Month: December 2022
FLOHOUSE คอนเซปต์สโตร์ที่รวมร้านเฟอร์นิเจอร์ คาเฟ่ ร้านหนังสือ และพื้นที่ทดลองไว้ในที่เดียว
โมเดิร์น โปร่ง มีชีวิตชีวา คือคาแร็กเตอร์ของ Flo แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติไทยที่ทำให้หลายคนพร้อมใจปวารณาตนเป็นลูกค้าประจำ
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2557 โดย นรุตม์ ปิติทรงสวัสดิ์ ทายาทรุ่นที่สามที่รับช่วงต่อมาจากพ่อ แม่ และอากงผู้ก่อตั้ง แบรนด์ Flo ตั้งใจผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้วัสดุหลัก 3 อย่างคือไม้ เหล็ก และงานหุ้มบุ ประกอบกันอย่างแข็งแรงภายใต้ดีไซน์เรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในบ้านและที่ทำงานเป็นที่สุด

รู้ตัวอีกที Flo ก็เดินทางมาถึงขวบปีที่ 9 คล้ายเป็นหลักไมล์สำคัญที่เรียกร้องให้แบรนด์ก้าวไปสู่อีกจุดหนึ่งเพื่อเดินต่อ Flo ตัดสินใจขยายโชว์รูมของตัวเองในซอยสุขุมวิท 36 ให้อลังการขึ้น เปลี่ยนชื่อเป็น FLOHOUSE พิเศษกว่านั้นคือไม่ได้มีแค่โชว์รูม แต่บ้านของ Flo หลังนี้ยังมีร้านหนังสือ ร้านกาแฟ สเปซสำหรับจัดนิทรรศการและเวิร์กช็อปอีกด้วย
เช้าวันอากาศดี เราจึงนัดพบกับนรุตม์ให้เขาพาทัวร์บ้านหลังใหม่กัน
HOUSE OF VARIETY
นอกจากหมวกของดีไซเนอร์ นรุตม์ยังเป็นนักสำรวจตัวยง
อันที่จริง ใช้คำว่า ‘นักสังเกต’ น่าจะตรงกว่า
ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบอย่างเขาจะเอนจอยเป็นพิเศษเมื่อได้ร่วมทริปดูงานต่างประเทศ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่นรุตม์พาตัวเองไปเจอสิ่งใหม่ๆ ที่จุดประกายไอเดียให้เขาได้เสมอ

“ร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ผมไปแล้วชอบ ทุกร้านจะมีหลายๆ อย่างรวมอยู่ในที่เดียวกัน” เขาย้อนความถึงสิ่งที่สังเกตเห็น ซึ่งตกตะกอนมาเป็นไอเดียของ FLOHOUSE ในภายหลัง
“เขาไม่ค่อยมีแต่เฟอร์นิเจอร์อย่างเดียว จะมีของกุ๊กกิ๊ก แฟชั่น ร้านหนังสือ เป็นเหมือนคอนเซปต์สโตร์ ผมรู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะพอเราไปถึงที่นั่น ถึงแม้เราจะไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่ยังได้ประสบการณ์บางอย่าง อย่างน้อยไม่ได้ซื้อแต่มารู้จักกันก่อน จุดเด่นอีกข้อคือมันมีความเป็น owner สูงมาก หมายถึงว่าเจ้าของร้านจะทำให้เราเห็นว่าเขาชอบอะไร สนใจอะไร
“การเดินเข้าร้านเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกถึงพลังงานที่ดี คล้ายว่ามันสร้างพลังให้เราไปทำนู่นทำนี่ต่อได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้คนที่เดินเข้าร้านมา ถ้ามองในด้านธุรกิจ มันก็คือการใช้พื้นที่ในการทดลองทำอะไรใหม่ๆ ให้กับเจ้าของเช่นกัน”
นรุตม์เก็บความรู้สึกใจเต้นตอนเดินเข้าร้านเหล่านั้นไว้ และไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้กับร้านของตัวเองในอีกหลายปีให้หลัง ในขวบปีที่ Flo กำลังก้าวเข้าสู่เลข 10 และเรียกร้องให้เขาทำอะไรบางอย่างเพื่อให้แบรนด์ไม่ย่ำอยู่กับที่

HOUSE OF CHALLENGE
แฟนคลับของ Flo คงรู้อยู่แล้วว่านอกจากงานแฟร์กับอีเวนต์โชว์เคสเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ สถานที่ที่เราจะพบปะคอลเลกชั่นทั้งเก่าและใหม่ของ Flo ได้คือโชว์รูมในซอยสุขุมวิท 36
ก่อนจะมาเป็น FLOHOUSE นรุตม์เล่าว่าพื้นที่ขนาด 800 ตารางเมตรตรงนี้เคยเป็นของญาติผู้ทำแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เด็กมาก่อน พวกเขาเปิดบ้านที่อยู่ด้านหน้าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ส่วนโกดังด้านหลังปล่อยให้ชายหนุ่มเช่าเพื่อจัดเป็นโชว์รูม
อยู่มาวันหนึ่งญาติก็ย้ายร้านไปทำที่อื่น นรุตม์จึงได้พื้นที่ทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง
ไอเดียของการทำอะไรบางอย่างเพื่อให้แบรนด์ไม่ย่ำอยู่กับที่สตาร์ทจากโมเมนต์นั้น
นรุตม์เล่าว่า เวลาออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของ Flo เป้าหมายของเขาคือการทำให้ชีวิตของผู้ใช้ดีขึ้น ไม่ว่าจะทำให้บ้านสวยขึ้น อยู่สบายขึ้น หรือดีในแง่อื่นๆ FLOHOUSE ก็ตั้งเป้าหมายในทางเดียวกัน

“สิ่งที่ทำให้คนพัฒนาได้มากขึ้นคือหนังสือ และกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น FLOHOUSE ก็อยากเป็นสเปซที่ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น ผ่านหนังสือ ผ่านเฟอร์นิเจอร์ ผ่านอีเวนต์ และพื้นที่ทั้งหมด”
สิ่งที่นรุตม์อยากทำไม่ใช่แค่การอัพสเกลโชว์รูมของ Flo ให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่คือการรีโนเวตพื้นที่ให้กลายเป็นอาณาจักรขนาดย่อมสำหรับโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์ของ Flo และแบรนด์ในเครือ รวมถึงสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ให้ร้านหนังสือ ร้านกาแฟ รวมถึงสเปซว่างสำหรับจัดอีเวนต์หรือเวิร์กช็อปในอนาคต
ความท้าทายคือหากมองจากภายนอก คนที่เข้ามาจะเห็นเพียงบ้านด้านหน้าเท่านั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ว่ามีโกดังที่โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ของ Flo อยู่ข้างหลัง นรุตม์จึงขอความช่วยเหลือจาก ATELIER 2+ Studio บริษัทสถาปนิกที่ไว้ใจมาช่วยออกแบบร่วมกัน
หลังจากปรึกษากันยาวนาน ไอเดียที่ทั้งคู่เห็นตรงกันคือการทุบโครงสร้างของบ้านออกเพื่อเปิดให้เห็นด้านในมากที่สุด รวมถึงทำทางเข้าใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาโกดังด้านหลังอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ การรีโนเวตยังคำนึงถึงสิ่งสำคัญคือความโมเดิร์น โชว์พื้นผิวของวัสดุที่ใช้
สำคัญที่สุดคือเข้ามาแล้วต้องรู้สึกโปร่งโล่ง ลื่นไหล–เหมือนกับคาแร็กเตอร์ของ Flo

