วิธีการหาอินไซต์และความคิดที่ได้ยินแล้วตบเข่าฉาดของวิชัยแห่ง Salmon House

เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่เคยเมาท์มอยกับเพื่อน จะต้องมีจังหวะการเมาท์มอยที่ถึงจุดที่ใครสักคนพูดอะไรสักอย่างออกมาแล้วทุกคนในวงต่างตบเข่าฉาดแล้วแทบจะพูดพร้อมกันว่า “เออออออ!! นั่นไง กูว่าแล้ว”

ไอ้สิ่งที่พูดมา มันไม่ยาก ไม่ซับซ้อน แต่มันแค่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน หรือเคยถูกพูดถึงแล้ว แต่ไม่ใช่เหลี่ยมมุมที่ได้ยิน

ผมชอบโมเมนต์แบบนี้มาก มันคือสิ่งที่ทุกคนรู้สึกอยู่ในใจ แต่ยังไม่สามารถเรียบเรียงเป็นความคิด แล้วกลั่นเป็นคำพูดออกมาได้

สมัยที่ผมเขียนหนังสือเป็นอาชีพ มันจะมีช่วงนึงที่ต้องมาคิดชื่อหนังสือ คำพูดที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดคือ “มันดีนะ แต่ยังไม่ตบเข่าฉาด” แปลว่าอันที่มีอยู่มันดีแล้ว แต่ยังไม่ดีที่สุด แล้วความต่างของคำว่า ‘ดีแล้ว’ กับ ‘ดีที่สุด’ มันกว้างมาก

คุณจะหยุดที่ดีแล้วก็ได้นะ แต่พยายามอีกนิด เพื่อให้ได้ดีที่สุดกันมั้ย มันคุ้มนะเว้ย

ผมว่า จังหวะที่เราสามารถหยิบเอาความรู้สึกมาเรียบเรียงให้เป็นความคิดที่ตบเข่าฉาดได้ มันดีมากๆ เลยนะ

แล้วไอ้จังหวะตบเข่าฉาดเล็กๆ นั่นแหละคือรางวัลของการทำอาชีพนักโฆษณา

ผมมักจะพูดเสมอว่า อย่างแรกของการทำงานของผมกับเบนซ์ (ธนชาติ ศิริภัทราชัย) คือการไม่เชื่อบรีฟของลูกค้า

ไม่ว่าลูกค้าบรีฟอะไรมา เราต้องมองมันด้วยอาการกอดอกหรี่ตา ลูบคางมองไปที่ขอบหน้าต่าง หันกลับมามองบรีฟด้วยหางตา แคะจมูก ถอนหายใจ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถตั้งคำถาม ท้าทายบรีฟลูกค้า 555555

ฟังดูเป็นคนไม่ดี แต่นั่นคือสาเหตุที่เขามาจ้างเรานะ

แต่ก็ต้องบอกว่า หลายๆ บรีฟเราก็เชื่อเลยนะ เพราะเราก็อินด้วย

แล้วก็มีหลายบรีฟที่มาแบบใบสั่ง ไม่ต้องคิด ทำเลย–อันนี้ก็ชอบ ชีวิตง่าย 555

เท่าที่สังเกตผมว่าบรีฟของมาร์เก็ตเตอร์รุ่นใหม่ มีแนวโน้มที่จะพยายามทำตัวเองให้ซับซ้อนมากขึ้น มีหลายเลเยอร์ทับกันมากขึ้น

ซึ่งอันนี้ว่ากันไม่ได้ เพราะส่วนตัวก็ไม่ใช่มาร์เก็ตเตอร์ แต่ละออฟฟิศก็น่าจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน และคงจะมีวิธีการขายงานภายในที่ไม่เหมือนกันอีก คงจะทำให้แต่ละบรีฟมีความซับซ้อนที่ไม่เท่ากัน

แล้วมันก็คงเป็นหน้าที่ของนักโฆษณาอีกนั่นแหละที่เราต้องมองทุกอย่างให้เป็นเส้นตรงที่สุด มีเลเยอร์ให้น้อยที่สุด และเรียบง่ายที่สุด

ดังนั้นเวลาบรีฟ เราจึงเริ่มต้นด้วยการไม่เชื่อบรีฟ แต่ต้องพยายามหา core idea หรือปัญหาของบรีฟ ของแบรนด์ให้ชัดเจนที่สุดแล้วค่อยนำเสนอสิ่งนั้น ไอ้สิ่งที่เรานำเสนอ มาร์เก็ตเตอร์อาจจะคิดมาแล้วก็ได้ หรือที่เรากลับไปนำเสนอ มันอาจจะผิดก็ได้ หรือมันอาจจะถูกก็ได้ แต่เพื่อให้เราเปิดความไปได้ใหม่ให้กับไอเดีย ถ้ามีโอกาสเราควรจะทำ

มีครั้งหนึ่งเราได้รับบรีฟสนุกจาก GrabExpress ที่อยากโปรโมตบริการส่งของด่วนภายใน 40 นาที กับภายใน 4 ชั่วโมง

กลุ่มเป้าหมายที่อยากสื่อสารด้วยคือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 

คำถามแรกเลยคือ ทำไมพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องอยากส่งของให้ไวขึ้นด้วยนะ? คือส่งไวมันน่าจะเป็นความต้องการของคนรับ มากกว่าคนส่งนะ ไม่เคยขายของเองจริงจังแต่เดาว่าหน้าที่ของพ่อค้าแม่ค้าจบลงตรงที่ส่งของออกไปแล้วปะ?

จากประสบการณ์ทำงาน เราพบว่าถ้าเราคิดงานด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ความรู้สึกไม่ถูกต้องแต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วทนทำงานต่อไป ความพังมันจะไปปะทุระหว่างทางแน่นอน ดังนั้นเราต้องเคลียร์ใจตัวเอง ให้ตรงกับลูกค้าให้ได้ก่อน

สิ่งแรกที่เรารู้สึกคือ การส่งไว มันเป็น extra benefit หรือที่เบนซ์ใช้คำว่า good to know หรือดีที่ได้รู้ แต่ไม่ได้ทำงานอะไรมากกว่านั้น หรือพูดให้เห็นชัด ส่งของให้ไวขึ้น มันเหมือน extra benefit ถ้าได้ใช้มันก็ดี ถ้าไม่ได้ก็…ไม่เป็นไร

สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เปลี่ยน การส่งไว จากที่เป็น extra benefit ให้เป็น solution

เปลี่ยนจาก ผลประโยชน์ (มีก็ดี ไม่มีก็ได้) ให้เป็นทางแก้ (ต้องมี)

แหม่…พออะไรพวกนี้มาเขียนเป็นหนังสือสรุปวิธีการทำงานนี่เท่จัดเลยนะครับ เหมือนเก่งเทพ

แต่ในชีวิตจริง ไอ้สามสี่บรรทัดบนนี่ก็ซัดไป 2 วันได้มั้ง

การทำงานมีแต่กุมหัว บ่นฟ้าบ่นดิน แม่งเอ๊ย อะไรวะ 5555

เหมือนเดิมครับ คิดไม่ออก จงเปิดฟลอร์บ่น 55555

จากการประชุมคิดงาน กลายเป็นรายการ พุธทอล์คพุธโทร ทุกคนเอาเรื่องสั่งของออนไลน์ที่พังพินาศมาบ่นกันอย่างเมามัน

ลืมไปเลยว่ากำลังทำงานกันอยู่

สุดท้ายมีอินไซต์นึงที่เข้ารอบสุดท้ายคือ

ทุกวันนี้เวลาสั่งของออนไลน์มันจะมีระบบแทร็กกิ้งกันแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ทำให้เราเห็นความเคลื่อนไหวของสินค้าตลอดการเดินทาง แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ไอ้เรื่องดีที่ว่า ผมเชื่อว่ามันก็สร้างความปั่นป่วนหัวใจไม่น้อยให้กับทุกคนแน่ๆ เช่น

– สินค้าออกจากประเทศต้นทางแล้ว

อะ เดี๋ยวอีกสักอาทิตย์นึงละมั้ง กว่าจะถึง ชิลล์ๆ ไม่รีบ

– สินค้าถึงประเทศปลายทาง

โอเค ไม่น่าเกิน 3-4 วันมั้ง

– สินค้าถึงสถานีคัดแยก

อื้ม พรุ่งนี้มะรืนมั้ง

– เจ้าหน้าที่กำลังออกไปส่ง

อะ…วันนี้แหละ บ่ายละมั้ง

ตอนเช้า เสียงมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าบ้าน ลุกออกไปดูสักที อ้าว ไม่ใช่ เปิดแอพฯ ดูอีกครั้ง–เจ้าหน้าที่กำลังออกไปส่ง

ตอนเที่ยง มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าบ้าน ลุกไปอีกรอบ ไม่ใช่อีก เปิดแอพฯ ดูอีกครั้ง–เจ้าหน้าที่กำลังออกไปส่ง

ตอนสาย มีมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน มาแล้วๆๆๆๆ อ้าว เจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาตรวจมิเตอร์ไฟ เปิดแอพฯ ดูอีกครั้ง–เจ้าหน้าที่กำลังออกไปส่ง

โว้ยพี่! พี่อยู่ที่ไหน เดี๋ยวกูขับรถออกไปรับเลยเนี่ย 

ตัดภาพมาสามทุ่ม–เจ้าหน้ากำลังออกไปส่ง

เฮ้ยพี่ มอไซค์คว่ำอะไรรึเปล่าเนี่ย จะได้มั้ยของ

ยอมรับมาเถอะว่าเคยเป็นกัน

แต่ที่เล่ามาทั้งหมด มันก็เป็นปัญหาของผู้รับ ไม่ใช่ผู้ส่งอยู่ดี

ในระหว่างที่บ่นขิงบ่นข่ากันอยู่นั้น ก็มีน้องคนนึงบ่นขึ้นมาว่า อีกอย่างที่รู้สึกเบื่อมากเวลาสั่งของออนไลน์คือ เวลาได้รับของแล้วพบว่ากล่องพัสดุมันพังยับเยิน และของข้างในมันเสียหาย แล้วต้องโทรกลับไปบ่นกับพ่อค้าแม่ค้าว่าแพ็กของมายังไง ทำไมมันพังได้

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ทำไมเราได้ยินปัญหากล่องบุบเสียหาย หรือของข้างในพังจากการขนส่งบ่อยจังวะ

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ธรรมชาติของการส่งพัสดุปัจจุบัน ระบบการส่งมันออกแบบให้พัสดุต่างๆ มันต้องวนไปรอที่ศูนย์คัดแยกก่อนที่จะส่งไปที่ศูนย์กระจายสินค้า ระบบมันถูกออกแบบมาแบบนั้น เพื่อความเป็นระเบียบ เพื่อความเรียบร้อยหรืออะไรก็ตาม

สิ่งที่เราสันนิษฐานคือ พัสดุต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย มันไม่ได้รับการเสียหายจากการเปลี่ยนถ่ายพักของ แต่มันเสียหายระหว่างการส่งต่อเปลี่ยนมือมากกว่า

พอทุกคนในทีมเอาแอพฯ ส่งของมาแชร์กัน ก็พบว่าพัสดุแต่ละชิ้นจะต้องเปลี่ยนมืออย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อการส่งของหนึ่งชิ้น

ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ของจะพัง มันก็เพิ่มขึ้นตามจำนวนมือนั่นแหละ นั่นก็แปลว่า ถ้าของถูกเปลี่ยนมือน้อยครั้ง ความเป็นไปได้ที่ของจะยุบบุบเสียก็จะน้อยลง นั่นก็แปลว่า การส่งไว ที่ส่งจากต้นทางถึงปลายทางภายใน 4 ชั่วโมง โดยการใช้พนักงานแค่คนเดียวจึงเป็นการแก้ไขปัญหาให้พ่อค้าแม่ค้าที่ดีที่สุด 

เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์คือของที่ส่งไปเสียหาย ต้องมาทะเลาะกับลูกค้า ต้องรบกวนให้ลูกค้าส่งของกลับ ต้องส่งของใหม่อีกรอบ พอส่งของใหม่ เราก็ต้องมาลุ้นอีกรอบ

ดังนั้นสิ่งที่เราจะสื่อสารให้ได้คือ ส่งไว แล้วยังไงต่อ เราจึงได้คีย์เวิร์ดมาเป็นคำว่า “ส่งไว มือเดียวถึง”

จาก benefit ก็กลายเป็น solution แล้ว

เหมือนเดิม…นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหนังยังไม่ได้คิดเลย 5555

แต่พอได้จุดเริ่มต้นที่ดี ทุกอย่างก็จะง่ายละ จากรีเสิร์ชที่น้องในทีมไปหาข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่เปิดร้านในไอจีพบว่า ร้านที่ทำอย่างเป็นล่ำเป็นสันมักจะมีพนักงานอยู่ด้วยกันสองถึงสามคน (เพื่อนๆ กันนั่นแหละ) ส่วนใหญ่จะแบ่งหน้าที่ชัดเจน คนนึงถ่ายภาพทำกราฟิก อีกคนจะรับหน้าที่แพ็กของดูแลออร์เดอร์ อีกคนอาจจะเป็นหน้าตาของร้าน ไลฟ์ขายของ โครงสร้างคร่าวๆ ของร้านมันจะทำงานกันเป็นทีมประมาณนี้ 

คนนึงทำหนึ่งหน้าที่แล้วส่งต่อให้อีกคน แล้วส่งต่อให้อีกคน เราเลยมาตีความทีมเวิร์กนี้ว่า “ขายของออนไลน์เดี๋ยวนี้เหมือนวิ่งผลัด ส่งไม้ต่อ” ก่อนที่จะมารวบว่า ไม่ว่าคุณจะทำร้านดีแค่ไหน มีความประณีตในการแพ็กของยังไง สุดท้ายชะตากรรมของพัสดุคุณก็ต้องไปเสี่ยงกับการส่งของอยู่ดี

หนังเรื่องนี้เราใช้วิธีเล่าแบบหนังเดมอน

ผมไม่แน่ใจว่าในวิชาการโฆษณาที่สอนๆ กัน มีแบ่งประเภทหนังโฆษณากันมั้ยนะ แต่เท่าที่ทำงานมา เราสามารถแบ่งหนังโฆษณาเป็นสองประเภทใหญ่ๆ (ไม่ถูกยังไง มาแลกเปลี่ยนกันได้นะ)

ประเภทที่หนึ่ง–หนังแอตทิจูด

หนังแบบนี้ไม่เน้นขายของ แต่จะเน้นขายทัศนคติ แนวคิดของแบรนด์ หนังแอตทิจูดที่เราทุกคนต้องเคยผ่านตากันมาก็คือ หนังโฆษณาไทยประกันชีวิต

