Month: August 2024
26 ปีสุดสะแนน ร้านกินดื่มในเชียงใหม่ที่อยากให้ทุกคนมาแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเพื่อน
กลิ่นชื้นของดินยังอบอวลหลังฝนห่าเล็กเมื่อตอนบ่าย ท้องฟ้ายามเย็นของเชียงใหม่วันนี้มีเมฆไม่มาก ใต้เงาไม้เขียวชอุ่มที่มองไกลออกไปเห็นวิวภูเขา เรือนไม้ของ ‘สุดสะแนน’ ตั้งโดดเด่นอยู่ในซอยห้วยแก้ว 2 ที่ตั้งล่าสุดหลังจากการย้ายบ้านมาหลายครา
หากกลับไปดูรูปเก่าๆ อาจเห็นว่ารายละเอียดของเรือนไม้หลังนี้มีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่สำหรับใครที่เคยแวะเวียนมาและตกหลุมรักสุดสะแนนมาก่อน การก้าวขาเข้ามาที่นี่อีกครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน

สุดสะแนนเคยเป็นยังไงเมื่อ 26 ปีก่อน วันนี้สุดสะแนนก็ยังเป็นอย่างนั้น ร้านกินดื่มที่โดดเด่นเรื่องบรรยากาศเป็นกันเอง มีกวยจั๊บลาวและเกาเหลาแห้งสูตรลับคอยเสิร์ฟ ไหนกินกวยจั๊บญวนจะเหล้าพื้นบ้านกับดนตรีโฟล์กสดๆ ต้อนรับทั้งคืน นั่นจึงไม่แปลกที่ครั้งหนึ่งสุดสะแนนจะขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมตัวของนักคิด นักเขียน นักดนตรี และนักศึกษาในเชียงใหม่ จนปัจจุบันที่มีกลุ่มลูกค้าหลากหลายมากขึ้น แต่เสน่ห์ความเป็นกันเองแบบสุดสะแนนยังไม่หายไปไหน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะ ฮวก–อรุณ ศรีสวัสดิ์ ชายผู้ก่อตั้งที่ใครหลายคนเรียกติดปากว่า ‘พี่ฮวก’ พ่วงคำต่อท้ายว่านักดนตรีบ้าง นักเขียนบ้าง นักกิจกรรมบ้าง แต่คำที่ถูกเรียกต่อชื่อเขามากที่สุดก็หนีไม่พ้นชื่อร้านที่เขาสร้างมากับมือ
เราคุยกันตั้งแต่ยามเย็นจนถึงค่ำมืด คุยกันตั้งแต่เรื่องอาหารไปจนถึงธุรกิจ คุยกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเดินทางของร้านและอนาคตข้างหน้า เพื่อหาคำตอบที่เราสงสัยว่า อะไรทำให้สุดสะแนนเป็นร้านกินดื่มที่คนเชียงใหม่รักนักหนา

“ชอบอย่างนี้ก็เลยทำแบบนี้ บังเอิญว่ามีหลายคนที่ชอบเหมือนกัน”
เรื่องไม่ลับที่หลายคนอาจไม่รู้ คืออรุณไม่ได้ตั้งใจอยากทำธุรกิจของตัวเองแต่แรก
เขาเกิดที่อุบลราชธานี เดินทางจากบ้านเกิดมาเรียนศิลปะที่สุรินทร์ ก่อนจะรับจ้างเล่นดนตรีไปทั่วประเทศ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เชียงใหม่ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อนตอนเขาเป็นนักดนตรีอายุ 26 ปี ที่ทำวงชื่อสุดสะแนน (มาจากคำลาวโบราณว่า ‘สุดสายแนน’ แปลว่า สิ้นกรรม หมดทุกข์หมดโศก)
“เราเบื่อที่จะต้องเล่นตามใจเจ้าของร้าน ไม่ได้เล่นเพลงที่เราอยากเล่นสักที ช่วงนั้นเราทำเพลงตัวเองด้วย เราก็อยากเล่นเพลงของตัวเอง ประกอบกับช่วงนั้นงานเล่นดนตรีหายาก เราเลยคิดอยากเปิดร้านขายกวยจั๊บญวนตอนกลางวัน ก็มาได้ที่เป็นเพิงเล็กๆ ตรงหลังประตูวิศวะฯ มช.
“พอเปิดร้านก็มีพรรคพวกนักดนตรี นักเขียนมาเชียร์ เขาก็ถามว่าทำไมไม่ขายเหล้าและเล่นดนตรีด้วย เครื่องเสียงก็มี ร้านกวยจั๊บเลยกลายเป็นสุดสะแนน Pub and กวยจั๊บญวณ”

อรุณเล่าว่า เชียงใหม่ในตอนนั้นเต็มไปด้วยร้านลาบ ร้านเหล้าตอง ถ้าเป็นร้านกินดื่มที่มีดนตรีด้วยก็เป็นสเกลใหญ่ ราคาสูงไปเลย สุดสะแนนจึงนับเป็นร้านกินดื่มไซส์เล็กร้านแรกๆ ของเชียงใหม่ที่มีดนตรีบรรเลง
“ถ้าไปร้านอื่นอาจจะต้องฟังเพลงอย่างเดียว แต่ที่ที่ให้ลูกค้านั่งกิน ดื่ม คุยกันได้ถือว่ามีน้อย” นี่เป็น pain point อีกข้อที่เขามองเห็น
“เรายึดตามความชอบของเราด้วย เราชอบนั่งกินเงียบๆ ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ไม่ชอบให้ใครมารินเหล้าให้ พนักงานแค่เสิร์ฟก็พอ ชอบอย่างนี้ก็เลยทำแบบนี้ บังเอิญว่ามีหลายคนที่ชอบเหมือนกัน”

“คือไม่มีฟอร์มน่ะ แม้กระทั่งพนักงานเสิร์ฟก็ไม่มีชุด”
เพราะอรุณเป็นทั้งนักดนตรี นักเขียน และนักกิจกรรม ในยุคแรกสุดสะแนนจึงกลายเป็นแหล่งรวมตัวของคนคอเดียวกันที่แวะเวียนกันเข้ามาไม่ขาด ก่อนจะมีกลุ่มนักศึกษามาอุดหนุนเพราะตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย สุดท้ายคือชาวต่างชาติและคนวัยทำงานที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของร้าน
“เพราะบรรยากาศ ความเป็นกันเอง ความง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง” อรุณวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้หลายคนติดอกติดใจที่นี่
“คือไม่มีฟอร์มน่ะ แม้กระทั่งพนักงานเสิร์ฟก็ไม่มีชุด เรามีน้ำชาฟรีให้ด้วย ที่สำคัญคือมีอาหาร”
อาหารของสุดสะแนนเป็นเมนูที่ไม่เหมือนร้านไหน เพราะสะท้อนวัฒนธรรมอันหลากหลายที่ฝังรากอยู่ในตัวตนเจ้าของร้าน หลายเมนูหากินได้แค่ที่นี่เท่านั้น อย่าง ‘เกาเหลาคั่ว’ เมนูที่อรุณคิดค้นขึ้นจากวัตถุดิบของกวยจั๊บญวณ ประกอบไปด้วยหมูยอ หมูเด้ง ซี่โครงตุ๋น ปรุงรสให้กลมกล่อมได้ที่ เหมาะเป็นกับแกล้มคู่กับเครื่องดื่มเย็นๆ หรือ ‘ยำไก่ผักแพว’ สูตรประจำตระกูลรสชาติจัดจ้าน ได้แรงบันดาลใจมาจากยำไก่ของแม่ ทำจากไก่เนื้อแน่นและสมุนไพรพื้นบ้านของคนอีสาน
“เรามีเชื้อเวียดนาม 75% ตอนอยู่อีสานบ้านเรากินข้าวเหนียว กลางวันกินกวยจั๊บญวน กลางคืนกินข้าวสวย อาหารมีทั้งอีสานลาว เวียดนามอยู่บนโต๊ะ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเรา พอทำร้านเราก็อยากให้คนได้กินสิ่งที่เราคิดว่ามันดี มันอร่อย เมนูในร้านจึงหลากหลาย มีทั้งอีสาน เวียดนาม ไทย”



ในฝั่งเครื่องดื่ม ที่สุดสะแนนก็ภูมิใจเสนอทั้งเหล้านอกเหล้าไทยที่อรุณเชื่อว่าคุณภาพไม่แพ้กัน อย่างเหล้าตัวหนึ่งมาจากชุมชนสะเอียบ จังหวัดแพร่ ที่เขาไปเจอเข้าตอนเดินสายทัวร์ ทุกวันนี้ค็อกเทลสะเอียบก็กลายเป็นหนึ่งในค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่ใครต่อใครมาร้านจะต้องสั่งมาชิม
“แทนที่จะใช้ว็อดก้าหรือเตกีล่าที่ราคาสูง เราใช้สะเอียบสร้างเมนูใหม่ขึ้นมา เป็นเมนูที่ราคาถูกขึ้น ลูกค้าจะได้ถูกสตางค์ด้วย”
ว่าแล้วชายเจ้าของร้านก็ยกแก้วที่ว่ามาเสิร์ฟ ส่วนรสชาติแก้วนี้เป็นยังไง เราขออุบไว้ให้คุณไปลิ้มลองเอง


“เพราะเราเป็นนักดนตรีมาก่อนไง เราเลยไม่อยากตีกรอบ”
เสียงเพอร์คัชชั่นจังหวะปลุกใจดังคลอบทสนทนา เรากวาดสายตาไปที่ลานกว้างใจกลางร้าน พบเครื่องดนตรีชิ้นเล็กใหญ่ที่รอให้ศิลปินมาเปิดวง
อรุณบอกว่า ท่วงทำนองและการเสพดนตรีคือองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างที่ทำให้หลายคนกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง
“เราไม่ได้ฟิกว่าต้องเป็นดนตรีแนวไหน แต่เราชอบดนตรีที่ไม่อึกทึก ไม่ได้หนักหน่วง ฟังสบายๆ เหมือนกับบุคลิกร้าน เราไม่ได้บังคับนักดนตรีด้วยว่าต้องเล่นอะไร อาจเป็นเร็กเก้ แจ๊ส หรือเอาเพลงร็อกมาเล่นก็ได้” อรุณนิยาม
ทำไมถึงไม่อยากจำกัดแนวดนตรีล่ะ เราโยนคำถาม
“เพราะเราเป็นนักดนตรีมาก่อนไง เราเลยไม่อยากตีกรอบ เพราะตอนโดนตีกรอบเรารู้สึกเบื่อ” เขาตอบชัดถ้อยชัดคำ และเล่าต่อว่า วงดนตรีส่วนมากมักจะแต่งเพลงเอง แล้วนำเพลงที่ตัวเองแต่งมาเล่นครั้งแรกที่นี่ และลูกค้าก็เปิดใจฟังพวกเขาด้วยความยินดี นั่นทำให้สุดสะแนนขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่เปิดพื้นที่ให้กับนักดนตรีนอกกระแสหลายต่อหลายวง

