการผลิตที่ทำให้คนรู้สึกเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น ไปจนถึงความยั่งยืนของแบรนด์ 

6. Eco-conscious Creation ความยั่งยืนและธรรมชาติเป็นที่หนึ่ง

Birkenstock เป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาก ตั้งแต่วัสดุที่เลือกใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำไปรีไซเคิลต่อได้ง่าย เช่น ไม้ก๊อกที่ได้จากต้นโอ๊ก ซึ่งเก็บเกี่ยวได้โดยไม่ทำลายต้นไม้ และเป็นวัสดุรีไซเคิลได้ง่าย การเลือกใช้หนังคุณภาพสูงจากแหล่งที่ยั่งยืน ลดการใช้น้ำและไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย

ในแง่การผลิต ด้วยโรงงานของแบรนด์ตั้งอยู่ในยุโรปที่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสูงอยู่แล้ว ทำให้รองเท้าแต่ละคู่ผลิตด้วยกระบวนการที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ วัสดุเหลือใช้ยังมักถูกนำกลับมาใช้ใหม่

และอย่างที่รู้กันดี สิ่งที่ทำให้คนแนะนำ Birkenstock กันปากต่อปาก ไม่เพียงเป็นเรื่องความสบาย แต่ยังเพราะรองเท้าแต่ละคู่นั้นทนทานใช้งานได้นาน จึงช่วยลดการซื้อรองเท้าใหม่บ่อยๆ ได้ ที่สำคัญ รองเท้าหลายรุ่นของแบรนด์ยังส่งซ่อมได้

7. Craftsmanship Heritage มาตรฐานความคราฟต์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นสู่การตลาดแบบปากต่อปาก 

อายุอานาม 250 ปีของแบรนด์ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่บอกความเก่าแก่ แต่ยังบอกถึงความคราฟต์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพราะบรรพบุรุษของ Birkenstock นั้นคือ Johannes Birkenstock ช่างทำรองเท้าระดับปรมาจารย์ ก่อนจะส่งต่อความตั้งใจในการผลิตรองเท้าที่ดีและทนทานมายังรุ่นหลานๆ ที่พยายามผลักดันการผลิตรองเท้าที่เหมาะกับการเดินจริงๆ

หนึ่งในคำสำคัญคือของแบรนด์คือ ‘Naturgewolltes Gehen’ ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Natural Walking’ หรือ ‘Walking as Nature Intended.’ ซึ่งแบรนด์ยึดถือเป็นปรัชญาสำคัญที่ต้องออกแบบรองเท้าที่ช่วยให้ผู้สวมใส่เดินในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการเดินตามธรรมชาติมากที่สุด ผ่าน footbed ที่เลียนแบบการเดินเท้าเปล่าบนพื้นธรรมชาติ เน้นการกระจายน้ำหนัก และช่วยให้เท้าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

แม้ปัจจุบัน แบรนด์จะไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัว Birkenstock โดยตรงแล้ว แต่อยู่ภายใต้เครือ LVMH ตั้งแต่ปี 2021 Birkenstock ก็ยังคงเน้นคุณค่าของฝีมือการผลิตที่บางส่วนยังคงเน้นการผลิตด้วยมือ ทั้งฐานการผลิตที่ยังมุ่งเน้นการผลิตในเยอรมนีเป็นหลัก 

การอยู่ในเครือ LVMH นั้นก็เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ในระดับโลกนั่นเอง เพราะเมื่อเดือนตุลาคม 2023 แบรนด์ได้ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแม้ในวันแรกของการซื้อ-ขาย ราคาหุ้นจะต่ำกว่าราคา IPO ถึง 11% แต่ก็เป็นอีกก้าวสำคัญของแบรนด์ในการขยายธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกนั่นเอง

อ้างอิง

ฉลองเทศกาลแห่งความสุขที่ เกทเวย์ เอกมัย กับแคมเปญคริสต์มาสส่งท้ายปีด้วยสิทธิพิเศษมากมาย และกิจกรรมจัดเต็มสำหรับทุกวัย

ฤดูเฉลิมฉลองแห่งการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่แบบนี้เป็นช่วงเวลาสุดพิเศษที่ศูนย์การค้าหลายแห่งต่างเนรมิตเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อย่างอลังการ สร้างบรรยากาศที่เปื้อนรอยยิ้มและอบอวลไปด้วยความสุขให้แก่ผู้ที่แวะเวียนมาเดินเล่น เช่นเดียวกับศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย ที่จัดงานเทศกาลแห่งความสุขในทุกสิ้นปี และปีนี้ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซปต์ ‘The Season of Happiness 2025’ 

ความพิเศษของงานปีนี้คือแลนด์มาร์กต้นคริสต์มาสยักษ์สูง 12 เมตร หน้าศูนย์การค้าที่ประดับไฟทั่วทั้งต้นพร้อมกับของขวัญสุดพิเศษแทนคำขอบคุณสุดประทับใจ  เติมเต็มสีสันด้วยขบวนพาเหรดแห่งความสุขโดยซานตาคลอสและผองเพื่อน, โชว์เอกซ์คลูซีฟจากศิลปินชื่อดัง ‘มิกซ์ สหภาพ’ และ ‘อัพ ภูมิพัฒน์’, คณะนักร้องประสานเสียง ‘Christmas Carols’, มาสคอตคาแร็กเตอร์คริสต์มาสสุดน่ารักขวัญใจเด็กๆ และคนไทยทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมพิเศษระหว่างวันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2567 และยังปิดท้ายด้วยกิจกรรมหมุนเวียนตลอดช่วงเทศกาลที่ชั้น M รวมถึงสิทธิพิเศษมากมายจากการช้อปสินค้าตลอดช่วงเวลาที่จัดแคมเปญฯ 

เบื้องหลังงานเทศกาลที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2024 – 5 มกราคม 2025 นี้ คุณนาตยา ศันสนรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของศูนย์การค้าที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งต่างมุ่งแข่งขันเป็นสถานที่เคานต์ดาวน์ที่โดดเด่นที่สุด เกทเวย์ เอกมัยกลับวางโพซิชั่นได้อย่างแตกต่างและน่าสนใจ นั่นคือการเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่พร้อมต้อนรับทุกท่าน ได้เข้ามาใช้เวลาไปกับร้านค้าและบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทุกกลุ่ม ทุกวัยได้ในทุกๆ วัน

– ศูนย์การค้าที่อยากเป็น ‘A Harmonic of Identity’ พื้นที่ฉลองความสุขให้คนทุกกลุ่ม 

อินไซต์ที่น่าสนใจของศูนย์การค้าแห่งนี้จากคุณนาตยาคือการมีลูกค้าหลายกลุ่ม ด้วยโลเคชั่นย่านเอกมัยที่เดินทางเข้าถึงง่าย ล้อมรอบด้วยคอนโด ย่านที่อยู่อาศัยและสำนักงาน เป็นจุดแวะพักของการเดินทาง อีกทั้งยังไม่ไกลจากสนามบิน ทำให้มีทั้งลูกค้าชาวต่างชาติกลุ่ม expat ครอบครัว นักเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เกทเวย์ เอกมัย เน้นจุดแตกต่างที่มีการนำเสนอร้านค้าและบริการหลายแบบและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งที่ช้อปปิ้ง พักผ่อน ทานอาหาร สุขภาพความงาม และ ศูนย์การเรียนรู้ครบวงจร พื้นที่สำหรับเด็กที่มีซิกเนเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น สวนสนุกเพลย์กราวนด์ขนาดใหญ่อย่าง Kidzooona และ HarborLand และที่อยากแนะนำทุกท่าน ในปลายปีนี้ ทุกท่านจะได้สนุกกับ Anchor ใหม่ของเรา คือ WARPOINT : Virtual Reality Park ซึ่ง WARPOINT เป็น International VR Game ที่เปิดมาแล้ว 15 ประเทศทั่วโลก และจะมาเปิดกับเราเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่เกทเวย์ เอกมัย

คุณนาตยาเล่าว่าจากการจัดงานเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ทำให้เข้าใจว่าลูกค้าประจำที่มาเดินเล่นที่นี่อยากเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลด้วยการหาที่แฮงเอาต์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่ม จึงเป็นที่มาที่ไปในการออกแบบกิจกรรมในแคมเปญ ‘The Season of Happiness 2025’ ให้มีต้นคริสต์มาสและไฟประดับเพื่อคนรักการถ่ายภาพ กิจกรรมพบดาราขวัญใจวัยรุ่นชื่อดังเพื่อเอาใจด้อมวัยรุ่นสาย Y ที่กำลังมาแรง และไม่ลืมการสร้างสีสันด้วยขบวนพาเหรดและการแสดงดนตรีให้กลุ่มครอบครัวและเด็ก

– กลยุทธ์ Festive Promotion จากการสร้างความร่วมมือและสัมพันธ์อันดีกับร้านค้า

มาตรวัดความสำเร็จหนึ่งของศูนย์การค้าคือการมีผู้เช่าที่อยู่คู่กับศูนย์การค้ามาอย่างยาวนาน โดยคุณนาตยากล่าวว่าหลายร้านเชื่อใจในเราอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีและได้รับความร่วมมือจากร้านค้าแทบทั้งหมด การสร้างความสัมพันธ์อันดีมาเป็นเวลายาวนานนี้เองที่ทำให้เมื่อถึงช่วงเวลาเทศกาลที่จัดแคมเปญและกิจกรรมพิเศษสามารถขอความร่วมมือกับร้านค้าเพื่อจัดเต็มในการนำเสนอโปรโมชั่น เช่น ส่วนลดสูงสุด 60% จากร้านค้าในศูนย์การค้า ของขวัญพรีเมียมสุดน่ารัก และส่วนลดกับสิทธิพิเศษต่างๆ

– เตรียมเริ่มต้นปี 2025 ด้วยการเปิดบริการ ‘FOOD LOUNGE’ HUB แห่งใหม่ของนักชิม

เมื่อถามถึงแผนพัฒนาศูนย์การค้าฯ ในอนาคตอันใกล้ เกทเวย์ เอกมัยมีแผนพัฒนาพื้นที่ FOOD LOUNGE ที่ชั้น 4  ซึ่งลูกค้าจะได้พบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของพื้นที่นั่งทานอาหารในรูปแบบสไตล์ลักชูรี โดยเฉพาะร้านอาหารที่คัดสรรมานั้น เราเน้นชูความมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละร้านของรสชาติอาหาร  วัตถุดิบ และกรรมวิธีการปรุงอาหาร เพื่อส่งต่อประสบการณ์ทานอาหารของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการให้เกิดความประทับใจระหว่างมื้ออาหารได้ตลอดทั้งวัน  ทั้งหมดนี้มาจากอินไซต์ที่มีลูกค้ามาใช้บริการร้านอาหารภายในศูนย์การค้าเยอะในแต่ละวันและร้านอาหารเหล่านี้มีความโดดเด่นและโอกาสในการเติบโตสูง ซึ่งขณะนี้ Food Lounge แห่งใหม่อยู่ในเฟสแรกที่กำลังดำเนินการอยู่และพร้อมเปิดให้ใช้บริการอย่างเต็มรูปแบบในต้นปี 2025 นี้

นอกจากแคมเปญพิเศษในช่วงเทศกาล ตลอดจนพื้นที่พัฒนาใหม่อย่าง Food Lounge แล้ว แผนการพัฒนาของเรา ได้มุ่งไปสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัยได้ครบทุกกลุ่ม อาทิ พื้นที่สำหรับกลุ่มลูกค้า Family& Kid อย่างพื้นที่เพลย์กราวนด์ ที่ชั้น 4 , พื้นที่สำหรับกลุ่มพนักงานออฟฟิศ โดยจัดโซนนิ่ง นั่งพักผ่อน, co-working space และพื้นที่สีเขียว ภายในศูนย์การค้า หรือเอาใจกลุ่มแม่บ้านกับพื้นที่โซน Take Home ที่ชั้น G ทั้งหมดนี้ที่เราคำนึงถึงก็เพื่อเพิ่มพื้นที่ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติให้ได้มากที่สุดแก่ลูกค้าของเรา โดยหัวใจสำคัญในการสร้างแบรนด์ศูนย์การค้าให้เป็นสถานที่แห่งความสุขที่คุณนาตยากล่าวทิ้งท้ายไว้คือความตั้งใจอยากส่งต่อความสุขให้ลูกค้าเพื่อตอบแทนคำขอบคุณในทุกสิ้นปี ดังเช่นแคมเปญ ‘The Season of Happiness 2025’ ที่อยากชวนทุกคนมาใช้เวลาในบรรยากาศแห่งความสุขด้วยกันนั่นเอง 

สิทธิพิเศษจากแคมเปญ The Season of Happiness 2025

ในช่วงเวลาแห่งความสุขนี้  ศูนย์การค้าได้จัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อมอบสิทธิพิเศษมากมายให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในช่วงที่จัดแคมเปญ  โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

ต่อที่ 1 : ช้อปครบ รับฟรี! หมอนจุ่ม Happiness Plush Pillow : Santa & Friends มูลค่า 690 บาท กินหรือช้อปภายในศูนย์การค้าฯ ครบ 5,000 บาทขึ้นไป (สามารถสะสมใบเสร็จได้ 3 ใบเสร็จ) รับฟรี หมอนตุ๊กตา  Happiness Plush Pillow : Santa & Friends  มูลค่า 690 บาท (จุ่มเลือก 1 ชิ้น)
จำกัด 1 ท่าน / 1 สิทธิ์ / วัน, จำกัด 1,000 สิทธิ์ตลอดรายการ

ต่อที่ 2 : 7 Days Special! ช้อปเพิ่ม รับเพิ่ม! Milky & Friends Jewelry Box มูลค่า 899 บาท   

ตั้งแต่วันที่ 19-25 ธันวาคม 2567 กินหรือช้อปภายในศูนย์ฯ ครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สามารถสะสมใบเสร็จได้ 3 ใบเสร็จ) รับเพิ่ม กล่อง Gift set : Milky & Friends Jewelry Box ลิขสิทธิ์แท้จากดิสนีย์ มูลค่า 899 บาท 1 ชิ้น จำกัด 1 ท่าน / 1 สิทธิ์ / วัน  จำกัด 10 ท่านแรกต่อวัน รวม 70 สิทธิ์ ตลอด 7 วัน

ต่อที่ 3 : สิทธิพิเศษจากสมาชิกบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตกสิกรไทย : 26 พฤศจิกายน 2567 - 5 มกราคม 2568 (41 วัน) รับเครดิตเงินคืน 10% ทุกยอดใช้จ่าย เมื่อใช้คะแนน K Point แลกเท่ายอดซื้อ (ไม่จำกัดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ และ ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแลกเครดิตเงินคืน) 

สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC : 26 พฤศจิกายน 2567 - 5 มกราคม 2568 (41 วัน) แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต KTC กับร้านค้าภายในศูนย์การค้า และลงทะเบียนใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป

วิธีสร้างซาวด์สตูดิโอชั้นนำของ ‘ณภัทร-ณ ปุญญ์’ คู่รักเจ้าของ Tree Recording Studio 