ประเภทที่สอง–หนังฟังก์ชั่น หรือ หนังขายของ

อันนี้ไม่ซับซ้อนมาก มาเพื่อขายของ สินค้าคืออะไร ใช้ทำอะไร แก้ไขปัญหา ราคากี่บาท ซื้อได้ที่ไหน ขายของกันไปเลย

ส่วนลีลาการขายจะเป็นยังไง หนังขายของก็จะมีวิธีการขายซอยย่อยลงไปอีก เป็นศัพท์ที่พูดกันในบรีฟแล้วเข้าใจเลยว่าเป็นยังไง เช่น

หนังโปรดักต์ อันนี้ไม่ต้องเน้นเส้นเรื่องอะไรเลย ใหม่! อร่อยสะใจ ท้าให้ลอง ไม่จำเป็นต้องมีอินไซต์อะไร เน้นขายแรงๆ

หนัง problem & solution–อันนี้น่าจะใช้บ่อยสุด คือตั้งด้วยปัญหา แล้วเอาสินค้ามาเป็นตัวแก้ปัญหา 

และอีกแบบที่ส่วนตัวผมชอบเป็นพิเศษคือ หนังเดมอน

ศัพท์คำว่า เดมอน ‘demonstration’ มันหมายถึงช่วงแสดงวิธีการทำงานสินค้า

พวกช็อตน้ำส้ม สาดปะทะกับผลส้ม หรือส่วนประกอบลอยไปมาแล้วหมุนรวมกันกลายเป็นขวดแชมพู

หรือหนังสีทาบ้าน ที่เป็นกราฟิกผ่าบ้านให้ดูว่ามีชั้นสีเคลือบแล้วสะท้อนแดดยังไง หรือหนังกาแฟที่มีช็อตเมล็ดกาแฟหมุนติ้วๆ นั่นนี่

พวกนี้เราเรียกว่า ‘เดมอนช็อต’ กันหมด 

แต่สิ่งที่เราจะทำคือ หนังเดมอน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ทำหนังเพื่อแสดงวิธีการทำงานของทั้งกระบวนการให้เห็น

หนังเดมอนที่ทุกคนต้องเคยผ่านตาคือ หนังดักจับไขมันของ Verena Sure ที่พี่ต่อทำ

ตัวหนังเปิดซีนมาเป็นวุ้นเส้น กินผลิตภัณฑ์ลงไป แล้วภาพต่อมาคือ บนถนน มียาเม็ดยักษ์หนึ่งเม็ด แล้วก็มีตำรวจจราจรออกมาจากเม็ดยา เพื่อมาดักจับรถที่ขนของมันๆ จากปากไปท้อง

เห็นมั้ยครับว่าแค่เล่าแค่นี้ก็ประหลาดและสนุกแล้ว หรือหนังเดมอนอีกเรื่องที่อยากเล่าคือ

หนังจากประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดฉากมาเป็นภาพผู้ชายหน้าตาหลากหลายใส่เสื้อกล้ามสีดำนอนจับมือกัน หนังไม่ให้ข้อมูลอะไรเลยนอกจาก ผู้ชายที่นอนอยู่กลุ่มนี้ต้องผ่านวิกฤตสุดเว่อร์ด้วยกัน ไม่ว่าจะโดนความร้อนแผดเผา นอนกลางหิมะ เจอขี้นกหยดใส่หน้า แต่ทุกคนก็ไม่ทิ้งกัน ฟันฝ่าอุปสรรคผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน

ก่อนที่จะมาเฉลยเอาดื้อๆ ว่า ผู้ชายทั้งหมดที่เราดูคือ กระเบื้องหลังคาบ้าน

และนี่คือหนังเดมอนที่เล่าถึงสิ่งที่กระเบื้องหลังคาบ้านต้องเจอ 55555 เก่งสัด

และหนังเดมอนที่ฮิตมากระดับโลกคือ If Google Was A Guy ที่เขาทำออกมาว่า ถ้ากูเกิลเป็นคน จะประสาทแดกขนาดไหน

กลับมาที่หนังของเรา

โชคดีมากๆ ที่ตอนคิดงานเราได้คำว่า “ขายของออนไลน์เดี๋ยวนี้ เหมือนวิ่งผลัด ส่งไม้ต่อ” สิ่งที่แปลงเป็นภาพแล้วสนุกคือคำว่า ‘วิ่งผลัด ส่งไม้ต่อ’ เบนซ์เลยเสนอให้ปิดสนามกีฬาจริงๆ เพื่อสร้างโลกเดมอนการส่งของ แล้วใช้ประโยชน์จาก ลู่วิ่ง เพื่อมาเล่าความพังของการส่งของหลายมือที่มัน ‘ออกนอกลู่ นอกทาง’ ขนาดไหน

พอไอเดียได้ วิชวลได้ ที่เหลือคือความสนุกของการทำบทแล้วครับ

ผมรู้สึกในการคิดงานหลายๆ ครั้งจำเป็นต้องคิดกับคนอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อให้เห็นมุมมองอื่นๆ เท่านั้น แต่เพื่อสร้างบทสนทนาให้ดำเนินต่อไป แล้วตัวเราเนี่ยแหละที่ต้องเป็นคนคอยระวังว่า ระหว่างทางของบทสนทนานั้นเราผ่านอะไรบ้าง ตรงไหนเป็นปั๊ม ตรงไหนเป็นจุดถ่ายรูป และตรงไหนคือเป้าหมายของเรา

เราไม่รู้หรอกว่าตรงไหนคือเป้าหมาย แต่อย่างน้อยการที่บทสนทนามันขับเคลื่อนตลอดเวลา มันจะทำให้คนคิดไม่ท้อ จนหมดแรงเสียก่อน

ตลอดการคิดงานของพวกผม มันมีทั้งคุยงานไปหัวเราะไปจนน้องจดไม่ทัน กับนั่งมองเหม่อเงียบๆ เป็นชั่วโมง หรือช่วงนึงต้องนอนคิดงานกัน เพราะถ้าเงียบกันจะได้หลับไปเลย

แต่ไม่ว่ายังไง การพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มันดีกว่าเสมอ

เพราะฉะนั้นถ้าคิดอะไรไม่ออก ลองไปชวนคนอื่นมานั่งคุยด้วยครับ

Cheewid แพลตฟอร์มช่วยระดมทุนและอาสาสมัครเพื่อต่อชีวิตองค์กรเพื่อสังคมไทย

โลกเต็มไปด้วยปัญหามากมายที่รอวันแก้ไข คงไม่แปลกที่จะมีผู้คนรวมกลุ่มกันทั้งในนามองค์กรไม่แสวงหากำไร กิจการเพื่อสังคม หรือมูลนิธิเพื่อแก้ปัญหาที่พวกเขาพอจะหยิบจับได้ แต่ก็ใช่ว่าการทำงานเพื่อสังคมจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

การเงินฝืดเคือง เข้าถึงแหล่งทุนอย่างยากลำบากทำให้หลายโครงการทำงานได้ไม่ต่อเนื่อง

คนทำงานเพื่อสังคมเงินเดือนน้อยจนไม่สามารถดึงดูดคนยุคใหม่ให้เข้ามาทำงานในระยะยาวได้

หลายองค์กรเพื่อสังคมไม่ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ทำให้ไร้ตัวตนบนโลกออนไลน์ หรือไม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาในโลกยุคใหม่

Cheewid จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มช่วยเหลือกิจการเพื่อสังคมและองค์กรไม่แสวงหากำไรในทุกแง่มุม ทั้งในด้านการเงิน ทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงเทคโนโลยีดิจิทัล เสริมแรงให้คนทำงานเพื่อสังคมเติบโตได้ไกลกว่าเดิม

หากคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ cheewid.com เราจะพบกับแคมเปญที่กำลังระดมทุน ตำแหน่งงานอาสาสมัครในองค์กรเพื่อสังคมต่างๆ และข้อมูลองค์กรเพื่อสังคมในประเทศไทยโดยหวังว่าจะตอบโจทย์ทั้งฝั่งองค์กรเพื่อสังคมและผู้บริจาค

Cheewid ที่อยากตอบโจทย์ชีวิตคนทำงานเพื่อสังคมเป็นยังไงตามไปดูกัน

จุดเริ่มต้นของ Cheewid

แม้ว่าแพลตฟอร์ม Cheewid จะเป็นน้องใหม่ เพิ่งเปิดตัวเว็บไซต์ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา แต่ คริษฐ์ ศุภวัฒนกุล ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Cheewid ควบตำแหน่งนักลงทุนของธนาคารแห่งหนึ่งเท้าความให้ฟังว่าเขาฟูมฟักความฝันนี้มาตั้งแต่ปี 2015 ในช่วงเวลานั้น คริษฐ์ทำงานเป็นที่ปรึกษาในบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและเทคโนโลยีชื่อว่า Accenture และมีโอกาสร่วมเขียนแผนแม่บทโปรเจกต์ Thailand 4.0 เพื่อสะท้อนช่องว่างทางเทคโนโลยีที่หน่วยงานรัฐต้องพัฒนา

ระหว่างที่คร่ำเคร่งทำแผนแม่บทครอบคลุมเรื่องสวัสดิการแรงงานและการพัฒนามนุษย์ เขามีโอกาสได้เรียนรู้กรณีศึกษาเรื่องการทำงานเพื่อสังคมจากประเทศต่างๆ นั่นจุดประกายให้เขาสนใจเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเติมเต็มการทำงานเพื่อสังคม

“ผมเริ่มทำ Cheewid ขึ้นมาเพื่อเป็นพาร์ตเนอร์กับองค์กรเพื่อสังคม ช่วยเขาสเกลระบบการบริหารจัดการ (operation) ซึ่งผมคิดว่าเทคโนโลยีเป็นตัวที่สร้างการเติบโตได้ดีที่สุด

“ด้วยความที่ผมทำงานอยู่ฝั่งการลงทุนและระดมทุนเลยเห็นว่าสกิลของผมสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับฝั่งองค์กร non-profit ได้ ขณะเดียวกันผมก็รู้มุมมองของนักลงทุนด้วย รู้ว่าเขาอยากจะลงทุนกับอะไร เลยอยากจะเอาความเชื่อมโยงเหล่านี้มาพัฒนากิจการเพื่อสังคมในเมืองไทย”

แม้ในโมงยามนั้นประเทศไทยจะเริ่มมีการระดมทุนในรูปแบบ crowdfunding แล้ว แต่คริษฐ์อยากสร้างเครื่องมือดิจิทัลที่ทำได้มากกว่าการรับบริจาค เขาจึงไม่รีรอเริ่มก่อร่างวางไอเดียแพลตฟอร์ม Cheewid เพื่อนคู่คิดที่อยากช่วยเหลือทุก ‘ชีวิต’ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมผ่านเทคโนโลยี

“สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นโอกาสทางการตลาดคือในเอเชียมีการบริจาคเงินเพื่อการกุศลประมาณ 500-600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ส่วนตัวเลขเงินบริจาคในไทยจากกรมสรรพากรคือประมาณแสนล้านบาท คำถามคือแสนล้านบาทต่อปีมันไปอยู่ที่ไหน แล้วเราจะทำยังไงให้เงินจำนวนนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถช่วยเหลือได้ทั้งกิจการเพื่อสังคมทีมเล็กๆ แต่มีวิชั่นที่ดี และช่วยผลักดันองค์กร non-profit ขนาดใหญ่ของไทยให้เติบโตไปเป็นองค์กรใหญ่ระดับโลก 

“นอกจากนั้นเงินบริจาคในไทยเยอะก็จริงแต่ก็ไม่เยอะเท่าต่างประเทศ เราจึงไม่ได้แค่อยากขยายช่องทางให้คนกลุ่มเล็กสามารถแย่งสัดส่วนเงินทุนกับคนกลุ่มใหญ่แต่เราอยากขยายขนาดตลาดให้มีช่องทางการบริจาคเงินหรือการช่วยเหลือมาจากต่างประเทศด้วย”

ต้นทุน Cheewid

          อย่างที่เล่าไป องค์กรเพื่อสังคมหลายแห่งเผชิญกับปัญหาด้านการเงินทำให้ไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควร อีกทั้งเงินบริจาคก็กระจุกอยู่เพียงองค์กรบางประเภท แพลตฟอร์ม Cheewid จึงเข้ามาตอบโจทย์ด้วยบริการระดมทุนให้กับกิจการเพื่อสังคม องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานที่ทำงานเพื่อสังคม

เพียงกดเข้ามาที่นี่ที่เดียว ผู้บริจาคจะได้รู้จักองค์กรเพื่อสังคมกว่า 100 แห่ง ครอบคลุมตั้งแต่องค์กรด้านการศึกษา เช่น ‘โครงการร้อยพลังการศึกษา’ ที่ช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส, หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง ‘กินช่วยเกษตรกร’ ที่เชื่อมเกษตรกรกับคนกินไว้ด้วยกัน ลดปัญหาผลผลิตล้นเกินจนโดนกดราคา ไปจนถึงหน่วยงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ศาสนา และสิทธิสัตว์หลากหลาย 

“สิ่งที่เราทำหลักๆ บน cheewid.com คือสารบัญ การบริจาค (donation directory) ถ้าใครต้องการข้อมูลของมูลนิธิหรือกิจการเพื่อสังคมในไทยก็สามารถเข้ามาดูได้ ตั้งแต่ข้อมูลการก่อตั้ง โครงการขององค์กรที่กำลังทำอยู่และโครงการที่กำลังเปิดระดมทุน โดยองค์กรต่างๆ สามารถระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มได้ 2 รูปแบบ คือระดมทุนให้กับองค์กร องค์กรเอาไปใช้กับโครงการอะไรก็ได้ กับรูปแบบระดมทุนให้กับโครงการซึ่งต้องนำเงินไปใช้กับโครงการที่เปิดระดมทุนเท่านั้น”

คริษฐ์ย้ำว่าแพลตฟอร์มให้ความสำคัญกับการเป็น decentralized platform หรือแพลตฟอร์มที่ไร้การรวมศูนย์ องค์กรที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มจะสามารถจัดการแคมเปญบริจาคหรือดูข้อมูลการบริจาคที่ผ่านมาได้ด้วยตัวเอง ขณะที่ผู้บริจาคเองก็สามารถเลือกบริจาคได้หลากหลายช่องทางทั้งโมบายล์แบงก์กิ้ง สแกน QR code หรือตัดบัตรเครดิต

นอกจากการระดมทุนผ่านเว็บไซต์ Cheewid ยังเห็นว่าหนทางที่ยั่งยืนคือการที่องค์กรสามารถหาทุนได้ด้วยตนเอง พวกเขาจึงมีบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน เปิดให้บริการทำพรีเซนต์นำเสนอขอทุน (pitch deck presentation) ในรูปแบบที่สวยงาม ครบถ้วน ถูกแกรมมาร์เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปขอทุนจากต่างประเทศได้ และให้บริการค้นหานักลงทุน จับคู่องค์กรเอกชนกับองค์กรเพื่อสังคม สร้างโอกาสใหม่ๆ ที่องค์กรเพื่อสังคมอาจนึกไม่ถึง ส่วนแหล่งทุนก็ได้โปรเจกต์ CSR ที่มีคุณภาพจริงๆ

