Year: 2022
หยิบสินค้า 9 ชิ้นที่เป็นที่สุดของ The North Face Thailand มาใส่ตะกร้า
คุยกับ Copper Buffet ร้านที่ยอดเสิร์ฟซุปเห็ดทรัฟเฟิลมากกว่าน้ำเปล่าและคิวยาวเป็นเดือน
ทำไมขายแค่ 4 ชั่วโมง? คุยกับผู้อยู่เบื้องหลังและฟังเรื่องราวกว่าจะมาเป็น In-N-Out Burger
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องกินนั้นอยู่ในสายเลือดนักชิมชาวไทย โดยเฉพาะกับความพยายามในการลิ้มลองรสชาติของกินแบรนด์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีทั้งโดนัทแบรนด์ดังจากอเมริกาอย่าง Krispy Kreme หรือขนมปังอบสัญชาติมาเลเซียอย่าง Rotiboy ก็เคยสร้างความสั่นสะเทือนและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนไทยไม่ลดราวาศอกให้ใครทั้งสิ้นถ้าเป็นเรื่องการต่อคิวเพื่อซื้อของอร่อย
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ที่ชั้น G ของห้าง Siam Discovery เราได้เห็นปรากฏการณ์การต่อคิวแบบนั้นอีกครั้ง กับการเปิดป๊อปอัพสโตร์ของ ‘In-N-Out Burger’ แบรนด์เบอร์เกอร์ชื่อดังจากฝั่งเวสต์โคสต์ของอเมริกา
การเปิดป๊อปอัพสโตร์คราวนี้ของ In-N-Out Burger นั้นไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาเลือกเปิดในวันและเวลาที่ถือว่าปราบเซียน โดยเปิดในวันธรรมดาช่วงกลางสัปดาห์และเปิดเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 12:00-16:00 น. เท่านั้น
เราไปถึงที่หน้าร้านประมาณ 14:00 น. แต่ปรากฏว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดที่เตรียมมาขายหมดเสียแล้ว เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ว่า วงการการต่อคิวซื้อของกินของคนไทยไม่แพ้ชาติใดจริงๆ
เท่ากับว่า In-N-Out Burger ขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง แถมยังมีผู้เดินทางมายังหน้าร้านอย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะนำเชือกกั้นมากั้นทางเข้าร้านแล้วก็ตาม
ถึงจะผิดหวังจากการได้ชิมเบอร์เกอร์ แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ได้พบกับชาวแคลิฟอร์เนียน ลูอิส เออร์นานเดซ (Luis Hernandez) ผู้จัดการฝ่ายอีเวนต์ต่างประเทศของ In-N-Out Burger อีกหนึ่งผู้อยู่เบื้องหลังป๊อปอัพสโตร์ที่เราเห็น
หลายคำถามที่ค้างคาใจจากปรากฏการณ์ตรงหน้าจึงคลี่คลายเมื่อเราได้สนทนากับเขา ซึ่งหลายคำถามเราเชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยเช่นกัน

ลูกค้าชาวไทยมากันมากมาย อยากรู้ว่าทำไมตัดสินใจเปิดขายแค่ 4 ชั่วโมง
คือเราคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วนะ (ยิ้ม)
ความจริงก็คือว่า จำนวนคนที่เราพามาจากแคลิฟอร์เนียค่อนข้างจำกัด เราพามาได้เพียงแค่บางคนและบางส่วนเท่านั้น แถมวัตถุดิบบางอย่าง เช่น พวกขนมปัง ชีส พริกดอง และซอสต่างๆ เราก็ส่งตรงมาจากแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นเราคำนวณแล้วว่าจากจำนวนคนที่เราพามาและจำนวนวัตถุดิบที่เรานำมา 4 ชั่วโมงน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม และคุณลองดูสิ มันเป็นป๊อปอัพที่สวยงามและประสบความสำเร็จมากเลยนะวันนี้ คนเป็นร้อยๆ คนมาต่อคิวเพื่อรอกินเบอร์เกอร์เรา มันเป็นภาพที่งดงามมากนะ
หมายความว่าคนที่อยู่ในครัวในร้านป๊อปอัพวันนี้ล้วนมาจากแคลิฟอร์เนีย
ใช่ พวกเขาถูกส่งตรงมาจากแคลิฟอร์เนีย เราเอาคนที่มีประสบการณ์สูงและสามารถทำเบอร์เกอร์ได้อย่างยอดเยี่ยมมาเพื่อวันนี้วันเดียวเลย
กำลังคนและวัตถุดิบที่เตรียมมาวันนี้ผลิตเบอร์เกอร์ได้มากแค่ไหน
เราเตรียมมาสำหรับผลิตเบอร์เกอร์ประมาณ 600 ชิ้น ทั้งเฟรนช์ฟรายส์ก็เช่นกัน ประมาณ 600 ชุด
แล้วทำไมเลือกเปิดวันธรรมดาซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงาน
ผมว่าผลลัพธ์มันออกมาสวยงามนะ กับการมาเปิดวันธรรมดา ผมคิดว่าถ้ามาเปิดวันหยุดนี่สงสัยคนคงจะมากมายมหาศาลกว่านี้แน่เลย (ยิ้มกว้าง)
อะไรทำให้คุณตัดสินใจเลือกมาเปิดป๊อปอัพสโตร์ที่กรุงเทพฯ
แล้วทำไมเราจะไม่มาล่ะ (หัวเราะ) คือจริงๆ แล้วเราอยากออกไปท่องโลกกว้างอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ แล้วกรุงเทพก็เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมทั้งอาหาร ทั้งผู้คน ดังนั้นเราแฮปปี้ที่จะมาที่นี่อยู่แล้ว
จากภาพที่เห็น คุณคิดยังไงกับลูกค้าชาวไทย
จากจำนวนคนวันนี้ ผมว่าพวกเขาดูรักเบอร์เกอร์ของเรานะ พวกเขาดูแฮปปี้มาก ยิ้มกว้างกันทุกคนเลยหลังกินเสร็จ ผมคิดว่าพวกเขาคงจะรู้สึกยอดเยี่ยม และนั่นคือความสำเร็จของผมและทีมแล้ว ผมนี่ซึ้งใจเลยตอนเห็นคนเป็นร้อยๆ มาต่อแถวเพื่อรอกิน Double Double
สุดท้าย In-N-Out Burger มีแผนจะมาเปิดร้านที่เมืองไทยบ้างไหม
ณ ตอนนี้เรายังไม่มีแผนแน่นอนว่าจะมาเปิดร้านที่ไทยเมื่อไหร่ แต่วันนี้ที่เรามานี่เราลองมาทดลองตลาดดูก่อน ถือเป็นการวิจัยตลาดไปด้วย ซึ่งก็อย่างที่เห็นเลย การตอบรับดีมากเลยในวันนี้


หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ทำให้เรานึกถึงการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นหลักหลายพันไมล์จากอเมริกามาถึงประเทศไทยเพื่อมาเปิดป๊อปอัพสโตร์
การที่ร้านเบอร์เกอร์จากแคลิฟอร์เนียนี้ได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามหาใช่ความบังเอิญ หากแต่มันเกิดจากการใส่ความตั้งใจในรายละเอียดและพิถีพิถันทุกขั้นตอนในการทำเบอร์เกอร์แต่ละชิ้น ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์
California Burger
ปี 1948, บอลด์วินปาร์ก, แคลิฟอร์เนีย
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดมาจาก แฮร์รี่ สไนเดอร์ (Harry Snyder) ชายหนุ่มเชื้อสายแคนาเดียนวัย 35 ที่ย้ายถิ่นที่อยู่จากซีแอตเทิลมาอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย หลังแต่งงานกับภรรยา เอสเทอร์ จอห์นสัน (Esther Johnson) เขาหวังว่าวิชาความรู้ที่เขาเคยมีติดตัวมาจากการทำงานร้านเบอร์เกอร์ที่ซีแอตเทิลจะช่วยให้เขาสามารถเปิดร้านเบอร์เกอร์และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนรักของเขาได้ที่นี่–แคลิฟอร์เนีย
ทุกๆ เช้าแฮร์รี่จะเดินไปจ่ายตลาดเพื่อเลือกซื้อเนื้อและผักด้วยตัวเอง เขาหยิบจับผักกาดทุกต้น พลิกมันไปมาเพื่อดูว่ามันสวยพอหรือยัง ยังสดดีอยู่ใช่ไหม ก่อนจะจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน แฮร์รี่ทำแบบเดียวกันนี้เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อเช่นกัน แฮร์รี่พลิกดูเนื้อทีละชิ้นๆ ว่าสดที่สุดหรือเปล่า คุณภาพของเนื้อมันดีพอที่เขาจะเอามาทำเบอร์เกอร์ในร้านแล้วใช่ไหม ก่อนเขาจะหยิบแบงก์ดอลลาร์จ่ายเงินซื้อเนื้อกับพ่อค้า
เมื่อกลับมาถึงที่ร้านแฮร์รี่จะเตรียมวัตถุดิบเพื่อให้พร้อมที่จะขายเบอร์เกอร์เองทุกอย่าง เนื้อทุกชิ้นที่ถูกปั้นจนเป็นก้อนก่อนย่างลงบนเตาก็มาจากการปั้นมือของแฮร์รี่ทั้งสิ้น ในขณะที่เอสเทอร์ ผู้เป็นภรรยาก็ขะมักเขม้นในการดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับสามี
อาจเพราะเงินทุนของแฮร์รี่ที่ยังมีไม่มากในตอนนั้น ด้วยทุนที่มีอย่างจำกัดและเขาเพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว แฮร์รี่จึงต้องเปิดร้านขายเบอร์เกอร์ในพื้นที่เพียงแค่ประมาณ 10 ตารางฟุตในบอลด์วินปาร์ก แคลิฟอร์เนีย พื้นที่เพียงแค่ประมาณ 10 ตารางฟุตเท่านั้น หากจินตนาการตามคงนึกไม่ออกว่าพื้นที่เพียงเท่านั้นจะสามารถเปิดร้านอาหารได้ยังไง
การขายเบอร์เกอร์ในร้านที่มีพื้นที่จำกัดขนาดนี้จึงไม่สามารถมีโต๊ะอาหารบริการลูกค้าให้ลูกค้านั่งกินในร้านได้ เพราะด้วยลำพังส่วนหลังบ้าน ส่วนครัว ส่วนเคาน์เตอร์ของร้านก็กินพื้นที่ไปมากแล้ว แฮร์รี่จึงทำได้เพียงแค่ขายเบอร์เกอร์แบบ take away ก็คือลูกค้าต้องขับรถมาที่ร้าน จอดรถ แล้วเดินมาที่ร้านเพื่อซื้อเบอร์เกอร์

10 ตารางฟุต แห่งความท้าทาย
ด้วยหัวใจความเป็นนักธุรกิจและความเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หรือถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้ เราคงเรียกว่าแฮร์รี่เป็นคนที่มี growth mindset คือเชื่อในการทำงานหนัก ใส่ใจรายละเอียดและไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ในเมื่อปัญหาที่เขาเผชิญอยู่คือพื้นที่อันจำกัด ทำให้ลูกค้าไม่มีที่นั่งกินในร้าน ไหนลูกค้าจะต้องจอดรถเพื่อเดินลงมาซื้อเบอร์เกอร์อีก มันดูเหมือนกับว่าลูกค้าต้องใช้ความพยายามหลายขยักเพื่อซื้อของของเขาเสียเหลือเกิน
ทีนี้ เขาจะทำยังไงเพื่อให้ลูกค้าสะดวกและสบายกว่านี้ ในพื้นที่ที่ยังมีจำกัดอยู่เพียงแค่ 10 ตารางฟุต
แฮร์รี่ใช้เวลาในตอนเช้าไปจ่ายตลาด ตอนกลางวันทำเบอร์เกอร์ และตอนกลางคืนในโรงรถ สิ่งที่แฮร์รี่ทำในทุกค่ำคืนคือ เขาพยายามที่จะพัฒนาลำโพงให้เป็นลำโพงที่สามารถสื่อสารได้สองทาง พูดง่ายๆ คือลำโพงจะต้องทำหน้าที่ส่งเสียงออกมาได้เมื่อเขาพูด และลำโพงตัวเดิมนั้นเองจะต้องทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนส่งเสียงกลับไปหาคนอีกฝั่งได้ด้วย
และแฮร์รี่ก็ทำสำเร็จ!
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มที่หลงรักการทำเบอร์เกอร์จนเปิดร้านของตัวเอง จะสามารถดัดแปลงอุปกรณ์ในโรงรถให้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ต่อมากลายเป็นสิ่งที่พลิกโฉมหน้าวงการอาหารฟาสต์ฟู้ดและวงการ drive-thru ได้ไปตลอดกาล

เปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็น drive-thru
สิ่งที่แฮร์รี่คิดค้นในวันนั้นมันอนุญาตให้เขาสามารถติดตั้งเจ้าลำโพงตัวนี้ไว้ที่บริเวณร้าน และปลายสายอีกข้างติดตั้งอยู่ในครัว ลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงจากรถแต่สามารถสั่งเบอร์เกอร์จากคนในครัวได้ทันที ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนรถ ลูกค้าเพียงแค่ลดกระจกลงเพื่อสั่งเบอร์เกอร์ จ่ายเงินและรับเบอร์เกอร์ไปกินอย่างอร่อยได้ ทั้งหมดนี้ลูกค้าไม่แม้แต่กระทั่งต้องดับเครื่องและลงจากรถเลย การขายแบบ drive-thru อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาในโลกยุคนี้แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 74 ปีที่แล้ว นี่คือเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจของแฮร์รี่เลยทีเดียว
เราอาจพูดได้ว่า แฮร์รี่กำลังหาช่องทางเปลี่ยนวิกฤตของร้านเขาที่มีพื้นที่น้อย ไม่มีโต๊ะนั่งกิน ให้กลายเป็นโอกาส คือ ลูกค้าไม่ต้องนั่งกินในร้านก็ได้แต่คุณจะสะดวกสบายเมื่อขับรถมาซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านเรา
ด้วยความพิถีพิถันในการทำเบอร์เกอร์ของแฮร์รี่ที่ใส่ใจในรายละเอียด ด้วยนวัตกรรมลำโพงสื่อสาร 2 ทางที่ทำให้แฮร์รี่สามารถขายแบบ drive-thru ได้ และด้วยยุคนั้นที่สหรัฐอเมริกาเริ่มมีทางหลวงเกิดขึ้นมากมายในประเทศ นั่นหมายความว่า เหล่าอเมริกันชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวข้ามเมืองข้ามรัฐกันได้อย่างสะดวกสบาย
ด้วยทุกเหตุที่ว่า ทำให้ผลของมันเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ In-N-Out Burger
ในยุคนั้นเองที่ธุรกิจ In-N-Out Burger กลายเป็นจุดพักผ่อนและพักรถของเหล่าบรรดาผู้ใช้ถนนและทางหลวง ด้วยเทคโนโลยีลำโพงสื่อสารสองทางและการสร้างช่องทางการซื้อ- ขายแบบ drive-thru ของแฮร์รี่

Double-Double ทุกอย่างต้องคิดแบบดับเบิล
แฮร์รี่และเอสเทอร์สามารถขยายธุรกิจ In-N-Out ได้เรื่อยๆ อย่างเนิบช้า อาจเป็นเพราะว่าสองสามีภรรยาพยายามทำให้ In-N-Out Burger เป็นธุรกิจที่บริหารกันเองและจัดการกันเองในครัวเรือนมากที่สุด ตั้งแต่วันแรกๆ หรือแม้ในวันที่สามารถขยายสาขาออกไปได้หลายต่อหลายสาขา ทั้งแฮร์รี่และเอสเทอร์ก็ยังคงตั้งใจและใส่ใจกับคุณภาพของเบอร์เกอร์อยู่เสมอ เพราะพวกเขาถือว่านี่คือหัวใจหลักของธุรกิจ In-N-Out Burger
และเบอร์เกอร์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1963 และยังคงขายดีในปัจจุบันทั้งในอเมริกาและทั้งป๊อปอัพสโตร์ที่เปิดที่ไทย คือ Double-Double
เจ้าเบอร์เกอร์ Double-Double มีลักษณะตามชื่อแบบตรงไปตรงมา คือประกอบไปด้วยเนื้อสองก้อน อเมริกันชีสสองแผ่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หอมใหญ่ และซอส ทุกวัตถุดิบถูกจัดหนักจัดเต็มดับเบิลแบบคูณสองสมชื่อ
ถ้าตอนที่แฮร์รี่สร้างลำโพงสื่อสารสองทางในปี 1948 ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เปิดทางให้ธุรกิจ In-N-Out Burger สามารถเปิดตลาดกับกลุ่มคนที่ขับรถมาซื้อเบอร์เกอร์และเป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าแล้ว อีก 23 ปี ต่อมา ในขณะที่ In-N-Out เริ่มมีฐานแฟนเบอร์เกอร์มากมาย In-N-Out Burger สามารถขยายสาขาไปได้นับสิบสาขา แถม In-N-Out ได้กลายเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ที่สามารถแย่งชิงพื้นที่ในใจคอเบอร์เกอร์ในฝั่งเวสต์โคสต์ แฮร์รี่เองยังคงไม่หยุดความคิดสร้างสรรค์ของเขา

