มองภาพอนาคต ESG ของไทย เมื่อเหล่าธุรกิจต้องหันมาทำ Sustainable Transformation

ในแต่ละปีมักจะมีคำศัพท์ยอดฮิตที่คนในแวดวงธุรกิจมักจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันบ่อยครั้ง อย่างช่วงสามสี่ปีก่อนหน้าคงหนีไม่พ้นคำว่า digital transformation หรือไม่ก็ disruption ปีถัดมาคำที่เราจะได้ยินเป็นประจำก็หนีไม่พ้นคำว่า blockchain หรือไม่ก็ Bitcoin

จนมาถึงปี 2022 ที่ผ่านมา คงไม่มีคำไหนที่จะได้รับความสนใจมากไปกว่าคำว่า ‘ESG’ 

ESG นั้นย่อมาจาก environment (สิ่งแวดล้อม), social (สังคม) และ governance (ธรรมาภิบาล) เป็นเหมือนเช็กลิสต์ 3 ข้อหลักๆ ที่นักลงทุนเอาไว้ใช้ประเมินความยั่งยืนในแต่ละธุรกิจ 

อันที่จริง ESG ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนในอดีต ทรัพยากรของโลกที่เริ่มร่อยหรอลงจึงทำให้ช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทหันมาให้ความสำคัญและหยิบยกเรื่องของ ESG มาพูดถึงกันมากขึ้น

ก่อนเริ่มต้นปี 2023 เราจึงหยิบยกคำนี้ไปพูดคุยกับ อาจารย์เอก–อนันตชัย ยูรประถม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อชวนกันมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ผ่านมาและอนาคตข้างหน้าของ ESG ในไทย โดยสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนคือองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการให้ความรู้ด้านธุรกิจและสิ่งแวดล้อมมายาวนานราว 20 ปี ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่คำว่า CSR จะได้รับความนิยมในไทย หน้าที่ของพวกเขาคือการเอางานวิจัยต่างๆ ที่อยู่บนหน้ากระดาษมาทำให้เกิดการปฏิบัติจริงได้ จนองค์กรนี้กลายเป็นเหมือนคอนซัลต์ที่คอยให้คำปรึกษากับบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม และยังมีการร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาเป็นเวลาสิบกว่าปี เพื่อทำหลักสูตรอบรมด้านความยั่งยืนให้กับเหล่าบริษัททั้งหลายที่อยู่ในตลาดฯ 

นอกจากการตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้นของสังคม การปรับตัวขององค์กรให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป 

ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มานาน เราจึงชวนอาจารย์เอกมาพูดคุยกันเรื่อง ESG ทั้งในแง่มุมของการตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้นของสังคม การปรับตัวขององค์กรให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงเรื่องของกลยุทธ์ในธุรกิจ เพราะภาพลักษณ์ของธุรกิจคงไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่จะทำให้หลายองค์กรตัดสินใจให้ความสำคัญกับ ESG

วิวัฒนาการ (อย่างย่อ) ก่อนคำว่า ESG จะได้รับความนิยมในไทย 

เพื่อให้พูดคุยเรื่อง ESG ได้อย่างเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาจารย์เอกจึงเล่าย้อนถึงที่มาที่ไปให้ฟังกันก่อนว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องธุรกิจและสิ่งแวดล้อมในบ้านเรานั้นแบ่งออกเป็น 3 ยุคหลักๆ ด้วยกัน 

ยุคแรกคือ CSR โดยคอนเซปต์ของ CSR ในยุคนั้นถูกมองเป็นเรื่องของกิจกรรมเพื่อสังคม หากธุรกิจอยากรับผิดชอบอะไรต่อสังคมก็จะไปสร้างกิจกรรมที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากสิ่งที่ทำอยู่ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ช่วงหนึ่งเราเห็นหลายองค์กรออกมาปลูกป่าชายเลนหรือบริจาคแจกทุนกันอยู่บ่อยๆ 

กระทั่งในปี 2010 ที่ทาง ISO ได้ออกมาประกาศสิ่งที่เรียกว่า ISO 26000 ซึ่งเป็นมาตรฐานเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรทั้งหลาย โดยภายใน ISO 26000 ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 7 ข้อหลักๆ ด้วยกันคือ การกำกับดูแลองค์กร, สิทธิมนุษยชน, การปฏิบัติด้านแรงงาน, สิ่งแวดล้อม, การปฏิบัติดำเนินงานอย่างเป็นธรรม, ประเด็นด้านผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชน

“ตอนนั้นทุกองค์กรโฟกัสแต่เรื่องชุมชน แต่พอ ISO 26000 ออกมา 7 ข้อ ผมแฮปปี้มากเลยในยุคนั้น (ยิ้มกว้าง) เพราะมันทำให้ภาพของคำว่า CSR หรือ social responsibility ขยายขอบเขตออกไปได้กว้างกว่าเดิม ให้คนได้รู้มากขึ้นว่าการทำเพื่อสังคมไม่ได้มีแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม และนี่ก็เหมือนเป็นการเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ของ CSR ในบ้านเราแล้ว”

จากยุคแรกที่องค์กรจะเน้นทำกิจกรรมที่เน้นการให้ เน้นการบริจาค และบางครั้งกิจกรรมเหล่านั้นก็อาจไม่ได้เชื่อมโยงกลับมาที่ตัวธุรกิจสักเท่าไหร่ แต่พอเข้ามายุคที่สอง องค์กรเริ่มทำ CSR ด้วยการหันกลับมามองที่ตัวเองว่าการทำธุรกิจของพวกเขาจะช่วยลดผลกระทบต่อสังคมได้ยังไง ลดจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ carbon footprint ได้มากเพียงใด การทำ CSR ในยุคที่สองจึงเป็นการที่หลายๆ องค์กรหันมาให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการภายใน เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับสังคมมากยิ่งขึ้น 

“คำถามคือ เมื่อคุณลดการปล่อยก๊าซอะไรต่างๆ มาจนเต็มที่จนถึงจุดหนึ่งที่มันลดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจะทำยังไงต่อ ยกตัวอย่างก็เหมือนอย่างรถยนต์ไฟฟ้า จากที่เคยใช้น้ำมันพอเปลี่ยนมาเป็นระบบไฟฟ้าก็สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ในระดับนึงแล้ว แต่ถ้าเราอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้นอีก ก็ต้องลงทุนใส่เทคโนโลยีเข้าไปเพิ่ม ทีนี้จากรถยนต์ไฟฟ้าราคา 6-7 แสนก็จะขยับราคาไปที่คันละหลายล้านบาท อันนี้คือการเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าถ้าจะลดให้มากกว่าเดิม ก็ต้องใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป ต้นทุนก็จะสูงขึ้นไปอีก แล้วแบบนี้ธุรกิจจะอยู่ได้ไหม 

“มันมีคำถามที่ว่าถ้าลดเราลดอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้ แล้วหลังจากนี้เรื่องของ CSR จะเป็นยังไงต่อ มันจะตันอยู่เท่านี้จริงๆ หรือ 

“นั่นจึงเป็นที่มาของการเริ่มก้าวสู่ยุคที่ 3 อย่าง ESG” 

ผู้นำเทรนด์ ESG ในไทยไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือตลาดหลักทรัพย์ 

คุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจคืออะไร?

