คุยกับ BUILK สตาร์ทอัพที่อยากแก้ปัญหาห่วย-ช้า-แพง ในวงการก่อสร้าง มากกว่าไปเป็นยูนิคอร์น

ฝันของคนทำสตาร์ทอัพส่วนใหญ่คือการเป็นยูนิคอร์น 

ที่บอกว่าส่วนใหญ่เพราะไม่ใช่ว่าสตาร์ทอัพทุกรายจะตั้งเป้าหมายแบบเดียวกัน

หนึ่งในสตาร์ทอัพที่ไม่ได้อยู่ในส่วนใหญ่นั้นคือ BUILK (บิลค์)

ไม่แปลกที่ผู้บริโภคบางคนอาจจะไม่คุ้นหูกับชื่อของ BUILK สักเท่าไหร่เพราะโปรดักต์ของ BUILK ถูกสร้างมาเพื่อคนทำธุรกิจก่อสร้างเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมที่เอาไว้ตรวจไซต์งานแบบ 360 องศาโดยที่เจ้าของโครงการไม่ต้องเดินทางไปที่ไซต์งานเอง, ซอฟต์แวร์บริหารต้นทุนการก่อสร้าง, ร้านขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์แบบ B2B หรือซอฟต์แวร์ที่เป็น home service สำหรับโครงการอสังหาฯ 

เหตุผลที่เราอยากชวนผู้อ่านทุกคนมารู้จักกับบริษัทที่ดูเหมือนจะไกลตัวผู้บริโภคทั่วไปเพราะนี่คือบริษัทที่มีแนวคิดแตกต่างไม่เหมือนสตาร์ทอัพที่เราคุ้นชินกัน และความแตกต่างที่ว่าก็ทำให้ BUILK สามารถดึงดูดเงินจากนักลงทุนระดับประเทศไปได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น SCG, กรุงศรี ฟินโนเวต, บีซีเอช เวนเจอร์ส ที่เข้ามาร่วมลงทุนใน Series B+ หรือข่าวล่าสุดที่ TQM โบรกเกอร์ประกันเบอร์ 1 ของไทยได้เข้ามาซื้อหุ้นใน BUILK จำนวน 40% คิดเป็นมูลค่ากว่า 247 ล้านบาท 

แต่กว่า BUILK จะก่อร่างสร้างตัวจนสามารถดึงดูดนักลงทุนอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นได้ เส้นทางของมันเป็นอะไรที่ล้มลุกคลุกฝุ่นมามิใช่น้อย 

จุดเริ่มต้นของ BUIK เกิดมาจากไอเดียของ ไผท ผดุงถิ่น หลังเรียนจบด้านวิศวะโยธาที่จุฬาฯ เขาเข้าทำงานในบริษัทค้าขายวัสดุก่อสร้างได้อยู่ราว 2-3 ปี จากนั้นจึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจ SME นำเข้าอุปกรณ์ก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเองที่แม้จะไปได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ จนเขาถึงกับนิยามตัวเองในตอนนั้นว่า “ชีวิตช่วงนั้นมันเ-ี้ยมาก” 

ทว่าประสบการณ์ในครั้งนั้นก็กลายเป็นเหมือนเสาเข็มที่ทำให้ไผทได้ต่อเติมประสบการณ์และสร้างให้ BUILK กลายเป็นธุรกิจที่แข็งแรงจนกลายเป็นสตาร์ทอัพที่สามารถสร้างกำไรได้แล้วในวันนี้

ย้อนกลับไปตอนที่ทำ SME นำเข้าอุปกรณ์ก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างของตัวเอง ที่คุณบอกว่าแย่ มันแย่ขนาดไหน

มันคือเช้ามาเอาตีนก่ายหน้าผากเลย เป็นอะไรที่เฟลกับตัวเองมาก เพราะตอนจะออกมาทำธุรกิจที่บ้านก็ไม่ได้สนับสนุนผมนะ  ความเครียดตอนนั้นมันเกิดจากการที่ผมขาดประสบการณ์ บริหารจัดการสิ่งต่างๆ ไม่เป็น ทำงานได้ไม่ดี ยืมเงินที่บ้านยืมเงินคนรอบข้างเต็มไปหมด รับปากใครก็ทำไม่ได้สักอย่าง บอกเจ้าของบ้านว่างานจะเสร็จแต่สุดท้ายก็ไม่เสร็จ บอกลูกน้องจะจ่ายเงินแต่ก็ทำไม่ได้ บัตรเครดิตเต็มทุกใบ มีลูกน้องเขียนจดหมายมาด่าว่าบริษัทมันเจ๊งเพราะพี่นี่แหละ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าอายมาก ตอนนั้นผมเครียดมากจนผมร่วงถึงขั้นโกนผมเลย 

คือตอนนั้นผม 25 ถ้าเทียบกับคนรู้จักที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันเขาก็จะเอาเงินที่ได้จากการทำงานมาแล้วสักระยะหนึ่งไปเรียนต่อ MBA ต่างประเทศ เห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดูดีก็ยิ่งเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ตื่นมาก็เจอแต่ปัญหา แล้วกูทำอะไรอยู่วะเนี่ย 

แล้วผ่านมันมาได้ยังไง

ผมว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพลังของวัยรุ่นที่ล้มแล้วยังมีแรงให้ลุกขึ้นมาได้ อีกส่วนคือก็มีรุ่นพี่ที่วิศวะคอยแนะนำให้ค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละเปลาะ รุ่นพี่เขาบอกว่าปัญหาของผมมันเป็นอะไรที่สิวๆ เลยถ้าเทียบกับคนอื่นที่เขาเพิ่งเจอต้มยำกุ้งมา

พอมาทำสตาร์ทอัพมันก็จะมีปัญหาต่างๆ อยู่แหละ มีเรื่องไม่คาดฝันอีกมากมาย มีสิ่งที่ไม่เป็นตามแผนธุรกิจเต็มไปหมด แต่ผมก็ผ่านมาได้เพราะมันไม่มีอะไรจะหนักไปกว่าตอนที่ทำบริษัทแรกของตัวเองแล้วเจ๊ง จะว่าไปมันก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันที่ดีในระดับหนึ่งเลย

ตอนที่ทำ SME เรื่องรับเหมาก่อสร้างก็ไม่สำเร็จ แล้วทำไมตอนมาเริ่มทำสตาร์ทอัพถึงยังเลือกทำในธุรกิจเดิม

ผมชอบงานนี้ ถ้าให้ไปทำอย่างอื่นก็คงจะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร พอทำผู้รับเหมาเจ๊งก็เลยพยายามรวบรวมประสบการณ์ที่ผิดพลาดมา แล้วก็ไปชวนเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เขียนโปรแกรมได้มาทำงานด้วยกัน เปลี่ยนจากการทำรับเหมาเอง มาทำโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อทำให้การทำงานของผู้รับเหมาดีขึ้นให้สามารถควบคุมต้นทุนในการทำงานได้มากขึ้น

ฟังดูแล้วอาจจะตลกว่าคนที่ทำรับเหมาห่วยแต่จะมาทำซอฟต์แวร์ให้ชีวิตผู้รับเหมาดีขึ้น  แต่สุดท้ายมันก็ทำได้ เพราะผมเอาประสบการณ์ห่วยๆ ของตัวเอง กับความเก่งของผู้รับเหมาคนอื่นมาใส่ แล้วธุรกิจซอฟต์แวร์ก็ไปได้ดีกว่าผู้รับเหมา เริ่มลืมตาอ้าปากเริ่มปลดหนี้ปลดสินของตัวเองได้ ก็เลยเบนเข็มมาทำซอฟต์แวร์เป็นหลัก จากบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ก็เริ่มเดินสายประกวด ผมเป็นสตาร์ทอัพที่ชอบประกวดเพราะรู้สึกว่าเวลาโดนคอมเมนต์จากกรรมการมันทำให้เราเก่งขึ้น ผมไปมาแล้ว 20 กว่าเวที แต่สมัยก่อนยังไม่มีเวทีประกวดสตาร์ทอัพในไทย ก็เลยต้องไปสิงคโปร์ ไปตามประเทศต่างๆ จนวันนึงการทำธุรกิจก่อสร้างก็ทำให้ผมได้ไปพรีเซนต์ต่อหน้านักธุรกิจที่ซิลิคอนวัลเลย์

การไปซิลิคอนวัลเลย์ครั้งนั้นเป็นยังไง

มันไม่เหมือนกับหนังสือที่อ่าน ไม่ได้มีแค่ความสวยหรูดูเท่อย่างที่ใครคิดกัน แต่ยังมีมุมล้มเหลว มีการโกง มีดราม่าเต็มไปหมดเพียงแต่เรื่องราวมุมนี้ไม่ค่อยได้ถูกหยิบยกนำมาพูดมากนัก ทุกคนพูดว่าเป็นสตาร์ทอัพถ้าได้เป็นยูนิคอร์นก็คงจะเป็นอะไรที่คูลมาก แต่ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองไม่ได้อยากจะเป็นยูนิคอร์นแล้วล่ะ 

การเป็นยูนิคอร์นคือความฝันของคนทำสตาร์ทอัพหลายคน ทำไมตอนนั้นถึงไม่ได้อยากจะเป็นยูนิคอร์นแล้ว

นิยามของยูนิคอร์นมันคือบริษัทที่มีมูลค่าสูง ซึ่งการจะทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงได้ใจต้องใหญ่มากๆ ต้องยอมขาดทุนมาก แล้วมันก็จะมีข้ออ้างในการขาดทุนของเราอยู่เสมอ ขาดทุนเพื่อเติบโต ขาดทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม ซึ่งผมก็เคยเผาเงินอยู่แป๊บนึงแต่พอทำไปเรื่อยๆ ขาดทุนนานๆ เข้ามันก็นอนไม่หลับ (หัวเราะ) 

อีกอย่างคือผมอาจจะเป็นคนโลภที่อยากจะทำให้มูลค่าธุรกิจกับกำไรมันโตไปพร้อมกัน ก็เลยตัดสินใจว่าถ้าอย่างนั้นเราคงไม่ใช่ยูนิคอร์นแล้วล่ะ 

ไม่เป็นยูนิคอร์นแล้วจะเป็นอะไร

เป็นม้าที่แข็งแรง ที่วันนึงเข้าไปวิ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้ 

ย้อนกลับไปตอนนั้นทำไมตัดสินใจเริ่มทำสตาร์ทอัพหลังจากล้มเหลวมาตอนทำธุรกิจครั้งแรก

ผมเคยโดนสอนมาว่าที่ไหนมีความห่วย ช้า แพง ที่นั่นมีโอกาส

ผมมองเห็นโอกาสที่ว่านี้เต็มไปหมด อธิบายภาพรวมของวงการก่อสร้างให้เข้าใจกันก่อนว่านี่เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในไทย มีมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ในตัวเลข 1.3 ล้านล้านบาทนี้ มีผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับงานเมกะโปรเจกต์ที่เป็นโครงการใหญ่หรือพื้นฐานโครงสร้างทั้งหลายอยู่ 1 ใน 3 ของผู้รับเหมาทั้งประเทศ แล้วก็มีผู้รับเหมาที่เป็นรายกลางกับรายเล็กที่รับงานซ่อมออฟฟิศ รีโนเวต ไปจนถึงซ่อมห้องน้ำซ่อมบ้าน อยู่อีกประมาณ 90,000 ราย

เห็นมูลค่าเยอะแบบนี้แต่เอาจริงๆ ผมว่านี่เป็นวงการที่น่าน้อยใจมาก เพราะเป็นวงการที่คนแข่งกันทำราคาต่ำสุด อย่างถ้าเป็นวงการครีเอทีฟโฆษณาลูกค้าก็จะเลือกเจ้าที่มีความครีเอตที่สุดมากกว่าราคา แต่วงการผู้รับเหมานี่กลับกันเลย สมมติคุณอยากทำบ้านแล้วเรียกผู้รับเหมามา 3 เจ้าโดยที่มีแบบให้ ผู้รับเหมาก็จะเสนอราคาแข่งกันแล้วใครที่เสนอราคาได้ต่ำที่สุดก็จะชนะไป แต่แทนที่จะมามัวแต่นั่งน้อยใจ ผมก็เลยอยากจะยกระดับวงการนี้ให้ดีขึ้น 

ยกระดับยังไง 

หลายๆ อย่างที่ BUILK ทำขึ้นมาก็เกิดมาจากความคิดที่ว่าไม่อยากให้คนอื่นต้องเอาตีนก่ายหน้าผากเหมือนกับตอนที่ผมเป็นผู้รับเหมา แล้วเรื่องที่ทำให้ผมต้องเอาตีนก่ายหน้าผากในตอนนั้นก็คือการควบคุมต้นทุน

โปรแกรมที่ทำออกมาในช่วงแรกๆ ก็เลยเน้นไปที่การควบคุมเงินในการก่อสร้าง เพราะผมเชื่อว่าในตอนแรกไม่มีใครอยากทำงานคุณภาพห่วยๆ หรอก แต่พอทำไปทำมาแล้วเมาหมัด เดี๋ยวเงินก็ร่อยหรอ เดี๋ยวคนงานก็มีปัญหา พอเจอปัญหาแบบนี้จากอยากทำงานให้ดีก็กลายเป็นขอแค่ให้ทำงานเสร็จ สุดท้ายพอแค่อยากจะทำให้เสร็จ งานก็ห่วยลงตามไปด้วย

นั่นเลยเป็นที่มาของ BUILK โปรแกรมที่เอาไว้คอยบริหารจัดการต้นทุนในการก่อสร้าง เราก็เปิดให้ใช้ฟรีไปก่อน เพราะคิดถึงตอนที่ผมเป็นผู้รับเหมาถ้าให้ผมจ่ายค่าโปรแกรม 2,000 บาท ผมก็ไม่อยากจ่าย แล้วผมก็ค่อยไปหารายได้จากช่องทางอื่นแทน เช่นเอาวัสดุก่อสร้างไปขายในระบบ จนสุดท้ายก็ไปเตะตา SCG และทำให้ SCG มาลงทุนกับเรา

จาก BUILK ก็ต่อยอดไปสู่ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับผู้รับเหมาก่อสร้างอีกมากมายทั้งสำหรับผู้รับเหมาตัวเล็กและตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น YELLO ร้านขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์แบบ B2B, Pojjaman ระบบบริหารการก่อสร้างบน Cloud, KwanJai ซอฟต์แวร์ home service สำหรับโครงการอสังหาฯ หรือ BUILK iNSITE ระบบที่จะทำให้เจ้าของตรวจไซต์งานแบบออนไลน์ได้ 360 องศาโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ไซต์ด้วยตัวเอง 

เคยมีคนมาทำรีเสิร์ชว่า BUILK ทำให้ผู้รับเหมาประหยัดต้นทุนได้ 2.6% ดูเหมือนจะเป็นตัวเลขที่น้อย 

แต่ตัวเลขแค่นี้และมีนัยสำคัญแล้วเพราะแต่ละโครงการก็มีมูลค่าสูง กำไรของคนทำรับเหมาก่อสร้างเฉลี่ยจะอยู่ที่ 8-10 เปอร์เซ็นต์ การที่เราไปช่วยให้เขามีกำไรเพิ่มมาเป็น 10-12 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่ามีนัยสำคัญบางอย่างกับผู้รับเหมาเช่นกัน 

ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เห็นตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมดอยู่แล้ว แล้วโอกาสในการเติบโตของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ตรงไหน

ถึงจะเห็นสิ่งก่อสร้างมากมาย แต่ธุรกิจก่อสร้างของไทยยังห่างไกลจากคำว่าอิ่มตัวอยู่เยอะ เพราะความเป็นเมืองที่เริ่มขยายตัว มีเมกะโปรเจกต์มากมาย ไหนจะมีงานรีโนเวตอีกมากมายเพราะหลายสถานที่สร้างมาเป็นสิบๆ ปีก็ยังต้องมีการซ่อมบำรุงอยู่ ยิ่งกับตอนนี้ที่ภาวะโลกร้อนก็ทำให้อาคารต่างๆ อาจจะทนต่อสภาพอากาศไม่ได้นานเท่ากับในอดีต ธุรกิจนี้เลยยังมีโอกาสอีกมาก

ที่ผ่านมา BUILK หารายได้จากทางไหน

รายได้ของ BUILK มาจาก 2 ช่องทางหลักๆ ด้วยกัน ช่องทางแรกคือรายได้ที่มาจากซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างที่เราสร้างขึ้นมาเองซึ่งมีทั้งแบบให้เช่าและขายขาด เรามียอดขายจากซอฟต์แวร์ประมาณปีละ 80-100 ล้าน ส่วนอีกช่องทางคือรายได้ที่มาจากการขายวัสดุก่อสร้าง แม้กำไรในส่วนนี้จะบางเมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์แต่มันก็ดีที่ทำให้เราไม่ต้องพึ่งแหล่งรายได้จากแค่ทางเดียว ซึ่งพอ TQM เข้ามาลงทุนเพิ่มเราก็จะมีรายได้ที่มาจากการขายประกันเช่นประกันการก่อสร้าง และการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อให้ผู้รับเหมากู้เงินเพื่อเอามาลงทุนทำธุรกิจต่อได้