หากชอบสิ่งใดสิ่งนั้นจะนำพาเราไปจนสุดทาง ประโยคคลาสสิกนี้ยังคงใช้ได้เสมอกับคนที่มีเป้าหมาย หรือรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไร้ข้อแม้ เหมือนดังกรณีของ ‘ต้น–ณภัทร และณ ปุญญ์–ขวัญกมล ขาวไพศาล’ เมื่อวงการซาวด์ทำให้พวกเขาได้รู้จักและกลายมาเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน

ใครที่อยู่ในวงการ sound engineer น่าจะรู้จักณภัทรเป็นอย่างดี ถึงฝีมือเทคนิคการควบคุมซาวด์อันช่ำชองไม่ว่าจะ mixing หรือ mastering ทั้งยังผ่านการทำงานกับ sound studio หลายเจ้าในสหรัฐฯ ไต้หวัน และไทย จนได้รับรางวัล Golden Melody Awards ซึ่งดีกรีเหล่านี้มาจากการฝึกปรือศาสตร์ความรู้จากวิทยาลัย Berklee College of Music สาขา Music Production and Engineering ณ เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์

‘ต้น–ณภัทร และณ ปุญญ์–ขวัญกมล ขาวไพศาล’

ส่วนคนที่ติดตามภาพยนตร์ ซีรีส์ และอนิเมะก็น่าจะคุ้นเคยกับเสียงของขวัญกมล อาทิ บทบาทของอูยองอู ทนายอัจฉริยะ จากซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo, คูโจ โจลีน จากอนิเมะเรื่อง Jojo’s Bizarre Adventure และนามิ จากซีรีส์ One Piece ฉบับ Netflix ซึ่งไม่ว่าจะบทบาทไหนเสียงของเธอล้วนเข้ากับตัวละครและสะกดคนดูอยู่หมัด

ปัจจุบันณภัทรและขวัญกมลได้ปลูก sound studio เล็กๆ แต่อบอุ่นหลังหนึ่งย่านเพชรเกษม ที่มีชื่อว่า ‘Tree Recording Studio’ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของทั้งคู่ที่อยากยกระดับวงการ sound studio ในบ้านเราให้มีมาตรฐานเทียบเท่าต่างประเทศ 

บ้านหลังสีเหลืองโดดเด่นสะดุดตา ภายในแบ่งสัดส่วนห้องอัดเสียงชัดเจน อุปกรณ์ทุกชิ้นตั้งแต่ไมค์จนถึงแผงคอนโทรล ทุกตารางนิ้วล้วนมาจากความใส่ใจ และความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในวงการซาวด์ที่สั่งสม

แต่อย่างที่ว่าปลูกต้นไม้ยังต้องใช้เวลากว่าจะผลิดอกสวยงาม สตูดิโอแห่งนี้ก็เช่นกัน นอกจากการใช้ชีวิตคู่ ทุกๆ วันของณภัทรและขวัญกมลคือการก่อร่างสร้าง Tree Recording ให้เติบโตอย่างมั่นคง แต่จะด้วยวิธีไหน และผูกโยงกับความสัมพันธ์ในฐานะคู่รักยังไงนั้น คงต้องให้เขาและเธอเป็นคนเล่าน่าจะดีที่สุด

‘ต้น–ณภัทร และณ ปุญญ์–ขวัญกมล ขาวไพศาล’

พวกคุณรู้จักและกลายมาเป็นคู่รักได้ยังไง

ต้น : ต้องย้อนไปถึงโปรเจกต์นั้นเนอะ

ณ ปุญญ์ : ก็คือตอนนั้นเรารับพากย์เป็นตัวละครที่มีชื่อว่า จิโร่ เคียวกะ ในการ์ตูนเรื่อง ‘My Hero Academia’ ทีนี้มีตอนหนึ่งที่ตัวละครจิโร่จะต้องร้องเพลงในงานโรงเรียน เพลงนั้นมีชื่อว่า Hero Too ซึ่งคุณนพ (ธนพ ตันอนุชิตติกุล เจ้าของ Cartoon Club) กับพี่ปลาย (พิพัฒน์ บุญสิทธิเลิศ) ที่เป็นผู้กำกับพากย์ไทยเขาอยากให้ทำเพลงนี้เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย

ต้น : เรียกว่าเป็นจังหวะบังเอิญพอดีกับพี่ที่เรารู้จักกำลังหาคนดูแลโปรเจกต์นี้ สุดท้ายเราก็เลยได้งานโปรดิวซ์ให้กับโปรเจกต์ Hero Too ไป แล้วก็ได้มาเจอกับปุญญ์ ก็เริ่มทำความรู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น

เหตุผลที่พวกคุณอยากสร้าง sound studio เป็นของตัวเองคืออะไร

ต้น : ต้องย้อนกลับไปช่วงที่เรากำลังคบกับปุญญ์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งคลายล็อกดาวน์จากโควิด-19 หลายคนอาจจะยังเลือกเวิร์กฟรอมโฮม แต่ด้วยสายงานของเราที่เป็นซาวด์เอ็นจีเนียร์ ธรรมชาติของมันคือต้องเอาคนมานั่งทำงานด้วยกันงานถึงจะมีประสิทธิภาพ ก็เลยจำเป็นต้องพาคนมานั่งทำงานด้วยที่บ้าน มันเลยกลายเป็นปัญหาว่า ครอบครัวของเราเขากังวลเรื่องความแออัด กลัวจะแพร่เชื้อโรคติดต่อกัน ทางปุญญ์เขารู้ถึงปัญหาก็เลยเสนอว่า งั้นมาสร้างสตูดิโอของเราเองดีไหม

ณ ปุญญ์ : คือเมื่อก่อนคุณแม่เคยเปิดกิจการโรงเรียนประถม พอถึงจุดหนึ่งท่านก็ถามเราว่าสนใจรับช่วงต่อไหม เราก็คิดในใจว่าอย่างฉันเนี่ยนะจะบริหารโรงเรียนหรือสอนใครได้ (หัวเราะ) สุดท้ายโรงเรียนเลยปิดตัวลง แต่เราก็ไม่อยากให้พื้นที่ตรงนี้สูญเปล่า ผนวกกับเราเห็นศักยภาพในตัวต้นตั้งแต่ตอนทำงานด้วยกัน ก็เลยตัดสินใจถามต้นว่า งั้นเราสร้างสตูดิโอเป็นของเราเองไหม ดูเดินทางสะดวก มีที่นอน รถไม่ติด น้ำไม่ท่วม 

ต้น : ใจจริงเรามีแพลนอยากสร้างห้องอัดเสียงเป็นของตัวเองตั้งแต่เมื่อ 10 ปี ก่อน แต่การจะเป็นเจ้าของห้องอัดสักห้องมันมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ก็เลยรอโอกาสเรื่อยมา จนกระทั่งปุญญ์เขายื่นข้อเสนอมาก็เลยตอบตกลงทันที

ณ ปุญญ์ : เรียกฉันว่านางฟ้าแม่ทูนหัว (หัวเราะ)

Tree Recording Studio

ทำไมถึงตั้งชื่อว่า Tree Recording Studio

ณ ปุญญ์ : มาจากที่เธอชื่อต้นหรือเปล่า

ต้น : ไม่เกี่ยว (หัวเราะ) เหตุผลคือเราชอบคำว่า ‘ต้นไม้’ ซึ่งต้นไม้มันให้ความรู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นร่มเงาที่พักพิง แล้วเราก็หยิบคอนเซปต์ตรงนี้มาตั้งเป็นชื่อห้องต่างๆ อย่างห้อง mixing ก่อนหน้านี้ก็ตั้งชื่อว่า seed ที่แปลว่าเมล็ดพันธุ์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมจะเติบโตเป็นต้นไม้ในวันข้างหน้า

ในหัวพวกคุณวางแผนให้ sound studio นี้ออกมาเป็นยังไง

ต้น : ถ้าเอาเรื่องตัวสถานที่ก่อนเลย เราคิดว่าต้องเป็นสตูดิโอที่มีความยืดหยุ่น ยืดหยุ่นที่ว่าคือสามารถรองรับงานได้หลายประเภท หลายคนอาจจะคิดว่าห้องอัดเสียง ต้องอัดแค่ดนตรีอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงมันสามารถปรับเลย์เอาต์ของห้องให้เข้ากับคาแร็กเตอร์งานได้ เช่น งานเพลงประกอบหนังก็เชตเป็นแบบหนึ่ง งานที่อัดเสียงวงดนตรีก็เป็นอีกแบบหนึ่ง 

คือเป็นห้องอัดที่มีความยืดหยุ่นสูง และคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะแค่มีสายไฟกับสายสัญญาณต่างๆ ลากไขว้ระเกะระกะก็ไม่ถือเป็นห้องอัดที่ดีแล้ว ส่วนปัจจัยอื่นๆ อย่างพวกอุปกรณ์ก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง ขอแค่มีคุณภาพดี ใช้แล้วไม่พังง่ายก็พอ 

ณ ปุญญ์ : ถ้าเกิดในมุมมองของเราที่มีอาชีพเป็นนักพากย์ สิ่งที่เราอยากขอมากที่สุดคือขอให้เป็นห้องอัดที่ทำความสะอาดง่าย เพราะเท่าที่เคยเจอมา ห้องอัดส่วนใหญ่จะค่อนข้างอับ มีฝุ่นเยอะ ซึ่งเราเป็นภูมิแพ้ พอพากย์เสียงไปประมาณแค่ 10 กว่านาทีจมูกก็ตัน ทำให้พากย์งานต่อไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องของการ maintenance ดูแลความสะอาดจะต้องให้ความสำคัญมากพอๆ กัน

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกคุณว่า อย่างเช่นเรื่องสายไฟระเกะระกะมักเป็นสิ่งที่หลายสตูดิโอมักมองข้าม

ณ ปุญญ์ : ใช่ ความจริงมันสำคัญมาก อีกอย่างคือถ้าเรามีระบบจัดการที่ดี ก็จะใช้งานพื้นที่ได้ในระยะยาว และลดเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ด้วย

ต้น : จากที่เราเจอห้องอัดระดับโลกในสหรัฐฯ มาเยอะ ทั้งแบบระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับใหญ่โตทำให้เรารู้ว่า เขาจะเน้นเรื่องมาตรฐานการจัดวางสถานที่ภายในให้คนทำงานทำงานสะดวก แต่สตูดิโอในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องพวกความสวยงาม ซึ่งไม่จำเป็นสักเท่าไหร่นักในการใช้งาน

ดังนั้นการหาจุดร่วมที่ดีที่สุดของ Tree Recording มักมาจากการแชร์ pain point ของสิ่งที่พวกคุณเจอในสายอาชีพ

ณ ปุญญ์ : ใช่ เราจะคุยกันตลอดว่า เธอ ฉันไปทำงานแล้วเจอปัญหาแบบนี้มา อย่างเรื่องฝุ่น เรื่องกลิ่น เราก็จะเอาปัญหาที่เราเจอมาคุย เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด

ต้น : ในมุมการทำงานของเราจะไม่ได้ลงลึกพวกเรื่องงานพากย์ งานที่เราทำส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพวกดนตรี หรือซาวด์ประกอบภาพยนตร์ งานแต่ละประเภทมันมีความต้องการแตกต่างกันไป  เราเลยเลือกที่จะรับฟังสิ่งที่เขาเจอ แล้วเอามารวบรวมดูว่าสามารถแก้ไขยังไงได้บ้าง

หาข้อสรุปกันนานไหม กว่าจะได้ sound studio แบบที่เห็นในตอนนี้

ต้น : โห มานั่งคิดดูกว่าจะตกผลึกแปลนพื้นที่ออกมาได้ก็ใช้เวลาร่วมปี 

ณ ปุญญ์ : เรายอมเสียเวลาเพื่อให้มันราบรื่นในระยะยาว แต่ถือเป็นความโชคดีเหมือนกัน เพราะก่อนที่ต้นจะไปเรียนต่อที่ Berklee College of Music เขาเรียนจบคณะวิศวะฯ จากจุฬาฯ ทีนี้พอจบด้านวิศวะฯ ทำให้เขาตัดสินใจลงมือออกแบบแปลนเอง โดยวางแปลนให้สถานที่จัดการง่าย ซ่อมง่ายที่สุด อย่างเช่นห้องน้ำ ก็แบ่งสัดส่วนให้อยู่ที่เดียวกันทั้งชั้นบนชั้นล่าง พอเวลาเกิดน้ำรั่วก็จะสามารถจัดการง่าย ไม่ไปกระทบกับพวกอุปกรณ์ที่เป็นระบบไฟฟ้า

ต้น : จริงๆ เราหยิบไอเดียนี้มาจากตอนที่ห้องน้ำบ้านเรามันมีโอกาสจะรั่ว แล้วน้ำสามารถหยดลงมาตรงห้อง mixing ห้องเก่าได้พอดี จากปัญหานั้นเราเลยตกตะกอนว่า ถ้าเราจะทำห้องใช้งานที่ไม่เกี่ยวกับห้องอัดก็ควรจะแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจน ให้ง่ายต่อการ maintenance มากที่สุด

ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยว่าภายใน Tree Recording แบ่งสัดส่วนแต่ละห้องยังไง

ณ ปุญญ์ : หลักๆ คือเราแบ่งสัดส่วนสตูดิโอเป็นห้อง A กับห้อง B โดยได้อาจารย์โยธิน ฤทธิพงศ์ชูสิทธิ์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอะคูสติกช่วยออกแบบ

ต้น : ขนาดพื้นที่ของห้องสตูดิโอ A เรายกต้นแบบมาจาก Sunset Sound Recording Studio ซึ่งเป็นสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลกในสหรัฐฯ ที่ศิลปินดังๆ อย่าง Jason Mraz, Van Halen, Led Zeppelin, Toto ฯลฯ เคยใช้งาน เราเองก็โตมากับเพลงที่ออกมาจากสตูดิโอนั้น เราเลยชอบพื้นที่ขนาดประมาณนี้ เพราะมันสามารถให้ฟังก์ชั่นกับวงดนตรีที่ต้องการอัดพร้อมกันทั้งวง ซึ่งมันได้ฟีลลิ่งกว่าการแยกอัดเครื่องดนตรีทีละชิ้น 

หรืออย่างพวกงาน foley ที่เป็น sound effect ประกอบภาพยนตร์เราก็แนะนำห้องสตูดิโอ A เพราะเราออกแบบมาให้ห้องบันทึกเสียงคุณภาพระดับ high-res เป็นคุณภาพเสียงระดับคมชัด ถ้าสังเกตจะเห็นความพิเศษตรงผนังที่ถูกออกแบบให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของผนังได้ เพื่อรองรับคลื่นเสียงได้หลากหลาย ส่วนพวกเครื่องดนตรีป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในต่างประเทศ