อ้น เกิดสุข ชนบุปผา, คณะสุเทพการบันเทิง, สนิมหยก, สุขเสมอ, เขียนไขและวานิช ที่ว่ามานี้ล้วนเคยมาเล่นที่สุดสะแนนทั้งสิ้น หลายวงเติบโตจากวงโนเนมกลายเป็นวงดัง ในขณะเดียวกัน สุดสะแนนก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหมุดหมายที่นักดนตรีจากเหนือ ใต้ ออก ตก ไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้านอยากมาเล่นให้ได้สักครั้ง แม้จะไม่มีค่าจ้างให้ก็ตาม
“หลายวงอยากมาเล่นที่นี่เพราะขึ้นชื่อว่าผ่านสุดสะแนนแล้วเขาจะมีความภาคภูมิใจ อาจเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่มีที่เล่น เขาเขียนเพลงแล้วไม่มีที่ให้แสดงออก” อรุณวิเคราะห์
“การเปิดพื้นที่ส่งผลต่อร้านเช่นกัน เพราะมีหลายครั้งที่วงดนตรีเขาอยากเปิดคอนเสิร์ตของเขา เขาก็นึกถึงเราเพราะที่นี่มีทุกอย่างครบ เขาก็ได้มาเล่นขายบัตร ส่วนเราก็ได้ขายของ ก็วิน-วินทั้งสองฝ่าย”



“ความเป็นกันเองอาจจะน้อยลงบ้าง แต่มิตรภาพก็ยังไม่สูญหาย”
26 ปีผ่านไป จากร้านกินดื่มเล็กๆ ที่มีโต๊ะเพียง 8 โต๊ะ มีเมนูกวยจั๊บและของกินเล่นง่ายๆ ตอนนี้สุดสะแนนขยายร้านใหญ่โต จุคนได้หลักร้อย เหมาะกับทั้งการกินข้าวจริงจังหรือจะนั่งดื่มชิลล์ๆ
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือบรรยากาศแสนสบายใจที่อ้าแขนต้อนรับทุกคน
“ยุคแรกๆ ลูกค้าหลายคนที่มาจะมาคนเดียวได้ ถ้าไปที่อื่นเขาจะรู้สึกถูกมองว่าทำไมมานั่งดื่มคนเดียว แต่ที่นี่เขารู้สึกสบายใจ มานั่งเมื่อไหร่ก็ได้เพื่อนโต๊ะข้างๆ เหมือนมิตรภาพพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา จากที่เป็นลูกค้า เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกัน ถึงยุคนี้ร้านจะใหญ่ขึ้น โต๊ะเยอะขึ้น ความเป็นกันเองอาจจะน้อยลงบ้าง แต่มิตรภาพก็ยังไม่สูญหาย”
แน่นอนว่าในหลายปีที่ผันผ่าน กลุ่มลูกค้าและความต้องการของพวกเขามีเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัย สุดสะแนนก็ไม่อยู่นิ่ง ปรับตามใจลูกค้าได้เท่ากับที่ทำได้ อย่างช่วงที่คราฟต์เบียร์กำลังฮิตพวกเขาก็เข็นคราฟต์เบียร์ออกมาขาย หรือตอนไหนดนตรีโฟล์กกำลังมาแรง บางค่ำคืนนักดนตรีก็เน้นเล่นโฟล์กเป็นพิเศษ
“ความท้าทายของสุดสะแนนตอนนี้คือการเอาตัวรอด ด้วยฐานเราไม่มั่นคงด้วย ตั้งแต่โควิดเราเจอวิกฤตหนัก ไม่มีรายได้มา 3-4 ปี พอฐานเราไม่แน่น เราจะทำอะไรก็ลำบาก แม้กระทั่งปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง เราต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้ ไม่ต้องคิดทำอะไรใหม่ แค่ร้านยังไปได้ พนักงานมีเงินเดือน แค่นี้ก็ถือว่าบุญแล้วนะ”

“สุดสะแนนกลายเป็นครึ่งชีวิตของเราไปแล้ว”
แสงอาทิตย์ของวันเก่าค่อยๆ เฟดหายไป สวนทางกับแสงไฟของสุดสะแนนที่ค่อยๆ สว่างขึ้น เสียงสรวลเสเฮฮาของลูกค้ากลุ่มแรกในร้านดังคลอขณะบทสนทนาของเราดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย
เราเคยสงสัยว่าทำไมคนเชียงใหม่ถึงรักสุดสะแนนนัก ชั่วโมงกว่าๆ ที่ได้นั่งคุยกับอรุณให้คำตอบเราหลายข้อ แต่นอกจากบรรยากาศ อาหาร ผู้คน เราคิดว่าเหตุผลสำคัญคือสุดสะแนนรักและแคร์คนเชียงใหม่ไม่แพ้กับที่คนเชียงใหม่รักและแคร์สุดสะแนน
“ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ มีข้อดีหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือทำเลดี แต่เราก็เจอปัญหาคือเรื่องเสียงที่อาจรบกวนชาวบ้านในชุมชนรอบข้าง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาปิดร้าน แบนด์ที่เล่นอยู่อาจต้องงด การจัดอีเวนต์ต่างๆ อาจต้องเลี่ยงถ้าไม่จำเป็น
“สิ่งนี้เซฟร่างกายเราเองด้วยเพื่อให้ไม่ต้องทำงานดึกดื่น ในขณะเดียวกันก็เซฟชุมชนไม่ให้เดือดร้อน เพราะแค่มีคนเดือดร้อนคนเดียวเราก็ต้องรับผิดชอบแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญนะ เพราะเราจะทำธุรกิจที่ทำให้คนเดือดร้อนอยู่ เราก็ไม่สบายใจ เราก็ต้องแก้ปัญหาให้เขาให้ได้” อรุณย้ำ

26 ปีที่ผ่านมา สุดสะแนนเคยผ่านทั้งช่วงเวลาที่สุขสันต์และขมขื่นจนยิ้มไม่ออก หลายครั้งที่เจออุปสรรคแล้วคิดอยากเลิกทำธุรกิจ แต่อรุณก็มีเหตุผลที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาเดินต่อ
“ก่อนหน้านี้ตอนเจอวิกฤตโควิด เคยมีคนบอกเหมือนกันว่าให้เลิกทำ หมดยุคเราแล้ว แต่เราก็คิดว่าทำมาตั้ง 26 ปีแล้วจะทำอะไรต่อ ก็เลยลุยต่ออีกสักตั้ง อีกเหตุผลสำคัญที่อยากให้ทำต่อคือลูก เราไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกเลย ลิขสิทธิ์เพลงหรือเรื่องสั้นที่แต่งก็ไม่ได้รับความนิยมนัก เราก็มีสุดสะแนนนี่แหละเป็นสมบัติอย่างเดียวที่มี ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดร้านแล้วจะมีคำพ่วงต่อท้ายว่าเปิดมา 26 ปี เพราะฉะนั้นเราจะทำให้ร้านนี้ไปถึงลูกเรา แล้วเขาจะทำอะไรกับมันต่อก็เรื่องของเขา
“เราเริ่มต้นทำสุดสะแนนโดยไม่ได้คิดจากฐานธุรกิจ พยายามเลี่ยงความเป็นธุรกิจแต่ว่าสุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้หรอก เราไม่ได้เสียดายนะ แต่คิดว่าถ้าคิดเรื่องธุรกิจตั้งแต่แรกร้านอาจจะดีกว่านี้ แต่ในความที่ไม่เป็นธุรกิจจ๋า มันก็มีข้อดีคือทำให้บรรยากาศร้านของเราเป็นกันเอง บางทีทำเครื่องดื่มแจก บางทีก็เลี้ยงลูกค้า ลดราคาให้ สิ่งที่ได้กลับมาคือมิตรภาพ ความจริงใจ หลายคนเริ่มจากเป็นลูกค้าจนตอนนี้กลายเป็นพี่น้องกัน
“เราเริ่มทำร้านอายุ 26 ตอนนี้ร้านอายุ 26 สุดสะแนนกลายเป็นครึ่งชีวิตของเราไปแล้ว ถ้ามองตามอายุขัย อีกไม่นานเราก็จะตาย แต่ร้านมีสิทธิ์อยู่ต่อไปนะ เราก็อยากทำให้สุดสะแนนไปต่อให้ได้” อรุณปิดประโยคด้วยรอยยิ้ม

เนรมิตสีสันให้ขันอะลูมิเนียมลายไทย พลิกโฉมสังฆภัณฑ์สู่ไอเทมไลฟ์สไตล์ในแบบ Suchai Craft
ขันเงินลายไทย สังฆภัณฑ์และเครื่องครัวลายวิจิตร
ฟังดูไม่ใช่สินค้าที่คนรุ่นใหม่สนใจหยิบจับมาทำธุรกิจกันมากนัก แต่จะเป็นอย่างไรถ้าสองสาวคนรุ่นใหม่สายอาร์ตลบภาพจำสินค้าลายไทยแบบเดิมและใส่ความกิ๊บเก๋ ให้อะลูมิเนียมกลายเป็นไอเทมไลฟ์สไตล์และงานศิลป์
เฟิร์น–ธนัชชา ตั้งสุขสว่างพร และ หมิว–สาริศา ตั้งสุขสว่างพร Co-founder ของ Suchai Craft
แตกแบรนด์ใหม่จากการมองเห็นมูลค่าในธุรกิจอะลูมิเนียมของครอบครัวและเห็นโอกาสการนำข้าวของเครื่องใช้ที่คนไทยคุ้นเคยตั้งแต่โบราณมาตีความเป็นไทยในรูปแบบใหม่
“ช่วงที่เทรนด์งานอุตสาหกรรมคราฟต์เริ่มค่อยๆ เข้าสู่ขาลง รุ่นก่อนก็เคยคิดว่าจะเลิกทำดีไหมแต่พวกเราที่เป็นรุ่นหลานยังเห็นคุณค่าของมันอยู่ เห็นเทรนด์โลกที่กำลังมา คือความสนใจในสินค้าขนาดเล็กที่มีความเป็นไทย ก็เลยรู้สึกว่าสินค้าพวกนี้มันยังมีโอกาสต่อยอดและพัฒนาไปต่อได้”
สองสาวบอกกับเราพร้อมเปิดประตูโรงงานชวนพาเข้าไปดู
Clank…Clank…Clank
เพียงก้าวเท้าเข้ามายังโรงงาน เสียงโลหะ เสียงเครื่องจักรดังกุกกัก คละไปกับกองอะลูมิเนียมสูงใหญ่ตรงหน้าก็ทำให้เราสัมผัสได้ว่าสายการผลิตสินค้าเหล่านี้ต้องยิ่งใหญ่แค่ไหน เริ่มจากส่งแผ่นอะลูมิเนียมรูปกลมอ่อนนุ่ม เดินทางผ่านเครื่องจักรขนาดยักษ์เพื่อเข้ากระบวนการขึ้นรูป ตัดขอบ ปั๊มลาย และเคลือบให้แวววาวเงางาม
สิ่งที่พิเศษคือการปั๊มลายไทยบนอะลูมิเนียมเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ใช้เครื่องจักรผสมฝีมือช่างแกะสลักซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่ต้องใช้ความประณีตและยากจะลอกเลียนแบบ
วันนี้ Modern Nice คอลัมน์ที่พาไปเสาะหาแบรนด์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ฉีกนิยามใหม่จากของเดิม จึงขอพามาเยือนสุชัยโลหะการที่ขายส่งและส่งออกเครื่องครัวอะลูมิเนียมลายไทยรายใหญ่ของไทย