“สำหรับผม โชว์รูมที่ดีคือโชว์รูมที่เดินเข้าไปแล้วต้องรู้สึก welcome ก่อน ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นจากคนบริการด้วย แต่เป็นแสง กลิ่น บรรยากาศที่เดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่ามัน ‘ถึง’
“อย่างที่สองคือเข้าไปแล้วรู้สึกตื่นเต้น มันทำให้ใจเราขยับ รู้สึกเหมือนได้เดินเข้าไปในธีมปาร์กที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของเขามีความสัมพันธ์กับสิ่งไหน เขาชอบสิ่งไหนถึงสร้างผลงานแบบนี้ออกมา แล้วกระตุ้นให้เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรดีๆ บ้างจัง”
ซึ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั้นถูกรวบรวมไว้ใน FLOHOUSE แล้วเรียบร้อย
HOUSE OF EXPERIMENT
ชีวิตของนรุตม์ผูกสัมพันธ์กับเฟอร์นิเจอร์มาตั้งแต่เด็ก ที่ FLOHOUSE จึงให้น้ำหนักกับการโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อเดินเข้ามาในตัวโกดัง สิ่งที่เราจะเห็นได้อย่างแรกคือพื้นที่จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ของ Flo ที่คัดสรรมาแล้ว แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้เป็นพิเศษคือ FLOLAB แบรนด์ที่ฉีกออกมาจาก Flo ซึ่งนรุตม์บอกว่ามันเป็นพื้นที่แห่งการทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยทำกับ Flo

ชายหนุ่มเล่าว่า FLOLAB คือคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์ที่มีคอนเซปต์กำหนดชัดเจนในแต่ละคอลเลกชั่น (หรือที่เขาตั้งชื่อให้อย่างน่ารักว่า Chapter หรือ ‘บท’) ซึ่งจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
อย่างวันที่เราไปดูนี้นรุตม์กำลังจัดแสดงบทแรกชื่อ Liber ชั้นวางหนังสือหน้าตาเก๋ไก๋ แถมแต่ละตัวยังตั้งชื่อตามนักคิดนักเขียนชื่อคุ้นหูอย่าง Marquez, Kafka, Hesse, Murakami นอกจากนี้ FLOLAB ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ Flo ได้ไปจับมือคอลแล็บกับแบรนด์อื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน
พื้นที่ในการจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะบนชั้น 2 ยังมีส่วนจัดแสดงงานของ Nama แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่นรุตม์ฟูมฟักขึ้นมาพร้อมกับ Flo ซึ่งโดดเด่นด้วยสไตล์ contemporary และใช้ไม้ไทยเป็นหลัก
HOUSE OF CONVERSATION
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นดึงให้เราพักความสนใจจากส่วนจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะมุ่งหน้าตามกลิ่นไปยังเคาน์เตอร์บาร์ของ LIVID Coffee Roaster ร้านกาแฟพิเศษที่คนในวงการน่าจะคุ้นชื่อ เพราะพวกเขาเคยเป็นโรงคั่วกาแฟที่หลายคนไว้ใจ ความพิเศษคือพวกเขาเพิ่งได้มาเปิดร้านของตัวเองที่ FLOHOUSE เป็นแห่งแรก
เรื่องของเรื่องคือ นรุตม์กับ กนต์ธร นิโลดม เจ้าของร้านรู้จักกันมาก่อน เขาก็ติดใจในรสจางๆ ของกาแฟนอร์ดิกแบรนด์ LIVID และคิดว่าคาแร็กเตอร์ไปด้วยกันกับ Flo ได้แบบไม่ขัดเขิน เมื่อตั้งใจจะสร้าง FLOHOUSE นรุตม์จึงชวนกนต์ธรมาแชร์พื้นที่ด้วยกัน

“เอ็ม (กนต์ธร) เขาค่อนข้างอินกับเรื่องกาแฟ คั่วเอง เสาะหาเมล็ดมาเอง ผมกินแล้วรู้สึกว่ากาแฟของเขาไม่เหมือนคนอื่นแน่ๆ ผมว่าเขาหาจุดที่แตกต่างเจอ” ชายหนุ่มเล่าเหตุผล
มากกว่าการพากาแฟพิเศษเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ FLOHOUSE นรุตม์และกนต์ธรยังหมายมั่นว่าอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สร้างบทสนทนาของคนคอเดียวกัน “ตอนที่มากินกาแฟกัน เอ็มเขาตั้งใจว่าอยากให้คนที่มาได้คุยกับบาริสต้าว่าเมล็ดนี้มีความเป็นมายังไง ได้มายังไง มีปฏิสัมพันธ์และได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน”
ความตั้งใจนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ร้านกาแฟเพียงเท่านั้น แต่บนชั้น 2 ของ FLOHOUSE ยังมีสเปซว่างที่นรุตม์ตั้งใจสร้างไว้สำหรับอีเวนต์เกี่ยวกับงานออกแบบ จัดนิทรรศการ และเวิร์กช็อปในอนาคตอีกด้วย
HOUSE OF BOOKS LOVERS
แต่ยอมรับตามตรง มุมที่ทำให้คนรักหนังสืออย่างเราใจเต้นที่สุดก็คงต้องยกให้ FLOBOOKSTORE
ไม่ใช่แค่เราคนเดียวด้วย เพราะเจ้าของร้านอย่างนรุตม์ก็ยอมรับว่าใจเต้นไม่แพ้กัน เพราะร้านที่เรายืนอยู่นี้คือความฝันที่เขาอยากทำมานาน
“ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะซื้อหนังสือติดตัวกลับมาตลอด เวลาผมชอบดีไซเนอร์คนไหนก็จะชอบไปตามอ่านดูว่าชีวิตของเขาเป็นยังไง เขาทำงานแบบไหนมาก่อน ที่งานเขาเป็นแบบนี้เขาชอบเสพศิลปะแบบไหน ในยุคนั้นมีศิลปินคนไหนอีก เพราะการตามดูสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมสนุกกับงานออกแบบมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ในห้องเรียนออกแบบไม่ค่อยสอน และผมไม่เคยเห็นหนังสือพวกนี้อยู่ที่เดียวกันเลย”