เมื่อเขารู้ดีแก่ใจว่าธุรกิจของเขาเกิดมาจากการขายแบบ drive-thru นั่นหมายความว่าลูกค้าของเขาจำนวนไม่น้อยคือลูกค้าที่ขับรถ ไม่ว่าจะขับมาจากพื้นที่ใกล้ๆ ร้าน In-N-Out Burger หรือลูกค้าที่มาจากต่างเมืองแล้วขับรถมาเที่ยว จึงจอดแวะพักผ่อนที่ In-N-Out Burger เพื่อกินเบอร์เกอร์
แฮร์รี่จึงมีไอเดียว่า มันคงจะดีไม่น้อยถ้ากระดาษที่เสิร์ฟบนถาดรองจะเป็นมากกว่ากระดาษรองถาดเพียงเพื่อกันถาดเลอะ แฮร์รี่จึงตัดสินใจเปลี่ยนลายพิมพ์บนกระดาษรองถาดให้เป็นแผนที่ หมายความว่า หากลูกค้าคนไหนขับรถมาจากต่างเมืองแล้วมองหาแผนที่คุณสามารถหยิบกระดาษรองถาดไปเป็นแผนที่เที่ยวเมืองที่คุณไปอุดหนุน In-N-Out Burger ได้เลย
แฮร์รี่เสียชีวิตในปี 1976 ในขณะที่แฮร์รี่เสียชีวิต In-N-Out Burger สามารถขยายสาขาไปได้ถึง 18 สาขา หลังจากนั้น ริช สไนเดอร์ (Rich Snyder) ลูกชายคนเล็กของเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดกิจการและสามารถขยาย In-N-Out Burger ออกไปได้จนถึง 93 สาขาในปี 1993 แต่ริชก็ต้องมาเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน
ต่อมาทั้งเอสเทอร์และกาย (Guy Snyder) พี่ชายของริช จึงเข้ามาบริหารกิจการแทนและนำพา In-N-Out Burger ขยายสาขาได้ถึง 140 สาขา และมีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านดอลลาร์
ต่อมาเมื่อทั้ง 2 เสียชีวิต กิจการทั้งหมดจึงถูกส่งต่อไปยังมาร์ก เทย์เลอร์ (Mark Taylor) ผู้มีศักดิ์เป็นญาติของตระกูลสไนเดอร์ จนกระทั่งปี 2010 ลินซี สไนเดอร์ (Lynsi Snyder) หลานแท้ๆ ของแฮร์รี่จึงมารับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดของ In-N-Out Burger ด้วยวัย 27 ปี ในขณะนั้น In-N-Out Burger มีอยู่ทั้งหมด 251 สาขาและมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 550 ล้านดอลลาร์ และลินซียังคงดูแล In-N-Out Burger อยู่จนถึงปัจจุบัน

เบอร์เกอร์และเงินเฟ้อ
คำถามสำคัญที่ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับ In-N-Out Burger คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาขายของเบอร์เกอร์ที่ดูไม่สัมพันธ์กับค่าเงินเฟ้อเอาเสียเลย
ในขณะที่เงินเฟ้อมากขึ้นทุกปี และราคาเบอร์เกอร์จากแบรนด์อื่นปรับตัวสูงขึ้นตามค่าเงินเฟ้อ แต่ In-N-Out Burger กลับปรับราคาขึ้นเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเงินเฟ้อในประเทศ
คำถามสำคัญคือ In-N-Out Burger ยังคงรักษามาร์จินกำไรไว้ได้ยังไง?
Forbes เคยวิเคราะห์คำตอบของคำถามนี้เอาไว้ว่า น่าจะเกิดจากการขายเมนูอันจำกัดของ In-N-Out Burger เมื่อ In-N-Out Burger มีเมนูไม่มาก นั่นหมายความว่าแบรนด์สามารถซื้อวัตถุดิบล็อตใหญ่มากๆ ในราคาต่ำได้ แถม In-N-Out Burger ยังทำการหาวัตถุดิบและดูแลการขนส่งวัตถุดิบไปยังสาขาต่างๆ ด้วยตนเอง ตรงนี้เองที่ค่าใช้จ่ายน่าจะลดลงประมาณ 3-5% ต่อปี ต่อมาคือเรื่องสถานที่ที่ In-N-Out Burger ไปตั้งร้านอยู่ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ที่ In-N-Out Burger เป็นเจ้าของเอง ตรงนี้ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีไปได้อีกประมาณ 6-10% ต่อปี
ทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดจากการวิเคราะห์คงไม่สู้การได้ฟังปากคำจากปากของคนที่นั่งแท่นบริหารสูงสุดของ In-N-Out Burger ว่าเธอมีมุมมองยังไงในการนำพา In-N-Out Burger ให้เดินไปข้างหน้าในสมรภูมิธุรกิจฟาสต์ฟู้ด
“ฉันคิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการคิดโปรดักต์ใหม่ๆ นะ…เราทำเบอร์เกอร์แบบเดิม สูตรเดิม เฟรนช์ฟรายส์ก็สูตรเดิม…แต่เราดูแลทุกอย่างแบบละเอียดยิบ และเรามีกลยุทธ์ เราไม่ประนีประนอมในเรื่องนี้”
ลินซี สไนเดอร์ หลานสาวแท้ๆ ของแฮร์รี่ผู้สืบทอดเจตนาของคุณปู่ให้สัมภาษณ์กับ Forbes ถึงการบริหารบริษัทมูลค่า 30,000 ล้านในยุคที่การแข่งขันธุรกิจอาหารช่างเข้มข้น

In-N-Out คือหนึ่งในชาวฮอลลีวูด
นอกจากการเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ขวัญใจชาวเวสต์โคสต์แล้ว In-N-Out Burger ยังอาจถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของแคลิฟอร์เนีย จนหลายต่อหลายปีที่ In-N-Out Burger ได้ถูกนำไปเสิร์ฟให้กับเหล่าคนดัง ดารา ทีมงานที่ได้เข้าขิงรางวัลออสการ์และเข้าร่วมงานประกาศผล
เช่นในปี 2014 Vanity Fair บันทึกสถิติไว้เลยว่ามีการเสิร์ฟ In-N-Out Burger ถึง 1,424 ชิ้นในงานปาร์ตี้หลังประกาศผลรางวัลออสการ์ หรือจะในปี 2022 ที่ In-N-Out Burger ยังคงได้รับเชิญให้ไปเสิร์ฟเบอร์เกอร์ในงานปาร์ตี้หลังประกาศรางวัลจนนักแสดงชื่อดังชาวออสเตรเลีย Rebel Wilson ถึงกับเอ่ยปากว่า
“ฉันว่างานปีนี้ที่น่าสนใจนี่เพราะว่ามี In-N-Out Burger มาเสิร์ฟในงานเลยนะ…ฉันรัก In-N-Out เพราะมันช่างแคลิฟอร์เนีย และมันช่างฮอลลีวูดเอาเสียเหลือเกิน”
นอกจากจะเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ขวัญใจชาวเวสต์โคสต์ของอเมริกา ดูเหมือนกับว่าวันนี้ In-N-Out Burger ได้กลายเป็นตัวแทนฝั่งอาหารจากรัฐแคลิฟอร์เนีย
คิดถึงแคลิฟอร์เนีย คิดถึง In-N-Out Burger
ถือเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ที่สร้างทั้งรอยยิ้มและความอิ่มเอมในหัวใจและในกระเพาะของชาวฮอลลีวูด ชาวเวสต์โคสต์ รวมถึงวันนี้ที่ In-N-Out Burger เดินทางมาเสิร์ฟรอยยิ้มไกลถึงใจชาวกรุงเทพฯ
แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้นก็ตาม
อ้างอิง
- in-n-out.com/history
- people.com/food/celebrities-eating-at-in-n-out-burger-photos-miley-cyrus-anna-kendrick/
- inc.com/chris-matyszczyk/the-1-most-powerful-difference-between-in-n-out-mcdonalds-no-its-not-food.html
- forbes.com/sites/chloesorvino/2018/10/10/exclusive-in-n-out-billionaire-lynsi-snyder-opens-up-about-her-troubled-past-and-the-burger-chains-future/?utm_source=TWITTER&utm_medium=social&utm_content=1824133503&utm_campaign=sprinklrForbesMainTwitter&sh=8550b904b9cd
- nndb.com/people/880/000206262
- abc7.com/vanity-fair-oscar-party-2022-oscars-parties-governors-ball-after/11675549/
- vanityfair.com/hollywood/2014/03/vf-oscar-party-tequila-and-donuts
A Katanyu Comedy Club ร้านขายขำที่สร้างกำไรด้วยการขยายเสียงหัวเราะ
เมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา การเกิดขึ้นของคลับแห่งหนึ่งทำให้เราได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนจากแถวสามย่านมากกว่าที่เคย
A Katanyu Comedy Club คือคลับเล็กๆ ขนาดเกือบ 50 ที่นั่ง ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของโครงการ Space & Co แถวสามย่าน ในร้านมีเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นพร้อมเสิร์ฟตามแบบฉบับของคลับทั่วๆ ไป แต่ที่ไม่เหมือนใครคือโชว์สแตนด์อัพคอเมดี้จากเหล่าคอเมเดี้ยนชาวไทยที่จะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาสร้างความฮาในบางที (หรือความเงียบในบางครั้ง) ให้คุณได้ฟังกันในแต่ละวัน
เรามีนัดกับ ยู–กตัญญู สว่างศรี เพื่อพูดคุยถึงเบื้องหลังของคลับแห่งนี้ หากใครเคยติดตามวงการสแตนด์อัพคอเมดี้ในเมืองไทยอาจจะเคยคุ้นหูกับชื่อของเขามาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะคอเมเดี้ยนที่หาญกล้าจัดโชว์สแตนด์อัพคอเมดี้ของตัวเองขึ้นมาเมื่อ 6 ปีก่อน, หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘ยืนเดี่ยว’ คอมมิวนิตี้ของผู้รักสแตนด์อัพคอเมดี้ ที่คอยจัดอีเวนต์ให้ผู้เล่นและผู้ชมได้มาเจอกันอยู่เสมอ และล่าสุดคือในฐานะเจ้าของร้าน A Katanyu Comedy Club ที่เรากำลังยืนอยู่ตอนนี้
“พี่ยู ขอถ่ายมุมนี้นิดนึงสิ” ช่างภาพของเราชี้ไปที่เวทีของร้าน
“เอาสิ มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” ยูตอบกลับน้องช่างภาพ ก่อนที่เราทั้งหมดจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เราแอบคิดว่าการสัมภาษณ์วันนี้จะต้องเหนื่อยแน่ อาจไม่ใช่ด้านเนื้อหา แต่เป็นด้านความฮาที่เราน่าจะได้เจอตั้งแต่เริ่มจนจบ

ร้านที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจและความบังเอิญ
“จุดไหนที่ทำให้อยากทำร้านนี้” เราเริ่มต้นคุยกันด้วยคำถามพื้นฐาน
“นี่ จุดนี้” ยูลุกออกจากเก้าอี้ที่เรากำลังนั่งสัมภาษณ์ เดินไปหน้าเวทีแล้วชี้ลงที่ปลายเท้าของตัวเองเพื่อบอกตำแหน่งของจุดเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรมสุดๆ ให้เราดู
“เอาจริงๆ มันเป็นความฝันที่ลืมไปแล้ว” หลังจากกลับมานั่ง ยูก็เล่าถึงจุดเริ่มต้นในแบบที่เราหมายถึงในทีแรกให้ฟัง
“เมื่อเร็วๆ นี้มีน้องคนนึงมาบอกว่าเมื่อสัก 5 ปีก่อนเราเคยเล่าให้มันฟังว่าเราอยากทำคอเมดี้คลับ อยากทำร้านจริงจังที่มีการแสดงสแตนด์อัพคอเมดี้ทุกวัน แต่ด้วยหน้าที่การงานและจังหวะชีวิตหลายๆ อย่างทำให้เราลืมเรื่องนี้ไป จนกระทั่งวันนึงร้านกาแฟ Katanyu Coffee ที่เราเคยทำมันมีเหตุให้ต้องหาสถานที่ใหม่ในการเปิดร้าน เราเลยลองมาดูพื้นที่ตรงนี้เพราะเห็นว่าไม่ไกลจากโลเคชั่นเก่า ก็เดินเข้ามาหยุดตรงจุดเมื่อกี้แหละ พอหันหน้ามองมุมตรงนั้นอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เชี่ย! ตรงนี้มันเป็นเวทีได้นี่หว่า”
เมื่อความฝันที่เคยมีเวียนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาลงมือทำมันให้กลายเป็นจริงทันที ด้วยการเปลี่ยนโปรเจกต์ย้ายร้านกาแฟให้กลายเป็นคอเมดี้คลับแบบที่เคยคิดไว้ แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่มาจากความฝันครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยแพสชั่นอย่างเดียว ยังมีความเป็นไปได้อีกหลายอย่างที่ยูใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการเปิดร้านครั้งนี้ ซึ่งบางสิ่งในนั้นก็เกิดจากสิ่งที่ยูได้ลงมือเพาะปลูกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน

“ถ้าย้อนมองเทียบกับเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา เราว่าคนสนใจสแตนด์อัพคอเมดี้กันมากขึ้น ในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น มันมีช่องทางสตรีมมิงต่างๆ ที่นำเสนอคอเมเดี้ยนที่มีคุณภาพ ทำให้คนสามารถจับต้องคอเมเดี้ยนที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นบางคนก็จะชอบ Ronny Chieng (รอนนี เฉียง) มากๆ บางคนอาจจะเจอวิดีโอของ Uncle Roger (อังเคิล โรเจอร์) แล้วก็ไปดูสแตนด์อัพของเขาต่อ หรือว่าคนดังๆ อย่าง Dave Chappelle ก็มีให้ดูมากขึ้น เรียกว่าคนดูเก็ตขึ้นและมีจำนวนมากกว่าตอนแรกแน่นอน
“อีกส่วนคือมันมีความถึงพร้อมบางอย่างของคอเมเดี้ยนที่เกิดจากยืนเดี่ยว ถ้าลองไปดูในออนไลน์ คอเมเดี้ยนที่มีคุณภาพคนดูหลักแสนหลักล้านก็มีนะ ซึ่งถ้าเป็น 6 ปีก่อนไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้แน่นอน ไม่มีโชว์ของคนที่ไม่เคยมีชื่อเสียงแล้วมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้แน่นอน นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ
“และส่วนสุดท้ายคือความรู้สึกของเราเอง ด้วยโลกที่มันเริ่มเปิดหลังสถานการณ์โควิด-19 มันเป็นจุดที่เราต้องการอะไรบางอย่างมาชุบชูตัวเองหลังจากเหี่ยวเฉามานานในช่วงนั้น ก็เลยคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นสิ่งชุบชีวิตเราได้ บวกกับความพร้อมด้านการเงินที่พอไหวด้วย คือมันก็เป็นความฟุ่มเฟือยของคนที่ไม่ได้มีตังค์เท่าไหร่แต่ก็อยากจะฟุ่มเฟือยอะนะ” พอพูดจบยูก็หัวเราะออกมา

อยู่กับความเป็นไปได้ ที่ไม่ใช่แค่สแตนด์อัพคอเมดี้
เมื่อมีร้านแล้ว กิจกรรมต่างๆ ก็ต้องเริ่มดำเนินเพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ โดยคอนเซปต์ของ A Katanyu Comedy Club ในตอนเริ่มต้นนั้นไม่มีอะไรที่ซับซ้อน คือเป็นสถานที่ที่มีคอเมเดี้ยนมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาดูและใช้จ่ายกับอาหารเครื่องดื่มในยามค่ำคืน ง่ายๆ แบบนี้
“ตอนก่อนจะเปิดผู้จัดการร้านมาถามว่า พี่ไดเรกชั่นของร้านเราคืออะไรพี่ คำถามแม่งโคตรเท่เลยนะ เราตอบไปว่า กูก็ไม่รู้ เล่นตลกก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” ซึ่งแน่นอนว่าความจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น
แม้คนไทยจะเข้าใจวัฒนธรรมของสแตนด์อัพคอเมดี้มากขึ้น แต่การดึงคนให้มาที่ร้านในช่วงที่เพิ่งเปิดก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งไม่ใช่แค่คนดู แต่รวมไปถึงคนเล่นด้วย “โอ้โห หาเหนื่อยเลย ช่วงนั้นเจอใครก็ชวนมาเล่นสแตนด์อัพกันหมด ตลกไม่ตลกก็ชวน ถามก่อนเลยว่ามีคิวว่างไหม บางทีลงบ้านมาเจอแม่ก็ชวน แม่ๆ อยากเล่นสแตนด์อัพฯ ปะ”
หลังจากเหนื่อยอยู่สักพัก สุดท้ายแล้วยูก็สามารถชวนเพื่อนพ้องในวงการทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่มาเล่นประจำที่ร้านได้ในทุกๆ วัน (แม้จะเสียดายนิดหน่อยที่แม่ไม่ยอมมาขึ้นเล่นด้วย) แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังต้องแก้คือการชวนคนดูมาที่ร้านให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงความอยู่รอดของธุรกิจ


ยูจึงต้องคิดแผนการเพื่อความอยู่รอด แผนแรกคือการจัดอีเวนต์และโปรเจกต์ออนกราวนด์ต่างๆ ขึ้นในร้านแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์สนุกๆ ของตัวเอง หรืออีเวนต์ของเพื่อนฝูงที่มาติดต่อขอใช้สถานที่
“เรามีการจัดโชว์พิเศษยาวสัก 1-2 ชั่วโมงของคอเมเดี้ยนรุ่นใหม่ที่เด่นๆ ขึ้นมาแล้วก็ขายตั๋ว ซึ่งเกิดขึ้นแล้วคือโชว์ของลินิน หรือสัปดาห์ก่อนเราก็เพิ่งจัดงาน Speed Dating ที่พาคนโสดมานั่งจีบกันและดูสแตนด์อัพคอเมดี้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นก็มีจัดงานเสวนา เป็นงานเปิดตัวหนังสือ Hamlet ของเชคสเปียร์ ซึ่งคนทำก็เป็นเพื่อนกันนี่แหละ เราก็ดึงลูกค้ามาแล้วก็เล่นสแตนด์อัพเสริม ขายอาหารเครื่องดื่มกันไป หรือจะจัดงาน pre release การ์ด Magic The Gathering ก็มีคนมาเล่นการ์ดที่นี่กันสนุกสนาน แล้วเราก็เล่นสแตนด์อัพไปด้วย
“คือเรายังให้แกนของสถานที่นี้เป็นคอเมดี้อยู่เหมือนเดิมนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเพิ่มเติมขึ้นมาจากความสนใจของเราซึ่งมันไม่ได้มีแค่สแตนด์อัพคอเมดี้อย่างเดียว ถ้ามันไหลไปตรงจุดไหนได้เราก็พามันไปจุดนั้น แล้วเสริมด้วยเนื้อตัวของเราที่มันมีความตลกอยู่ ก็อาจจะไม่ได้เป็นแค่สแตนด์อัพคอเมดี้ เรามองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ มากขึ้น”