หากนำคำถามนี้ไปถามผู้คนในอดีต คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้นเรื่องของการทำไรสูงสุด แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน คำตอบจึงเปลี่ยนไปตามบริบทสังคม คุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องของมูลค่าแต่รวมไปถึงคุณค่าบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่ทำให้วอลต์ดิสนีย์อยู่มาได้นานนั้นไม่ใช่แค่มูลค่าที่พวกเขาขายการ์ตูนได้ แต่เขาขายเอนเตอร์เทนเมนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและครอบครัวใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ซึ่งอย่างหลังคือคุณค่าที่พวกเขาได้ส่งมอบให้กับผู้คน” อาจารย์เอกยกตัวอย่างเสริมเพื่อจะเล่าต่อไปถึงยุคที่ 3 ของ CSR ต่อไปว่าในยุคนี้องค์กรจะเริ่มมองไปถึงเรื่อง high purpose คือไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องการทำกำไร แต่มองไปถึงว่าธุรกิจนั้นสร้างคุณค่าอะไรให้กับสังคมบ้าง 

โดยคนแรกๆ ที่เอาคำว่า ESG มาพูดในบ้านเราไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

และเมื่อตลาดหลักทรัพย์พูดถึง ธุรกิจใหญ่ๆ ที่อยู่ในตลาดฯ ได้ยินและออกมาสร้างแอ็กชั่น ก็ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เรื่องของ ESG ได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้นไปด้วย 

ถอดสมการของ ESG ที่ทำให้สิ่งแวดล้อม สังคม และธุรกิจเดินหน้าไปด้วยกันได้

ภายใน 3 ตัวอักษรอย่าง ESG ตัวอักษรหลังสุดอย่างตัว G ที่หมายถึง governance หรือธรรมาภิบาลน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยถึงความหมายของมันมากที่สุด ด้วยเหตุผลนี้อาจารย์เอกจึงถอดสมการของ ESG ให้เราเข้าใจว่าทั้ง 3 ตัวอักษรนี้ทำงานเชื่อมโยงกันยังไง

“environment กับ social เป็นสิ่งที่มีความคาบเกี่ยว แยกออกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแล้ว governance มาจากไหน

“ที่มาที่ไปของตัว governance ก็มาจากมุมมองของเหล่านักลงทุนและผู้ถือหุ้น เพราะแม้จะเป็นเจ้าของบริษัท แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เข้าไปบริหารเอง จะจ้างมืออาชีพและคนเก่งๆ มาช่วยบริหารองค์กรให้ เมื่อไม่ได้เข้าไปทำเองนักลงทุนก็ย่อมมีการตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่าเหล่ามืออาชีพที่เข้าไปบริหารจะบริหารธุรกิจเพื่อประโยชน์ของนักลงทุนได้มากเพียงใด เอาเงินไปลงทุนกับตัว E และตัว S ได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน เพราะถ้าทำได้ไม่ดีมันก็จะกลายมาเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัท และทำให้กำไรของนักลงทุนลดน้อยลงไปด้วย” 

การมี G เข้ามากำกับ E กับ S จึงเหมือนมีคนมาช่วยกำกับให้การทำงาน และการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมกับสังคมจะต้องสร้างกำไรที่ดีให้กับบริษัทอยู่ต่อไปได้

เมื่อบริษัทมีกำไร อยู่รอดได้ แบบนี้ถึงจะเป็นการทำธุรกิจที่ยั่งยืน 

ธุรกิจเล็ก-กลาง ไม่ต้องกลัวตกเทรนด์ เพราะหลายธุรกิจทำ ESG อยู่แล้ว เพียงแค่ไม่รู้ตัว 

เมื่อคำว่า ESG ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและกลางจึงมักเกิดคำถามว่า แล้วในปี 2023 บริษัทที่ไม่มีเงินทุนมากมายอย่างพวกเขาจะทำ ESG ได้ยังไง เราจะเห็นธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางหันมาทำ ESG กันมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจารย์เอกก็บอกว่าอันที่จริงแล้วหลายๆ ธุรกิจทำ ESG กันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ตัวกันเท่านั้นเอง  

“อย่างเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม เรื่องสิทธิมนุษยชน มีบริษัทไหนบ้างที่ไม่ทำ ทุกคนต้องทำเพราะสิทธิมนุษยชนขั้นต่ำมันอยู่ภายใต้ที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ ต่อให้คุณไม่รู้จัก human right, UNBP, CRBP แต่ยังไงแล้วคุณต้องทำเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะเรื่องความรับผิดชอบต่อธุรกิจ พนักงาน ชุมชน หรือคู่ค้า จริงๆ แล้วฐานต่ำสุดที่ทุกคนต้องทำมันถูกบังคับด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ฉะนั้นจริงๆ หลายคนทำอยู่แล้ว เพียงแต่คุณทำภายใต้กรอบกฎหมาย

“ซึ่งสังเกตไหมว่ากฎหมายมันจะไล่ CSR ขึ้นไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เรากำลังตื่นตัวเรื่อง carbon tax ถามว่าเมื่อก่อนทำไมไม่มี ก็เพราะองค์กรที่จะทำต้องมีขนาดใหญ่ ใครทำฉันเจ๋งกว่าคนอื่น แต่พอมาถึงวันนี้คุณต้องเก่งเท่ากัน ทำได้เหมือนกัน ดังนั้นกฎหมายจะเป็นตัวไล่ระดับให้การทำเรื่อง ESG สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ”

อุตสาหกรรมที่จะปรับตัวเรื่อง ESG ได้อย่างเห็นชัดมากที่สุดในปี 2023

หากถามว่าอุตสาหกรรมไหนที่ดูเหมือนว่าจะสร้างผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคมจนเกิดการตื่นตัวในเรื่องของ ESG มากที่สุด เชื่อว่าคำตอบแรกของใครหลายคนน่าจะเป็นคำตอบเดียวกันกับเรา คือเหล่าธุรกิจขุดเจาะ พลังงาน ทำเขื่อน หรือพวกก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหลาย

แต่คำตอบของอาจารย์เอกกลับแตกต่างกันออกไป นั่นคือ ‘การเงิน’ 

“เพราะการขุดเจาะ ระเบิดภูเขามาทำเหมือง หรืออะไรก็ตามแต่จะทำไม่ได้เลยถ้าไม่มีเรื่องของการเงินเข้ามาซัพพอร์ต เลยจะเห็นได้ว่าภาคการเงินจะเริ่มออกมาเทคแอ็กชั่นกับเรื่อง ESG มากขึ้นเรื่อยๆ หันมาให้ความสำคัญเรื่อง sustainable finance ผ่านการออกนโยบายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น green fund, green bond หรือ green loan ก็ตาม และการเปลี่ยนแปลงของภาคการเงิน ก็ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปยังอุตสาหกรรมอื่นตามไปด้วย”

หากบริษัทขายสินค้าไม่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG ไม่ได้มีนโยบายในการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม อาจทำให้วันหนึ่งผู้บริโภคหันไปหาสินค้าคู่แข่งที่ใส่ใจในประเด็นนี้มากกว่า แต่กับสถานบันการเงิน อะไรคือความจำเป็นที่ทำให้ต้องหันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้