หนึ่งในตัวอย่างที่ Cheewid เข้าไปเป็นสะพานเชื่อมระหว่างบริษัทเอกชนและธุรกิจเพื่อสังคมคือการร่วมกับ a-chieve องค์กรที่สนับสนุนการค้นหาตัวเองทั้งอาชีพที่ใช่และชีวิตที่ชอบของนักเรียนวัยมัธยม จัดงานมหกรรมแนะแนวเส้นทางอาชีพ ‘ฟูมฟัก ฝัน เฟส’ งานแนะแนวที่เปิดโอกาสให้น้องๆ ได้เรียนรู้อาชีพที่หลากหลาย โดยคริษฐ์มีส่วนร่วมตั้งแต่การนำเสนอโครงการกับบริษัทในไทยที่สนใจทำงานด้าน CSR จนได้ทุนจากธนาคารแห่งหนึ่งที่ต้องการสร้างฐานกลุ่มผู้ใช้งานเป็นน้องๆ ที่ต้องการเปิดบัญชีใหม่ งานนี้นอกจากธนาคารจะได้ตั้งบูทของแบรนด์แล้วยังสามารถสร้าง awareness ให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านการแนะนำอาชีพในสายงานธนาคาร ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ทางบวกให้กับองค์กรในอีกทาง

ในโลกธุรกิจและการลงทุน ตัวเลขกำไรเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญแต่สำหรับคริษฐ์ เขามองว่าปัจจุบันบริษัทควรให้ความสนใจกับประเด็นทางสังคมไม่แพ้ผลกำไร

“ผมว่ามันเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้พนักงานด้วยเหมือนกัน” เขาเล่าว่าองค์กรที่มีเป้าหมายอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมจะเป็นองค์กรที่มีแนวทางที่ชัดเจน และเป็นองค์กรที่น่าดึงดูดสำหรับคนรุ่นใหม่ 

“หลักๆ แล้วสิ่งที่คนรุ่นใหม่สนใจคือ Why we do it. หรือเราทำงานไปเพื่ออะไร นี่เป็นหัวใจสำคัญที่ดึงดูดพวกเขาให้ทำงานเลย”

ระดม Cheewid

ไม่เพียงเงินทุนที่สำคัญ คนทำงานก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจที่ขับเคลื่อนงานเพื่อสังคม แต่ปัญหาคือหลายองค์กรนั้นขาดแคลนคนทำงาน แถมคนทำงานมูลนิธิหลายคนในปัจจุบันก็ขาดสกิลในโลกยุคใหม่ เช่น การใช้โปรแกรมเบื้องต้นอย่าง google slide หรือ google meet แพลตฟอร์ม Cheewid จึงทำงานจัดหาอาสาสมัคร (volunteer management) ซึ่งไม่เพียงอุดช่องว่างเรื่องการขาดคนและขาดสกิลยังเติมเต็มคนทำงานที่อยากมาร่วมขยับสังคมไปด้วยกัน

          “เราทำงานกับพนักงานออฟฟิศ (white-collar) จำนวนมากที่ต้องการเติมเต็มความว่างเปล่าในการใช้ชีวิตประจำวัน อยากทำงานที่มีความหมาย เราเลยช่วยเชื่อมต่อเขาเข้ากับมูลนิธิ non-profit ต่างๆ มูลนิธิเองก็จะได้เข้าถึงคนทำงานที่มีสกิลที่ต้องการ เช่น เคยมีมูลนิธิหนึ่งต้องการความช่วยเหลือเรื่องการเงินและบัญชี เราก็มีอาสาสมัครคนหนึ่งที่เขาเรียนบัญชีมาและสามารถสอนได้ ซึ่งสิ่งนี้มันมีประโยชน์กับอาสาสมัครหลายคนที่ต้องการเรซูเม่ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย” 

ในอีกด้าน Cheewid ยังได้ทำงานกับพาร์ตเนอร์ด้านเทคโนโลยีอีกหลายแห่งที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือคนทำงานเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบเว็บไซต์และงานดีไซน์ระบบจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ Cheewid ยังสร้างคอมมิวนิตี้คนทำงานเพื่อสังคม ชักชวนผู้เชี่ยวชาญในบริษัทชั้นนำของประเทศและของโลกมาให้คำแนะนำและความรู้แก่อาสาสมัครและองค์กรเพื่อสังคมที่ Cheewid ทำงานอยู่ด้วย

Cheewid ที่แตกต่าง

หย่อนเงินลงกล่องหรือโอนเงินช่วยเหลือ การบริจาคดูเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยอยู่แล้ว หลายคนคงสงสัยว่าอะไรที่ทำให้แพลตฟอร์ม Cheewid แตกต่างจากองค์กรทั่วไป

หนึ่งในคำตอบคือเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้

“เราคัดกรององค์กรที่จะอยู่บนแพลตฟอร์มด้วยตัวเองโดยคัดจาก social impact หรือความเปลี่ยนแปลงที่พวกเขามีต่อสังคม องค์กรต้องบอกได้ว่าเขาทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมยังไง ถ้าเป็นนิติบุคคล เราจะขอเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ตั้งแต่หนังสือบริคณห์สนธิ งบดุล งบการเงิน งบกระแสเงินสดมาดูด้วยว่าคุณใช้เงินในทางที่ถูกต้องหรือเปล่า แล้วก็สัมภาษณ์ผู้บริหารและพนักงานเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีตัวตนจริงไม่ใช่เปิดระดมทุนแล้วจะหายไป”

แนวทางดังกล่าวคือความตั้งใจของ Cheewid ที่อยากให้คนบริจาคมีประสบการณ์การบริจาคที่ดี โปร่งใส เห็นว่าเงินที่บริจาคไปถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถัดจากเรื่องความโปร่งใส อีกหัวใจสำคัญที่ทำให้ Cheewid แตกต่างคือเรื่อง ‘เทคโนโลยี’

วันนี้พวกเขากำลังค่อยๆ เติบโต และทยอยปล่อยฟีเจอร์ต่างๆ ออกมาให้องค์กรเพื่อสังคมได้ใช้งาน เช่น ข้อมูลอันดับผู้บริจาคเงินสูงสุดในประเทศไทย หรือข้อมูลบริษัทที่มีการทำ CSR แต่คริษฐ์เล่าว่าในอนาคต เขาอยากให้ Cheewid เป็นเพื่อนคู่คิดขององค์กรเพื่อสังคมในทุกมิติมากขึ้น ทั้งเรื่องการรับบริจาคเงินที่จะพัฒนาให้สามารถรับเหรียญบิตคอยน์และ ETH ได้ มีการวางแผนให้ Cheewid เป็นธนาคารดิจิทัล (neobank) สำหรับองค์กร non-profit เพื่อลดความยุ่งยากในการกู้เงินจากธนาคารทั่วไป และสนับสนุนให้องค์กรเพื่อสังคมในไทยใช้เทคโนโลยีทางการเงินในองค์กร

และก้าวถัดไปคือการส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีในกิจการเพื่อสังคมมากขึ้น ทั้งในส่วนของการจัดการทรัพยากรบุคคล การใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์หาแนวโน้มผู้บริจาค และการสร้างมาตรวัดผลกระทบทางสังคม (social impact) เพื่อให้การทำงานเพื่อสังคมสามารถวัดผลได้ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมจริงๆ รวมไปถึงเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของแหล่งทุน 

“ในโลกธุรกิจ digital transformation เกิดขึ้นแล้วเราก็อยากให้มีคนที่ทำงานฝั่ง non-profit เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีและดาต้าเช่นกัน

“ทุกวันนี้ ถ้าไปถามมูลนิธิทั่วไปว่าคุณมีตัวเลขการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) เท่าไหร่ คุณมีการประเมินตัวชี้วัดทางสังคม (social impact indicator) ไหม หลายที่ยังไม่มีข้อมูลตรงนี้ เราจึงอยากจะทำเครื่องมือที่จะมาช่วยวัดผลกระทบทางสังคมออกมา” 

ท้ายที่สุด เพื่อช่วยคนทำงานเพื่อสังคมให้เติบโต Cheewid ก็ต้องอยู่ให้ได้อย่างยั่งยืนดังนั้นเพื่อให้มีทุนขับเคลื่อนแพลตฟอร์มคริษฐ์เล่าว่าพวกเขาจึงออกแบบแพ็กเกจบริการสำหรับองค์กรที่ต้องการการสนับสนุนพิเศษในราคา 1,000 ต่อเดือน

แม้ว่าจะเพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่ที่ผ่านมา Cheewid ได้ช่วยระดมทุนไปมากกว่า 8 ล้านบาทผ่าน 54 โครงการแล้วและยังคงเดินหน้าทำตามความตั้งใจต่อไป

ชีวิตของ Cheewid จะเติบโตไปช่วยเหลือชีวิตอื่นในแบบใดบ้างเราคงต้องติดตามและเอาใจช่วยกันต่อไป

ชวนหยิบสินค้า 7 ชิ้นที่เป็นที่สุดจาก Element 72 มาใส่ตะกร้า

Element 72

Element 72 add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Element 72

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Day 1 ของ Keziah แบรนด์เสื้อผ้าของเด็กหญิงวัย 10 ขวบที่กำลังจะไปแสดง New York Fashion Week 2022

Keziah

Keziah Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Keziah

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Not Available in Your Country ไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่อยากให้คนซื้อไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นเพื่อนที่โตไปด้วยกัน

น่ารัก!!! มักจะเป็นคำที่เราใช้อธิบายแบรนด์ Not Available in Yr Country ให้คนอื่นฟัง

น่ารักที่หนึ่งคือโปรดักต์ แบรนด์นี้ขายของน่ารัก! ตั้งแต่เสื้อยืดสกรีน, tote bag, สติ๊กเกอร์ ไปจนถึงกริปต็อก ติดโทรศัพท์มือถือ ทุกชิ้นเป็นลายเส้นซิกเนเจอร์ที่เจ้าของแบรนด์วาดเองกับมือ เห็นแวบๆ ก็รู้ว่ามาจาก Not Available in Yr Country แน่นอน

น่ารักที่สองคือความลิมิเต็ด เพราะอยากให้ลูกค้าเป็นคนพิเศษและได้ใส่ของไม่ซ้ำใคร (เยอะ) แบรนด์จึงทำของออกมาในจำนวนไม่มากและไม่รีสต็อกแน่นอนไม่ว่าลูกค้าจะเรียกร้องแค่ไหน เชื่อไหมว่าทุกวันนี้ยังมีคนขอให้รีสต็อกเสื้อลายแรกๆ อยู่เรื่อยๆ แต่แบรนด์ก็ยังไม่ใจอ่อนอยู่ดี

น่ารักที่สามคือแบรนด์ไม่ได้คิดถึงแค่กำไรของตัวเองแต่คิดถึงกำไรของคนอื่นๆ ในสังคม อยากช่วยคนที่ขาดด้วยความสามารถที่ไลฟ์สไตล์แบรนด์จะพอทำได้

และที่น่ารักสุดๆ คือสำหรับ Not Available In Yr Country ลูกค้าไม่ใช่แค่คนที่มาซื้อของแต่เป็นเพื่อนที่จะเติบโตไปด้วยกัน แบรนด์เลยไม่ได้ทำแค่สินค้าอย่างเดียวแต่สร้างคอมมิวนิตี้ขึ้นมาด้วย (ขออุบไว้ก่อนว่าทำยังไง)

แบรนด์เล็กๆ แต่อยากทำอะไรน่ารักๆ มากมาย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากตัวตนและอารมณ์ศิลปินของ อีฟ–พรปวีณ์ บาเกอร์ และคุณแม่คนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของแบรนด์

“Not Available เกิดขึ้นเพราะว่าอีฟรู้สึกว่าเราทำงานที่ใช้ตรรกะมาเยอะแล้ว เราอยากพักมาทำอะไรอีโมชันนอลสุดๆ กันบ้าง ดังนั้นแบรนด์นี้มันคืออารมณ์ของอีฟล้วนๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มี customer insights ใดๆ ทั้งสิ้น”

แบรนด์ที่สร้างจากความเป็นศิลปินจะมีหลักการตลาด 4P (บวก 1) แบบไหน บอกได้แค่ว่าไม่เหมือนใครแต่ผลลัพธ์ออกมาดี​และน่ารักอย่างที่เห็นกันนี่แหละ

Product
Available for Fun

ในขณะที่หลายแบรนด์ยึดความต่อเนื่องของการปล่อยสินค้าเป็นหัวใจสำคัญ การปล่อยสินค้าของ Not Available In Yr Country นั้นเรียกได้ว่าแรนด้อมตามใจฉัน เพราะแบรนด์นี้เริ่มจากความสนุกของอีฟล้วนๆ

“อีฟเรียนมาด้าน communication design เอก Interactive Design อาชีพจริงๆ คือเป็น User Experience Designer และทำ brand strategy มันเป็นงานที่ใช้ตรรกะค่อนข้างมาก เราต้องเอา customer insights มาพัฒนาของบางอย่าง ดีไซน์ touch point เพื่อให้ user รู้สึกอะไรสักอย่างหนึ่งตามแต่บรีฟซึ่งนี่ไม่ใช่ Not Available เลย” เธอแอบเน้นเสียงคำว่าเลยเป็นการยืนยัน

อีฟ–พรปวีณ์ บาเกอร์ เจ้าของแบรนด์ Not Available in Your Country

“อีฟซัฟเฟอร์กับการไม่ยอมโตมาตลอด รู้สึกว่าโลกมันหมุนเร็วมาก ทุกคนต้องรีบโต ต้องรับผิดชอบ ต้องรีบๆๆๆ  เราเลยรู้สึกว่าอยากหยุดบ้าง อยากทำอะไรที่ไม่เครียดขนาดนั้น ไม่ต้องมีตรรกะก็ได้

“ช่วงปลายปี 2019 เราแฮงเอาต์กับเพื่อนแล้วก็คุยกันว่าอยากติดแทตทูลายของเราเอง ทำแทตทูกันดีกว่าก็วาดออกมาเป็นคำบ้าง ลายการ์ตูนบ้าง ทำเป็นสายเหมือนเป็นกำไลข้อมือ วาดแหวน เป็นแทตทูเด็กๆ ไม่มีสาระ วาดแล้วก็ไปหาโรงงานผลิตแต่ไม่มีโรงงานไหนเขาจะรับทำแผ่นเดียวหรอก ขั้นต่ำมันอยู่ที่ 50 แผ่น ก็เลยคิดว่างั้นทำขั้นต่ำก็ได้ พอทำแล้วก็ต้องขาย (หัวเราะ) นี่แหละคือไอเทมแรกของ Not Available In Yr Country”