นั่นคือเหตุผลตั้งต้นที่ทำให้นรุตม์สร้าง FLOBOOKSTORE ขึ้นมา ในฐานะร้านหนังสือดีไซน์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่หนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องผลงานของดีไซเนอร์ที่เขาชอบ แต่ยังมีหนังสือที่เล่าเรื่องชีวิตของดีไซเนอร์เหล่านั้น รวมไปถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ให้ทำให้คนอ่านเห็นความเชื่อมโยงของดีไซเนอร์แต่ละคนในแต่ละยุคสมัย
“มันน่าจะดีต่อคนที่เขาสนใจ เพราะเขาจะได้รู้ว่า อ๋อ ดีไซเนอร์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนนี้ ดีไซน์ของสแกนดิเนเวียเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมอเมริกาช่วงหนึ่งถึงทำเฟอร์นิเจอร์เก่ง หนังสือในร้านก็จะมีเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เขาเห็นภาพใหญ่ว่านี่คือช่วงเวลาเดียวกัน”
เกณฑ์การคัดสรรหนังสือของนรุตม์ก็เรียบง่าย เพราะมันมาจากความชอบส่วนตัวของเขาล้วนๆ “ประมาณ 80-90% ของหนังสือที่ร้าน ที่บ้านผมมีหมดแต่แทนที่จะสั่งมาให้ตัวเอง ผมก็สั่งมาขายให้คนที่ชอบเหมือนกัน” ชายหนุ่มหัวเราะ
“ว่าตามตรง หนังสือพวกนี้ดู niche มากเลยนะ กลัวไหมว่าจะ niche เกินไป” เราสงสัย


“ผมเข้าใจว่าธุรกิจหนังสือไม่ได้ทำเงินมากมายอยู่แล้ว คนทำหนังสือก็น่าจะรู้ดี แต่ผมยังมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการอ่านทำให้เราได้อะไรมากจริงๆ ถึงคนที่มาอาจจะยังไม่ซื้อ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นชื่อดีไซเนอร์ เอาไปเสิร์ชข้อมูลต่อได้
“ในขณะเดียวกัน การมี FLOBOOKSTORE ก็แสดงให้เห็นว่า Flo สนใจในงานออกแบบนะ เราชอบดูงาน ชอบศิลปะ คนที่เข้ามาก็จะเห็นว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เฟอร์นิเจอร์นะ กว่าจะมาเป็นเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นมันต้องผ่านการศึกษาเรื่องเหล่านี้มา มันก็ส่งเสริมในตัวแบรนด์เอง” ชายหนุ่มบอก
HOUSE OF FLO
สำหรับนรุตม์ การมี FLOHOUSE คือภาคขยายของแบรนด์ Flo ที่เปิดโอกาสให้ทั้งตัวเขาและลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ จากแบรนด์ที่รัก
“มัน expand รสชาติของแบรนด์ให้กว้างขึ้น ทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ที่ชีวิตคนได้มากขึ้น เหมือนเป็นการขยายประสบการณ์ที่จะทำให้ลูกค้าอิ่มเอม และ complete sense ของเขามากขึ้น

“แน่นอนว่าในแง่ธุรกิจ Flo ต้องขายได้เยอะขึ้น” เขาเล่าความคาดหวัง “ อย่างที่สองผมว่ามันคือเรื่องของ traffic และ awareness เพราะคนจะไม่ซื้อของเราถ้าเขาไม่รู้จักเรา อย่างน้อยการมี FLOHOUSE ก็ทำให้คนรู้จักมากขึ้นเพราะเรามีบริการอื่นๆ ไม่ต้องมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็ได้ แต่มาดูหนังสือ มาคุยกัน มาเดินเล่นก็ได้ มันคือการแนะนำตัวเองให้เราได้มีปฏิสัมพันธ์กันก่อน
“แต่ถ้าในแง่การมีความหมายต่อตัวตน สำหรับผม FLOHOUSE มันมีความหมายมากนะครับ จริงๆ มันแทบจะเป็นบ้านของผมเลย เพราะที่นี่ก็มีห้องนอนของผมด้วย ผมนอนนี่ ตื่นมาก็เดินมาออฟฟิศ ทำงาน ขายของได้เลย” ชายหนุ่มหัวเราะ
“อาจจะฟังดู subjective นิดหนึ่ง แต่การได้ทำพื้นที่ตรงนี้จากความชอบมันก็ทำให้ผมรู้สึกดี และน่าจะดีกว่าด้วยถ้าที่ที่เรามีมันทำรายได้ให้เรา ให้โรงงาน ให้พนักงานเรา และสร้างความรู้สึกดีๆ ผ่านดีไซน์ให้กับคนที่มา มันก็ win-win กันทุกฝ่าย”

FLOHOUSE
เวลาทำการ : ร้านเฟอร์นิเจอร์และร้านหนังสือเปิดทุกวัน เวลา 10:00-19:00 น.
ร้านกาแฟเปิดทุกวัน เวลา 08:30-17:30 น.
การเดินทาง : BTS ทองหล่อ เดินต่อเข้ามาในซอยสุขุมวิท 36 ต่ออีก 850 เมตร
ที่ตั้ง : goo.gl/maps/sdmSJoz9ojiRGGfP9
ช่องทางติดต่อ : แฟนเพจเฟซบุ๊กของร้านเฟอร์นิเจอร์ facebook.com/flofurniture หรือแฟนเพจเฟซบุ๊กของร้านหนังสือ facebook.com/Flobookstore
‘Navegador’ ประสิทธิภาพในยุคล่าอาณานิคม
ระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 หลายร้อยปีก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า ‘โลกาภิวัตน์’ หลายประเทศในยุโรปส่งนักผจญภัยข้ามมหาสมุทรไปสำรวจและตีดินแดนใหม่ๆ นอกทวีปเป็นอาณานิคม กลายเป็นยุคที่ได้สมญา ‘ยุคแห่งการสำรวจและค้นพบของยุโรป’ ในยุคนี้ประเทศเล็กๆ สุดขอบตะวันตกของยุโรปอย่างโปรตุเกส กลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเรือที่ค้นพบดินแดนใหม่ๆ เกินขนาดของประเทศตัวเองไปนับพันนับหมื่นเท่า โดยอาศัยพัฒนาการของเทคโนโลยีการทำแผนที่และอุปกรณ์เดินเรือที่เอื้อต่อการเดินทางข้ามทวีป ยิ่งออกสำรวจก็ยิ่งสะสมองค์ความรู้มหาศาลเกี่ยวกับการเดินเรือและภูมิศาสตร์ทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย ไกลถึงญี่ปุ่นในทะเลจีนใต้
นักเดินเรือ (navegador ในภาษาโปรตุเกส) มีแรงจูงใจที่จะออกไปเสี่ยงภัยในทะเล เพราะการค้นพบเส้นทางค้าขายเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้า ‘พรีเมียม’ ในยุคนั้นจะช่วยให้โกยกำไรงามๆ ที่คุ้มค่าความเสี่ยง เหล่า navegador ค้นพบเส้นทางมากกว่านักเดินทางชาติอื่นในยุคแห่งการสำรวจ ถึงแม้โลกอาจรู้จักพวกเขาไม่มากเท่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือที่ไม่ใช่ชาวโปรตุเกสแต่เดินทางไปพบทวีปอเมริกาด้วยเงินของกษัตริย์โปรตุเกส
ความเกรียงไกรของโปรตุเกสเริ่มต้นจาก บาร์โทโลมิว ดิอาซ ผู้ล่องเรือข้ามแหลมกู๊ดโฮป สุดขอบทวีปแอฟริกาตอนใต้ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1488 จากนั้นสิบปีต่อมา วาสโก ดากามา นักเดินเรือผู้กลายเป็นตำนาน ก็ล่องเรือไปถึงอินเดีย ถัดมาอีกเพียงสองปีคือ ค.ศ. 1500 ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือจงใจก็ตามแต่ เปโดร อัลวาเรซ คาบราล ก็เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปขึ้นฝั่งดินแดนในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งต่อมาจะชื่อ บราซิล
ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ โปรตุเกสสร้างป้อมปราการ โรงงานแปรรูปและสถานีค้าขายจำนวนมากในพื้นที่ทั้งที่ตีเป็นอาณานิคมและไม่เป็น ตลอดชายฝั่งดินแดนทุกทวีปที่พวกเขาค้นพบ เชื่อมเมืองหลวงลิสบอนในโปรตุเกสเข้ากับชายฝั่งแอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย และเอเชียตะวันออกไกลถึงนางาซากิ เมืองท่าสำคัญในญี่ปุ่น เครือข่ายเส้นทางค้าขายและการล่าอาณานิคมนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจโปรตุเกสเติบโตอย่างก้าวกระโดดนานสามร้อยปีระหว่างปี 1500-1800 และสร้างรายได้ราว 1 ใน 5 ของรายได้ชาวโปรตุเกสในยุคนั้น
มรดกของโปรตุเกสตกทอดมาถึงปัจจุบันในแง่วัฒนธรรมมากมาย ภายหลังจากที่คนในพื้นที่อาณานิคมต่างทยอยประกาศเอกราช ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม อาหาร และภาษา ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ภาษาโปรตุเกสมีคนใช้มากเป็นอันดับ 6 ของโลก มีคนพูดมากกว่า 240 ล้านคนโดยเฉพาะในบราซิล