“คือคนอยากกู้เงินแบงก์อยู่แล้ว มีแต่แบงก์ที่ไม่ให้กู้ ถามว่าถ้าแบงก์ไม่ออกนโยบายด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อมแล้วมันจะกระทบต่อธุรกิจของพวกเขายังไง ถ้างั้นผมขอยกตัวอย่างเช่น สมมติมีธุรกิจนึงจะมาขอกู้เงินแบงก์ แบงก์บอกว่าคุณต้องทำประเมินเรื่องสังคมสิ่งแวดล้อมไม่งั้นไม่ให้กู้  ฝั่งธุรกิจตอบกลับมา ไม่ทำไม่ได้เหรอ คือถึงฉันจะไม่มีนโยบายแคร์สิ่งแวดล้อม แต่ฉันหาเงินต้นกับดอกเบี้ยมาคืนคุณได้แน่ๆ 

“คำถามคือ คุณมั่นใจเหรอว่าบริษัทที่มีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเยอะจะสามารถทำเงินให้คุณได้ในระยะยาว ผู้บริโภคจะยอมรับพวกเขาไหม 

“เพราะบริษัทที่ไม่ทำเรื่องนี้ในตอนนี้ ก็ถือว่านั่นเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงในอนาคตแล้ว”

และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปีที่ผ่านมาเราจึงเห็นเหล่าสถาบันทางการเงินทั้งในไทยและต่างประเทศออกมาขยับทำนโยบายปล่อยกู้ที่ให้ความสำคัญเรื่อง green มากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่าในปี 2023 เราจะเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจนมากกว่าที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน 

สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนตาม 

เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน ย่อมทำให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนตามไปด้วย โดยอาจารย์เอกบอกว่าในอนาคตเราจะเห็นองค์กรในไทยตื่นตัวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จะมีองค์กรออกมาประกาศตัวว่าจะสร้างคุณค่าอะไรบางอย่างให้กับสังคมมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าทำกิจกรรมอะไร

“เมื่อก่อนเราจะได้ยินเรื่องการทำ digital transformation แต่ต่อไปนี้คำที่เราจะได้ยินมาขึ้นเรื่อยๆ คือคำว่า sustainability transformation ตัวมิชชั่น วิชั่น กลยุทธ์ หรือการดำเนินงานต่างๆ ในธุรกิจจะมีการทรานส์ฟอร์มเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของตัวองค์กรมากขึ้น ซึ่งดิจิทัลกับไอทีจะเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม”

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว โจทย์ที่น่าสนใจจึงไม่ใช่เรื่องที่ว่าองค์กรจะตื่นตัวมากแค่ไหน แต่คือจะมีกลยุทธ์ในการทำ sustainability transformation ยังไงมากกว่า เพราะเรื่องพวกนี้ไม่ใช่แค่เอาเครื่องมือมาใส่แล้วจะทำให้ธุรกิจ green ขึ้นมาได้ทันที แต่คือผู้บริหาร พนักงาน และผู้คนในองค์กรทั้งหลายยังต้องปรับเปลี่ยนทรานส์ฟอร์มวิธีคิดวิธีการทำงานของตัวเองด้วยเช่นกัน 

องค์กรจะกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเรื่องความยั่งยืนในผู้คนมากขึ้น 

เมื่อนโยบายขององค์กรเปลี่ยน คนในองค์กรจึงต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อาจารย์เอกจึงบอกว่าในอนาคตองค์กรจะกลายเป็นเหมือนเตาหลอมที่บ่มเพาะเรื่องความยั่งยืนให้กับผู้คนด้วยวัฒนธรรมของแต่ละองค์กรเองที่จะทำให้ ‘คน’ หันมาพูดเรื่องความยั่งยืนใน ‘คน’ ด้วยกันมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่เรื่อง human capital หรือการพัฒนาทุนมนุษย์นั่นเอง

นอกจาก CSR ในองค์กรที่เติบโตขึ้นแล้ว เราจะเห็น CSR หรือ Consumer Social Responsibility ซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้คนก็เติบโตด้วยเช่นกัน

คนกลุ่มนี้เวลาจะซื้ออะไรสักอย่างเขาจะมองหาคุณสมบัติทั้งในเชิงฟังก์ชั่น และ social and enviromental ควบคู่กันไป เช่นหากจะซื้อกระติกน้ำสักอัน แล้วมีสองยี่ห้อมาตั้งอยู่ตรงหน้า คุณสมบัติเหมือนกันเลย เก็บความเย็นได้ จุน้ำได้เยอะ ราคาดี แต่อีกชิ้นบอกสามารถรีไซเคิลได้ 100% คราวนี้คนจะหันมาเลือกกระติกที่รีไซเคิลได้มากขึ้นทันที หรืออย่างข่าวการเสียชีวิตของพยูนมาเรียมเพราะขยะพลาสติกในทะเล ในตอนนั้นสิ่งที่ตามมาทันทีคือกระแสของพลาสติก และถ้าเอาที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือตอนที่ห้างเริ่มงดแจกถุงพลาสติก แรกๆ คนก็ยังปรับตัวกันไม่ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าการพกถุงผ้าไปซูเปอร์มาร์เก็ตก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว 

เหล่านี้เป็นบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นว่าค่านิยมของผู้คนในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนไปจากอดีตมากขึ้นแล้ว หากธุรกิจยังคงทำอะไรแบบเดิมๆ ไม่ปรับตัว แต่การทำอะไรแบบเดิมๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไปละเมิดค่านิยมของคนในสังคมที่เปลี่ยนไป

ก็คงเป็นเรื่องยากที่ธุรกิจนั้นจะยืนระยะได้นาน

โต้คลื่นเมกะเทรนด์ working culture ในยุค Turnover Tsunami ที่การลาออกกลายเป็นเทรนด์

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ใช้ระยะเวลายืดเยื้อยาวนานกว่า 2 ปีที่ผ่านมาได้พลิกโฉมโลกการทำงานอย่างมากจนเกิดเมกะเทรนด์ใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลก เกิดระลอกคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงตามมาอย่างต่อเนื่องเป็นโดมิโนมาจนถึงทุกวันนี้ ศัพท์ที่เคยไกลตัวต่อพนักงานออฟฟิศหมู่มากในช่วงก่อนโรคระบาดอย่าง work from home, digital nomad, hybrid work กลายเป็น buzzword สุดแมสในยุค new normal

เมื่อพฤติกรรมของคนทำงานและคุณค่าของวัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยนไป การโต้คลื่นลูกใหม่ต้องเตรียมปรับตัวยังไง วันนี้มาคุยกับ บุณย์ญานุช บุญบํารุงทรัพย์ Co-Managing Director ของ SEAC (South-East Asia Center) องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันทรัพยากรมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาการพัฒนาทักษะชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่องค์กรและบุคคล

นอกจากคาดการณ์ big wave ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรแล้ว บุณย์ญานุชยังแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ลาออกในยุค Turnover Tsunami และข้อคิดของคนทำงานที่ควรรู้กว้างและเก่งแบบ comb-shaped หรือซี่หวี เพื่อเป็นผู้นำยุคใหม่ที่พร้อมฝ่าทุกมรสุม