จากหน้าเวทีสู่หน้าจอ
อีกหนึ่งแผนที่น่าสนใจของยูคือการตั้งทีมเพื่อทำคอนเทนต์ออนไลน์ในอนาคต เพราะยูมองว่า A Katanyu Comedy Club นั้นไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือเรื่องเล่าและผู้คนที่รวมกันอยู่ที่นี่
“สุดท้ายแล้ว A Katanyu Comedy Club เองก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่เราคิดว่ามันสามารถต่อยอดไปสู่งานคอนเทนต์ได้ด้วย เราสามารถเอาคอเมเดี้ยนไปทำอย่างอื่นได้อีก จริงๆ เราอยากทำรายการประเภท late-night talk show ซึ่งก็ทำได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มใหม่ๆ ก็อยากทำ อยากมี TikTok อยากเล่นละครคุณธรรมแบบตลกๆ ติงต๊องๆ ซึ่งการทำคอนเทนต์ออนไลน์แบบนี้ก็จะนำไปสู่โมเดลของการหาสปอนเซอร์ได้ ก็ฝากลงประกาศขายตรงนี้ด้วยเลยแล้วกัน เผื่อใครอยากซื้อนะครับ
“แต่ว่าการทำคอนเทนต์แบบนี้ก็ต้องใช้ศักยภาพค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มันอยู่ในจุดที่เรากำลังหาทางบาลานซ์ว่าจะทำยังไงให้งานมันได้เงินและมีเวลาพอและมีคุณภาพงานที่ดี ซึ่งอันนี้มันเป็นจุดยากมาตลอด ที่ผ่านมาเราทำบริษัทเอเจนซี เราก็พยายามเอาเอเจนซีมาทำคอนเทนต์ให้ A Katanyu Comedy Club แต่คนที่เอเจนซีเขาเป็นสายครีเอทีฟ เขาไม่ใช่คนที่จะมาทำสายขำได้ตลอดเวลา มันจึงยากที่เขาจะมาใช้เวลาหรือจะมาใช้แพสชั่นกับมัน
“ส่วนทีมงานของร้านที่เรารับมาตอนนี้มันก็ไม่ใช่คนทำคอนเทนต์ แต่เป็นคอเมเดี้ยนบ้าง หรือเป็นคนที่ทำร้านอาหารมาบ้าง มันก็ไม่ได้มีพื้นฐานของการทำคอนเทนต์หรือโซเชียลมีเดีย ก็ต้องค่อยๆ สอน ค่อยๆ ทำกันไป ก็ฝึกจากทำคอนเทนต์ง่ายๆ ในเฟซบุ๊กร้านไปก่อน”

Comedian Center
ถึงวันนี้ A Katanyu Comedy Club เปิดทำการมาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว มีผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาหาความสุขและเสียงหัวเราะมากมาย แต่หนึ่งในกลุ่มคนที่ยูต้องการให้มาที่นี่มากที่สุดนอกจากลูกค้า ก็คือเหล่าคอเมเดี้ยนด้วยกันเอง
“คือประเทศนี้มันไม่ได้มีพื้นที่มากนะ ถ้าพูดแบบเป็นจริงเป็นจังคือปกติแล้วคอเมเดี้ยนบ้านเราทุกคนก็จะรออีเวนต์ที่จะให้ขึ้นเล่นหรือได้ไปเจอกัน โมเมนต์นั้นเขาถึงจะได้เป็นคอเมเดี้ยนนะ แต่โมเมนต์อื่นเขาก็ต้องกลับไปเป็นพนักงานธรรมดาหรืออาชีพอื่นๆ เราเลยอยากคอเมเดี้ยนในประเทศไทยมีพื้นที่ของการใช้ชีวิตเป็นสแตนด์อัพคอเมเดี้ยนมากขึ้น ให้ที่นี่เป็นที่ของพวกเขา จะมาเล่น จะมาดู จะมาแลกเปลี่ยนคอมเมนต์เรื่องมุกตลกกันก็ทำได้ เป็นที่ที่ทุกคนสามารถมาเอาจริงเอาจังกับความเป็นสแตนด์อัพคอเมเดี้ยนของตัวเองได้ เราลงทุน เพราะอยากสร้างคัลเจอร์นี้ขึ้นมา ซึ่งเวลาพูดเรื่องนี้มันก็จำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ที่เราเอาไว้ใช้เวลาและใช้ชีวิตกับมันจริงๆ
“แล้วพอมี A Katanyu Comedy Club มันก็ช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ มากมายให้เกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและตัวคอเมเดี้ยนด้วย อย่างเราตอนนี้กลับมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้มันก็มีคนพูดถึง มันก็ส่งผลดีกับตัวเราอยู่แล้วในเรื่องการงาน มีพี่คนนี้คนนั้นมาชวนทำนั่นทำนี่ ได้รับโอกาสใหม่ๆ เข้ามา หรือน้องๆ ที่มาเล่นสแตนด์อัพฯ เองอย่างน้อยก็ได้โอกาสฝึกซ้อมและแสดงออกถึงแพสชั่น ได้แสดงฝีมือ ได้ต่อสู้กับความเงียบบ้าง บางทีก็คนน้อยบ้าง แต่พอคนเยอะมันก็จะเริ่มเอาอยู่เพราะมันเชี่ยวชาญขึ้น มันได้มานั่งพูดคุยเรื่องมุกตลก มาชงมุกตลก มันพูดคุยกันนู่นนี่นั่น ไอ้มัดกล้ามของการเล่นมุกมันก็จะแข็งแรงขึ้น
“คือเราอยากให้มันเป็นพื้นที่ของเด็กหนุ่มสักคนนึงอาจจะมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้ เล่นแล้วก็อาจจะไม่ค่อยตลกหรอกแต่ก็ห้าวมาอีก ก็เล่นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็ได้ไปขึ้นยืนเดี่ยว แล้ววันหนึ่งก็ได้มีโชว์เป็นของตัวเอง ซึ่งเคสแบบนี้มันมีจริงๆ
“ตอนนี้คนที่มาร้านส่วนมากก็เลยจะเป็นคอเมเดี้ยนนี่แหละ ลูกค้ายังไม่ค่อยมีจนถึงวันนี้” ยูเล่าให้เราฟังพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกหนึ่งที


รอดได้ถ้าใจเชื่อ
แม้จะดูเป็นธุรกิจที่ยากในการสร้างกำไรเป็นเม็ดเงิน แต่ยูก็บอกเราว่าเมื่อเทียบกับโอกาสต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาสำหรับวงการสแตนด์อัพคอเมดี้แล้ว นี่ก็เหมือนเป็นกำไรอย่างหนึ่ง และทั้งหมดที่เล่ามานี้มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
“ปลายทางเราก็อยากให้มันเป็นธุรกิจที่มีกำไรแหละ เพียงแต่ว่าจุดเริ่มต้นมันคือการลงทุนเพื่อสร้างคัลเจอร์ ซึ่งระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้มันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นอยู่ เราประเมินไว้อยู่แล้วว่าเรื่องขาดทุนต่างๆ มันคือการลงทุน แล้วระหว่างนี้อะไรที่เราสามารถสร้างโอกาสได้เราก็ลุยไป
“คือตั้งแต่ทำมามันก็มีแต่คนพูดว่าที่นี่มันจะไม่รอดนะ ซึ่งเราไม่เคยกลัวเลย เพราะถ้ามันไม่รอดมันก็ไม่รอดไง (หัวเราะ) เราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว มันมีความเสี่ยงที่จะไม่รอดสูงอยู่แล้วที่นี่ แต่ว่าเราเคยดูสารคดี ไมเคิล จอร์แดน เขาบอกว่าเวลาเขาชู้ตบาส สิ่งที่เขาโฟกัสคือการเอาลูกบาสลงห่วง เขาไม่เคยโฟกัสว่ามันจะไม่ลงเลย ผมก็เลยไม่สนใจว่ามันจะไม่รอด ถ้าเราอยากทำ
“เราอยากลอง เราก็ต้องเอาใจไปผูกกับความคิดที่ว่าทำยังไงเราถึงจะสำเร็จสิ ก็หาวิธีเอาตัวรอดไปเรื่อยแหละ เชื่อไหมว่าทุกวันนี้ยังต้องไปรับงานพิธีกรเพื่อเอาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่เลย” ยูยอมรับกลั้วเสียงหัวเราะ

ไหนๆ ก็มาถึง A Katanyu Comedy Club แล้ว แม้ช่วงที่นั่งคุยกันจะยังไม่ใช่เวลาทำการของร้าน แต่เราก็ไม่อยากพลาดความฮา (แม้จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลายครั้งแล้วระหว่างสัมภาษณ์ก็ตาม) เลยขอให้ยูลองเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้เกี่ยวกับร้านนี้ให้เราฟังสักเรื่อง
หลังจากใช้เวลาคิดอยู่แวบนึง ยูก็เล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง
“ตอนแรกที่จะทำร้าน Stand Up Comedy เราก็เปิดรับสมัครพนักงาน โดยคนแรกที่ได้มาชื่อเชฟแมน เป็นพนักงานที่ครบเครื่องมาก ทำได้หมดทั้งเก็บสต็อก ทำอาหารทุกอย่าง ขึ้นเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้เองก็ได้นะ ล่าสุดถึงขั้นไปขึ้นเล่นยืนเดียวมาแล้วด้วย ซึ่งเจ๋งมาก มีแต่คนถามว่าพี่ยูไปได้คนนี้มาจากไหนวะ โคตรเจ๋ง เราก็บอกว่าตอนเรียกสัมภาษณ์พนักงานเราเรียกมา 3 คน แต่มีมันมาแค่คนเดียว ก็เลยได้มันมานี่แหละ เพราะกูไม่มีตัวเลือกไง
“ที่เหลือเล่าผ่านตรงนี้ก็ไม่ค่อยตลกหรอกต้องมาฟังที่ร้านเอา”
Alex Face กับ 20 ปี แห่งการทำงานที่ศรัทธาและบาลานซ์ชีวิตให้ยืนหยัดได้ในมุมธุรกิจ
ประทับใจ ชื่นชอบ เชื่อมั่น หลงรัก หมกมุ่น ลุ่มหลง คลั่งไคล้
เรามีคำไทยที่ใช้อธิบายความรู้สึกต่อสิ่งสิ่งหนึ่งในด้านบวกหลายคำ อยู่ที่จะหยิบคำใดมาใช้ให้สอดคล้องกับปริมาณความรู้สึกที่สั่งสมอยู่ข้างใน–ไม่มีใครเห็น
สำหรับความรู้สึกที่ พัชรพล แตงรื่น หรือ Alex Face มีต่อคำว่า ‘ศิลปะ’ เราจะหยิบฉวยคำใดในย่อหน้าข้างต้นมาใช้นิยามก็อาจไม่ผิดนัก ระยะเวลาที่เขาอยู่กับการทำงานสตรีทอาร์ตกว่า 20 ปี ยาวนานเกินพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เข้ามาวงการนี้เพียงฉาบฉวย
แต่เมื่อได้สนทนากันในวันก่อนที่เขาจะมีนิทรรศการ 20TH YEAR ALEX FACE ผมกลับคิดถึงอีกคำหนึ่ง ซึ่งน่าจะตรงกับความรู้สึกของเขาที่มีต่อศิลปะระดับอุทิศชีวิต
ผมคิดถึงคำว่า ‘ศรัทธา’

มาถึงวันนี้ หากมองในมุมศิลปะ ชื่อของ Alex Face คือศิลปินที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและสากล เป็นศิลปินเบอร์ต้นๆ ในวงการสตรีทอาร์ตบ้านเรา หากมองในมุมธุรกิจ ชื่อของเขาคือแบรนด์ที่แข็งแรง ขายได้ ขายดี เป็น top-of-mind ยามนึกถึงงานในแวดวงที่เขาสังกัด นอกจากงานศิลปะที่สร้าง สินค้าต่างๆ ที่ผลิตออกจำหน่ายก็ sold out และราคาพุ่งสูงในตลาดนักสะสม
เชื่อว่าหลายคนเห็นชีวิตเขาในวันนี้แล้วอาจใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นนั้น อยากไปยืนอยู่ในจุดที่แสงไฟสาดส่อง มีรายได้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงตัวเองและคนรอบตัว ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล อย่างเช่นที่เขาได้รับในวันนี้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมา–วันเวลาที่เคี่ยวกรำ ก่อนจะก้าวมายังจุดนี้ จะมีสักกี่คนที่ยินดีแลก ผมไม่แน่ใจ
“มันไม่มีอะไรง่าย แต่ว่าที่เราผ่านมาได้ อาจเป็นเพราะเรามีวิธีคิดที่ทำให้เราทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ”
อเล็กซ์เอ่ยประโยคนี้ระหว่างเรานั่งคุยกันที่อาคาร 127 ณ ระนอง พื้นที่จัดนิทรรศการ 20TH YEAR ALEX FACE ที่จัดขึ้นในวาระครบรอบสองทศวรรษบนเส้นทางศิลปะ โดยมีผลงานศิลปะชิ้นสำคัญของเขาตั้งแต่วันแรกๆ และงานที่สร้างใหม่เพื่อบอกเล่าเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาโอบล้อมอยู่
โดยปกติแล้วคำที่ใช้อธิบายความรู้สึกมักเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่เป็นงานเหล่านี้และเรื่องราวของศิลปินตรงหน้านี่เอง ที่ทำให้เห็นว่าคำว่าศรัทธา หน้าตามันประมาณไหน

ตอนที่จัดนิทรรศการนี้แล้วเห็นงานที่ผ่านมา ภาพวันคืนเก่าๆ แฟลชแบ็กกลับมาบ้างไหม
มันก็มีเข้ามาในความคิดตลอดเวลา มันก็เป็นธรรมดาที่ภาพมันจะดึงความทรงจำเรากลับมาเต็มไปหมด มันก็เป็นภาพเดิมๆ ภาพที่เราพ่นสีอยู่ ทำอะไรอยู่ จริงๆ 20 ปีมันอาจดูนาน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนเมื่อวานนี้เอง เรื่องบางเรื่อง ช็อตบางช็อต มันเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน เราได้คิดว่าตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ ชีวิตเราเป็นอย่างไร ภาพที่มันถ่ายไว้ บันทึกไว้มันก็ดึงเรากลับไป
เห็นภาพเก่าๆ แล้วได้เห็นการเติบโตอะไรของตัวเองบ้างไหม
มันก็มาไกลในสเตปของมัน ตอนที่เราเป็นเด็กเราก็แค่อยากวาดรูป คิดว่าอาชีพของเราก็คงไปวาดรูปโรงหนัง แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้ว แค่ขอให้กูได้นั่งวาดรูป วาดรูปโรงหนังก็ได้ แล้วก็เปิดร้านเขียนป้าย จะได้วาดรูป เราไม่รู้ว่าศิลปินเป็นยังไง เรารู้แค่เราอยากวาดรูป เราจะไปวาดรูปขายตามห้าง อย่างเปิดร้านของตัวเองแล้วก็วาดรูปคน
ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ ที่มีนิทรรศการส่วนตัว ได้รับการยอมรับ
ไม่ได้เห็นภาพนี้ คือตอนที่เราเป็นเด็กเราก็รู้แค่นั้นใช่ไหม ข้อมูลต่างๆ เราก็ไม่มี ไม่ได้เห็นตัวอย่างอะไร เราอยู่ต่างจังหวัด อยู่ฉะเชิงเทรา เราไม่เคยได้เห็นตัวอย่าง exhibition ไม่มีโอกาสได้ไปดูอะไรแบบนั้น จนเราเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้เห็นว่า อ๋อ มันมีแบบนี้ โลกเราก็เปิด เราได้เห็นว่าศิลปินทำงานแบบนี้ ศิลปินต่างประเทศเขาทำงานกันหลากหลาย เริ่มรู้ว่าศิลปะไม่ได้มีแค่การวาดรูปอย่างเดียวแล้ว
ตั้งแต่มหาวิทยาลัยมันก็เปิดโลกของเรา เราเริ่มอยากเป็นศิลปิน อยากทำงานศิลปะต่อเนื่อง พอเรามีโอกาสไปเจอคนที่เขาทำอะไรเจ๋งๆ เราก็อยากทำบ้าง เห็นเมืองนอกเขาพ่นงานบนกำแพงใหญ่ๆ เราก็อยากทำแบบนั้นบ้าง เราก็พยายามหาโอกาสที่จะทำ แล้วก็พัฒนาสิ่งที่เราทำให้มันดีขึ้นตามปกติที่มันควรจะเป็น พัฒนางานของเราอย่างต่อเนื่อง

ในวัยหนุ่มคิดว่าตัวเองเป็นคนทะเยอทะยานไหม
เราว่าเราเป็นคนทะเยอทะยาน
ความทะเยอทะยานที่ว่าแสดงออกผ่านอะไร
ผ่านงานศิลปะของเรานี่แหละ เราอยากทำให้มันดีขึ้น ทำให้มันเจ๋งขึ้น ทำให้มันเต็มที่ขึ้นเท่าที่เราจะทำได้ แต่ตอนหลังเริ่มเบาลงแล้วนะ เริ่มที่จะโอเค ได้แค่ไหนแค่นั้น แต่เมื่อก่อนไม่ได้เลย มีเวลาแค่ไหนก็ต้องเอาให้ได้ เวลาเราทำไม่ได้เราจะเซ็ง คิดแค่ว่าต้องทำให้ได้ แต่ตอนนี้ถ้าไม่ได้ มีเวลาจำกัด ก็โอเค ไม่เป็นไร เอาเท่าที่มี
ที่ว่าทะเยอทะยาน คุณทะเยอทะยานเพื่อไปสู่จุดไหน อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ อยากรวย หรืออะไร
เราคิดว่าในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำมันแล้วเราอยากทำให้มันเต็มที่ คือเราอยากเป็นศิลปิน อยากวาดรูป เราวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ เราชอบสิ่งนี้ มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีด้วยซ้ำ ในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำงานนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ทำให้มันเต็มที่ไปเลยล่ะ เราคิดแค่นี้ แค่ทำให้มันบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำอะไรไว้
ความทะเยอทะยานของเราคือเราเกิดมาครั้งหนึ่ง เราเป็นศิลปิน เราทำงานศิลปะ เราสามารถทำมันได้ดีแค่ไหน ในความสามารถ ในศักยภาพที่เรามี มันก็คือเท่านั้น