Life Wisdom
Family Know-How
อากงของเฟิร์นและหมิวอพยพมาจากจีนตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นลูกจ้าง ทดลองทำหลายอาชีพจนสุดท้ายตั้งหลักกับอาชีพช่างทำอะลูมิเนียม ด้วยความขยันขันแข็งทำให้สั่งสมความรู้และ know-how การผลิตจากศูนย์จนก่อตั้งโรงงานของตัวเองได้
โรงงาน ‘สุชัยโลหะการ’ เริ่มจากการผลิตสารพัดผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมขนาดเล็กแบบจิปาถะ ทั้งกิ๊บติดผม กิ๊บรัดสายไฟ ของเล่นเด็กอย่างขนมหม้อแกงจำลองขนาดจิ๋ว กระป๋องสเปรย์ เรียกได้ว่าลองผิดลองถูกมามากก่อนจะเจอหมวดฮีโร่ที่ผลิตแล้วขายดิบขายดีคือภาชนะและเครื่องครัว


สินค้าเด่นค้างฟ้าตลอดกาลคือขันเงินลายไทยที่นิยมใช้ในครัวเรือนและสรงน้ำพระประกอบเทศกาลสงกรานต์ งานบุญและงานประเพณีต่างๆ ซึ่งผลิตได้หลายขนาดตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลาง 5.5 ถึง 32 เซนติเมตร ไปจนถึงเครื่องครัวอะลูมิเนียมประเภทอื่นๆ ที่คนไทยคุ้นเคย อาทิ ปิ่นโต แก้ว เหยือก โถข้าว ถาด

เมื่อภาชนะอะลูมิเนียมเหล่านี้ผูกพันกับวิถีชีวิตและประเพณีไทยทำให้สุชัยโลหะการประสบความสำเร็จในการขายส่งให้ร้านสังฆภัณฑ์ ร้านเครื่องครัว โรงแรม รีสอร์ต ภัตตาคาร สวนอาหาร ทั่วประเทศไทยมากว่า 50 ปี
ในฐานะหลานอากง หมิวเห็นการสานต่อธุรกิจของรุ่นพ่อแม่ที่เน้นความคงเส้นคงวา ไม่โตหวือหวาแต่มุ่งมั่นให้ธุรกิจเดินหน้าไปต่อได้ เบื้องหลังรากฐานที่มั่นคงคือการทำสิ่งเรียบง่ายอย่างการพัฒนาเครื่องจักร สานต่อคอนเนกชั่นกับลูกค้าเดิมและช่างฝีมือเก่าแก่จนกลายเป็นต้นทุนสำคัญในธุรกิจจนถึงทุกวันนี้
“สิ่งที่เรียนรู้จากที่บ้านคือเวลาทำอะไรเขาจะไม่ทำเกินตัว เน้นขยัน ขยัน ขยัน แล้วลงมือทำ พอมีแล้วก็พัฒนาต่อ ค่อยๆ ขยับขยาย ไม่ลงทุนทำเยอะแล้วสุดท้ายเหมือนคนจมน้ำ จนทำให้ทุกวันนี้เวลาเจอวิกฤตอะไรธุรกิจก็ยังอยู่ได้”


ที่ผ่านมาธุรกิจเคยเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่เมื่อครั้งสินค้าสเตนเลสราคาถูกจากจีนเริ่มเข้ามาตีตลาดในไทยทำให้ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมประเภทไม่มีลายต้องยุติการผลิตไปหลายรายการเพราะไม่มีความแตกต่างจากสินค้าจีนและสู้ราคาไม่ได้
หมวดที่อยู่รอดได้คือสินค้าทุกชิ้นที่ประทับลายไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่จีนลอกเลียนแบบได้ยาก สุชัยโลหะการจึงไม่ใช่แค่โรงงานผลิตอะลูมิเนียมแต่เป็นผู้สืบสานงานศิลป์อันละเอียดอ่อนของช่างแกะสลัก




Collaborate to Create
เมื่อธุรกิจเดินทางมาถึงยุคทายาทรุ่นที่ 3 แทนที่จะมองอะลูมิเนียมเป็นสินค้าสำหรับขายเหมือนนักธุรกิจผู้บริหารโรงงานทั่วไป เฟิร์นและหมิวผู้เรียนสายศิลป์กลับมองข้าวของเครื่องใช้จากอะลูมิเนียมเป็น object งานศิลป์ที่นำไปใช้งานได้
เด็ก fine art (วิจิตรศิลป์) อย่างหมิวบอกว่าสิ่งสำคัญที่คณะให้มาคือการมีมุมมองที่แตกต่าง

“ตอนเรียน fine art จะมีกระบวนการคิดที่ช่วยในการทำภาพสุดท้ายในหัวให้ออกมาเป็นของจริง วิชาเมเจอร์ที่เราเรียนคือภาพพิมพ์ซึ่งไม่ใช่แค่การทำบนกระดาษแต่มันคือการเรียนเทคนิคการพิมพ์ของที่เหมือนกันออกมาซ้ำๆ ทำให้ได้ฝึกมองว่าสิ่งของเป็น object สามมิติไม่ใช่ของใช้ธรรมดา
“แล้วก็คิดต่อว่าจะนำ object นี้ไปทำอะไรได้บ้าง อย่างเช่น เรามองว่าขันคือสิ่งของที่เอาไปใส่อะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำอย่างเดียว เอาไปใส่อาหาร ใส่กิ๊บ ใส่เทียนไขก็ได้”

ส่วนเฟิร์นเรียนจบจากคณะภูมิสถาปัตย์ (Landscape Architecture) ที่มีกระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
“สถาปัตย์จะเป็นศาสตร์ art บวกกับ science คล้ายกับ fine art ตรงที่เรามองเป็นองค์รวมเหมือนกันว่าสิ่งของเป็น object สถาปัตย์สอนให้เราคิดครบทั้งกระบวนการ ไม่ได้คิดแค่ความสวยงามอย่างเดียวแต่คิดไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานด้วย ทำให้มองเห็นว่าสุดท้ายขันใบเล็กที่เราคิดว่าสวยงามนี้มันเอาไปดัดแปลงเป็นชาร์มห้อยกระเป๋าได้ด้วย”

จากภาพจำคุ้นชินว่าภาชนะอะลูมิเนียมต้องเป็นสีเทาเท่านั้น ทั้งคู่ก็ทดลองนำเทคนิคชุบสีอะลูมิเนียมที่เรียกว่าอโนไดซ์มาใช้ คนส่วนใหญ่นิยมใช้อโนไดซ์ในการแต่งสีท่อรถยนต์ กล่าวได้ว่าไม่ใช่นวัตกรรมใหม่แต่ยังไม่ค่อยมีใครนำเทคนิคนี้มาใช้สร้างสรรค์สีสันกับภาชนะอะลูมิเนียมมาก่อน
ภูมิปัญญาใหม่จึงเกิดขึ้นเมื่อเกิดการร่วมมือกันระหว่างโรงงานอะลูมิเนียมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสีอโนไดซ์ทั้งการเลือกโทนสีแปลกใหม่ ทดลองไอเดียใหม่ร่วมกัน และต่อยอดให้เครื่องครัวยังคงมาตรฐาน food grade ทั้งวัสดุและสีเพื่อให้ใส่อาหารและเครื่องดื่มได้โดยไม่เป็นอันตราย
นอกจากแต่งแต้มสีให้อะลูมิเนียมแล้ว ทั้งคู่ยังสร้างสรรค์ลายไทยร่วมสมัยลายใหม่ร่วมกับช่างแกะสลักเหล็กของโรงงาน ต่อยอดลายไทยโบราณเป็นลายไทยประยุกต์อย่างลายหัวใจที่แกะสลักด้วยลายเส้นไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำได้จริงด้วยการเชื่อมทักษะของช่างฝีมือและ know-how ของโรงงานเข้าด้วยกัน

Business Wisdom
Modern Functionality
จาก ‘สุชัยโลหะการ’ ที่ขายส่งในตลาด B2B มาตลอด ทั้งคู่แตกแบรนด์ใหม่ชื่อ ‘Suchai Craft’ เพื่อขายเฉพาะคอลเลกชั่นอะลูมิเนียมสีสดใสในหมวดสินค้าใหม่ที่เน้นความสวยงามในราคาพรีเมียม
“เราอยากลบภาพจำเดิมของขันลายไทยที่คนคุ้นเคยกันว่าจะต้องใช้ในงานบุญ งานสงกรานต์ ก็เลยคิดตรงข้ามไปเลยว่าเอาไปใช้ในงานสังสรรค์”
เฟิร์นบอกว่านี่คือเหตุผลที่ตั้งชื่อคอลเลกชั่นแรกว่า Time to Celebrate เพราะอยากพรีเซนต์สีฉูดฉาดของขันที่ได้แรงบันดาลใจจากสีของเครื่องดื่มม็อกเทลพร้อมโปสเตอร์ที่นำเสนอการใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ด้วยการนำขวดเครื่องดื่มในงานปาร์ตี้เสิร์ฟมาในขัน



คอลเลกชั่นถัดมาชื่อ Joy Luck Love ซึ่งเปิดตัวช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ประกอบด้วยแก้ว ถาด ขันในสีหวานแหววทั้งสีชบา ชมพู ม่วง เขียว และจัดสินค้ารวมกันเป็นเซตแบบง่ายๆ ในชื่อ Set of Joy, Set of Luck, Set of Love เพื่อให้คนเห็นโอกาสการนำไปใช้มากขึ้น



ส่วนคอลเลกชั่นล่าสุดคือ Kalm Kram ที่มาในโทนสีอินดิโก้แสนสุขุม ทั้งสีดำ สีน้ำเงิน สีฟ้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบสีคลาสสิก



ไม่น่าเชื่อว่าแค่แต้มสีให้อะลูมิเนียม ขันลายไทยที่มีภาพลักษณ์โบราณในสายตาคนรุ่นใหม่ก็กลายเป็นของใช้ที่สปาร์กจอยขึ้นมาได้ทันที
ที่ผ่านมานอกจาก Suchai Craft จะนำผลิตภัณฑ์เดิมมาทำสีใหม่แล้ว สองสาวยังบอกว่าอนาคตอยากสนุกกับการกล้าเล่นและกล้าทดลองมากขึ้น สินค้ากระจุกกระจิกอย่างชาร์มห้อยกระเป๋ารูปขันเป็นเพียงคอลเลกชั่นที่เพิ่งเริ่มต้นในการตีความผลิตภัณฑ์หมวดใหม่เท่านั้น ทั้งคู่จึงมีแผนปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและดัดแปลงชิ้นส่วนอะลูมิเนียมเพื่อออกแบบของตกแต่งบ้านซึ่งเตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้

“บางคนก็ซื้อขันของเราไปทำ installation art ซึ่งบางทีเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าสามารถเอาขันของเราไปทำแบบนี้ได้ อีกหน่อยไม่แน่ว่า Suchai Craft อาจไม่ได้นำเสนอสินค้าเป็นขันแล้วก็ได้” หมิวแย้มถึงความสนุกในอนาคต
Business Pilot
เส้นทางของ Suchai Craft เริ่มต้นจากพัฒนาสินค้าก่อนแล้วค่อยตามหาลูกค้าที่ถูกใจ จากแต่เดิมที่ธุรกิจครอบครัวเน้นขายส่งปริมาณมากในตลาด B2B เป็นหลัก ตอนนี้แบรนด์น้องใหม่หันมาจับกลุ่มลูกค้าหลากหลายมากขึ้นทั้ง B2C และ B2B ตามสเปกตรัมของเฉดสีที่มีมากขึ้น
มีทั้งคนที่ตั้งใจซื้อภาชนะไปจัดเซตทำบุญ รดน้ำดำหัว ไปจนถึงคนที่มองหางานคราฟต์สำหรับซื้อเป็นของฝาก ของขวัญ ของแต่งบ้าน และเมื่อแบรนด์มีโมเดลธุรกิจใหม่ที่รับ customize ขันหลากสีก็ทำให้มีลูกค้ากลุ่มใหม่เป็นร้านอาหาร บาร์ และสปาด้วย


บริการรับผลิตพิเศษตามออร์เดอร์เป็นสิ่งที่เฟิร์นมองว่าทำไม่ยากเมื่อธุรกิจครอบครัวปูพื้นฐานอย่างแข็งแรงไว้แล้ว
“ธุรกิจเดิมของเราดูแลทั้งต้นน้ำและปลายน้ำตั้งแต่ซื้อวัสดุอะลูมิเนียมจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เพราะเราคุมการผลิตเองหมดทำให้สามารถควบคุมคุณภาพ ดัดแปลงปรับเปลี่ยน จนรับทำแบบ customize ได้”
หมิวอธิบายว่าลูกค้าสามารถเลือกผลิตตามความต้องการได้ตั้งแต่สี โลโก้ ลายไทยของแบรนด์ตัวเอง “แทนที่จะขายทีละ 1,000 โหล ตอนนี้โหลเดียวเราก็ขายแบบ customize ให้ได้แล้ว สามารถเลเซอร์โลโก้บนพื้นผิวอะลูมิเนียมได้หมดเลยแต่ส่วนที่แนะนำให้ใส่โลโก้คือตรงก้นและด้านข้าง”
เนื่องจากการผลิตสินค้าแต่ละชิ้นใช้วัสดุอะลูมิเนียม 99.97% ทำให้รีไซเคิลผลิตภัณฑ์ทั้งชิ้นด้วยการหลอมแล้วเอามากลับมาผลิตใหม่ได้ทั้งหมด งานดีไซน์ของพวกเธอจึงจัดอยู่ในหมวดผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและเหมาะกับผู้ที่กำลังมองหางานคราฟต์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้วย

ตลอด 2 ปีที่ขายสินค้าใหม่ในตลาดใหม่ Suchai Craft ยังถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มบุกเบิกการขายช่องทางออนไลน์และออกบูทตามงานแฟร์ต่างๆ ทั้งคู่สนุกกับการเรียนรู้เส้นทางการทำแบรนด์เล็กๆ ในแบบของตัวเองซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ที่ต่างจากที่ครอบครัวเคยเดินทางมา
“สำหรับหมิว อย่าคิดอย่างเดียวให้ลงมือทำด้วย พอทำแล้วเราถึงจะเห็นทางไปต่อ ถ้าเกิดไม่กล้าทำก็ไม่มีใครมาบอกเราหรอกว่าต้องทำยังไง ก็ค่อยๆ ทำไปทีละนิด step-by-step ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ ว่าจะทำดีไหม กลัวทำแล้วขายไม่ได้ แต่พอลองทำแล้วก็ได้รับฟีดแบ็กที่ดีมากกลับมา”


“สิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับเฟิร์นเป็นเรื่องการลองตลาดใหม่ ด้วยความที่สินค้าเราใหม่มาก ยังไม่มีใครเคยทำขันสีๆ ในตลาดเลย ลูกค้าก็ยังไม่มีใครเคยเห็น เราก็เลยทำการตลาดเชิงรุกอย่างการออกบูทเพื่อเป็นการทดลองว่ากลุ่มลูกค้าเราคือใคร ราคาที่เราตั้งควรจะเป็นแบบไหน
“ความประทับใจคือเวลาออกบูทจะเจอลูกค้าหรือนักออกแบบคนอื่นๆ มีคนบอกเราว่าถ้าอยากรักษาคุณค่าของสินค้าที่มีความเป็นไทย เราต้องช่วยจับมือกันเดินหน้าต่อไปในรูปแบบของการคอลแล็บหรือสร้างสรรค์งานใหม่ เราก็อยากส่งต่อความคิดนี้และเป็นกำลังใจให้นักออกแบบหรือคนรุ่นใหม่ให้มีแรงทำงานสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าต่อไป”