ทำไม TQM กับ BUILK ซึ่งดูเหมือนอยู่คนละวงการจึงมาพบเจอกันได้

อย่างที่บอกว่าเราเป็นสตาร์ทอัพที่ฝันอยากจะเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็เลยไปเข้าร่วมกับโครงการนู้นโครงการนี้ แล้วก็ได้รู้จักได้พูดคุยกับคนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในนั้นคือ TQM

ผมรู้สึกว่าการมี TQM เข้ามาลงทุน มันเสริมกัน 1×1 ไม่ได้เท่ากับ 1 แต่มันมากกว่านั้น ทางบอร์ดบริหารของ TQM ก็อยากจะมองหาน่านน้ำใหม่ๆ ในธุรกิจ ซึ่งการที่ประกันมาจับมือกับก่อสร้างมันเป็นอะไรที่ใหม่มาก แต่ก็เป็นสองธุรกิจที่สามารถ synergize กันได้ เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย BUILK เองก็จะได้ตลาดลูกค้าใหม่แล้วก็ช่วยลูกค้าเราได้มากขึ้น ส่วน TQM ถ้าได้ประกันด้านการก่อสร้างและอสังหาฯ ก็น่าจะทำให้พอร์ตของเขาใหญ่ขึ้นได้ แล้วผมก็หวังว่าวันนึงประกันก่อสร้างจะสามารถยกระดับขึ้นมาจนเหมือนประกันเดินทางได้

อีกอย่างที่เป็น TQM เพราะผมอยากจะทำธุรกิจกับคนที่มีความเป็น entrepreneurial spirit คือมีความเป็นเจ้าของมีความเป็นเถ้าแก่อยู่ การทำกับองค์กรใหญ่ที่ให้มืออาชีพมาบริหารก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะ แต่พออยู่ครบวาระเขาก็ไป นโยบายก็จะเปลี่ยนไปเป็นรอบๆ ซึ่งความเป็น entrepreneurial spirit มันไม่ได้หาได้จากผู้บริหารทุกคน 

คุณมีแนวคิดในการให้คนอื่นมาลงทุนในบริษัทที่รักและปั้นมาเองกับมือยังไง

ผมว่าธุรกิจที่เป็นเถ้าแก่ทุกคนต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ที่ตอนแรกเราเป็นเจ้าของคนเดียว เราคิดว่าเราเก่งที่สุดในองค์กร รู้ทุกอย่างในองค์กร แต่มันก็มีหลายๆ ในองค์กรที่ไปต่อไม่ได้เพราะติดอยู่ที่ลิมิตของตัวเจ้าของ 

ช่วงที่ผมอยู่เวียดนามมีนักลงทุนมาเงินลงทุนให้ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผมบอกกลับไปว่าไม่เอา เอาทำไม 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผมกู้แบงก์เองก็ได้ ผ่อนต้นผ่อนดอกให้จบผมก็ยังมีความเป็นเจ้าของอยู่เหมือนเดิมด้วย 

วันนั้นผมไม่เข้าใจ แต่พอได้เข้ามาอยู่ในวงการสตาร์ทอัพมากขึ้นก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วธุรกิจที่เราทำมันมีคนทำคล้ายๆ กันอยู่ทั่วมุมโลก ไอเดียเราไม่ใช่อะไรที่ยูนีกขนาดนั้น อยู่ที่ว่าใครจะทำได้เร็วกว่ากัน ซึ่งความเร็วเป็นเรื่องที่สำคัญมากของการทำธุรกิจในยุคนี้ ถ้าผมจะเดินต้วมเตี้ยมด้วยกำลังที่ผมมีอยู่ไปช้าๆ มันอาจจะมีสักคนหนึ่งที่คิดไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่มีเงินทุนเยอะเขาก็อาจจะแซงหน้าไปจนอาจทำให้ธุรกิจของผมไม่มีที่ยืนเลยก็ได้ ผมก็เลยคิดว่าการมีนักลงทุนถือเป็นทางเลือกที่ดีเพราะทำให้เราเป็นผู้ชนะได้

ทฤษฎีของคนทำสตาร์ทอัพบอกไว้ว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของเค้กคนเดียว เค้กมันอาจจะก้อนแค่นี้ แต่ถ้าคุณเอาเงินนักลงทุนมาสัก 30% นักลงทุนจะทำให้เค้กของคุณใหญ่ขึ้น แม้คุณจะเหลือพื้นที่ของตัวเองอยู่ 70% แต่ 70% ที่ว่านั้นมันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับเค้กก้อนแรกที่คุณถืออยู่คนเดียว ซึ่งผมซื้อคอนเซปต์นี้ แล้วก็ค่อยๆ เปิดใจกับนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ 

ความรู้สึกตอนมีคนมาลงทุนด้วยเป็นยังไง

แบ่งเป็น 3 เฟสแล้วกัน เฟสแรกที่มีคนมาร่วมลงทุนด้วยก็ตื่นเต้น คิดว่าเป็นความสำเร็จอยากฉลอง แต่พอผ่านไปสักระยะก็รู้สึกว่าฉิบหายแล้ว เพราะเงินที่นักลงทุนให้มามันมาพร้อมความคาดหวังที่เยอะมาก เขาเอาเงินมาลงเพราะเชื่อในสิ่งที่เราพูด ดังนั้นเราก็ต้องส่งมอบความคาดหวังกลับไปให้เขาให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้มันก็จะเป็นภาระที่หนักกับตัวเรามาก เราจะกลายเป็นแค่คนคนนึงที่ได้แค่พูดแต่ทำไม่ได้จริง ซึ่งผมเคยรู้สึกแบบนั้นตอนเป็นผู้รับเหมา มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก ไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ก็เลยต้องพยายามทำให้ได้

เฟสที่สองคือสมัยที่เป็นเถ้าแก่ ถ้าอยากจะจ้างมืออาชีพเก่งๆ มาทำงานด้วยผมจะเสียดายตังค์มาก เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นเงินของผมคนเดียว จะจ้างคนเงินเดือนแสนนึงคิดแล้วคิดอีก เถ้าแก่ยังไม่ได้เงินเดือนแสนนึงเลย แต่พอมีนักลงทุนเข้ามามันทำให้ผมคิดอีกแบบ เฮ่ย เขามาให้เราโตเว้ย เขามาลงทุนกับเรา 30% แปลว่าเราก็จ่าย 70,000 นี่หว่า แต่เราได้จ้างคนเงินเดือนแสนนึง แล้วคนเงินเดือนแสนนึงทำให้บริษัทเราเปลี่ยนไปจากเดิมได้ ตอนนั้นเฟสที่สองของผมผมเข้าใจแล้วว่าเงินนักลงทุนมันเอาไว้ใช้ มันต้องเอามาใช้แล้วมาสร้างกำลังขององค์กรให้มันดีขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด

จนมาเฟสที่สามผมมาคิดได้ว่าทุกร้อยบาทที่เราเสียไป เขามาช่วยเรา 30% ก็จริง แต่เราใช้เงินตัวเองตั้ง 70% เลยนะ แล้วจะยอมขาดทุนได้ไงวะ พอคิดได้สองด้านก็รู้สึกว่ามันก็โอเคมันมีกระสุนมาให้กล้า แต่ก็ไม่ใช่ว่ากล้าบ้าบิ่นจนเกินไป เพราะไม่ว่าจะเป็น SME สตาร์ทอัพ หรือบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สุดท้ายแล้วผลตอบแทนที่ทุกคนอยากได้ก็คือกำไร ไม่มีใครอยากขาดทุนไปตลอดชีวิตหรอก

นอกจากการเป็นม้าที่เข้าไปวิ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ คุณคิดว่าอนาคตของ BUILK จะเป็นยังไงอีกบ้าง 

อยากให้มันเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับให้วงการก่อสร้างดีขึ้น ให้เป็นธุรกิจที่เติบโตยั่งยืน เพราะผมชอบทำงานนี้ ไม่ได้อยากจะทำอย่างอื่นนอกจากงานที่เกี่ยวกับก่อสร้างแล้ว 

แล้วถ้าวันนึงเราเป็นบริษัทที่แข็งแรงขึ้น เราก็จะได้มองเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมได้มากขึ้นด้วย เพราะการก่อสร้างเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ทำร้ายโลกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นระเบิดภูเขาเอามาทำปูนและอะไรต่างๆ อีกมากมาย ในฐานะที่เราทำงานตรงนี้ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกับโลกด้วย ลูกผมแคร์เรื่องนี้มาก ก็เลยทำให้ผมแคร์เรื่องนี้มากขึ้นไปด้วย ดังนั้นในวันที่แข็งแรงขึ้นก็เลยอยากจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้การก่อสร้างมันกระทบกับโลกน้อยลง และทำให้โลกมีอนาคตได้นานขึ้น  

เหมือนจะเป็นแค่คำพูดหล่อๆ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ

ELITE Transportation Services บริการขนส่งงานศิลปะผู้ขนย้ายภาพเขียนปิกัสโซ่จนถึงหุ่นจากสุสานจิ๋นซี

ภาพวาดและประติมากรรมจากจิตรกรชื่อดังของโลก งานเครื่องเซรามิกโบราณที่เป็นต้นกำเนิดงานเซรามิกญี่ปุ่น ไปจนถึงหุ่นนักรบดินเผาจากสุสานก่อนประวัติศาสตร์ของจิ๋นซีฮ่องเต้

จะน่าทึ่งเกินไปไหมถ้าบอกว่างานเหล่านี้ผ่านมือของ (พนักงาน) บริษัทชื่อ ELITE Transportation Services มาหมดแล้ว

ELITE เป็นบริษัทขนส่งอายุกว่า 30 ปีที่เริ่มต้นจากการขนส่งสินค้าให้งานเทรดแฟร์ หรืองานแสดงสินค้าตั้งแต่รถ อาหาร ของแต่งบ้าน เรื่อยไปจนถึงงานศิลปะ ก่อนประสบการณ์และสายตาที่เฉียบคมจะทำให้พวกเขามองเห็นช่องว่างในตลาดและผันตัวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งงานศิลปะมูลค่าสูงโดยเฉพาะ

กับสินค้าแมสทั่วไป หากส่งผิดหรือเสียหายบริษัทยังต้องรับผิดชอบคืนเงินหรือส่งของไปให้ลูกค้าใหม่ แต่กับสินค้าที่ส่วนใหญ่มีชิ้นเดียวในโลกอย่างงานศิลปะ ถ้าเกิดความเสียหาย นอกจากมูลค่าที่สูงจนแทบชดเชยไม่ได้ (บางชิ้นประเมินแล้วราคาแตะหลักพันล้านบาท) งานส่วนใหญ่ยังมีชิ้นเดียวบนโลกอีกด้วย

ในช่วงที่เมืองไทยใกล้จัดงาน Bangkok Art Biennale ที่แสดงผลงานของศิลปินระดับโลกมากมาย เราชวน วิวิศว์ จันทร์ธิวัตรกุล General Manager บริษัท ELITE Transportation Services มาเล่าให้ฟังว่าธุรกิจขนส่งความเสี่ยงระดับนี้เขาทำกันยังไง

ELITE Transportation Services

ช่วยยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยว่าที่ผ่านมา ELITE เคยขนส่งงานศิลปะอะไรมาบ้าง

เนื่องจากว่าตอนนี้มีกฎหมายเรื่องการไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้า เราอาจจะพูดไม่ได้ทั้งหมดว่าเคยขนส่งให้ใครมาบ้าง มูลค่าเท่าไหร่ แต่ผมสามารถพูดถึงผลงานดังๆ ที่เราเคยขนส่งสำหรับนิทรรศการสาธารณะ เช่น งานของเจ้าพ่อป๊อปอาร์ต Andy Warhol ประติมากรก้องโลกต่างๆ อย่าง Jaume Plensa (เฮาเม เพลนซา) และ Antony Gormley หรือโบราณวัตถุจากแหล่งประวัติศาสตร์ต่างๆ ของไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุครัตนโกสินทร์ และของแหล่งประวัติศาสตร์โลกเช่น หุ่นทหารดินเผาจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้

แต่ต้องบอกก่อนว่า ELITE เราทำเฉพาะแค่ขนส่ง เราไม่ได้รวมถึงลักษณะของการซ่อมแซมหรือบูรณะของชิ้นนั้น

ก่อนจะไปถึงเรื่องการขนส่งงานศิลปะ ช่วยปูพื้นฐานให้ก่อนได้ไหมว่าวงการขนส่งในโลกนี้แบ่งประเภทกันยังไง ละเอียดแค่ไหน

ถ้าเราดูรอบตัว ทุกอย่างต้องการการขนส่งทั้งนั้น การขนส่งเลยจำแนกแยกย่อยออกมาหลายประเภทมากๆ เช่น Kerry, DHL, FedEx ที่เราเห็นบ่อยๆ เขาจะเน้นขนส่งพัสดุเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ของที่เราซื้อออนไลน์แต่สังเกตได้ว่าเขาจะไม่รับขนส่งของใหญ่มากๆ เพราะไม่ใช่ความถนัดของเขา

มันจึงเกิดเป็นบริษัทแม่ของเราชื่อ Transpo Logistics ตอนแรกก็ขนส่งสินค้าทั่วไปแต่เราเห็นว่าในตลาดยังมีสินค้าหลายอย่างที่ไม่สามารถส่งด้วยวิธีธรรมดาได้ เราเลยแยกย่อยออกมาเป็นหลายๆ บริษัท แต่ละบริษัทก็ขนส่งสินค้าเฉพาะทางของตัวเอง เช่น Transpo เน้นขนส่งเครื่องจักร เครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่ เครื่องสแกน MRI ของพวกนี้เวลาขนมันไม่ได้ใช้แค่แรงคนแต่ต้องมีเครื่องมือ เครื่องจักร วิศวกรผู้เชี่ยวชาญไปด้วย อย่างในห้างสรรพสินค้าที่เราสงสัยว่าเขาเอารถเข้าไปโชว์ได้ยังไง ก็เพราะเขามีวิธีขน ใช้เครนยกเข้าไป เป็นทักษะเฉพาะทางอย่างหนึ่ง

บริษัทอื่นๆ ในเครือก็มีความเชี่ยวชาญต่างกันไป อย่าง Brink’s จะขนส่งของมีค่ามากอย่างเพชร เงิน ทอง รถที่ใช้จะเป็นรถบรรทุกตู้นิรภัย ต้องใช้กุญแจไขพร้อมกันสองคน และต้องมีอาวุธติดไปด้วยเพื่อรักษาความปลอดภัย ขณะที่บริษัท Tiger เน้นไปทางขนส่งของใช้ในบ้านให้ชาวต่างชาติที่ย้ายครอบครัวมาอยู่ในไทยเป็นหลัก ส่วน ELITE ก่อตั้งมา 30 กว่าปีแล้ว ตอนแรกเราเน้นขนส่งงาน trade show หรือ exhibition คืองานแสดงสินค้าที่ผู้ประกอบการมาโชว์ผลิตภัณฑ์ออกใหม่ อย่างงานมอเตอร์โชว์ก็เป็นเทรดโชว์แบบหนึ่ง

สินค้าที่ ELITE ขนส่งสำหรับงาน trade show มีอะไรบ้าง

ตามธรรมชาติของงานเทรดโชว์ ของที่เอามาโชว์มันจะเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่หัวข้อของงานเราเลยต้องขนส่งสินค้ามากมายหลายชนิด มีตั้งแต่รถ ของใช้ในบ้าน อาหาร เครื่องประดับ ไปจนถึงงานศิลปะ เราทำขนส่งทั้งขาเข้าขาออกแต่ส่วนมากจะเป็นขาออกเพราะประเทศไทยเน้นส่งออกมากกว่าและเราไม่ค่อยมีงาน exhibition ระดับโลกอย่างประเทศเยอรมนี ฮ่องกง สิงคโปร์ ฯลฯ

งานที่เราทำไม่ใช่แค่งานโชว์ผลิตภัณฑ์ สมัยที่อดีตประธานาธิบดีโอบามาเยือนฟิลลิปปินส์ ตอนนั้นมีนักข่าวตามมาด้วย ต้องขนส่งกล้อง ไมค์ อุปกรณ์ทุกอย่างในการถ่ายทอดสดเราก็เป็นคนคอยดูแลการขนส่งให้เขา หรืองานอีเวนต์โชว์แบบทัวร์กอล์ฟ ประกวดนางงาม พวกนี้ใช้อุปกรณ์ทั้งนั้นเราก็ขนส่งให้เหมือนกัน

จากผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้างาน trade show พัฒนามาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งงานศิลปะได้ยังไง

เราเริ่มสังเกตว่างาน trade show มันลดปริมาณลงไปตามกลไกตลาดและเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์ไป แต่ก่อนจุดประสงค์ของงานเหล่านี้คือการโชว์สินค้าให้ลูกค้าหน้าใหม่ที่มาดู แต่หลังๆ มันเปลี่ยนลักษณะกลายเป็นโต๊ะประชุม เป็นการคุยกันระหว่างคู่ค้าเดิมมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จำเป็นจะต้องมีสินค้าไปโชว์มาก เราจะเห็นได้ว่าบางบูธเล็กมากเลย มีโต๊ะโต๊ะเดียวแล้วก็มีคนมาเจรจาการค้ากัน