ทำเพราะชอบเพราะสนุกแต่ดันขายหมด คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะยังสนุกอยู่อีฟเลยทำของที่อยากได้เพิ่มอีกเพื่อเพื่อนๆ คนกันเอง และใช้เองด้วย

คราวนี้เธอไม่ได้เล่นสนุกแค่กับเพื่อนแต่ไปชวนแม่มาร่วมขบวนการ

“สินค้าชิ้นที่สองที่ทำจริงๆ จังๆ คือเสื้อปัก มันเริ่มจากปักใส่เล่นกันเองนี่แหละเพราะแม่อีฟทำงานปักเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ช่วงแรกเลยเป็นการทำสินค้าแบบ made to order เพื่อนคนนี้อยากได้อะไรแม่ก็ปักให้ แต่ทีนี้มันมีหลายคนที่อยากได้บ้าง เราก็ปักไม่ได้เยอะขนาดนั้นจะทำยังไง”

นั่นทำให้สินค้าหมวดงานสกรีนค่อยๆ ถูกปล่อยตามมา ทั้งเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์, baby tee ตัวจิ๋ว, เสื้อสายเดี่ยว, กระโปรง, กางเกง, tote bag รวมไปถึงสินค้าหมวดอื่นๆ อย่าง griptok และสติ๊กเกอร์ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอีฟสปาร์กจอยกับอะไร ทุกครั้งที่ Not Available In Yr Country ปล่อยสินค้าใหม่เราจึงไม่เคยเดาได้เลยว่าสินค้าจะมาแนวไหน ทำได้แค่วอร์มนิ้วรอกด CF ให้ทัน

ถึงอย่างนั้น ในความแรนด้อมสินค้าทุกชิ้นก็มีจุดร่วมของมันอยู่

“แบรนด์นี้ธีมของมันคือคนที่ไม่ยอมโตแต่โตแล้วแบบเรา หรือคนที่กำลังจะโตและสับสนกับชีวิตมากๆ แล้วก็ธีมความเป็นเพื่อน เรื่องที่เราเล่าผ่านของมันเหมือนเป็นไดอารี่บันทึกตัวฉันในช่วงต่างๆ แล้วฉันก็หวังใจว่าคนที่ซื้อของฉันไปน่าจะเจอปัญหาคล้ายๆ กัน อยากเจอเพื่อนร่วมทาง เธอมีปัญหายังไงนะ ฉันก็มีแบบนี้เหมือนกัน

“อย่างเสื้อยืดลาย How I Fix My Problems ดีเทลลายเสื้อมันคือวิธีการแก้ปัญหาชีวิตของอีฟ เช่น บางทีเราก็แก้ปัญหา บางทีเราก็หนีปัญหา บางทีก็ไปพึ่งอย่างอื่น หรือเสื้อกล้ามลาย ‘Sorry Prince Charming, I only date badasses’ มันเกิดจากความรู้สึกว่าคนดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตไม่ชอบ ชอบคนชั่ว! (หัวเราะ) ฉันเป็นอย่างนี้! และฉันก็หวังว่าจะเจอเพื่อนที่มีเพนพอยต์ในชีวิตคล้ายๆ กัน

“เราเลยไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแบรนด์เสื้อผ้าขนาดนั้น โฟกัสของเราไม่ใช่การใส่เสื้อผ้าเพื่อถ่ายรูปลงไอจีด้วยซ้ำ แต่คือการเล่า statement ความคิด คือการที่คอมมิวนิตี้ได้มา express เรื่องต่างๆ ด้วยกัน แต่ละสินค้าเราจะมีเรื่องราวที่อยากเล่าแล้วก็เลือกทำไอเทมที่เหมาะกับเรื่องนั้น เราเลยอาจจะทำของแล้วก็หยุด ทำ หยุด เพราะถ้าไม่มีเรื่องจะเล่าก็ไม่ฝืนทำ”

ต้องมีเรื่องที่อยากเล่าถึงจะทำสินค้า ในทางกลับกัน ถ้ามีไอเทมบางอย่างที่อีฟอยากทำแต่ยังไม่มีเรื่องเล่าที่เหมาะกับไอเทมนั้นเธอก็จะยังไม่ผลิต เช่น tote bag ลายหนังสือพิมพ์ที่กว่าจะได้ทำก็ใช้เวลาหลายปี

“tote bag เป็นหนึ่งในไอเทมที่อยากทำมานานมากแต่ยังไม่มีเรื่องเหมาะๆ อีฟเป็นคนชอบอ่านข่าวแล้วก็รู้สึกว่าข่าวในช่วงนั้น (ที่ทำ tote bag) มีเรื่องคนยิงกันเยอะมาก ทุกอย่างแย่ไปหมด เราก็เลยอยากทำหนังสือพิมพ์ในแบบของเราที่มีข่าวที่เราอยากให้มันเป็นจริงบ้าง ซึ่งการจะเล่าสิ่งนี้เราต้องมีพื้นที่ให้มันเนอะ มันไม่ควรอยู่บนเสื้อเพราะคนก็จะบอกว่าลายน่ารักดีแล้วก็ผ่านไปแต่ว่ากับงานนี้เราอยากให้ตั้งใจอ่าน ก็เลยนึกถึง tote bag ซึ่งมันลิงก์กับหนังสือพิมพ์ด้วยรูปทรงและสี คนใช้เวลาอ่านได้จริงๆ” 

Available for All

Not Available In Your Country แปลตรงตัวได้ว่า ยังไม่เปิดให้บริการในประเทศของคุณ แต่ในเมื่อโปรดักต์ของอีฟขายทั้งในไทยและส่งได้ทั่วโลก แล้วอะไรล่ะที่ยังไม่เปิดให้บริการที่นี่?

เธอเฉลยว่าสิ่งนั้นคืองบประมาณสำหรับช่วยเหลือสังคม

“ตั้งแต่เด็กอีฟอยากช่วยสังคมมาตลอด ทุกๆ ปีเราจะพยายามหาโปรเจกต์เพื่อสังคมทำ โปรเจกต์แรกคือไปช่วยทำโซเชียลมีเดียให้กับ Bribespot ซึ่งเป็นแอพฯ ของ American Bar Association เพื่อจับคนที่ติดสินบน อีฟรู้สึกว่าเมืองไทยยังขาดองค์กรที่ทำเพื่อสังคมอยู่หรือไม่ องค์กรเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็อยู่ได้ไม่นานเพราะขาดเงินทุนเราเลยรู้สึกว่าถ้าเราในฐานะดีไซเนอร์สามารถระดมทุนส่วนหนึ่งขึ้นมาได้ ทำให้พวกองค์กรที่ not available in your country มัน available ขึ้นมาได้ก็คงดีมากๆ เลย การระดมทุนเลยเป็นเป้าหมายหนึ่งของแบรนด์

“ทุกครั้งที่ทำสินค้าขึ้นมาเราจึงเอาเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปบริจาค ตอนแรกๆ ก็เป็นองค์กรที่เราอยากช่วย เราเห็นว่าเขาขาดแคลนสุดๆ เช่น บริจาคให้องค์กรที่ช่วยเหลือหมาจร หรือว่าช่วงไหนมีปัญหาแบบน้ำท่วมเราก็เอาเงินไปช่วยคนที่ได้รับผลกระทบ แต่ว่าหลังๆ มานี้เราจะถาม follower ว่าอยากให้ช่วยที่ไหน อยากให้คนที่ซื้อของเราไปได้มีส่วนช่วยกันคิดว่าเงินของพวกเราจะเอาไปลงที่ไหนดี”

นอกจากช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนในสังคม อีฟยังมีเป้าหมายในใจว่าอยากให้แบรนด์นี้ available สำหรับการช่วยโลกด้วยการสร้างความยั่งยืนเท่าที่จะทำได้ งานปักทุกชิ้นในร้านจึงแทบไม่มีชิ้นที่ใช้เสื้อผ้าใหม่มาปักเลย

“ของปัก 90 เปอร์เซ็นต์ของเราเป็นของ sustainable หมดเลย เราเชื่อในการเลือกไอเทมที่สปาร์กจอยทั้งเราและแม่มาทำมากๆ อย่างแบรนด์เราจะมีไอเทมนึงที่ฮิตๆ คือกระเป๋าสะพายข้างทำจากกางเกงยีนส์ นั่นคือกางเกงยีนส์ของเราหมดเลยนะที่ใส่ไม่ได้แล้วแม่เอามาตัด แฟชั่นคืออุตสาหกรรมที่สร้างขยะแบบติดท็อปเราก็ไม่อยากสร้างเพิ่มแล้ว เราไม่ได้อยากแค่บริจาคเงินแต่เราอยากให้ทุกแง่มุมแบรนด์เรามันยั่งยืนสำหรับทุกๆ คน”

Price & Promotion
Available for Friends (Only)

“เรื่องนี้แหละที่มันตอบยากมาก (หัวเราะ)”​ อีฟสารภาพตอนที่เราถามถึงวิธีการตั้งราคาสินค้า

“เวลาที่อีฟทำแบรนดิ้งให้คนอื่น เราจะต้องเข้าใจ user เข้าใจ positioning ของแบรนด์ แต่กับแบรนด์ของตัวเองเราไม่ได้มี positioning มีทาร์เก็ตชัดเจน เราแค่อยากหาเพื่อนที่เข้าใจกันและอยากทำงานอาร์ต ซึ่งราคางานศิลปะมันไม่มีเกณฑ์ ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ สิ่งนี้ราคาเท่าไหร่นะ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สุดท้ายเราเลยตั้งราคาแบบที่อยู่ได้ ไม่ซัฟเฟอร์จนเกินไป ได้เอาเงินไปทำอะไรที่อยากทำ อยากช่วยสังคมก็ได้ทำ และมีทุนทำของในล็อตต่อๆ ไป”

ในด้านโปรโมชั่น เพราะใช้กำไรจากโปรดักต์หนึ่งไปเป็นทุนอีกโปรดักต์ ถ้าขายไม่หมดก็จะทำล็อตใหม่ไม่ได้ อีฟจึงเคยลองลดราคาเพื่อกระตุ้นการขาย แต่สุดท้ายด้วยความรู้สึกว่าลูกค้าคือเพื่อน อีฟเลยตั้งใจว่าถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ลดราคาเพื่อไม่ให้ลูกค้าที่ซื้อไปก่อนโปรโมชั่นรู้สึกไม่ดี

“เรื่องโปรโมชั่นก็เลยไม่มีเลย” เธอบอก

“เราไม่สามารถทำใจอัดโปรโมชั่นหรือร่วมแคมเปญในแพลตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้งได้ขนาดนั้นเพราะรู้สึกผิดกับลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว หลายคนก็บอกว่าไม่ต้องรู้สึกผิด เราขายของก็ขายไปเลย แต่เราก็นึกถึงลูกค้าหลายคนเขามาซื้อกับเราตั้งแต่เปิดขายราคาเต็ม เขารอเรา ก็เลยไม่อยากทำให้รู้สึกไม่ดีที่เรามาลดราคาทีหลัง ดังนั้นถ้ากลัวของเหลือเราก็ทำของน้อยลงแล้วกัน (หัวเราะ) เพราะเราวาดลายเอง เรามีเรื่องอยากเล่า ทุกอย่างคอนโทรลที่เราได้”

นอกจากคอนโทรลราคา ไม่ทำโปรโมชั่น อีกสิ่งที่อีฟคอนโทรลได้คือจำนวนของที่ผลิตและการไม่รีสต็อกเพื่อให้ลูกค้าที่เธอมองว่าเป็นเพื่อนได้ใส่ของที่พิเศษจริงๆ

“เราเชื่อว่าในการทำงานขึ้นมาหนึ่งชิ้น ความพิเศษมันไม่ได้จบแค่ magical process ตอนไอเดียเกิดตอนที่อยู่ดีๆ ไอเดียหล่นมาจากไหนก็ไม่รู้แต่ความพิเศษมันยังเป็นการที่คนใส่ได้รู้ว่าสิ่งนี้ทำมาเพื่อเขาด้วย อย่างของปักที่มีชิ้นเดียวไอเดียคือมันเกิดมาเพื่อยู หรือแม้แต่ของสกรีนเราก็ไม่ทำเยอะใส่ไม่ชนกันแน่นอน เนี่ย เพื่อนชอบถ่ายรูปมาให้เวลาเจอคนที่ใส่เสื้อของเรา เราอยู่เมืองนอกเวลากลับไทยทุกครั้งก็พยายามขึ้นรถไฟฟ้าแต่ไม่เคยเจอเลย เซ็งมาก อยากเห็นบ้าง (หัวเราะ)”

แต่ที่พิเศษสุดๆ ต้องยกให้ ‘สินค้าปัก’ ซึ่งไม่เพียงแค่มีรายละเอียดตาแตก ปักมือโดยคุณแม่ แต่ยังมี ‘เงื่อนไข’ คือลูกค้าต้องซื้อสินค้าสกรีนครบ 4 ชิ้นจากร้านโดยตรง ถึงจะสามารถจองสินค้าได้

“ถามว่าทำไมถึงต้องซื้อ 4 ชิ้น เพราะเรารู้สึกว่าของมันปักยาก เราทำกันแบบโฮมเมด แม่ปักคนเดียวแต่มีคนจำนวนหนึ่งเลยที่ซื้อไปทำเหมือนกันหรือเอาไปรีเซลล์เยอะมาก เราก็รู้สึกว่าคนที่ควรจะได้ไปมันคือเพื่อนรักเรา การที่จะเป็นเพื่อนรักคือเราไปแฮงเอาต์กันเนอะ เจอกันครั้งแรกไม่มีวันสนิทกันหรอก แค่รู้ว่า อ๋อ คนนี้คือใคร เจอกันครั้งที่สอง โอเค เริ่มรู้จักเขามากขึ้น คือพอเขาซื้อไปถึงชิ้นที่ 4 แค่เห็นเขาทักไลน์มาอีฟก็รู้ที่อยู่เขาแล้ว จำกันได้หมดเลย นี่คือเพื่อนเรา เรารู้ว่าเขาจะชอบของประมาณไหนด้วยซ้ำ

“เราเป็นคนไม่เชื่อในการทำอะไรซ้ำเลย เราชอบความเอกซ์คลูซีฟต่อให้เป็น edition product อย่างโปรดักต์สกรีนมันก็เอกซ์คลูซีฟมากๆ เราเชื่อว่าของเรามีน้อยพอที่คนที่ซื้อไปจะรู้สึกพิเศษเสมอ”

และเราเองก็มั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นเพราะถึงแม้เงื่อนไขการซื้อครบ 4 ชิ้นจะฟังดูทำยาก แต่ทุกครั้งที่มีของปักมาขายเราก็ได้เห็นคำว่า sold ภายในไม่กี่นาที