Editor’s Note : Wisdom from Conversation
Know-How + Collaboration องค์ความรู้การผลิตดั้งเดิมจากธุรกิจครอบครัวผสานความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเทคนิคเฉพาะทางอย่างการทำสีอโนไดซ์เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้ธุรกิจ ทุกวันนี้อุตสาหกรรมคราฟต์ของไทยกำลังเสี่ยงโดนดิสรัปต์จากจีนที่ผลิตงานคราฟต์ได้ในปริมาณมากและราคาถูกกว่า โอกาสรอดคือการสานต่อภูมิปัญญาไทยให้กลายเป็นงานสร้างสรรค์ในเซกเมนต์สินค้าราคาสูง
Wisdom ของชีวิตและธุรกิจอันเรียบง่ายคือการตระหนักว่าเราไม่สามารถเสกธุรกิจจากองค์ความรู้ของผู้ผลิตฝั่งเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือข้ามสายเพื่อสร้างสิ่งใหม่ การสร้าง know-how ของสินค้าใหม่และโมเดลธุรกิจใหม่ยังเต็มไปด้วย unknown-unknown (สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้และนึกไม่ถึง) จึงต้องทดลองทำไพล็อต เพื่อทดสอบไอเดียธุรกิจและตลาดเพื่อแปลงไอเดียให้สามารถทำได้จริง
ช่องทางติดต่อ :
Facebook : SUCHAI CRAFT
Instagram : @suchaicraft.th
ช็อกโกแลตมัฟฟิน ผู้ชนะเหรียญทองตัวจริงในปารีสโอลิมปิก 2024
นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เห็นกิจกรรมหยุดเวลาระดับชาติชนิดที่ว่าถนนโล่งสนิท นอกบ้านเงียบสงัด แสงไฟจากจอทีวีตามห้องนั่งเล่นของแต่ละบ้านครึกครื้น เพราะทุกหัวใจและแรงเชียร์ของคนไทยทั้งประเทศต่างมุ่งตรงสู่สนามแข่งแบดมินตันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
20:40 น. ของคืนวันที่ 5 สิงหาคม 2567
วิว–กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตันไทยลงแข่งแบดมินตันชายเดี่ยวรอบชิงชนะเลิศกับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น จากเดนมาร์ก ถึงผลการแข่งขันออกมาว่าเราแพ้และได้ที่สอง แต่หากคุณเป็นอีกคนที่มองดูการแข่งขันตลอด 52 นาทีนั้น คุณคงเห็นแล้วว่า ไม่ได้มีแม้แต่นาทีเดียวเลยที่วิวทำให้พวกเราคนไทยรู้สึกเสียดายที่พลาดเหรียญทอง การเขยิบก้าวไปอีกก้าวของวิวทำให้วงการแบดมินตันบ้านเราได้เห็นเหรียญทองโอลิมปิกใกล้ขึ้นอีกนิด
ไอ้คำว่า ‘อีกนิด’ นั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน เราถึงจะได้เห็นนักแบดไทยชูเหรียญทองโอลิมปิก พวกเรารู้แต่เพียงว่า วันนี้พวกเราไม่ได้หยุดอยู่กับที่ และเราเดินก้าวมาข้างหน้าเรื่อยๆ จากจุดที่เคยได้แต่มองประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลย์หรืออินโดฯ คว้าเหรียญในกีฬาประเภทนี้
เกริ่นมาหลายย่อหน้า เพียงเพื่อจะบอกคุณว่า มหกรรมโอลิมปิกที่ปารีสครั้งนี้เราได้เห็นหลากหลายสีสันไม่น้อยทั้งในและนอกเกมกีฬา ตั้งแต่พิธีเปิดที่เป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกไปจนถึงเกมการแข่งขันที่ขับเคี่ยวและเรื่องราวข้างเคียงมากมายนอกสนามแข่งขัน
และเรื่องที่เราจะเล่าถึงในวันนี้คือเรื่องราวของเมนูอาหารชนิดหนึ่งที่ดูเหมือนกับว่าจะชนะใจอย่างเป็นเอกฉันท์ในสายตานักกีฬาโอลิมปิก ที่ปารีส 2024
และเมนูนั้นคือ ‘ช็อกโกแลตมัฟฟิน’
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนพิธีเปิดโอลิมปิกจะเริ่มต้นขึ้นเสียอีก โดยทั้งหมดเกิดขึ้นโดย เฮนริก คริสเตียนเซ่น (Henrik Christiansen) นักกีฬาว่ายน้ำจากนอร์เวย์ ผู้เริ่มต้นจุดกระแสช็อกโกแลตมัฟฟินไวรัลในหมู่นักกีฬา
ตามประสานักกีฬาที่มีแพลตฟอร์มโซเชียลเป็นของตัวเอง เฮนริกเริ่มทำคอนเทนต์เพื่อบันทึกเรื่องราวการแข่งขันโอลิมปิกของตัวเองตั้งแต่วันที่เขาก้าวเดินออกจากบ้านเพื่อไปปารีส คลิปตอนเขานั่งเครื่องไปปารีสกับเพื่อนร่วมทีม ไปจนถึงคลิปรีวิวอาหารการกินของหมู่บ้านนักกีฬา
และความป๊อปปูลาร์ของช็อกโกแลตมัฟฟินก็ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตรงนั้น
เฮนริกเที่ยวชิมอาหารต่างๆ ทั้งพาสต้า เกี๊ยวซ่า หมูเสียบไม้ ขนมจีบกุ้ง
เฮนริกไม่ได้เพียงแค่พาทัวร์ชิมอาหารเปล่าๆ เขายังให้คะแนนอาหารแต่ละอย่างด้วยตัวเองด้วย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8 คะแนนเต็มสิบ มีเพียงแต่ช็อกโกแลตมัฟฟินเท่านั้นที่เฮนริกใช้คำว่า ‘insane’ หรือจะแปลให้ดีคงแปลว่า ‘(อร่อย) จนบ้าไปแล้ว’ และช็อกโกแลตมัฟฟินก็ได้คะแนนจากเฮนริกไป 11 เต็ม 10!
วิดีโอสั้นคลิปนั้นของเฮนริกมีคนเข้าดูไป 3.5 ล้านครั้ง ต่อจากนั้นเฮนริกก็เริ่มทำคอนเทนต์เกี่ยวกับช็อกโกแลตมัฟฟินออกมาไม่หยุด ทั้งวิดีโอตอนเขากินมัฟฟินแล้วมีช็อกโกแลตติดปลายจมูก, วิดีโอสั้นๆ ที่ซูมเข้าซูมออกช็อกโกแลตมัฟฟิน, วิดีโอที่เขาแอบเอาช็อกโกแลตมัฟฟินแอบซุกไว้ในลิ้นชักที่ห้องนอนนักกีฬา, วิดีโอที่เขาถือช็อกโกแลตมัฟฟินเต็มมือเดินไปในหมู่บ้านนักกีฬา, วิดีโอที่เขาพากย์เสียงว่าเป็นมัฟฟินแมน รวมถึงวิดีโอที่ไวรัลและมีคนดูมากที่สุดของเขา คือวิดีโอที่เพื่อนนักกีฬาพูดกับเฮนริกว่า
“เฮ้ย นาย เรารู้สึกว่านายมา(โอลิมปิก)ครั้งนี้เพื่อมากินมัฟฟิน(เป็นหลัก)นะเนี่ย”
แล้วกล้องก็จับไปที่เฮนริกที่ริมฝีปากมีช็อกโกแลตเปื้อนอยู่เต็มคราบพร้อมหน้าที่โงหัวขึ้นมาจากช็อกโกแลตมัฟฟิน
และวิดีโอ 6 วินาทีนี้มีคนกดเข้าไปดูแล้วกว่า 16.8 ล้านครั้ง! ด้วยเหตุนี้เองเฮนริกจึงได้ฉายาจากชาวเน็ตไปโดยปริยายจากการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ว่า ‘มัฟฟินแมน’ หรือมนุษย์มัฟฟินนั่นเอง’
นอกจากเฮนริกแล้ว นักกีฬาคนอื่นๆ ของชาติอื่นๆ ก็คงเห็นพ้องต้องกันกับเฮนริกด้วยเช่นกันว่า ช็อกโกแลตมัฟฟิน คือหนึ่งในเมนูที่ดีที่สุดของหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ เช่น Lewis Clareburt นักกีฬาว่ายน้ำจากนิวซีแลนด์ก็ทำวิดีโอสั้นถือช็อกโกแลตมัฟฟินยืนเคียงคู่กับเฮนริก หรือจะเป็นนักว่ายน้ำสาวจากทีมสหรัฐฯ Torri Huske และ Abbey Weitzeil ก็ร่วมทำคอนเทนต์ช็อกโกแลตมัฟฟินกับเขาด้วยพร้อมรีวิวรสชาติของมัฟฟินว่ามันอร่อยแค่ไหน
นักว่ายน้ำจากออสเตรเลีย Brianna Throssell เอง จากตอนแรกที่ดูเพียงแค่รูปร่างภายนอกของเจ้าช็อกโกแลตมัฟฟินนี้ก็บอกว่า “น่าจะดูงั้นๆ” ก็ถึงขั้นต้องกลับคำเมื่อได้ชิมช็อกโกแลตมัฟฟินลงในคำแรก
นอกจากนักกีฬาทีมว่ายน้ำชาติต่างๆ ที่ไฮป์ช็อกโกแลตมัฟฟินตามเฮนริกแล้ว ช็อกโกแลตมัฟฟินก็ยังฮอตฮิตในหมู่นักกีฬาทีมอื่นและชาติอื่นด้วย เช่น Liam Corrigan (เลียม คอร์ริแกน) นักกีฬาเรือพายจากสหรัฐฯ ก็ติดใจในช็อกโกแลตมัฟฟินเช่นกัน
ในฐานะนักกีฬาที่ต้องรักษาร่างกายให้ฟิตที่สุด เลียมเองคิดว่าเขาไม่ควรกินของหวานๆ เข้าไปในร่างกายมากนักในช่วงการแข่งขันเพราะเขาต้องรักษารูปร่างและสภาพร่างกายให้พร้อมที่สุด เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะได้รับรู้กิตติศัพท์ความอร่อยของช็อกโกแลตมัฟฟินในหมู่นักกีฬามากมายขนาดไหนก็ตาม เลียมเองยังคงพยายามจะหลีกเลี่ยงการกินช็อกโกแลตมัฟฟินเรื่อยมา
จนกระทั่งทีมเรือพายชาย 4 คนของสหรัฐฯ ที่เลียมเป็นหนึ่งในทีมนั้นทำสถิติคว้าเหรียญทองทีมเรือพายให้อเมริกาในรอบ 64 ปี สิ่งแรกที่เลียมทำเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง คือการไปกินช็อกโกแลตมัฟฟิน!
และเลียมก็ไม่ต่อต้านลัทธิช็อกโกแลตมัฟฟินในหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิกที่ปารีสอีกต่อไป แต่กลับเข้าร่วมทีมมัฟฟินแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความนิยมในช็อกโกแลตมัฟฟิน จึงมีคนไปสืบเสาะว่าใครเป็นคนรับผิดชอบการทำช็อกโกแลตมัฟฟินในหมู่บ้านนักกีฬาในคราวนี้ ช็อกโกแลตมัฟฟินที่เนื้อเนียนนุ่มด้านนอก แต่กัดเข้าไปแล้วมีช็อกโกแลตลาวาไหลออกมาจากด้านใน นี่มันความผิดบาปที่น่ายินดีสำหรับคนรักษารูปร่างชัดๆ
และคนที่รับผิดชอบในการปรุงอาหารให้หมู่บ้านนักกีฬาในโอลิมปิกและพาราลิมปิกเกมส์ปี 2024 คือบริษัท Sodexo Live!
Sodexo Live! ให้สัมภาษณ์กับ PEOPLE ว่าพวกเขาคาดหวังจะเสิร์ฟช็อกโกแลตมัฟฟิน 100,000 ชิ้น! ในการแข่งโอลิมปิกและพาราลิมปิกในปีนี้ และตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะมีช็อกโกแลตมัฟฟินกว่า 2,000 ชิ้นถูกอบและบริโภคในแต่ละวันในหมู่บ้านนักกีฬา
ว่าแต่กระแสนิยมช็อกโกแลตมัฟฟินในหมู่นักกีฬาโอลิมปิกที่ปารีสมันส่งผลกว้างแค่ไหนกันเชียวน่ะเหรอ?
เนื่องจากว่าโอลิมปิกเป็นการแข่งขันกีฬาที่ 4 ปีมีครั้ง ประชาชนคนทั่วทั้งโลกต่างจับตาไปที่การแข่งขันและไลฟ์สไตล์ต่างๆ นอกเหนือเกมกีฬาในครั้งนี้ ฉะนั้นกระแสช็อกโกแลตมัฟฟินจึงไม่ได้ฮอตฮิตเฉพาะในหมู่นักกีฬาที่ปารีส แต่ผู้คนในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มที่เป็นแฟนกีฬาและได้รับรู้ถึงความเอร็ดอร่อยของช็อกโกแลตมัฟฟินต่างพากันทำคอนเทนต์และพากันไปกินและไปทำช็อกโกแลตมัฟฟินกันทั่วโลก
ครีเอเตอร์สายอาหารมากมายหลายคนทำวิดีโอพาไปกินช็อกโกแลตมัฟฟินร้านเด็ดที่เมืองตัวเอง ในขณะที่ครีเอเตอร์สายครัวอีกหลายคนทำคอนเทนต์แชร์สูตรเด็ดช็อกโกแลตมัฟฟินในแบบฉบับของที่บ้าน บรรยากาศความคึกคักของปารีสโอลิมปิกในครั้งนี้จึงไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะแค่ในวงการกีฬา แต่ยังส่งผลมาถึงวงการอาหารอีกด้วย
พอคนไปรีวิวร้านเบเกอรีที่ขายช็อกโกแลตมัฟฟินมากเข้า พากันทำช็อกโกแลตมัฟฟินมากเข้า เม็ดเงินที่ไหลเวียนเข้าสู่ธุรกิจอาหารก็พลอยสะพัดมากขึ้นตามไปด้วย ร้านขนมอบต่างๆ ก็จะมีบรรยากาศที่คึกคักมากขึ้น ร้านขายวัตถุดิบเบเกอรีต่างๆ ก็ขายดีตามกันไป และเราไม่ได้พูดถึงเฉพาะในสเกลของธุรกิจขนมอบและเบเกอรีที่ปารีสเท่านั้น นี่เรากำลังพูดถึงความคึกคักของธุรกิจอาหารในระดับโลกเลย
ถามว่าแล้วมีนักกีฬาไทยคนไหนบ้างไหมที่ได้ไปร่วมเข้าลัทธิช็อกโกแลตมัฟฟินกับเขาบ้าง เราก็เฉลยให้คุณได้เลยว่า ทีมชาติไทยได้ปอป้อ–ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตันไทยเป็นตัวแทนไปชิมช็อกโกแลตมัฟฟินมาแล้ว และปอป้อก็รีวิวเอาไว้ว่า “หอม อร่อย ไม่หวานมาก อร่อยสมคำร่ำลือ”
และอีกคนที่ร้อนแรงพอๆ กับมัฟฟินช็อกโกแลตในนาทีนี้ อย่าง วิว กุลวุฒิ ฮีโร่เหรียญเงินของคนไทยผู้ชนะแบดมินตันเดี่ยวชายผู้ที่เราเกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นบทความ ก็ไม่พลาดที่จะชิมเจ้ามัฟฟินช็อกโกแลต อันเลื่องชื่อนี้เช่นกัน เราได้โอกาสถามวิวตอนลงเครื่องกลับจากปารีสถึงไทยเกี่ยวกับมัฟฟินช็อกโกแลตอันเลื่องชื่อที่หมู่บ้านนักกีฬานี้ วิว กุลวุฒิ ตอบว่า “ได้กินครับ อร่อยดี เพราะเป็นคนชอบของหวานอยู่แล้ว”
นอกจากกีฬาแล้วก็น่าจะเป็นอาหารนี่แหละที่รวบรวมคนเราเอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนดูกีฬากับเพื่อน กับคนรักแล้วเราคิดว่าเราสนุกด้วยกันแค่ไหน ตอนเรากินข้าวด้วยกันกับเพื่อนกับคนรักเราก็มีความสุขไม่แพ้กันเหมือนกันนะ
ถึงจะยังไม่รู้ว่าประเทศไหนจะเป็นเจ้าเหรียญทองในปารีสโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ แต่เมนูที่ชนะเหรียญทองไปแล้วแน่ๆ แบบเป็นเอกฉันท์จากมติของเหล่ายอดนักกีฬาที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ร่วมกันลงคะแนนให้คงเป็นเมนูไหนไปไม่ได้นอกจาก
ช็อกโกแลตมัฟฟิน
อ้างอิงข้อมูล
- foxnews.com/food-drink/olympics-chocolate-chip-muffins-go-viral-entice-paris-athletes-insane-quality
- people.com/us-athletes-share-real-scoop-olympic-village-chocolate-muffins-exclusive-8690171
- sodexo.com/blog/our-everyday-stories/business-stories/2024/sodexo-live-menu-tasting
- npr.org/2024/07/31/nx-s1-5058807/olympics-chocolate-muffins-henrik-christiansen
- nbcboston.com/paris-2024-summer-olympics/liam-corrigan-team-usa-rowing/3446702
- tiktok.com/@henrikchristians1
- tiktok.com/@popor_sapsiree/video/7399523551033691408
รับมือยังไงเมื่อธุรกิจจีนบุกไทย 4 วิธี survival ที่พลิกเกมพาธุรกิจไปต่อ
ในโลกปัจจุบัน หนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดอาจไม่ใช่สนามรบทางทหาร แต่เป็นสนามแข่งขันทางเศรษฐกิจที่กองทัพนักลงทุนและนักธุรกิจจีนกำลังส่งสัญญาณเตรียมบุกตลาดไทยอย่างหนักหน่วง ด้วยมาพร้อมกับทุนมหาศาลและเทคโนโลยีล้ำยุค ราวกับกองทัพที่พรั่งพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย
ทั้งการบุกตลาดด้วยกลยุทธ์ที่แยบยล นำเสนอสินค้าราคาถูกที่คู่แข่งยากจะสู้ต้นทุนได้ พร้อมบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างตรงจุด ที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นสัญญาณอันตรายจากแบรนด์จีนที่แค่เริ่มตีตลาดไทยก็สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนธุรกิจทุกวงการ
ตั้งแต่ Mixue แบรนด์ไอศครีมและชานมมาแรงที่เน้นขายถูกพร้อมขยายสาขาอย่างรวดเร็ว, Zhengxin ร้านไก่ทอดที่ราคาเริ่มต้นเพียงชิ้นละ 15 บาท, Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เตรียมถล่ม SME ไทยด้วยการขายของ ‘โคตรถูก’ รวมไปถึงการดิสรัปต์ฐานการผลิตในหลายอุตสาหกรรม อย่างการปลูกและขายผลไม้เศรษฐกิจอย่างทุเรียนที่จีนก็พร้อมเปิดศึกพร้อมสู้กับไทยเรียบร้อยแล้ว