The Great Resignation :
Turnover Tsunami คลื่นแห่งการลาออกระลอกใหญ่ 

บุณย์ญานุชบอกว่าโควิด-19 ทำให้เกิดปรากฏการณ์ลาออกระลอกใหญ่ที่เรียกว่า The Great Resignation 

“ถึงโควิดจะซาลงแล้ว แต่เทรนด์การลาออกครั้งใหญ่ยังไม่จบและจะยาวต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี แม้กระทั่งคนที่ยังอยู่ในงานก็แพลนอนาคตว่าจะเปลี่ยนไปทำอะไรต่อดี”

ความรู้สึกอยากลาออกของคนจำนวนมากเริ่มก่อตัวขึ้นจากปัจจัยความไม่มั่นคงในตำแหน่งการงาน อย่างเช่นการไม่ได้รับความคุ้มครองหรือสนับสนุนจากองค์กรในช่วงโรคระบาด การปลดพนักงานจำนวนมากของบริษัทชั้นนำ การไม่มีความยืดหยุ่นในการทำงานช่วงล็อกดาวน์ รายได้ไม่เพียงพอตามคาดหวังในยุคเศรษฐกิจผันผวน ฯลฯ
วิจัยจากหลายสำนักข่าวทั่วโลกพบผลสำรวจที่ตรงกันคือแม้สถานการณ์โรคระบาดจะจางลงแล้วแต่การวางแผนลาออกของพนักงานยังคงดำเนินต่อไป 

รีเสิร์ชของ Adecco Group จาก 25 ประเทศระบุว่า ‘1 ใน 4 ของพนักงานทั้งหมดเตรียมลาออกในอีก 1 ปี’ 

ส่วนสถิติจาก Michael Page Thailand บอกว่า ‘81% ของพนักงานในไทยกำลังมองหางานใหม่ใน 6 เดือนข้างหน้า’

นอกจากลาออกเพราะปัจจัยด้านความไม่มั่นคงแล้ว ช่วงเวลาแห่งวิกฤตที่คลื่นถาโถมยังทำให้คนทำงานกลับมา rethink & reprioritize ทบทวนถึงคุณค่าและความหมายของงานที่ทำ แสวงหางานที่ตรงกับคุณค่าชีวิตมากขึ้นอีกด้วย ปรากฏการณ์ The Great Resignation จึงอาจเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น The Great Reflection ช่วงเวลาแห่งการตกตะกอนภายในถึงคุณค่าของงานด้วยเช่นกัน

หลายคนอาจคิดว่าเหล่า ‘Quieter’ ต้องเป็นเด็กจบใหม่ระดับจูเนียร์วัยที่อยากออกผจญภัยเท่านั้น แต่การหาคุณค่าในงานที่ตรงกับแก่นของตัวเองนั้นปรับเปลี่ยนได้ตลอดช่วงชีวิต หนึ่งใน Quieter ผู้ลาออกจากงานในปี 2022 ที่ผ่านมาคือบุณย์ญานุชผู้อำลาจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการสร้างโอกาสทางการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร Food Passion มาเป็น Co-Managing Director ที่ SEAC หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าผู้บริหารตำแหน่งสูงที่ชื่อผูกติดกับแบรนด์ Bar B Q Plaza มานานถึง 10 ปีจะตัดสินใจย้ายงาน

“ช่วงโควิดทำให้มีโอกาสคิดอะไรหลายอย่างและได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดมากขึ้นว่าเราอยากทำบางสิ่งตลอดเวลา”  สิ่งนั้นคือหัวใจของธุรกิจการศึกษาที่อยากพัฒนาคนซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่แฝงอยู่ในการทำแบรนด์ Bar B Q Plaza ของเธอมาตลอดเช่นกัน

“แต่ก่อนพบว่าเราเอาเวลาไปอยู่กับเรื่องนอกตัวมากจนไม่มีเวลาฟังเสียงหัวใจตัวเอง มาถามตัวเองว่า once in a lifetime อยากได้อะไรกันแน่ เราจะอยู่แบบเดิมได้ไหมถ้าเสียงนั้นยังดังตลอดเวลา กลัวตาย กลัวไม่ได้ทำ” บุณย์ญานุชเปรียบการออกจากงานเหมือนเรือน้อยออกจากฝั่ง “ช่วงเวลาว่างงานที่ลอยเท้งเต้งในทะเลมันมาก ได้เจอเรื่องราวดีๆ มิตรภาพเจ๋งๆ เจอผู้คนใหม่ๆ ได้ปอกเปลือกตัวตนจนเจอแก่นของเราจริงๆ”  

ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่เปรียบดั่งคลื่นกระหน่ำรุนแรงมี Quiter เกิดขึ้นตามมาหลายแบบ ทั้งคนที่กล้าเสี่ยงและตามหาคุณค่าที่สอดคล้องกับแก่นชีวิตของตัวเองแบบบุณย์ญานุช คนที่ปรับตัวกับการเวิร์กฟรอมโฮมได้จนติดใจและมองหางานใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เหมาะกับตัวเองมากขึ้น คนที่ไม่ลาออกเพราะกลัวเศรษฐกิจไม่มั่นคงแต่หมดใจกับงานเงียบๆ คนที่เห็นเพื่อนร่วมงานลาออกแล้วอยากลาออกตาม ฯลฯ

เบื้องหลังปรากฏการณ์ลาออกครั้งใหญ่นี้มีแรงจูงใจและความต้องการในการย้ายงานของคนทำงานหลายกลุ่มที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คนยุคโควิดจำนวนมากมีร่วมกันคือการกล้าเปลี่ยนแปลงมากขึ้น กลัวการเซย์กู้ดบายกับองค์กรหรือไลฟ์สไตล์เดิมที่คุ้นชินมานานน้อยลง

Gig Workforce :
ขอเป็นกิ๊กที่รักอิสระในยุค ocean of opportunities 

จากความนิยมในการลาออก เทรนด์ที่มีอินไซต์สอดคล้องไปในทางเดียวกันคือเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (gig economy) หมายถึงแรงงานอิสระ การจ้างงานฟรีแลนซ์ 

เทคโนโลยีในโลกไร้พรมแดนเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการทำงานรูปแบบใหม่ งานชั่วคราว งานรับจ้างระยะเวลาสั้นๆ ที่มีความยืดหยุ่นแทนที่งานรูปแบบดั้งเดิมอย่างงานออฟฟิศ งานประจำมากขึ้น  

บุณย์ญานุชผู้ทำงานมา 26 ปีบอกว่า “เราอยู่ในยุค economy of scale ของเทคโนโลยีแปลว่าอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ มีค่าใช้จ่ายถูกลงทำให้คนรายย่อยรวมทั้งบริษัทเข้าถึงและลงทุนได้ง่ายขึ้น สมัยก่อนในยุคเราออฟฟิศ 1 ฝ่ายมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องสำหรับใช้ทั้งฝ่าย เทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้ seamless สุดขีด กลายเป็นเราลืมว่าอยู่กับมันไปเรียบร้อยแล้ว”

โลกยุคดิจิทัลที่อินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนมากมายทำให้คนตั้งคำถามว่าทำไมต้องปักหลักทำงานอยู่ที่เดียวในท้องทะเลแห่งโอกาสอันกว้างใหญ่ การทำอาชีพอิสระนั้นสามารถทำได้หลายองค์กรและรับรายได้จากหลายทาง ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียว ขอบเขตโลกการทำงานและการเรียนรู้ที่ขยายกว้างขึ้นนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนทำงานที่โรงเรียน