Navegador บอร์ดเกมเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่ง นำแรงบันดาลใจจากยุคทองของโปรตุเกสมาสร้างเป็นเกมสนุกสำหรับ 2-5 คน รับบทเป็นพ่อค้าและนักเดินเรือในยุคนั้น เราจะส่งกองเรือจากโปรตุเกสไปยังอเมริกาใต้ แอฟริกา เอเชียใต้ สุดท้ายไปจบที่เอเชียตะวันออก เกมจะจบเมื่อมีใครสักคนแล่นเรือไปถึงเมืองท่านางาซากิในญี่ปุ่น หรือสร้างอาคารหลังสุดท้ายที่มีให้สร้าง (ปกติจบแบบแรก)
ผู้เล่นทุกคนในเกมเริ่มต้นเท่ากันด้วยเรือ 2 ลำ ลอยอยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งโปรตุเกส คนแรกที่แล่นเรือเข้าไปสำรวจพื้นที่ทะเลใหม่ๆ จะต้องเสียเรือ 1 ลำ (สะท้อนความเสี่ยงสูงมากของการเดินเรือในยุคนั้น) แต่จะได้โทเคน ‘สำรวจ’ ซึ่งมีมูลค่าเป็นคะแนนตอนจบเกม และได้โบนัสเป็นเงินสดเท่ากับมูลค่าของพื้นที่อาณานิคมที่น้อยที่สุดในบริเวณนั้นๆ
หลังจากที่พื้นที่ทางทะเลแต่ละช่องได้รับการบุกเบิกแล้ว (ไม่มีโทเคน ‘สำรวจ’ ในน่านน้ำนั้นแล้ว) ทุกคนก็จะแล่นเรือเข้าไปได้โดยไม่จม และก่อตั้งอาณานิคมชายฝั่งตามทวีปต่างๆ ได้
ความเจ๋งของ Navegador อยู่ที่ความเรียบง่ายของกลไกตลาด ในเกมนี้มีสินค้า 3 ชนิดตามประวัติศาสตร์ที่ทำเงินงามๆ ให้กับพ่อค้าโปรตุเกสในยุคทอง ได้แก่ น้ำตาล (ผลิตโดยอาณานิคมในอเมริกาใต้) ทองคำ (แอฟริกา) และเครื่องเทศ (เอเชีย) ก่อนจะขายได้เราต้องล่องเรือไปให้ถึงพื้นที่ที่เราอยากจับจองเป็นอาณานิคม มีทรัพยากรคนและเรือมากพอ (อย่างน้อย 2 คนในลิสบอน และเรือ 1 ลำในพื้นที่ที่จะตั้งอาณานิคม) จากนั้นจ่ายเงินแล้วเอาแผ่นอาณานิคมนั้นๆ มาอยู่กับตัว

แผ่นอาณานิคมให้สิทธิเราขาย ‘วัตถุดิบ’ ที่ผลิตโดยอาณานิคมในพื้นที่ แต่ถ้าจะขาย ‘สินค้า’ (จากการแปรรูปวัตถุดิบนั้นๆ) เราต้องใช้อีกแอ็กชั่นสร้าง ‘โรงงาน’ ผลิตสินค้า ซึ่งเราสามารถสร้างโรงงานสินค้าชนิดใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปตั้งอาณานิคมผลิตวัตถุดิบชนิดนั้นก่อน
ยิ่งเราขายวัตถุดิบเข้าตลาดมากเท่าไหร่ ราคาตลาดของมันยิ่งลดลง แต่ในทางกลับกันยิ่งราคาวัตถุดิบลดลง ราคาสินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากวัตถุดิบนั้นๆ ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น (วัตถุดิบขาดตลาด ทำให้สินค้าแพงกว่าเดิม) ดังนั้นความสนุกส่วนหนึ่งในเกมจึงอยู่ที่การวางแผนว่าจะทำอาณานิคมวัตถุดิบอะไร สร้างโรงงานผลิตอะไร และจากนั้นก็คอยตามดูและคาดเดาการซื้อ-ขายของผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อมองหาโอกาสเก็งจังหวะขายวัตถุดิบหรือสินค้าที่เราจะได้กำไรสูงสุด
(กติกาใน Navegador ไม่อนุญาตให้เราทำกำไรแบบจับเสือมือเปล่า นั่นคือ ทั้งซื้อและขายวัตถุดิบและสินค้าชนิดเดียวกันในตาเดียวกัน)
คะแนนใน Navegador นับครั้งเดียวตอนจบเกม คะแนนมาจากหลายทางด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการต่อเรือ สร้างอู่ต่อเรือ (ลดต้นทุนการต่อเรือแต่ละลำ) สร้างโบสถ์เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในอาณานิคมโปรตุเกส (ลดต้นทุนการจ้างคนทำงาน) สร้างอาณานิคม สร้างโรงงาน การสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในทะเล ฯลฯ แต่วิธีทำคะแนนทั้งหมดนี้ต้องแลกมาด้วยเงิน รวมถึงการส่งคนเข้าวังไปประจบประแจงกษัตริย์ เพื่อเอา ‘royal favor’ หรืออภิสิทธิ์จากวัง ซึ่งรูปธรรมในเกมนี้ก็คือแผ่นตัวเลขที่จะเอามาเพิ่มตัวคูณคะแนนตอนจบเกม และตอนเลือกอภิสิทธิ์ก็จะได้โบนัสเงินสดด้วย