ในวันที่ธุรกิจจีนกำลังเปลี่ยนโลกและหลายคนกำลังกังวลว่าจะเป็นเหยื่อหรือผู้รอดชีวิตในสงครามนี้ ข่าวดีคือหากเตรียมปรับตัวและศึกษาเทรนด์ธุรกิจจีนที่กำลังจะปฏิวัติโลกก็ยังพอมีหนทางเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสและสร้างคุณค่าใหม่ให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้
ภาษิตจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง’ ดังนั้นก่อนจะเตรียมแผนรบ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการศึกษาความเก่งกาจของธุรกิจจีนกันก่อนว่าเป็นคู่แข่งที่เปิดศึกใดในสนามรบบ้าง

ศึกสินค้าราคาถูก
จุดแข็งของกองทัพธุรกิจจีนคือสามารถผลิตสินค้าราคาถูกมากด้วยต้นทุนแรงงานต่ำ มีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่และซัพพลายเออร์จำนวนมากพร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า การเข้าไปแข่งในสงครามราคากับจีนจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะสู้ได้
ในอดีตสินค้าราคาถูกจากจีนส่วนใหญ่เหล่านี้มักมีภาพลักษณ์และเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าคุณภาพไม่ดี อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ของ Made in China ในทุกวันนี้ไม่ได้แปลว่าจะมีคุณภาพต่ำเสมอไป ดังจะเห็นตัวอย่างในปัจจุบันที่แบรนด์จีนนำนวัตกรรมมาพัฒนาให้สินค้ามีคุณภาพมากขึ้นในราคาที่ถูกลงจนสามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ได้อย่างสบาย เช่น แบรนด์ Huawei และ Xiaomi

ศึกจ้าวแพลตฟอร์ม
ที่ผ่านมาแพลตฟอร์มจากจีนเข้ามาเป็นหนึ่งในช่องทางที่คนไทยนิยมช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้างกฎใหม่และขึ้นค่าธรรมเนียมกับผู้ประกอบการไทยเมื่อไหร่ก็ได้ การเข้ามาของแพลตฟอร์มเหล่านี้จึงเปลี่ยนโฉมหน้าวงการอีคอมเมิร์ซและการตลาดดิจิทัลในไทยไปอย่างมากในทุกๆ ครั้ง ยิ่งมีหน้าใหม่อย่าง Temu ที่เตรียมพาโรงงานผลิตจากจีนในแทบทุกวงการมาขายทางอีคอมเมิร์ซก็ยิ่งเป็นการบีบให้ผู้ประกอบการไทยวนมาสู้ในสงครามราคาแถมต้องสู้กับธุรกิจจีนในระดับภูมิภาคซึ่งทำให้เสียเปรียบอย่างมาก
ศึกจอมยุทธ์เทคโนโลยี
จีนยังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศจอมยุทธ live commerce มีท่าพิฆาตคือความเชี่ยวชาญในการไลฟ์สดโดยบริษัทใหญ่ในจีนจะมีห้องไลฟ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งล้ำหน้าไทยที่เพิ่งอยู่ในยุคเริ่มต้นในการไลฟ์ ธุรกิจจีนยังจริงจังกับการเก็บข้อมูลและสร้างระบบหลังบ้านที่เป๊ะ เช่น การขนส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบรวดเร็วภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมงเท่านั้น หรือที่เรียกว่า instant retail เพื่อมุ่งสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น
โอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสู้กับศึกหนักเหล่านี้ได้คือการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง หาสนามรบใหม่ สร้างกองทัพ เตรียมอาวุธใหม่เพื่อสู้กับกองทัพจีน และเหล่านี้คือ 4 วิธี survival ที่จะช่วยพลิกเกมพาธุรกิจไทยไปต่อ
1. สู้ราคาด้วยคุณภาพลักชูรี่
แทนที่จะแข่งขันในตลาดแมส (mass market) และสู้ในสงครามราคาที่ไม่มีทางชนะ ควรหันมาสร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมหรือลักชูรี่ที่เน้นคุณภาพ วัสดุ ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจ่ายในราคาสูงขึ้นเพื่อแลกกับประสบการณ์และคุณภาพที่เหนือกว่าสินค้าพรีเมียมอาจเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นสินค้าที่มีรสนิยมเฉพาะ อย่างเช่น อาหารหรือสินค้าแฟชั่นที่ใช้กระบวนการทำพิเศษซึ่งลอกเลียนแบบได้ยาก ใช้วัตถุดิบหรือวัสดุที่มีคุณภาพพิเศษ วิธีนี้จะช่วยสร้าง โอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น
2. นำเสนอบริการและประสบการณ์สุดพิเศษ
การนำเสนอบริการและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครจะช่วยสร้างความแตกต่างจากธุรกิจที่ขายสินค้าคล้ายกันได้ เช่น ร้านชาที่ให้บริการชาแบบโอมากาเสะแทนการขายผลิตภัณฑ์ชาเพียงอย่างเดียว, ธุรกิจสุขภาพที่ขายผลิตภัณฑ์พร้อมบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นหากเจ้าของธุรกิจมีความเชี่ยวชาญและความรู้เฉพาะทางก็จะได้เปรียบในการคิดโมเดลหารายได้ใหม่เพื่อนำเสนอบริการใหม่ที่เชื่อมโยงกับแก่นของธุรกิจเดิม
3. สร้างแบรนด์และช่องทางการขายของตัวเอง
การมีช่องทางการขายของตัวเองคือสิ่งที่การันตีว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งต่อไปได้ไม่ว่าวันข้างหน้าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนจะเปลี่ยนหน้าตาไปขนาดไหนก็ตาม โดยช่องทางการขายของตัวเองสามารถสร้างได้หลากหลายรูปแบบทั้งเว็บไซต์และร้านค้าปลีก สินทรัพย์สำคัญอีกอย่างคือฐานผู้ติดตามที่เชื่อใจและพร้อมอุดหนุนแบรนด์ การสร้างแบรนด์จะช่วยให้ควบคุมภาพลักษณ์และเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านแพลตฟอร์มคนกลาง
4. สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (ecosystem) ของตัวเอง
การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ จะช่วยเสริมสร้างจุดแข็งและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจของผู้ประกอบการรายเล็กที่ต้องการการสนับสนุนทางทรัพยากรและเทคโนโลยี
ควรหาพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่การร่วมทุนวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ หาพันธมิตรที่ช่วยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและฐานลูกค้า ไปจนถึงนำระบบบริหารจัดการธุรกิจต่างๆ ของสตาร์ทอัพและผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมาใช้
การแข่งขันกับธุรกิจจีนนับเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ผู้ประกอบการไทยก็อาจสร้างความแตกต่างและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในแบบของตัวเองได้เช่นกัน บนเส้นทางการรบอันยาวไกลนี้ สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างคือกำลังใจ หากธุรกิจเดินหน้าไปต่อไม่ได้ก็ขอให้เชื่อมั่นว่าหากสร้างทักษะใหม่และหมั่นมองหาโอกาสใหม่ก็จะสามารถสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ได้
ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนมีหัวใจนักสู้ที่เชื่อมั่นเสมอว่าหากสงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหาร
อ้างอิงข้อมูล
- asia.nikkei.com/Business/China-tech/China-s-new-wave-of-live-commerce-relying-less-on-influencers
- investopedia.com/articles/investing/102214/why-china-worlds-factory.asp
- techbuzzchina.substack.com/p/need-for-speed-instant-retail
- reuters.com/markets/asia/thai-economy-faces-upheaval-due-factory-closures-cheap-chinese-imports-2024-07-14
ทำไมยางพาราและปลานิลสร้างรายได้ แต่ปลาหมอคางดำทำลายเศรษฐกิจ
รสของลมทะเลและกลิ่นของมอส ดินแดนทั้ง 5 ของ ‘สกอตช์วิสกี้’
‘สกอตช์วิสกี้ เริ่มต้นจากหินและน้ำ สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์และภูมิประเทศอันยาวนานของสกอตแลนด์’
คำกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงเปิดงาน Whisky Tales ของเบน มอร์ลีย์ ทูตพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย คำว่าประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนานนี้ ชวนให้นึกถึงทั้งที่มาของพื้นที่ธรรมชาติ ‘แบบสกอตแลนด์’ ดินแดนที่ทั้งสวยงาม ทว่าเต็มไปด้วยหินผา ลมทะเล และเหล่ามอสที่ปกคลุมสุดลูกหูลูกตา
ในภาพธรรมชาติที่แสนจะเฉพาะตัวของสกอตแลนด์ บางส่วนเกือบเรียกได้ว่าหนาวเหน็บและยากลำบาก น้ำจากก้อนดิน คลื่นลมแรงกล้า และปราสาทอันเคร่งขรึม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่ทั่วโลกรู้จักกันดีคือ สกอตช์วิสกี้ เครื่องดื่มที่ไม่ได้เป็นแค่สินค้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการพักผ่อนหย่อนใจ การดื่มกลายเป็นพื้นที่ของวัฒนธรรมและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมร่วมสมัยที่สกอตช์วิสกี้ เข้าไปแทรกซึมอยู่ในแทบจะทุกวัฒนธรรมการดื่มทั่วโลก