ณ ปุญญ์ : ส่วนห้องสตูดิโอ B เป็นห้องสำหรับไว้ใช้พวกงานพากย์เสียง อัดพวกเครื่องดนตรีไม่เกิน 2 ชิ้น อัดสปอตโฆษณา หรือมาอัดร้องไปพร้อมกับ backing track ซึ่งก็จะเป็นอีกราคาหนึ่งที่ถูกกว่าห้อง A เราคุยกับต้นไว้ตั้งแต่วันแรกว่า อยากให้ Tree Recording เป็นพื้นที่ที่ทุกคน ทุกคนที่แปลว่าไม่ต้องเป็นศิลปินก็เข้ามาใช้งานได้ สมมติคุณแค่อยากจะร้องเพลงให้เป็นของขวัญกับคนพิเศษ เป็นอาม่าที่อยากจะร้องเพลงเป็นของขวัญให้กับอากงก็ทำได้

นอกจากคุณภาพของ เห็นว่า Tree Recording ยังให้ความสำคัญกับการจัดคลาสเวิร์กช็อปด้านซาวด์ด้วย

ต้น : จุดเริ่มต้นของเวิร์กช็อปมาจากตอนที่เราว่างกันมากๆ ระหว่างรอก่อสร้างสตูดิโอ ก็เลยคุยกับณปุญญ์ว่า เรามาสร้างโมเดลเวิร์กช็อปกันมั้ย เผื่อจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางหาเงินของเราได้ด้วย คือด้วยความที่เราเป็นธุรกิจใหม่ เป้าหมายลำดับแรกคือการดึงฐานลูกค้า ทางเดียวที่จะทำให้ลูกค้ารู้จักเราเร็วที่สุด ได้สัมผัสคุณภาพห้องอัด ก็คือการทำให้เขาได้มาลองใช้งานมันจริงๆ 

พอจะแนะนำได้ไหมว่ามีเวิร์กช็อปอะไรบ้าง

ต้น : ถ้าเป็นเวิร์กช็อปแรกที่เราดูแลจะเป็นเรื่องการบันทึกเสียงกลอง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบันทึกเสียง เพราะเราอยากโชว์ให้ลูกค้าเห็นว่าคุณภาพห้องอัดเราเป็นยังไง

ณ ปุญญ์ : ส่วนของเราจะเป็นเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการพากย์ ซึ่งเราเปิดเป็น private class รับไม่เกิน 4 คน ยิ่งจำนวนน้อยก็ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้สอนและผู้ที่เข้ามาฟัง กับอีกส่วนคือมีเวิร์กช็อปใหญ่ที่เชิญพี่ๆ ที่เป็นนักพากย์มืออาชีพมาสอนวิธีการพากย์ เวิร์กช็อปนี้จะรับจำนวนผู้เข้าเรียนไม่เกิน 20 คน พี่ๆ ที่มาสอนก็เป็นคนที่เราเลือกแล้ว ว่าใครที่ได้ฟังจะได้รับประโยชน์เต็มๆ แน่นอน ขณะเดียวกันผู้ฟังก็จะได้เลือกเรียนกับคนที่เขารู้สึกถูกจริต ได้ลองเรียนกับผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน ด้วยราคาย่อมเยาในราคาหลักพัน

ในเมื่อ sound studio มีไม่น้อยในไทย นอกจากคุณภาพ พวกคุณทำยังไงให้คนรู้จักที่นี่  

ณ ปุญญ์ : เราสองคนทำแชนแนลยูทูบด้วย คือจริงๆ เราทำกึ่งๆ เอาสนุกมากกว่า เป็นเหมือนการส่งมอบความรู้ให้คนอื่น เราเคยคุยกับอาจารย์วัฒนะ บุญจับ ที่เคยชวนมาทำคอนเทนต์อ่านทำนองเสนาะกับเราว่า ถ้าเกิดเราตาย ความรู้นี้ก็ตายไปกับเรา ถ้างั้นเราส่งต่อให้คนอื่นเพื่อเป็นประโยชน์ดีกว่า

อีกมุมหนึ่งก็เป็นการสร้าง brand recognition พาคนดูมารู้จักกับแบรนด์ พาคนดูมารู้จักกับสถานที่ ให้เขาเห็นว่าถ้าเขาเข้ามาใช้บริการจะเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งการใช้สถานที่จริงจะทำให้คนที่ไม่เคยมาได้เห็นอะไรมากขึ้น

ต้น : ที่เรารู้คือการทำธุรกิจ sound studio ทุกที่บนโลกคือเกมยาว ไม่มีทางที่จะเปิดปุ๊บแล้วคิวจองเต็มทุกวัน เราต้องหาวิธีสร้างรากฐาน สร้างชื่อเสียงให้ได้การยอมรับ ยิ่งในยุคที่ใครก็สามารถอัดเพลง ลงเสียงเองที่บ้านได้ ธุรกิจประเภทนี้ยิ่งมีความ niche มากกว่าเดิม ฉะนั้นการจะทำให้ธุรกิจไปรอดจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น

พูดได้เต็มปากไหม ว่าสิ่งที่พวกคุณทำกับ Tree Recording Studio ถือเป็นการยกระดับธุรกิจ sound studio

ต้น : ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นการยกระดับได้เต็มปากไหม เราเพียงมองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันคือมาตรฐานสากลที่มีอยู่แล้ว อย่างความปลอดภัยที่เรายกตัวอย่างเรื่องสายไฟ ถ้าเป็นมาตรฐานระดับโลกคุณปล่อยให้คนที่เข้ามาใช้งานสะดุดสายไฟเขาต่อว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ 

หรืออย่างวัสดุของสายแต่ละชนิดมันต่างกันยังไง ต้องใช้แบบไหนมันถึงจะปลอดภัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเจอจากตอนทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเรารู้สึกว่า เฮ้ย มันดีจังวะ มันปลอดภัย เวลาทำงานรู้สึกสบายใจ ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังกับเรื่องพวกนี้   

อย่างขาไมค์เราก็เลือกที่ช่วยถ่วงน้ำหนักได้ดี ให้มันไม่เกิดโย้เย้โยกไปมา ฟังดูมันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่ถ้าคนที่เคยทำงานด้านนี้จะรู้ดีว่ามีปัญหาไมค์ตกใส่หัวคนใช้งานเยอะมาก ยิ่งเป็นขาไมค์เกรดต่ำไม่มีตัวถ่วงน้ำหนักมันจะตกใส่หัวได้ง่ายมาก 

ณ ปุญญ์ : นอกจากเรื่องของอุปกรณ์ก็คือเรื่องของคุณภาพชีวิตคนทำงาน เราวางกฎระเบียบไว้ชัดเจนว่าเวลาเข้างานกี่โมง เลิกงานกี่โมง เพื่อให้พนักงานเอาเวลาที่เหลือในชีวิตไปทำอย่างอื่น ไปดูแลสุขภาพตัวเอง มีการทำประกันสังคมให้ หรือแม้แต่เรื่องออกสลิปเงินเดือนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เขาเอาไปใช้เป็นหลักฐานกู้แบงก์ ซื้อบ้าน ซื้อรถ ฯลฯ พอเราทำให้เป็นเรื่องเป็นราวมันก็ดีต่อคนทำงาน

แม้แต่เรื่องการเซ็นสัญญาเข้าใช้สถานที่ก็เป็นสิ่งที่พวกคุณให้ความสำคัญเช่นกัน

ต้น, ณ ปุญญ์ : ใช่ (ตอบพร้อมกัน)

ต้น : มันเป็นการแจ้งให้ชัดเจนว่าคุณจะเข้ามาที่นี่เพื่อทำอะไร จะใช้เวลากี่วัน เข้ามาแล้วคุณจะไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างเมืองนอกก่อนเข้าใช้งานเขาจะเซ็นสัญญาชัดเจนว่าถ้าคุณทำอุปกรณ์เขาชำรุดคุณต้องชดใช้เท่าไหร่ คือคุณได้ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพแน่ๆ แต่คุณก็ต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่มั่นใจเรามี sound engineer ให้ 

ฝั่งเราเองก็ต้องเคารพคนที่เข้ามาใช้งานด้วยเช่นกัน อย่างเรื่องมาร์เก็ตติ้ง ที่ศิลปินอาจจะอยากเก็บผลงานไว้เซอร์ไพรส์คนฟัง ถ้าเราแอบเผยแพร่ไปก่อนฝั่งศิลปิน ฝั่งค่ายเขาย่อมเสียหายมหาศาล ดังนั้นหน้าที่ของเราก็ต้องช่วยเก็บรักษาความลับด้วย

หลายคนอาจจะมองว่าสตูดิโอเราเยอะไปหรือเปล่า แต่ตามหลักการแล้วนี่เป็นสิ่งที่ทุกสตูดิโอควรทำด้วยการจัดระเบียบตัวเองก่อน

ใจความสำคัญในการยกระดับมาตรฐาน ก็คือการสร้างความสบายใจและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

ณ ปุญญ์ : ใช่ ความตั้งใจของเราคืออยากใช้ห้องอัดดีๆ โดยไม่จำเป็นต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศ และเป็นราคาที่สามารถจับต้องได้

ต้น : เมื่อก่อนชอบมีคนสบประมาทว่า ประเทศเราไม่มีทางทำคุณภาพห้องอัดได้ดีเหมือนเมืองนอกหรอก ถ้าอยากได้คุณภาพเสียงดีๆ ก็ต้องบินไปต่างประเทศ เราก็คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ เหรอ เราเห็นมาหมดแล้วว่าห้องอัดต่างประเทศเขาเป็นยังไง เราเข้าใจโครงสร้าง เข้าใจเทคนิค เรามีต้นทุนองค์ความรู้ทั้งหมดเหลือแค่เอามาลงมือต่อยอด ราคาไม่จำเป็นต้องแพงเท่าเมืองนอก จริงอยู่มันอาจจะคืนทุนช้าหน่อย แต่เราอยากให้คนไทยได้สัมผัสห้องอัดที่มีคุณภาพระดับโลก

ซึ่งพวกคุณสัมผัสได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการรู้สึกแฮปปี้อย่างที่ว่ามาจริงๆ 

ต้น : เราสัมผัสได้จริงๆ ว่าลูกค้าแทบทุกคนที่เข้ามาใช้บริการแฮปปี้ 

ณ ปุญญ์ : มีเคสหนึ่งที่เข้ามาใช้บริการแล้วบอกกับเราว่า ที่ผ่านมาเขากดดันจากหลายๆ สิ่ง เลยร้องเพลงด้วยความไม่มั่นใจมาตลอด แต่เขามาที่นี่แล้วเหมือนได้ปลดล็อก เราก็รู้สึกดีใจ

ต้น : อย่างโทนสีผนังห้องเราก็เลือกใช้สีเอิร์ทโทนที่ให้บรรยากาศอบอุ่น ส่วนแสงไฟในห้องก็เลือกไฟที่ออกโทนเหลืองซึ่งให้ความรู้สึกสบายตา เพื่อให้คนที่เข้ามาทำงานรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ของเรา พ่อของเราเป็นหมอหัวใจ แม่เป็นหมอตา เขาก็จะแนะนำได้ว่าอะไรปัจจัยไหนบ้างที่ส่งผลต่อสุขภาพ เรื่องของจอต้องห่างประมาณนี้นะถึงจะไม่ปวดตา หรือแสงไฟต้องเป็นโทนสีประมาณนี้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกับเวลานอนของมนุษย์

เคยมีเห็นต่างกันบ้างไหม เพราะดูเหมือนคุณสองคนจะเป็นสายซัพพอร์ตทั้งคู่ 

ต้น : เรียกว่าทุกเรื่องก็ได้ (หัวเราะ)

ณ ปุญญ์ : ทุกเรื่องจริงๆ ปุญญ์กับต้นเหมือนหยินกับหยาง เราแทบจะคิดไม่ตรงกันเลย

ต้น : แต่เป็นความเห็นต่างที่ไม่ได้มีปัญหานะ มันสามารถคุยกันได้ มันมีหลายๆ เรื่องที่เราเห็นต่าง แต่พอตั้งใจฟังกันและกันจะเห็นว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนตัดได้ เพื่อให้ผลลัพธ์มันออกมาดีที่สุด คือโชคดีที่เรากับปุญญ์ไม่ได้มีนิสัยชอบเถียงเอาชนะ แบบยังไงฉันก็ต้องชนะ มันไม่ใช่แบบนั้น แม้กระทั่งเรื่องของการใช้ชีวิตเราก็จะเห็นต่างกันเสมอ เพื่อหาจุดร่วมที่ดีที่สุด

ก็คือให้ความเคารพความถนัดของกันและกัน

ณ ปุญญ์ : ใช่ เราให้เกียรติในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ อย่างเวลามีคนมาถามเรื่องการทำซาวด์กับเรา จะตอบเลยว่าเราไม่รู้ เรื่องนี้ต้องถามต้นเพราะเขาถนัดกว่า

ต้น : อย่างเราก็เคยมีนะ แบบภรรยาคุณเป็นนักพากย์ แล้วทำไมคุณพากย์ไม่เป็นล่ะ เราก็จะตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่เขาทำอาชีพนักพากย์ เพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ปุญญ์เขาถนัดจริงๆ สมมติถ้าจะจัดวางเลย์เอาต์ห้องพากย์เสียง เราก็ต้องถามคนพากย์เสียงโดยตรงเพราะเขาทำงานตรงนั้น เขารู้ว่าจัดวางแบบไหนคนพากย์ถึงสะดวก แค่เหตุผลมันก็ชนะไม่จำเป็นต้องเถียงอะไรต่อ 

บทเรียนสำคัญที่พวกคุณได้เรียนรู้จากการเป็นเจ้าของธุรกิจคืออะไร

ต้น : คำเดียวครับ โคตรยาก ก่อนหน้าที่จะทำ Tree Recording Studio เราก็รู้แหละว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอเจอของจริงมันยากยิ่งกว่า ทั้งเรื่องเดินเอกสาร การจัดการบริหารบุคลากรและสถานที่ คือรับจบด้วยตัวเราเองทั้งหมด 

ณ ปุญญ์ : สำหรับเราคือความอดทน ปกติเราเป็นคนค่อนข้างใจร้อน รู้ตัวว่าไม่ได้เป็นคนชอบเล่นเกมยาว แต่พอต้องมาทำกิจการของตัวเองทำให้เราต้องเรียนรู้การอดทนรอ อย่างตอนก่อสร้างเราก็รอทุกวันว่าเมื่อไหร่มันจะเสร็จ ต้นเขาก็เตือนสติตลอดว่าต้องใจเย็น ถ้ารีบทำโครงสร้างมันถล่มได้เลยนะ 

ต้น : ตอนหลังถึงได้เข้าใจเพื่อนๆ ที่มีกิจการ ว่าทำไมมึงเครียดกันจัง (หัวเราะ) แต่ยังดีที่ธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่เรารัก เราสองคนยังสู้ไหว 

ณ ปุญญ์ : สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น โดนเองโอ๊ยเจ็บจัง (หัวเราะ)

เทรนด์ที่อยู่อาศัยน่าจับตา เมื่อ 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสดและคนกรุงเทพฯ โสดอันดับ 1