ในเมื่อวิธีทำคะแนนทุกวิธีต้องใช้เงิน และวิธีได้เงินหลักๆ ก็คือการขายน้ำตาล ทองคำ เครื่องเทศ ไม่ว่าจะในรูปของวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป Navegador จึงบังคับให้เราทำตัวเป็นพ่อค้าที่ทั้งต้องวางแผนระยะสั้นและมองการณ์ไกลในระยะยาว แอ็กชั่นในเกมนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ แต่ใช้ระบบ rondel คือเลือกแอ็กชั่นจากรอบหน้าปัด ถ้าจะเลือกแอ็กชั่นที่ไกลจากแอ็กชั่นเดิมมากกว่า 3 ช่อง ต้องทำลายเรือในทะเลซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก ดังนั้นการวางแผนว่าจะทำอะไรก่อนหลังดีจึงเป็นกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ในเกมนี้
Navegador เป็นเกมที่เรียบง่ายแต่เอาชนะไม่ง่าย สื่อสารหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานเรื่องอุปสงค์-อุปทานได้อย่างสง่างามผ่านกลไกตลาดเรียบหรู และเป็นเกมเศรษฐศาสตร์น้อยเกมที่จบได้ภายในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถ้าเล่นครบ 5 คน การแข่งขันเข้มข้นในทุกมิติเพราะทุกอย่างมีจำกัดตั้งแต่จำนวนอาณานิคมในแต่ละพื้นที่ จำนวนโรงงาน เรื่อยไปจนถึงจำนวนอภิสิทธิ์จากวัง ธีมของเกม และระบบทุกระบบสอดรับประสานกันอย่างกลมกลืน เล่นได้ไม่รู้เบื่อไม่ว่าจะกลับมาเล่นใหม่กี่รอบ
สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดอ่อน หรืออย่างน้อยก็เป็นเรื่อง ‘น่าเสียดาย’ เพียงข้อเดียวเท่านั้นของ Navegador คือด้านกลับของจุดแข็งของเกม นั่นคือ เกมนี้ช่วยให้เรามองเห็นประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจสูงลิบของโปรตุเกสในยุคทองอย่างเด่นชัด แต่กลบเกลื่อน ‘ต้นทุน’ ทางสังคมสูงลิบที่อยู่เบื้องหลังประสิทธิภาพของเจ้าอาณานิคมยุโรปทุกประเทศ
นั่นคือ ต้นทุนของการรุกรานและล่าอาณานิคมในพื้นที่ห่างไกล ฉวยใช้ช่วงชิงทรัพยากรของชนชาติอื่นโดยไม่ขออนุญาต ปราบปรามและกดขี่บีฑาชนพื้นเมืองอย่างรุนแรง
เรายังคงต้องรอบอร์ดเกมที่จะนำความรุนแรงทางประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นกลไกเกมที่โดดเด่นและเรียบง่าย–เรียบง่ายไม่แพ้ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและกลไกตลาดที่เกมอย่าง Navegador ช่ำชองแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการมองข้ามความรุนแรงของลัทธิล่าอาณานิคม

คุยกับ ภัคพันธุ์ สมัครสมาน แห่ง Freddie RiceCurry ผู้รื้อสูตรแกงกะหรี่เดิมๆ เพื่อให้ถูกปากคนไทย
“พรุ่งนี้ก็ Tomorrow เสียแล้ว”
ข้อความนี้คือรอยสักที่ปรากฏอยู่บริเวณหลังแขนด้านซ้ายของชายหนุ่มหนวดงามมาดนิ่ง อิด–ภัคพันธุ์ สมัครสมาน เจ้าของร้าน ‘Freddie Rice Curry เฟรดดี้ ข้าวแกงกะหรี่’ ผู้ควบตำแหน่งเจ้าของร้านและแอดมินเพจด้วย
ถ้าพูดถึงร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นในเมืองไทยในสเกลระดับร้านขึ้นห้าง คุณอาจคิดถึงแบรนด์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่มาเปิดในบ้านเรา แต่ถ้าหากพูดถึงข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นที่เป็นแบรนด์ของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเมืองชาวเน็ตที่แอ็กทีฟบนโลกออนไลน์ เชื่อว่าใครหลายคนต้องคิดถึงร้านของเขา
นอกจากข้อความที่ว่า ด้านหน้าของแขนข้างเดียวกัน เขายังสักรูปวงกลมทึบขนาดเท่ากับเหรียญบาทไว้อีก
ปกติการจะสักอะไรสักอย่างลงบนร่างกาย เรามักนึกถึงถ้อยคำหรือข้อความบางอย่างที่ย้ำเตือนใจ ที่เราอยากจะเห็นมัน หรืออยากให้คนอื่นเห็น แต่แปลกตรงที่ชายหนุ่มคนนี้กลับสักในสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะไร้ความหมาย
จากข้อความที่เห็น ไอเดียแรกที่ผุดในหัวเราคือข้อสันนิษฐานที่ว่า เขาคงจะเป็นคนกวนๆ อารมณ์ดี แบบที่เราได้อ่านได้เห็นในเพจของร้าน แต่เมื่อได้พูดคุยตั้งแต่เริ่มเชิญชวนมาเป็นแขกรับเชิญในรายการพ็อดแคสต์ Bon Appetit ธุรกิจรอบครัว จนถึงหลังจบการสนทนา เรากลับมีความคิดที่ต่างออกไป

ฉากหน้าภายนอกที่ดูมีอารมณ์ขัน โพสต์ข้อความจิกกัดได้แสบเจ็บคันแบบตลกร้าย แต่ภายในเรากลับคิดว่าเขาเป็นคนวางเฉยแทบจะต่อทุกสิ่ง ทั้งเรื่องการเงิน การบริหารร้าน เส้นทางชีวิตในการทำธุรกิจ เสมือนกับว่าทุกอย่างมันจะดำเนินไปตามครรลองของมันเอง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาแค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันนำพาเขาไปในที่ทางที่มันจะเดินไปตามเงื่อนไขของเวลาและความเหมาะสม
“ทำไมถึงสักข้อความนี้และรูปทรงกลมทึบบนแขน” เรายังสงสัยอยู่ และอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไปถามแม้จะจบการสัมภาษณ์แล้ว
“คือเอาลึกๆ เลย ผมเชื่อว่าเราก็แค่เกิดมาใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ลำบากใคร แล้วก็ตายครับ ทุกอย่างเลยไร้ความหมายครับ รอยสักเลยไม่มีความหมายเพราะยังไงเราก็ตายแบบไม่มีอะไรเลยครับ”
คำตอบของอิดคล้ายจะคอนเฟิร์มความคิดเราว่า เพียงฉากภายหน้าที่ดูสนุกสนานมีสีสัน แต่ภายในของเขากลับเป็นความมสงบนิ่งและปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขของธรรมชาติและเวลา

เห็นคุณตั้งชื่อร้านว่า Freddie Rice Curry คุณเป็นแฟนวง Queen ใช่ไหม
จริงๆ ชอบนะครับ แต่ไม่ใช่แฟนคลับ คือผมชอบอยู่หลายเพลงนะ โดยเฉพาะคอนเสิร์ตสุดท้ายที่อยู่ในหนัง Bohemian Rhapsody ผมตามไปดูย้อนหลังเลย ประทับใจมาก
แล้วทำไมตั้งชื่อร้านว่า Freddie Rice Curry
มันเริ่มจากการที่ผมมีแพลนจะทำร้านข้าวแกงกะหรี่ พอเราคิดว่าเราจะเปิดร้านที่มันมีเมนู curry เราก็เลยมาคิดชื่อ จริงๆ ผมเป็นคนชอบเล่นมีมในโลกออนไลน์อยู่แล้ว และคำว่า ‘เฟรดดี้’ (เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่) มันจะเป็นมีมที่ถูกเล่นหลักๆ อยู่แล้วบนโลกออนไลน์ คือโลกออนไลน์ มันจะมีมีมที่เป็นสากล ที่คนทั้งโลกเข้าใจร่วมกันอยู่ประมาณ 10-20 มีม และมีมของเฟรดดี้ คือหนึ่งในนั้น
คือผมง้างรอมานานแล้วว่าวันไหนผมเปิดร้าน curry ผมจะใช้ชื่อเฟรดดี้ แต่จริงๆ มันไม่ได้มีแค่ร้านผมนะ การ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องมีเฟรดดี้แทรกอยู่เป็นตัวละครเยอะมากเลย
ผมเลยรู้สึกว่าถ้าผมเปิดร้านที่ชื่อเฟรดดี้ผมสามารถเล่นมีมได้ทั้งปีอะครับ เพราะผมมี source อยู่เยอะมาก เต็มเครื่อง ผมเซฟไว้ตลอดเวลา
ตอนนั้นทำไมถึงอยากเปิดร้านขายข้าวแกงกะหรี่
เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมเคยเปิดร้านอยู่ร้านนึง เป็นร้านขายผัดกะเพราชื่อร้านกะเพราผัด รัชบาร์ อยู่ที่รัชดาซอย 32 ตอนนั้นผมก็เห็นว่ามันมีพวกแพลตฟอร์มเดลิเวอรีเข้ามาใหม่ๆ หลายแพลตฟอร์ม แล้วผมก็เห็นว่าพวกแพลตฟอร์มพวกนี้เนี่ย ทำให้ร้านเราขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ เลย จนแบบจะแซงยอดขายปกติของหน้าร้านอยู่แล้ว เราก็เลยมาลองคิดและคุยกับเพื่อนว่าอะไรทางๆ นี้ พวกขายเดลิเวอรียังไม่เคยเห็นมีคนขายเท่าไหร่นะ เราลองไปขายกันดูไหม เพราะตอนนั้นมันมาใหม่ๆ GP ต่ำมากๆ
ทีนี้โจทย์ต่อไป คือมานั่งคิดว่าเราจะขายอะไรกันดี ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีหลายๆ แบรนด์ที่เขาเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วในหลายๆ หมวดหมู่ประเภทของอาหาร เช่น พวกไก่ทอด พวกอาหารตามสั่ง แต่มันจะมีอาหารอยู่อย่างนึงที่ผมคิดว่ายังไม่ค่อยมีใครขายนะ ก็คือ ข้าวแกงกะหรี่ สมัยนั้นจะสั่งข้าวแกงกะหรี่ทีเราจะสั่งผ่านแพลตฟอร์มไม่ได้นะครับ ต้องเดินไปสั่งที่หน้าร้านแล้วเดินถือกลับบ้านเอง ก็เลยคิดว่า มีช่องว่างตรงนี้อยู่
แต่ตอนนั้นร้านขายแกงกะหรี่ก็เปิดอยู่หลายร้านแล้วไม่ใช่หรือ
ใช่ครับ ส่วนใหญ่เป็นร้านชื่อดังด้วยที่มาจากญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นถ้าเราจะขายสู้กับเขาแบบหน้าร้านเราคงสู้เขาไม่ได้หรอก เราเลยมาเปิดขายแบบออนไลน์ดีกว่า คือขายออนไลน์น่าจะพอสู้เขาไหวครับ