Place
Available Online

Not Available In Yr Country เป็นแบรนด์ของคนไทย ผลิตในประเทศไทย แต่บริหารจัดการโดยอีฟซึ่งลงหลักปักฐานทำงานอยู่ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เพราะแบบนี้แบรนด์จึงไม่มีหน้าร้านและ available แค่ในช่องทางออนไลน์เท่านั้น

คำว่าช่องทางออนไลน์หมายถึงอินสตาแกรมที่เป็นเหมือนหน้าร้านหลัก มีช่องทาง LINE OA สำหรับทักไปสั่งสินค้า มี LINE SHOPPING สำหรับคนที่อยากกดสั่งด้วยตัวเอง และไม่ฝากวางสินค้าที่หน้าร้านไหนเลยแม้ว่าน่าจะทำให้ขายได้มากขึ้นก็ตาม

“Not Available ไม่เคยขายผ่านใครเลยเพราะเรายังให้คุณค่าโมเมนต์ที่ได้ตอบไลน์ลูกค้าเอง เราอยากรู้ว่าเขาซื้อไปแล้วตอนใส่เป็นยังไง เขา experience สินค้ายังไง บางคนเขาได้ของเขาก็มาเล่า บางคนมาร้องไห้กับเราว่าทำหายก็มี เราก็แบบ ตายแล้ว ของหมดแล้วทำยังไงดี ก็ไปหาตัวที่บ้านที่มีตำหนิมาให้ ถามว่ารับได้มั้ย ถ้ารับได้พี่ส่งให้เลยไม่เสียเงิน

“ถ้าเราไปขายผ่านคนอื่นปฏิสัมพันธ์แบบนี้มันจะหายไปหมดเลย อาจจะเป็นเพราะอาชีพของเราจริงๆ ทำงานเกี่ยวกับ user experience ด้วยเราเลยให้คุณค่ากับการปฏิสัมพันธ์มาก เราอยากให้การซื้อของออนไลน์ไม่ได้เป็น experience ที่แค่ซื้อๆ ไปแล้วจบ แต่ก่อนหน้าหรือหลังการซื้อมี touch point ที่ทำให้เราสัมพันธ์กันได้ด้วย ทำให้มันเกิดเป็นคอมมิวนิตี้จริงๆ”

อย่างที่บอก อีฟเชื่อในการสร้างคอมมิวนิตี้ นอกจากจะเปิดพื้นที่ไว้ขายของ เธอก็เปิด Discord ซึ่งสามารถแชตคุยกันและสร้างห้องสำหรับหัวข้อต่างๆ ได้ เอาไว้เป็นพื้นที่ให้ (ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจนเป็น) เพื่อนๆ​ ได้มาเจอกัน

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราตามหาแพลตฟอร์มสำหรับให้ลูกค้าคุยกันมาตลอด แต่เราไม่อยากทำ line openchat ไว้แค่บอกโปรโมชั่น โกลมันคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนที่เราเองก็ดีใจมากที่ได้เจอคนเหล่านี้แล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว พอมาเจอ Discord เรารู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ที่สามารถ bounce ไอเดียกัน คุยกันได้ ก็เลยเปิด Discord ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

“หลักๆ คือเราเปิดพื้นที่ให้เขาคุยกันเอง มันสนุกยิ่งกว่าขายของอีกเพราะมันไม่ใช่การสื่อสารทางเดียวแล้วแต่เขาได้เจอเพื่อนที่ชอบอะไรประมาณเดียวกัน แล้วเขาก็แชร์กัน รีวิวของกันบึ้บบั้บแบบ no sponsor เล่าว่าช่วงนี้ไปฟังเรื่องผีเรื่องนี้ เพลงนี้ฮิตมากเลย ดูอะไรกันในเน็ตฟลิกซ์ หรือช่วงนี้ฝนตกซื้อรองเท้าบูตยี่ห้ออะไรดี ไม่เกี่ยวอะไรกับ Not Available เลย แค่จะมีห้อง Not Available เล็กๆ เอาไว้แชร์ work in progress หรือสปอยล์ของใหม่ เล่าที่มาที่ไปแค่นั้น

“เราอยู่เมืองนอกทุกวันนี้คอมมิวนิตี้ของเรามันเลยอยู่ในโลกออนไลน์เป็นหลักเพราะใครๆ ก็เข้ามาได้ง่าย แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าแบรนด์จะจำเป็นต้องอยู่ในโลกออนไลน์ไปตลอด โจทย์ของเรามีแค่ว่าช่องทางนั้นจะยังสามารถสร้างคอมมิวนิตี้ได้หรือเปล่า เป็นที่ที่ทุกคนได้เจอกัน เป็นที่ที่เกิดขึ้นแล้วไดรฟ์ด้วยเราทุกคนหรือเปล่า และเราจะยังได้ทำสิ่งที่รักอยู่ไหม”

Pornpawee
Available Because of Me

“P สุดท้ายของเราคือพรปวีณ์ คือชื่อของเรา” อีฟพูดถึง P ตัวสุดท้ายที่ทำให้ Not Available In Yr Country เป็นแบรนด์แบบที่เรารู้จักและรักทุกวันนี้ 

“แบรนด์มันขับเคลื่อนจากข้างในของเราจริงๆ  บางครั้งเราก็เจอเรื่องที่แย่มากๆ อย่างตอนทำเสื้อ How I Fix My Problems เพราะเป็นเราเราก็เลยมองเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องตลกแล้วเราก็ผ่านมาได้แล้วก็มาทำเป็นงานศิลปะเล่าถึงช่วงเวลานี้ ถ้าไม่ใช่พรปวีณ์ เป็นคนอื่นมาทำคงไม่ใช่แบบนี้

“หรือเสื้อลายผีเสื้อแบบต่างๆ ที่เราวาดแล้วกลายเป็นซิกเนเจอร์แบรนด์ มันก็มาจากการที่อีฟกลัวผีเสื้อแต่ชอบ cycle of life ของมัน ของแมลงต่างๆ เราก็เลยอยากวาด อยากเล่าความพิเศษออกมา ตีความว่าถ้าอยู่ในโลกจินตนาการของฉันน้องๆ พวกนี้จะหน้าตาเป็นยังไง มีตัวที่มีปลาโลมาอยู่ข้างในผีเสื้อเพราะปลาโลมาเป็นสัตว์โปรด ตัวนี้เป็นธีมดอกไม้ ตัวนี้เป็นธีมเค้ก มันคือจินตนาการของเราล้วนๆ

“แล้วกับสินค้าปัก คนที่ปักให้เราคือแม่ แม่คือ best friend ของอีฟ โมเดลการทำงานสเกลเล็กๆ แบบเรามันไม่ได้เหมาะกับทุกแบรนด์แน่ๆ แต่มันเหมาะกับสิ่งที่อีฟอยากเล่าเพราะมันมาจากข้างในมากๆ เขาเป็นคนเลี้ยงเรามา สิ่งที่เราคิดหลายๆ อย่างก็มาจากเขางานมันเลยได้สะท้อนเราและเขาไปในตัว เขารู้จักเราดีที่สุด บางครั้งแม่เห็นดีไซน์ของอีฟเรายังไม่ทันอธิบายแม่ก็จะบอกเลยว่าฉันรู้ว่าแกอยากได้อะไรแล้วเขาก็จะปักสิ่งที่เราอยากสื่อสารได้ เหมือนเรามีไอเดียก็จริงแต่ถ้าขาดเขาสิ่งที่เราจะเล่ามันก็ไม่กลม

“บางคนเขาสร้างแบรนด์จาก pain point ใช่ไหม อย่างไอโฟนเกิดขึ้นมาเพราะว่าไม่มีโทรศัพท์อันไหนใส่ในกระเป๋าเสื้อได้ หรือเวลาอีฟทำแบรนดิ้งให้คนอื่นมันจะมีเรื่องที่เราต้องชู เช่น แบรนด์นี้เก่งเรื่องคัตติ้งมากเลย แต่ของอีฟมันไม่ใช่แบบนั้น มันแบบ ฉันเก่งเรื่องอะไรนะ แต่ทุกวันนี้ฉันมีเรื่องอยากเล่า เล่าด้วยวิธีของฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นใคร ไม่มีไอดอล ฉันก็อยากเป็นฉันนี่แหละ ขอเป็นพรปวีณ์แล้วกันค่ะ”

‘วันออมแห่งชาติ’ ปลูกฝังค่านิยมและนิสัยรักการออมกับกิจกรรมพิเศษของธนาคารออมสิน

การออมและการลงทุนอาจเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน แต่หากย้อนมอง ในประวัติศาสตร์จะพบว่านี่คือสิ่งที่สถาบันและองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญมาแล้วเนิ่นนาน ด้วยเชื่อว่านี่คือสิ่งสำคัญทั้งในระดับประเทศไปจนถึงระดับครัวเรือนและปัจเจก

ในระดับโลก, ทุกๆ ปีจะมีวันที่เรียกว่า ‘วันออมโลก (World Thrift Day)’ ซึ่งจะตรงกับวันสุดท้าย ของเดือนตุลาคมของทุกปี โดยกำหนดขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุมที่มิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ. 1924 เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการออม

ก่อนที่ใน ค.ศ. 1996 องค์กรสหประชาชาติได้เฉลิมฉลอง 50 ปี สถาบันธนาคารออมสินโลกและกลุ่ม ธนาคารทั่วยุโรป จึงได้ประกาศให้วันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันแห่งการประหยัดและการออมโลก เพื่อปลูกฝังค่านิยม และนิสัยรักการออม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ในระดับภูมิภาค, ในปี 2563 คือปีแรกที่มีการประกาศ ‘วันออมของอาเซียน (ASEAN Savings Day)’ ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี และเป็นวันเดียวกับวันออมโลก

ในระดับประเทศ, ในปี 2541 ประเทศไทยได้กำหนดให้วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันออมแห่งชาติ’  เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่าย เก็บออม และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งธนาคารออมสินได้ให้ความสำคัญด้วยการจัดกิจกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน

ปีนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เราต่างเพิ่งเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 หลายคนได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบด้านการเงิน เนื่องจากขาดแคลนเงินออม การออมจึงยิ่งทวีความสำคัญ และจำเป็นในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกผันผวนตลอดเวลาเพื่อเป็นหนึ่งในภูมิคุ้มกันวิกฤตในยามฉุกเฉิน 

ซึ่งในบ้านเราการปลูกฝังค่านิยมและนิสัยการออมถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของธนาคารออมสินที่ทำเสมอมา และในวันออมแห่งชาติแต่ละปีก็มีกิจกรรมต่างๆ ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อปลูกฝังนิสัยการออมให้กับทุกคน

โดยในปีนี้มีกิจกรรมพิเศษมากมาย ไล่ตั้งแต่กิจกรรม TikTok Challenge ในหัวข้อ ’Saving Tips’ ที่ชวนทุกคนมาสร้างคลิปสั้นๆ ใน TikTok เพื่อแชร์ทิปการออมเจ๋งๆ สไตล์คุณและติดแฮชแท็ก #ออมสินsavingschallenge นอกจากนั้นยังมี การเปิดให้จองสิทธิ์ฝากเงินเพื่อรับกระปุกออมสินรถยนต์และไฮไลต์สำคัญอีกอย่างในปีนี้คือมีการเปิดจองสิทธิ์ฝากเงินรับกระปุกออมสิน Digital Art ของศิลปินชื่อดังระดับประเทศอย่าง ป๊อด โมเดิร์นด็อก ซึ่งเปิดจองสิทธิ์ผ่าน ‘ออมสินเมตาเวิร์ส’ อีกด้วย 

นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการภาพวาดเด็กออทิสติก,  พิธีมอบรางวัลต่างๆ อาทิ รางวัลธนาคารโรงเรียน, การเปิดรับฝากเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 7 ปี และเปิดตัวแอพพลิเคชั่นสำหรับปลูกฝังนิสัยการออมอย่าง ‘โค้ชออม’

ในยุคสมัยที่การออมกลายเป็นเรื่องสำคัญ กิจกรรมต่างๆ ของธนาคารออมสินในวันออมแห่งชาติก็เป็นอีกหนึ่งในแรงกระตุ้นสำคัญและช่วยปลูกฝังนิสัยการออมให้เกิดขึ้น ส่วนใครที่สนใจติดตามรายละเอียดต่างๆ ในวันออมแห่งชาติที่กำลังจะมาถึงได้ที่เฟซบุ๊กเพจ GSB Society และเว็บไซต์ gsb.or.th

อ้างอิง

‘Pizzeria Bianco’ ร้านพิซซ่าของชายผู้เรียนไม่จบที่ได้รับการยกย่องว่าอบพิซซ่าได้ดีที่สุดในโลก

Pizzeria Bianco

Pizzeria Bianco Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

คุยกับ ปลา อัจฉรา ถึงวิธีคิดการทำร้านให้คนรักตั้งแต่ร้านแรกจนถึง Fran’s และ อันเกิม อันก๋า

iberry, กับข้าว’ กับปลา, รส’นิยม, เบิร์นบุษบา, ทองสมิทธ์, ทองสวีท, เจริญแกง, ฟ้าปลาทาน, โรงสีโภชนา

ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ เราได้เดินผ่านร้าน ได้ยินชื่อในบทสนทนา ได้เห็นผ่านฟีดในโลกโซเชียล ได้กินอาหารจากร้านเหล่านี้บ่อยแค่ไหน?