ความโสดไม่เข้าใครออกใคร แต่รู้ไหมว่าคนโสดนี่แหละที่กำลังครองเมือง จนมีคำเรียกว่า ‘Solo Economy’ หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียวขึ้น เพราะอัตราคนโสดที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแตกต่างจากคนมีคู่หรือคนมีลูกย่อมส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการนี้

Euromonitor ระบุว่า ในปี 2564 Solo Economy มีมากถึง 414 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ในหลายประเทศ คนโสดยังเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น เกาหลีใต้ ที่แม้กระทั่งวัตถุดิบในครัวก็ต้องคิดมาแล้วว่าเหมาะกับการทำและทานคนเดียว

นอกจากเรื่องอาหาร รูปแบบการเที่ยว หรือการเลือกซื้อประกันที่คนโสดจะให้ความสำคัญมากกว่าคนมีคู่แล้ว อีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวให้ทันท่วงทีคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพราะรายงานจากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ล่าสุดได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการอยู่อาศัยของคนไทยและพบว่าสัดส่วนประชากร รวมถึงความโสดไม่โสดยังมีผลต่อแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยไม่น้อยทีเดียว

#ยังโสดโสดอยู่ทางนี้

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสด และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) พบว่ามีคนโสดอยู่ที่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว ทั้งกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยยังมีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรในพื้นที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ถึง 50.4% 

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการแต่งงานในปัจจุบันก็มีแนวโน้มลดลง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสลดลงและการหย่าร้างมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายในการใช้ชีวิตคู่เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (dingle person household) มีการขยายตัวมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย โดยคนโสดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเนื่องจากมีภาระทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มมีครอบครัวหรือมีบุตร และมีอิสระในการใช้จ่ายเพื่อความสุขมากกว่า จึงกลายเป็นโอกาสของหลายธุรกิจในการปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้

ที่พักหลับนอนที่ชาว Solo Economy ถูกใจ

จากข้อมูลของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ของไทย พบว่าการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเปลี่ยนไปด้วยคนโสดย่อมมีความต้องการที่แตกต่างจากคนมีครอบครัว

1. เน้นเช่าอยู่ มากกว่าซื้อขาด : ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยผู้บริโภคทั่วไป สูงกว่าคนที่แต่งงานแล้ว ด้วยหลายคนให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปัจจุบัน ทั้งยังมองว่าการเช่าสะดวกต่อการย้ายงานหรือทำเลมากกว่า นอกจากนั้น การเช่าบ้านยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอย่างการบำรุงรักษา รวมถึงปัจจุบันธนาคารยังอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น

2. Safety First ยังยืนหนึ่ง : ผีว่าน่ากลัวแล้ว แต่คนอาจน่ากลัวกว่า โครงการที่อยู่อาศัยที่มีระบบรักษาความปลอดภัยรัดกุมและได้มาตรฐานจึงเป็นตัวเลือกหลักๆ ที่ทำให้คนโสดที่ต้องอยู่คนเดียวสนใจเป็นพิเศษ

3. Pet Humanization เทรนด์ที่มีผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัย : เพราะสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สัตว์อีกต่อไป แต่คนรุ่นใหม่ มองว่าสัตว์เลี้ยงก็เหมือนคนในครอบครัว เหมือนมนุษย์คนหนึ่งที่เราต้องดูแลและเอาใจใส่อย่างดีที่สุด กลุ่มคนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกจึงมีผลต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย 

จากข้อมูลของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่าปลายปี 2566 จำนวนอาคารชุดแบบเลี้ยงสัตว์ได้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีกว่า 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

ส่วนแบบสอบถามของ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ยังพบว่าโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

4. กายใจมาก่อน พื้นที่ส่วนกลางเลยต้องปัง : คนโสดส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ สวนลอยฟ้า co-working space ฯลฯ การมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายจึงเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัย 

5. เดินทางง่ายคือหัวใจสำคัญ : ไหนใครเคยร้องไห้เพราะการจราจรกรุงเทพฯ บ้าง? ยิ่งการจราจรในช่วงฝนตกหนักน้ำท่วม เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องได้กลับบ้านดึก ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานคือเรื่องทำเลที่ต้องเดินทางสะดวก ใกล้ห้าง โรงพยาบาล ฯลฯ เหมาะกับคนโสดที่อยู่คนเดียวและต้องพึ่งตนเองมากที่สุด 

แม้คนโสดจะถูกใช้เป็นมีมในวันแห่งความรัก และทุกเทศกาลสำคัญจนเหมือนถูกบูลลี่ที่โสดอยู่เรื่อยๆ แต่จากข้อมูลเหล่านี้ก็อาจช่วยให้คนโสดตอกกลับได้ง่ายมากขึ้นว่าฉันนี่แหละคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนผู้ประกอบการไทยทั้งเล็ก-ใหญ่ ยิ่งไม่ควรละเลยกลุ่มคนโสดนี้ เพราะความโสดนั้นมีผลต่อยอดขายและรายได้ของธุรกิจไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน

อ้างอิง

คุยกับ ธีรภาพ อัญญานุภาพ เจ้าของเพจ ‘คุยกับกงสี’ ผู้เชื่อว่า ทุกปัญหาธุรกิจครอบครัวมีทางออก  

คำว่า กงสี หรือ 公司 (gōngsī) ในภาษาจีน มีความหมายว่า กิจการของตระกูลที่แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

หากดูเพียงผิวเผินนี่คือคำสั้นๆ คำหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเนื้อในกลับแฝงความหมายยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าใครเป็นลูกหลานชาวมังกรน่าจะเข้าใจดี ว่ากว่าที่บรรพบุรุษจะหอบหิ้วเสื่อผืนหมอนใบข้ามน้ำข้ามทะเล เสี่ยงดวงเริ่มต้นชีวิตในฐานะผู้ใช้แรงงาน หมั่นเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ เพื่อก่อร่างสร้างกิจการเป็นของตัวเองนั้นยากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ที่ยากยิ่งกว่า คือการทำให้ครอบครัวสามารถรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และช่วยกันบริหารกิจการในมือนี้สืบต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ความเชื่อนี้ชัดแจ้งมากยิ่งขึ้น ผ่านข่าวคราวการแก่งแย่งชิงผลประโยชน์ธุรกิจภายในครอบครัวที่มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่ซีรีส์เรื่องดังที่หยิบ pain point นี้มาใช้เป็นวัตถุดิบขับเคลื่อนเรียกเรตติ้งคนดู สวนทางกับเนื้อแท้ของธุรกิจประเภทนี้ ที่หากบริหารจับวางถูกที่ทางก็สามารถสร้างมูลค่าได้มหาศาล

 ธีรภาพ อัญญานุภาพ

แต่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีความเชื่อแบบเดียวกันเสียหมด เพราะในขณะที่คนอื่นมองธุรกิจกงสีในแง่ลบมากกว่าบวก ชายที่ชื่อว่า เต็ม–ธีรภาพ อัญญานุภาพ กลับมองต่างออกไป 

ในมุมหนึ่งคุณธีรภาพคือเจ้าของกิจการ อัญญานุภาพ คอนซัลติ้ง จำกัด (Aunyanuphap Consulting) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว สร้างเกราะป้องกันธุรกิจครอบครัวให้เข้มแข็ง และส่งต่อกิจการไปได้จากรุ่นสู่รุ่นเพื่อคลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการทำธุรกิจ ส่วนอีกมุมหนึ่งเขาคือเจ้าของเพจ Facebook คุยกับกงสี ซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ว่า ‘ปัญหาธุรกิจกงสีมีทางออกเสมอ’ 

“ธุรกิจกงสีมี value มากกว่าที่คุณคิด ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจัดการกับมันยังไง” นี่คือประโยคที่คุณธีรภาพเน้นย้ำกับเราตลอดการสนทนา และเป็นประโยคเดียวกันกับที่เขาบอกลูกเพจเสมอ

คำถามคืออะไรทำให้เขาปักใจหลงใหลในธุรกิจที่เรียกว่ากงสี และอะไรที่ทำให้เขาเชื่อว่าธุรกิจประเภทนี้จะสามารถสร้างมูลค่าได้มหาศาล และที่สำคัญคือทางออกจากสารพันปัญหาที่เปรียบเสมือน ‘คำสาป’ ของธุรกิจกงสีต้องทำยังไงนั้น ขอชวนฟังคำตอบจากปากของคุณธีรภาพผ่านคอลัมน์ Brand Belief คราวนี้

เตรียมตัวเตรียมใจแล้วมาหาทางออกไปพร้อมกัน

 ธีรภาพ อัญญานุภาพ

เห็นว่าคุณเติบโตมาในครอบครัวที่ทำ ‘ธุรกิจกงสี’ อยากรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับคำคำนี้

ผมขอเท้าความก่อนครับว่า ครอบครัวผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนโดยแท้ อากงของผมเป็นคนจีนตามแบบฉบับประวัติที่รู้จักกันเลยคือเสื่อผืนหมอนใบ เก็บเงินเล็กน้อยก็มามีที่อยู่อาศัยแถวปากคลองตลาด เก็บไปเรื่อยๆ เลยมาซื้อบ้านตึกแถวย่านท่าเตียนซึ่งไม่ไกลกันนัก ท่านเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว (ต่อมากลายเป็นธุรกิจของครอบครัว) ด้านนำเข้าและส่งออก ค้าขายอุปกรณ์วัสดุก่อสร้าง และเป็นธุรกิจหลักซึ่งส่งต่อมายังรุ่นคุณพ่อผม ซึ่งภาพของการทำงานในธุรกิจครอบครัว บรรยากาศของคนในครอบครัวที่ช่วยบริหารกิจการอย่างขยันขันแข็ง ผมได้ซึมซับมาตลอดตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก เวลาใครติดปัญหาอะไรทุกคนก็พร้อมที่จะก้าวเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน นั่นคือภาพที่ผมเห็น และประทับใจมาตลอด

แต่ด้วยภาวะพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้หลายธุรกิจครอบครัวประสบปัญหา และแน่นอนรวมไปถึงธุรกิจครอบครัวบ้านผมด้วย ทำให้บ้านผมปรับตัวจากการทำธุรกิจค้าขายร่วมกันมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยแต่ละคนก็จะมีทรัพย์สินที่ต่างคนต่างก็บริหารจัดการดูแลส่วนตัว ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องราวที่แม้จะน่าเสียดาย และช่วงนั้นผมอายุน้อยมากอยู่ในช่วงวัยเรียนจึงไม่อาจเข้ามาก้าวก่ายการทำงานหรือบริหารได้ แต่พอย้อนกลับไปมองการปรับตัว และพยายามอยู่รอดมาได้ถึงขนาดนี้ทางผมก็ได้รับประสบการณ์ และภูมิใจไม่น้อยสำหรับกงสีหรือธุรกิจครอบครัวของผม

สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณ คือสิ่งที่คนทำธุรกิจกงสีทุกคนต้องเผชิญ

ผมเรียกว่าเป็นอาการปลาช็อกน้ำ ธุรกิจกงสีสมัยก่อนมักจะขาดการวางแผนรับมือล่วงหน้าทั้งจากปัจจัยภายใน คือด้านครอบครัว และภายนอก คือด้านธุรกิจ ผมขอยกตัวอย่างเคสคลาสสิกที่หลายคนเคยได้ยิน นั่นคือธุรกิจครอบครัวรูปแบบผลิตและส่งออก สิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วนั่นคือการผลิต และค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้างมันมีกำไรแค่หลักหน่วย (หลักบาท) ซึ่งเมื่อพวกเขาไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเพื่อพัฒนาธุรกิจ หรือรับมือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดจากด้านธุรกิจหรือครอบครัว พวกเขาก็จะไม่สามารถปรับตัวได้ และพลอยต้องปิดตัวลงไปในที่สุด

หากเราลองย้อนหยิบเอาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยช่วงเปลี่ยนแปลงระบบภาษีปี 2535 ในการนำเอาภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาลองใส่ในสมการการดำเนินธุรกิจครอบครัว จะเห็นได้เลยว่าจากกำไรหลักบาท เมื่อโดน VAT เพียง 7% พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างกำไร และไปต่อไม่ได้ในเชิงธุรกิจ สุดท้ายก็เลยไปต่อไม่ไหว สมาชิกครอบครัวหลายครอบครัวก็เริ่มแตกแยกเพราะบางคนก็อยากทำธุรกิจอย่างถูกต้อง (เสีย VAT ถูกต้อง) อีกฝั่งก็ไม่ได้เสีย VAT ทำให้เกิดสงครามภายในกงสี และสุดท้ายก็ต้องปิดกิจการไปในที่สุดเพราะไม่อาจปรับตัวได้ในโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากปลาน้ำจืดที่ถูกโยนไปอยู่ในน้ำเค็ม

 ธีรภาพ อัญญานุภาพ

แล้วทำไมถึงสนใจธุรกิจกงสีเป็นพิเศษ ทั้งที่ส่วนตัวคุณไม่ได้มีส่วนช่วยครอบครัวบริหารกิจการของที่บ้าน

จริงอยู่ที่แม้ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียและเข้าไปช่วยบริหารกิจการของครอบครัว ผมเป็นเพียงแค่คนเฝ้ามอง แต่การเฝ้ามองนี้ทำให้รู้สึกว่า กงสีเป็นธุรกิจที่มีมนตร์ขลังบางอย่างซึ่งหาจากที่ไหนไม่ได้ ผมได้เห็นความสัมพันธ์เหนียวแน่นของคนในครอบครัว ที่ต่างคนต่างช่วยเหลือกันผ่านการทำงาน พี่ช่วยน้อง น้องช่วยพี่ ความตั้งใจที่รวมเป็นจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือจุดประสงค์ในการทำธุรกิจที่ส่งทอดจากรุ่นพ่อที่ถูกส่งต่อมาถึงรุ่นลูกเป็นทอดๆ มันเลยเกิดเป็นความรู้สึกที่ว่า คุณลักษณะหรือ character แบบนี้มันควรจะเกิดกับทุกครอบครัวที่มีธุรกิจกงสี

นั่นเลยเป็นความตั้งใจที่ทำให้คุณเปิดเพจเฟซบุ๊ก ‘คุยกับกงสี’ ใช่ไหม

เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญเลยครับ ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่ผมจะเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวนั้นผมทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาองค์กร เป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ และเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวในบริษัทให้คำปรึกษาด้านกฎหมายรวมกันประมาณ 3 ที่ และได้เข้าไปทำเป็น Operations Lead ช่วยกำกับดูแลการปฏิบัติการภายในธุรกิจครอบครัวหนึ่งที่เขาได้เชิญชวนเข้าไป ประสบการณ์รวมๆ กันก็มากกว่า 10 ปี

กระทั่งวันหนึ่งลูกค้าที่เราให้คำปรึกษาบอกกับผมว่า สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ดีนะ แต่จะดียิ่งกว่านี้ถ้าผมสามารถแชร์ให้ธุรกิจครอบครัวอื่นได้รับรู้ว่า งานที่ปรึกษาที่ผมทำมันมีประโยชน์กับหลายธุรกิจครอบครัวที่กำลังเผชิญกับปัญหาว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับครอบครัวคุณมันไม่ใช่ทางตัน ไม่ใช่ปัญหาโลกแตกนะ มันมีวิธีแก้ไขปัญหา ถ้างั้นคุณลองเอาสิ่งที่คุณเคยให้คำปรึกษาไปเล่าให้คนที่เจอปัญหาแบบนี้บ้างดีไหม