ยิ่งพอหลังจากโควิดเมื่อปลายปี 2019 เป็นต้นมางานแสดงสินค้าต้องลดลงไปเยอะมากแทบจะเหลือแค่ 10-20% จากที่ปกติเคยจัดเพราะว่าปกติคนที่ไปเดินในงานแสดงสินค้าไม่ใช่คนในประเทศนั้นๆ แต่จะเป็นคนต่างประเทศ พอถึงช่วงโควิดที่คนเดินทางข้ามประเทศไม่ได้งานแสดงก็เลยลดจำนวนลง

มาถึงวันนี้ งานแสดงสินค้ากลับมาจัดแต่มันก็เปลี่ยนรูปแบบไปแล้วเพราะว่าเรามีวิถีชีวิตใหม่ๆ พนักงานออฟฟิศมีการเวิร์กฟรอมโฮม งานเทรดโชว์ก็มี booth from home เหมือนกัน บริษัทสามารถส่งตัวอย่างสินค้าไปถึงผู้ซื้อแล้วก็สามารถประชุมออนไลน์ได้ หรืองานแสดงสินค้าบางแห่งจัดในพื้นที่จริงแต่จำกัดคนเข้างานเพื่อป้องกันโรคระบาดแล้วก็ถ่ายภาพ VR สำหรับผู้ชมทางบ้านไปด้วย แนวโน้มปริมาณงานแสดงสินค้าจึงลดลงเรื่อยๆ การขนส่งสินค้าไปงานเหล่านี้ก็ลดลง

มันแตกต่างกับงานแสดงศิลปะที่ความต้องการเพิ่มขึ้น เราได้เห็นโอกาสว่านิทรรศการแสดงงานศิลปะมีจัดแสดงทั่วโลกและทุกวันนี้ก็ยังมีเยอะอยู่ ศิลปินไทยดังๆ ไปโชว์งานในต่างประเทศก็มีเยอะ อย่างคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช เขาก็ดังมากในอเมริกา หรืออย่างตอนนี้ประเทศไทยก็จัด Thailand Biennale เป็นงานโชว์ศิลปะที่ผนวกเข้ากับการท่องเที่ยว เอางานศิลปะไปโชว์ในแลนด์มาร์กต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและกระตุ้นเรื่องศิลปะไปในตัว

จากที่ทำงานมาเราได้รู้ว่างานศิลปะพิเศษและต้องการความปลอดภัยสูงซึ่งเป็นความถนัดของเราอยู่แล้ว เราจึงขนส่งงานศิลปะมาเรื่อยๆ ขนให้แกลเลอรีไปจนถึงเริ่มทำงานให้พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย มาถึงจุดนึงเราก็ขนส่งงานศิลปะมากกว่าสินค้าชนิดอื่นจนมาเป็น ELITE แบบทุกวันนี้

ความท้าทายของการขนส่งงานศิลปะคืออะไร

เวลาขนส่งงานศิลปะ เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือความปลอดภัย งานศิลปะต้องการการดูแลแบบพิเศษ ของบางชิ้นมูลค่าเป็นร้อยล้าน บางชิ้นอายุเกิน 100 ปี หรือเราเคยขนส่งหุ่นจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ซึ่งเป็นงานจากก่อนยุคประวัติศาสตร์ มันอยู่ในดินมามากกว่า 2,000 ปีพอเอาออกมามันก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับการขนย้ายอีกต่อไป มันเลยเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่าจะขนส่งยังไงให้ปลอดภัยที่สุด

ไม่ใช่แค่แพ็กของยังไงไม่ให้แตกแต่มันมีเรื่องสภาพอากาศด้วย อย่างเช่นไม้ บ้านเราเป็นเมืองร้อนชื้น ถ้าขนส่งไม้จากบ้านเราไปยังประเทศที่อากาศแห้งและเย็นแบบทางยุโรปพอขนกลับมาเจออากาศร้อนชื้นอีกทีไม้ก็อาจจะแตกหรือบิดเบี้ยว ทีนี้มันก็เป็นโจทย์ว่าเราจะทำบรรจุภัณฑ์ยังไงให้สามารถป้องกันสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ได้

แล้วงานศิลปะมันไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว เอาแค่รูปวาดก็มีหลายประเภทแล้ว ใช้สีน้ำมัน สีอะคริลิก สีน้ำ หรืออาจจะเป็นวัสดุอื่นๆ แม้แต่ปากกาลูกลื่นก็มี ซึ่งแต่ละอย่างก็ต้องการการดูแลไม่เหมือนกัน นี่เรายังไม่ได้พูดถึงงานประติมากรรมเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากว่าศิลปะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย วัสดุที่เอามาทำงานประติมากรรมก็มากชนิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงเหล็ก เรซิ่น หรือในตอนนี้ที่มีการรณรงค์เรื่องโลกร้อนก็มีศิลปินที่ใช้ของรีไซเคิลหรือแม้แต่ขยะมาทำงานด้วยซ้ำ

มันคือการเรียนรู้ไม่รู้จบ ศิลปินเรียนรู้การนำวัสดุใหม่ๆ มาทดลองใช้ทำผลงาน ขณะที่เราก็ต้องทำงานควบคู่กับเขา ต้องเรียนรู้ว่าวัสดุไหนมีคุณสมบัติอะไร แพ็กยังไง ตรงไหนคือจุดที่เปราะบางที่สุด สภาพกรด-ด่าง สภาพอากาศจะทำปฏิกิริยากับชิ้นงานแค่ไหน ดังนั้นประสบการณ์คือสิ่งที่สำคัญมากของการทำงานนี้

โจทย์ของ ELITE ในการทำงานแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกันเลย เราถึงบอกว่าเราทำขนส่งแบบ tailor-made ตามผลงานที่คุณต้องการส่ง

ช่วยขยายความคำว่าขนส่งแบบ tailor-made ให้ฟังหน่อย

เราเป็นฟูลเซอร์วิสให้ลูกค้า สมมติลูกค้ามีรูปหนึ่งรูปที่ต้องการขนส่งเราจะเริ่มตั้งแต่แพ็กของให้เขา เช็กสภาพสินค้าก่อนส่ง ประเมินว่าจะขนส่งทางไหนดี จะทางอากาศหรือควรไปทางเรือก็ขึ้นอยู่กับวัสดุงานและวิธีการแพ็ก เช่น ถ้าเป็นชิ้นที่เปราะบางเราจะแนะนำให้ไปทางเครื่องบินแต่ถ้าวัสดุสร้างงานค่อนข้างแข็งแรง เจอสภาพอากาศยังไงสภาพก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงก็ไปทางเรือได้เพราะตู้คอนเทนเนอร์มันร้อน เจอไอทะเล มีความเป็นกรดเป็นด่าง

พูดง่ายๆ การทำงานของเรามีลักษณะเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า ลูกค้าให้โจทย์มา เราจะต้องตอบเขาว่าจะขนส่งไปจนถึงปลายทาง ไปถึงแกลเลอรี หรือผู้สะสมต่างๆ ทั่วโลกยังไง

พอถึงต่างประเทศเราจะมีคู่ค้าปลายทางเรียกว่าเอเจนต์ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายเขาก็เป็นบริษัท freight forwarder (ตัวกลางส่งออกและนำเข้าสินค้า) ทางด้านงานศิลปะเหมือนเรา freight forwarder แบบนี้มีกระจายทั่วโลกประเทศละหนึ่งที่หรือสองที่ หน้าที่ของเขาคือประสานงานรับของที่ปลายทาง แล้วทำเรื่องศุลกากรนำเข้าทั้งหมด ขนส่งไปถึงลูกค้า เปิดบรรจุลังแล้วก็ทำการติดตั้งให้กับทางลูกค้า

ในขณะเดียวกันเราก็เป็นเอเจนต์ปลายทางให้กับบริษัทต่างประเทศเช่นกัน เรารับของมาขนส่งให้ถึงมือลูกค้าพร้อมกับติดตั้งให้ เพราะว่าลูกค้าเขาเป็นนักสะสมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เขาก็จะต้องใช้บริการช่างของเรา หรือของบางชิ้นน้ำหนักเป็น 10 ตันลูกค้าไม่มีทางยกไหวแน่ๆ

elite transportation services

ดูเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษมากๆ คุณฝึกพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญยังไง

พนักงานขนส่งทั่วไปเรียกว่า mover ส่วนพนักงานที่มีความรู้เรื่องการขนส่งงานศิลปะจะเรียกว่า art handler บางประเทศเขามีเงื่อนไขเลยว่าถ้าจะเป็น art handler ต้องผ่านมาตรฐานยังไง เช่น ในประเทศญี่ปุ่นถ้าจะเป็น art handler คุณจะต้องมีประสบการณ์ขนงานศิลปะอย่างต่ำ 5 ปี แต่ของไทยยังไม่มีการออกใบ certificate หรือแม้แต่มาตรฐานสากลในโลกนี้เอาจริงๆ ก็ยังไม่มี ในสมาคมผู้ขนส่งศิลปะเองเขาก็ยังหาข้อตกลงเรื่องวิธี handle ไม่ได้เลยเพราะว่าของมันต่างกันมากเลยหาจุดร่วมมาสร้างมาตรฐานได้ยาก 

ดังนั้นการที่เราจะมั่นใจว่าคนของเราทำงานนี้ได้เขาจะต้องมีประสบการณ์ อย่างแรกมาจากประสบการณ์การร่วมงานกับเอเจนต์เจ้าอื่นๆ งานศิลปะส่วนใหญ่มันบอบบางมากจึงต้องมีคิวเรเตอร์จากพิพิธภัณฑ์ต้นทางซึ่งรู้จักงานดีที่สุดเดินทางมาด้วยเพื่อให้มั่นใจว่าของปลอดภัยไร้กังวล คิวเรเตอร์ต่างประเทศเขาจะเรียนด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์มาโดยเฉพาะ รู้ว่าของแบบไหนเจอสภาพอากาศแบบไหนแล้วปลอดภัย การจัดแสดงโชว์ต้องใช้แสงมุมไหน คนของเราก็ได้มีประสบการณ์การ handling งาน ได้เจอข้อปฏิบัติที่แตกต่างเมื่อเทียบกับการขนส่งของอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างที่สองคือเราเชิญคิวเรเตอร์ที่มีประสบการณ์มาให้ความรู้ มาช่วยเทรนคนของเราให้เป็น art handler หรือเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านการขนส่งงานศิลปะ อย่างที่สาม เรามีการศึกษาหาความรู้ส่วนอื่นมาเพิ่มเติมด้วยจนกระทั่งเราสามารถฝึก art handler ให้มีประสบการณ์ ทำงานได้

คุณมีวิธีวัดยังไงว่าคนนี้พร้อมจะเป็น art handler แล้ว

ถ้าตอบง่ายๆ เลยคือ หนึ่ง เหมือนนักบินที่สะสมชั่วโมงบินมา เราก็ต้องดูว่าเขาผ่านงานมาเยอะแค่ไหน เคยมีประวัติอุบัติเหตุไหม ที่สำคัญที่สุดคือลักษณะนิสัยของเขาเป็นคนที่ใส่ใจหรือเปล่าเพราะว่างานนี้ต้องการความใส่ใจค่อนข้างสูง เราจะต้องฝึกให้เขามีลักษณะนิสัยของ art handler ขึ้นมาด้วย

ELITE Transportation Services
elite transportation services

งานศิลปะที่รับผิดชอบมีมูลค่าสูงมาก มีกฎเหล็กอะไรในการทำงานเพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดไหม

ของพวกนี้มันจุกจิกมากๆ เขียนเป็นหนังสือได้เล่มหนาๆ เลยถ้าจะให้พูดก็คงทั้งวัน (หัวเราะ)

เรื่องที่เป็นพื้นฐานคือก่อนเริ่มต้นทุกงานเราต้องทำขั้นตอนการ handle งานนั้นๆ ของมีสภาพยังไง จะแพ็กยังไง ต้องเตรียมของเตรียมอุปกรณ์อะไรไปเผื่อหรือเปล่า ซึ่งผมต้องอนุมัติก่อนถึงจะสามารถส่งคนไปที่หน้างานเพื่อรับสินค้าได้

กฎอีกข้อคือต้องส่งคนไปอย่างน้อย 2 คน 1 ในนั้นจะต้องเป็นระดับ supervisor ขึ้นไป อีกคนเป็น art handler เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเจออะไรบ้างที่หน้างาน ยกตัวอย่าง คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ว่ากว่าสีน้ำมันจะแห้งจริงๆ ต้องใช้เวลา 2 ปี ถ้าเป็นหัวหน้างานที่มีประสบการณ์เขาจะรู้เลยว่าสีแห้งหรือยัง ถ้างานเพิ่งเพนต์เสร็จมาแค่ 2 อาทิตย์ก็อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแพ็กหน้างานใหม่ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องส่งซีเนียร์ไป 

อีกเรื่องที่สำคัญคือห้ามถือผลงานแค่คนเดียวเพราะว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่ว่าเปอร์เซ็นต์จะน้อยแค่ไหนก็ตาม เวลาเราขนส่งเส้นทางอาจจะไม่ได้ราบรื่น มันอาจจะเป็นที่กว้างๆ หรือทางเดินแคบๆ ก็ได้หมด ถ้าถือคนเดียวแล้วสะดุดล้ม เท่านั้นของก็พังแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีอีกคนช่วยกันถือเผื่อคนนึงล้มอีกคนยังประคองไว้ได้

มีงานไหนที่ท้าทายและน่าจดจำมากๆ ไหม

ผมยกตัวอย่างงานหุ่นทหารดินเผาจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ยกมาแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มันเป็นงานใหญ่เพราะเรารู้กันอยู่ว่าสมบัติทั้งหมดของสุสานจิ๋นซีเป็นสมบัติแห่งชาติของประเทศจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางไทยจะไปขอยืมมาจัดแสดงโชว์ ดังนั้นความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ทีนี้มันก็ดูแลยากเพราะว่าของมันฝังมาในดินมาประมาณ 1,200 ปีพอสัมผัสอากาศภายนอกก็เปลี่ยนสภาพแล้ว จะเห็นว่าตอนนี้หุ่นมันไม่มีสีแต่ตอนเขาขุดมา 10 นาทีแรกมันมีสีนะหรือบางชิ้นเอาขึ้นมาปุ๊บ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีก็เป็นผงไปเลย

ความยากที่สองคือของมันไม่ใช่หินแต่เป็นดินเผาดังนั้นข้างในหุ่นจะกลวง หมายความว่ามันแตกได้ แต่ระหว่างขนย้ายเราจะต้องเจอแรงกระแทกเยอะมาก ขนขึ้นรถบรรทุกก็เจอแรงกระแทก ขึ้นเครื่องบิน เครื่องบินขึ้น ตกหลุมอากาศ หรือเครื่องบินแลนดิ้งก็เจอแรงกระแทกอีก เราจะทำยังไงให้ปลอดภัยที่สุด

นี่คือสาเหตุว่าทำไมจีนเขาถือว่ามันเป็นสมบัติแห่งชาติและไม่ให้ทำการขุดเอาสมบัติของจิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นมามากเกินไปเพราะเอาขึ้นมาแล้วรักษายากมาก ทุกวันนี้มีการขุดไปในจำนวนน้อยมาก ของมีจำนวนเป็นล้านแต่ขุดกันมา 20-30 ปีแล้วได้แค่ 6,000 ชิ้นเอง ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ 

elite transportation services

คุณสร้างความเชื่อมั่นยังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่างานที่มีมูลค่าและคุณค่ามหาศาลอยู่ในมือเราแล้วจะปลอดภัย

สิ่งที่จะทำให้ลูกค้ามั่นใจได้มากที่สุดคือผลงานที่เราเคยทำมา ประสบการณ์ของเรา งานใน industry นี้ส่วนมากจะแนะนำแบบปากต่อปากกันไป เราไม่สามารถใช้ mass marketing strategy ทำโฆษณาแบบขนส่งพัสดุทั่วๆ ไปได้ เพราะว่ามันไม่ได้การันตีว่าฝีมือของเราเป็นยังไง วิธีเดียวที่คุณจะเห็นว่าเราทำงานดีแค่ไหนคือได้เห็นระหว่างที่เราขนส่งซึ่งแน่นอนว่า end user อย่างคนที่เข้าไปดูนิทรรศการเขาไม่เห็นหรอก ผู้ขนส่งงานศิลปะต่างๆ ทั่วโลกเขาถึงก่อตั้งขึ้นมาเป็นสมาคมเพราะสมาคมนี่แหละที่จะรองรับ การันตี นักสะสมขาก็บอกปากต่อปากว่าเจ้าไหนฝีมือดี ไว้ใจได้ 