เจ้าของร้านอาหาร ผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารร้านเหล่านี้ทั้งหมดคือ หญิงสาวที่นัยน์ตากลมโตเป็นประกายทุกครั้งที่ใครชวนเธอคุยเรื่องธุรกิจอาหาร ใครต่อใครต่างพากันเรียกเธอว่า ‘เจ้าแม่แห่งวงการร้านอาหาร’

เธอคือ ปลา–อัจฉรา บุรารักษ์

ถึงแม้ว่าเธอจะหัวเราะยิ้มแย้มแกมเขินทุกครั้งที่เราเอ่ยถึงฉายานี้กับเธอ แต่เราเองก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับสมญานามที่ใครต่อใครต่างเล่าขานถึง เพราะในชีวิตประจำวันของคนคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในเมืองคงหนีไม่พ้นที่จะต้องวนเวียนอยู่ในอาณาจักรร้านอาหารของเธอเป็นแน่ 

อย่างในช่วงโควิด-19 ที่หลายร้านได้รับผลกระทบ เธอยังเปิดร้านอาหารเพิ่มเติมทั้ง ‘เจริญแกง’ ที่เน้นขายอาหารประเภทข้าวแกง แต่รสชาติจัดจ้านใช้วัตถุดิบดี ในราคาเข้าถึงง่าย ‘ฟ้าปลาทาน’ ร้านข้าวต้มสบายท้องมีหลากหลายเมนูสารพัดข้าวต้มให้คุณเลือก และ ‘ข้าวต้มกุ๊ยโรงสี’ แบรนด์ย่อยของโรงสีโภชนาที่ทำอาหารหมวดข้าวต้มกุ๊ยมาขายแบบเดลิเวอรี

และทั้งหมดนี้คุณคงต้องไม่ลืมว่า ตอนนี้ร้านรส’นิยม ของคุณปลา อัจฉรา ก็ยังส่ง 3 เมนูข้าวกล่อง ทั้งข้าวกะเพราเนื้อโคขุนคั่วพริกแห้ง, ข้าวพะแนงสันคอเนื้อออสเตรเลีย และข้าวแกงเขียวหวานพริกขี้หนูสันคอเนื้อออสเตรเลีย ไปวางขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านคุณอีก 

นอกจากนั้นในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2022 คุณปลา อัจฉรา และเหล่าผองเพื่อนที่ร่วมกันทำร้านทองสมิทธ์ ให้กลายเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแห่งยุค ร้านที่จุดกระแสก๋วยเตี๋ยวเรือไทยให้เป็นที่นิยมในสยามประเทศได้ริเริ่มทำโปรเจกต์ร้านอาหารแบรนด์ใหม่อีกครั้ง โดยโปรเจกต์ใหม่ครั้งนี้ของเธอและเพื่อนๆ นั้นมีความท้าทายมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะเธอตัดสินใจเปิดแบรนด์ใหม่ถึง 2 แบรนด์ในเวลาเดียวกัน แถมทั้งสองแบรนด์เป็นแนวทางของร้านอาหารที่เธอเองไม่เคยทำมาก่อน

หนึ่งคือ ‘Fran’s’ ร้านอาหารตะวันตกแนว casual แบบกินบรันช์สบายๆ กับเพื่อนสนิท และสองคือ ‘อันเกิม อันก๋า’ ร้านอาหารเวียดนามที่ตั้งใจปรับรสให้ถูกปากคนไทยโดยที่หัวใจยังอยากเป็นเวียดนาม

ทำไมต้องเปิดแบรนด์ใหม่? ทำไมต้องเป็นร้านบรันช์และร้านเวียดนาม? ทำไมต้องตั้งอยู่ในสาทร? ทำไมไม่เปิดแบรนด์ที่มีอยู่แล้วในโลเคชั่นนี้?

ทำไม ทำไม และทำไม

สารพัดสารพันคำถามที่เราอยากถาม และหลายคนคงอยากรู้ว่าทำไมและอะไรที่ดลใจให้คุณปลาเลือกเปิดเส้นทางสายใหม่อย่างร้านอาหารตะวันตกและร้านอาหารเวียดนาม ซึ่งอุปมาได้ว่าเป็นสนามที่เธอไม่เคยลงแข่งมาก่อน

คุณมีแบรนด์อาหารในมืออยู่แล้วมากมาย ทำไมถึงคิดอยากเปิดแบรนด์ใหม่

คือจริงๆ เราไม่ได้วางแพลนว่าจะเปิดแบรนด์ใหม่เมื่อไหร่ แต่มันเป็นจังหวะชีวิตที่เข้ามาประจวบกับว่าเราเป็นคนชอบหาโลเคชั่นด้วยตัวเองเสมอๆ 

ที่ที่ทำร้าน Fran’s กับ อันเกิม อันก๋า อยู่ที่สาทรซอย 1 ซึ่งที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ที่เราผ่านทุกวัน เพราะมันอยู่ในซอยบ้านเรา เราอยู่ตรงนี้มา 7 ปี ตั้งแต่แต่งงานกับพี่ทิม ทุกครั้งที่ขับรถผ่านก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่ เราชอบมาก ก็เล็งไว้ในใจ มองเห็นภาพในใจเลยว่า ถ้าเราได้ที่แปลงนี้มาทำร้านอาหารมันจะต้องสวยมาก แต่ระหว่างที่เรามองมันมาตั้ง 7 ปีคือมันมีคนเช่าอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าวันนึงในช่วงโควิด เราขับรถผ่านที่แปลงนี้แล้วเห็นคนที่เขาเช่าอยู่เขากำลังเก็บของออก เราก็คิดว่าโอกาสของฉันมาแล้ว 

เราก็ให้ทีม BD (Business Development) ของเราไปติดต่อเจ้าของที่เพื่อขอเช่า ปรากฏว่าเจ้าของที่ก็เป็นแฟนคลับของร้านเราอยู่แล้ว เขาก็เชื่อถือในธุรกิจของเรา ก็เลยตกลงใจให้เช่า เราดีใจมากเลย เพราะมันเป็นที่ดินผืนที่เราเล็งไว้นานหลายปีแล้ว เราก็เลยคิดว่าเราจะทำร้านตรงนี้ เอาให้สวยเลย เอาให้สุดปังมากๆ

ซึ่งเราพูดอะไรไว้เราก็ทำแบบนั้นจริงๆ นะ โปรเจกต์แบรนด์ทั้งสองแบรนด์นี้เป็นโปรเจกต์ที่เราทุ่มเทมาก ทำทุกอย่างขึ้นมาใหม่ สิ่งแรกที่เราคิดเมื่อตอนมองไปที่ที่ดินผืนนี้คือ เราคิดว่า “ฉันจะทำอะไรดี” ซึ่งจริงๆ เราจะเลือกเอาแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งในพอร์ตของเรามาใส่เข้าไปเลยก็ได้ และมันก็ง่ายกว่า ทุกอย่างมันมีพร้อมซัพพอร์ตอยู่แล้ว

แล้วทำไมไม่เลือกเอาแบรนด์เดิมมาเปิดตรงนี้ ทั้งที่มันง่ายกว่าอย่างที่ว่า

เราคิดในมุมมองของลูกค้า ถ้าเราเป็นลูกค้าเราจะรู้สึกว่า ถ้าฉันอยากจะกินทองสมิทธ์ทำไมฉันต้องขับมากินถึงสาทร ซอย 1 ด้วย ในเมื่อทองสมิทธ์ก็มีเปิดอยู่ในห้างแทบจะทุกห้างอยู่แล้ว หรือทำไมฉันต้องมากินกับข้าว’ กับปลาถึงที่นี่ เพราะกับข้าว’ กับปลามันก็มีอยู่ทุกที่ ส่วนโรงสีโภชนาก็อยู่แค่ตรงนางลิ้นจี่นี่เอง คือมันใกล้กันไปหมด ถ้าเราเลือกเอาแบรนด์เดิมมาเปิดตรงนี้มันก็ cannibalize กันเอง

ในมุมมองของลูกค้ามันคงไม่ค่อยน่าตื่นเต้น ถ้าเราจะเลือกแบรนด์ที่มีอยู่มาเปิด ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่า เราก็เลยมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะทำอะไรดี แต่ด้วยความที่เราเองเป็นคนในซอยนั้น เราใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว เราก็คุ้นเคยกับไลฟ์สไตล์ของคนตรงนั้น เรารู้ว่าคนแถวนี้มีกำลังซื้อ มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เยอะ มีคอนโดอยู่เยอะ มีออฟฟิศอยู่มากมาย เดินทางสะดวก เข้า-ออกซอยได้หลายทาง

เราก็เลยมานั่งคิดว่า เอ ถ้าตัวเราเป็นลูกค้าเราอยากทานอะไร คือโดยส่วนตัวเราเอง จากที่อยู่ซอยนี้มา เรารู้สึกว่าช่วงเช้าๆ ไม่มีคาเฟ่ให้นั่งเลย กาแฟดีๆ ก็หาไม่ค่อยเจอ เราก็เลยคิดว่า เออ มันมีช่องว่างตรงนี้อยู่นะ ที่ตรงนี้มันน่าจะทำร้านอาหารเช้า ซึ่งเราไม่ได้ทำเซอร์เวย์การตลาดใดๆ เลยนะ ใช้สัญชาตญาณอย่างเดียวเลย

แล้วตอนที่ตั้งชื่อเราก็คิดว่าเอาอะไรดี ชื่อไหนที่มัน catchy จำง่าย สั้นๆ เท่ๆ ก็ไปเจอชื่อ ‘Fran’ ซึ่งเป็นสแลงที่หมายถึง เพื่อน เพื่อนที่ดี เพื่อนสนิท เราก็รู้สึกว่าเออ คำว่า Fran นี่มันเท่ดีและก็ยังไม่มีใครใช้ ก็เลยตั้งชื่อร้านว่า Fran’s แบบมี ’s ซึ่งหมายความว่า เป็นร้านของเพื่อนเรา ร้านที่เป็นเพื่อนกัน แล้วมันก็อิงกับความจริงที่ว่า ร้านนี้มันคือการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนที่มาร่วมกันสร้างสรรค์เมนูอาหารที่ทุกคนมาแชร์ความสนใจร่วมกัน

หลังจากตัดสินใจว่าจะทำร้านชื่อ Fran’s มีอะไรที่ต้องคิดอีกบ้าง

พอได้ชื่อร้านปุ๊บเราก็ให้ทีม iberry ทำแบรนด์ดิ้ง ซึ่งทีมของเราก็เก่งเลย มีรสนิยมดี เราก็เลือกสีเป็นสีโทนเขียว เขียวเข้ม มันก็จะออกมาพ้องกันทุกอย่าง ทั้งชื่อ ทั้งสี ทั้งคอนเซปต์ ประกอบร่างมาเป็นแบรนด์ Fran’s คือ ทั้งเมนูอาหาร ชื่อร้าน คอนเซปต์ การสร้างการตกแต่งร้าน ทุกอย่างในร้านมันต้องไปทางเดียวกัน มันถึงจะมีพลังส่งไปถึงลูกค้าได้

จริงๆ ตั้งแต่ตอนทำเมนูแล้ว เราทำเมนูร้านนี้กันอยู่นานเหมือนกัน เพราะเราอยากให้มันแตกต่างจาก brunch ที่อื่น เราเลยพยายามทำคอนเซปต์ให้มันเป็นเหมือน diner นิดนึง ดูเป็นฝรั่ง จานชามต่างๆ เราก็ออกแบบเอง อยากให้มันดูอินเตอร์ บรรยากาศในร้านเราอยากทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ต่างประเทศ มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามาในร้าน ถ่ายรูปสวย vibe ดี เราบอกกับทางดีไซเนอร์ว่าขอร้านเป็นแบบเรือนกระจก ของานไม้ๆ ให้ร้านดูเท่ๆ หน่อย อินทีเรียร์ไม่ต้องสไตล์ออกมาทางหญิงสาวมาก

ได้ข่าวว่า Fran’s เป็นร้านอาหารที่คุณได้ทำงานร่วมกับเชฟชาลี (Chalee Kader) ด้วย

คือตอนแรกเรามีบริษัท iberry group และอีกบริษัทหนึ่งที่ทำร่วมกับพี่กานต์ (กานต์ กิตติเวช) และพี่ตุ๊ก (อินทิรา แดงจำรูญ) ทีนี้เราอยากเอา facility และศักยภาพของทั้งสองบริษัทมารวมกัน เราก็เลยเปิดบริษัทอีกบริษัทหนึ่งขึ้นมา ก็คือ The Platter Mahanakorn ซึ่งเป็นบริษัทที่เราตั้งใจเอาไว้ว่าในอนาคตจะเป็นบริษัทที่แตกแบรนด์อาหารสัญชาติต่างๆ และก็มีความยินดีที่จะ collaborate กับเชฟเพื่อนเราบางคนที่เขาเชี่ยวชาญในทางใดทางหนึ่ง

เพราะจริงๆ เราเองก็ยินดีที่จะรับคนที่มีความสามารถ นิสัยน่ารัก และมี attitude ในการทำงานตรงกันเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์เราอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็เปิดกว้าง อย่างชาลีเขาก็เป็นเชฟที่มีชื่อเสียง เป็นเพื่อนๆ กัน เป็นเพื่อนกับสามีเราด้วย แล้วเราเคยคุยกับชาลีมาตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้วว่าเราน่าจะทำอะไรด้วยกันนะ แต่ก็ไม่มีโอกาสจะได้ทำอะไรด้วยกันสักที จนเรามาเจอบ้านหลังนี้ และเซตอัพบริษัทใหม่ เราเลยถามชาลีไปใหม่ว่า สนใจมาทำด้วยกันไหม แล้วเขาก็สนใจ เพราะเขามีเวลาว่างช่วงเช้าพอดี มาทำร้านอาหารเช้าได้

กระบวนการทำงานระหว่างทีมของคุณกับเชฟชาลีเป็นยังไง

ชาลีเขาเป็นคนมีพื้นฐานอาหารอยู่แล้วทั้งไทยทั้งตะวันตก และสำหรับอาหารตะวันตกต้องถือว่าเขาเป็นเชฟที่มีฝีมือดีเลย เราก็เลยมาทำ R&D ด้วยกัน ชาลีเขาก็นำเสนอสูตรของเขา เราก็นำเสนอไอเดีย เช่น บอกเขาว่าเราอยากลองขายเบคอนหนาๆ ส่วนตุ๊กก็บอกว่าอยากกินสลัด คือเราก็เอาไอเดียของชาลี ของเรา ของกานต์ ของทีมมารวมกันว่าน่าจะทำแบบนี้

ก็เลยช่วยกันระดมไอเดียออกมาว่าเป็น Brunch & Green น่าจะดีนะ เพราะ Green มันหมายถึงสลัดได้ และยังหมายถึงสวนที่เราเอาร้านเราไปตั้งอยู่ในนั้นได้ แล้วเราก็คิดต่อว่าเมนูอาหารเช้าเราจะขายตอนเย็นได้เหรอ เราก็เลยคิดว่างั้นเราควรมีพาสต้า มีอาหารพวกกริลล์เข้ามาเสริมไหม ก็เลยได้เป็นคอนเซปต์ Brunch & Green ภายใต้ชื่อร้าน Fran’s

ส่วนคอนเซปต์อาหารเราก็บอกชาลีว่าอยากได้แบบ honest food คือ ซื่อสัตย์ทั้งในเรื่องปริมาณอาหารและเรื่องคุณภาพอาหาร และการตกแต่งก็ไม่ต้องเว่อร์วังฟรุ้งฟริ้งเกิน เพราะเราอยากจะมาในแนวแบบ น้อยแต่ดูสวยงามลงตัว ดูดี แล้วทุกคนก็ร่วมด้วยช่วยกันจนออกมาเป็น Fran’s อย่างทุกวันนี้

ซึ่งชาลีเขาก็เก่งมาก เขาทำอาหารออกมาได้สวยและรสชาติดี ถึงแม้ว่าจะมีการปรับจูนกันนิดหน่อย เช่นเราก็บอกเขาไปว่า อยากได้รสจัดกว่านี้ อยากได้กระเทียมหนักๆ หน่อยแบบคนไทยกิน คือเราจะรู้และเข้าใจว่าคนกรุงเทพฯ ชอบรสชาติแบบไหน ก็เอามาประกอบกับความสามารถของเชฟชาลี