พอผมมานั่งคิดก็จริงแบบที่เขาพูด ในประเทศเราไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องปัญหาธุรกิจครอบครัวมาก่อน ส่วนใหญ่ที่พูดก็มีแต่เชิงเทคนิคเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น ด้านกฎหมาย บัญชี การเงิน หรือการตลาด ซึ่งแต่ละส่วนแม้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำธุรกิจ แต่อาจไม่ได้เชื่อมโยงกับหลักการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างถูกต้อง เพจคุยกับกงสีเลยเกิดมาด้วยจุดประสงค์ที่อยากผลักดันลูกหลานหรือคนที่มีธุรกิจกงสีอยู่ในมือ ให้เขาเห็นถึงหลักการบริหารธุรกิจครอบครัวที่ถูกต้อง และสร้างการเปลี่ยนแปลงมุมมองว่าธุรกิจครอบครัวไม่ใช่ธุรกิจที่แย่หรือไม่มีอนาคต ทุกปัญหาที่เจอมันมีทางออก เพียงแค่ต้องเข้าใจการบริหารที่ถูกต้อง ลองปรับเปลี่ยนมุมมอง หรือเปลี่ยนวิธีสื่อสารบางอย่าง เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถพัฒนาต่อ

 ธีรภาพ อัญญานุภาพ

พูดง่ายๆ คือทำเพื่อสนองแพสชั่นตัวเอง

จะพูดอย่างนั้นก็คงไม่ผิดครับ เพจคุยกับกงสีไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะอยากจะหาผลกำไร แต่ทำเพราะอยากให้คนอื่นเห็นว่า ธุรกิจกงสีมันมีมากกว่าที่คุณเห็นผิวเผินตามในละครที่คนในครอบครัวรบราฆ่าฟันแย่งผลประโยชน์กัน ถามว่าแบบในละครมีไหม ก็มี แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนที่เราได้ยิน แต่ก็มีธุรกิจครอบครัวที่พวกที่เขาประสบความสำเร็จ ซึ่งเบื้องหลังมันมี untold story ที่มีประโยชน์แก่ทุกครอบครัวซ่อนอยู่ เพียงแต่ยังไม่มีคนหยิบมาเล่า รวมถึงนำมาวิเคราะห์วิธีการให้พวกเขาได้เข้าใจอย่างละเอียด และเข้าใจง่าย 

ทุกคอนเทนต์ที่ปรากฏบนหน้าเพจล้วนมาจากคุณคนเดียว

ใช่ครับ (หยิบสมุดจดขึ้นมาให้ดู) ทุกบทความ ทุกๆ โพสต์ผมทำด้วยตัวคนเดียว เริ่มต้นผ่านสมุดเล่มนี้ที่ใช้จดบันทึกว่าวันนี้จะเล่าเรื่องอะไร ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นการหยิบโจทย์ หรือปัญหาที่ลูกค้าเข้ามาปรึกษากับผม เช่น เรื่องความเสี่ยงของธุรกิจ เรื่องของการวางโครงสร้างธุรกิจ หรือการจัดสรรหุ้น เพราะฉะนั้นผมมองว่าเมื่อมันเป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์จริง และมีทางออกที่สร้างได้จริง คนที่ได้อ่านก็จะสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงเช่นเดียวกัน 

ลูกเพจที่เข้ามาพูดคุยกับคุณในเพจส่วนใหญ่มักมาด้วยปัญหาอะไร

คนส่วนใหญ่ที่ติดต่อเข้ามาผ่านเพจคือคนหนุ่มสาวครับ ทางพวกเขาเข้ามาสอบถามว่าที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรรับช่วงต่อ หรือจะรับมือกับกิจการของที่บ้านยังไง อย่างเคสแรกที่ติดต่อเข้ามาในเพจ บ้านของเขาเปิดกิจการร้านทองแล้วกำลังเผชิญสถานการณ์ซบเซา ผมก็ให้คำปรึกษาและแนะนำจากประสบการณ์ของผม ซึ่งทางเค้าก็เข้าใจในหลักการ และได้นำสิ่งที่ได้พูดคุยกันนำกลับไปใช้

ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณซีรีส์เรื่อง เลือดข้นคนจาง ที่ทำให้คนหันมาสนใจเรื่องธุรกิจกงสีมากขึ้น (หัวเราะ) อาจจะฟังดูตลก แต่ซีรีส์เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับคนเจนฯ Y ซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังก้าวขึ้นมาสานต่อกิจการจากพ่อแม่ซึ่งเป็นคนเจนฯ X ทำให้เขาเกิดความสนใจว่า ถ้าเขาจะสานต่อกิจการเขาต้องทำยังไง การเปลี่ยนผ่าน การจัดสรรหุ้น การบริหารกิจการต้องเริ่มจากตรงไหน แล้วถ้าต้องร่วมงานกับญาติในฐานะผู้บริหารฉันต้องวางตัวแบบไหน สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยรู้เพราะรุ่นพ่อแม่เขาก็รับมาจากอากงอาม่าแบบตามมีตามเกิด

สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำเพจล่ะ

ผมมองว่าความท้าทายในการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจครอบครัว ที่จะต้องพูดถึงเรื่องของโอกาส ความท้าทาย หรือปัญหาของแต่ละครอบครัว นั่นคือการทำให้ผู้ที่ติดตามเพจกล้าสะท้อนตัวเอง และยอมรับว่า สิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่เป็นอาจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้ในครอบครัวเขา มากไปกว่านั่นคือกล้าที่จะหยิบปัญหาใต้พรมนี้ขึ้นมาแก้ไข เช่นเรามักจะไม่ยอมรับว่าเรากำลังเกิดการขัดแย้งเห็นต่างในครอบครัว ทั้งที่เราสามารถขัดแย้งกันได้ แต่ต้องเป็นการขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น กับอีกเรื่องคือการนำเสนอเนื้อหาให้เข้าใจต่อคนอ่านมากที่สุดครับ

หากมองตัวเลข GDP ในประเทศไทยจะเห็นว่า ธุรกิจกงสีสามารถสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยถึง 80% น่าสนใจว่าทำไมธุรกิจกงสีถึงมี value ได้ถึงขนาดนี้

จริงๆ นิยามของคำว่าธุรกิจกงสีมันมีอยู่หลายขนาดเลยครับ เพียงแต่หลายคนติดภาพจำที่ว่าธุรกิจครอบครัวต้องเป็นธุรกิจข้างทาง เป็นร้านอาหาร เป็นร้านขายของชำ หรือโรงเหล็กเก่าๆ ทั่วไป ทั้งที่จริงมันมีตั้งแต่ระดับ SME ไปจนถึงระดับใหญ่อย่าง CP ของตระกูลเจียรวนนท์ หรือ ThaiBev ของเจ้าสัวเจริญ (เจริญ สิริวัฒนภักดี) ก็ถือเป็นธุรกิจกงสี นั่นเลยทำให้ธุรกิจประเภทนี้มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูง

ผมมักจะบอกเสมอในเพจคุยกับกงสีว่า ธุรกิจครอบครัวทุกครอบครัวมีต้นทุนที่ล้ำค่า มันคือ family business capital มันคือทุนทรัพย์ของครอบครัวคุณที่สามารถนำไปต่อยอดได้ โดยที่คุณไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ หรือต้องไปหาทุนจากผู้ลงทุนภายนอก ซึ่งหากมองแล้วก็อาจมีความเสี่ยงกว่าหลายเท่า ผมจึงเชื่อเสมอว่าธุรกิจครอบครัวนั้นสามารถพัฒนา ต่อยอด แตกขยายได้ ทั้งนี้จะต้องมีการสื่อสาร และวางแผนอนาคตกันจริงจังอย่างเป็นรูปธรรมครับ 

ในธุรกิจระดับโลกก็มีการส่งต่อสิ่งที่เรียกว่าทุนทรัพย์ของครอบครัว 

ใช่ครับ ผมยกตัวอย่างกรณีของ KFC แทบไม่มีใครรู้สูตรไก่ทอดที่ผู้พันแซนเดอร์คิดค้น มีคนพยายามเลียนแบบแต่ทำยังไงก็ไม่เหมือน ซึ่งคนที่รู้สูตรนี้จริงๆ มีแค่ 2-3 คนบนโลกเท่านั้น ซึ่งก็คือคนในตระกูลของผู้พันแซนเดอร์ นี่จึงเป็นตัวอย่างของทุนทรัพย์ของครอบครัวที่กลายเป็น ‘สูตรลับทางการค้า’ ที่มีมูลค่ามหาศาล สูตรพวกนี้มองผิวเผินเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ในเชิงธุรกิจสูตรลับทางการค้าพวกนี้มีมูลค่ามหาศาล บางธุรกิจยอมที่จะซื้ออีกกิจการมูลค่าหลายพันล้านบาทเพียงเพราะต้องการรู้ และเป็นเจ้าของสูตรลับทางการค้าของอีกเจ้าด้วยซ้ำไป 

หากสะท้อนกลับมาในธุรกิจครอบครัวไทย ทุนทรัพย์ครอบครัวมีได้หลากหลายซึ่งแยกออกมาได้ 2 ด้านหลักๆ นั่นก็คือทุนทรัพย์ฝั่งธุรกิจ และทุนทรัพย์ฝั่งครอบครัว ในทุนทรัพย์ฝั่งธุรกิจเรามองทุนทรัพย์ในเรื่องของทรัพย์สิน เครื่องจักร พนักงานที่เรามี หรืออีกมุมนึงคือองค์ความรู้ภายในธุรกิจของเรา เช่น ความคุ้นชินตลาด ความรู้ผู้บริหาร พนักงาน หรือแม้กระทั่งการรู้จักมี Connection กับคู่ค้าที่สั่งสมมานานหลาย 10 ปี อีกทุนทรัพย์ในฝั่งของครอบครัวเป็นมุมที่หลายครอบครัวมองข้ามแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้นักต่อนัก รวมถึงเป็นแหล่งรวมของนวัตกรรม ไอเดียสร้างสรรค์เพื่อต่อยอดธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น เช่นสมาชิกครอบครัวที่มีความรู้ มีประสบการณ์ มีการศึกษาที่ดี เปรียบเสมือนขุนพลที่พร้อมจะเข้ามาพัฒนาสานต่อธุรกิจครอบครัว หรือทุนทรัพย์ด้านที่ดิน ทรัพย์สิน เป็นเหมือน family bank ที่สามารถลงทุนให้กับคนในครอบครัวหากมีไอเดียที่เห็นพ้องต้องกัน หรือวง Connection ระดับสูงของคนในครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักเพื่อนในวงการ หรือเจ้าของกิจการหลายที่ ที่หากเราอยากรู้จักใครเพียงแค่ถามหรือโทรศัพท์แป๊บเดียวก็สามารถติดต่อพูดคุยกับ Connection นั้นได้อย่างง่ายดาย

แต่ธุรกิจกงสีที่ประสบความสำเร็จกลับมีไม่มาก เป็นเพราะอะไร

สูตรของกงสีประกอบด้วย 3 ข้อ คือ หนึ่ง–ธุรกิจ สอง–ครอบครัว และสาม–ความเป็นเจ้าของ โดยที่ 3 ข้อนี้ไม่สามารถขาดข้อใดข้อหนึ่งไปได้ ถ้ามีธุรกิจแต่ไม่มีครอบครัวนั่นก็เป็นเพียงธุรกิจทั่วไป

มุมมองหรือ mindset ของคนทำกงสีสมัยก่อน คือทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจมันไปต่อได้ ทำยังไงก็ได้ให้สามารถหลีกหนีความยากแค้น แต่พอกิจการเปลี่ยนมือมาถึงสักรุ่นที่ 3 รุ่นที่ 4 ซึ่งอยู่ในจุดที่กิจการมั่นคงไม่ต้องดิ้นรนจนเกินไป สิ่งที่ตามมาเลยกลายเป็นเรื่องของ ‘ปัจเจก’ เรื่องของความเป็น ‘เจ้าของ’ มากกว่าคำว่าครอบครัว ในมุมมองของคนทำธุรกิจมันเลยเป็นจุดตัดที่ต้องเลือกว่าธุรกิจนี้จะเติบโตกลายเป็นอาชีพที่มั่นคง หรือจะเลือกเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นหลัก เพราะยังไงสองอย่างนี้ก็ขัดกันชัดเจน ถ้าคุณเลือกที่จะเติบโตก็จำเป็นต้องเด็ดขาด ถ้าคุณทำดีก็โอเค ถ้าคุณทำผิดก็ต้องได้รับ Feedback ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมืออาชีพ แต่กับความเป็นครอบครัวถ้าคุณบ่นใส่กันนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ทะเลาะบ้านแตก ไหนจะเรื่องของความเป็นเจ้าของ ใครเล่นหุ้นจะรู้ดีว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการยิ่งต้องอยากได้เงินปันผลที่มันสูงขึ้น

ในสมัยก่อนอาจจะยังไม่เห็นปัญหาจาก 3 ข้อที่ว่ามากนัก เพราะสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งธุรกิจกันมายังมีจำนวนไม่มาก แต่พอเป็นยุคปัจจุบันที่สมาชิกในครอบครัวมีจำนวนมากขึ้น ประกอบกับบริบททางสังคม และการศึกษาที่ผู้คนมีความหลากหลาย มันเลยทำให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวนั้นเริ่มห่างเหิน พอห่างเหินก็เกิดการกระทบกระทั่งจนเป็นปัญหาได้ง่าย พอเกิดปัญหาก็เริ่มไม่สื่อสาร เมื่อไม่สื่อสารต่างคนต่างทำงาน ก็กลายเป็น ‘การเมืองกงสี’ คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าบางคนเลยเกิดเป็นความรู้สึกที่ว่า ธุรกิจครอบครัวเท่ากับปัญหา เราจึงเห็นว่าคนรุ่นใหม่หลายคนเลือกที่จะไม่สานต่อกิจการของครอบครัวและยินดีจะออกไปหางานทำเอง พร้อมปล่อยให้กิจการนั้นล้มหายตายจาก หรือดีที่สุดคือใครทนอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายก็เอากิจการนี้ไปทำต่อ โดยที่อาศัยความรู้ อาศัยแรงงานจากคนนอกครอบครัวมาทำแทน

นั่นทำให้คนนอกมองธุรกิจกงสีเป็นดัง ‘ธุรกิจต้องคำสาป’ ที่มีทั้งการแก่งแย่งชิงดี การทำงานที่ต้องเกรงอกเกรงใจกัน หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ที่ดูล้าสมัย 