ดังนั้นวิธีเดียวเลยที่จะทำให้เกิดการกระจายชื่อของ ELITE ออกไปคือลูกค้าต้องมั่นใจว่าเราให้ความใส่ใจ ให้ความสำคัญกับผลงานของเขามากที่สุด ดูแลอย่างดีที่สุด art handler ของเรามีความรู้ด้านศิลปะ รู้จักแก้ไขปัญหาหน้างาน แล้วก็ขนส่งโดยที่ไม่เกิดความเสียหาย ทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์ ห้ามมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถ้าเราทำได้เราก็ได้ความมั่นใจจากลูกค้า มาร์เก็ตติ้งที่ดีที่สุดคือ performance ของคนของเรา 

ELITE ปรับตัวมาขนส่งงานศิลปะเพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตลาดเทรดโชว์ แล้วตอนนี้วงการงานศิลปะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม 

ตอนนี้ศิลปะมันเริ่มเปลี่ยนไป เพราะคนไม่ได้มองแค่ว่ามันคือรสนิยมในการตกแต่งบ้าน แต่มองว่ามันคือการลงทุน ตอนนี้ถ้าเราไปเดินในนิทรรศกาลศิลปะ ในแกลเลอรี หรืองานแสดงศิลปะ biennale ของแต่ละประเทศ คิวเรเตอร์หรือพนักงานของแกลเลอรีนั้นๆ เขาสามารถบอกได้เลยว่าผลงานนี้ดีลอยู่ที่เท่าไหร่ มีอัตราตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี งานมันจึงยังขายได้เรื่อยๆ เพราะว่ามันก็เป็นการลงทุนสินทรัพย์รูปแบบหนึ่งซึ่งสินทรัพย์พวกนี้มันต้องดูแลให้ดี ถ้าดูแลไม่ดีก็เสีย value ดังนั้นสิ่งที่จะเข้ามามีบทบาทคือการขนส่ง การดูแลรักษามัน เรามองว่านี่ยังเป็นโอกาสของเราอยู่

ขณะเดียวกัน มันก็มีงานศิลปะรูปแบบใหม่เกิดขึ้นเช่น NFT ที่ไม่ได้อยู่บนแคนวาสเหมือนสมัยเก่าแต่อยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เราก็ต้องมาดูว่าการมาถึงของ NFT กับ metaverse มันจะเปลี่ยนโลกศิลปะไปยังไงเพราะของพวกนี้ไม่ต้องการใช้ขนส่ง แล้ว ELITE เราจะอยู่ในธุรกิจนี้ต่อไปยังไง

elite transportation services

พูดถึงเรื่องนี้ คุณมอง NFT ยังไง มันจะมีผลกระทบอะไรกับธุรกิจของคุณหรือเปล่า และคุณมองอนาคตของ ELITE ยังไง

ผมมองว่าถ้าต่อไปความนิยม NFT เพิ่มขึ้น คนไปลงทุนกับ NFT มากกว่างานศิลปะแบบเดิม ไม่ต้องใช้การขนส่งผมก็คิดว่าเรายังมีโอกาสในด้านของการจัดงานอีเวนต์ อย่างที่ผมบอกว่าเทรดโชว์ หรือ exhibition show มันไม่จำกัดขอบเขต มันจะโชว์สินค้าอะไรก็ได้ งาน NFT เองก็เคยมีการจัดงานนิทรรศการแบบ on-ground ตรงนี้ก็เป็นขาหนึ่งของงานที่ ELITE ทำเหมือนกัน

ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่า NFT เป็นสินทรัพย์ชนิดใหม่ที่ไม่สามารถมาแทนงานศิลปะแบบเดิมได้ ยังไงผลงานเก่าๆ ก็ยังมีที่ทางและมีการขนย้ายตลอดอยู่ดี ไม่ใช่แค่เพื่อซื้อ-ขายแต่เพื่อการนำไปจัดแสดงด้วย เช่น นักสะสมในไทยเก็บผลงานชิ้นนี้ของอาจารย์ถวัลย์มา 20 ปีแล้วถ้ามีคนอยากนำไปแสดงต่างประเทศการขนส่งก็เกิด หรือการประมูลงานศิลปะก็เกิดอยู่ตลอด อย่างการประมูลของ Christie’s ในสิงค์โปร์ ในฮ่องกง คนที่อยากขายผลงานศิลปะก็ต้องขนส่งงานไปที่ประเทศนั้นๆ เพื่อเข้าร่วมการประมูล ดังนั้นการขนส่งงานศิลปะแบบดั้งเดิมก็ยังมีตลาดอยู่ และตราบใดที่มีการซื้อ-ขาย คนก็ยังต้องการบริการขนส่งอยู่ดี

‘Cope Notes’ ผู้รอดชีวิตจากภาวะสุขภาพจิตสู่สตาร์ทอัพที่ช่วยเยียวยาจิตใจผู้คนด้วยข้อความ SMS

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ได้เผยแพร่ข้อสรุปเกี่ยวกับสุขภาพจิตโลกที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปลี่ยนผ่านศตวรรษเอาไว้ว่า ในปี 2019 ผู้คนเกือบพันล้านคน รวมถึงวัยรุ่น 14% ของโลก ที่เผชิญกับคาวมยากในการดำเนินชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับสภาวะทางจิตใจ การฆ่าตัวตายนับเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 100 ของการเสียชีวิต และ 58% ของการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยกว่า 50 ปี

การถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็กและการตกเป็นเหยื่อการถูกกลั่นแกล้งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะซึมเศร้า ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจปัญหาด้านสาธารณสุขที่เลวร้าย สงคราม และวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในภัยคุกคามเชิงโครงสร้างระดับโลกต่อสุขภาพจิตใจทั้งสิ้น อัตราของคนที่มีภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมากกว่าถึง 25% ในปีแรกของการระบาดโควิด-19

แม้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมทันสมัยมากมายถูกพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน คำมั่นสัญญาว่าสิ่งใหม่ๆ จะช่วยทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้นกลับไม่ได้เป็นจริงในวงกว้าง คนที่ได้รับผลประโยชน์จากโลกทุนนิยมเป็นเพียงคนกระจุกเล็กๆ เพียงหยิบมือ แต่โดยรวมแล้วโลกกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต สภาพแวดล้อมยังคงแย่ลง การรณรงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือความพยายามยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นดูไร้ซึ่งความหวัง มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ข่าวร้าย ๆ เต็มไปหมด

จอห์นนี่ โครว์เดอร์ (Johnny Crowder) คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการการุณยฆาต เขาเคยถูกทารุณกรรมตอนที่เป็นเด็กและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทและโรคอารมณ์สองขั้ว รวมถึงโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งเป็นโรคจิตเภทหลังเหตุการณ์เลวร้าย และอื่นๆ เขาใช้ทั้งชีวิตกับปัญหาทางสภาพจิตใจและพยายามทุกวิถีทางเพื่อค้นหาวิธีที่อยู่กับมันให้ได้ จากประสบการณ์ส่วนตัวกับความเจ็บป่วยทางจิตเขาเข้าใจเลยว่าปัญหานี้ไม่ควรถูกมองข้ามและคนป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือนั้นเปราะบางมากแค่ไหน

โครว์เดอร์ทราบดีว่าปัญหาทางโครงสร้างสังคมและเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิตสามารถผลร้ายต่อสภาพจิตใจมากแค่ไหน เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกันมาก่อน ทั้งประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตใจ รวมกับการศึกษาด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Central Florida และการเป็นอาสาสมัครมาตลอดชีวิต เขาเริ่มคิดถึงวิธีช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไปข้างหน้าได้และสร้างสตาร์ทอัพที่ชื่อ ‘Cope Notes’ ขึ้นมาในปี 2018 โดยเป็นบริการส่งข้อความเชิงบวกพร้อมกับวิธีการรับมือกับช่วงเวลาแย่ๆ ของชีวิตทาง SMS ให้กับคนที่สมัครเป็นสมาชิก 

“ถึงจุดหนึ่งผมก็ตระหนักว่าการโดนรบกวนแบบสุ่มๆ ระหว่างวันสามารถกระตุ้นความคิดเชิงบวกของตัวเองได้ การถูกรบกวนด้วยเรื่องดีๆ มีประโยชน์มากตอนที่ต้องจัดการกับความโกรธ ความเศร้า และวิตกกังวล ผมก็เริ่มด้วยการเขียนข้อความเชิงบวกถึงตัวเองด้วยกระดาษโน้ตแล้วทิ้งไว้รอบๆ บ้าน แต่เราก็ยังรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน จนผมอยากจะเซอร์ไพรส์ตัวเองจริงๆ นั่นคือจุดที่ไอเดียของข้อความ SMS เข้ามาในหัว”

โครว์เดอร์ทดลองไอเดียโดยการสุ่มส่งข้อความเชิงบวกไปหาเพื่อน 30 คนเพื่อดูเสียงตอบรับว่าทุกคนคิดยังไง ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้รับข้อความก็จะบอกเขาว่า “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังต้องการที่จะได้ยินคำเหล่านี้อยู่พอดี” นั่นเป็นจุดที่เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยคนอื่นได้จริง

6 เดือนต่อมาเขาใช้เวลาเพื่อวางระบบและก่อตั้ง Cope Notes ขึ้นมา มันเป็นบริการที่จะส่งข้อความเป็นระยะๆ ในช่วงเวลาที่ต่างกันในแต่ละวัน ข้อความมีทุกอย่างตั้งแต่ข้อมูลทางจิตวิทยาและแบบฝึกหัดเพื่อยกระดับคุณภาพทางจิตใจ ไปจนถึงคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ วอลเปเปอร์โทรศัพท์ หรือคำถามที่คุณสามารถพิมพ์โต้ตอบได้ เนื้อหาทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นมาจากมนุษย์และประสบการณ์จริงของเขาและทีมงาน มีการตรวจสอบโดยคณะแพทย์ นักบำบัด และผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความที่ส่งไปแต่ละข้อความจะสร้างผลกระทบที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ โครว์เดอร์บอกว่าเหตุผลที่ต้องทำเป็นระบบสมาชิกเพราะเรื่องสุขภาพจิตนั้นไม่มียารักษาที่กินแล้วหายเลย แต่มันเป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่องนานมากพอถึงจะเห็นผล

วิตนีย์ โพสส์ (Whitney Poss) หนึ่งในลูกค้าที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2019 บอกว่า

“คนส่วนใหญ่คิดว่าการรับมือกับอารมณ์หมายถึงการข้ามผ่านมันไป เรามองข้ามอารมณ์ของเราตลอดเวลา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณลองรู้สึกกับมันจริงๆ? … ฉันทำได้นะ ฉันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ได้เลย ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน เป็นประสบการณ์ที่ปลดปล่อยตัวเองอย่างมากเลย”

โพสส์บอกว่าหลังจากที่ได้รับข้อความจาก Cope Notes ก็ช่วยทำให้เธอรับมือกับอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ดีมากขึ้น โครว์เดอร์ไม่ได้สร้างบริการนี้ขึ้นมาเพื่อทดแทนการไปพบเจอผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาบอกว่ามันจะเป็นเหมือนอาหารเสริมเพื่อช่วยให้แต่ละวันนั้นมีเแรงส่งทางบวกเข้ามาให้คุณไปต่อได้อีก เป็น ‘เครื่องมือป้องกัน’ สุขภาพจิตก่อนที่มันจะเลวร้ายจนเกินไป การฝึกสมองให้มองเชิงบวกจะค่อยๆ ปรับมุมมองของชีวิตและฝึกให้สมองนั้นคิดบวกมากขึ้นไปด้วย โครว์เดอร์บอกว่า

“ทุกข้อความถูกเขียนขึ้นโดยใครสักคนที่มีประสบการณ์โดยตรงในการเอาชนะความบอบช้ำ การเจ็บป่วย การล่วงละเมิด หรือการสูญเสีย จากนั้นข้อความจะถูกตรวจสอบโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนที่จะถูกส่งแบบสุ่มเพื่อตัดความคิดเชิงลบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป ข้อความง่ายๆ เหล่านี้จะฝึกสมองของคุณให้คิดเชิงบวก”

หลังจากเปิดตัวในปี 2018 Cope Notes เติบโตอย่างรวดเร็ว ได้รับการสนับสนุนจากทั้งบุคคลทั่วไปและในรูปแบบขององค์กรบริษัทและโรงเรียนต่างๆ ด้วย เพราะอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพจิตใจนั้นกำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่น มหาวิทยาลัย และวัยทำงาน ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคนวัยนี้จะเป็นช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความหวังและมองทางบวกมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ

ยิ่งพอโควิด-19 ระบาด บริการของพวกเขายิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น เมื่อคนต้องกักตัวอยู่บ้าน เครียดกับงานที่หายไป เพื่อนฝูงหรือครอบครัวที่เสียชีวิต ฯลฯ บริการสุขภาพและสุขภาพจิตออนไลน์นั้นเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ถึงตอนนี้โควิด-19 เริ่มซาลง ผู้คนเริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามเดิม แต่ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตนั้นก็ยังไม่หายไปไหน บางคนรู้สึกกังวล หลายคนเครียด ซึมเศร้า 

สื่ออย่าง CNN เขียนเกี่ยวกับ Cope Notes ว่า “ท่ามกลางปัญหามากมาย แหล่งข้อมูลที่นำโดยคนที่มีประสบการณ์อย่าง Cope Notes จำเป็นต่อการสร้างสุขภาพจิต ความแข็งแกร่ง และความยืดหยุ่นที่เราจะต้องมีขึ้นมาใหม่เพื่อให้พร้อมเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

โครว์เดอร์รู้ดีว่าทรัพยากรทั้งด้านการเงินและบุคลากรที่จะช่วยเหลือในระบบสาธารณสุขของรัฐเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตใจนั้นไม่เคยเพียงพอ แม้สถิติจะบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามีประชากรจำนวนมากที่เผชิญหน้ากับมันและไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะได้รับ เขาจึงตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาในรูปแบบของบริษัทที่เก็บเงิน แทนที่จะเป็นองค์กรการกุศล เพื่อจะได้นำเงินตรงนั้นมาใช้เพื่อช่วยเหลือให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะจากประสบการณ์เป็นจิตอาสามาตลอดทั้งชีวิตเขาเห็นองค์กรการกุศลหลายแห่งปิดตัวไปเพราะเงินบริจาคไม่เพียงพอ แถมยังมีเรื่องกฎหมายและขั้นตอนอันยุ่งยากสำหรับองค์กรการกุศลเวลาที่ต้องการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ (จะต้องมีการประชุมกับผู้บริจาคต่างๆ) สุดท้ายการทำให้ออกมาในรูปแบบบริษัทจึงตอบโจทย์มากกว่า

ถึงตอนนี้ Cope Notes ได้แลกเปลี่ยนข้อความโต้ตอบกับสมาชิกไปแล้วกว่า 5 แสนครั้งใน 93 ประเทศทั่วโลก พาร์ตเนอร์กับองค์กรของรัฐ โรงเรียน มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนต่างๆ และสร้างผลกระทบทางบวกที่ดีให้กับสมาชิกไปแล้วกว่า 16,000 ชีวิต

เราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่เราพบเจอทุกวันกำลังเผชิญอะไรอยู่บ้าง ปัญหาหรือความรู้สึกที่แบกเอาไว้บนบ่าบางทีไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น หลายคนเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้เพราะบริบทของสังคมที่มองเรื่องปัญหาทางสุขภาพจิตใจว่าเกิดขึ้นกับคนที่อ่อนแอเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงเลย ไม่ว่าใครก็สามารถตกอยู่ในสภาวะเศร้า โกรธ​ เสียใจ ผิดหวัง บางครั้งอยากหนีปัญหาไปไกลๆ ให้พ้นๆ จากตรงนี้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าการพูดคุยและยอมรับเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก

Cope Notes ไม่ใช่แพทย์ที่จะจ่ายยาเพื่อลดความกังวลของคุณลง หรือทำให้เคลิ้มแล้วนอนหลับ แต่เป็นเหมือนเพื่อนที่ช่วยปลอบประโลมในวันที่เหนื่อยล้าให้มีแรงลุกขึ้นไปสู้ต่อ หรืออย่างน้อยๆ ก็เปิดพื้นที่ให้คุณได้ร้องไห้อย่างสบายใจ แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม 

เพราะทุกคน ไม่ว่าใครล้วนแบกอะไรไว้สักอย่างหนึ่งเสมอ

อ้างอิง

Blancpain แบรนด์นาฬิกาสวิสที่คิดค้นนาฬิกาดำน้ำโมเดิร์นและหลายนวัตกรรมนาฬิกาที่คนไม่รู้

พูดถึงแบรนด์อายุเกือบ 300 ปี ถ้าไม่ดูขลังจนจับต้องยาก บางทีก็ถูกรีแบรนด์จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม Blancpain

แต่ไม่ใช่กับ Blancpain (บลองแปง)​ แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่แม้จะมีอายุ 287 ปี นับว่าเก่าแก่ที่สุดในโลกแต่ก็ยังรักษาวิถีการทำนาฬิกาแบบดั้งเดิมเอาไว้ พร้อมๆ กับที่พัฒนาเทคโนโลยีให้นำยุคอยู่เสมอตามปรัชญาของแบรนด์ที่กล่าวว่า ‘Innovation is our tradition’