พอคิดแบบนั้นเราก็ต้องหาต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราทำมา 20 ปี เราก็ยังได้เจออะไรใหม่ๆ เจอความรู้สึกใหม่ๆ อยู่เลย ได้เจอเทคนิค เจอไอเดีย หรือสิ่งที่เราอยากจะทำต่อจากนี้ เหมือนที่เขาบอกว่าความรู้มันไม่มีวันหมด ถ้าเราไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วเราก็สามารถเติมน้ำได้ตลอด โดยเฉพาะการทำงานศิลปะเรายิ่งต้องทำการบ้าน เรียนรู้ หาข้อมูล พัฒนาตัวเองตลอดเวลา เรายังต้องหาหนังสือเรื่องที่เราอยากรู้เพิ่มเติมมาอ่าน ความทะเยอทะยานของเรามันคือการที่เราอยากทำงานของเราให้ดีขึ้น ในช่วงเวลาที่เรายังทำไหว
คุณคิดว่าอะไรคือคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้คุณมาถึงจุดนี้
เราว่ามันคือวินัย สิ่งนี้สำคัญ ในทุกอาชีพ ทำงานศิลปะก็เหมือนกัน
บางคนอาจจะมองว่าทำงานศิลปะมันคือแล้วแต่ความติสท์เลย ติสท์แม่งถูกเอามาเป็นคำจำกัดความของการทำอะไรที่ไม่มีวินัย (หัวเราะ) แต่ความจริงแล้วเราไม่มีวินัยไม่ได้ เราต้องฝึกฝน ความจริงเราวาดรูปแบบเป็นบ้าเป็นหลัง ย้อนกลับไปตอนเรียนเขาให้ส่งงานอาจารย์หนึ่งรูปเราวาดส่ง 20 รูป เพราะว่าเขาตั้งหุ่นนิ่งไว้กลางห้อง เราก็อยากวาดหลายๆ มุม พอเราวาดรูปหนึ่งเสร็จเราก็เขยิบไปอีกมุม ก็วนรอบเลย วาดตั้งแต่เช้ายันสองทุ่มแล้วก็ถือกระดาษไปส่งอาจารย์ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่การทำงานส่งอาจารย์แล้ว
มันคือการเคี่ยวเข็ญ
มันไม่ใช่การเคี่ยวเข็ญ มันคือความสนุก
อย่างตอนนั้นเรียนวาดแลนด์สเคป เราไปไหนเราก็พกเฟรม พกสี พกอุปกรณ์ติดตัวตลอดเวลา มีสมุดสเกตช์ มีกระดานสเกตช์ มีแปรงสีฟันอันหนึ่ง อาจารย์เรายังแซวเลยว่า เฮ้ย มึงนี่พร้อมนอนที่ไหนก็ได้ทุกที่เลยนะ เพราะเขาเห็นเราพกแปรงสีฟันด้วย คือเปิดกระเป๋ามาก็มีดินสอ ยางลบ อุปกรณ์ แล้วก็มีแปรงสีฟัน ตอนนั้นนอนป้ายรถเมล์ยังได้เลยมั้ง (หัวเราะ)
เรามีอุปกรณ์วาดรูปอยู่ตลอดเวลา แล้วก็วาดพอร์เทรตคนที่เห็นว่าหน้าเขาน่าสนใจ ก็ไปบอกเขาว่าผมขอวาดได้ไหม บางทีก็ให้เขาไป บางทีก็เก็บไว้ เหมือนมันเกินสิ่งที่เป็นเรื่องเรียนไปแล้ว เราแค่อยากทำ มันก็กลายเป็นการทำงานแบบต่อเนื่องจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขัดความรู้สึกตัวเองด้วยนะ เรามองว่าการทำงานศิลปะหรือการจะบอกให้คนคนหนึ่งทำอะไร มันต้องเป็นจริตของคนคนนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างลูกเราเราก็ไม่ได้บอกว่าต้องวาดรูป ต้องทำนู่นทำนี่ ทุกอย่างมันเกิดจากการเลี้ยงดูของเรา มันอยู่ภายใน แล้วมันจะผลักดันให้เขาทำของเขาเองโดยที่บางครั้งเราไม่ต้องไปบอกว่าเขาต้องทำแบบนี้นั้นบางนี้
อย่างเรามันไม่มีใครบอกเราว่าต้องทำ เราทำของเราเอง อยากทำเอง อยากวาดเอง มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างมันผสมกัน พอได้วาดเยอะมันก็ได้ฝึกเยอะ ศิลปะมันไม่มีทางลัด คุณจะวาดเส้นให้ตรง วาดรูปให้สวย มันไม่ใช่อยู่ๆ ก็วาดเป็นเลย เราก็เคยวาดเละ เราก็เคยไม่เก่ง เราก็เรียนรู้ ตอนนั้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์เราก็ไปห้าง ไปดูว่าร้านเขาวาดรูปยังไง คือมันเหมือนเราพยายามอยากรู้เอง ทุกอย่างทำให้เราเก่งขึ้น พอมีระเบียบวินัย ฝึกทักษะ มันก็ไปของมันเอง


เหมือนที่คุณเคยบอกว่าไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาพ่นสเปรย์แล้วควบคุมมันได้ดีเลย ต่อให้เป็นศิลปินมาก่อนก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนเรียนรู้
ใช่ มันต้องใช้เวลา กับทุกอย่างแหละ อยู่กับมันเดี๋ยวก็ทำเป็นเอง อย่างเพื่อนที่พ่นสีบางคนเขาไม่ได้เรียนศิลปะ แต่เพราะเขาอยู่กับสิ่งเหล่านั้นทุกวัน เขาก็ทำได้ มนุษย์เรามีทักษะในการเรียนรู้ถ้าเรามีระเบียบวินัย ตั้งแต่เด็กมาเรามีระเบียบวินัยในการวาดรูปตลอด ฝึกซ้อมตลอด ตอนประถม มัธยม พักเที่ยงก็เข้าห้องศิลปะ ซ้อม ตอนเย็นเข้าห้องศิลปะ ซ้อม กลับบ้านรถเมล์รอบสุดท้ายพร้อมนักวอลเลย์บอล เขาซ้อมวอลเลย์บอล เราซ้อมวาดรูป
คุณทรีตศิลปะเหมือนกีฬา
อย่างนั้นเลย คือคุณจะเป็นนักกีฬาที่เก่งมันต้องทำขนาดไหนล่ะ จะเป็นนักอะไรก็แล้วแต่มันต้องฝึกขนาดไหน เราก็ทำเลเวลนั้นตั้งแต่เด็กน่ะ การจะทำให้ทักษะเข้าเส้นมันต้องทำแต่เด็ก อย่างสเกตบอร์ด พวกโปรเขาก็เล่นแต่เด็ก นักยิมนาสติกเขาก็ฝึกตั้งแต่เด็ก นักดนตรีเขาก็เล่นตั้งแต่เด็ก เราก็วาดรูปแต่เด็ก มีวินัยมาตั้งแต่เด็ก
ไม่ได้จับพลัดจับผลูหรือมีพรสวรรค์
คนที่มีพรสวรรค์มาก่อนก็มี แต่มันแค่บางคน ส่วนสำหรับเรา เราทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็ก
ฟังดูเหมือนคุณเเห็นตัวเองชัดมากมาตั้งแต่แรก
ใช่ เราไปคุยกับครูว่าเราจะทำแบบนี้ เราจะเรียนแบบนี้
แล้วตั้งแต่เป็นศิลปินมีช่วงเวลาที่สั่นคลอนบ้างไหม
หมายถึงจะเลิกทำงานศิลปะอะไรแบบนี้เหรอ ไม่มีแบบนั้น ไม่เคยคิดว่ากูจะเลิกวาด เพราะว่าเราวาดโดยธรรมชาติ เหมือนกินกาแฟ เหมือนกินข้าว


รู้สึกไหมว่าคุณเป็นมนุษย์ที่โชคดี เพราะหลายคนก็มีคำถามกับสิ่งที่ทำอยู่
ใช่ เราก็บอกตัวเองมาตลอดว่าเราคือ lucky man เจอเพื่อนก็เจอเพื่อนที่ดี มีคนซัพพอร์ตที่ดี เพราะการทำสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียวนะ การทำงานของเราก็อย่างที่เห็น ถ้าเราทำคนเดียวเราทำไหวหรือเปล่าล่ะ แล้วเรามีภรรยา มีครอบครัว เขาก็เป็นคนที่คอยเตือนคอยบอกคอยอะไร บางทีเราก็มีเป๋มีอะไร เขาก็คอยเบิ๊ดกะโหลก (หัวเราะ) คือเรามีคนคอยช่วยตลอดด้วย ไม่ใช่ว่ามีเราคนเดียว
ฟังดูมีแต่เรื่องดี แล้วการยึดอาชีพศิลปินในบ้านเราต้องเผชิญแรงเสียดทานอะไรบ้าง
เอาจริงๆ ทั้งโลกการเป็นศิลปินมันยากหมดเลย บางคนอาจจะคิดว่าถ้าเราอยู่เมืองนอกเราอาจจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้ใช่ไหม แต่เราเจอเพื่อนศิลปินต่างชาติเราก็ชวนคุยหมด ซึ่งทุกคนไม่ได้ง่าย ไม่มีอะไรง่ายเลย ต่างประเทศบางครั้งอาจจะยากกว่าเราด้วยซ้ำ เรามองว่ามันไม่มีอะไรง่าย แต่ว่าที่เราผ่านมาได้ อาจเป็นเพราะเรามีวิธีคิดที่ทำให้เราทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ คือเราชอบสิ่งที่เราทำอยู่แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าถึงแม้เราจะไม่ประสบความสำเร็จอะไร คนไม่ได้รู้จักเรามากมายอะไร แต่เราก็ยังแฮปปี้ที่จะทำสิ่งนี้อยู่ โดยที่เราก็ทำไปโดยธรรมชาติ
ถ้าย้อนกลับไปตอนแรกๆ ที่ชีวิตไม่ได้มีอะไร เราก็ต้องไปทำนู่นทำนี่ เมื่อก่อนเราก็ไปทำโฆษณา ทำหนังทำอะไร ซึ่งมันเหนื่อย ตังค์ไม่มี ไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตโอเคก็คือการที่เรากลับมาบ้านแล้วได้นั่งวาดรูปของตัวเองนั่นแหละ มันคือการบำบัดตัวเองจากสิ่งที่เราไปทำแล้วรู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน
คือเรารู้ ถ้าประสบความสำเร็จได้มันก็ดี ถ้าเราสามารถเทคแคร์ดูแลคนอื่น มีรายได้เลี้ยงตัวเองด้วยการวาดรูปมันก็ดี แต่ถ้าไม่ใช่เราก็ต้องทำอย่างอื่น แต่ถึงยังไงเราก็จะยังทำสิ่งนี้เพื่อให้เรารู้สึกดี เหมือนเป็นการหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยสิ่งที่เราชอบจริงๆ เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าเราทำมันไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ทุกข์ร้อน เหมือนเราอยู่กับตรงนั้นก่อนอย่างมีความสุข แค่นั้นเอง

ช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง คนยังไม่ค่อยรู้จัก กินเวลานานไหม
เป็นสิบปีเหมือนกัน ถ้านับจากระยะเวลาที่เราเริ่มพ่นมันคือช่วงสิบปีแรก แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้อยากให้คนรู้จักตัวเราขนาดนั้น เพราะตอนนั้นเราพ่นกราฟิตี้ พ่นสี เราแค่อยากให้คนรู้ว่างานเราไปอยู่ตรงนั้น แต่เราก็ไม่ได้อยากให้รู้ว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งมันก็ย้อนแย้งกันอีกแล้ว (หัวเราะ)
มันค่อยๆ สะสมมามากกว่า จากการที่เราทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ปี 2002 ที่เราเริ่มพ่นปีแรกคนที่รู้จักเราก็คือคนที่อยู่ในซอย คนที่อยู่แถวๆ ลาดกระบัง แถวบ้าน เขาก็พูดถึงอเล็กซ์แล้ว ตอนนั้นชื่อยังเป็นแค่อเล็กซ์ ยังไม่มีคำว่าเฟซ เราพ่นจิ้งจกเกาะอยู่ตามผนัง ทุกคนก็พูดถึงจิ้งจกกันทั้งซอยเลยว่า เฮ้ย มึงเห็นจิ้งจกเกาะผนังไหม แล้วพอเราทำต่อเนื่องมันก็ค่อยๆ ขยายวงเยอะขึ้น เราก็มีเพื่อนเยอะขึ้น มันก็ค่อยๆ ขยายวงออกไปเรื่อยๆ เราว่ามันเป็นเรื่องของความค่อยเป็นค่อยไป
แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณมีชื่อเสียงและเริ่มได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างทุกวันนี้คือจุดไหน
มันก็มีจุดเปลี่ยนตอนปี 2012 เป็นช่วง turning point คือตอนนั้นเราอยากให้คนรู้จักในฐานะที่เราจริงจังกับการทำงานศิลปะ พูดง่ายๆ คือตลาดศิลปะต้องรู้จักกู ถ้าเราเริ่มทำงานศิลปะ ตลาดขายงานศิลปะต้องรู้จักเรา เป็นเรื่องของการแนะนำตัวในวงการศิลปะ คือก่อนหน้านั้นเราขายงานไม่ได้ ขายไม่ออก ไม่มีใครซื้อ ต้องทำอย่างอื่นเพื่อให้ได้เงิน พอได้เงินก็มาวาดรูปของตัวเอง เราเลยอยากรู้ว่าถ้าเราเต็มที่แล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง

เราเลยทำ exhibition ที่มีคาแร็กเตอร์เด็กที่มีหูเป็นกระต่าย ช่วงนั้นเรามีลูกแล้ว คาแร็กเตอร์นี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากลูกเรา จริงๆ คาแร็กเตอร์นี้มันไม่มีชื่อ แต่ลูกเราชื่อมาร์ดี คนเลยเข้าใจผิดว่ามันคือมาร์ดี ตอนนี้เราก็พยายามแก้ว่ามันไม่มีชื่อ
ตอนนั้นเราคิดกับตัวเองว่าเราจะเอาทักษะที่มีทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ใส่ไปกับโชว์นี้ทั้งหมดเลย เพื่อลองดูว่าถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง เราตั้งใจกับโชว์นี้มาก ทำงานเต็มที่ แล้วก็บอกกับเพื่อนทุกคนว่าโชว์นี้จะต้องเปลี่ยนชีวิตเราให้ได้ เหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง คือเรามีลูกแล้ว มีครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว มันต้องจริงจังกับอะไรบางอย่าง
แล้วผลเป็นอย่างที่คิดไหม
ผลก็โอเค งานก็ขายได้ ตอนนั้นงานเราก็ sold out ซึ่งไอ้การขึ้นป้ายว่า sold out มันคือการการันตีอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเราก็คิดว่านี่คือสเตปหนึ่งที่เราก้าวเดินเข้ามาในวงการศิลปะ
เหมือนหลังจากนั้นคุณก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น งานเริ่มขายได้ แสดงว่าชื่อเสียงก็เป็นสิ่งสำคัญกับอาชีพศิลปิน
ชื่อเสียงมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่การันตีว่างานคนนี้น่าซื้อ แต่สำหรับเราถ้าพูดถึงคำนี้ มันดูเป็นเรื่องที่เราต้องเทคความรับผิดชอบมากกว่า มันกลายเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบว่าเราทำงานออกไปแล้วเนื้อหาที่เราทำมันไปกระทบใคร มันไปทำให้เกิดอะไรในสังคม แล้วเราต้องปฏิบัติตัวยังไง เพราะเรากลายเป็นตัวอย่างให้คนโน้นคนนี้ ถ้าเราจะทำอะไรแย่ๆ ก็ต้องควบคุมอารมณ์ แต่จริงๆ เราก็เป็นคนปกติน่ะ บางทีเจออะไรไม่ได้ดั่งใจเราก็พูดตรงๆ เราก็ใส่ มันก็มี แต่เราต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากชื่อเสียงที่มันเข้ามา จากสิ่งที่เราต้องเทค ต้องให้ มันก็เหมือนภาระอย่างหนึ่ง
เรามีสิ่งไหนสิ่งนั้นคือภาระ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ทุกวันนี้คนมองเข้ามาน่าจะเดาว่าเรื่องปากท้องคุณน่าจะสบายแล้ว มันเป็นอย่างนั้นไหม
ก็ลำบากอย่างอื่น
ลำบากอะไร
ยังต้องปีนบันไดอยู่ (หัวเราะ) ยังปีนนั่งร้านอยู่
ทำยังไงศิลปินคนนึงจึงจะสามารถหล่อเลี้ยงปากท้องไปพร้อมกับการทำงานที่ตัวเองรักได้
เราว่ามันก็ต้องเอาวิธีคิดที่เป็นเชิง business เข้ามาใช้ในการทำงานศิลปะด้วย ถ้าเราอยากจะขายงานได้ แล้วเอาเงินนั้นมาซื้อสีวาดรูปต่อไป อยากทำงานให้มันดีขึ้น มันก็ต้องใช้บัดเจ็ต
สมมติทำนิทรรศการหนึ่งเราจะมีอะไรที่มา cover ต้นทุนของเราได้บ้างล่ะ มันเป็นเรื่องของหลักคอมเมอร์เชียลที่จะทำให้เรามีรายได้กลับเข้ามา สมมติถ้าเกิดทำงานชิ้นใหญ่มากๆ ใครจะเอาไปติดบ้านล่ะ มันก็สร้างความยากในการซื้อ-ขาย เราอาจต้องมีชิ้นเล็กๆ ในโชว์ไหม เพื่อให้คนที่มาแล้วชอบชิ้นนี้เขาสามารถซื้อกลับไปได้ เราเองก็มีรายได้ด้วย
อะไรพวกนี้มันเป็นเรื่องของ business ซึ่งเราไม่ได้เป็นคนเก่ง business นะ เราอาจไม่ได้มีหัวเรื่องนี้แต่เราแค่มีวิธีคิดที่อยากจะให้มีรายได้กลับเข้ามา อย่างงานนิทรรศการนี้เราก็ต้องคิดว่าจะทำเสื้อยืดด้วยไหม หรือทำอะไรขาย แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้หมายความว่ามันจะมาทำลายความบริสุทธิ์ในการทำงานศิลปะของเราสักหน่อย ไอ้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นี่เป็นเรื่องของตอนทำแล้ว แต่พอมันเป็นชิ้นงานขึ้นมา ถ้าเราอยากอยู่ได้เราก็ต้องขาย
คุณไม่ได้แอนตี้กับการที่ศิลปินจะมุ่งหาเงิน
การทำงานหนึ่งอย่างเพื่อหาเงินมันก็ไม่ผิดนะ งานนี้กูจะเอาเงินมันก็ไม่ผิด นึกออกไหม เราไม่ได้ไปโกงใครนี่
แล้วถามว่าทั้งหมดนี้เราอยากขายไหม พูดตรงๆ เราก็ไม่อยากขายหรอก เราไม่อยากขายสักชิ้น ทุกอย่างมันมีความหมายกับเราทั้งนั้น แต่ว่าอาชีพเรา เราก็ต้องขายเพื่อให้มีเงินกลับมาเลี้ยงดูทุกคน เลี้ยงดูครอบครัวเรา บางครั้งมันก็เจ็บปวด งานชิ้นหนึ่งหายไปเราก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทุกครั้งที่เรากลับไปเจอมันเหมือนเจอคนรักที่ไม่ได้เจอนาน เดินกลับมาเจอรูปเก่าๆ ที่เคยวาดแล้วขายไปก็ขนลุก แต่อย่างที่บอก ถ้าอยากอยู่ได้มันก็ต้องมีความคิดที่เป็น business ขึ้นมานิดนึง