“เด็กซีซั่นโควิดที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเลยจะมีความคิดอีกแบบ ไม่เข้าใจว่าทำไมครูตีเส้นว่าต้องไปโรงเรียน เพราะโลกในยูทูบกว้างกว่าโรงเรียนที่นั่งอยู่” 

ในขณะที่พนักงานมองหาอิสระ องค์กรก็มองหาพนักงานรูปแบบ gig มากขึ้นด้วยเช่นกันเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนกับพนักงาน “ในมุมผู้บริหาร รู้สึกว่าการจ้าง gig workforce ดี เพราะเราสามารถสับไพ่ได้ บางทีพนักงานคนนี้ไม่เหมาะกับโปรเจกต์นี้แต่จะให้ออกก็ไม่ได้  พอเป็นพนักงานอิสระก็สามารถเลือกคนที่เหมาะกับโจทย์ได้มากขึ้น win-win ทั้งบริษัทผู้จ้างและผู้ถูกจ้าง” 

Work-Life Balance :
Success is Drawing Lines in the Sand at Work 

แน่นอนว่าเทรนด์ทำงานอิสระที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ 9-5 ย่อมพ่วงมากับคำว่าบาลานซ์หรือสมดุลในชีวิต  “สิ่งที่คนยุคนี้มองว่าประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ title ในองค์กรอีกต่อไปแต่เป็นการได้บาลานซ์ชีวิต” ซึ่งบุณย์ญานุชมองว่า “สมัยก่อนคำว่า work-life balance อาจเป็นแค่คำที่คนได้ยินผ่านหู แต่ตอนนี้เป็นความรู้สึกที่คนอยากใช้ชีวิตแบบนั้นแล้ว” 

คนเริ่มรู้สึกว่าทำงานหนักก็ยังสามารถมีไลฟ์สไตล์และประสบความสำเร็จได้ “แต่ก่อนมียุคการทำงานแบบถวายชีวิตเพื่อเงินเดือนที่เยอะ แต่เด็กยุคใหม่จะมองว่าองค์กรเรียกร้องจากเขามากเกินไปหรือเปล่า ถ้าต้องทำสุดชีวิตเพื่อทุ่มเทให้บริษัทแล้วไม่มีเวลาทำอย่างอื่นมันคุ้มไหม  ความหมายของคำว่า work-life balance คือนอกจากองค์กรจะทำให้เขาเติบโตในอาชีพได้ ยังมีเรื่องของ well-being ว่าบริษัทมีสวัสดิการยังไง ทำงานกี่วัน ดูแลสุขภาพจิตสุขภาพใจให้หรือเปล่าด้วย” 

แม้เงินยังคงเป็นสิ่งแรกที่ผู้สมัครงานใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจในการเลือกงานและย้ายงาน แต่เมื่อบรรจุในองค์กรแล้ว สถิติจาก Adecco Group ระบุว่าคน 40% จากผลสำรวจให้ work-life balance เป็นสิ่งที่นิยามว่าชีวิตการทำงานประสบความสำเร็จ ในขณะที่อันดับรองลงมาคือความสุขในการทำงาน ความมั่นคง ความยืดหยุ่น และการได้ทำงานตรงตามแพสชั่นตามลำดับ จะเห็นได้ว่าเงินเดือนไม่ใช่ปัจจัยแรกในการนิยามความสำเร็จเมื่อได้งานแล้วอีกต่อไป ดังนั้นในแง่การรักษาพนักงานเก่า หากองค์กรอยากรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้จึงควรให้ความสำคัญกับรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ควบคู่กับการส่งเสริมให้เติบโตในสายงานด้วย    

นอกจากนี้การจำเป็นต้องเวิร์กฟรอมโฮมในช่วงโควิด-19 เป็นสิ่งกระตุ้นที่บุณย์ญานุชมองว่าทำให้องค์กรปรับตัวได้เร็วและยืดหยุ่นขึ้นกว่าแต่ก่อน “คุยกับเด็กหลายคนเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ถ้าอยู่ในองค์กรไหนที่ต้องทำงานที่ออฟฟิศ 5 วัน กลายเป็น Rethink ว่าอยากทำงานที่นี่ต่อไหม คนเริ่มรู้แล้วว่าทำไมต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับออฟฟิศทุกวันแล้วรถติด แต่ก่อนหลายองค์กรให้ทำงาน remote ไม่ได้สักทีแต่ตอนนี้ทำได้เพราะโควิด อย่างองค์กรเราให้เวิร์กฟรอมโฮมทุกวันจันทร์กับศุกร์ ต้องให้ความเชื่อใจกับพนักงานแล้วมีมุมวัดผลงานแบบใหม่มาแทน เป็น OKR หรือวัดเป็นไตรมาส”  

Lifelong Learning :
ลงเรือลำเดียวกันต้อง stay young & stay ยัง  

demographic (ข้อมูลประชากร) ของการทำงานที่เปลี่ยนไปยังทำให้เกิด multigenerational workplace คือการมีคนหลายเจเนอเรชั่น หลายวัยอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน

“เราเริ่มเห็นว่ามนุษย์ 1 คนมีระยะเวลาในการทำงานที่ยาวขึ้น คนแก่ยากขึ้น การทำ Yournextu by SEAC ที่เป็นศูนย์รวมวิชาชีวิตทำให้เห็นว่ามีซูเปอร์แฟนที่เป็นผู้ใหญ่เยอะมาก มีคนที่เกษียณงานแล้วแต่ยังอยากเรียนรู้อยู่ มีคนที่หลุดจากระบบการทำงานแล้วแต่ยังอยากอยู่ในโลกการทำงาน ageing society (สังคมสูงวัย) มาอย่างแน่นอน”

การเป็นผู้บริหารที่ดูแล SEAC ยังทำให้เห็นว่าในองค์กรมี first jobber ที่พร้อมเริ่มงานเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย “มีเด็กอายุ 20 ต้นมาทำงานเยอะมาก ไม่ใช่แค่มาฝึกงานแต่มาทำงานจริง ในขณะเดียวกันก็มีผู้ใหญ่ยุคเบบี้บูมเมอร์ที่ทำงานมานานอยู่ตรงนี้เยอะ มีคนทุกช่วงวัยที่มีช่วงอายุต่างกันมากมาอยู่ในที่ทำงานเดียวกันทำให้เกิดความท้าทายขององค์กรในการทำงานร่วมกัน”

บุณย์ญานุชบอกว่าการปรับตัวเข้ากับสังคมที่มีคนหลายเจเนอเรชั่นคือการเชื่อในการเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือ lifelong learning เคล็ดลับในการเป็นผู้ใหญ่หัวใจเด็กที่ไม่หยุดพัฒนาและปรับตัวทันตามเทรนด์โลก 

“เราต้อง stay young ทำให้ทั้งหัวใจและร่างกายไม่ย้วยยานตามวัย ถ้าใจเรา young แต่ร่างกายเรายืดย้วยเวลาเราไปอยู่กับเด็ก เราจะกลายเป็นป้าหัวหน้าเด็ก อีกคำคือ ‘stay ยัง’ ต้องรู้จักคำว่า ‘ยังไม่’ ยังไม่ฉลาด ยังไม่เอาต์ ยังไม่รู้ ยังไม่แก่ ถ้ารู้สึกว่าเรา ‘ยังไม่’ เราก็จะขวนขวายสิ่งใหม่เสมอ ทำให้รู้ว่าเรายังไม่เก่งในเรื่องอะไรและเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น”