คุณคิดว่าคนกรุงเทพฯ ชอบรสชาติแบบไหน

เราคิดว่าคนไทยไม่ชอบรสจืดชืด ไม่ชอบอะไรที่อโรม่าไม่ถึง บางอย่างต้องนุ่ม บางอย่างต้องจัด เอาจริงๆ ก็อธิบายไม่ได้ แต่เรารู้ คือเราคิดว่าเราเองเป็นคนโชคดีที่สิ่งที่เราชอบ คนกรุงเทพฯ ที่เป็นลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบเหมือนกัน เลยสามารถทำอาหารในสเกลแมสได้ คือแน่นอนว่าเราไม่ใช่สายลึก แต่เราเป็นสายป๊อปกว้างๆ เข้าใจง่ายสำหรับคนหมู่มาก

อย่างที่รู้กันว่านอกจาก Fran’s คุณยังเปิดร้าน อันเกิม อันก๋า ในพื้นที่เดียวกัน ทำไมจึงต้องเปิดสองแบรนด์พร้อมกัน

คือที่ดินตรงนั้นมันใหญ่มากเลยนะ ตั้งไร่ครึ่ง มันสามารถทำร้านภายในที่ดินนี้น่าจะได้สัก 2-3 คอนเซปต์เลย และเราก็เห็นว่าในที่ดินนั้นมันมีบ้านเก่า ซึ่งเป็นบ้านเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 อายุน่าจะสักร้อยปีได้ และโครงสร้างมันสวยมาก คือเราเป็นคนชอบงานสถาปัตยกรรมสมัยก่อน ชอบงานวินเทจอยู่แล้ว เราก็เลยอยากจะเก็บมันเอาไว้ในสภาพที่มันเป็น แต่เราก็เข้าไปรีโนเวตบูรณะให้มันสวยขึ้น และพร้อมใช้งานมากขึ้นทั้งพื้น ทั้งผนัง โดยที่เราก็เก็บรายละเอียดทั้งหมดไว้ ให้มันสวยงามแบบเดิม

เราคิดว่าบ้านหลังนี้มันพิเศษมาก แล้วก็เลยคิดว่า เราจะทำอะไรดี ให้มันพ้องกับคอนเซปต์ของบ้านที่มีความเก่า มีความพิเศษ ก็เลยนึกถึงอาหารเวียดนาม ซึ่งจริงๆ พื้นฐานเราเป็นคนชอบทานอาหารเวียดนามมาก แต่เราก็ไม่ได้มีความรู้เลยนะตอนนั้น คือชอบกินแต่ทำไม่เป็น แต่เหมือนเป็นความบ้าระห่ำของเราเหมือนกันที่กระโดดเข้าไปทำทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจ คือเราก็ไม่ได้เป็นคนเวียดนามด้วย อาหารเวียดนามที่ชอบกินก็ชอบอยู่ไม่กี่อย่างเหมือนที่ทุกคนชอบ แหนมเนือง ข้าวเกรียบปากหม้อ เฝอ กินวนๆ อยู่ไม่กี่อย่าง

ทีนี้เราก็ปรึกษาพี่กานต์และพี่ตุ๊ก เพื่อนๆ เราว่า เราอยากทำร้านอาหารเวียดนาม ทุกคนมีความเห็นยังไงกันบ้าง ทุกคนก็บอกว่า เออ ดีนะ เพราะทุกคนก็ชอบกิน ชอบอาหารเวียดนาม พวกเราก็ลองไปเซอร์เวย์ตลาดกันดู แล้วพอตอนจะตัดสินใจทุกคนก็บอกว่า ให้ ‘แม่’ ซึ่งก็คือเรานี่แหละ ฟันธงเลย

กดดันไหมที่เพื่อนให้เราเป็นคนตัดสินใจ

เราว่าตอนนั้นเราก็บ้าบิ่นนิดนึงนะ คือเสี่ยงเลยล่ะ อยู่ดีๆ ก็มาทำอาหารเวียดนามอะไรนี่ ตัวเองก็ไม่ได้จะทำอาหารเวียดนามเป็น ตลาดก็แคบด้วยนะ เอาจริงๆ ในกรุงเทพฯ สมมติลองยกตัวอย่างอาหารมาสัก 10 ชาติที่คนนิยมไปกิน ต้องมีอะไรบ้างล่ะ ญี่ปุ่น ไทย จีน อิตาเลียน ส่วนเวียดนามเนี่ยเราว่าเป็นอันดับท้ายๆ เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจดิฉันก็ไม่รู้

เราก็บอกกับพี่กานต์ว่า เอางี้ไหม ทำไหม ลุยไหม พี่กานต์และเพื่อนๆ ทุกคนก็น่ารักมาก สนับสนุนทุกความคิด คือไม่มีใครเบรกใคร เราก็เลยคิดว่า เอาวะ ทำ

เครียดไหม กลัวไหม หรือรู้สึกอย่างไรตอนที่ทำแบรนด์ใหม่

เราก็ตื่นเต้นนะ เครียดด้วย ทุกคนรู้ว่าปลาเครียด เพราะเรารู้ว่าเรามีฐานลูกค้าอยู่ แล้วลูกค้าเราก็ไม่ใช่ว่ากินหรืออุดหนุนเราแค่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ลูกค้าเราจะวนกินร้านในเครือเรา อย่างเคยมีคนพูดว่า สัปดาห์หนึ่งเขากินอาหารในเครือร้าน iberry อยู่ 3-4 มื้อต่อสัปดาห์ คือกินบ่อย วนไปเรื่อยๆ อย่างวันนี้อยากกินข้าวแกงก็สั่ง เจริญแกง อยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ทองสมิทธ์ คือเราจะวนเวียนอยู่ในชีวิตลูกค้าอยู่พอสมควร เพราะฉะนั้นเราแบกความคาดหวังของลูกค้าสูงมาก เพราะว่าทุกคนก็อยากจะมาลอง แล้วเราทำร้านอาหารมาเยอะมาก เราก็ไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวัง ก็เลยพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด R&D ออกมาให้ดีที่สุด

คุณเริ่มกระบวนการ R&D จากตรงไหน

เราพาน้องๆ ในทีม iberry group ทีมเชฟ R&D, F&B ทุกอย่าง บินไปอีสาน เพราะอีสานจะมีแหล่งที่คนเวียดนามที่อยู่ในเมืองไทยเขาเปิดร้านอาหารอยู่ เราก็ไปเซอร์เวย์กันหลายร้านมาก ทั้งสตรีทฟู้ด ทั้ง fine dining คือไปมาอยู่ 2-3 ครั้งก็สัก 2-3 ทริปได้ ทีนี้ก็พอจะเข้าใจอาหารเวียดนาม และเราก็ได้ไปเจออาจารย์ที่ชื่อหน่อย เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารเวียดนามที่อุบลฯ แกก็เอ็นดูเรา สอนเรา เราก็เข้าใจอาหารเวียดนามมากขึ้น เข้าใจ ingredient เข้าใจว่ากระบวนการทำพื้นฐานมันต้องทำอะไรยังไง 

ในระหว่างที่เราศึกษาเมนูอาหาร เราก็ทำร้านตกแต่งร้านไปด้วยนะ ทำคู่ขนานกันไป แล้วก็มีบินไปที่โฮจิมินห์สัก 2-3 ครั้งได้ บินไปเพื่อไปทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้วอาหารเวียดนาม ไม่ได้มีแค่ที่เราเห็นในเมืองไทย มันมีมากกว่านั้นที่เราอาจไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ก็ไปเซอร์เวย์และไปเรียนทำที่นั่น เรามีเพื่อนที่เป็นคนเวียดนามอยู่ เขาก็พาเราไปเจอเชฟ พาเราไปทดลองทำ ไปทั้งสตรีทฟู้ด ทั้งร้านอาหารที่มีชื่อเสียงหลายที่มาก ใช้เวลาอยู่พอสมควร แล้วตอนที่อยู่เวียดนามเราก็ไปตลาด เราไปตลาดกับทีมทุกวัน เขามีหลายตลาดมาก 

การไปตลาดสำคัญยังไง ทำไมต้องไปทุกวัน

เราต้องการไปดูว่าอุปกรณ์เครื่องชามรามไหเขาใช้อะไร เขากินอะไรกัน เขากินซีฟู้ดแบบไหนกัน วิธีการกินเขาเป็นยังไงกัน ไอ้ร้านที่เห็นที่ตั้งอยู่ริมถนน นั่งเก้าอี้ยองๆ เตี้ยๆ กับพื้น ใช้ทิชชู่เยอะๆ เราไปมาหมด

คือเราลุยมาก เราก็ไปเช่ารถตู้ แล้วพอขับผ่านเห็นร้านอะไรก็บอกคนขับว่า เดี๋ยวๆ จอดๆ จะลองกินร้านนี้ ทุกคนก็สนุกมากแต่ก็เหนื่อยมากเหมือนกัน แต่เราก็ได้รับประสบการณ์การรับประทานที่มันหาไม่ได้ เราเป็นคนที่ยิ่งไปเห็นก็ยิ่งอิน แล้วเราชอบเมืองโฮจิมินห์มาก มันเป็นเมืองที่สวย มีความผสมผสานวัฒนธรรมของฝรั่งเศสกับเวียดนาม ตึกก็สีสัน colorful คือเท่มาก เขาใช้สีได้หลากหลายและมันดูมีเทสต์มาก ก็เลยนำประสบการณ์การเดินทางของเราทั้งเรื่องการกินและในสิ่งที่เราเห็นมารวมเอาไว้ในร้าน อันเกิม อันก๋า ซึ่งพูดได้เลยว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เราคิดว่ามันท้าทายเราที่สุดในบรรดา 10 แบรนด์ที่เราทำมา เพราะมันเป็นอะไรที่เราไม่คุ้นเคย เราต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ เราต้องเรียนรู้วัฒนธรรมเขา แม้แต่การตั้งชื่อในภาษาเวียดนามเราก็ต้องเริ่มใหม่

ที่ผ่านมาคุณเป็นคนตั้งชื่อแบรนด์เองทั้งหมด อย่าง ‘อันเกิม อันก๋า’ ที่เป็นภาษาเวียดนาม คุณก็ตั้งชื่อเองด้วยเหรอ

ใช่ เราก็ไม่ได้เข้าใจภาษาเวียดนามหรอก แต่เราก็ใช้เซนส์ของการตั้งชื่อ ใช้ความรู้สึก ใช้ความจำที่เราได้ไปเห็นมา เราก็เล่นคำ เทียบคำกับภาษาไทยด้วย แต่เราไม่ได้ไปเรียนภาษาเวียดนามจริงจังขนาดนั้นนะ เราก็ใช้ google translate นี่แหละ และมีเพื่อนที่เป็นคนเวียดนาม เราก็ถามเขาเอาว่า คำนี้แปลว่าอะไร คำนั้นแปลว่าอะไร นั่งเรียนคำพื้นฐานง่ายๆ เช่น สีต่างๆ เลข ภาษาที่ใช้ในอาหารการกิน แล้วก็ลองเอาคำมาผสมเล่น ซึ่งเราก็จะทำแบบนี้อยู่แล้วเวลาคิดชื่อแบรนด์

ชื่อร้านเวียดนามกว่าจะออกมาได้เราคิดนานมาก วนไปวนมา จนออกมาเป็น ‘อันเกิม อันก๋า’ ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ‘กินข้าว กินปลา’ มันมีคำว่า ปลา อยู่ในชื่อแบรนด์ เรารู้สึกว่า มันก็น่ารักดีนะ แล้วเวลาเขียนเป็นภาษาอังกฤษมันสวยดี

เราไม่ค่อยอยากใช้ชื่อประเทศหรือชื่อเมืองมาตั้งเป็นชื่อร้าน เพราะมันอาจจะมีปัญหาเรื่องจดลิขสิทธิ์ยาก จด trademark ยาก เลยอยากตั้งชื่อที่มันไม่ได้เป็นชื่อเมืองหรือชื่ออะไรที่มันเป็น common เกินไป

คุณคิดว่า อันเกิม อันก๋า เป็นร้านอาหารเวียดนามแบบไหน

เราคิดว่าอาหารเวียดนามที่ขายในเมืองไทยส่วนมากถูกปรับรสมาแล้ว เพราะลิ้นของคนไทยกับคนเวียดนามมันไม่เหมือนกันเลย ถ้าไปกินอาหารเวียดนามที่เวียดนาม จากที่เราไปกินมาทั่วสารทิศแล้วนะ เรารู้สึกว่ารสชาติอาหารเขาค่อนข้างจืดๆ มากๆ ซึ่งถ้าเราเอารสนั้นมาขายที่เมืองไทย เราน่าจะขายได้ยากมากๆ เลยในกรุงเทพฯ อย่างอาหารไทยพวกเราจะคุ้นชินกับรสชาติที่มัน flavorful มีเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ชัดเจน

เราเลยต้องเอาอาหารเวียดนามมาแล้วก็เอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของคนไทย คือถ้าไม่ปรับเลยเราคิดว่าอยู่ยากจริงๆ คือมันเป็นเส้นบางๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างการรักษาวัฒนธรรมเวียดนามกับการทำรสชาติให้ถูกใจคนไทยด้วย ซึ่งเส้นตรงนั้นมันเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับเรา เพราะถ้ารสจัดเกินไป มันก็จะไม่ใช่อาหารเวียดนามแล้ว ใส่เครื่องปรุงมากเกินไปมันก็จะไม่เรียบง่ายเหมือนอาหารเวียดนามแล้ว เพราะฉะนั้นมันคือการบาลานซ์เรื่องรสชาติ เราคิดว่าทีมเชฟของเราทำออกมาได้ดี

ในการทำเมนูอาหารและ R&D คุณเองเป็นคนตัดสินเลยไหมว่าแบบไหนโอเค แบบไหนไม่โอเค

เราเองเป็นเหมือนกองเชียร์และเป็นคอนดักเตอร์ เราก็จะคอยบอกว่า ยังไม่อร่อย แก้อีก มันต้องอีกนิดนึง ต้องไปอีก บอกให้เขาปรับไปปรับมา วนๆ ทำอาหารเมนูเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้หลายรอบมาก เราใช้เวลาในการทำเมนูอาหารนานมาก แต่ทีมเชฟเรากำลังใจดีมาก พอทำออกมาแล้วเอามาขายเราแล้วไม่ผ่าน ก็บอกกันเองว่า มา เอาใหม่ ทำใหม่ สู้อีก สู้ต่อ