ศิลปินจำนวนไม่น้อยจะขัดๆ เขินๆ เวลาต้องพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือธุรกิจ แต่คุณไม่เป็นแบบนั้น
ไม่ เราอยู่ในโลกความจริง ก็อย่างที่บอก การทำงานเพื่ออยากได้เงินมันก็ไม่ผิด แต่ถามว่าเราคิดถึงเงินเป็นอันดับหนึ่งไหม เราก็ไม่ได้คิดถึงเงินเป็นอันดับหนึ่ง บางโปรเจกต์เราพิจารณาแล้วว่าเราได้เงินเยอะมากนะ แต่มันไม่ใช่จุดยืนของเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เราอิน มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำแล้วจะมีคำตอบให้เราทุกอย่าง หรือว่าเราไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ เราก็ไม่ทำ ก็ปฏิเสธ
ถามว่าเงินจำเป็นไหม จำเป็นฉิบหายเลย แต่ถ้าเรารับโปรเจกต์หนึ่งแล้วทำให้เราเสียจุดยืนในการทำงานศิลปะของเราไปเลย เงินเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้ม
จุดยืนสำคัญกว่า
สำคัญกว่า มันทำให้เราสามารถทำงานต่อยันแก่ ยันตาย เราทำมาขนาดนี้แล้ว ถ้าเราเอาเงินมาก้อนหนึ่งแล้วทำให้เราเสีย เงินก้อนนั้นเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้ม
คุณปฏิเสธเงินบ่อยไหม
ก็เยอะเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ปฏิเสธเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
เป็นคนเลือกงาน
มันถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว เมื่อก่อนไม่เลือก ทำหมด ช่วงนั้นงานที่เป็นคอมเมอร์เชียล งานหนักงานเบาอะไรเราก็ทำหมด ทำงานจนเช้าอีกวันเราก็ลุยได้ ตอนนี้มันเหมือนเราต้องเลือก เพราะเวลาชีวิตมันก็เหลือน้อยลง โปรเจกต์ต่างๆ ก็มีอีกหลายอย่างที่เราอยากทำ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแบ่งเวลา แล้วก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ
ตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เราต้องปฏิเสธใครแล้ว แค่ just say no เรารู้สึกว่าการปฏิเสธมันโอเค ไม่เป็นไรครับ อันนี้ไม่ได้ ไม่ทำครับ ปฏิเสธไปเลย เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาด้วย แค่เราปฏิเสธ ไม่เห็นโลกจะแตกเลยนี่หว่า ทำสิ่งที่เราอยากทำดีกว่า

ที่ว่าเลือกงานคุณเลือกยังไง มองหางานแบบไหน
ก็ดูว่าโปรเจกต์มันน่าสนใจไหม น่าสนใจขนาดไหน บางครั้งมันอาจจะเป็นโปรเจกต์ที่ไม่ได้เงินด้วยซ้ำก็มี แต่มันเป็นโปรเจกต์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรบางอย่างแล้วเรารู้สึกโอเค คือบางทีงานของเรามันก็เป็นเหมือนเครื่องมือที่สามารถพูดอะไรให้ดังขึ้นได้จากคนตัวเล็กๆ ซึ่งโปรเจกต์แบบนี้ ถ้าเราเห็นด้วยกับคนเหล่านั้น เราก็อยากทำ เพื่อให้ประเด็นนั้นมันพูดได้ดังขึ้น
ตอนนี้มันมีหลายอย่างที่ประกอบการตัดสินใจเรา ไม่ใช่แค่ตัวเงิน แล้วเราก็อยากทำโปรเจกต์ของตัวเองมากกว่า แต่เรื่องแบบนี้เราก็ไม่ใช่คนตัดสินใจคนเดียวอีกแล้ว เราก็มีทีมที่ปรึกษากันว่าโปรเจกต์นี้เอาไงดี มันก็ต้องบาลานซ์ โปรเจกต์คอมเมอร์เชียลก็ควรทำบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันต้องดูว่าอันไหนที่เหมาะกับเรา
อย่างพวกงานคอมเมอร์เชียลมันก็ดีอย่างหนึ่งตรงที่สามารถเข้าถึงคนได้ง่าย เพราะบางครั้งการที่มันเป็น fine art อยู่ในสเปซอย่างแกลเลอรี มันก็อาจจะไม่ได้เข้าถึงคนในวงกว้างขนาดนั้น งานคอมเมอร์เชียลมันก็เป็นการ invite คนเข้ามาสู่โลกศิลปะ เขาอาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ แค่นี้ แล้วพอเขาสนใจ เขาอาจจะไปเสิร์ชว่ามีอะไรอีก อาจจะเริ่มจากเราแล้วไปสู่ศิลปินคนอื่นต่อ กลายเป็นว่าเขาได้ดูงานศิลปะ ได้ชอบศิลปะ ซึ่งเราว่ามันก็ดี เพราะมันก็คือสุทรียภาพ งานคอมเมอร์เชียลมันก็มีอะไรแบบนั้นอยู่
ถึงวันนี้สำหรับศิลปินคนนึง ตัวเลข 20 ปีมีความหมายพิเศษยังไงบ้างไหม
สำหรับเรา เราอาจจะพูดถึงตัวเรามากกว่า 20 ปี เพราะที่จริงมันยาวนานกว่านั้น ชื่อนิทรรศการเราอาจจะสโคปตั้งแต่เราเริ่มพ่นสีคือปี 2002 แต่จริงๆ ถ้านับจากช่วงเวลาที่เราชอบวาดรูปมามันยาวกว่านั้น
สาระของมันคือเหมือนเรากลับไปสู่ภาพของเราตอนเด็กที่นั่งวาดรูปลงบนกระดาษ แล้วลมปะทะหน้าเราเย็นๆ ซึ่งบางช่วงที่เรากำลังนั่งวาดรูปสำหรับโชว์นี้แล้วลมมันก็ปะทะหน้าเราแบบนั้น คือชีวิตเรามันก็แค่นี้ สาระของเราจริงๆ คือเราได้อยู่กับมัน ได้วาดรูป ได้จดจ่อ รู้สึกเอนจอย มีความสุขกับการทำงาน ซึ่งเหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็กเลย ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรู้สึกเราก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ มันเหมือนสิ่งเดิม เพียงแค่ประสบการณ์ของเรามันเปลี่ยนไปตามวัย

แล้วการจัดงานนิทรรศการครบรอบ 20 ปีสำคัญยังไง
เราว่ามันเป็นการทบทวนตัวเองอะไรบางอย่างสำหรับเรา เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากจะป่าวประกาศว่า เฮ้ย กูพ่นมา 20 ปีแล้วนะเว้ย แต่มันเหมือนเราอยากจะทบทวนตัวเองว่าเราทำงานมา 20 ปีแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง ที่เราเดินทางมาตลอดที่เราทำงานศิลปะมา มันมีอะไร เราพบเจออะไรบ้าง เราเจอเพื่อน เราเจอใครบ้าง เราร่วมงานกับใครบ้าง มันเหมือนเป็นการทบทวนตัวเองอย่างหนึ่งในอาชีพของเรา ในสิ่งที่เราชอบทำ ในสิ่งที่เรารัก ทบทวนว่าหลังจากนี้เราจะเดินทางไปยังไงต่อ
เหมือนการจัดงานนิทรรศการนี้ไม่ใช่การตะโกนบอกคนข้างนอก แต่เป็นการย้อนคุยกับข้างใน
ใช่ เราว่ามันเป็นอะไรแบบนั้นมากกว่า แล้วเราก็ได้เจออะไรหลายอย่างกับการทำงานชุดนี้ มันก็มีหลายอย่างทับซ้อนกัน
อย่างที่บอกว่า 20 ปีแล้ว เราก็อยากจะทบทวนตัวเอง แล้วจัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่ ไอ้การที่มานั่งหักโหมทำอะไรไม่หลับไม่นอน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ แต่จะพยายาม เราว่าถ้าเรารับงานน้อยลงแล้วใช้เวลากับมันเยอะขึ้น เราก็สามารถทำได้ เราอยากตื่นเช้าไปส่งลูกไปโรงเรียน อยากปรับชีวิตเป็นคนแก่ว่างั้น ใช้เวลาอยู่กับลูก ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราทำงานเยอะมาก เราทำงาน ทำงาน ทำงาน
เห็นว่านิทรรศการครั้งนี้มีทั้งงานที่สร้างใหม่จากงานข้างถนนที่เคยทำ และงานเก่าที่มีความหมายในชีวิต อยากรู้ว่าคุณมีหลักในการเลือกงานยังไง
เราเลือกนานเหมือนกัน ก็เปิดรูปดูงานเก่าๆ มีหลายรูปมากที่อยากวาดแล้วยังไม่ได้วาด แต่ก็เลือกงานพวกนี้มาเพราะมันเป็นคีย์อะไรบางอย่างกับชีวิต เช่น ชิ้นที่ไปพม่า เราประทับใจการได้เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก หรือบางชิ้นมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมการเมือง อย่างวันที่รัฐประหารเราพ่นสีอยู่พอดี เราก็เลยพ่นในประเด็นเกี่ยวกับวันนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าพูดถึงตัวเราเองด้วยแล้วยังสื่อไปถึงประเด็นที่คนอื่นสามารถรับรู้เหตุการณ์วันนั้นได้ด้วย
เราก็พยายามคัดสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็ดู element มันด้วยว่าถ้าเอามาทำใหม่เป็นงานจิตรกรรมจะออกมาเป็นแบบไหน มันน่าสนุกกับการวาดรูปแบบนี้ไหม เราก็ดูหลายๆ อย่าง

งานเก่าๆ ที่เอามาจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นงานที่คุณขายไปแล้วหรือเปล่า
มันก็มีบางชิ้นที่เรายืมจากคอลเลกเตอร์ที่ซื้อไป 2-3 คน แต่ก็ไม่ได้เยอะ พวกงานที่อยู่ในห้องที่เป็นเพนติ้งมันคือเราทำใหม่ทั้งหมด แล้วงานเก่าต่างๆ ก็คืองานที่ขายไม่ออก (หัวเราะ) เป็นงานที่มันยังอยู่แล้วเราเก็บไว้ บางชิ้นเป็นงานที่เราไปตามกลับมาจากเพื่อนที่เคยบอกว่าจะเอาไปขายให้แต่ยังไม่ได้ขาย เราไล่หาทุกคนที่เราจำได้ว่างานไปอยู่ที่ใครบ้างแล้วเอามันกลับมา แล้วงานเก่าๆ พวกนี้เราก็จะไม่ขายแล้ว เราจะเก็บมันไว้
ทำไมถึงไม่ขาย
มันไม่ใช่อารมณ์ที่เราจะขายมันแล้วน่ะ เวลามันผ่านมา เราไม่สามารถย้อนกลับไปทำรูปแบบนั้นได้อีกแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ใช้เทคนิคนั้น มันย้อนกลับไปไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะทำใหม่มันก็ไม่เหมือนเดิม
แม้วันนี้จะมีทักษะมากกว่าตอนนั้น
ใช่ เรากลับไปทำไม่ได้แล้ว บางชิ้นเราไม่ได้คิดว่ามันมีความสำคัญในตอนนั้น แต่พอย้อนกลับไปมองเราว่ามันมีคุณค่าขึ้นมา เวลามันทำงานของมัน หรือบางครั้งลูกเราเขียนอะไรลงไป วันนี้เขาโตมาเขาก็เขียนอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราเลยอยากเก็บไว้เอง
ทุกวันนี้ชื่อเสียงก็มีแล้ว เงินทองก็มีแล้ว ในฐานะศิลปินยังเหลืออะไรให้ไขว่คว้าอีก
มีเยอะแยะ (หัวเราะ) จริงๆ นะ เช่น การได้มีโอกาสไปทำงานในมิวเซียมระดับโลก มันก็น่าจะเป็นอีกโกลหนึ่งที่เราสามารถเดินไป เพราะอย่าลืมว่าแม้คนจะมองว่าเราประสบความสำเร็จ แต่เราก็ยังเทียบไม่ติดกับอีกหลายๆ คนในโลกนี้ นึกออกไหม มันมีหลายคนที่เขาได้ทำงานในพื้นที่เจ๋งๆ เราก็ยังรู้สึกว่ามันมีโกลที่เราอยากเดินไปอีก

คุณเห็นภาพตัวเองในอนาคตไหมว่าจะเป็นยังไง ต่างจาก 20 ปีที่ผ่านมาไหม
ก็ไม่ได้เห็นภาพขนาดนั้น บางครั้งบางอย่างมันก็ปุบปับ บางอย่างมันก็เกิดขึ้นกับไอเดียเรา อย่างงานแลนด์สเคปที่อยากทำ มันอาจจะไม่มีคาแร็กเตอร์เด็กเลยก็ได้ในอนาคต ถามว่าเราจะต้องเพนต์คาแร็กเตอร์เด็กตลอดไปไหม เราก็คิดว่าทุกอย่างมันเกิดจากตัวต้นเรื่องมากกว่า แล้วงานหรือเทคนิคอะไรต่างๆ มันจะตามมาเอง เราคิดว่าเฟสถัดไปมันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เป็นอะไรก็ได้
ปีนี้เราอายุ 41 เราคิดว่าในช่วง 10 ปีนี้เราน่าจะยังแข็งแรง ก็อยากทำอะไรที่มันเอดเวนเจอร์อยู่ แล้วหลังจากอายุ 50 ปี ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรไปเสียก่อนค่อยว่ากัน มันเป็นแค่การวางแผนคร่าวๆ สำหรับเรา
แต่ยังคงทำงานศิลปะแน่นอน
เราคงทำไปเรื่อยๆ เรามองตัวเองว่าตอนที่เราแก่แล้ว เราจะยังนั่งทำงานอยู่เหมือนเดวิด ฮอกนีย์
เราชอบเดวิด ฮอกนีย์ มากที่แก่แล้ว อายุ 80 กว่ายังสร้างงาน ยังเอนจอยอยู่ เรามองภาพตัวเองเป็นแบบนั้น แก่แล้วเรายังนั่งทำงานอยู่ ยังเพนต์ติ้งอยู่ แต่เราก็ไม่รู้หรอก แค่วางแผนไว้ เห็นภาพตัวเองแบบนั้น
ไม่ได้มองว่าต้องลำบากทำงานตอนแก่
ก็ลำบากแหละ ต้องแบกเฟรมออกไปเพนต์ แต่ลำบากแบบนั้นเราโอเค

Day 1 ของ The North Face ประเทศไทย กับวิธีขายอุปกรณ์กิจกรรมกลางแจ้ง ที่ส่งต่อแพสชั่นและความเชื่อแบรนด์ จนเป็น top-of-mind
‘LUCI’ ผู้สร้างนวัตกรรมประหนึ่งเทสล่าของรถเข็นที่เกิดจากความรักของพ่อต่อลูกสาว
ในการทำแบบสำรวจผู้ใช้งานรถเข็นคนพิการไฟฟ้า (Power Wheelchair) ที่รัฐโนวาสโกเชีย (Nova Scotia) ประเทศแคนาดากว่า 2,055 คน สถิติบ่งบอกว่ากว่า 57% เคยประสบอุบัติเหตุที่รถเข็นพลิกคว่ำและร่วงหล่นจากรถเข็นจนบาดเจ็บอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แบบสำรวจอื่นๆ ที่ทำในอเมริกาก็รายงานใกล้เคียงกัน โดยเฉลี่ยแล้วอย่างน้อยๆ 54% เคยเกิดอุบัติเหตุกับรถเข็น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกรณีสะดุดแล้วล้มพลิกคว่ำจนร่วงหล่นลงมาบาดเจ็บ
สาเหตุของการสะดุดก็มีตั้งแต่พื้นต่างระดับ ชนสิ่งกีดขวาง ก้อนหินใหญ่ โดนคนอื่นชนและหยุดไม่ทัน ฯลฯ พูดอีกอย่างคืออุบัติเหตุในการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับผู้พิการที่ใช้รถเข็นไฟฟ้านั้นเป็นเรื่องที่เกิดได้ทุกเมื่อและที่สำคัญคือมันอันตรายมากเพราะคนพิการหลายคนที่ใช้รถเข็นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถ้าเกิดร่วงหลุดออกมาจากรถเข็น
นั่นคือสิ่งที่ แบร์รี่ ดีน (Barry Dean) และจาเร็ด ดีน (Jered Dean) สองพี่น้องที่ก่อตั้งบริษัท LUCI อุปกรณ์เสริมสำหรับรถเข็นเพื่อเพิ่มความสามารถในการขับเคลื่อนอัตโนมัติให้กับอุตสาหกรรมรถเข็นผู้พิการที่ถูกมองข้ามและไม่ได้รับความสนใจมาหลายทศวรรษ
เหตุผลที่แบร์รี่เริ่มทำคือเพื่อช่วยให้แคทเธอรีน ลูกสาวของเขาที่มีภาวะสมองพิการให้ใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและไปไหนมาไหนเองได้อย่างมีอิสระมากขึ้น