Upskill & Reskill :
โตเป็นกัปตันเรือที่รู้กว้างแบบซี่หวี

upskill คือการพัฒนาทักษะเดิมให้ดียิ่งขึ้น
reskill คือการเพิ่มเติมทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน

บุณย์ญานุชมองว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาธุรกิจหมวดการศึกษาและพัฒนาตัวเองมีผู้เล่นคนสำคัญให้ความสนใจเพิ่มขึ้นเยอะ ในฝั่งพนักงาน ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าคนทำงานโดยเฉพาะช่วงอายุ 26-35 ได้รับผลกระทบจากโควิดเพราะทักษะเดิมไม่เพียงพอกับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วอีกต่อไป

“ยุควิกฤตเกิดการคัดตัวกันมากขึ้น ถ้ามีทักษะเดิมไม่น่ารอด สมัยก่อนคนเก่งแบบ I-Shaped คือลงลึกในสิ่งเดียวจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ยุคถัดมาเก่งแบบ T-Shaped ลงลึกก็ได้ หน้ากว้างก็ทำเป็น แต่ตอนนี้คนสำเร็จคือ comb-shaped หรือคนเก่งแบบ ‘ซี่หวี’ ที่รู้ทุกเรื่อง เทคโนโลยีก็รู้ งานศิลปะก็เข้าใจ ทักษะผู้นำและ people skill ก็มี” เปรียบเหมือนกัปตันเรือที่หากอ่านทิศทางน่านน้ำเป็น รู้วิธีต่อเรือ หาปลาได้ ก็ย่อมมีสิทธิเอาตัวรอดได้มากกว่าหากเจอพายุหรือติดเกาะ 

“ทำไมเป็นเทรนด์เก่งหน้ากว้าง เพราะองค์กรมีงบในการจ้างงานน้อยลงเลยมองหามนุษย์ 1 คนที่ทำได้หลายอย่าง ในมุมนายจ้างเวลามองว่าใครเป็นคนที่ได้โตไปในสายอาชีพ เรามองหาคนที่มีทั้ง hard skill (ทักษะเฉพาะด้านและเชิงเทคนิคในแต่ละสายอาชีพ) และ soft skil (ทักษะทางสังคมที่ส่งเสริมให้ทำงานร่วมกับผู้อื่น) ทั้งคู่เพราะทำให้เป็นคนที่แตกต่าง ในระดับบุคคล บางคนอาจไม่มีความรู้มากแต่มี fighting spirit ทำให้แตกต่างจากคนอื่นและประสบความสำเร็จได้ ในระดับองค์กร การมีแค่คนเก่งไม่เพียงพอ ต้องทำให้คนเก่งสามารถทำงานร่วมกันแล้วเกิด synergy ที่ดี ไม่ใช่ต่างคนต่างทำงาน”   

จากลูกค้าองค์กรของ SEAC ที่มีหลากหลายทั้งบริษัท corporate ขนาดใหญ่ ราชการ รัฐวิสาหกิจบริษัทต่างชาติ ฯลฯ บุณย์ญานุชพบว่าทักษะแห่งอนาคตที่หลายองค์กรต้องการให้พนักงานพัฒนาคือทักษะพื้นฐานอย่างความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา การสื่อสารและทำงานร่วมกัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้สามารถ upskill และ reskill ได้ในโลกที่ผันผวนแม้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป

“ตอนเด็กเคยเรียนพิมพ์ดีด ครูสอนให้พิมพ์ 70 คำใน 1 นาทีถึงจะได้เกรด 4 แต่วันหนึ่งโลกเปลี่ยนไป กลายเป็นไม่มีเครื่องพิมพ์ดีด สิ่งหนึ่งที่สอนเราคือต่อให้เครื่องพิมพ์ดีดไม่อยู่แล้ว ใช้เครื่องมือไม่เหมือนเดิม แต่เราสื่อสารเป็น มีทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพติดตัวเราไปตลอด”

ทักษะแห่งอนาคตจึงเป็นทักษะที่ไม่ได้ใช้แค่ในงานเท่านั้นแต่เป็น life skill ที่ใช้ได้ตลอดชีวิต บุณย์ญานุชยกตัวอย่าง Iconic Women Alliance คอมมิวนิตี้สนับสนุนการพัฒนาตัวเองสำหรับผู้หญิงโดย SEAC ที่ไม่ได้มองแค่การสอนทักษะในงาน แต่มองถึงการพัฒนาทักษะที่เป็น 4 เสาชีวิตให้พนักงานผู้หญิงคือ work life, family life, personal life, social life

ความท้าทายในไทยจากมุมมองของเธอคือการทำให้คนทั่วไปมองเห็นความสำคัญของการพัฒนา soft skill ที่เป็นทักษะนามธรรม เรียนแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง 

“ผู้คนมักบอกว่าคนเราต้องมีความรู้ แต่ความรู้ไม่ถูกจัดเป็นปัจจัย 4 ที่ประกอบด้วยอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ทำให้หลายคนยังมองไม่เห็นความสำคัญในการลงทุนพัฒนาตัวเอง ความจริงคือการไม่มีความรู้นั้นไม่ตายแต่ก็ไม่เจริญ 

“เวลาจ่ายเงินหนึ่งอย่าง เช่น กินหมูกระทะแล้วอิ่ม อร่อย ฟิน เห็นผลทันที แต่ทักษะชีวิตไม่ใช่มาเรียนครั้งเดียวแล้วจบ เราให้ความรู้เป็นเครื่องปรุงแล้วคนต้องเอาไปปั่น ย่อย ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงต่ออีกที สิ่งที่กำลังทำคืออยากให้คนจับต้องความรู้เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เอาหลักสูตรมาแพ็กให้คนพร้อมกิน พร้อมลงสนามชีวิตจริงได้”

เมื่อโลกมีน่านน้ำแปรปรวน การจะโต้คลื่นได้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพิ่มเติมทักษะใหม่ตลอดเวลา เพื่อใช้ทักษะติดตัวที่มีเป็นหางเสือให้เอาตัวรอดได้ไม่ว่าคลื่นลูกใหม่จะมาเมื่อไหร่ก็ตาม




23 เรื่องเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียปี 2023 เมื่อคอนเทนต์ครีเอเตอร์จะเป็นทาสอัลกอริทึมมากขึ้น

ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในปี 2022  ‘อัลกอริทึม’ ของโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมากที่สุด สูตรการทำคอนเทนต์ให้สำเร็จของเมื่อวานอาจใช้ไม่ได้กับการทำคอนเทนต์ในวันนี้ ยิ่งการมาของ TikTok ยิ่งทำให้เหล่าแบรนด์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ต่างต้องปรับตัวกันยกใหญ่ 

ด้วยเหตุที่ว่าเราตั้งใจไปพูดคุยกับ กล้า ตั้งสุวรรณ CEO และ Co-Founder แห่ง Wisesight เพื่อเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงในปี 2023 เพราะงานที่ชาว Wisesight ทำเสมอมาคือการเก็บรวบรวมดาต้าที่เผยแพร่สาธารณะอยู่บนโซเชียลมานานเกินสิบปี ตั้งแต่ยุคที่เฟซบุ๊กเพิ่งเข้ามาในไทย เขาจึงเป็นผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของโซเชียลมีเดียในบ้านเรามาโดยตลอด 

บทสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นการชวนกันมองไปข้างหน้าว่าจากดาต้าที่ผ่านมาในปี 2022 จะส่งผลให้โลกของโซเชียลมีเดียทั้งในแง่มุมของผู้ใช้งาน แบรนด์ คอนเทนต์ และตัวแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่มากน้อยเพียงใด

และนี่คือ 23 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในไทยในปี 2023 จากคำบอกเล่าของเขา

1.