สกอตช์วิสกี้จึงเป็นส่วนหนึ่งทั้งจากการเก็บกักความเป็นธรรมชาติอันหลากหลายของพื้นท่ี ก่อนที่จะนำพาตัวตนของวิสกี้ที่ได้รับการหมักบ่มเป็นอย่างดีก่อนออกไปสู่ดินแดนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับวิสกี้ของสกอตแลนด์ โดยเฉพาะวิสกี้แบบซิงเกิลมอลต์มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 เขต แต่ละเขตมีภูมิประเทศที่เฉพาะเจาะจงและส่งผลกับรสชาติของตัววิสกี้ด้วย
จากที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ทำให้รสชาติของวิสกี้หลากหลาย พื้นที่เกาะที่ไม่มีที่เพาะปลูกแต่อุดมไปด้วยพีทมอส ไปจนถึงพื้นที่ราบต่ำที่รสชาติของวิสกี้จะบางเบากว่าจากการกลั่นและวิสกี้ของพื้นที่ราบนี้จะอบแห้งด้วยถ่านหินแทนพีทมอสทำให้ไม่มีกลิ่นควันเหมือนพื้นที่ที่ใช้เชื้อเพลิงจากบึงเลนของตัวเอง
คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ในครั้งนี้จะขอชวนทุกท่านท่องไปยังดินแดนทั้งห้าแห่งของสกอตแลนด์ คือเขตที่ราบสูงหรือ highland เกาะน้อยที่กิจกรรมการทำวิสกี้เป็นหัวใจของเกาะคือเขต Islay เขตที่ราบต่ำคือ lowland พื้นที่เมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงของวิสกี้ที่ชื่อว่า Campbeltown และพื้นที่ริมแม่น้ำสเปย์อย่าง Speyside

highland ดินแดนที่กลิ่นของดินและลมทะเลกระทบกัน
พื้นที่ไฮแลนด์ของสกอตแลนด์เป็นพื้นที่ทางตอนเหนือ เรียกได้ว่ากินพื้นที่กว่าครึ่งของสกอตแลนด์ นัยของการแบ่งพื้นที่ไฮแลนด์และโลว์แลนด์ของสกอตแลนด์มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
ในมิติทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ไฮแลนด์ค่อนข้างเต็มไปด้วยภูเขา ผู้คนอยู่อาศัยอย่างกระจัดกระจาย ด้วยความที่ข้าวบาร์เลย์และธัญพืชหาได้ยากกว่า หม้อกลั่นในแถบนี้จะมีขนาดเล็กกว่าแถบโลว์แลนด์ ทำให้กลิ่นรสของวิสกี้มีความเข้มข้นและหนักกว่า
พื้นที่ไฮแลนด์นับเป็นเขตที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุด มีภูมิประเทศหลากหลาย ด้วยขนาดและจำนวนผู้ผลิต วิสกี้จากเขตนี้จึงหลากหลาย มีรสชาติหวาน นุ่มนวล และจัดอยู่ในวิสกี้ที่ดื่มง่ายเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ บางแห่งอยู่ในแถบชายฝั่ง ที่มีลมทะเลพัดเข้าไปในโรงเก็บ เกิดเป็นคราบเกลือซึ่งซึมซับเข้าไปในกระบวนการหมักบ่ม ทำให้วิสกี้มีกลิ่นรสของผืนดินและลมทะเล บ้างก็มีกลิ่นของทุ่งหญ้า ผลไม้ และน้ำผึ้ง
สำหรับพื้นที่ไฮแลนด์ ในการแบ่งพื้นที่มักรวมพื้นที่หมู่เกาะทางตอนเหนือเข้าไปด้วย บางครั้งก็แยกส่วนหมู่เกาะออกเป็นเขตเฉพาะ ที่เขตเกาะ (the islands) ตัววิสกี้มีรสชาติเข้มข้นขึ้น สะท้อนภูมิประเทศที่ได้อิทธิพลจากลมทะเล การอบมอลต์ด้วยพีทมอส
หนึ่งในผู้ผลิตสำคัญคือแบรนด์ทาลิสเกอร์ (Talisker) บนเกาะสกาย (Skye) แบรนด์ทาลิสเกอร์เป็นอีกแบรนด์ในตำนาน รสชาติเข้มข้นแต่ยังดื่มง่าย Talisker 10 Years เป็นหนึ่งในวิสกี้ที่เจมส์ บอนด์ ดื่ม โดยปรากฏตั้งแต่ใน The World Is Not Enough ในปี 1999

พีท–กลิ่นควันกับเอกลักษณ์ของเกาะ Islay
เราเริ่มเรื่องของวิสกี้ด้วยการพูดถึงหินและทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ของสกอตแลนด์ นอกจากผืนดินที่เราคุ้นเคยแล้ว สกอตแลนด์ยังมีมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญคือ ‘พีท (peat)’
พีทเป็นซากพืชที่เน่าเปื่อยและทับถมกันเป็นเวลายาวนาน พีทมักพบในบริเวณบึงหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ มีรายงานว่าพีทกินพื้นที่ราว 23% ของพื้นที่ สำหรับผู้ที่สนใจด้านการเพาะต้นไม้อาจได้ใช้พีทมอสประเภทต่างๆ มาใช้เป็นวัสดุปลูก ซึ่งก็คืออย่างเดียวกัน
สำหรับสกอตแลนด์ พีทถือเป็นวัสดุเชื้อเพลิงประเภทหนึ่ง ตัวมันเองถูกเรียกว่าเป็นถ่านหินที่อายุน้อย สามารถนำไปเผาไหม้ได้ เป็นวัสดุที่ให้ความร้อนได้ดี เข้าถึงง่ายในบางพื้นที่ ในการทำวิสกี้ โรงกลั่นในบางพื้นที่โดยเฉพาะในเขตเกาะไอส์ลา (Islay) ซึ่งพีทเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายและใช้ในการจุดเพื่อรมควันและอบแห้งในกระบวนการทำมอลต์–คือการนำเมล็ดพันธุ์มาทำให้งอก การรมด้วยความร้อนเป็นการอบบาร์เลย์ที่งอกแล้วให้แห้ง ฆ่าเชื้อโรคและหยุดการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธุ์


ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดอีกจุดเด่นของสกอตช์วิสกี้ที่สัมพันธ์กับบริบทพื้นที่คือพื้นที่บนเกาะ การรมควันด้วยพีทเสมือนเป็นการเอาบางส่วนของบึงและพืชพรรณมาทำให้วิสกี้มีกลิ่นควัน มีรสชาติที่ค่อนข้างหนักแน่นอน รุนแรง บางครั้งจะเรียกว่า ‘ความพีท’ ซึ่งถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ อาจจะรู้สึกว่ารุนแรงไปหน่อย
สำหรับเกาะไอส์ลาถือเป็นอีกหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสกอตช์วิสกี้ ด้วยบริบทของเกาะมีตำนานเล่าว่ากิจการกลั่นวิสกี้บนเกาะเริ่มต้นจากพระชาวไอริชที่เริ่มทำเหล้าตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1300 ตัวเกาะปกคลุมไปด้วยบึงและพีท โดยเฉพาะพีทประเภทสแฟกนั่มมอส
ด้วยบริบทเกาะแห่งนี้จึงเป็นพื้นที่สำคัญในการผลิตวิสกี้มาอย่างยาวนานและคึกคักที่สุด รวมถึงเป็นหนึ่งในกลุ่มวิสกี้ที่รสเข้มข้นที่สุดพื้นที่หนึ่งของสกอตแลนด์ ว่ากันว่ารสชาติของวิสกี้กลิ่นควันคือตัวตนของเกาะไอส์ลานี่แหละ

lowland ดินแดนแห่งความนุ่มนวล
พื้นที่ราบต่ำ หรือโลว์แลนด์ (lowland) ถ้านิยามอย่างคร่าวๆ คือพื้นที่ครึ่งล่างของสกอตแลนด์ ตัววิสกี้ของพื้นที่โลว์แลนด์ค่อนข้างสะท้อนภาพภูมิทัศน์ที่มักเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี
ตัววิสกี้จึงมีลักษณะเบากว่า อ่อนนุ่มกว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและการเกษตร โรงกลั่นแถบโลว์แลนด์จึงมีชื่อเสียงจากวิสกี้จากธัญพืชประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่บาร์เลย์ ตัวพื้นที่สัมพันธ์กับเทคนิคแบบไอริชคือการกลั่นสามครั้ง (triple-distilled) แทนการกลั่นแบบสองครั้ง
ทั้งด้วยพื้นที่ที่เข้าถึงถ่านหินได้มากกว่า ไม่ต้องใช้พีท การรมเมล็ดพันธุ์ในกระบวนการทำวิสกี้จึงใช้ถ่านหิน ตัววิสกี้ที่ได้จึงไม่มีกลิ่นรสเข้มข้นของพีทที่อาจดื่มยากไปหน่อย นอกจากนี้ด้วยความบางเบากว่าวิสกี้ในภูมิภาคอื่นๆ วิสกี้ของโลว์แลนด์จึงมักมีบทบาทสำคัญในวิสกี้แบบเบลน (blended whisky) คือนำไปผสมกับวิสกี้อื่นๆ เพื่อให้ได้รสชาติที่อ่อนนุ่ม ดื่มง่ายมากขึ้น