แคทเธอรีนตอนนี้อายุประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมาเธอต้องใช้ชีวิตชีวิตกับรถเข็นไฟฟ้าทั่วไปมาตลอด แบร์รี่เล่าว่าครั้งแรกที่แคทเธอรีนได้รถเข็น หลังจากที่คลีนิคปรับจูนความเร็วของรถเข็นเพื่อให้เข้ากับความสามารถทางร่างกายของแคทเธอรีนเรียบร้อย แคทเธอรีนขึ้นนั่งปุ๊บแล้วลองบังคับ รถเข็นก็พุ่งไปชนกำแพงคลีนิคเลยทันที กว่าจะปรับตัวให้ควบคุมรถเข็นไฟฟ้าได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร
แบร์รี่ผู้เป็นพ่อกับจาเร็ดซึ่งเป็นคุณลุงของแคทเธอรีนเชื่อว่ามันควรมีวิธีที่ดีกว่านี้ พวกเขาหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ไปงานโชว์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากมายแต่ก็ไม่เจอส่ิงที่ตามหา จึงตัดสินใจร่วมมือกันสร้าง LUCI ขึ้นมา โดยจาเร็ดมีพื้นฐานเป็นวิศวกรอยู่แล้วจึงดูแลในส่วนของเทคโนโลยีทั้งหมดเลย ส่วนแบร์รี่ก็ดูภาพรวม การตลาด และส่วนอื่นๆ
พวกเขาตั้งชื่อบริษัทว่า LUCI ขึ้นมาตามชื่อเพลง Lucy In The Sky With Diamonds ของ The Beatles ซึ่งเป็นเพลงโปรดของแคทเธอรีน ระหว่างสร้างพวกเขารู้ข้อมูลว่ารถเข็นไฟฟ้าเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ด้วยน้ำหนักของมันที่สูงถึง 180 กิโลกรัม สามารถทำให้ร่างกายของคนที่ขับขี่บาดเจ็บได้หากเกิดพลิกคว่ำมาทับ และรายงานจากโรงพยาบาลบอกว่ามีการเข้ามารักษากว่า 175,000 ครั้งต่อปีที่เป็นอุบัติเหตุเกี่ยวเนื่องกับรถเข็นไฟฟ้า

หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มทดสอบความรุนแรงของการชนของรถเข็นไฟฟ้า (เหมือนการทดสอบสมรรถภาพการชนรถยนต์) ด้วยตัวหุ่นทดลอง พวกเขาพบว่าการชนแต่ละครั้งมีความเสี่ยงในการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าโดยตรงเพราะมันอยู่ด้านหน้า และมีอันตรายไม่ต่างจากการอุบัติเหตุจากรถยนต์เลย และนั่นเป็นที่มาของอุปกรณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้น
โดยอุปกรณ์ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยโปรเซสเซอร์ ARM เพื่อประมวลผลข้อมูลจากกล้องหลายตัวสำหรับจับภาพสภาพแวดล้อม สิ่งของ และบุคคลอื่นรอบตัว พร้อมทั้งยังมีเซนเซอร์ที่ใช้เรดาร์และคลื่นอัลตราโซนิกเพื่อวัดระยะทางสำหรับความแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
อุปกรณ์เสริมตัวนี้สามารถใช้กับรถเข็นไฟฟ้าได้เกือบทุกรุ่น หลังจากที่ซื้อมาสามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเองที่บ้านโดยทำตามขั้นตอนในวิดีโอสาธิต โดยเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน ตั้งแต่การชน ที่ระบบจะหยุดรถเองเมื่อใกล้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า, การพลิกล้ม ที่อุปกรณ์จะตรวจสอบระดับความสูงของพื้นที่ไม่เท่ากัน อย่างขอบถนน, การทับก้อนหินหรือสิ่งของกีดขวางจนทำให้รถเข็นเสียการทรงตัว ที่อุปกรณ์จะมีเซนเซอร์เพื่อประมาณระยะห่างของสิ่งกีดขวางต่างๆ

นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับลำโพงอัจฉริยะในบ้าน อย่างพวก Google Home หรือ Amazon Echo เพื่อเช็กระดับแบตเตอรี่ของรถเข็นไฟฟ้าได้ด้วย การสั่งก็จะถามประมาณว่า ‘Alexa ตอนนี้รถเข็นไฟฟ้าแบตเตอรี่เหลือเท่าไหร่’ ตัว LUCI ที่เชื่อมต่อกับรถเข็นไฟฟ้าก็จะส่งข้อมูลไปยังลำโพงอัจฉริยะเหล่านั้นด้วย
จาเร็ดบอกว่า “ผู้ใช้งาน LUCI ควรได้รับการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่คนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้เช่นเดียวกัน ตอนที่เราพัฒนา LUCI เราก็ไปศึกษาว่าระบบการขับเคลื่อนรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยนั้นทำงานยังไง ซึ่งสิ่งที่ LUCI ทำได้ตอนนี้ก็เหมือนกับรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีระดับแถวหน้าของตลาดมีเลย สามารถมองรอบด้านได้ 360 องศา”
รถเข็นไฟฟ้าที่ใช้ LUCI จะสามารถตรวจสอบได้รอบคันว่าตอนนี้มีอะไรอยู่รอบๆ บ้าง โดยเทคโนโลยีนี้จะประมวลผลสภาพแวดล้อมรอบๆ และแปลงค่าให้มันเป็นโซนที่ปลอดภัยและอันตราย มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยอย่างเทสล่า LUCI สามารถบอกได้เลยว่า ตรงไหนไปได้บ้าง ตรงไหนควรหลีกเลี่ยง ควรเลี้ยวซ้ายขวา ชะลอความเร็ว ฯลฯ
ข้อมูลเหล่านี้ก็จะถูกนำมาแสดงบนแอพพลิเคชั่นของ LUCI บนมือถือ สำหรับคนที่ยังพอบังคับรถเข็นไฟฟ้าเองได้บ้างมันก็ช่วยอำนวยความสะดวก แต่สำหรับใครที่บังคับไม่ได้ดีนัก มันจะช่วยบังคับล้อและทิศทางของรถเข็นไฟฟ้าให้ได้ด้วย หรือถ้าไปเจอพื้นที่อันตราย (ต่างระดับ) แล้วไม่ทันระวังก็จะเบรกให้เองด้วย


แบร์รี่มีอาชีพเป็นนักดนตรีและตอนที่เริ่มสร้างบริษัทคนรอบๆ ตัวต่างบอกว่าอย่าทำเลย แบร์รี่กลับไปเล่าถึงช่วงเวลานั้น
“ผมเป็นนักดนตรี คนแต่งเพลง และคนก็บอกกับผมว่า ‘เฮ้ย นายไม่อยากเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้นหรอก นายไม่อยากสร้างบริษัทหรอก แค่รอให้อุตสาหกรรมพัฒนาขึ้นดีกว่าและก็กลับไปมีความสุขกับการเขียนเพลง’ แต่ก่อนที่ผมจะมาอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงผมเคยทำงานอื่นมาก่อนและก็หาข้อมูลมาแล้วด้วย”
ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวและความช่วยเหลือจากน้องชาย (จาเร็ด) คุณลุงของแคทเธอรีน แบร์รี่กัดฟันเดินหน้าต่อแม้จะถูกต่อต้านจากคนรอบข้าง
“ผมรู้เลยว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีประเภทนี้อาจใช้เวลานานถึง 20 ปี และผมก็ไม่พร้อมจะแลกชีวิตของแคทเธอรีนเพื่อรอให้อุตสาหกรรมหันมาสนใจทำหรอก”
LUCI ได้รับรางวัล ‘Best Inventions of 2020’ ของนิตยสาร Time และเปิดขายไปในช่วงต้นปี 2021
เสียงตอบรับของ LUCI ในตลาดถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ราคาขายอยู่ที่ราว 8,445 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 320,000 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับรถเข็นไฟฟ้าที่ขายกันในตลาดที่ราวๆ ล้านกว่าบาทถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณและคนที่คุณรักได้อย่างมาก และแน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีได้ถูกนำไปใช้มากขึ้นและพัฒนาให้ดีขึ้น ราคาจะค่อยๆ ถูกลงเรื่อยๆ

แบร์รี่บอกว่าคนเรียก LUCI ว่าเป็น ‘disruptor’ หรือสตาร์ทอัพที่มาเขย่าวงการอุตสาหกรรมรถเข็นไฟฟ้า แต่เขาเห็นว่า LUCI เป็น ‘catalyst’ หรือตัวเร่งปฏิกิริยามากกว่า และเงินที่ได้มาเขาก็จะเอากลับมาพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อ ทำให้มันดีที่สุด มากขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าจะเป็นตัวดึงดูดให้บริษัทอื่นเข้ามาทำด้วย
เพราะเขาทราบดีว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่เพียงเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและมีความสุขมากขึ้นของผู้ใช้งานของ LUCI เท่านั้น แต่เป็นอนาคตที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของคนที่เขารักที่สุด
นั่นก็คือแคทเธอรีนนั่นเอง
อ้างอิง
- forbes.com/sites/gusalexiou/2021/07/14/luci-makes-powerchairs-smarter-and-safer-with-autonomous-vehicle-technology/?sh=578cb5306320
- closingthegap.com/wheelchair-smarter-introducing-luci-smart-wheelchair-technology-for-the-most-fearless-people-on-earth
- denverpost.com/2020/12/15/colorado-luci-dean-brothers-smart-wheelchair-technology
- pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21621665
- pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/7917161
คุยกับ Molto ไอศครีมขายดีบนโลกออนไลน์ที่ยึดหลักดึงรสของวัตถุดิบให้ออกมาดีที่สุด
สุรเวช เตลาน ผู้นำเข้า Mo-Mo-Paradise และใช้เวลา 360 วันแรกยืนบริการลูกค้าด้วยตัวเอง
จุดร่วมของความอัดอั้นตันใจอย่างหนึ่งที่ประชาชนชาวเน็ตในไทยมีร่วมกันในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาคือ การไม่ได้ออกไปนั่งกินข้าวนอกบ้านเฮฮากับเพื่อนฝูง เพราะร้านอาหารทุกร้านในประเทศไม่สามารถขายอาหารแบบเสิร์ฟบริการลูกค้าในร้านได้ ลูกค้าจะต้องซื้อกลับไปกินเองที่บ้านเท่านั้น
การจำกัดไม่ให้คนนั่งกินข้าวในร้านยังส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารที่ขายแบบุฟเฟต์ต้องเปลี่ยนแปลงระบบการขาย ไม่สามารถขายอาหารแบบบุฟเฟต์ ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์แต่ละร้านก็มีกลยุทธ์ต่างกันไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะจบลงที่การนำเอาวัตถุดิบในร้านมาดัดแปลงเป็นเมนูเพื่อที่จะขายเดลิเวอรี
ถึงจะใช้วัตถุดิบจากซัพพลายเออร์เดิม ปรุงโดยน้ำซุปสูตรเดิม หุงข้าวพันธุ์เดิมแบบที่เคยเสิร์ฟในร้าน แต่ถึงยังไงรสชาติการกินอาหารแบบบุฟเฟต์ที่ร้านกับการสั่งมากินที่บ้านก็ไม่เหมือนกัน บรรยากาศการนั่งกินสุกี้ชาบูหรือหมูกระทะ แบบที่คนทุกคนล้อมวง หัวชนกัน มีพนักงานคอยบริการเติมอาหารที่พร่องไป
ทั้งหมดนี้ถือเป็นเสน่ห์แห่งการกินบุฟเฟต์ที่ร้าน ที่ทุกคนรักและคิดถึง
ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติ ความต้องการอันล้นหลามของหมู่มวลมหาประชากรจะพร้อมใจไปแห่เข้าคิวเพื่อให้ได้กินที่ร้าน ณ วันแรกที่มีการผ่อนคลายมาตรการ และร้านหนึ่งที่คนจำนวนไม่น้อยต่างนึกคิดกันไว้ในใจว่าต้องไปเยือนหลังการผ่อนคลายมาตรการจนคนต่อคิวถล่มทลายกลายเป็นมีม
นั่นคือร้าน Mo-Mo-Paradise
ณ วันนี้สถานการณ์ผ่อนคลายจนเรากลับมาใช้ชีวิตประจำวันกันได้ดั่งปกติสุขแล้ว แต่คิวของร้าน Mo-Mo-Paradise ไม่ว่าจะสาขาไหนๆ ก็ยังคงยาวเหยียด ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่เป็นปัจจัยอื่นที่อาจไม่ได้หาได้ง่ายๆ จากร้านสุกี้ชาบูทั่วไป
ปัจจุบัน Mo-Mo-Paradise ในประเทศไทยมีทั้งหมด 22 สาขา พร้อม Momo Gold 1 สาขา และเดินทางมาถึงปีที่ 15 แล้ว ความลับในความรักที่ Momo Paradise สามารถกลายมาเป็นแบรนด์บุฟเฟต์ชาบูสุกี้ที่คนยังคงรักอย่างเหนียวแน่นได้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก คุณเอ–สุรเวช เตลาน ผู้นำเข้าลิขสิทธิ์ Momo Paradise ในประเทศไทย ได้ใช้เวลาทั้ง 360 วันแรกของการเปิดร้านยืนบริการลูกค้าด้วยตนเอง จนเข้าอกเข้าใจถึงความคาดหวังและจิตใจของคนหิว
จนมาถึงวันนี้ วันที่คิวนานเท่าไหร่คนก็รอ

ย้อนกลับไป ตอนไหนที่คุณเริ่มสนใจธุรกิจร้านสุกี้ชาบูสไตล์ญี่ปุ่น
อันนี้ต้องเท้าความไปไกลเลยครับ คือผมเป็นคนชอบกินอะไรที่เป็นหม้อไฟอยู่แล้ว เหมือนสุกี้ไทยอะไรอย่างนี้ แล้วพอผมได้กินสุกี้ชาบูญี่ปุ่นครั้งแรกจริงๆ ผมก็ยังไม่เก็ต ไม่เก็ตว่ากินยังไง กินแล้วยังรู้สึกว่าสุกี้สไตล์ไทยเวิร์กกว่านะ อันนั้นคือในความคิดแวบแรก ซึ่งตอนนั้นผมยังเป็นเด็ก ยังวัยรุ่น ทีนี้ตอนผมไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกาก็มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นพาผมไปกินชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เป็นร้านในอเมริกาที่เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น เขาก็สอนวิธีกินให้ผมว่ากินยังไง กินชาบูต้องกินคู่กับน้ำจิ้มอะไร ค่อยๆ ลวกเนื้อทีละชิ้นนะ แล้วจิ้มน้ำจิ้มแล้วกิน ส่วนสุกี้เอาเนื้อลงไปแช่ในน้ำซุปสุกี้ที่เป็นน้ำดำ จิ้มกับไข่ดิบ แล้วก็กิน พอเรากินอย่างนั้นปุ๊บ เราก็รู้สึกว่า เห้ย มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด
สิ่งที่เราเคยรู้มาตั้งแต่เด็กว่ามันไม่อร่อยมันไม่ใช่เลย เปลี่ยนโลกผมเลย จริงๆ แล้ว ชาบูสุกี้แบบญี่ปุ่นมันอร่อยมาก อร่อยมากๆ หลังจากนั้นมาผมกลายเป็นแฟนชาบูสุกี้ญี่ปุ่นตัวยงไปเลย ผมต้องกลับไปกินร้านนั้นเป็นประจำ อาทิตย์ละ 2-3 หน แล้วผมชอบถึงขนาดว่าไปซื้อซอสซื้อวัตถุดิบของญี่ปุ่นมาทำกินเองที่บ้าน อาทิตย์นึงนี่ต้องมี 5-6 วันแล้วที่ผมต้องกินชาบูสุกี้ คือกินเป็นประจำ
แต่พอผมกลับมาเมืองไทยผมไม่เจอร้านที่เราถูกใจ คือเอาจริงๆ ก็อาจจะมีบ้างที่ชอบ แต่จะเป็นร้านเล็กๆ ในเมืองไทยที่คนญี่ปุ่นมาเปิด ซึ่งต้องบอกก่อนว่าสมัย 10 กว่าปีที่แล้วคนญี่ปุ่นที่เขาทำร้านแบบนี้ในเมืองไทย เขามักจะให้กินสุกี้แบบไม่กินกับไข่ดิบ เพราะตอนนั้นคนไทยยังไม่เข้าใจการกินเนื้อจิ้มกับไข่ดิบ วิธีที่เขาทำก็เลยจะเป็นว่า เอาเนื้อไปผัดในหม้อแล้วก็เสิร์ฟให้ลูกค้ากิน ซึ่งรสชาติมันก็ตกไป แต่ถ้าร้านที่ทำตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เท่าที่มีในตอนนั้น สำหรับผม ผมคิดว่ามันยังไม่สุด ก็เลยคิดว่าทำยังไงดี เปิดเองเลยไหม อันนี้แอบคิดนะครับ (หัวเราะ)