ปี 2022 จำนวนผู้ใช้งานและจำนวนเวลาที่ใช้งานบนโซเชียลมีเดียนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับปี 2021

2.

แพลตฟอร์มที่คนไทยใช้เวลาอยู่นานที่สุดต่อการเข้าหนึ่งครั้งคือ YouTube ซึ่งอยู่ที่ 13 นาที ส่วนแพลตฟอร์มที่เป็นวิดีโอสั้นอย่าง TikTok แม้แต่ละคลิปจะมีความยาวไม่มากนักแต่เวลาใช้งานเฉลี่ยบน TikTok นั้นสูงถึง 11 นาทีเลยทีเดียว และ Twitter กับ Instagram เป็นสองแพลตฟอร์มที่ผู้คนใช้เวลาอยู่นานน้อยที่สุดคือ 2 นาทีเท่านั้น

3.

ในวันที่มือถือแทบจะกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของใครหลายคน หรือใน 24 ชั่วโมงของบางคนนั้นใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริง แต่กล้าบอกกับเราด้วยประโยคที่มีความหมายตรงกันข้ามว่า “ช่วงปีที่ผ่านมาเราเห็นการใช้งานโซเชียลมีเดียที่ลดน้อยลง” 

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะผู้คนมีกิจกรรมออนไลน์อย่างอื่นที่ทำให้เกิดการกระโดดออกไปจากโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทั้งแอพฯ แชต แอพฯ ดูหนัง หรือแอพฯ เล่นเกมทั้งหลาย 

4. Did

เมื่อคนใช้งานโซเชียลมีเดียน้อยลง บรรดาเจ้าของแพลตฟอร์มจึงต้องเร่งพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อดึงดูดให้ผู้คนติดอยู่ในแพลตฟอร์มนานขึ้น นั่นทำให้เขาคาดว่า จากอดีตที่เราจะเห็นเหล่าแพลตฟอร์มออกมาประกาศว่ามีจำนวนผู้ใช้งานเท่าโน้นเท่านี้มีมากกว่าเจ้าอื่นแค่ไหน ก็จะเปลี่ยนมาโฟกัสที่ตัวเลขของเวลาในการใช้งานบนแพลตฟอร์มมากขึ้น 

5.

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะถึงยังไงประชากรของไทยก็คงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไปมากกว่านี้ อีกเรื่องคือในเมื่อรายได้หลักของเหล่าแพลตฟอร์มนั้นมาจากค่าโฆษณา ดังนั้นแล้วยิ่งผู้คนใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มนานเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มว่าเจ้าของแพลตฟอร์มจะทำรายได้ได้สูงขึ้นมากเท่านั้น 

6.

ในอนาคตเราจะเห็นการปรับเปลี่ยนเหล่าแพลตฟอร์มอีกมากมาย ทั้งการเริ่มทำ social commerce ด้วยเชื่อว่าวิดีโอสั้นนั้นมีพลังในการจูงใจให้คนกดซื้อของบนแพลตฟอร์มได้ทันที 

7.

เรื่องนี้สะท้อนได้จากการที่ TikTok ออกมาประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะผลักดันการทำ social commerce มากขึ้น และเมื่อ TikTok ขยับก็ย่อมเริ่มสร้างการตื่นตัวให้กับแพลตฟอร์มหลายๆ เจ้า อย่างที่เคยปรับตัวตาม TikTok มาแล้วหลายราย

8.

เมื่ออยากอัพเดตข่าวสารไวๆ ผู้คนจะเข้า Twitter เมื่ออยากดูคลิปยาวๆ ผู้คนจะเข้า YouTube เมื่ออยากไถอะไรเล่นไปเรื่อยผู้คนจะเข้า Instagram หรือไม่ก็ Facebook ถ้าอยากดูคลิปสั้นเพลินๆ ผู้คนจะเข้าไป TikTok นั่นทำให้กล้ามองว่าในอนาคตแต่ละแพลตฟอร์มจะเริ่มมีคาแร็กเตอร์ของตัวเองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พยายามทำให้ตัวเองเป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่ง

9.

ส่วนคนที่พยายามจะเป็นทุกอย่างอย่าง Facebook จะค่อยๆ ถูกแย่งบทบาทไปมากขึ้นเรื่อยๆ 

10.

เพื่อให้เห็นภาพในสิ่งที่อธิบายมากขึ้น กล้าจึงยกตัวอย่าง กรณีหากน้ำดื่มอยากทำโฆษณาว่า “สมมติแบรนด์จะทำโฆษณาเรื่องน้ำ แบรนด์ไม่สามารถพูดเรื่องน้ำใสสะอาดในทุกแพลตฟอร์มเหมือนกันได้ เพราะแต่ละแพลตฟอร์มก็มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของตัวเอง อย่างเวลาคนเข้า Twitter เขาก็อยากเห็นเรื่องที่มันปัจจุบันทันด่วน เรื่องที่ไทม์เลสจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนเล่น Twitter มากเท่าไหร่ 

“แต่ถ้าอยากจะไปดูใน YouTube ต้องมีคำอธิบายยาวๆ เช่น เรามาให้ความรู้กันนะครับว่าน้ำแต่ละยี่ห้อมันสะอาดยังไง ไม่สะอาดยังไงสัก 10 นาที คนถึงจะฟัง ส่วนถ้าอยากเอารีวิวสั้นก็ตัดมาลงที่ TikTok แทน” 

11.

วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเปิดตัวของ Tesla ครั้งแรกในไทย นั่นคืองานที่ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างล้นหลาม สื่อแทบจะทุกสำนักไปรวมตัวกันอยู่ที่งานนั้น และข่าว Tesla ก็ครองหน้าฟีดบนสื่อโซเชียลชนิดที่ว่าเมื่อยกมือถือขึ้นมาสไลด์ดู 10 ครั้ง จะต้องพบกับข่าว Tesla ไปแล้ว 8 ครั้ง จนดูเหมือนวันนั้นแทบจะไม่มีข่าวไหนได้รับความสนใจและเอนเกจเมนต์ที่ล้นหลามมากเท่าข่าวนี้อีกแล้ว แต่เมื่อวัดด้วยดาต้าจาก Wisesight กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ถ้าเทียบกันในเชิงเอนเกจเมนต์ในวันเดียวกัน เรื่องของน้องคะแนน (เน็ตไอดอลคนหนึ่ง) ได้เอนเกจเมนต์มากกว่า Tesla และด้วยดาต้านี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กล้าคาดว่าต่อไปนี้เราจะไม่เห็นอะไรที่เป็นซูเปอร์แมสเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตอีกต่อไป ทั้งด้วยความที่สื่อแตกกระจายเป็นหลากหลายรูปแบบ และการที่ผู้คนอยู่กันเป็นคอมมิวนิตี้บนสื่อโซเชียลมากกว่าเดิม ดังนั้นหลายเรื่องที่ดังและไวรัลมากในบางกลุ่ม เราอาจจะไม่รู้จักก็เป็นได้

12.