อันเกิม อันก๋า เป็นแบรนด์ที่ทำเมนูนานมาก ด้วยความที่ว่าเราก็ไม่ได้มีความรู้กระจ่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เราไม่ได้เติบโตมาเป็นคนเวียดนาม เรียกได้ว่าเราหยิบมา แล้วเอามาย่อยอีกทีนึง แต่เพราะทีมงานของเราใจสู้มาก ทำมันออกมาจนสำเร็จ ซึ่งเท่าที่มีฟีดแบ็กมาจากลูกค้าในตอนนี้ก็ได้ยินเป็นเสียงชื่นชมมานะ ว่าทำได้ดี จัดจ้านดี

ซึ่งเราดีใจนะที่เรามีลูกน้องที่เข้าใจเรา แล้วก็เห็นภาพเดียวกัน ซึ่งเราว่าอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยที่จะพาเราบรรลุมาตรฐานความคาดหวังของลูกค้า

คุณคิดว่าใครเป็นกลุ่มลูกค้าของ อันเกิม อันก๋า 

คือช่วงนี้เราอยู่ร้านเองทุกวัน เราก็สังเกตเห็นว่าลูกค้ากลุ่มของ อันเกิม อันก๋า ก็จะเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวกับลูกค้าของ iberry group หรือทองสมิทธิ์นั่นแหละ ก็คือเป็นฐานลูกค้าเดิมของเราที่อยากลองรสชาติอาหารเวียดนามในแบบฉบับของปลา แล้วก็มีคนเวียดนามมากินบ้าง ต่างชาติก็เยอะ จริงๆ อาหารเวียดนามค่อนข้างอินเตอร์นะ ถ้าจะให้มองจริงๆ เพราะชาวเวียดนามเขามีการกระจายไปอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทั้งฝรั่งเศส อเมริกา ออสเตรเลีย แล้วคนที่อพยพไปอยู่ตามประเทศต่างๆ เขาก็ทำร้านอาหารเวียดนามกันมากมาย

อาหารเวียดนามเป็นอาหารที่ฝรั่งเข้าใจง่าย รสชาติมันคลีน แล้วฝรั่งทุกคนนะที่เราสังเกตจะชอบเฝอ ชอบ summer roll เวลามาเปิดตรงนี้ก็เลยมีต่างชาติหลายคนมาทาน แล้วเราก็รู้สึกว่าเขาก็ค่อนข้างโอเคนะ

ถึงตอนนี้คุณทำร้านอาหารมาแล้วมากมาย คุณค้นพบหรือยังว่าสิ่งสำคัญในการทำร้านอาหารคืออะไร

เราคิดว่านอกจากฝีมือของรสชาติและคุณภาพของอาหารแล้ว สิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจอาหารคือศิลปะในการสื่อสารกับผู้คนและการบริหารทีม เราเป็นคนโชคดีที่ทีมงานของเราเก่ง และทุกคนแน่นแฟ้นกัน คือเราไม่ได้แค่รักกันเพราะเราเป็นเพื่อนกันทางธุรกิจเท่านั้น แต่มันอยู่ด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวกันไปแล้ว ทั้งพาร์ทเนอร์ ทั้งลูกน้อง ทั้งทีม คือมันเป็นความไว้ใจและให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย เราว่าอันนี้สำคัญมากที่จะทำให้ร้านอาหารและธุรกิจในเครือมันไปได้แบบเป็นปึกแผ่น

ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่เราไม่สามารถทำคนเดียวได้ เราไม่สามารถเอาเงินโยนลงไป สร้างโรงงานแล้วปั๊มออกมา เราทำอย่างนั้นไม่ได้ มันคือสกิลการจัดการคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเราต้องมีทีมที่เข้มแข็งและ ซัพพอร์ตกันและกัน พาร์ทเนอร์เราทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์

จาก 100 เปอร์เซ็นต์ของทุกคนมารวมกัน มันเลยทำให้กลายเป็น 1,000 เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกคนเต็มที่กับทุกๆ ด้าน อย่างพี่กานต์ก็คุมเรื่องรสชาติได้ดีมากและทุ่มเทมาก การทำก๋วยเตี๋ยวมันยากนะที่จะทำให้รสชาติของน้ำซุปทุกสาขา ทุกช่วงเวลาของทุกวันมันเสถียรได้ คือพี่กานต์เขาก็เทพเลยแหละ หรือลูกน้องเราทั้งทีม iberry group ก็โคตรเก่ง เพราะร้านอาหารในเครือเรามีหลายแบรนด์และเมนูมีเป็นร้อยๆ เมนู การรักษามาตรฐานของอาหารทุกสาขาให้มันออกมาสม่ำเสมอ มันต้องใช้ความละเอียด ความใส่ใจและการเทรนนิ่งแบบมหาศาล ไบเบิ้ลของเราค่อนข้างละเอียด และเรามีการติดตามผล

เหมือนทุกคนที่ทำงานกับคุณมีมาตรฐานที่สูงเหมือนกัน เห็นภาพเดียวกัน

คือเราคิดว่าทีมงานของเราเขารู้มาตรฐานรสชาติที่ถูกต้องของพี่ปลา รู้ว่าพี่ปลาต้องการอะไร เพราะฉะนั้นถ้าอะไรที่มันต่ำไปกว่ามาตรฐานตรงนั้นก็ต้องไปปรับแก้ให้มันได้มาตรฐานนั้นแบบเท่าเทียมกันทุกสาขา เพราะลูกค้าทุกคนเขา keep coming back เพราะเขาได้รับสิ่งที่เหมือนกันทุกครั้งที่เขากลับมา เราก็พยายามทำตรงนั้นให้ดีที่สุด

และทีมงานพาร์ทเนอร์ ลูกน้อง คนใกล้ชิด ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันนี้สำคัญ มันจะไม่มีการนินทาลับหลัง และพูดกันได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่โกรธกัน เพราะทุกคนต่างรู้ว่าเป้าหมายปลายทางคือเราต่างอยากให้มันออกมาอย่างดีที่สุด

อุ่นใจไซเบอร์ หลักสูตรและทักษะดิจิทัลที่ AIS ผลักดันให้เป็นแบบเรียนของเยาวชน

ทุกวันนี้สื่อโซเชียลและเครื่องมือด้านดิจิทัลเทคโนโลยีต่างๆ เป็นเหมือนกับปัจจัยที่ 5 ในชีวิตที่ผู้คนขาดไม่ได้ โครงการ อุ่นใจไซเบอร์ จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โครงการ อุ่นใจไซเบอร์ จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกที่ทำได้สารพัดรูปแบบ สารพันช่องทาง ไปจนถึงการช้อปปิ้ง สั่งอาหาร จองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน จ่ายบิล ซื้อของใช้ หรือแม้แต่ซื้อรถ ซื้อบ้าน ที่เดี๋ยวนี้สามารถทำได้บนมือถือภายในไม่กี่วินาที

แต่อย่างไรก็ตามประโยชน์ก็มาพร้อมกับ ‘โทษ’ หากผู้ใช้ไม่เข้าใจวิธีการใช้งานและแนวทางรับมือที่ถูกต้องและเหมาะสมก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาที่เราเรียกว่า ‘ภัยไซเบอร์’

ภัยไซเบอร์ทุกวันนี้มาในสารพัดรูปแบบ ทั้งการกลั่นแกล้งพาทัวร์มาลง การล่อลวงออกไปพบคนแปลกหน้า การโกงเงินจากการซื้อของ การทิ้งร่องรอยการใช้งานจนนำมาซึ่งการขโมยรหัสผ่าน แฮ็กข้อมูลส่วนตัว แก๊งคอลเซนเตอร์มิจฉาชีพที่ยังหลอกผู้คนอยู่ทุกวันนี้ หรือแม้แต่การล้อเลียนกันบนโซเชียล สร้างปมด้อยให้คนคนนั้นจนเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย

เรื่องนี้ทำให้ AIS บริษัทโทรคมนาคมเริ่มโครงการ ‘อุ่นใจไซเบอร์’ มาตั้งแต่ปี 2562 ถือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ออกมาพูดถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานในช่วงเวลาที่คนไทยมีอัตราการใช้งานอินเทอร์เน็ตและมือถือค่อนข้างสูง

ที่ผ่านมา AIS ได้ใช้ภารกิจนี้ในการร่วมสร้างสังคมดิจิทัลให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นผ่านการทำงานในสองมิติ คือ หนึ่ง–นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ผู้คนใช้งานได้อย่างปลอดภัย  และสอง–การสร้างภูมิปัญญาในลักษณะขององค์ความรู้เพื่อส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์

และล่าสุด คือการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ครั้งแรกของไทยซึ่งถูกนำไปใช้จริงแล้วกับคุณครูและนักเรียนทั่วประเทศไทย

หลักสูตรที่ว่านี้มีหน้าตาเป็นยังไง? ทำยังไงให้นำไปใช้จริงได้? และทำไมบริษัทโทรคมนาคมถึงไม่เน้นแค่การพัฒนาบริการแต่ยังลงมือทำหลักสูตรด้านดิจิทัลให้เด็กๆ และคุณครูด้วย? คอลัมน์ In Good Company ชวนพาไปหาคำตอบ

อุ่นใจไซเบอร์

พัฒนาคุณภาพเครือข่ายพร้อมกับคุณภาพชีวิต

“เป้าหมายการทำงานของ AIS  ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาคุณภาพเครือข่ายเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานเท่านั้นแต่เราตระหนักถึงการสร้างสังคมดิจิทัลให้ดีขึ้นด้วย” คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เล่าถึงความตั้งใจขององค์กร

 “ดังนั้นตั้งแต่ปี 2562 เราจึงเปิดตัวโครงการอุ่นใจไซเบอร์เพื่อเป็นแกนกลางสร้างเครือข่าย ชวนทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวกให้กับสังคมดิจิทัลของไทย 

“วันนี้ AIS จึงร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ เช่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขมาพัฒนาเนื้อหาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมี สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการมาช่วยรับรองให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรด้านการศึกษา  พร้อมให้นักเรียนสามารถเข้ามาเรียนได้ และสุดท้ายกระทรวงมหาดไทยที่จะช่วยพวกเราส่งต่อหลักสูตรไปยังโรงเรียนในสังกัด”

อุ่นใจไซเบอร์ พัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลด้วยหลักสูตร ‘4P4ป’

สำหรับเนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและผู้ร่วมพัฒนาสูตรดิจิทัลอุ่นใจไซเบอร์ เล่าว่าที่มาของหลักสูตรอ้างอิงมาตรฐานการพัฒนาทักษะทางดิจิทัลของ DQ Framework (Digital Intelligence Quotient) และได้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตมาปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย จนสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ หรือที่เรียกกันด้วยชื่อย่อง่ายๆ ว่า ‘4P4ป’ ได้แก่

1. Practice : ปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม

2. Personality : แนะนำการปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์

3. Protection : เรียนรู้การป้องกันภัยไซเบอร์บนโลกออนไลน์

4. Participation : รู้จักการปฏิสัมพันธ์ด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนออนไลน์อย่างเหมาะสม

คุณครูและนักเรียนจะได้เรียนหลักสูตรผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล LearnDi หรือแอพพลิเคชั่น อุ่นใจ CYBER โดยนักเรียนจะต้องทำข้อสอบจริงให้ได้คะแนนมากกว่า 70% ขึ้นไปถึงจะสามารถผ่านและจบหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ได้ 

อุ่นใจไซเบอร์
อุ่นใจไซเบอร์

ช่วงต้นปี 2565 หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ได้เริ่มนำไปใช้แบบนำร่องกับการเรียนการสอนบางแห่งในระบบ Sandbox หรือระบบทดสอบแบบเสมือนจริง มีครูและนักเรียนที่เข้าเรียนและสอบผ่านไปแล้วกว่า 160,000 คน ถือเป็นความสำเร็จที่ ศ. ดร.สุวิทย์มองว่าเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่อยากให้ทุกคนเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ 

“ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการทำงานร่วมกันของคณาจารย์ บุคลากร ด้วยการใช้ศักยภาพของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ คือพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเรียนรู้ในหลักสูตรนี้จะช่วยให้ทุกคนที่ปรับตัวในการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล เป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพและใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย”

หลักสูตรความหวังใหม่ของการศึกษา

จากทดลองตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา AIS และทุกภาคีก็มั่นใจแล้วว่าหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์พร้อมที่จะต่อยอดไปสู่การศึกษาในวงกว้างแล้ว

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการดำเนินโครงการการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลหลักสูตร ‘อุ่นใจไซเบอร์’ ระหว่าง AIS กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อผลักดันให้หลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ เข้าถึงคุณครูและนักเรียนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

อุ่นใจไซเบอร์

แล้วต่อไป อุ่นใจไซเบอร์จะไปอยู่ตรงไหนของระบบการศึกษาล่ะ

วันนี้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ผ่านการรับรองมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และกำลังเตรียมต่อยอดให้เป็นหลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานสอน

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเล่าว่าหลักสูตรนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการศึกษาไทยที่จะก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 

“กระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าขยายความครอบคลุมการเรียนการสอนไปให้ได้มากที่สุดเพื่อทำให้บุคลากรทางการศึกษา และเยาวชนไทยมีความรู้ทักษะดิจิทัลที่เท่าทันภัยไซเบอร์ที่แฝงมากับการใช้งานอินเทอร์เน็ต รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นสูงสุด”

หลังจากนี้ ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา จากสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ จะนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ไปใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนกับนักเรียนไทยทั่วประเทศ ทั้งโรงเรียนในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ด้วยเช่นกัน

‘พลเมืองดิจิทัล’ เป้าหมายการศึกษาไทยในอนาคต

ทั้งหมดนี้คือที่มาและความตั้งใจของหลักสูตรที่ต้องการก้าวให้ทันยุคที่เปลี่ยนไป ในยุคที่ผู้คนกลายเป็นชาวเน็ต เติบโตมาพร้อมกับอุปกรณ์ดิจิทัลและการสื่อสารในโลกออนไลน์เป็นเรื่องปกติจึงจำเป็นอย่างมากที่การปลูกฝังการเข้าถึงเทคโนโลยีและเท่าทันภัยออนไลน์ในทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องเดินหน้าต่อ 

คุณสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS เล่าว่าปัจจุบันสื่อออนไลน์และดิจิทัล ได้กลายเป็นช่องทางสื่อสารหลักในชีวิตประจำวันของคนไทย ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันบนโลกออนไลน์ให้คนไทยมีความรู้ในการใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก 

“ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนา cyber wellness เพื่อเป้าหมายในการสร้างพลเมืองดิจิทัลในอนาคตได้” คุณสายชลสรุป

หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในระบบอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันนี้ สำหรับประชาชนทั่วไปหากใครสนใจหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ สามารถเรียนรู้และสร้างทักษะทางดิจิทัลแบบฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ learndiaunjaicyber.ais.co.th