ความมุ่งมั่นมาเต็มเลยว่าเราจะเปิดร้านเองดีไหม เพราะเราก็เคยทำกินเองตอนอยู่ที่อเมริกา แต่พอผมเอาไอเดียนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ทุกคนก็พูดไปทางเดียวกันว่า “ไม่เวิร์กหรอก”
คือเกิดมาผมไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อนเลย ได้ยินแบบนั้นผมก็มาคิดว่าไม่เอาดีกว่า เพราะไอ้การทำกินเองที่บ้านกับการจะมาเปิดร้านอาหารมันไม่เหมือนกันแน่นอน ดังนั้นผมก็เลย เชื่อคนอื่นที่เขาแนะนำว่ามันไม่น่าทำได้ ผมก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่เราทำอยู่ดีกว่า ก็คือตอนนั้นผมช่วยกิจการที่บ้านครับ กิจการของคุณพ่อทำโรงงานผลิตขนมส่งออกต่างประเทศ
แล้วความฝันกลับกลายมาเป็นความจริงได้ยังไง ไปเจอ โมโม พาราไดซ์ ตอนไหน
ตอนที่ผมไปขายขนมที่ประเทศญี่ปุ่นนี่แหละ คือผมเป็นคนชอบอาหารญี่ปุ่นหลายอย่างอยู่แล้ว ผมก็กวาดตามองตอนไปที่ญี่ปุ่น ก็เห็นว่าเขามีร้านนั้นร้านนี้นะ มีธุรกิจหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ผมก็มีความฝันว่าถ้าเป็นไปได้อยากจะนำธุรกิจอะไรสักอย่างของญี่ปุ่นมาเปิดที่เมืองไทย แล้วก็บังเอิญได้มีโอกาสไปเจอร้านโมโม พาราไดซ์ ที่ชินจูกุ ซึ่งไม่ใช่สาขาใหญ่ของเขานะครับ ตรงนั้นเป็นสาขาเล็ก
ซึ่งแค่ครั้งแรกที่ผมกินชาบูสุกี้ที่นั่นผมก็รู้สึกว่า เห้ย นี่คือชาบูสุกี้สไตล์ที่ใช่แบบที่เราชอบเลย คือจริงๆ ผมเคยไปกินชาบูสุกี้หลายร้านที่ญี่ปุ่นนะ แต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นร้านไฮเอนด์ ก็คือจะแพงไปเลย กินอร่อยนะแต่เอามาเมืองไทยเปิดไม่ได้แน่ ด้วยราคาของมัน แต่พอเจอโมโมปรากฏว่าทุกอย่างมันลงตัว ทั้งอร่อย คุณภาพดี การบริการดี ไม่ได้พรีเมียมไฮเอนด์ casual นิดนึง ให้เราสามารถเข้าไปได้บ่อยๆ สบายๆ ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะนำมาเปิดที่เมืองไทยได้
ด้วยราคาที่ทางญี่ปุ่นตั้งตอนนั้น ผมก็ลองคิดเร็วๆ กลับมาเป็นเงินไทยว่า ถ้าเราเอามาเปิดที่เมืองไทย เราต้องขายราคาเท่าไหร่ อะไรยังไง คิดแล้วก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ไม่ได้แพงเกินไป และน่าจะตอบรับกับตลาดเมืองไทยได้ ก็เลยพยายามติดต่อเพื่อให้ได้เจอเจ้าของโมโม
คนเคยล้มเลิกครั้งนึงเพราะมีคนบอกว่าไม่เวิร์กหรอก ทำไมครั้งนี้จึงกล้าทำ
มันไม่เหมือนกัน คือร้านโมโมที่ญี่ปุ่นตอนนั้นมีหลายสาขาแล้ว ประมาณ 30 กว่าสาขา คือเขาอาจจะไม่ใช่ร้านเชนใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศขนาดนั้น แต่เขาเป็นร้านที่มีสาขาประมาณนึงในโตเกียว ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นร้านที่เขาพรูฟแล้วว่ามันเป็นเชน เป็นระบบได้ ผมก็เลยรู้สึกว่าอันนี้น่าจะโอเคถ้าเราติดต่อแล้วเขายอมมาเปิดกับเรา เพราะมันมีระบบรูปแบบอะไรต่างๆ ที่พร้อมจะกลายเป็นธุรกิจได้จริงๆ

ครั้งแรกที่เจอกับเจ้าของโมโม พาราไดซ์ เป็นยังไง คุณคุยอะไรกัน
ตอนนั้นเราเชิญเขามาเมืองไทย คือตอนไปกินที่ญี่ปุ่นเราก็พยายามขอคอนแทกต์ พยายามติดต่อและพยายามเชิญเขา จนตัวเจ้าของเขายอมบินมาเจอผมที่เมืองไทย ผมเชิญเขามาเพื่อให้เขารู้ว่า เราก็เป็นคนทำงานนะ เราเอาจริงนะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ผมเป็นใครก็ไม่รู้แล้วจะเดินมาขอเขาโดยไม่มีแบ็กกราวนด์ที่โอเค ผมก็เลยเชิญเขามา แล้วเราก็โชว์ความมุ่งมั่น โชว์ความตั้งใจ โชว์ความชอบ พาเขาไปสำรวจตลาด พาเขาไปทุกที่ พาไปจนเรารู้สึกว่าเราเป็นพาร์ตเนอร์กับเขาแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่ได้ตกลงกัน ยังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรกันเลยนะ (หัวเราะ)
แต่ตัวผม ผมคิดว่าผมเป็นพาร์ตเนอร์กับเขาแล้ว จนเขามาเบรกผมว่า “เดี๋ยวนะๆ เรายังไม่ได้เซ็นสัญญากันเลยนะ เดี๋ยวเราเซ็นสัญญากันก่อนแล้วค่อยมาลงรายละเอียดกัน” (หัวเราะ)
ใช้เวลานานไหมกว่าเขาจะเชื่อใจยอมเซ็นสัญญา
ผมจำไม่ได้ว่าเขาบินมากี่ครั้งและผมบินไปกี่ครั้ง แต่ผมจำได้ว่าบินกันไปมาอยู่ประมาณ 3 เดือนจนได้เซ็นสัญญา ผมจำโมเมนต์นั้นได้เลย ตอนที่เขาตกลงเซ็นสัญญากับผมพร้อมกับแตะไหล่แล้วบอกผมว่า นี่แหละพาร์ตเนอร์ของเขา เพราะว่าเขาบอกผมว่าเขาคลิกที่คำคำนึง
คือผมบอกเขาว่า ผมอยากได้ชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ มาเปิดที่เมืองไทย โดยที่ผมจะไม่เปลี่ยนอะไรให้เป็นสไตล์ไทยเลย ผมจะเอาแบบที่เขาทำ แบบที่ผมชอบแบบนี้ เอามาทำให้คนไทยได้ทราบ ได้รู้จัก และได้ชอบ ผมเชื่อว่าถ้าคนไทยจะชอบแบบที่ผมชอบ อาหารตัวนี้น่าจะไปได้ดีที่เมืองไทย นั่นคือสิ่งที่ผมคิด พอผมพูดคำนี้ออกไป เขาก็ตบไหล่ผมแล้วบอกผมว่า “อืม คุณคือคนที่ใช่”
หลังจากนั้นเขาก็ตกลงให้ผมเอาโมโมมาเปิดในไทยได้ แล้วเราก็เซ็นสัญญากัน

คนรอบข้างพอรู้ว่าคุณเซ็นสัญญาสำเร็จมีฟีดแบ็กยังไงบ้าง
ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนยินดีด้วยเท่าไหร่ คือคนอาจจะยังไม่เห็นภาพ มันจะมีหลายคำถาม ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจร้านอาหาร ทำร้านอาหารมันจะดีเหรอ มันจะเป็นธุรกิจที่ดีเหรอ มันจะรุ่งเหรอ แต่ที่บ้านผมโอเคนะ ที่บ้านให้การสนับสนุนเพราะเขาเข้าใจในมุมที่เราอยาก แล้วเราก็มองภาพในเชิงการทำธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่แค่การอยากเปิดร้านอาหารเฉยๆ แต่คนอื่นเขาอาจจะยังไม่เห็นเหมือนผมในตอนนั้น
แล้วตอนที่ต้องเริ่มต้นทำสาขาแรกในไทยคุณทำยังไง
ผมก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็ อ้าว มีเราคนเดียว คือโอเคคุณพ่อคุณแม่ให้การสนับสนุนแต่เขาก็ไม่ได้ให้ทีมมา ไม่ได้ให้คนมาทำกับเรา เพราะเราอยากเปิดอยู่คนเดียวนี่ ผมก็ทำทุกอย่างเลย ไปหาทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มจากการเข้าไปในอินเทอร์เน็ตก่อนเลย ว่ามีห้างไหนบ้างที่จะให้เราไปเปิดได้ พอเจอห้างไหนผมก็โทรศัพท์ไป ซึ่งเขาก็ไม่รู้จักเรา เพราะผมก็ไม่เคยทำธุรกิจนี้มาก่อน คือโทรไปแต่ละที่ เขาก็บอกว่าครับๆ ให้ผมทิ้งเบอร์ไว้ แล้วก็วางหู
โชคดีมากที่ตอนนั้นผมติดต่อกับที่เซ็นทรัลเวิลด์ คือพอผมติดต่อไปผู้บริหารเขาก็ติดต่อกลับมา ซึ่งผู้บริหารเขาก็เป็นคนรุ่นใหม่เหมือนกัน แล้วเขาก็มองว่าอาหารตัวนี้เป็นอาหารที่ใช่ คือมันมีเทรนด์ มันน่าจะไปต่อได้ เขาก็เลยอยากให้เราเปิดกับเขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ แต่วันนั้นเซ็นทรัลเวิล์ดยังไม่ได้บูมอย่างทุกวันนี้ วันนั้นเซ็นทรัลเวิลด์ยังเงียบๆ อยู่ แต่เราก็โอเค เพราะเราได้ศูนย์การค้าที่อยู่กลางเมือง แล้วเราก็ได้พื้นที่ใหญ่ด้วย ที่นั่นเลยกลายเป็นสาขาแรกของเรา
พอได้โลเคชั่นของร้านแล้วคุณทำยังไงต่อ
หาเนื้อครับ ผมก็ไปพวกงานโชว์สินค้า อย่างพวก THAIFEX ซึ่งผมก็ยังคงไปคนเดียวอยู่ ตอนเดินเจอร้านขายเนื้อซุ้มใหญ่ๆ ก็ขอเขาดูเนื้อ เขาก็มาถามผม จะซื้อเนื้อหรอ จะซื้อเท่าไหร่ จะซื้อแค่ไหน คิดว่าจะใช้เดือนละแค่ไหน ผมยังเด็กๆ อยู่ ตอนนั้นผมอายุประมาณ 30 ต้นๆ ผมก็ตอบว่า “ผมคาดว่าใช้เดือนละประมาณ 1 ตันน่ะครับ” คือเราก็ได้ข้อมูลจากทางญี่ปุ่นว่าสาขานึงจะใช้เนื้อประมาณนี้
เขาก็ส่ายหัวแล้วบอกว่า “โอย เป็นไปไม่ได้หรอก” แล้วเขาก็ยื่นใบราคาให้ผมบอกว่า “เอาราคาไป” แล้วก็ปล่อยผมเดินกลับมาตัวเปล่า คือเขาไม่เชื่อว่าเราจะซื้อ 1 ตัน ตอนนั้นผมก็เดินคอตกกลับบ้านพร้อมถือใบราคาเนื้อ
คือถ้าเปรียบเทียบเป็นสำนวนสมัยก่อน เขาก็จะเรียกว่า นี่คือนักร้องที่กำลังจะออกเทป ไปไหนก็ไม่มีคนสนใจ ผมก็กลับบ้าน แล้วก็คิด โห ราคาขนาดนี้ ผมจะขายยังไง จะทำราคาได้ยังไง
ผมก็พยายามหาต่อไปครับ จนตอนหลังโชคดีที่ได้เจอบริษัทที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เขานำเข้าเนื้อในยุคนั้น คือตอนนั้นเหมือนภาษีการนำเข้าเนื้อจากออสเตรเลียปรับตัวลดลง เลยมีคนหันมาเล่นตลาดนี้กันเยอะขึ้น แล้วโชคดีที่ผู้บริหารคนรุ่นใหม่คนนี้เขาตั้งบริษัทนำเข้าเนื้อขึ้นมา แล้วเขาก็บังเอิญมาเจอกับผม เขาก็มานำเสนอผม เราก็เอาเนื้อของเขามาทำ blind test โดยที่ผมก็เทสต์เนื้อหลายๆ ยี่ห้อ หลายๆ แบรนด์
ปรากฏว่ามันมีเนื้อนี้ที่ใช้ได้ ราคาได้ แล้วโชคดีมากตรงที่มันเป็นเนื้อตัวเดียวกับที่โมโม ที่ญี่ปุ่นใช้อยู่ มาจากฟาร์มเดียวกัน เกรดเดียวกัน สายพันธุ์เดียวกัน ส่วนเดียวกันกับที่ญี่ปุ่นใช้อยู่ แถมพอกดดูราคาแล้วมันไม่เกินกว่าที่เราตั้งใจเอาไว้พอดีเลย ก็เป็นความโชคดีมาก เราเลยได้เนื้อตัวนั้นมาใช้ แล้วเราก็ใช้เนื้อตัวนั้นจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

แล้วสรุปใช้เนื้อเดือนละตันแบบที่คิดไว้จริงไหม
ตอนแรกก็เดือนละตันต่อสาขานะครับ ตอนนี้ทั้งปี รวมๆ กัน เราก็ใช้ประมาณ 200 กว่าตัน ซึ่งนับเฉพาะเนื้อส่วนนี้นะ มันยังมีส่วนอื่นด้วย ก็คือตอนนี้ใช้เยอะมาก คือล้มวัวกันน่าดู คีย์ของมันคือ มันต้องเป็นวัวที่มาจากฟาร์มที่ใหญ่พอที่จะ provide ผมได้ เพราะมันต้องเป็นส่วนเดียว เกรดเดียว สายพันธุ์เดียว 200 ตันต่อปี และต้องรองรับการขยายต่อไปของเราได้อีกในอนาคต
สเปกเรา เราจะไม่เลือกว่าเนื้อวัวออสเตรเลียอะไรก็ได้ อย่างนั้นไม่เอา แต่จะต้องมาแบบสเปกนี้เท่านั้น คือเราเคยมีปัญหาตรงที่ว่า มีอยู่ช่วงนึงที่เราอาจจะไม่สามารถนำเข้าเนื้อตรงส่วนนี้เข้ามาได้ เราเลยต้องไปหาเนื้อวัวจากที่อื่นมาเพิ่มที่เป็นของออสเตรเลียเหมือนกัน ผมก็ไปเทสต์มาหลายตัว จนเจอเนื้อตัวนึงที่คิดว่าใช่ ก็สั่งเข้ามาน่าจะสัก 3-4 ร้อยกิโลฯ ได้ แต่พอเอาไปขายที่เซ็นทรัลเวิลด์ ลูกค้ากินปุ๊บเขาบอกเลยว่า “นี่ไม่ใช่เนื้อโมโม่นี่” เราก็คิดว่า ตายแล้ว แต่อาจจะแค่คนเดียวก็ได้ที่คิดแบบนั้น แต่ปรากฏว่าเริ่มมีคนที่สองคนที่สามมาบอกว่า “ไม่ใช่” เราก็คิด เอาแล้ว ทำไงดี ก็เลยตัดสินใจบอกซัพพลายเออร์ว่า ไม่ต้องส่งมาเพิ่มแล้วนะ พอแล้ว ผมคิดเลยว่า เราต้องกลับไปหาเนื้อตัวเดิมให้ได้ แล้วปรากฏว่ามันก็มีเหตุให้หากลับเข้ามาได้จริงๆ
ส่วนเนื้อ 300 กิโลฯ ตัวนั้นที่อยู่ในคลังก็หยุดใช้เลยครับ ไม่ได้ใช้เลย เพราะพอลูกค้าเขาบอกว่ามันไม่ใช่เนื้อแบบเดิมที่เขาเคยกิน ซึ่งจริงๆ ราคาไม่ได้ถูกกว่ากันนะครับ เกรดก็ไม่ได้ต่างกัน แต่พอลูกค้าเขาบอกแบบนั้นผมคิดว่ามันไม่เป็นผลดีกับเราแน่ ก็หยุดใช้เลย
คุณเล่าว่าทำตัวคนเดียวมาตลอด แล้วเริ่มสร้างทีมยังไง
หลังจากที่เราหาเนื้อได้ หาที่ได้แล้ว ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของเรา ทำให้เราโชคดีมากเลยที่หาทีมมาได้ 1 กลุ่มที่จะมาลองร่วมหัวจมท้าย มาลองลุยไปด้วยกัน
ผมเคยถามพวกเขานะว่าทำไมถึงกล้าที่จะมาเสี่ยงกับผม เขาก็บอกกันว่า เขาไม่เสี่ยงหรอก ผมน่ะเสี่ยงกว่าเขา เขาเสี่ยงน้อยกว่าเยอะ ทีมงานกลุ่มแรกที่มาร่วมช่วยกันกับผมเปิดร้านก็ยังอยู่นะครับ อาจจะไม่ครบทุกคนแต่ก็ยังอยู่ คนที่เป็นผู้จัดการคนแรกของผมเลย ตอนนี้ก็เป็น Operation Manager ที่ดูแลร้านอาหารทุกสาขาในเครือแล้ว
พอผมได้คนกลุ่มนี้มาประมาณสิบกว่าคน เป็นคนกลุ่มแรกที่พร้อมจะลุย พร้อมที่จะฟังผมเต็มที่ และเชื่อว่าจะไปด้วยกันข้างหน้า แต่ตอนนั้นผมยังไม่มีร้านอาหาร ผมก็ไปเช่าที่มาที่หนึ่ง เพื่อที่จะเทรนพนักงาน โดยอุปกรณ์ก็ใช้กระดาษมาตัดเป็นถ้วยชามมาวางเพื่อฝึกฝนกัน พนักงานก็นั่งดูคู่มือการทำงาน อีกส่วนหนึ่งผมก็ต้องไปดูแลผู้รับเหมาที่เขาเริ่มทำงานก่อสร้าง

วันแรกที่ร้านเสร็จเป็นยังไง คุณจำความรู้สึกแรกได้ไหม
วันแรกที่ร้านสร้างเสร็จผมก็พาทีมงานกลุ่มแรกมาที่ร้านโมโม สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อดูของจริง พอเปิด partition ออกมาทุกคนร้องว่า “โห นี่เหรอร้านโมโม” คือทุกคนไม่เคยเห็น ทุกคนตื่นเต้นว่านี่เหรอคือร้านที่เราจะทำงาน อ๋อ โต๊ะมันเป็นอย่างนี้นะ ที่เราเคยเทรนกัน
คนที่เป็น slicer ไม่เคยสไลด์เนื้อมาก่อน พอเข้าไปเจอเครื่องสไลด์ร้านโมโมก็ตกใจมากเพราะว่าเครื่องใหญ่มาก ทุกคนตื่นเต้นมาก ช่วยกันแกะข้าวของ แกะกล่องถ้วยชามมาซึ่งเป็นของนำเข้าทั้งหมดเลย ก็ช่วยกันจัด แต่การเปิดร้านจริงมันไม่ใช่เรื่องง่าย คือจัดเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จ จัดวนไปเรื่อยๆ จัดกันอยู่นั่นล่ะ มั่วกันมากเลยตอนนั้น
แต่ด้วยความที่ห้างเขาก็มองว่าเราก่อสร้างเสร็จแล้ว ช่วงนั้นจำได้เลยว่าปลายปี 2007 ใกล้ๆ จะปีใหม่ ห้างเขาก็อยากให้ร้านค้าทุกร้านพร้อมต้อนรับลูกค้าที่จะมาเที่ยวช่วงปีใหม่ เขาเลยขอให้เราเร่งเปิดให้ทัน
ก่อนถึงวันเปิดร้านจริงๆ รู้สึกยังไง
ก่อนหน้าที่ผมจะเปิดร้านภาพการทำร้านอาหารในหัวผมมันสวยงามมาก คิดไปเลยว่าเราต้องมีลูกค้ามาเยอะแยะนู่นนี่นั่น แต่พอใกล้ๆ จะเปิดร้านผมเริ่มเครียดว่า เอ๊ะ แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิดจะทำยังไง ถ้าเปิดมาแล้วไม่มีลูกค้าทำไง ผมดันไปกู้เงินมาทำร้าน มีพนักงานต้องดูแลอีก ผมก็เริ่มเครียดแล้วทีนี้ แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วทุกอย่างมันต้องเดินต่อไป