เมื่อคำว่าโซเชียลมีเดียประกอบไปด้วยสองคำหลักๆ คือคำว่าโซเชียล ซึ่งหมายถึงการที่คนเป็นเพื่อนกันมากดไลก์กดแชร์ เป็นเฟรนด์กัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เพื่อนมาพูดคุยกัน ส่วนอีกคำคือมีเดีย ซึ่งก็คือสื่อที่มีเนื้อหาต่างๆ แม้จะไม่ได้เป็นเนื้อหาจากเพื่อนที่เรารู้จักก็ตาม

โดยกล้าบอกถึงแนวโน้มหลังจากนี้ว่า “ความเป็นโซเชียลจะน้อยลง สวนทางกับความเป็นมีเดียที่จะเพิ่มมากขึ้น” ส่งผลให้จากเมื่อก่อนที่เชื่อแต่เพื่อน คราวนี้ก็จะหันมาเชื่อคนที่เป็นเพื่อนหรือไม่ใช่เพื่อนก็ได้มากขึ้น ขอเพียงคนนั้นพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง 

13.
ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ TikTok ที่ทุกวันนี้เราดูคลิปของคนที่ไม่ได้รู้จักกัน มากกว่าคลิปของคนที่เป็นเพื่อนเราเสียอีก 

14.

นอกจากเอาใจลูกค้า เอาใจคนดู ทุกวันนี้การทำคอนเทนต์ของเหล่าคอนเทนต์ครีเตอร์ยังต้องเอาใจแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน 

15.

นั่นทำให้กล้ามองว่า  “คอนเทนต์ครีเอเตอร์ตอนนี้มีความเป็นทาสของอัลกอริทึมมากขึ้น หมายถึงอัลกอริทึมบังคับให้ทำยังไงเราก็ต้องทำอย่างนั้น ซึ่งถ้าไม่ทำแพลตฟอร์มก็ไม่ให้ยอด ถ้าไม่ได้ยอดก็เหมือนว่างานนั้นเราเหนื่อยฟรี เพราะการเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์นั้นแบรนด์จะมองสองเรื่องหลักๆ ด้วยกันคือคาแร็กเตอร์และตัวเลขยอดไลก์ยอดเอนเกจเมนต์ต่างๆ”

16.

 อธิบายเพิ่มเติมเช่น ถ้าตอนนี้ YouTube สนับสนุนวิดีโอสั้น เหล่า YouTuber ก็ต้องปรับมาทำวิดีโอสั้นด้วยเช่นกันเพื่อให้มียอดไลก์ยอดแชร์ไปขายสปอนเซอร์ได้ ซึ่งตอนนี้อัลกอริทึม YouTube คิดแบบนึง Facebook คิดแบบนึง YouTube Shorts คิดแบบนึง TikTok คิดแบบนึง Instagram คิดแบบนึง ดังนั้นคนเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในตอนนี้เหมือนต้องทำงานเอาใจเจ้านายหลายคนในเวลาเดียวกัน 

17.

อ่านมาจนถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์เหนื่อยไม่น้อยที่ต้องคอยปรับตัวตามอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่กล้ากลับคิดต่างออกไป

“ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่เหนื่อย แต่มองว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะทำเพอร์ฟอร์แมนซ์ได้ดีกว่าเดิม นี่คือโอกาสที่เราจะแคปเจอร์ความสนใจของ audience ได้มากขึ้น จะทำคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียต้องไม่เหนื่อย เพราะมันเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนเรื่อยๆ

“ซึ่งถ้าเรามีมายด์เซต adapting to change มันจะตรงกันข้ามกับคำว่าเหนื่อย มันจะกลายเป็นว่าตื่นเต้นสนุก เพราะมันมีของใหม่ให้เล่นอีกแล้ว แล้วผมคิดว่าถ้าอยู่กับของเดิมนานๆ มันจะรู้สึกเบื่อต่างหาก”

18.

ในวันที่คนให้ความสนใจกับเรื่อง PDPA (Personal Data Protection Act) กันมากขึ้น หรือการที่ Apple หันมาให้ความสำคัญในเรื่องของ Privacy มากกว่าเดิม นั่นทำให้ความแม่นยำในการยิงโฆษณาแม่นยำน้อยลง และย่อมทำให้แบรนด์ต้องใช้เม็ดเงินในการหว่านโฆษณาไปหาคนที่คิดว่าจะเป็นลูกค้ามากยิ่งขึ้น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือต่อไปนี้แบรนด์จะต้องจ่ายค่าโฆษณาแพงขึ้นนั่นเอง 

19.
การที่ Oxford Dictionary ระบุว่า Word of the Year ของปีนี้คือคำว่า ‘goblin’ ซึ่งหมายถึงคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง โนสนโนแคร์ ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตคนที่เป็น goblin ในโลกออนไลน์จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นเรื่องยากในการที่แบรนด์จะเข้าใจ จูงใจ และยิงโฆษณาให้ถึงคนกลุ่มนี้ (ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ให้เข้ามาเป็นลูกค้า และยิ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้แบรนด์ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพงขึ้นไปอีก 

20.

กล้าบอกว่า “ทุกวันนี้แพลตฟอร์มมันปรับตัวเร็วมาก เพราะแพลตฟอร์มต้องการแย่งเวลาของคน แพลตฟอร์มก็เลยออกแบบอัลกอริทึมให้คิดอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เอาอัลกอริทึมไป force ให้กับเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์เพราะพวกเขาเป็นเหมือนซัพพลายเออร์ที่คอยป้อนคอนเทนต์ให้กับคนดู เลยทำให้คนดูติดกับอัลกอริทึม ติดอยู่กับแพลตฟอร์มมากขึ้น”

21.

แบรนด์จำเป็นต้องทำความเข้าใจสมการข้างต้น  เพราะถ้าไม่เข้าใจสมการที่ว่า แบรนด์จะตกยุค และอาจทำให้พลาดโอกาสก้อนใหญ่ได้ เนื่องจากเมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนวิธีการเสพสื่อ พฤติกรรมในการซื้อของของเขาก็ย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย

22.

มุมหนึ่งหลายคนคิดว่าแพลตฟอร์มปรับตัวเร็วจนหลายคนตามไม่ทัน แต่ในอีกมุมหนึ่งกล้ากลับคิดว่า ธุรกิจต่างหากที่ปรับตัวช้า ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ปรับตัวเร็ว”

23.

ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งหลายของเหล่าแพลตฟอร์ม กล้าทิ้งท้ายประโยคชวนคิดเอาไว้อย่างน่าสนใจ

“ผมว่าเราควรจะต้องเข้าใจกันได้แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงบนโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันเปลี่ยนอยู่แล้ว 

“จะทำคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียต้องรู้ว่านี่คือสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”