ใช่ครับ ผู้คนทั้งในและนอกธุรกิจครอบครัวมักจะมองว่าธุรกิจกงสีเต็มไปด้วยปัญหา ฉะนั้นสิ่งที่ผมนำเสนอในเพจคุยกับกงสีจึงเป็นการบอกว่า ทุกโจทย์ ข้อสงสัย หรือปัญหาที่เกิดขึ้นมันสามารถแก้ได้ ใครที่เข้าไปอ่านจะสังเกตเห็นว่าผมแทบไม่นำเสนอเรื่องของปัญหา เพราะผมคิดว่าทุกคนย่อมรู้ปัญหาของตัวเองดีอยู่แล้ว เผลอๆ ดีกว่าผมด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมนำเสนอจึงเป็นเรื่องของทางออก หรือ Solution ของแต่ละประเด็นปัญหา ซึ่งจะทำให้คุณเห็นว่าเรื่องที่มันร้ายแรง จริงๆ ในสายตาของหลายครอบครัวมันมีทางออกเสมอ และมันสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงๆ 

จุดเริ่มต้นของปัญหาธุรกิจกงสีมักเกิดจากการทะเลาะหรือเห็นต่างภายในครอบครัว ถ้างั้นคุณมีข้อเสนอแนะในการจัดการปัญหานี้ยังไง

ผมขอแนะนำว่า ทุกๆ บ้านควรจะมีการวางกฎระเบียบร่วมกัน เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจในมือควรจะพัฒนาไปในทิศทางไหน จะเติบโตในรูปแบบธุรกิจเดิม หรือจะเติบโตขยายธุรกิจในรูปแบบใด ซึ่งผมเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ธรรมนูญครอบครัว’ 

กฎระเบียบของธรรมนูญที่ผมลิสต์ขึ้นมามีทั้งหมด 9 เรื่อง แต่มี 4 เรื่องที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นคือ วิถีของการทำธุรกิจครอบครัวคืออะไร หรือ ‘family value’ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายครอบครัวลืม ว่าเราอยากดำเนินธุรกิจให้ไปในทางไหน อยากให้ลูกหลานเรามีคุณลักษณะในการทำธุรกิจแบบไหนบ้าง ยกตัวอย่างเราอยากให้ธุรกิจครอบครัวของเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด เราก็ต้องฟูมฟักลูกหลานให้ดำเนินตามแบบแผนที่เราคิดว่าชัดเจนโปร่งใสที่สุด

เรื่องที่สองก็คือเรื่อง ‘หุ้น’ เพราะหุ้นของธุรกิจจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องของ ‘อำนาจความเป็นเจ้าของ’ และ ‘อำนาจการบริหาร’ ภายในองค์กร ดังนั้นจะต้องมีการกำหนดสัดส่วนหุ้นให้ชัดเจน

เรื่องที่สามคือเรื่อง ‘สิทธิ’ ของสมาชิกครอบครัวที่สามารถทำงานภายใต้วิถีครอบครัวได้ ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะบ่อยครั้งผมพบว่า ‘เขย-สะใภ้’ ซึ่งถือเป็นคนนอกของหลายครอบครัวที่แต่งเข้ามา พวกเขามักตกเป็นจำเลยของปัญหาธุรกิจครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขย-สะใภ้ ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเพียงผลลัพธ์ของปัญหาของการไม่พูดคุยตกลงกฎระเบียบภายในครอบครัวระหว่างกันแต่แรก ดังนั้นต้องกำหนดสิทธิของคนในครอบครัวที่สามารถยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจให้ชัดเจน เช่น ต้องเจาะจงเฉพาะคนในสายเลือดเดียวกันหรือเปล่า, เขย-สะใภ้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ไหม หรือแม้แต่บางบ้านที่มีบุตรบุญธรรม สิ่งเหล่านี้ต้องกำหนดให้ชัดเจน

สุดท้ายคือเรื่องของ ‘การดูแล’ จริงอยู่ว่าเราโฟกัสเรื่องของธุรกิจ แต่ความเป็นครอบครัวก็ต้องมีการดูแลกันและกัน บางบ้านอาจจะลงความเห็นว่าอยากให้มีสวัสดิการครอบครัว ช่วยซัพพอร์ตเรื่องของการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล รถยนต์สำหรับใช้งาน หรือที่อยู่อาศัย เป็นอีกเรื่องที่ต้องกำหนดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาที่ว่าใครขอคนนั้นได้ ใครดีใครได้ ซึ่งสิ่งที่อาจตามมาคือการผิดใจกันเอง

อีกหนึ่งในปัญหาสุดคลาสสิกที่ทำให้ธุรกิจกงสีไม่สามารถไปต่อได้ นั่นคือเรื่องความแตกต่างของ generation gap คำถามคือจะทำยังไงให้คนวัยต่างกันสามารถเปิดอกคุยเรื่องการทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา

 ผมยกตัวอย่างเคสจริงเคสหนึ่งที่พ่อกับลูกคุยกันเรื่องงาน ตอนแรกก็คุยงานกันดีๆ พ่อก็ตำหนิว่าทีหลังคุณอย่าทำงานพลาดแบบนี้สิ พลาดเหมือนเรื่องที่บ้านเลย ขนาดเรื่องง่ายๆ แค่ปิดไฟในห้องคุณยังลืมปิด คือคุยไปคุยมาทางคุณพ่อและลูกไม่สามารถแยกได้ระหว่างเรื่องของครอบครัวกับเรื่องของงาน ฝ่ายลูกก็รู้สึกถึงความไม่ชัดเจน ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเรื่องครอบครัวกับเรื่องงาน พานไม่พอใจการสนทนากับคุณพ่อ และเมื่อได้เจอหน้ากันครั้งต่อๆ ไปก็ไม่คุยกันมากขึ้น ทั้งตอนทำงานหรือตอนอยู่ที่บ้าน

ทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นแบบฝึกหัดให้กับทุกบ้านก็ว่าได้ นั่นก็คือ ก่อนที่ครอบครัวจะเริ่มมีการพูดคุยประชุมระหว่างกัน ให้ครอบครัวลองทำการตกลง ‘หมวก’ ซึ่งก็คือ ‘บทบาทหน้าที่’ ไม่ว่าจะเป็นการคุยส่วนตัวหรือการประชุมรวมให้ชัดเจน ว่าเรื่องที่เรากำลังจะคุยกัน เรากำลังคุยโดยสวมหมวกของประธานกับผู้จัดการของบริษัท สิ่งที่เราจะพูดก็เพื่อนำมาสู่การเข้าใจบริบทในการประชุม และจะสามารถทำให้การประชุมนั้นเกิดประสิทธิภาพได้สูงสุดครับ

แล้วถ้าจะทำให้ธุรกิจกงสีทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถก้าวไปสู่การเป็นธุรกิจระดับใหญ่ได้ต้องคำนึงถึงเรื่องไหนเป็นพิเศษ

Sizing ของแต่ละธุรกิจครอบครัวมีความต่างกันมากๆ แต่ปัจจัยแรกที่จะทำให้เกิดการยกระดับ คือการคุยกันเรื่องของอนาคต ถ้าคุณจะยกระดับ อนาคตครอบครัวของคุณต้องชัดเจน 

ปัจจัยต่อมาคือต้องแยกเรื่องของครอบครัวกับธุรกิจ บางบ้านแผนงานดีมาก แต่คนในครอบครัวไม่มีศักยภาพที่จะผลักดันแผนนี้สำเร็จ ยกตัวอย่างกรณีที่ผมเจอคือเขาต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ไปสู่ระดับสากล แต่คนในครอบครัวไม่มีใครมีความรู้เรื่องวิศวกรรม ไม่มีใครมีความรู้เรื่องของการควบคุมคุณภาพ หรือการทำบัญชี รวมถึงหากมองเข้าไปในกลุ่มผู้ถือหุ้น กรรมการ และผู้บริหารก็มีแต่ชื่อคนในครอบครัว คำถามคือเพียงแค่สมาชิกครอบครัวนั้นจะสามารถนำพาให้ธุรกิจเติบโตไประดับโลกได้จริงหรือ? เมื่อผมไปให้คำปรึกษาครอบครัวนั้น ทางเขาเลยเริ่มเข้าใจว่าการกระจายอำนาจตำแหน่งการบริหารให้มืออาชีพนั้นสำคัญ และสามารถทำได้ โดยยังมีกลไกป้องกันความเป็นเจ้าของธุรกิจให้ยังอยู่กับคนในครอบครัวอยู่

ฉะนั้นบทเรียนสำหรับเรื่องนี้คือ การแยกเรื่องการบริหารออกจากเรื่องของครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมองว่าควรทำเป็นอย่างมากถ้าต้องการให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตเป็นมืออาชีพ อย่างวิธีการเว้นตำแหน่งให้กับคนที่มีความสามารถนั้นจริงๆ ผมก็มองว่าสามารถทำได้ เพราะหากมอบหมายหน้าที่ให้แก่คนในครอบครัวเพียงอย่างเดียว ก็อาจเป็นการปิดโอกาสให้ธุรกิจได้เจอกับโอกาสที่สดใหม่และพลาดโอกาสที่ธุรกิจจะเติบโต

นอกจากเพจคุยกับกงสี คุณยังเปิดบริษัท Aunyanuphap Consulting ที่ให้คำปรึกษากับบริษัทที่เป็นกงสีโดยเฉพาะ ตัวคุณแยกการทำหน้าที่สองสิ่งนี้ยังไงในเมื่อมีเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน

ผมมองว่าสองอย่างนี้มันมีความแตกต่างกันมาก แต่ก็ตอบจุดประสงค์ในการช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวในภาพใหญ่เหมือนกันครับ การทำ Aunyanuphap Consulting คือการให้คำปรึกษากับลูกค้าตามโจทย์ที่เขาต้องการ แต่การทำเพจคุยกับกงสีคือการสร้าง awareness ให้กับทุกครอบครัวที่มีธุรกิจ ผมไม่ได้มองว่า ครอบครัวที่เข้ามาคุยกับผมจะต้องกลายเป็นลูกค้า ผมเพียงอยากแชร์ ให้เขารู้ว่าธุรกิจครอบครัวมีดียังไง บริหารอย่างไร รวมถึงให้เขารู้ว่าการทำธุรกิจครอบครัวไม่ได้เริ่มจากการมองสิ่งที่ตัวเองขาด แต่มองจากสิ่งที่ตัวเองมีแล้วค่อยวางแผนต่อยอดเพื่อรักษามรดกตกทอดของครอบครัวไว้

เคยนำบทเรียนที่ให้คำปรึกษาลูกเพจมาปรับใช้ในการบริหารองค์กรบ้างไหม

มีครับ ผมจะไม่เอาเรื่องของปัญหาส่วนตัวมาปนกับเรื่องของการทำงาน ผมจะเตือนตัวเองทุกครั้งว่าเรากำลังสวมหมวกใบไหนอยู่ขณะทำงาน อีกสิ่งที่หยิบมาใช้ในการบริหารองค์กรเป็นประจำคือ การสร้างความขัดแย้งแบบสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า constuctive conflict ซึ่งหลักการของสิ่งนี้คือคนที่ทำงานร่วมกันสามารถเห็นต่างได้ แต่การเห็นต่างต้องนำไปสู่การพูดคุย ตกผลึกทางความคิด และร่วมสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นให้แก่ธุรกิจ

ถึงตรงนี้ สิ่งที่คุณเรียนรู้จากการทำเพจคุยกับกงสีมีอะไรบ้าง

ผมขอมองในมุมที่ให้คำปรึกษาและการเขียนบทความอย่างเป็นประจำนะครับ ผมมองว่าการสร้างธุรกิจหรือครอบครัวที่ดี ยืดหยุ่น และเข้มแข็ง ต้องเริ่มจากการป้องกันมากกว่าแก้ไข เพราะการป้องกันคือการพูดคุยหาทางออกร่วมกันโดยที่ปัญหานั้นๆ ยังไม่เกิด ซึ่งเราสามารถพูดคุยปัญหาระหว่างกันได้อย่างเปิดอกและสบายใจมากกว่า รวมถึงสามารถหาทางออกตรงกลางได้อย่างครอบคลุมเหมือนเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ต่างจากการแก้ไขซึ่งเหมือนการที่วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก แม้เราปะหรือปิดมันแค่ไหนความผิดพลาดนั้นก็ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้อยู่ดี ผมเลยมองว่านั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ และมองว่าเรื่องของครอบครัวสามารถเป็นบทเรียนในการนำไปเริ่มต้นพัฒนากงสีของแต่ละคนได้เช่นเดียวกัน

แล้วอะไรคือสิ่งที่คุณอยากพัฒนาเพจคุยกับกงสีต่อ

เมื่อก่อนผมเขียนบทความจนเมื่อยมือ (หัวเราะ) แต่ก็เจอลูกค้าบางคนบอกกลับมาว่า เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมอ่านกันแล้ว เร็วๆ นี้เลยมีแผนที่จะชวนเพื่อนๆ ที่รู้จัก และทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นผู้มากประสบการณ์ที่ให้ปรึกษาทางธุรกิจครอบครัวด้านต่างๆ มาทำคอนเทนต์ พูดคุย และแชร์มุมมองในการให้คำปรึกษาจากประเด็นที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ หรือประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในแวดวงธุรกิจปัจจุบัน เช่น เรื่องเทคโนโลยี AI กฎหมาย ภาษี การตลาด การเงิน การบัญชี ฯลฯ มาเล่าผ่านรูปแบบ video interview ซึ่งทางผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนดังกล่าวจะกลายเป็นฐานความรู้ใหม่ให้กับธุรกิจครอบครัวทุกระดับ และสามารถนำสิ่งที่ชมไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจครอบครัวของพวกเขาได้อย่างมากที่สุดครับ

‘reShine’ นวัตกรรมขวดน้ำแร่รีไซเคิลได้ 100% ลดขยะพลาสติกได้ถึง 7,290 กิโลกรัม จาก Jiffy 

หนึ่งในความคลาสสิกของคนที่มีรถ หรือเดินทางออกต่างจังหวัดเป็นประจำ คือการสะสมขวดน้ำดื่มที่เป็นของแถมสมนาคุณจากการเติมน้ำมัน ไม่ว่าจะขวดเล็กหรือใหญ่ รู้ตัวอีกทีก็กองพะเนินเต็มเบาะหลัง ต่อให้ดื่มหรือนำไปใช้จนหมด สิ่งยังหลงเหลืออยู่ก็คือ ‘ขวดพลาสติก’ ที่นับวันรอกลายเป็นขยะ และกว่าจะย่อยสลายได้หมดก็อาจใช้เวลานานนับร้อยปีขึ้นไป

ฟังดูอาจเป็นเรื่องสามัญทั่วไป แต่หากขวดพลาสติกจำนวนมากอยู่ในมือทุกๆ คน นั่นเท่ากับการเพิ่มปริมาณขยะพลาสติกที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่กำลังวิกฤตทั่วทุกมุมโลก

แต่อย่างที่หลายคนว่าปัญหามักแก้ได้จากต้นทาง นั่นทำให้บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตัดสินใจร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรอย่าง ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ‘น้ำแร่จิฟฟี่’ ขนาด 500 มิลลิลิตรในแบบฉบับขวดรักษ์โลก ซึ่งผลิตจากเม็ดพลาสติก rPET ผ่านเทคโนโลยี ‘reShine’ ซึ่งสามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ 100%

นอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว อีกความพิเศษของน้ำแร่จิฟฟี่ในแบบฉบับขวดรักษ์โลก คือลักษณะของขวดมีความสว่างใสโดดเด่นบนชั้นวาง เป็นอีกจุดเด่นจากการผลิตด้วยนวัตกรรม reShine อีกทั้งยังได้รับการรองรับมาตรฐานการสัมผัสอาหาร (food contact) จากองค์การอาหารและยา (อย.) ไปจนถึงหน่วยงานระดับโลกอย่างองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐฯ (US. FDA) และหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA)

 พรรณวดี พุฒยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM ผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ 150 สาขา ระบุว่า ในแต่ละปีจิฟฟี่มีการผลิตน้ำดื่มมากกว่า 48 ล้านขวด ด้วยจำนวนปริมาณที่มาก สิ่งสำคัญที่ต้องทำไปด้วยในขณะเดียวกันคือการรับผิดชอบสังคม 

ขวดน้ำดื่มรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนี้จะสามารถช่วยลดจำนวนขยะพลาสติกได้มากถึง 7,290 กิโลกรัม, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 13,000 KgCO2e คิดเป็นจำนวนเทียบเท่าปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ใหญ่ 1,369 ต้น ในระยะเวลา 1 ปี 

สำหรับใครที่อยากลิ้มรสน้ำแร่คุณภาพมาตรฐานสากล จากแหล่งน้ำธรรมชาติอำเภอสามโคก และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือโลก สามารถหาซื้อน้ำแร่จิฟฟี่ขวดรักษ์โลกได้ที่จิฟฟี่ทุกสาขาทั่วประเทศ และสามารถติดตามข่าวสารของจิฟฟี่ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก JIFFY Thailand หรือแอดไลน์ @Jiffysho

8 บทเรียนสุดละม่อมของการทำร้านขายเครื่องเขียนฉบับ Lamune ที่อยากเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า

หากคุณเป็นคนที่หลงใหลในเครื่องเขียน สารพัดของกุ๊กกิ๊กสำหรับตกแต่งแพลนเนอร์ หรือสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ชวนให้หัวใจพองโต Lamune คือดินแดนที่คุณน่าจะหลงรักได้ไม่ยาก

Lamune หรือละมุน คือร้านขายเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน ของตกแต่งสุดน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นสมุดโน้ตแบรนด์ MIDORI ที่ละเอียดอ่อนในทุกหน้ากระดาษ ไม้ขีดหอมแบรนด์ hibi ไปจนถึงที่เย็บกระดาษสุดเนี้ยบแบรนด์ ZENITH จากอิตาลี และสินค้าอีกนับพันรายการ ที่นำเข้ามาจากหลายประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ

เหล่านี้คือสินค้าที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีจาก 2 ผู้บริหารคนสำคัญของร้าน จอย–จิตติมา อภิวาทน์วิทยะ และ อ๊อก–วริศ อารยสมบูรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ Capital เคยสนทนากับทั้งคู่ในฐานะ ICCP (ไอซีซีพี) บริษัทนำเข้าเครื่องเขียน อุปกรณ์ทำงานศิลปะและสินค้าไลฟ์สไตล์จากต่างประเทศในรายการ Day1 และ Add to Cart 

แต่ในวันที่ Lamune อีกหนึ่งธุรกิจของทั้งคู่ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2011 เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างการย้ายหน้าร้านจากสาขาสยามมายังปากเกร็ด Capital อยากชวนไปเยี่ยมเยือนร้านใหม่ของ Lamune พร้อมสนทนาถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผู้จำหน่ายเครื่องเขียนมัลติแบรนด์ไปพร้อมๆ กัน

1. ร้านขายเครื่องเขียนคือความละเอียดรอบคอบ

จุดเริ่มต้นของละมุน ไม่ได้เริ่มจากเครื่องเขียนที่หลายคนรู้จักในปัจจุบัน หากแต่มาจากอุปกรณ์ตัดเย็บ จอยเล่าถึงเรื่องนี้ว่า

“จุดเริ่มต้นของเรามาจากบริษัทโชคชัยพานิช (ICCP) ซึ่งอยู่ในแวดวงอุปกรณ์การ์เมนต์และการแพ็กกิ้งเสื้อผ้า ตอนนั้นเรามีซัพพลายเออร์ที่ทำอุปกรณ์แพ็กกิ้งเสื้อผ้า และเขาเสนอสินค้าที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ตัดเย็บให้เราลองเปิดตลาดในไทย เราเลยเริ่มต้นจากการขายอุปกรณ์ตัดเย็บ ก่อนที่จะค่อยๆ ต่อยอดมาเป็นเครื่องเขียนและศิลปะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 การเปลี่ยนจากอุปกรณ์ตัดเย็บมาเป็นเครื่องเขียนไม่ใช่เรื่องง่าย จอยเล่าว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบพลิกผัน แต่เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป เพราะต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดิมซึ่งคือกลุ่มนักเรียนตัดเย็บและแฟชั่นดีไซน์ โดยสินค้าชิ้นแรกที่เปลี่ยนจากอุปกรณ์ตัดเย็บมาเป็นเครื่องเขียนก็คือ มาร์กเกอร์ สำหรับร่างแบบเสื้อผ้า ซึ่งเป็นสินค้าที่เชื่อมโยงกับงานดีไซน์โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ความยากของการปรับตัวไม่ได้อยู่ที่การเลือกสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากค้าส่งไปสู่ค้าปลีก

“ความยากมันเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนจากขายส่งมาเป็นขายปลีก เราต้องโฟกัสรายละเอียดเยอะขึ้น ทั้งในแง่การบริการลูกค้า จากที่เคยขายส่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ๆ ก็ต้องมาบริการแบบตัวต่อตัว ลูกค้าแต่ละคนก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน 

“นอกจากนี้ จำนวนสินค้า (SKU) ก็มีความหลากหลายมากขึ้น จากหลักสิบไปถึงหลักพัน จนปัจจุบันมีมากกว่า 15,000 SKU เพราะสินค้าแต่ละประเภทมีรายละเอียดและการบริหารจัดการที่ต่างกัน เราจึงต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ

“ในช่วงแรก เราโฟกัสที่กลุ่มดีไซเนอร์และนักเรียนออกแบบแฟชั่น จากนั้นค่อยๆ ต่อยอดมาเป็นเครื่องเขียน ทำให้กลุ่มลูกค้าเริ่มขยายกว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษา คนรักเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะ” จอยย้อนเล่า

2. ไม่ใช่แค่เลือกของมาขาย แต่ต้องสร้างคอมมิวนิตี้ให้ได้  

จอยย้อนเล่าถึงช่วงเริ่มต้นของธุรกิจเครื่องเขียนในประเทศไทยว่า ในตอนนั้นวัฒนธรรมเครื่องเขียนยังไม่ได้รับความนิยมเท่าประเทศอื่นๆ ละมุนจึงค่อยๆ สร้างคอมมิวนิตี้ที่เชื่อมโยงผู้คนที่หลงใหลในเครื่องเขียน

“ตอนนั้นเรามีหน้าร้านสาขาแรกที่ชั้น 2 โรงหนังลิโด้ เพราะบริเวณนั้นมีโรงเรียนสอนตัดเย็บอยู่ 2 แห่ง ลูกค้ากลุ่มแรกจึงเป็นกลุ่มนักเรียนตัดเย็บและคนในแวดวงแฟชั่น แต่พอสินค้าของเราหลากหลายขึ้น ก็เริ่มมีกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่เดินแถวสยามให้ความสนใจ”

หลังจากอยู่ที่โรงหนังลิโด้ราว 1-2 ปี ละมุนได้ย้ายลงมาที่สยามสแควร์ซอย 10 ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งหลักของแบรนด์ในช่วง 8-9 ปีถัดมา อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการสิ้นสุดสัญญาทำให้ละมุนต้องปิดหน้าร้านที่สยาม ทีมงานจึงตัดสินใจรวมศูนย์และสร้างโชว์รูมไว้ที่สำนักงานใหญ่ในปัจจุบัน

“ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่โชว์รูมขายสินค้า แต่ยังเป็นออฟฟิศ พื้นที่จัดเวิร์กช็อป และสถานที่สำหรับพบปะพูดคุยกับซัพพลายเออร์ด้วย เรารวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว เพื่อให้การทำงานและการบริการลูกค้าครบวงจรมากขึ้น” จอยกล่าวเสริม

กลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน จอยอธิบายว่าลูกค้ากลุ่มเดิมอย่างนักเรียนหรือคนรักเครื่องเขียนยังคงอยู่ แต่ละมุนก็ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลายกว่าเดิม สินค้าที่เลือกมาจำหน่ายก็ไม่ได้เน้นแค่เครื่องเขียนหรืออุปกรณ์ศิลปะเฉพาะทางอีกต่อไป แต่ยังโฟกัสสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล่องใส่ของ ของตกแต่งบ้าน โคมไฟ เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนที่หลากหลาย  

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ละมุนยังร่วมกับ HITOTOKI by KING JIM แบรนด์เครื่องเขียนญี่ปุ่นชื่อดัง จัดเวิร์กช็อป customize notebook ขึ้นเป็นครั้งแรกในธีม Make your own HITOTOKI Note เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับผู้เข้าร่วม โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองใช้อุปกรณ์และตกแต่งสมุดในสไตล์ที่เป็นตัวเอง ทั้งยังมีทีมงานจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวแทนของแบรนด์มาร่วมพูดคุยและสร้างสีสันอีกด้วย

อ๊อกเล่างานเวิร์กช็อปครั้งแรกว่า “เราเชิญศิลปินมาร่วมเป็น special guest เพื่อแนะนำวิธีการใช้งานสินค้า ศิลปินจะช่วยให้ลูกค้าได้เห็นว่าสินค้าแต่ละชิ้นมีความพิเศษยังไง และมีวิธีใช้งานยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลูกค้าจึงไม่เพียงแต่ได้ลองสินค้า แต่ยังได้มุมมองใหม่ๆ จากศิลปินผู้สร้างสรรค์ด้วยตัวเอง”

3. ความต้องการและความเหมาะสม วิธีเลือกสินค้าอย่างละม่อมในแบบละมุน

“ปัจจัยแรกคือ requirement ของลูกค้า บางครั้งลูกค้าให้คอมเมนต์หรือข้อเสนอแนะ เช่น ช่วงแรกเราอาจไม่ได้จำหน่ายสีน้ำ แต่พอลูกค้ามีความต้องการ เราก็เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและเหมาะสมมาจำหน่ายเพิ่มเติม หลักๆ คือมาจากความต้องการของลูกค้าจริงๆ”

นอกจากการตอบสนองความต้องการของลูกค้า จอยยังกล่าวว่าอีกปัจจัยคือความต้องการของทั้งคู่ว่าอยากเห็นสินค้าอะไรหมวดไหน แบรนด์ไหนอยู่ในร้าน หรือดูว่าอยากนำเสนอสินค้าอะไรในประเทศไทย  

เอกลักษณ์หนึ่งของละมุนคือการเลือกสรรเครื่องเขียนจากญี่ปุ่นมาสู่มือคนไทย ด้วยทั้งคู่มองว่าคนไทยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว สินค้าจำพวกสมุด ปากกา และดินสอ จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการคัดสรร เนื่องจากวัฒนธรรมของไทยค่อนข้างคล้ายคลึงกับญี่ปุ่น มากกว่าสินค้าจากฝั่งยุโรป 

“ญี่ปุ่นมีดีไซน์และกราฟิกที่คนไทยชอบ สีโทนพาสเทลที่ดูนุ่มนวล ซึ่งไม่มีใครทำได้ดีเท่าญี่ปุ่น หรือแม้แต่คาแร็กเตอร์ต่างๆ อย่างแมวหรือสุนัข ก็ไม่มีที่ไหนที่ดีไซน์ออกมาได้น่ารักเท่าญี่ปุ่น เราเห็นแมวมาหลายแบบ ซึ่งแมวญี่ปุ่นน่ารักทุกเวอร์ชั่น ต่างจากคาแร็กเตอร์ฝั่งยุโรปที่อาจเข้าไม่ถึงเท่าไหร่

“ของน่ารักๆ ตลกๆ หรือวินเทจนิดๆ ก็ถูกใจคนไทย เช่น ดีไซน์ยุคโชวะที่ดูเก่าแต่ยังมีเสน่ห์ ญี่ปุ่นมีการรีไซเคิลวัฒนธรรมเก่าๆ กลับมาทำใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมและฤดูกาล ที่แม้ประเทศไทยจะไม่มีฤดูแบบเขา แต่เราก็อินกับความพิเศษของฤดูกาลในญี่ปุ่นได้ เช่น การช้อปสินค้าที่สะท้อนฤดูกาลต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยรู้สึกใกล้ชิดและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น”

ละมุนยังนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ ถ้าเครื่องเขียนญี่ปุ่นเน้นความละเอียดอ่อน อ๊อกเล่าว่าเครื่องเขียนจากเกาหลีก็จะนำเสนอตัวตนที่ตรงไปตรงมา ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังของการสื่อสารที่ชัดเจน การออกแบบเน้นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์และแสดงเอกลักษณ์ในแบบเฉพาะตัว 

ในสหรัฐฯ เน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ทุกสิ่งถูกออกแบบเพื่อใช้งานได้อย่างเต็มที่ ถ้าเป็นเครื่องเขียนจากเยอรมนี จะสะท้อนถึงนิสัยที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ยาวนานแม้ว่าบรรจุภัณฑ์อาจไม่ได้สวยงามมากนัก 

หรือเครื่องเขียนจากฝรั่งเศส ชื่อผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจะถูกตั้งอย่างละเอียดละออ และมีเรื่องราวประกอบ เช่น สีฟ้าจะไม่ใช่แค่ ‘สีฟ้า’ แต่ต้องเป็น ‘สีฟ้าน้ำทะเล’ หรือสีแดงที่อาจหมายถึงสีแดงจากภูเขาไฟในหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ความอลังการในแบบฝรั่งเศสเป็นการแสดงออกถึงรสนิยมและความโรแมนติกในชีวิตประจำวัน

หรือช่วงหลังมานี้ ประเทศฝั่งยุโรปหลายแห่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทุกอย่างต้องรีไซเคิลได้ ผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปยังเยอรมนีแพ็กเกจห้ามใช้พลาสติก ทุกอย่างต้องเป็นกระดาษ ต่างจากฝั่งเอเชียตะวันออก แพ็กเกจอาจต้องซับซ้อนมากขึ้นเพื่อให้เหมาะกับวัฒนธรรมผู้บริโภคในพื้นที่

4. ละเอียดถึงขั้นตอนการจัดเก็บเพื่อเซฟต้นทุนและส่งมอบของดีให้คนรักเครื่องเขียน

หากถามว่าอะไรคือความยากในการเลือกแบรนด์เครื่องเขียนเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย จอยและอ๊อกตอบว่า อย่างแรกคือการดูว่าสินค้าต่างประเทศเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยหรือไม่ 