ในวันที่โลกไม่มีนาฬิกาดำน้ำที่เฟรนด์ลี่กับผู้ใช้งาน Blancpain คิดค้นนาฬิกาดำน้ำโมเดิร์นเรือนแรกของโลกที่กลายเป็นพ่อของนาฬิกาดำน้ำชื่อดังหลายเรือน

ในวันที่หญิงสาวมองหานาฬิกาขนาดเล็กเพื่อความสง่างาม Blancpain ก็พัฒนากลไกให้เล็กจิ๋วจนสามารถทำนาฬิกาผู้หญิงทรงกลมที่เล็กที่สุดในโลกได้

และในวันที่นาฬิการะบบ quartz หรือนาฬิกาใส่ถ่านจากญี่ปุ่นตีตลาดนาฬิกา mechanical สัญชาติยุโรปจนยับเยิน Blancpain กลับลุกขึ้นมาประกาศว่าพวกเขาจะทำแต่นาฬิกา mechanical ด้วยมือเท่านั้น และพลิกฟื้นนาฬิกาจักรกลให้แข็งแกร่ง เดินทางข้ามเวลามาได้จนถึงวันนี้

blancpain

“เรามองว่านาฬิกาเป็นมากกว่าของที่เอาไว้ใช้บอกเวลาเฉยๆ แต่เป็นเหมือน art piece ที่อยู่ได้ตลอดไป” กฤษณ์ ภีมะโยธิน ผู้จัดการแบรนด์บลองแปงประเทศไทยเกริ่นให้ฟัง

“เราทำนาฬิกาสำหรับคนที่ appreciate ประวัติศาสตร์ งานคราฟต์ งานอาร์ต  ผมว่ามันคือเซนส์ของความพิเศษ คือสิ่งที่คุณใส่ออกไปเจอคนอีกร้อยคนก็ไม่เจอคนใส่นาฬิกาเหมือนคุณ”

ในชั่วโมงที่นาฬิการะบบ quartz เดินได้เที่ยงตรงกว่าและทุกคนดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ อะไรทำให้แบรนด์เชื่อมั่นว่านาฬิกา mechanical จะเป็น Product Champion ได้ตลอดไป หาคำตอบได้ผ่านนวัตกรรมที่ซ่อนอยู่ในนาฬิกาคอลเลกชั่นต่อไปนี้ของ Blancpain

blancpain

Fifty Fathoms
ต้นกำเนิดนาฬิกาดำน้ำโมเดิร์นที่โลกยังใช้ถึงทุกวันนี้

Blancpain ก่อตั้งขึ้นในปี 1735 โดยช่างทำนาฬิกาชาวสวิสชื่อ Jehan-Jacques Blancpain ที่เมือง Villeret ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ 

ความเนิร์ดในกลไกนาฬิกาถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น แม้ว่าช่วงร้อยปีแรกพวกเขาจะยังไม่ได้ทำนาฬิกาตีตราของตัวเองแต่ก็เป็นเจ้าของโรงงานที่คิดค้นกลไกที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่ไว้ใจของช่างประดิษฐ์นาฬิกามากมาย เช่น John Harwood ช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษที่ Blancpain เป็นผู้ผลิตกลไกให้และกลายเป็นนาฬิการะบบออโตเมติกเรือนแรกของโลก

จุดเปลี่ยนของ Blancpain มาเกิดในช่วงปี 1932 เมื่อทายาทคนสุดท้ายของตระกูล Blancpain ตัดสินใจไม่สานต่อธุรกิจจึงส่งต่อให้มือขวาอย่าง Betty Fiechter รับช่วงต่อ ถือเป็น CEO หญิงคนแรกผู้เปิดตลาดใหม่ให้ Blancpain แต่ผู้ที่พลิกธุรกิจจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ ต้องยกให้ Jean-Jacques Fiechter หลานชายของ Betty และ CO-CEO ผู้รักการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ

blancpain
blancpain

วันหนึ่งในปี 1951 Jean-Jacques ไปดำน้ำในทะเลแถบตอนใต้ของฝรั่งเศสแล้วเกิดลืมเวลาทำให้ต้องรีบขึ้นจากน้ำอย่างฉุกเฉินซึ่งอันตรายต่อชีวิต เขาจึงคิดว่าในเมื่อแพสชั่นทำให้คนลืมเวลาได้โลกก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ดำน้ำที่มากไปกว่าแค่ตีนกบและถังออกซิเจน แต่ต้องมีอุปกรณ์ที่ทำให้นักดำน้ำไม่ลืมเวลา และนั่นจึงเป็นที่มาของนาฬิการุ่น Fifty Fathoms

คำว่า Fathom เป็นหน่วยวัดความลึกแบบโบราณ มีค่าเท่ากับ 1.8288 เมตร Fifty Fathoms จึงเท่ากับความลึกระดับ 91.44 เมตรซึ่งเป็นระดับที่ลึกที่สุดที่มนุษย์จะดำลงไปสำรวจได้ในยุคนั้น ที่สามารถลงน้ำได้ลึกขนาดนั้นเพราะ Jean-Jacques ออกแบบ Fifty Fathoms ให้มีคุณสมบัติเฉพาะพร้อมคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้แก่การเลือกใช้กลไกระบบออโต้ทำให้ไม่ต้องขึ้นลานเติมพลังให้นาฬิกาตอนอยู่ใต้น้ำ, การออกแบบให้หน้าปัดมีขนาดใหญ่เคลือบสารเรืองแสงเพื่อให้สามารถอ่านข้อมูลได้ชัดเจนใต้น้ำหรือในที่มืด อีกทั้งติดตั้งวงแหวนกันน้ำสองชั้นบริเวณเม็ดมะยมและวงแหวน ‘O Ring’ บริเวณฝาหลังตัวเรือนเพื่อประสิทธิภาพในการกันน้ำ  และนวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดคือ ‘Locking Bezel’ ที่กลายเป็นต้นแบบของนาฬิกาดำน้ำรุ่นต่อๆ มา

Bezel คือวงแหวนรอบหน้าปัดนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น บอกเวลาไทม์โซนที่สองหรือจับเวลาเดินหน้า-ถอยหลัง ซึ่งการจับเวลาไปข้างหน้านี่แหละคือสิ่งที่ Blancpain คิดค้นขึ้น 

“วิธีการจับเวลาคือเราต้องหมุน Bezel มาให้เข็มนาทีตรงกับเลข 0 ที่วงแหวน เมื่อเข็มเดินไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าเราอยู่ในน้ำมากี่นาทีแล้ว หลังจากนั้น Locking Bezel ก็ถูกพัฒนาต่อเป็น Unidirectional Bezel หรือวงแหวนที่หมุนได้ทิศทางเดียว เหตุผลที่ออกแบบให้หมุนได้ทางเดียวเพราะสมมติว่าเกิดไปชนอะไรใต้น้ำ วงแหวน Bezel ก็มีแต่จะหมุนไปข้างหน้าทำให้เห็นว่าเราอยู่ในน้ำมานานและทำให้เราขึ้นจากน้ำเร็วขึ้น ซึ่งปลอดภัยกว่าการที่มันหมุนได้สองทางแล้วทำให้เราเข้าใจว่าเราเพิ่งลงมาไม่นาน” กฤษณ์เล่า

blancpain
blancpain

ในขณะเดียวกับที่ซีอีโอหนุ่มกำลังพัฒนานาฬิกาดำน้ำเรือนนี้ กองทัพฝรั่งเศสเองก็กำลังมองหานาฬิกาดำน้ำสำหรับปฏิบัติภารกิจจนได้มาเจอ Fifty Fathoms ซึ่งมีสเปกตรงกับที่ต้องการทุกอย่าง  โดยทางกองทัพขอเพิ่มคุณสมบัติด้านป้องกันอิทธิพลสนามแม่เหล็กที่อาจรบกวนการทำงานของนาฬิกา Blancpain จึงเพิ่มคุณสมบัตินี้เข้าไป จากนั้นนาฬิการุ่นนี้จึงถูกนำไปใช้ในกองทัพฝรั่งเศส, หน่วย Navy SEALs ของสหรัฐฯ และวางขายรวมไปถึงให้เช่าทั่วไปในร้านอุปกรณ์ดำน้ำ กลายเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตที่นักดำน้ำยุคนั้นขนานนามว่าต้องมี

ความสำเร็จของ Fifty Fathoms กับหน่วยจู่โจมใต้น้ำทำให้ Blancpain ช่วงยุค 1950s Blancpain ยังพัฒนานาฬิกา Air Command ขึ้นเพื่อการรบทางอากาศโดยเพิ่มฟีเจอร์ Bezel จับเวลาแบบเคานต์ดาวน์และส่งโปรโตไทป์ 12 เรือนให้กองทัพสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้ผลิตจริง Air Command จึงกลายเป็นนาฬิกาในตำนานที่มีแค่ 12 เรือนบนโลก (หากไปเจอในงานประมูลนาฬิกามันจึงมีราคาสูงลิ่วจนคนไม่รู้ประวัติตกใจ) ก่อนจะถูกนำมาผลิตใหม่ในยุคปัจจุบันอีกครั้ง

Fifty Fathoms คือความสำเร็จที่ถูกนำไปต่อยอดมากมาย ทำให้ชื่อ Blancpain ทะยานขึ้นมาสู่การรับรู้ของคนรักนาฬิกาในวงกว้างและกลายเป็นนาฬิกาที่คนต้องนึกถึงเวลาพูดถึง Blancpain จนปัจจุบันมีการออกแบบนาฬิกาเรือนคลาสสิกนี้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การใส่ฟังก์ชั่นของ dress watch เข้าไปจนทำให้รู้สึกว่าเมื่อใส่กับสูทแล้วก็แทบไม่รู้เลยว่านี่คือ tool watch ที่ดำน้ำได้มีประสิทธิภาพที่สุดเรือนหนึ่งของโลก

Fifty Fathoms ประสบความสำเร็จขนาดที่ว่า Mark A. Hayek ซีอีโอคนปัจจุบันของ Blancpain ภายในเครือ Swatch Group ก่อตั้งโครงการ Blancpain Ocean Commitment เพื่อสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ท้องทะเลด้วยแนวคิดว่า “ทะเลทำให้ Fifty Fathoms เกิดมาดังนั้นเราจึงต้องรักษาท้องทะเล”

ชื่อเสียงในปัจจุบันทำให้มีน้อยคนรู้ว่านาฬิกาที่ดีและชื่อดังขนาดนี้เคยต้องเจอกับวิกฤตที่ทำให้ต้องหยุดผลิตไปหลายปี ก่อนจะกลับมาผลิตแบบเต็มคอลเลกชั่นอีกครั้งในปี 2007

วิกฤตครั้งนั้นมีชื่อว่า ‘Quartz Crisis’

Villeret
คอลเลกชั่นที่พลิกนาฬิกาที่กำลังจะตายให้กลายเป็นงานศิลปะ

ในปี 1969 แบรนด์​ Seiko จากญี่ปุ่นเปิดตัว Astron นาฬิการะบบควอตซ์เรือนแรกของโลกที่พลิกวงการนาฬิกาจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ก่อนหน้านั้น โลกนาฬิกาอยู่ในกำมือ (หรือข้อมือ) ของผู้ผลิตฝั่งตะวันตกมาโดยตลอดแต่หลังจากการมาถึงของระบบควอตซ์ที่เที่ยงตรงกว่า แถมยังมีราคาถูกกว่าเป็นเท่าตัวทำให้นาฬิกาจากญี่ปุ่นดังระเบิด คนทั่วโลกหันมาใช้นาฬิการะบบนี้ และยอดขายของแบรนด์นาฬิกา mechanical ต่างๆ ก็ตกฮวบเป็นประวัติการณ์ ไม่เว้นแม้แต่แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่าง Blancpain

“ถ้าให้เทียบระบบควอตซ์ตอนนั้นก็คล้ายกับสมาร์ตวอตช์ตอนนี้ที่มันดิสรัปต์โลกไปเลย ทุกคนมองว่าควอตซ์มันเป็นอนาคต มันถูกกว่า เดินตรงกว่า พูดง่ายๆ คือถ้านับแค่ฟังก์ชั่นการบอกเวลาคือมันดีกว่านาฬิกา mechanical แน่นอน”

blancpain

ตอนนั้นเอง ชายสองคนชื่อ Jean-Claude Biver และ Jacques Piguet ก็เข้าซื้อแบรนด์ Blancpain และประกาศว่าพวกเขาจะทำแต่นาฬิกา mechanical เท่านั้น

Biver นั้นเป็นช่างทำนาฬิกาและเซลส์แมนผู้เก่งกาจเรื่องมาร์เก็ตติ้งส่วน Jacques Piguet นั้นเป็นเจ้าของ Frédéric Piquet โรงงานผลิตนาฬิกากลไกระดับ top ของโลก ในปี 1983 ทั้งคู่จับมือกันนำเทคโนโลยีดั้งเดิมมาผสมกับความเชี่ยวชาญจากโรงงาน Frédéric Piguet เปิดตัวนาฬิกาคอลเลกชั่น Villeret ที่กลายเป็นหน้าตาของแบรนด์จนถึงปัจจุบัน

“mechanical มันมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ถามว่าทำไมทุกวันนี้นาฬิกายังขายได้ ขายดี ทั้งๆ ที่มือถือก็บอกเวลาได้และบอกตรงกว่า เพราะมันเป็นมากกว่าแค่เครื่องบอกเวลาแต่คือ art piece มันคือศิลปะ สำหรับนาฬิกา mechanical ถ้าดูแลรักษาดีๆ มันก็อยู่ได้ตลอดไป ไม่ต่างจากงานศิลปะที่อยู่กับเราได้ตลอดชีวิต“ในขณะที่ควอตซ์ดิสรัปต์วงการนาฬิกาแบบเก่า Blancpain ก็ดิสรัปต์วงการที่กำลังหันไปหาควอตซ์ว่าเราจะทำนาฬิกา mechanical อย่างเดียว เราเลยมีสโลแกนออกมาว่า Since 1735 there has never been a quartz Blancpain watch. And there never will be. ซึ่งก็ยังจริงอยู่ทุกวันนี้”

blancpain
blancpain

เพื่อเน้นคอนเซปต์ความเป็นงานศิลปะ คอลเลกชั่น Villeret เรือนแรกที่เปิดตัวจึงไม่เพียงมีกลไกสลับซับซ้อน แต่ยังมีฟีเจอร์ Moon Phase หรือกลไกดูข้างขึ้น-ข้างแรมด้วย

Moon Phase เกี่ยวข้องกับความเป็นศิลปะอย่างมากเพราะดีไซน์พระจันทร์ที่มีใบหน้า เป็นเอกลักษณ์ของงานศิลปะยุคอาร์ตนูโว อีกทั้งยังโชว์ว่า Blancpain ให้ความสำคัญกับวิถีการทำนาฬิกาแบบสวิสอันเก่าแก่ เพราะฟีเจอร์นี้แต่เดิมใช้สำหรับการเดินเรือในมหาสมุทรซึ่งเป็นความคลาสสิกแบบที่นาฬิกาควอตซ์ให้ไม่ได้ เรียกว่าแทนที่จะแข่งเรื่องการบอกเวลาที่เที่ยงตรง พวกเขาก็หันมาเน้นอารมณ์แสนพิเศษที่ได้จากการใส่นาฬิกาแทน

ที่สนุกคือนอกจาก Villeret ที่ออกมารุ่นแรกแล้ว ในปัจจุบันพระจันทร์ Moon Phase ยังปรากฏบนหน้าปัดของนาฬิการุ่นอื่นๆ ของแบรนด์และบางครั้งก็แอบเปลี่ยนหน้าตาให้เข้ากับรุ่นหรือคอลเลกชั่นนั้นๆ เช่น ถ้าสังเกตดูดีๆ พระจันทร์บนหน้าปัดนาฬิกาผู้หญิง Ladybird จะเป็นพระจันทร์หญิงแต้มไฝดูเซ็กซี่น่าค้นหานั่นเอง

Ladybird
นาฬิกาที่โชว์ว่านวัตกรรมพัฒนาได้เสมอ

ย้อนกลับไปในปี 1956 หลังปรากฏการณ์ Fifty Fathoms ไม่นาน Blancpain ก็สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยคอลเลกชั่น Ladybird นาฬิกาข้อมือผู้หญิงทรงกลมที่เล็กที่สุดในโลกด้วยความเชื่อว่าสุภาพสตรีก็หลงเสน่ห์ของนาฬิกา mechanical ไม่แพ้สุภาพบุรุษ

คอลเลกชั่นนี้จะคือการเปิดประตูให้แบรนด์ก้าวเข้าสู่โลกของนาฬิกาผู้หญิงอย่างแท้จริงและต่อมาก็ได้กลายเป็น 1 ใน 3 คอลเลกชั่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ร่วมกับ Fifty Fathoms และ Villeret แต่มากไปกว่านั้นมันยังเป็นการโชว์ให้เห็นว่านวัตกรรมของ Blancpain ดีขึ้น หลากหลายขึ้นได้เรื่อยๆ จากที่เพิ่งผลิตนาฬิกาดำน้ำที่ดีที่สุดของยุคซึ่งมีตัวเรือนใหญ่เพื่อให้มองเห็นใต้น้ำได้ง่าย ไม่กี่ปีถัดมาพวกเขากลับพัฒนากลไกให้เล็กจิ๋วเพื่อให้เหมาะกับคนที่ข้อมือเล็กเสียอย่างนั้น