Speyside ความอุดมสมบูรณ์ริมแม่น้ำ
คำว่าสเปย์ไซด์มาจากชื่อภูมิภาค Speyside หมายถึงพื้นที่บริเวณรอบๆ แม่น้ำสเปย์ (River Spey) ที่เป็นพื้นที่แห้ง อบอุ่น และแน่นอนเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวบาร์เลย์สำคัญ เมื่อมีไร่ข้าวบาร์เลย์ จึงไม่แปลกที่จะเกิดโรงกลั่นขึ้น ทั้งน้ำของแม่น้ำถือว่าบริสุทธิ์ คือมีแร่ธาตุต่ำที่สุดในสกอตแลนด์
โรงกลั่นส่วนใหญ่สัมพันธ์กับพื้นที่การเกษตรของภูมิภาค ตัวพื้นที่แถบแม่น้ำสเปย์เป็นพื้นที่แถบสเปย์ไซด์นับเป็นพื้นที่ที่มีโรงกลั่นหนาแน่นที่สุด ด้วยจำนวนผู้ผลิตวิสกี้กว่า 50 แห่ง นับได้ว่าเกือบครึ่งของวิสกี้ในตลาดมาจากเขตสเปย์ไซด์ หลายโรงกลั่นชื่อดังของสกอตแลนด์ก็มาจากภูมิภาคนี้เอง เช่น The Macallan และ Glenfiddich



Campbeltown อดีตที่เคยหอมหวาน
แคมป์เบลทาวน์เป็นเขตสุดท้าย ตัวเขตวิสกี้ที่เมืองแคมป์เบลเป็นเขตที่เล็กที่สุด เขตวิสกี้แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่รุ่งเรืองของการผลิตวิสกี้ ตัวเขตเมืองเป็นแหลมยื่นออกไปจากตอนใต้ของพื้นที่ไฮแลนด์ แต่เดิมมีผู้ผลิตกว่า 30 ราย แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3 รายเท่านั้น
ความเฟื่องฟูและถดถอยลงของวิสกี้เกิดจากวิสกี้จากแคมป์เบลทาวน์ที่เสื่อมความนิยมลง ลักษณะของวิสกี้ที่เขตนี้จะติดเค็มและเจือกลิ่นควันเนื่องจากเป็นเมืองท่าติดชายฝั่ง รสชาติส่วนใหญ่จะผสมทั้งกลิ่นของผลไม้แห้ง วนิลา และรสของท้องทะเล
นอกจากความนิยมที่ลดลงแล้ว พื้นที่เมืองท่าแห่งนี้ยังพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ในช่วงยุคห้ามขายสุราและยุคเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) จึงร่วมส่งผลกับกิจการโรงกลั่นในพื้นที่
สุดท้าย สกอตช์วิสกี้เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรม ทั้งตัววิสกี้เองที่เป็นผลผลิตและเป็นมรดกจากทั้งพื้นที่ธรรมชาติและประวัติศาสตร์การกลั่นและบ่มวิสกี้ในแถบไอร์แลนด์และสกอตแลนด์ รสชาติของวิสกี้ที่ทั้งได้รับการกลั่นและหมักบ่มกลับสามารถเก็บกักเอาเรื่องราวและซึมซับภูมิทัศน์อันสวยงามและเฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่ได้

ภาพของดินแดนทั้งห้านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมวิสกี้อันกว้างใหญ่ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่มีลักษณะเฉพาะ มักจะดื่มเพื่อรับรู้กลิ่นรสในตัวของมันเองและเชื่อมโยงเข้ากับความเฉพาะเจาะจงท่ีรสชาติของมัน
รสชาติที่พาเราเดินทางไปดินแดนที่เวิ้งว้างหรืออุดมสมบูรณ์ที่หลากหลายของสกอตแลนด์ เครื่องดื่มที่นำพาเอากลิ่นดิน หญ้า แร่ธาตุ และสายลมแห่งท้องทะเลติดมาในขวดแก้วด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก
- liquor.com/scotch-whisky-regional-guide-6747144
- travelandleisure.com/scottish-highlands-old-pulteney-whisky-distillery-8419688
- prestigehaus.com/blog/post/scotch-whiskeys-5-regions
- mensjournal.com/food-drink/wait-what-the-hell-is-peat-and-what-is-it-doing-in-my-whisky-w443949
- diageo.com/en/our-brands/scotch-whisky
- worldwhiskyday.com/what-is-peated-whisky
‘Beauty Coral Rescue’ เมื่อปะการังฟอกขาวขึ้นทุกวัน ภาครัฐและเอกชนจะทำยังไงได้บ้าง
นอกจากพิษฝุ่น PM2.5 และอุณหภูมิร้อนทะลุปรอทแตก อีกหนึ่งผลพวงจากวิกฤตโลกเดือดที่กำลังน่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ปะการังฟอกขาว’ (coral bleaching) ปัญหาที่เสี่ยงต่อความเป็นอยู่ของระบบนิเวศใต้มหาสมุทรโดยตรง
ปลาการ์ตูนสีสันสดใส หอยและหมึกนานาชนิด ดอกไม้ทะเล ไปจนถึงฟองน้ำหน้าตาพิลึก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กว่าร้อยละ 25 ล้วนพึ่งพิงแนวปะการังเป็นแหล่งอาศัย ปะการังยังทำหน้าที่เป็น ‘ป่าฝนแห่งท้องทะเล’ เพราะสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ประสิทธิภาพสูงกว่าป่าไม้บนผืนดินมากกว่า 10 เท่า แต่เมื่อน้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ปะการังจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาว และล้มตายในที่สุด

แม้สาเหตุที่แนวปะการังถูกทำลายจะมาจากอุณหภูมิโลกที่ผิดเพี้ยน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดทั้งมวล มนุษย์เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย ทั้งจากการทำประมงด้วยวิธีลากอวน แหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างก๊าซเรือนกระจกอยู่ตลอดเวลา ไปจนถึงเศษขยะ เศษพลาสติก น้ำเสีย และสารเคมีเจือปนที่มาจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
แต่ในเรื่องร้ายใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีให้เห็นเลย เมื่อกลุ่มผู้ประกอบการและผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มเล็งเห็นถึงปัญหาปะการังฟอกขาว พลันตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเดิมที่เคยทำมา ยกตัวอย่างในปี 2565 กับกรณีของ ‘MISTINE’ แบรนด์เครื่องสำอางระดับตำนาน ที่ตัดสินใจประกาศยกเลิกใช้สารเคมี 4 ชนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของปะการังโดยตรง ยามนักท่องเที่ยวใช้ทาก่อนลงทำกิจกรรมในทะเล ได้แก่ สาร Oxybenzone (Benzophenone-3 หรือ BP-3), สาร Octinoxate (Ethylhexyl Methoxycinnamate), สาร 4-Methylbenzylidene Camphor (4-MBC) และสาร Butylparaben
เวลาต่อมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็ได้ประกาศสั่งห้ามนำเข้าและใช้ครีมกันแดดผสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง บริเวณอุทยานแห่งชาติทางทะเลจำนวน 26 แห่ง แม้ประกาศดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลก เพราะหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ปาเลา อารูบา ออสเตรเลีย และเกาะบอร์เนียว ก็เป็นประเทศต้นๆ ที่ประกาศห้ามนำเข้าครีมกันแดดที่มีสารเป็นอันตรายต่อปะการัง ทว่านี่เป็น ‘กระดุมเม็ดแรก’ ที่ถูกติดได้ทันท่วงที ก่อนวิกฤตปะการังฟอกขาวในประเทศไทยจะลุกลามจนสายเกินแก้

ที่น่าสนใจ คือ MISTINE ยังรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของแนวปะการังอย่างต่อเนื่อง เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เพื่อลงพื้นที่เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต และเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่กำลังเผชิญปัญหาปะการังฟอกขาว รวมไปถึงเศษขยะบนชายหาด เพื่อรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียจากการใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีเป็นอันตรายต่อปะการัง

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องทำควบคู่ต่อเนื่องไปพร้อมกับการรณรงค์ นั่นคือการ ‘ฟื้นฟู’ แก่แนวปะการังที่เสียหายให้กลับคืนธรรมชาติอีกครั้ง ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบ่งวิธีการฟื้นฟูออกเป็น 3 ข้อใหญ่
- การฟื้นฟูโครงสร้างทางกายภาพ–ปรับปรุงคุณภาพของสภาพแวดล้อมรอบๆ แนวปะการัง เช่น การกำจัดมลพิษ การลดปริมาณตะกอน การฟื้นฟูแนวชายฝั่ง และการอนุรักษ์พื้นที่ปะการัง
- การขยายพันธุ์ปะการัง–เพาะเลี้ยงปะการังในสถานที่ควบคุมและนำกลับคืนสู่แนวปะการัง วิธีการขยายพันธุ์ปะการัง ได้แก่ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ และการขยายพันธุ์แบบพันธุวิศวกรรม
- ปกป้องปะการัง–เป็นการปกป้องปะการังจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น การทำประมง การท่องเที่ยว และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
หากเป้าหมายที่กล่าวมานี้ทำได้จริง ทรัพยากรแนวปะการังในประเทศไทย น่าจะสามารถฟื้นตัวและแตกหน่อแพร่ขยายใหม่ได้อย่างเต็มที่ และนำไปสู่การสร้างสมดุลธรรมทางทะเลได้อีกครั้ง
แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเล่าถึงปัญหาและการฟื้นฟูปะการัง แต่แก่นแท้จริงที่ต้องการสื่อสารออกไป คือเรื่อง ‘จิตสำนึก’ ในการทำธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรคำนึงถึงมูลค่าทางธรรมชาติ มากกว่าแค่มูลค่าทางกำไร เพราะธรรมชาติเมื่อถูกพรากไปครั้งหนึ่งแล้วก็อยากที่จะนำกลับมาใหม่
แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทุกวันนี้เราคำนึงถึงธรรมชาติมากพอแล้วหรือยัง?