ยกตัวอย่าง สีน้ำที่เป็นแท่ง ซึ่งใช้งานได้ดีในประเทศที่มีอากาศหนาว แต่เมื่อมาถึงไทย สภาพอากาศร้อนชื้นทำให้สินค้าละลายเสียหาย จึงต้องจัดเก็บในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอุณหภูมิอย่างดี

อีกตัวอย่างคือ เครื่องเขียนจากญี่ปุ่น เช่น สมุดแพลนเนอร์ การนำมาใช้ในไทยต้องดูว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง เช่น วันหยุดที่ไม่ตรงกันระหว่างไทยกับญี่ปุ่น หรือสมุดที่เขียนจากซ้ายไปขวา ซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้งานของคนไทย ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนนำสินค้าเข้ามา

นอกจากนี้ยังมีสินค้าในกลุ่มโลหะ การนำมาเก็บในเมืองไทยที่มีความชื้นสูง หากเก็บไม่ดีก็มีโอกาสเกิดสนิม หรือกระดาษวาดภาพ ถ้าเก็บรักษาควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมความชื้นไม่ดี สินค้าก็จะเสียหายได้

“เราใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น เพื่อจัดเก็บสินค้าที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเราเคยมีประสบการณ์แมลงสาบกัดกินสีน้ำ เพราะจัดเก็บไม่ดี หรือหมึกจากอเมริกาที่ขึ้นราเพราะอากาศชื้น ทุกวันนี้เรามีเครื่องฟอกอากาศทุกชั้น และจัดเก็บสินค้าในสภาพแวดล้อมที่เราควบคุมได้ 100%” จอยอธิบาย

ประสบการณ์กว่า 10 ปีในธุรกิจเครื่องเขียน สอนให้เราต้องละเอียดอ่อนมาก เมื่อก่อนมีปัญหาเราก็ปรับเปลี่ยน อะไรที่เราทำได้เราก็ทำ เพราะลูกค้าเรามีทั้งคนที่ทำศิลปะเป็นงานอดิเรกและมืออาชีพ ถ้าเขานำสินค้าไปใช้แล้วของเสีย หรืองานไม่มีคุณภาพ มันไม่ใช่แค่ปัญหาสินค้า แต่มันจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย เราจึงต้องมั่นใจว่าสินค้าในมือของลูกค้ายังคงคุณภาพเหมือนออกจากโรงงาน

“ผมยังคิดว่าการทำธุรกิจต้องมีสิ่งที่ช้าและเร็ว บางคนอยากได้ผลลัพธ์เร็วๆ ว่าดีหรือไม่ดี แต่บางอย่างเร็วไม่ได้ ต้องปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป ประสบการณ์กว่า 10 ปีสอนเราว่าความตรงไปตรงมาและการยอมรับปัญหาดีที่สุด เพราะสินค้าทุกอย่างเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างคือเราตอบสนองต่อมันรวดเร็วและจริงใจแค่ไหน” อ๊อกกล่าว 

5. จัดร้านให้เป็น ‘มิวเซียมที่มีชีวิต’ และใช้ storytelling สร้างประสบการณ์ 

ประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญในทุกธุรกิจ กับธุรกิจร้านขายเครื่องเขียน จอยอธิบายว่า Lamune จริงจังกับการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าทั้งหน้าร้านและออนไลน์

“เราอยากให้ร้านเหมือนมิวเซียมที่มีชีวิต เน้นคอนเซปต์เรียบง่าย แต่มี experience ให้ลูกค้า นอกจากแค่เห็นสินค้าที่วางขาย ยังสามารถสัมผัสและทดลองใช้งานได้ หรือจัดโซนสำหรับสินค้าใหม่ประจำเดือน เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ลูกค้าที่มาเยือน” จอยอธิบาย

อ๊อกเสริมเพิ่มเติมว่า “การจัดวางสินค้าในร้านไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เราคิดแล้ววาง แต่มันเกิดจากประสบการณ์ที่ต้องเข้าใจก่อนว่าสินค้าแต่ละแบรนด์มาจากไหน ผู้ผลิตตั้งใจนำเสนอยังไง หน้าที่ของเราคือการถ่ายทอดความตั้งใจของผู้ผลิตให้ลูกค้ารู้สึกให้ได้ การที่ลูกค้าได้เห็นและเกิดความเข้าใจในสินค้า นั่นเท่ากับว่าเราประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดสิ่งที่ผู้ผลิตต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าแล้ว” 

ทั้งคู่จึงหมั่นเทรนทีมงานทุกสัปดาห์เพื่อให้พนักงานพร้อมนำเสนอเรื่องราวให้ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน 

“การพรีเซนต์ของเราจะไม่ได้เป็นแบบทางเดียว (one-way) แต่น้องๆ ในร้านจะต้องมีส่วนร่วมด้วย มีการนำเสนอไอเดียว่าต้องการพรีเซนต์อะไร เพื่อให้เขาได้แสดงมุมมองในแบบที่เป็นตัวเอง ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจและความน่าสนใจในการพูดคุยกับลูกค้า” จอยอธิบาย

ส่วนช่องทางออนไลน์ ละมุนก็ไม่ทิ้งการส่งประสบการณ์ไปถึงลูกค้า เพราะไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, เว็บไซต์ รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee, Lazada และ TikTok ละมุนก็ทำทั้งคลิปและโพสต์เพื่อแชร์เรื่องราวของสินค้าเพื่อชี้ให้ลูกค้าเห็นถึงเรื่องราวเบื้องหลังอันน่าสนใจ 

ช่องทางออนไลน์นี้ จอยและอ๊อกยังอธิบายว่าละมุนเพิ่งขยายในช่วงการระบาดของโควิด-19 นี้เอง เพราะร้านละมุนที่สยามจำเป็นต้องปิดลง ลูกค้าก็ไม่สามารถออกมาซื้อของได้ จากที่ไม่เคยขายออนไลน์ ทั้งคู่ตัดสินใจในเวลาอันรวดเร็วว่าต้องรีบพัฒนาเว็บไซต์และช่องทางการติดต่อผ่านไลน์และอินสตาแกรม

“การไม่มีรายได้หมายความว่าเราก็จะอยู่ไม่ได้ด้วย เราขีดเส้นชัดเจนว่าสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมดต้องถูกนำลงในออนไลน์ และจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าเร็วที่สุด” อ๊อกว่าอย่างนั้น 

6. มาตรฐานแบบละมุนและการพร้อมปรับตัวเพื่อความยืดหยุ่นในทุกสถานการณ์ 

จากการติดตามภาพรวมของตลาดเครื่องเขียนอยู่ตลอด ทั้งการเก็บข้อมูลจากร้านตัวเอง และการสำรวจตลาดในวงกว้าง เพื่อดูว่าตอนนี้เทรนด์เป็นยังไง จอยและอ๊อกพบว่าตอนนี้สินค้าที่ราคาสูงอาจชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจทำให้คนไม่กล้าใช้เงิน ละมุนจึงเลือกสินค้าเข้าร้านที่จับต้องได้ง่ายขึ้น หรือเพิ่มสินค้าที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น 

อ๊อกยังเสริมว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศปราบเซียนสำหรับธุรกิจเครื่องเขียน หากดูสถิติจะพบว่าไม่มีร้านไหนเปิดได้นาน หลายๆ ร้านต้องปิดตัวลงหลังเจอโควิด บางร้านหันไปทำธุรกิจอื่นก็มี หรือโซนเครื่องเขียนในห้างที่ถูกลดพื้นที่ไปเรื่อยๆ 

ตลาดเครื่องเขียนในไทยไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันระหว่างร้านค้า แต่ยังต้องรับมือกับการเข้ามาของสินค้าจีนที่ตีตลาดด้วยราคาที่ถูกกว่า จอยยอมรับว่าสินค้าจีนส่งผลกระทบในบางกลุ่มลูกค้า เนื่องจากสินค้าจีนราคาถูกกว่า มีความสวยงาม และดึงดูดใจไม่แพ้เครื่องเขียนจากประเทศอื่นๆ แต่สำหรับกลุ่มคนในคอมมิวนิตี้เครื่องเขียนก็มักกลับมาเลือกสินค้าคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการได้จริง 

ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกสินค้าที่ราคาไม่สูงเกินไปเพื่อให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ทั้งคู่ยังทานทนกับแรงกดดันได้ก็คือการรักษาตัวตนของละมุนไว้

“เรามีมาตรฐานของเรา นั่นก็คือความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และพยายามรักษามาตรฐานให้คงที่ตลอด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า เพราะการที่ลูกค้ามาร้านมักจะมาพร้อมกับความเชื่อว่าสินค้าทุกชิ้นที่เรานำมามีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาหารีวิวเพิ่มเติม เพราะพวกเขาเชื่อว่าละมุนได้คัดกรองสิ่งที่ดีที่สุดมาให้แล้ว” จอยยืนยัน

7. ธุรกิจขายส่งและขายปลีก รูปแบบธุรกิจ 2 ขาที่เกื้อกูลกัน 

ทั้งคู่มองว่าการบริหารงานในธุรกิจขายส่งและขายปลีกนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นดิสทริบิวเตอร์ (ตัวแทนจำหน่าย) หรือ ICCP จะเน้นการสร้างภาพลักษณ์และการสร้างแบรนด์ รวมถึงการดูแลความสัมพันธ์กับดีลเลอร์ เช่น ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ, B2S หรือ Loft 

“เราต้องบริหารในเชิงสถิติ เช่น ยอดขาย ตัวเลข และข้อมูลที่ช่วยผลักดันสินค้าของแบรนด์ ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหรือฟีดแบ็กจากลูกค้าโดยตรง” จอยอธิบาย

ในส่วนของรีเทลเลอร์ (ค้าปลีก) ละมุนจะใกล้ชิดกับลูกค้าปลายทางมากกว่า การฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าโดยตรงช่วยให้ทั้งคู่เข้าใจว่าอะไรทำให้สินค้าขายได้หรือไม่ได้ ร้านละมุนจึงเหมือนเป็นสนามทดลอง ที่จอยและอ๊อกนำสินค้ามาลองขาย เพื่อทดสอบว่าสินค้าแบบไหนขายได้และเรียนรู้วิธีที่จะทำให้ขายได้สำเร็จ  

“ร้านละมุนไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านค้า แต่เป็นแหล่งเก็บข้อมูล เราเก็บทั้งฟีดแบ็กจากลูกค้าและข้อมูลความต้องการจริงๆ เพื่อปรับใช้ในพาร์ตขายส่ง การทดลองขายที่นี่ช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้ง และสามารถให้คำแนะนำดีลเลอร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น” จอยบอก

“การที่เรามีร้านละมุนทำให้เรานำสถิติที่ได้มาตอบคำถามที่ใหญ่ที่สุดของดิสทริบิวเตอร์ในไทยว่า ‘สินค้าตัวไหนขายดี?’ วิธีเดียวที่เราจะรู้คือเราต้องลองขายเอง ไม่ใช่การสั่งมามากๆ แล้วรอดูว่าขายดีหรือเปล่า เพราะบางครั้งการที่เราส่งของให้ดีลเลอร์แล้วเขาขายไม่ได้ เราก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราเลยทดลองที่ร้านละมุนก่อน ทั้งสองบทบาทนี้จึงเกื้อกูลกันในลักษณะการสร้างข้อมูลและการแบ่งปันประสบการณ์” อ๊อกเสริม

8. บทเรียนธุรกิจ 10 ปี สมดุลระหว่างความเร็วและความอดทน

จอยแนะนำว่าธุรกิจเครื่องเขียนในไทยมีความหลากหลายตั้งแต่ราคาหลักสิบถึงหลักพัน ดังนั้นผู้ประกอบการต้องชัดเจนในตำแหน่งทางธุรกิจ (positioning) ว่าต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายไหน ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดหรือพื้นที่ที่กำลังซื้อน้อย การขายสินค้าราคาสูงอาจไม่ตอบโจทย์ ต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและกำหนดจุดยืน 

นอกจากนั้นอ๊อกยังมองว่าสิ่งที่ควรจัดการให้ดีคือการบริหารค่าใช้จ่าย เพราะธุรกิจเครื่องเขียนไม่ใช่ธุรกิจที่ผิดพลาดได้มาก จึงต้องควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด เรื่องที่ควรประหยัดก็ต้องประหยัด แต่สำหรับประสบการณ์ของลูกค้าอ๊อกมองว่าห้ามประหยัด เพราะเป็นหัวใจของธุรกิจ หากรีบร้อนเกินไปจะเสี่ยงให้ cash flow ติดลบ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับธุรกิจนี้

ทั้งสองเห็นพ้องกันว่า ธุรกิจเครื่องเขียนไม่ใช่เรื่องของความเร็ว แต่คือการสร้างความมั่นคงระยะยาว ต้องอดทน เรียนรู้ และปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอดได้ในตลาดที่ท้าทายนี้ 

“สิ่งสำคัญคือไม่ควรรีบร้อน เครื่องเขียนเป็นของที่มีความละเอียดอ่อนและมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย หากไม่มีประสบการณ์หรือข้อมูลที่เพียงพอก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก ดังนั้นต้องให้เวลาและหาประสบการณ์จากทั้งลูกค้าและซัพพลายเออร์” จอยถอดบทเรียนให้ฟัง

“ผมคิดว่าเราคงเหมือน traveler’s notebook เพราะตอนเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ เราก็มีแนวคิดอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับการใส่กระดาษรีฟิลอีกแบบ ตอนนี้เราโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ก็จะใช้รีฟิลอีกแบบหนึ่งคืออาจมีความมินิมอลและเรียบง่ายมากขึ้น

“หน้าปกของ traveler’s notebook ยังทำจากหนังแท้ที่ยิ่งใช้นานสีจะยิ่งสวย จะอีก 10 ปี หรือ 100 ปีปกของ traveler’s notebook ก็ยังเงางามอยู่เหมือนเดิม และการที่เราจับหรือใช้งานทุกวันก็เหมือนกับเป็นการขัดหนังไปในตัว  

“ทั้งเราและร้านก็อยากจะใช้ชีวิตให้ได้อย่างนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ยังเป็นปกแผ่นเดิมและคนเดิม แค่เวลาจะหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนที่อายุเยอะขึ้น มีความสวยงามและริ้วรอยเพิ่มขึ้นไปตามเวลา เราจึงต้องการขายของที่เติบโตไปกับคนใช้ตามกาลเวลา

“แต่ถ้าถามว่าตัวตนของร้านละมุนเหมือนอะไรก็คงเหมือน MIDORI MD Notebook เพราะเราไม่ต้องการสร้างความโดดเด่น หรือตะโกนออกมาให้คนอื่นรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ เราอยากจะอยู่นิ่งๆ อยู่ในมุมที่กลมกลืนกับทุกอย่าง มีความเรียบหรู ซึ่งเป็นสไตล์ที่เราอยากให้คงอยู่แม้จะผ่านไป 10 ปีก็เข้าได้กับทุกอย่าง” อ๊อกยืนยัน