ที่ทำแบบนี้ได้เพราะแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสนี้มีโรงงานเป็นของตัวเองถึง 2 โรง และมีหนึ่งโรงเต็มๆ ที่อุทิศให้กับการคิดค้นและผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาโดยเฉพาะ Blancpain จึงสามารถพัฒนานวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว

“Brand Value ของ Blancpain คือ Innovation, Integrity และ Engagement การทำทุกอย่างเองมันคือ Integrity ความซื่อตรงต่อ Swiss Watchmaking Tradition และซื่อตรงต่อลูกค้าว่าเราผลิตของคุณภาพดีที่สุด เราเป็นสเปเชียลลิสต์ในเรื่องเครื่อง การผลิตเองทำให้เราผลิตสเปกได้ตามที่ต้องการเป๊ะๆ สมมติเราอยากให้นาฬิกามี power reserve สำรองพลังงานได้ถึง 10 วัน ถ้าให้ third party ผลิตเขาอาจไม่มาทุ่มเททำนวัตกรรมนี้ให้หรือเขาอาจผลิตไม่ได้ แต่พอมันเป็นเป้าหมายของเราเราก็สามารถวิจัยและทำขึ้นมาได้เลย”

นวัตกรรมสำคัญที่เกิดขึ้นที่โรงงาน Le Sentier คือสิ่งที่เรียกว่า ‘Under-Lug Corrector’ หรือกลไกการตั้งเวลาที่ซ่อนอยู่หลังเรือนซึ่งตั้งเวลาด้วยนิ้วได้เลย ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมและไม่รบกวนความสวยของนาฬิกา, การออกแบบกลไกอันซับซ้อนให้บอกเวลาแบบสากลร่วมกับวัน เดือน ปีนักษัตรแบบจีนได้ในเรือนเดียว

Under-Lug Corrector

แน่นอนว่าการผลิตนาฬิกาดำน้ำแบบ Fifty Fathoms และ Villeret ที่โดดเด่นเรื่อง Moon Phase ย่อมไม่ใช่การผลิตเพื่อให้คนได้ใช้งานนาฬิกาด้วยฟังก์ชั่นเดียวกับคนยุคก่อนแต่คือการตอกย้ำว่าที่ Blancpain นาฬิกาคืองานศิลปะที่ส่งต่อสืบทอดผ่านกาลเวลา

และไม่มีอะไรที่จะบอกถึงความสำคัญของศิลปะสำหรับ Blancpain ได้ดีกว่าโรงงานที่สองที่มีชื่อว่า Le Brassus

Métiers d’Art
ชีวิตสั้น ศิลปะแห่งการทำนาฬิกายืนยาว

ถ้า Le Sentier คือโรงงานที่พัฒนานวัตกรรมกลไกนาฬิกา ที่ Le Brassus ต้องเรียกว่าเป็นโรงงานที่พัฒนานวัตกรรมศิลปะ 

ที่นี่คือที่ผลิต Métiers d’Art คอลเลกชั่นนาฬิกาที่เน้นความเป็นศิลปะที่สุดของ Blancpain ช่างฝีมือที่นี่มีเทคนิคสร้างสรรค์แบบไร้กำแพงวัฒนธรรมตั้งแต่ใช้เทคนิคเก่าแก่ของช่างตะวันตกอย่างการลงยาแบบ Grand Feu จนได้หน้าปัดสีขาวนวลแล้วซ่อนตัวอักษร JB (ย่อมาจากชื่อ Jehan-Jacques Blancpain ผู้ก่อตั้งแบรนด์) สีขาวลงไประหว่างเลข 4 และ 5 และระหว่างเลข 7 และ 8 บนหน้าปัด ไปจนถึงการทำ Shakudo หรือเทคนิคของญี่ปุ่นที่เปลี่ยนสีของทองและทองแดงที่ปกติมีเฉดสีเหลืองหรือส้มให้เป็นสีดำหรือสีเทา ตามสไตล์ Blancpain ที่ไม่เน้นความหรูหราแบบเห็นได้ชัดแต่ซ่อนความแพงไว้ในรายละเอียดทุกซอกทุกมุม

ฝีมือเหนือชั้นของช่างยังทำให้ลูกค้าสั่งทำงานศิลปะได้อย่างละเอียดลออ อย่างลูกค้าชาวไทยคนหนึ่งที่สั่งแกะสลักนาฬิกาเป็นรูปวัดอรุณที่มีเรือนเดียวเท่านั้น

แต่ใช่ว่าคอลเลกชั่นอื่นๆ จะได้รับความสำคัญด้านดีไซน์น้อยกว่า Métiers d’Art ไม่ว่าจะเป็นคอลเลกชั่นไหน รุ่นใด ทุกเรือนล้วนทำด้วยมือของช่างผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด

“ถ้าสมมติเราใช้หุ่นยนต์ทำทุกอย่างมันคงจะเป๊ะมาก แต่การใช้คนทำมันคือสื่อของอารมณ์ มันให้ความรู้สึกพิเศษ เป็นงานคราฟต์ ด้านหลังนาฬิกาทุกเรือนจากคอลเลกชั่น Métiers d’Art จะสลักว่า unique piece เพราะพอทำมือแม้จะเป็นลายเดียวกันแต่ยังไงรอยแกะสลัก ความโค้ง รายละเอียดต่างๆ ไม่มีทางเหมือนกัน

“เราทำนาฬิกาสำหรับคนที่ appreciate ประวัติศาสตร์ งานคราฟต์ งานอาร์ต  ผมว่ามันคือเซนส์ของความพิเศษ คือสิ่งที่คุณใส่ออกไปเจอคนอีกร้อยคนก็ไม่เจอคนใส่นาฬิกาเหมือนคุณหรือถ้าเจอคุณจะรู้สึกพิเศษที่ได้เจอคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน”

Day 1 ของ AVIVA SPIRIT แบรนด์ตี่จู้เอี๊ยะหินอ่อน ศาลพระภูมิ ศาลตายาย สไตล์โมเดิร์น กับการทำธุรกิจที่ใช้ศาสตร์และศิลป์แห่งศรัทธา

AVIVA SPIRIT

AVIVA SPIRIT Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

AVIVA SPIRIT

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ชวนหยิบ 8 งานพิมพ์ที่เป็นที่สุดจาก witti.studio มาใส่ตะกร้า

witti.studio

witti.studio add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

witti.studio

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

คุยกับ ‘เถียงนา’ จากคาเฟ่เล็กๆ ในจังหวัดตากจนมีสาขาที่สุขุมวิท และคนต่อคิวซื้อครัวซองต์ตั้งแต่วันแรก

Tiengna Viennoiserie

Tiengna Viennoiserie Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

เบื้องหลังโฆษณาพัดลมโดย วิชัย ที่เริ่มจากการถามว่า ‘ทำไม’ (แรงสะใจต้องชาร์ป)

ผมรู้สึกว่า มีอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาชีพครีเอทีฟ คือการต้องเป็นนักคิด อะไรก็ได้ที่สร้างสรรค์ คิดนอกกรอบนั่นนี่

แต่สำหรับอาชีพครีเอทีฟไม่ได้เป็นอะไรไปนอกจาก…นักแก้ปัญหา

เราถูกจ้างมาให้คิดแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มยอดขาย, สร้างความรับรู้ใหม่, แก้ภาพลักษณ์ อยากโปรโมตงานอีเวนต์อะไรสักอย่าง ทุกอย่างมันคือการแก้ไขปัญหาทั้งนั้น ผมคงจะเคลมไม่ได้หรอกว่าผมผ่านปัญหามามากกว่าคนอื่น เพราะส่วนตัวผมก็ยังถือว่าใหม่มากในวงการนี้ ผมแค่เป็นนักโฆษณาที่สามารถเขียนหนังสือโม้ได้ ก็เลยรู้สึกว่าผมผ่านงานมาเยอะ 5555 แต่จริงๆ ผมว่านักโฆษณาหลายๆ คนก็น่าจะเคยผ่านโจทย์หลากหลายรูปแบบมากกว่าผม

แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่านักโฆษณาจะผ่านปัญหามาในรูปแบบยังไง ปัญหาที่ยากที่สุดไม่ใช่อะไรอื่นเลย

นอกจากปัญหาที่ลูกค้าไม่ยอมบอก

เนื่องจากงานโปรดักชั่นมันเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลาในการผลิต อย่างน้อยๆ ก็ 30-45 วันแน่ๆ ละ

ถ้าลูกค้าไม่ยอมบอกปัญหาจนหมดตั้งแต่แรก หรือเราไม่สามารถค้นเจอต้นตอปัญหาจริงๆ ตั้งแต่แรก ความต้องการของลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนในที่สุด มันจะถึงจุดที่หนังไม่สามารถแก้โจทย์ลูกค้าได้แล้ว เพราะโจทย์จริงๆ ของลูกค้าไม่เคยได้รับการแก้เลยตั้งแต่แรก (เพราะลูกค้าเองก็ไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร)

นี่ยังไม่ได้พูดถึงลูกค้าที่คิดว่าหนังหนึ่งเรื่องจะแก้ไขปัญหาสี่แสนห้าล้านอย่างของเขาได้หมด

ดังนั้นสิ่งที่นักโฆษณาควรจะต้องมีคือการถามว่า ‘ทำไม’

คำถามว่า ทำไม เอาจริงๆ มันเป็นคำถามที่ฟังดูโง่มากนะครับ แต่เป็นคำถามที่ผมกับเบนซ์ถามกันเองบ่อยมาก และเราจะตั้งคำถามทำไมกับสิ่งที่โง่ๆ ไม่น่าถาม เช่นทำไมต้องพูดประโยคนี้ ทำไมตัวละครนี้ต้องใส่เสื้อสีนี้ ทำไมตัวละครต้องอยู่ตรงนั้น ทำไมตรงนี้ไม่มีอันนั้น

คุณรู้มั้ยครับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในงานครีเอทีฟและงานโปรดักชั่นเกิดจากอะไร?

มันเกิดจากการคิดกันไปเอง / เข้าใจกันไปเอง

การไม่เข้าใจกัน จะทำให้เกิดคำถาม แต่การเข้าใจกันไปเอง จะไม่เกิดคำถามอะไร เพราะทุกคนต่างเข้าใจว่าแต่ละคนเข้าใจตรงกัน

แล้วพอมันเกิดปัญหา มันจะเกิดตรงจุดที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้อีกแล้ว เพราะทุกคน (ที่เข้าใจกันเอง) ต่างทำงานของตัวเองไปมากเกินกว่าจะแก้อะไรได้อีกแล้ว

ดังนั้นคำถาม ‘ทำไม’ มันไม่ใช่คำถามเพื่อขอข้อมูลจากอีกฝ่าย

แต่ ‘ทำไม’ จะเป็นการคอนเฟิร์มข้อมูลของตัวเองว่า เราเข้าใจตรงกับคนอื่น

อย่างเช่นบรีฟประเภทหนึ่งจากลูกค้าที่มักจะได้ยินประจำคือ ‘เพิ่มยอดขาย’ แล้วทำไมถึงอยากเพิ่มยอดขาย

เพราะขายไม่ดี แล้วทำไมถึงขายไม่ดี เพราะคู่แข่งขายดีกว่า แล้วทำไมคู่แข่งขายดีกว่า เพราะราคาถูกกว่าเหรอ เพราะสินค้าเขาทำงานที่จุด POS (point of sale) มากกว่า

เหมือนตอนที่เคยทำงานให้กับพัดลม Sharp ที่มาด้วยโจทย์อยากเพิ่มยอดขาย จนเราคุ้ยแคะแกะเกาจนได้ข้อมูลว่า ที่พัดลม Sharp ขายไม่ดี เพราะคนไม่รู้ว่า Sharp ขายพัดลม ปัญหามีแค่นั้นเลย

Sharp ไม่มีปัญหาเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น หม้อหุงข้าว ตู้เย็น โอเคหมด แต่พอมาพัดลม…คนไม่รู้จริงๆ ว่า Sharp ทำพัดลม ทั้งที่คุณภาพ (ตามสเป็ก​) ดีกว่าคู่แข่งและราคาก็สูสีกับคู่แข่ง 

แต่มาเสียเปรียบตรงที่ คู่แข่งเขาทำโฆษณาเยอะจริงๆ และหลายอันต้องยอมรับว่า ติดตาติดหู และสนุกมากๆ

อีกอย่างคือพัดลมเป็นผลิตภัณฑ์ที่เวลาอยู่ตรงจุด POS แล้วหน้าตามันเหมือนกันหมด แปลว่าถ้าจุด POS มีสินค้าคู่แข่งเยอะกว่าก็จบ หรือถ้าคนจำชื่อไม่ได้ขนาดที่ว่า เดินไปที่ร้านแล้วบอกคนขายเลยว่า จะเอายี่ห้อไหน ทุกอย่างก็ไม่เวิร์กอีกเช่นกัน

ดังนั้น ถ้าจะทำหนังโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขาย สิ่งที่ต้องทำในหนังคือ การสร้างภาพจำให้ได้ว่า Sharp ขายพัดลม

กลุ่มเป้าหมายในบรีฟคือ น้องนักศึกษาที่อยู่หอ

อย่างแรกที่คิดคือจะต้องหนีโฆษณาที่คู่แข่งเคยทำ จำพวกลมแรงมากจนคนปลิว เพราะเราจะไปซ้ำทางเดิม เผลอๆ โฆษณาพัดลมของเราจะกลายเป็นโฆษณาของคู่แข่งไปอีก (เพราะภาพจำของเขาชัดเจนมาก)

หลายๆ ตอนที่ผ่านมา เราพูดเรื่องอินไซต์ วิธีหาให้เจอว่าผู้บริโภคอยากดูอะไร หรือทำอะไรสักอย่างให้ถูกใจผู้บริโภค

แต่หลายงานก็ต้องยอมรับว่า มันไม่มีอินไซต์อยู่ในนั้นเลย

เหมือนโฆษณาพัดลม Sharp ที่ไม่มีอินไซต์เลย เหตุผลก็ไม่มี ความเข้าใจก็ไม่มีอีก 5555555

แรงบันดาลใจของงานนี้ได้มาจากโพสต์ในอินเทอร์เน็ตหลายๆ โพสต์ช่วงนั้นว่า

“บุหรี่อยู่ในซอง บุเรงนองอยู่พม่า”

“สูบบุหรี่เป็นมะเร็ง ถัดมะเส็งเป็นมะโรง”

“ติดบุหรี่เป็นมะเร็ง ติดสำเพ็งเป็นเยาวราช”

อ่านแล้วไม่มีเหตุผล ไม่มีตรรกะ เอาแต่ใจอย่างเดียวเลยโว้ย 5555

แต่ดีมั้ย ดีชิบหาย

เบนซ์บอกว่าฝรั่งเรียกสิ่งนี้ว่า irrelevant joke คือการเอาสองสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย มาโยงกันให้เป็นโจ๊ก

แต่กรณีของไทย มันเท่ขึ้นเพราะคำคล้องจองด้วยอีกชั้น

หลักเบื้องต้นของการโฆษณา ถ้าเราพูดอะไรบ่อยๆ ผู้ชมจะจำได้เอง (แต่จะจำได้แบบรำคาญหรือจำได้แบบดี อันนี้ก็อีกเรื่องนะ)

งั้นหลักการเดียวกัน เราจะทำหนัง irrelevant joke เป็นหนังสั้นๆ มุกละ 5-6 วินาที ที่ขึ้นต้นด้วยอะไรก็ไม่รู้ แต่ทุกประโยคต้องลงท้ายด้วย ‘แรงสะใจ ต้องชาร์ป’ เหมือนโฆษณาญี่ปุ่นที่ชอบมาสั้นๆ ไวๆ

บังเอิญต่อมาว่า Sharp เป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เลยอยากให้เราทำหนังแบบที่มีมู้ดญี่ปุ่น ไอเดียและวิธีนำเสนอทุกอย่างก็เลยลงตัวกัน

มันจึงเป็นหนังที่เล่าสั้นๆ เช่น “นอนดึกเป็นร้อนใน แรงสะใจต้องชาร์ป” หรือ “ไหว้พระแล้วสุขใจ แต่แรงสะใจต้องชาร์ป”

ก็คือประโยคแรกคิดอะไรก็ได้ให้ลงท้ายด้วยไม้มลาย แล้วต่อด้วย ‘แรงสะใจต้องชาร์ป’

สิ่งที่จะเห็นย้ำๆ คือ ภาพพัดลม กับคำว่า แรงสะใจต้องชาร์ป ย้ำๆ ไปเรื่อยๆ ทีนี้พี่จำไม่ได้ก็ไม่รู้ยังไงละ

ความเลว (คำชม) ที่เบนซ์หยอดไว้ในหนังคือ ผมมีไอเดียอยากให้มันโยงถึงเรื่องความรักวัยรุ่นด้วย