พอได้ไอเดียจะขายข้าวแกงกะหรี่แล้วทำยังไงต่อ
เราก็ไปคุยกับเพื่อนอีกคนนึงที่ต่อมาพาร์ตเนอร์กัน คนนี้เขาเป็นเชฟอยู่แล้ว เขาก็จะมีความรู้ด้านพวกนี้ ผมเลยชวนเขามาทำข้าวแกงกะหรี่ดู เลยได้เปิดร้านข้าวแกงกะหรี่ด้วยกัน เริ่มแรกก็เปิดที่ลาดพร้าว-วังหิน
ทำไมเลือกเปิดที่ลาดพร้าว-วังหิน
คือตอนแรกเราตั้งใจจะเปิดเป็นเดลิเวอรีอย่างเดียว เลยเปิดที่ชั้นล่างของบ้านผม บ้านที่ผมเช่าอยู่นี่แหละ เห็นมันว่างๆ อยู่ ซึ่งพื้นที่ชั้นล่างอันนี้ตอนแรกมีเพื่อนมาทำโปรดักชั่นเฮาส์อยู่นะครับ เป็นสตูดิโอเล็กๆ มีข้าวของ มีอุปกรณ์การถ่าย แต่พอเพื่อนย้ายออกห้องก็เลยว่าง เราก็เลยเอาข้าวแกงกะหรี่ไปขายในนั้นนั่นแหละครับ
แล้วจริงๆ คุณชอบแกงกะหรี่ไหม
ผมชอบ และเพื่อนอีกคนก็ชอบเหมือนกัน คือเรากินแกงกะหรี่ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้งอยู่แล้ว เพื่อนผมก็กินบ่อยเหมือนกัน เราก็เลยเชื่อว่า เฮ่ย มันต้องมีช่องทางที่จะขายคนแบบเราสิ
พอรู้สึกอยากเปิดร้านแล้วคุณเริ่มต้นกิจการยังไง
พอผมมีไอเดียว่าจะเปิดร้านแกงกะหรี่แล้ว เราก็ไปถามเพื่อนในกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนจากกลุ่มมัธยม สมัยเรียนด้วยกันมา ก็ถามว่าเขาจะกินกันไหมถ้าเป็นแบบนี้ ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่บอกว่า ไม่กิน ไม่ชอบ เพราะกลิ่นของมันและความเลี่ยนของมัน
พอเซอร์เวย์แล้วเพื่อนบอกไม่ชอบ คุณก็ยังยืนยันจะเปิดร้านอยู่เหรอ
เราก็พยายามแก้ปัญหานั้นน่ะครับ ด้วยการคิดข้าวแกงกะหรี่ที่ไม่เลี่ยน โดยปกติข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นมันจะมีมัน ครีม เนย พวกอะไรที่เลี่ยนๆ มันๆ เราก็มาตัดออกทีละอย่างไปเรื่อยๆ เมื่อลองกินดูจนคิดว่ามันไม่เลี่ยนแล้ว เราก็คิดว่า เอ๊ะ มันจะมีเมนูที่ขายดีของร้านอาหารตามสั่ง ก็คือหมูกรอบ เราก็เลยคิดว่า ข้าวแกงกะหรี่ท็อปปิ้งด้วยหมูกรอบมันยังไม่มีใครทำนะ แต่ไอ้ครั้นจะไปขายแต่หมูกรอบเฉยๆ เลยก็ไม่ได้ เพราะคอนเซปต์ร้านเรา เราอยากได้ข้าวแกงกะหรี่ที่ไม่เลี่ยนนี่ เลยได้ออกมาเป็นเมนูแรกคือ ข้าวแกงกะหรี่หมูกรอบพริกเกลือ
พอได้เมนูแรกแล้วคุณหาทางขายยังไง
ตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าจะขายยังไง ผมก็แค่เปิดเพจแล้วโพสต์ลงไปในเฟซบุ๊กเลย โพสต์แรกนั้นเป็นมีมตัวนึงที่เป็นเชฟหน้าตาคล้ายๆ เฟรดดี้ เขาน่าจะเป็นชาวมาเลเซียนะผมว่า (หัวเราะ) แล้วก็เขียนประมาณว่า ครัวเราพร้อมแล้ว พอโพสต์เสร็จผมก็ไปนั่งดื่มกับเพื่อน คือผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเช้ามา ปรากฏว่ามีคนแชร์โพสต์นั้นไป 500 แชร์ ผมตกใจมาก คือผมเปิดเพจมาแค่ไม่กี่นาทีแล้วก็โพสต์ แล้วก็ใช้เฟซบุ๊กตัวเองแชร์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็มา 500 แชร์เลย

กระแสคนที่แชร์โพสต์แรกของเราไปเป็นยังไงบ้าง
ส่วนใหญ่เขาก็จะแชร์ไปพร้อมคำถามครับว่า นี่เป็นร้านอาหารจริงไหม (หัวเราะ) หรือเป็นแค่มีม ผมก็เลยไปคุยกับเพื่อนว่าเราจะทำยังไงดี เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงจะปลายปีพอดี คือตัวผมกับเพื่อนเป็นคนต่างจังหวัด คือปลายปีเราก็ต้องกลับบ้านต่างจังหวัด แต่พอมันมีกระแสมาแล้วหลังจากที่เราโพสต์ เพื่อนก็เลยพูดว่า ถ้าเราไม่ทำร้านออกมาอย่างจริงจังในตอนนี้ ให้มันทันกับกระแส เราจะเสียโอกาส เรากลัวเราจะพลาดโอกาสตรงนี้ไป
ผมกับเพื่อนที่จะกลับบ้านต่างจังหวัดกันสี่ห้าวันนี้ก็วางแผนกันเลยว่าแต่ละคนจะทำอะไรบ้าง เพื่อนก็ไปเตรียมแพ็กเกจจิ้ง ไปคิดเรื่องอาหาร ส่วนฝั่งผมก็เตรียมพวกเรื่องดีไซน์โพสต์เพจอะไรแบบนี้ ผ่านไปน่าจะสักแค่ 5-6 วันหลังจากโพสต์แรกเราก็เปิดร้านขายเลย
แล้วตอนคิดเมนูอื่นๆ ที่ขายในร้าน คุณมีแรงบันดาลใจยังไง
คือเอาจริงๆ ตอนนั้นเรามีแค่เมนูเดียว แล้วเราโพสต์ไปเลยในเพจ แล้วช่วงนั้นรัฐบาลเขามีนโยบายแจกเงิน 500 บาท เราก็ล้อไปกับรัฐบาลว่า ถ้าใครช่วยคิดเมนูให้เรา เดี๋ยวเราจะให้ 500 บาท ตอนนั้นก็มีคนแชร์และคอมเมนต์ค่อนข้างเยอะ ตอนแรกผมก็ไม่รู้จะเลือก จะตัดสินใจยังไง ผมก็เลยเลือกจากปริมาณของคนกดไลก์ แล้วก็ดูว่า เออ มันน่าจะเป็นเมนูที่เราทำได้ เราก็เอาเมนูนั้นมา add ลงเมนูของเรา เช่น เมนูข้าวแกงกะหรี่คอหมูย่าง เมนูนี้พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่เป็นคนคิดนะครับ ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เขาเข้ามาคอมเมนต์ แล้วผมก็คิดว่า เออ เรามีเมนูเผ็ดแล้ว การที่มีเมนูไม่เผ็ดมาตัดบ้างมันน่าจะดีนะ แล้วก็มีเมนูข้าวแกงกะหรี่กะเพราเป็ดหนังกรอบ อันนี้ผมก็ว่าไอเดียดีนะ เราไม่เคยคิดจะทำหนังกรอบๆ มาโรยกะเพราเป็ดอีกที เขาไอเดียดีมาก
การเปิดร้านวันแรกของคุณเป็นยังไง
โห เปิดวันแรกคนเยอะมาก พวกพี่ๆ ไรเดอร์เดลิเวอรีมากันเต็มหน้าร้านเลย คือวันแรกที่เปิดร้านผมยังไม่ได้เอาป้ายไปแปะไว้ที่หน้าซอยเลยนะครับ แบบป้ายที่ชี้ทางเข้าจากหน้าซอยมาจนถึงหน้าร้านยังไม่มีเลย คือเรายังเตรียมอะไรไม่พร้อมเลย เพราะเรามัวแต่ง่วนกับอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นเพราะเราไม่คิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ด้วย
มันเป็นไปตามที่เราคาดหวังไหมกับการเปิดร้านวันแรก
จริงๆ ผมกับเพื่อนเราไม่ได้คาดหวังเลย เราคุยกับเพื่อนไว้แล้วว่า ของที่เราต้องลงทุนมันมีน้อยมาก เพราะเพื่อนเขามีร้านที่ต่างจังหวัด แล้วเขาเพิ่งปิดร้านไป เขาก็เลยมีอุปกรณ์อยู่เยอะ ส่วนตัวผมเองก็ซื้อแค่เตาแก๊สกับถังแก๊สอะไรประมาณนี้ ก็คือเราลงทุนกันไม่เยอะ ถ้าเปิดแล้วมันขายไม่ดีเราเปลี่ยนเมนูได้ เพราะเราลงทุนไม่แพง กะว่าลงแค่คนละประมาณ 5,000 แต่เอาจริงๆ ไปๆ มาๆ ก็มีเลยไป 15,000 นะครับ (หัวเราะ)