แล้ววันแรกที่เปิดร้านเป็นยังไง
ผมจำวันที่ได้เลย 27 ธันวาคม 2007 เป็นวันแรกที่ผมเปิดโมโม ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จำได้ว่าผมตื่นเต้นมาก (ลากเสียง) และมีความสุขมาก คือตอนนั้นจัดข้าวของกันไม่เสร็จสักที ตอนแรกตั้งใจจะเปิดตั้งแต่เที่ยง แต่เปิดไม่ได้ เพราะเราจัดกันไม่เสร็จสักที จนผมบอกทุกคนว่า 5 โมงเย็นเปิดเลย ไม่เสร็จก็ต้องเปิดแล้ว พอเปิดปุ๊บ โอ้โห ลูกค้าเข้ากันมืดฟ้ามัวดินเลย แต่คำว่ามืดฟ้ามัวดินของผมไม่ได้แปลว่าลูกค้าทะลักกันเข้ามาจนเรารับมือไม่อยู่นะครับ แต่หลักๆ คือมืดฟ้ามัวดินเพราะพวกเรามึนเมื่อเจอลูกค้าจริงๆ เข้าไป
จริงๆ ยอดขายไม่ได้สูงเลยวันนั้น แต่พวกเราวิ่งกันวุ่นมาก ไม่รู้ว่าของชิ้นไหนอยู่ตรงไหนบ้าง คือวุ่นวายสุดๆ จนกว่าจะเก็บร้านได้ก็ประมาณเที่ยงคืน เมเนเจอร์ผมเขาเคยทำงานร้านอาหารมาก่อน เขาจะถนัดนับเงิน ผมก็ให้เขานับเงิน ตอนเขานับเงินนี่มือสั่นเลยนะครับ ตื่นเต้น ปรากฏว่าเงินครบตรงเป๊ะ กว่าจะผ่านวันแรกไปได้นี่ยากมาก ยากที่สุดแล้วกว่าเราจะผ่านมันมาได้
หลังจากวันแรกยังรู้สึกยากอยู่ไหม
พอผ่านวันแรกมาได้เราก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วลูกค้าก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่เอาตอนนั้นยอดขายไม่ได้สูงมากนะครับ แต่เรารู้สึกว่า โอ้โห ลูกค้าเยอะมาก มากันเยอะมาก ร้านจะแตกอยู่แล้ว แต่ยอดมันไม่ได้สูงเลย ณ วันนั้น ที่ผมรู้ว่ายอดไม่ได้สูงเพราะต่อมาเราทำยอดได้สูงมากกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว
คือในปีแรกผมใช้เวลาอยู่ประมาณ 360 วันไม่หยุดเลย เข้าร้านไปยืนที่ร้าน ไปดูร้านดูลูกค้าด้วยตัวเอง ตอนนั้นผมยังทำงานอยู่ที่ออฟฟิศคุณพ่อด้วยนะ คือตอนเช้าไปทำงานที่ออฟฟิศ เสร็จปุ๊บตอนเที่ยงๆ ขับรถมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ มาดูร้านจนร้านปิด เที่ยงคืนกลับบ้าน ทำอยู่อย่างนี้ทุกวัน 360 วัน จนผมนอนละเมอ ลุกขึ้นมากลางดึก ตะโกนว่า “ขอบคุณครับ” แต่พอมองไป อ้าว มืดเลยทั้งห้อง รอบตัวเราไม่มีใคร มีเราอยู่คนเดียว คืออินกับมันมาก แล้วก็ดูแลมันอย่างเต็มที่เลยครับ เพราะมีคนบอกผมหลายคนว่า ร้านอาหารน่ะ ทำๆ ไปจะไม่ได้เป็นของเรา จะเป็นของเมเนเจอร์ ซึ่งผมไม่อยากให้เกิดภาพนั้น ผมก็ต้องเข้าไปทุกวัน ไปคอยสอนทีมงาน ไปคอยไกด์ ไปคอยแนะนำทีม
พูดถึงทีม อะไรคือคุณสมบัติที่คุณมองหาในตัวคนที่จะมาร่วมงาน
ความมุ่งมั่นของเขา และเขาต้องพร้อมที่จะฟังเราจริงๆ พร้อมจะเดินในทางเดียวกับเรา คือร้านอาหารจะต้องไม่ใช่ร้านของเมเนเจอร์ ร้านอาหารจะต้องเป็นร้านของเรา เพราะถ้าเป็นร้านของเมเนเจอร์เมื่อไหร่มี 10 สาขา มันก็จะเป็นร้านอาหาร 10 แบบ เพราะฉะนั้นผมต้องการคนที่เขาพร้อมจะฟังเรา พร้อมที่จะอยากให้เป็นร้านอาหารของเรา ไม่ใช่ร้านอาหารของเขา ไม่ใช่ว่าเขาเก่งมาจากไหนก็ตาม เขาจะมาบอกเราว่า เดี๋ยวเขาจะเปลี่ยนนู่นทำนั่นนะ ไม่ใช่ มันต้องเป็นร้านที่เราอยากให้เป็น

มีอะไรที่คุณมักจะเน้นย้ำกับพนักงานเสมอๆ ไหม
คือยอดขายของโมโมมันจะไม่ได้ดีตั้งแต่วันแรกนะครับ เกือบทุกสาขาเลย เราต้องค่อยๆ บิลด์ ผมจะบอกทีมงานของผมเสมอ ตอนนี้ก็ยังบอกอยู่ว่า ห้ามคิดว่าเราดังนะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าร้านเรามีแต่คนรู้จัก เราจะมีแต่แย่ลงเท่านั้น ดังนั้นให้คิดเสมอว่าลูกค้าที่เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่เสมอ เพราะยังมีอีกหลายคนที่อาจจะเพิ่งเคยมากินโมโม อาจจะเห็นจากสื่อ กระแสทางโซเชียลหรืออะไรต่างๆ เพิ่งจะได้มากินครั้งแรก ซึ่งเขาอาจจะไม่รู้วิธีการกิน ถ้าเราไปคิดว่าทุกคนที่มาต้องรู้จักเรา แล้วไปทำตัวหยิ่ง ไม่พยายามที่จะดูแลเขา แบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นผมจะบอกทีมผมให้คิดว่า ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาคือลูกค้าใหม่เสมอ เราต้องพยายามที่จะอธิบายเมนู ต้องพยายามที่จะบอกลูกค้าว่าอะไรต่างๆ ในร้านคือยังไง กินยังไง ผมต้องคอยเน้นเสมอ
ตอนนี้โมโมมีหลายสาขา อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่าพร้อมจะเปิดสาขาเพิ่มแล้ว
จริงๆ ตอนนั้นยอดขายปีแรกของโมโมถือว่าเข้าเป้าที่เราตั้งใจไว้แล้ว ผมคิดว่าถ้าเป็นคนอื่นถ้ายอดมันเข้าเป้าแบบนี้เขาคงเร่งขยายสาขาแล้ว แต่ผมไม่ เพราะอย่างที่บอก ผมอยากให้ร้านมันเป็นของผม เพราะฉะนั้นผมเน้นเลยว่าผมต้องสร้างคนสร้างทีมให้ได้ เขาต้องเข้าใจความคิดผมให้ได้ เข้าใจว่าผมต้องการจะมอบอะไรให้กับลูกค้า ซึ่งสิ่งที่ผมอยากมอบให้ลูกค้ามันเป็นเหมือนปรัชญาขององค์กรเลยว่า เราจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ดังนั้น เราจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าจริงๆ ผมเลยไม่ได้ชอบวิธีการทำธุรกิจที่เน้นการตลาดสวยหรูแต่พอมาที่ร้านจริงๆ แล้วไม่เหมือนกับที่ทำการตลาดไว้
ผมเลยคิดว่าการตลาดอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยให้ร้านอาหารมันรุ่ง แต่สิ่งที่ดีที่มอบให้กับลูกค้า ทั้งรสชาติ คุณภาพอาหาร การบริการ อะไรต่างๆ พวกนี้คือสิ่งที่เรามอบให้กับลูกค้าจริงๆ ดังนั้นทีมงานของผมต้องเข้าใจผมว่าเราตั้งใจหาวัตถุดิบที่ดีมาได้ เราก็ต้องส่งมอบของดีๆ ให้ถึงลูกค้าได้อย่างดี เหมือนอาหารน่ะครับ ถ้าวัตถุดิบมาดีแต่เชฟทำไม่เป็น ทำอาหารออกไป ลูกค้าก็ไม่แฮปปี้
ร้านเราอาจจะไม่มีเชฟ แต่มันก็มีการคอนโทรลคุณภาพ เตรียมเนื้อยังไง เตรียมอาหารยังไงให้ลูกค้า การเซอร์วิสลูกค้าต่างๆ เหล่านี้ ทีมของผมต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานที่ผมตั้งใจไว้ สิ่งเหล่านี้คือ KPI ของผม ต้องทำจนกว่าผมจะมั่นใจในตัวรองผู้จัดการที่จะขึ้นมาเป็นผู้จัดการว่าเขาพร้อมจะดูแลให้ผมแล้ว
ถ้าเราพร้อมทั้งหมดนี้เมื่อไหร่ เราถึงพร้อมจะขยายสาขา ก็เลยกลายเป็นสาขาที่ 2 ที่ CDC ในปี 2009
ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วการกินเนื้อจิ้มไข่ดิบน่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนไทย คุณทำยังไงให้คนยอมรับ
อันนี้ผมกล้าพูดเลยนะว่าผมน่าจะเป็นคนแรกที่ผลักดันให้คนไทยกินไข่ดิบกับสุกี้ยากี้ เพราะตอนนั้นผมไม่เคยเจอใครทำเลย คือแม้กระทั่งร้านที่มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่นเขายังเอาไข่ลงไปผัดเลย โอเคครับ เขาอาจจะให้ไข่ดิบเมื่อมีคนที่เป็นคนญี่ปุ่นมากิน แต่เขาอาจจะมองว่าถ้าเป็นลูกค้าไทย เขาจัดการเอาลงไปผัดให้เลยในหม้อดีกว่า ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกที่ผลักดันให้คนไทยกินไข่ดิบคู่กับสุกี้ยากี้
แล้วมันเป็นอะไรที่ยากมากเลย เพราะคนเขาไม่ชิน แรกๆ ก็จะตอกลงหม้อกันใหญ่เลย เราก็จะเดินเข้าไปอธิบาย ขออนุญาตอธิบาย แต่บางคนเขาก็อาจจะยังมีฟอร์มของเขาอยู่ ผมจำได้เลยมีอยู่ครั้งนึงผมเคยเดินเข้าไปแนะนำลูกค้าเอง เขาก็เตรียมจะตอกไข่ลงหม้อนั่นแหละ ผมก็เดินเข้าไปแล้วบอกเขาว่า “มาครับ เดี๋ยวผมทำให้” ผมก็ตอกไข่ใส่ถ้วย แล้วตีไข่ แล้วผมก็อธิบายว่า “นี่เลยครับเอาเนื้อลงไปในซุปดำนะครับ แล้วเอาขึ้นมากินคู่กับไข่ดิบ” เขาก็ลองกินดู พอกินเข้าไปแล้วเขาก็ทำหน้าไม่โอเค ผมก็เลย ไหว้แล้วบอกเขาว่า “แล้วแต่พี่เลยก็ได้ครับ ขอโทษด้วยครับ” แล้วผมก็เดินออกมา
สักพักนึง เห็นเขามองซ้ายมองขวาแล้วก็โบกมือเรียกพนักงาน บอก “น้องๆ ขอไข่เพิ่ม” คือมันหมดถ้วยไปแล้ว นั่นคือเหตุการณ์ที่ผมจำได้เลย ซึ่งผมก็พยายามที่จะผลักดันให้คนไทยกินสุกี้คู่กับไข่ดิบ จนทุกวันนี้ผมว่ามันก็คือเรื่องปกติแล้ว ที่เรากินสุกี้คู่กับไข่ดิบกัน

ทุกวันนี้โมโมขึ้นชื่อเรื่องคิวยาวโดยเฉพาะช่วงหลังโควิด คุณรู้สึกยังไงและจัดการความคาดหวังของลูกค้ายังไง
ก็ดีใจนะครับ แต่เอาจริงๆ ผมก็เครียด คือเขาอยากจะมาเพื่อเรา แต่เราดูแลเขาได้ไม่หมด ที่นั่งก็มีจำกัด คือมันไม่ใช่ภาพที่ดีเลย บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นภาพการตลาด แต่มันไม่ใช่ คือในมุมผมผมไม่คิดว่ามันดี ผมไม่เคยเน้นการตลาด เพราะฉะนั้นผมมองว่าภาพพวกนี้ถ้าเราเมเนจไม่ได้มันมีแต่เสียกับเสีย ผมก็พยายามเรียกประชุมทีมโอเปอเรชั่น เรียกประชุมทีมงานทุกฝ่าย ว่าเราทำยังไงกันดี ตอบคำถามลูกค้ายังไงดี เซตคิวยังไงดี เพื่อให้เขาไม่เกิดความไม่พอใจกลับไป
ก็คิดกันหลายวิธีมาก ลองจัดทำเป็นรอบ ซึ่งก็ไม่เวิร์ก ผมก็เปลี่ยนเป็น first come, first served ใครมาก่อนได้กิน ให้ลงชื่อลงคิวไว้เหมือนเดิม ทีนี้ลูกค้าบางคนก็จะถามว่าทำไมโมโมไม่ให้จองล่วงหน้า ซึ่งจริงๆ เราให้จองล่วงหน้าได้นะครับ แต่บางทีพนักงานหน้าร้านอาจตอบคำถามไม่ค่อยถูก คือเรามีโควตาในการจองโต๊ะอยู่ เราสามารถรับจองได้กี่โต๊ะๆ ก็ว่าไปในช่วงเวลาเป็นช่วงๆ ซึ่งเวลาที่จะจองได้ก็จะเหลื่อมเวลากันออกไป แต่ยอมรับว่ามันยากจริงๆ แก้ปัญหาที่นึงมันก็จะไปเกิดปัญหาใหม่อีกที่นึง
สิ่งที่ยากที่สุดในการทำร้านอาหารคืออะไร
คือการให้ทีมงานนำสิ่งที่เราคิดไปสู่ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ผมคิดมากว่าจะผ่านพนักงานแต่ละคนไปจนถึงมือลูกค้า ผมจะต้องทำยังไงให้ความคิดของผมมันส่งไปถึงมือลูกค้าแบบที่ผมจินตนาการเอาไว้ให้ได้ ปีแรกที่ผมไปยืนอยู่ที่ร้านตัวเองแทบทุกวัน พนักงานยังมีแค่สิบกว่าคน วันนั้นน่ะไม่ยากเลย ผมอยากให้มันเป็นยังไง มันก็ออกมาเป็นอย่างนั้น แต่วันนี้ผมมีพนักงานพันกว่าคน ทำยังไงให้เมเนเจอร์หน้าร้านเขาไปบอกทีมงาน ทีมงานส่งให้ลูกค้าให้ได้อย่างสมบูรณ์ อันนี้คือสิ่งที่ยากที่สุด
ซึ่งที่ผมทำอยู่ก็คือผมต้องใช้ความใกล้ชิด แล้วก็ปลูกฝังและต้องสอน สอนเยอะมาก ผมจะประชุมกับทีมโอเปอเรชั่นบ่อยมากถี่มาก แล้วก็จะคอยสอนวิธีคิดสอนแนวทาง สอนอะไรต่างๆ ให้เขาเข้าใจให้ได้ แนวทางพวกนี้เราก็เขียนเป็น SOP (Standard Operating Procedure) ขึ้นมา แล้วทุกคนก็ต้องทำงานโดยที่เข้าใจ SOP และเชื่อในระบบ เชื่อในการทำงานตาม SOP

คุณคิดว่าการทำร้านอาหารแบบบุฟเฟต์กับแบบ A la carte เหมือนหรือต่างกันยังไง
จริงๆ ผมว่ามันไม่ได้ต่างกัน คีย์สำคัญของมันคือ ต้องทำร้านอาหารให้เป็นร้านอาหาร ไม่ใช่แค่ขายอาหาร แต่ต้องเป็นร้านอาหาร
ผมจะบอกทีมงานของผมเสมอว่า คนส่วนใหญ่ที่เขาก้าวพลาดเพราะเขาคิดว่า เขาทำอาหารเป็น มีคนชมว่าทำอาหารอร่อย ก็จะเปิดร้านขายอาหาร แต่เขาไม่เข้าใจว่ามิติของการทำร้านอาหารมันมีอะไรบ้าง
จริงๆ มันรวมหลายๆ อย่างมากเลยในการทำร้านอาหาร ร้านอาหารหนึ่งร้านมันเหมือนองค์กรหนึ่งองค์กร คือคนทำร้านอาหารได้ต้องทั้งทำบัญชี ทำ HR ทำ Inventory ได้ ทำสต็อกเป็น ทำการตลาดได้ คือทุกอย่างมันรวมอยู่ในร้านอาหารหนึ่งร้าน ผมเลยบอกว่ามันเหมือนองค์กรเล็กๆ หนึ่งองค์กร ดังนั้นถ้าคุณไม่พร้อมที่จะทำทุกอย่างที่ผมว่าไป คุณแค่ทำอาหารเก่งอย่างเดียว มันคงไม่ใช่ มันจะไม่ใช่ร้านอาหารที่เต็มประสิทธิภาพ
เพราะฉะนั้นจะบุฟเฟต์หรือไม่บุฟเฟต์ผมว่าไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องเข้าใจภาพนี้ต่างหากว่า ร้านอาหารมันคือร้านอาหาร