พอดีช่วงนั้นมีเอ็มวีเพลง ‘ไม่รู้ทำไม’ ของ Whal & Dolph ปล่อยออกมาพอดี เบนซ์เลยก๊อปซีนนางเอกร้องไห้ในเอ็มวีอีกรอบ (ทั้งฉาก มุมกล้อง จัดไฟและนางเอกที่แสดงจริง) มาใส่ลงไปพร้อมก๊อปปี้ว่า ‘มีรักแล้วช้ำ ไม่รู้ทำไง…แต่แรงสะใจต้องชาร์ป’

ซึ่งกลายเป็นซีน easter egg ของหนังไป คนเก็ตก็เก็ตเลย ฮาในทันที

สิ่งที่บทตัวนี้ทำงานกับคนดูคือตอนเริ่มองก์สองของหนัง

ที่พักวิน / ภายนอก / กลางวัน

วินมอเตอร์ไซค์กำลังดูโฆษณา

วินมอเตอร์ไซค์

พัดลมอะไรวะ

VO

ดูโฆษณานี้แล้วไม่เข้าใจ

แพน กระแทกซูม พัดลม และซูเปอร์ขึ้น

VO

แรงสะใจต้องชาร์ป

ที่วินพูดคำว่า พัดลมอะไรวะ

เกิดขึ้นหลังจากที่คนดูได้ยินคำว่า ‘แรงสะใจต้องชาร์ป’ ไปแล้วสี่ครั้งโดยที่ไม่อธิบายอะไรเลย มันถี่พอที่คนดูจะตั้งคำถามแล้วว่า โฆษณานี้คืออะไร เราก็เลยสร้างคาแร็กเตอร์ให้ถามแทนใจคนดูเลยว่า ‘พัดลมอะไรวะ’

ก่อนที่โฆษกจะมาตบมุกที่รู้ใจคนดูอีกรอบว่า “ดูโฆษณานี้แล้วไม่เข้าใจ…แต่แรงสะใจต้องชาร์ป”

ประโยคนี้เป็นการบอกคนดูว่า “ไม่ต้องสนใจอะไรแล้วน้อง รู้แค่อย่างเดียวพอว่า แรงสะใจต้องชาร์ป”

ความตลกของการทำบทนี้คือ ตอนที่ได้ดราฟต์สุดท้ายก่อนส่งลูกค้า เบนซ์ ผู้กำกับก็มาคุยอีกรอบ

เบนซ์ : ผมว่าจังหวะได้หมดละ แต่ผมว่ามันนิ่งๆ ว่ะ

วิชัย : เออ รู้สึกว่าผมดูๆ แล้วกราฟมันไม่ขึ้น

เบนซ์ : นั่นดิ

กราฟไม่ขึ้นแปลว่า ตัวหนังมันมีจังหวะที่แน่นอน ยิงมุกต่อๆ กันไป จนคนดูเริ่มชินกับจังหวะ เราควรหาอะไรสักอย่างให้หนังมันตื่นเต้นขึ้น

เบนซ์ : เราเติมไรดีวะ

วิชัย : งั้นเติมซอมบี้!!!

เบนซ์ : เอ้า ซอมบี้มาไง

วิชัย : แต่แรงสะใจต้องชาร์ป

(อันนี้ไม่ได้มุก พูดแบบนี้จริงๆ 5555)

จะซอมบี้ทั้งที อยากให้กวนตีน ทุกทีซอมบี้มันเดินช้าๆ ใช่มั้ย คราวนี้กูเอาซอมบี้ให้เป็นนักวิ่งยูเซน โบลต์เลย

แล้วที่คนดูได้ยินเสียงโฆษกพูดขึ้นมาว่า “เอ้า มีซอมบี้ด้วยเหรอ” คือรีแอ็กชั่นจริงๆ ของพี่โฆษกนะ 5555 แบบดูอยู่ดีๆ เอ้า ทำไมอยู่ดีๆ มีซอมบี้ด้วยวะ

พอมีซอมบี้ยูเซน โบลต์ ปุ๊บทุกอย่างก็วายป่วงทันที พี่วินโดนกัด และน้องผู้หญิงในเอ็มวีที่เมื่อกี้ร้องไห้สวยๆ อยู่ดีๆ ต้องมาวิ่งสับหนีซอมบี้ ก่อนที่จะมาสรุปหนังว่า “ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะมั่วแค่ไหน แต่แรงสะใจ ยังไงก็ต้องชาร์ป”

เพื่อเป็นการคอนเฟิร์มกับคนดูว่า หนังมันมั่วใช่มั้ย เออ คนทำเค้าตั้งใจให้มั่ว เพราะสิ่งที่อยากให้จำให้ได้จากเรื่องนี้คือ แรงสะใจต้องชาร์ป

ตอนที่ปล่อยหนังออกไป ประโยค “แรงสะใจต้องชาร์ป” กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน 

ใครก็ตามพิมพ์คอมเมนต์ที่ลงท้ายด้วยไม้มลาย มันจะต้องมีคนไปตอบว่า “แรงสะใจต้องชาร์ป” เสมอ 55555

ไอเดียก่อนที่จะมาเป็นหนังแบบนี้ ก็เกิดขึ้นจากการพูดคุย เพื่อให้ทุกฝ่าย ‘เข้าใจตรงกัน’ ว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร

ลูกค้าต้องคุยกันภายในว่าจริงๆ แล้วปัญหาคืออะไร มีการถามว่าทำไม…

Café Joyeux คาเฟ่แห่งความสุขจากฝรั่งเศสที่ขับเคลื่อนโดยคนที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา

คำที่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งในโลกธุรกิจและสังคมในยุคนี้ คงหนีไม่พ้นคำว่า ความหลากหลาย หรือ diversity

นิยามของคำว่า หลากหลาย ก็มีรายละเอียดที่ไล่เรียงไปได้ตั้งแต่ความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ สีผิว วัฒนธรรม ภาษา ทุกความแตกต่างของมนุษย์เราน่าจะนิยามมันได้จากการจัดหมวดหมู่แยกคนกลุ่มหนึ่งออกจากคนกลุ่มหนึ่ง การเปิดใจของคนในสังคมที่ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้คำว่า ความหลากหลายถูกหยิบยกเอามาใช้อยู่บ่อยๆ ในโลกยุคปัจจุบัน

อย่างการสร้างหนัง ละคร ซีรีส์ของค่ายสตรีมมิงหรือบริษัทหนังรายใหญ่ๆ ที่เรามักจะเห็นความหลากหลายที่ว่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านตัวละครที่มีความแตกต่างทางสีผิวและเชื้อชาติ ทุกวันนี้เราได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นชาวเอเชียผิวสีเหลือง เราได้เห็นเจ้าหญิงแอเรียลเงือกสาวนำแสดงโดยหญิงผิวดำ นักแสดงชาวเอเชียหรือแอฟริกาเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกฮอลลีวูด 

ในโลกธุรกิจการยอมรับความหลากหลาย ก็กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเข้มข้นเช่นกัน อย่างเช่นค่าเฟ่แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสที่ชื่อ Café Joyeux 

Café Joyeux แปลเป็นภาษาอังกฤษคงเขียนได้ว่า Joyful Café และถ้าจะแปลเป็นไทยอีกทีคงแปลได้ว่า คาเฟ่แห่งความสุข ที่ว่าเป็นคาเฟ่แห่งความสุข เพราะที่นี่มุ่งเน้นให้ทุกคนในสังคมมีความสุข 

แล้วการจะทำให้ทุกคนมีความสุขได้เราต้องทำยังไงบ้าง?

คำถามที่ว่าอาจไม่สามารถตอบได้แบบกระชับ แต่ถ้าจะให้ตอบแบบรวบรัดอาจจะเริ่มที่ความเท่าเทียมทางโอกาสที่ทุกคนควรจะได้รับอย่างเสมอภาคกัน ไม่เว้นแม้แต่คนที่บกพร่องทางสติปัญญา

ภารกิจหลักของ Café Joyeux คือการฝึกฝน พัฒนาและว่าจ้างเหล่าคนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เช่น ดาวน์ซินโดรม และออทิสติก หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าคนที่มีความต้องการพิเศษให้เป็นที่มองเห็นและได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่พวกเขามีความบกพร่องทางสติปัญญาและพัฒนาการทางสังคม พวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่มักจะไม่ได้รับโอกาสอย่างทัดเทียมเทียบเท่ากับคนอื่นๆ ทั้งการเข้าเรียน การทำงาน รวมถึงโอกาสอีกหลายต่อหลายอย่างในชีวิตที่พวกเขาต้องพลาดไปเพียงเพราะพวกเขาเกิดมาพร้อมความบกพร่องนั้น

ปี 2017 Café Joyeux แห่งแรกที่มีความมุ่งหวังจะพัฒนาสังคมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนที่มีความต้องการเป็นพิเศษจึงถูกเปิดขึ้น โดยคนที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มนี้จะถูกฝึกปรือจนชำนาญในทักษะด้านต่างๆที่จำเป็นต่อการทำงานในร้านคาเฟ่ เช่น การเป็นพนักงานต้อนรับ แคชเชียร์ กุ๊ก และเด็กเสิร์ฟ 

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝึก พวกเขาก็จะถูกว่าจ้างให้ทำงานในร้านคาเฟ่แห่งนี้ตามแต่ทักษะที่พวกเขาถนัด และจะมีผู้จัดการร้านที่ไม่ได้เป็นคนที่มีความต้องการพิเศษเป็นผู้ดูแลกำกับกิจการต่างๆ ในร้านอีกที แต่เป้าหมายใหญ่ของคาเฟ่นี้ก็อย่างที่เล่าไป คือ ต้องการให้คนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีความมั่นใจมากขึ้น และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมากขึ้น

Yann Bucaille-Lanrezac ผู้ก่อตั้ง Café Joyeux เล่าถึงที่มาของการก่อตั้งคาเฟ่นี้ว่า

“มีอยู่วันหนึ่ง มีชายออทิสติกอายุประมาณ 20 ปี เดินเข้ามาของานผมทำ ตอนที่เขาเดินมาคุยกับผม เขาเข้ามาด้วยท่าทีที่มีความสุขและตื่นเต้นมาก แต่พอผมปฏิเสธเขาไป เขาพูดออกมาด้วยท่าทีโกรธว่า มันไม่แฟร์เลย ผมต้องการทำงาน ผมอยากเป็นคนที่ทำประโยชน์ได้บ้าง แต่ไม่มีใครให้งานผมทำเลย”

ทันทีที่ได้ยินดังนั้น Yann เฝ้าครุ่นคิดกับตัวเองว่าเขาน่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่มีความต้องการพิเศษพวกนี้ได้บ้าง เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มออทิสติกคนนั้นพูดนั้นถูกทุกอย่าง มันไม่แฟร์กับพวกเขาเลย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนกับว่า สังคมกลับหันหลังให้พวกเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ทันให้พวกเขาได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

และนั่นจึงเป็นที่มาของการเปิดค่าเฟ่แห่งความสุข Café Joyeux สาขาแรก

ในปัจจุบัน ฝรั่งเศสมีประชาชนที่เป็นออทิสติก 7 แสนคน และคนที่เป็นดาวน์ซินโดรม 65,000 คน แน่นอนว่าคนที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ว่างงาน ข้ามฟากมาดูที่สหรัฐอเมริกาดินแดนที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์ ที่อเมริกามีคนที่มีภาวะออทิสติกสเปรกตรัม 5.5 ล้านคน และเป็นดาวน์ซินโดรม 250,000 คน จากตัวเลขนี้ มีเพียง 38% เท่านั้นที่ได้รับการจ้างงาน

การเริ่มต้นของ Café Joyeux จึงอาจจะเป็นการเริ่มต้นแบบก้าวเล็กๆ แต่มีความหมายอย่างยิ่งใหญ่ต่อคนเหล่านี้ที่เป็นคนพิเศษของสังคม 

Café Joyeux นิยามตัวเองว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แต่กำไรที่ได้จากการขายอาหารและกาแฟทั้งหมดของร้านทั้ง 100% จะถูกนำไปลงทุนเปิดร้านใหม่เพื่อเพิ่มการจ้างงานคนที่มีความต้องการพิเศษไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ Café Joyeux มีการจ้างงานคนที่มีความต้องการพิเศษไปแล้ว 83 คน และ ปัจจุบันนี้ Café Joyeux มีการขยายสาขาออกไป โดยมีทั้งหมดทั้งหมด 8 สาขาในฝรั่งเศส ทั้งในปารีส, แรนส์, บอร์โด, ลียง และอีก 1 สาขาที่ เมืองลิสบอน โปรตุเกส

Yann เคยเล่าเอาไว้ถึงเหตุผลที่เขามักเลือกโลเคชันในการเปิดร้าน  Café Joyeux ให้อยู่ในสถานที่ๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือต้องเป็นที่ๆ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเพราะเขาคิดว่า คนพวกนี้สมควรได้รับโอกาสและศักดิ์ศรีที่จะได้ทำงานในที่ๆ มีความศิวิไลซ์เยี่ยงคนธรรมดาทั่วไป

“พนักงานที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้เขาทำงานดีเยี่ยมมากๆ เลยครับ พวกเขาทำอาหารเก่ง เสิร์ฟอาหารเก่ง พวกเขาภูมิใจกับงานที่ตัวเองทำ พวกเขารู้สึกซาบซึ้งกับงานที่ตัวเองทำ เพราะงานที่พวกเขาทำ พวกเขาจึงค้นพบศักดิ์ศรีของตัวเอง เพราะพวกเขาสามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ พวกเขาทำงานอยู่ใจกลางเมืองที่ๆ มีความสวยงาม ทันสมัย ที่ๆ รายล้อมไปด้วยภัตตาคารอันหรูหรา พวกเขาสมควรจะได้ทำงานอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ครับ”

แล้วผู้ปกครองของคนที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้เขารู้สึกยังไงกันบ้าง หลังจากที่ได้รับรู้ว่าลูกหลานของพวกเขาได้ทำงานที่คาเฟ่ใจกลางเมืองอย่าง  Café Joyeux

“พวกเรารู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นนิโคลัสมีงานทำที่  Café Joyeux พวกเรารู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายของเรามากๆ เมื่อเห็นลูกชายเราตื่นแต่เช้าและมีความสุขในทุกๆ เช้าที่เขาไปทำงาน นิโคลัสรู้สึกภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เขารู้สึกดีกับตัวเอง”

นี่คือคำบอกเล่าจากปากคำของพ่อแม่ของลูกจ้างที่คาเฟ่แห่งนี้ คาเฟ่ที่ไม่ได้เสิร์ฟแค่กาแฟแต่เสิร์ฟความสุขให้กับทุกคนในสังคม ทั้งลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งลูกจ้างที่ทำงานให้ ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองของลูกจ้างรวมไปถึงคนที่ได้อ่านเรื่องราวของคาเฟ่แห่งนี้ 

สมกับชื่อเรียกของร้าน

Café Joyeux

อ้างอิง

Marimade สินค้าค่อนข้างสุ่มจาก Marimekko ที่จงใจใส่ใจโลกตั้งแต่ก่อนผลิต

‘ค่อนข้างสุ่ม’ (หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษแสนน่ารักว่า pretty random) คือแท็กไลน์ที่บอกเราอย่างตรงไปตรงมาว่าโปรดักต์ใน Marimade คอลเลกชั่นพิเศษจาก Marimekko นั้นมีความหลากหลายเกินกว่าจะจัดเรียงเข้าหมวดใดหมวดหนึ่ง 

สมุด ขวดน้ำ แก้วน้ำ กล่องข้าว pouch กระเป๋าผ้า ผ้าเช็ดปาก

แม้จะแตกต่างอย่างที่เห็น แต่โปรดักต์ในคอลเลกชั่น Marimade มีจุดร่วมอยู่ 2 อย่าง

1–เป็นโปรดักต์ที่อยู่รายรอบตัวเราในทุกๆ วัน

2–เป็นโปรดักต์ที่สะท้อนปรัชญาเรื่องความยั่งยืนของ Marimekko และชาวฟินน์อย่างถึงแก่น

Marimade ถูก made ด้วยความคิดความเชื่อแบบไหน

ขอจิบน้ำจากขวดน้ำรักษ์โลกแสนสวยหนึ่งอึกแล้วจะเล่าให้ฟัง

Product

คอลเลกชั่นที่ขีดเส้นใต้ปรัชญาเรื่องความยั่งยืนของ Marimekko

Product Pivot

คล้ายกับหลายๆ แบรนด์ที่ต้อง pivot หรือปรับตัวในช่วงโควิด-19 คอลเลกชั่น Marimade ก็เป็นผลผลิตหนึ่งของช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น 

“ช่วงโควิดคนเดินทางไม่ได้ ต้องอยู่กับบ้าน และ Marimekko ให้ความสำคัญกับชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ทีมออกแบบจึงต้องการทำสินค้าที่ใช้ได้จริงในทุกๆ วันขึ้นมา” แพรว–แพรวไพลิน เอมอักษร Head of Lifestyle Strategy Marketing แห่ง TANACHIRA ผู้จัดจำหน่าย Marimekko ในประเทศไทย เริ่มต้นเล่า

“ทีนี้ Creative Director ของ Marimekko ชื่อคุณ Rebekka Bay เขามีจุดยืนว่าจะไม่ออกแบบสิ่งที่เป็นเทรนด์แฟชั่น จะออกแบบสิ่งที่ใช้ได้ตลอดไป รวมทั้งธีมในการออกแบบที่ครอบคลุมมาถึงปีนี้คือการมองย้อนไปข้างหลังเพื่อมองไปข้างหน้าแล้วดูว่าเราจะอยู่กับมันยังไงต่อ Marimade จึงถือกำเนิดขึ้น โดยมีคอนเซปต์ว่า Grab & Go คือสนุก ง่าย ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ทรีตมันเป็นของสะสม”

นอกจากนี้ แพรวยังแชร์อินไซต์ในมุมธุรกิจให้ฟัง 2 ข้อ

1–จากการทำรีเสิร์ชพบว่า ลูกค้า Marimekko กว่า 50% ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว

2–แต่ถึงอย่างนั้น Marimekko ก็หวังว่า Marimade จะเปิดประตูเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ หนึ่งคือ ลูกค้าสายกรีน เพราะคอลเลกชั่นนี้ตั้งใจขีดเส้นใต้เล่าเรื่องความยั่งยืนของแบรนด์แบบเน้นๆ และสองคือ ลูกค้าวัยรุ่นวัยทำงาน เพราะสินค้าไลฟ์สไตล์นั้นเข้าถึงง่ายและเข้าใจง่ายกว่าเสื้อผ้าหรือผ้าพิมพ์คอตตอนที่ถือเป็นสินค้าหลัก

เรียกได้ว่าการทำคอลเลกชั่น Marimade นั้นวินทั้งโลก วินทั้งธุรกิจ

Product Sustainability

ก่อนจะ Grab & Go ไปไกลกว่านี้ ต้องขอแวะเล่าสักนิดว่า Marimade ไม่ใช่การกระโจนเข้าสู่ตลาดสินค้าสายกรีนครั้งแรกของแบรนด์ฟินน์ เพราะ Marimekko มีสินค้าที่คิด ออกแบบ และผลิตอย่างยั่งยืนซุกซ่อนอยู่ในคอลเลกชั่นประจำฤดูกาลหรือคอลเลกชั่นพิเศษอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น Funny Bags แก๊งกระเป๋าหลากหลายทรงที่ทำมาจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลและผ้าคอตตอนส่วนเกินจากการผลิตผ้าพิมพ์คอตตอน หรือ Candle Cup เทียนวีแกนสารพันกลิ่นในถ้วยเซรามิกหลุด QC ที่ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับเฉยๆ 

หรือกระทั่งโปรเจกต์พิเศษเพื่อความยั่งยืนที่เราเห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Marimekko x Spinnova ความร่วมมือตั้งแต่ปี 2020 ที่ผสานศาสตร์ผ้าพิมพ์ของ Marimekko เข้ากับนวัตกรรมสุดล้ำอย่าง SPINNOVA เส้นใยที่ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตถึง 99% เมื่อเทียบกับการผลิตเส้นใยฝ้ายในระบบอุตสาหกรรมทั่วไป

Marimekko Pre-loved แพลตฟอร์มสำหรับซื้อ-ขายสินค้า Marimekko มือสอง ซึ่งช่วยให้เสื้อผ้านอนตู้มีเจ้าของใหม่ที่จะใส่น้องๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก (น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังใช้ได้แค่ในฟินแลนด์เท่านั้น!) 

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะ Marimekko ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตั้งแต่ยุคของผู้ก่อตั้งอย่าง Armi Ratia ดังนั้นความยั่งยืนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในทุกกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การคิดและออกแบบสินค้าที่ไร้กาลเวลาและคงทน ตลอดจนกระบวนการผลิตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและยุติธรรมกับพาร์ตเนอร์ที่เกี่ยวข้อง

ถามว่า Marimekko จริงจังกับความยั่งยืนแค่ไหน ต้องตอบว่าถึงขั้นมีแผนก sustainability อยู่ในบริษัทเลยทีเดียว

“แผนกนี้ทำหน้าที่วางโครงสร้างการผลิตสินค้าของ Marimekko ทั้งระบบให้มีความยั่งยืนและมีมาตรฐานเพื่อไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งกันไว้ ทุกปีเราจะมาดูตัวชี้วัดกันว่าเราทำสำเร็จตามเป้าหมายยังไงบ้าง เช่น เราลดการใช้น้ำไปกี่เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน” แพรวขยายความ

เป้าหมายเรื่องความยั่งยืนแต่ละข้อนำมาสู่วิธีการทำงานและข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ถ้าเล่าให้เห็นภาพใหญ่ในเชิงกระบวนการผลิตคือ แผนก sustainability จะทำหน้าที่คัดเลือกผู้ผลิตที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก (เช่น Better Cotton ซึ่งให้ความรู้เรื่องการดูแลธรรมชาติและสิทธิแรงงานแก่เกษตรกรปลูกฝ้าย) รวมทั้งช่วยตรวจสอบดูแลให้ผู้ผลิตทำงานอย่างถูกต้องตามหลักการและได้มาตรฐาน

“เราเป็นแบรนด์ ยังไงก็มีการผลิตสินค้าออกมาขาย แต่สิ่งสำคัญคือเราจะผลิตยังไงให้กระทบกระเทือนสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด” แพรวสรุป

Product Mix

กลับมาที่ Marimade แพรวบอกว่า “การทำ Marimade ไม่ยากเลย เพราะความยั่งยืนมีอยู่แล้วในองค์กร”

พอได้คอนเซปต์มาแล้ว ทีมออกแบบและทีม sustainability จึงทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาโปรดักต์ออกมา โดยมีทั้งที่นำวัสดุส่วนเกินจากการผลิตสินค้าต่างๆ มาอัพไซเคิลและรีไซเคิล รวมถึงทำงานร่วมกับผู้ผลิตที่เชี่ยวชาญด้านวัสดุยั่งยืนในการออกแบบและผลิตสินค้าใหม่ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะเป็นคอลเลกชั่นรักษ์โลก Marimekko ก็ยังไม่ทิ้งลายแบรนด์ที่รักการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ เพราะ Marimade มีรายละเอียดน่ารักและยังมีลายพิมพ์ที่แฟนๆ หลงรัก อย่างที่เราได้เห็นกันในสินค้าที่ปล่อยออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

Takeaway Mug & Lunch Box (จะเข้าไทยเร็วๆ นี้)– แก้วน้ำและกล่องข้าวปั๊มนูนเป็นลาย Räsymatto ผลิตโดย Sulapac (อ่านว่า ซุลลาปา) บริษัทที่คิดค้นวัสดุ bio-based ซึ่งทำมาจากดินเหนียวผสมกับวัสดุชีวภาพ ให้เนื้อสัมผัสคล้ายเซรามิก และสามารถย่อยสลายได้ 100% โดยไม่ปล่อยไบโอพลาสติก

Fabric Notebook–สมุดขนาด A5 เนื้อในทำจากกระดาษรีไซเคิล ส่วนปกทำจากผ้าส่วนเกินจากการผลิตสินค้าประเภทอื่น แต่ละชิ้นจะวางลายไม่เหมือนกัน ถ้าอยากได้แบบ ‘ค่อนข้างสุ่ม’ ก็สามารถกดจากเว็บไซต์ได้เลยหรือถ้าอยากเลือกเองให้ถูกใจต้องไปที่หน้าร้านเท่านั้น

Pouch–กระเป๋าใส่ของขนาด A4 และ A5 ทำจากเซลลูโลสหรือเส้นใยธรรมชาติ สัมผัสคล้ายไม้คอร์กแต่สามารถซักและใช้ซ้ำได้ พิมพ์ลายซิกเนเจอร์ตลอดกาลอย่าง Mari Logo และ Unikko

Price & Promotion

ราคาเดิมๆ โปรโมชั่นเดิมๆ เพราะ Marimekko ยั่งยืนมาแต่ไหนแต่ไร

“จริงๆ แล้วต้นทุนการใช้วัสดุรีไซเคิลสูงกว่านะเพราะมันผ่านการพัฒนาและสรรหาวัสดุเพื่อไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”​ แพรวเกริ่นเมื่อเราถามถึงวิธีการตั้งราคา Marimade “แต่เราไม่ได้ตั้งราคาต่างจากสินค้าอื่นเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเรามีสินค้าที่เป็นรีไซเคิลและอัพไซเคิลอยู่แล้ว”

เมื่อถามถึงโปรโมชั่น แพรวให้คำตอบคล้ายกัน “คอลเลกชั่นนี้ร่วมทุกโปรโมชั่นหน้าร้าน และลูกค้าที่สมัครสมาชิกไว้สามารถใช้ส่วนลด 10-15% ตาม tier ที่สะสมยอดไว้ได้เลย เพราะเราอยากให้ทรีตว่ามันเป็น Grab & Go ไม่เหมือนสินค้าบางตัวที่ทรีตเป็น collectible piece (สินค้าสำหรับสะสม) แล้วจะไม่ร่วมโปรโมชั่น”

แม้พื้นฐานคือราคาเดิมๆ และโปรโมชั่นเดิมๆ แต่ในช่วงเปิดตัวคอลเลกชั่นในเดือนกันยายน 2565 ก็มีโปรโมชั่นพิเศษที่เข้ากับคอนเซปต์สายกรีน ซึ่งช่วยขยายให้เห็นภาพของความยั่งยืนแบบองค์รวมชัดเจนขึ้นด้วย

“เพราะเป็นคอลเลกชั่นที่เน้นเรื่องความยั่งยืนเราเลยนำถุงผ้า Mari Logo มาอยู่ในโปรโมชั่นด้วย ซึ่งเราก็จะขอความร่วมมือกับลูกค้าว่าขอใส่สินค้าลงไปในถุงผ้าเลย เพราะมันเป็นแคมเปญที่ทำมาเพื่อลดการใช้กระดาษ แล้วเราก็จะสื่อสารกับลูกค้าด้วยว่าถุงผ้าของเราทำจากผ้าฝ้ายที่ผลิตในประเทศอินเดีย ไม่ผ่านการฟอกสีเคมีเลย ดังนั้นจะเห็นรอยฝ้ายเป็นจุดๆ อยู่ตามเนื้อผ้า”

แพรวให้ทิปส์ด้วยว่าปกติแล้วเธอจะไม่จัดโปรโมชั่นถุงผ้า Mari Logo บ่อยนัก จะจัดเฉพาะช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นวันเกิดของ Marimekko ประเทศไทยและเป็นเดือนที่มีวัน Earth Day, ช่วงที่เปิดร้านสาขาใหม่ และช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เท่านั้น ดังนั้นลูกค้าประจำจะรับรู้ได้ว่าโปรโมชั่นนี้จะมีเฉพาะช่วงเวลาที่พิเศษจริงๆ เท่านั้น

Place

นำเข้าสินค้าพร้อมแนวคิดความยั่งยืนแบบฉบับฟินแลนด์สู่ไทยแลนด์

คอลเลกชั่น Marimade วางขายทางเว็บไซต์ marimekko.co.th, ทาง Facebook Live Streaming และหน้าร้าน 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และเซ็นทรัลเวิลด์ เรียกได้ว่าอำนวยความสะดวกทั้งลูกค้านักกดปุ่ม add to cart และลูกค้าที่ต้องการหยิบจับสัมผัสสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ

 Place เหล่านั้นถือเป็นพื้นฐาน แต่ประเด็นเรื่อง Place ที่น่าสนใจจริงๆ ของ Marimade น่าจะเป็นการข้ามน้ำข้ามทะเลจากฟินแลนด์มาสู่ไทยแลนด์มากกว่า คำถามคือทำไมแพรวถึงตัดสินใจนำคอลเลกชั่นนี้เข้ามาในประเทศไทย

“เรามองว่าคอลเลกชั่นนี้มีประโยชน์ในเรื่องความยั่งยืน คือสามารถช่วยให้คนเปลี่ยนมุมมองและเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้ ลูกค้าเองก็จะได้ในสิ่งที่คู่ควรกับเขา ด้วยคอนเซปต์​ ด้วยการใช้งาน และเราคิดว่าคนไทยจะเห็นภาพ Marimekko ชัดมากขึ้นด้วย”

ในฐานะคนที่ทำงานกับใกล้ชิดกับแบรนด์ Marimekko มากว่า 8 ปี รวมทั้งได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศฟินแลนด์และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศต้นกำเนิดของแบรนด์มาอย่างลึกซึ้ง แพรวให้อินไซต์เพิ่มเติมว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่จุดยืนของมารีเมกโกะแต่เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังจนหยั่งรากลึกในจิตวิญญาณของชาวฟินน์ทุกคนจนสะท้อนออกมาในแบรนด์

“คนฟินแลนด์จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ขนาดเขามีธรรมชาติเหลือเฟือ คือฟินแลนด์มีพื้นที่ขนาดเท่าๆ กับประเทศไทยแต่เขามีประชากรแค่ 5 ล้านคน ดังนั้นเขามีธรรมชาติมากกว่าคน แต่เขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องธรรมชาติ เขามองว่าธรรมชาติอยู่รอบตัว ถ้าเขาทำร้ายธรรมชาติตัวเขาก็จะได้รับผลกระทบตามมาเพราะเขายังใช้น้ำ ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ และต่อไปลูกหลานเขาก็ต้องอยู่กับธรรมชาติ หรือต่อให้มนุษย์ไม่อยู่แล้ว ธรรมชาติก็จะยังคงอยู่”

ดังนั้นในแง่หนึ่ง การนำคอลเลกชั่น Marimade เข้ามาในประเทศไทยจึงเป็นการถ่ายทอดจิตวิญญาณเรื่องความยั่งยืนของชาวฟินน์ให้กับชาวไทยด้วย แต่แพรวก็หมายเหตุว่า เธอเข้าใจบริบทที่แตกต่างกันระหว่างสองประเทศ รวมถึงเข้าใจข้อจำกัดที่คนไทยหลายคนต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบันด้วย

“ฟินแลนด์ทำเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เพราะเขาทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ดังนั้นสำหรับตัวเราเองหรือคนใกล้ตัวเราจึงคิดว่าเป็นเรื่องของการบอกกล่าวให้ความรู้เรื่องความยั่งยืน และการทำเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ส่วนในระดับรัฐบาลหรือองค์กรระดับประเทศก็ต้องต้องช่วยกัน เช่น สนับสนุนและพัฒนาให้มีบริษัทแบบ Sulapac ในบ้านเรา

“แต่เราก็เข้าใจนะว่าการที่เราจะใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม ปัจจัยพื้นฐานเราต้องโอเคก่อน อย่างเราทำงานรีเทลก็จะเห็นพนักงานห้างเยอะแล้วก็เห็นความยากลำบากในการเดินทางมาทำงานของพวกเขา บ้านไกลแล้วต้องขี่มอเตอร์ไซค์บ้าง ต่อคิวรถตู้บ้าง นั่งรถเมล์ไม่ไหวเพราะต้องตื่นเช้ามาก รถไฟฟ้าก็จ่ายไม่ไหวเพราะแพง ถามว่าตื่นกี่โมง ตื่นตีห้าเพื่อมาทำงานให้ทันเก้าโมง แล้วกลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม ไหนจะต้องเอาโน้ตบุ๊กกลับบ้านเพื่อไปทำงานต่อ จะคาดหวังให้เขาพกแก้วน้ำ พกกล่องข้าวเพื่อช่วยโลกอีก มันไม่ไหวจริง เราเข้าใจเขานะ ดังนั้นแม้มันจะดูเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่จริงๆ แล้วเป็นภาพใหญ่ที่เราต้องช่วยกันทั้งหมด”

People

คนผลิต ผลิตให้ยั่งยืน คนใช้ ใช้ให้ยั่งยืน

เมื่อถามถึง P สุดท้ายที่ขาดไม่ได้สำหรับการสร้างแบรนด์ให้มีความยั่งยืน แพรวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “people” 

“สำหรับ Marimade เรานึกถึง people เพราะ planet จะอยู่กับเราได้ และจะอยู่ในสภาพที่ดีได้ก็ต่อเมื่อ people ช่วยกัน people เป็นคนผลิต people เป็นคนใช้ แล้ว people ก็เป็นคนที่อยู่กับมัน”

แพรวเสริมเป็นตัวอย่างว่า แม้กระทั่งเธอเองที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ทำงานในภาคเอกชนก็ช่วยในมุมของตัวเองได้

“ด้วยความที่เราทำงานมาร์เก็ตติ้งคนก็จะบอกว่า ยังไงคุณก็ขายของ คือเราขายของก็จริง แต่พอเราอยู่ Marimekko เราเห็นว่าความยั่งยืนมันมีมาตั้งแต่ก่อนการผลิต เราเลยมีความเชื่อว่าเขาทำจริงๆ ดังนั้นก็ช่วยกันพูดเถอะ ถึงบางคนจะมองว่าเป็นแบรนด์พูดแต่มันก็ดีที่มีจุดเริ่มต้นในการพูดคุยเรื่องนี้”