ไม่คาดหวังแต่สุดท้ายฟีดแบ็กก็ดีมาก
ดีมากครับ ทำไม่ทันเลย แล้ววันแรกก็มีเพจนึงที่เกี่ยวกับดนตรี ชื่อเพจ แปลงซะเสีย เขาอินบอกซ์มาบอกเลยครับว่าวันเปิดร้านขอสั่งคนแรก แล้วพอเขากินเสร็จวันแรก เขาก็โปรโมต ทำวิดีโอเพลงให้ร้านผมอย่างดีเลย ทำให้คนรู้จักร้านเราจากโพสต์นี้เยอะขึ้นมากๆ แล้วรู้จักร้านผมเร็วขึ้นด้วย ต่อจากนั้นก็เริ่มมีนักดนตรีเข้ามาแชร์เพจไปเรื่อย ผมก็ต้องขอบคุณพี่เขามากๆ เลยครับ ถือเป็นคนปลุกปั้นเพจร้านผมให้ดังไปไกลเลย
แล้วอันที่จริงผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า เจ้าของบ้านที่ผมเช่าคือแม่ของพี่ที่เป็นเจ้าของเพจ แปลงซะเสีย โลกกลมมากครับ ตกใจมากเลย
ฟีดแบ็กในวันแรกดีมาก แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ
เดือนแรกที่เราเปิดที่ชั้นล่าง ก็เริ่มมีสื่อมีอะไรมาถ่ายบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมก็แอบตกใจนิดนึงที่สื่ออย่างช่อง ONE เขาติดต่อผมมาก่อนผมเปิดร้านอีก เพราะเขาคิดว่าผมเปิดไปแล้ว แล้วก็มีเพจมีสื่อต่างๆ ติดต่อเข้ามาถ่าย แล้วพอเข้าเดือนที่สอง เราก็ไปเปิดป๊อปอัพบูทในอีเวนต์ที่พารากอน ซึ่งอันนี้ก็ทำให้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น แล้วพอเราออกไปข้างนอก ก็มีพวกเพจต่างๆ มาแชร์มาโพสต์อะไรอย่างนี้ค่อนข้างเยอะ
พอคนเริ่มรู้จักเยอะแล้ว พอเข้าเดือนที่สามเราเลยคิดว่าเดี๋ยวเราต้องปรับปรุงออกไปอยู่ข้างนอกบ้างแล้ว เพราะที่ลาดพร้าว-วังหินมันเป็นใต้ถุนบ้าน ผมก็ไม่มีที่ให้เขานั่งทาน ลูกค้าเขาก็มาขอนั่งทานตรงบันไดอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็เกรงใจลูกค้าเขา
แล้วจริงๆ เลยมันคือบ้าน มันก็ไม่ได้เหมาะกับการเตรียมรับลูกค้า ตอนหลังเราก็เลยคิดว่าออกไปหาที่ข้างนอกดีกว่า ซึ่งไม่ไกลจากที่เดิม ประมาณเดือนที่สามเราก็เลยออกไปเปิดหน้าร้าน
แล้วเปิดหน้าร้านแล้วคนยังมาเยอะอยู่ไหม
ก็ยังดีอยู่นะครับ คนมาเยอะเลย ช่วงนั้นก็มีเพจรีวิวเข้ามาช่วยเยอะเลย
ตอนนี้คุณมีหน้าร้านทั้งหมดกี่สาขาแล้ว
ตอนนี้มี 7 สาขา

มี KPI อะไรไหมที่คุณใช้วัดว่าคุณพร้อมจะไปเปิดสาขาต่อๆ ไปแล้ว
คือพอเปิดร้านอาหารมันจะมีคนชอบมาคอมเมนต์ว่า “มาเปิดที่นั่นที่นี่หน่อย” บางทีเขามากินที่ร้าน เขาก็มาคุยกับเราแล้วเขาก็บอกว่าเขามาจากแถวไหนย่านไหน เช่น ตอนแรกร้านผมอยู่ลาดพร้าว-วังหิน ก็จะมีคนจากนนทบุรีมากินบ่อย หรือไม่บางทีเขาก็มากันจากต่างจังหวัด แล้วหลายๆ คนก็จะคอยมาคอมเมนต์ว่าให้ไปเปิดที่นั่นที่นี่หน่อย
มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่ผมดูออร์เดอร์เอง ผมก็จะเห็นว่าประมาณ 1 ใน 3 ที่ค่าส่งแพงกว่าค่าอาหาร เราเลยมาคิดว่า เฮ่ย มันอาจจะเป็นตลาดที่ขยายวงกว้างได้อีกนะ เราก็เลยโพสต์ถามไปว่า มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง เราก็ซาวนด์เสียง แล้วเราก็ไปหาที่ ก็ได้เจอที่ที่ดีพอดี นั่นก็คือ แถวป้อมพระสุเมรุ ก็เลยได้เปิดสาขาที่สองที่นั่น
คุณดูยังไงว่าตรงไหนเป็นที่ที่ดี
จริงๆ ตรงป้อมพระสุเมรุเนี่ยเราชอบอาคารด้วย มันเป็นอาคารบ้านเก่า เราก็คิดว่าน่าจะทำต่อได้ง่าย แล้วตรงป้อมพระสุเมรุก็เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างดี เพราะว่าปกติแล้วถ้าเดลิเวอรีก็จะประมาณ 6 กิโลเมตรที่ค่าส่งมันจะโอเค ซึ่งจากตรงนั้นมันคลุมไปได้ถึงพวกสยามพารากอนเลย แล้วถ้าข้ามไปอีกฝั่งนึงก็คลุมไปถึงฝั่งธน เพราะฉะนั้นพื้นที่ตรงนั้นมันตีวงได้ค่อนข้างกว้าง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนโควิด แถวนั้นก็มีนักท่องเที่ยวเดินประจำ ทั้งคนไทยคนต่างชาติผมก็เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นทำเลที่ดี
แล้วจากสาขาที่ 2 มันนำพาไปถึงสาขาที่ 7 ได้ยังไง
พอเรามีสาขาที่ 2 ผมก็คุยกับเพื่อนว่าอยากทำระบบแบบแฟรนไชส์ คือเราจะทำอาหารจากที่ครัวกลางที่วังหินแล้วก็ส่งให้ทางป้อมพระสุเมรุ คือเริ่มวางระบบแบบแฟรนไชส์ อันนี้ก็ต้องยกให้เพื่อนเลย เพราะเขาเป็นเชฟ เขาก็เลยสามารถวางระบบที่ดีให้เราได้
พอเราเทสต์ระบบนี้ไปได้สักพักนึง น่าจะประมาณปีกว่าๆ นะตอนนั้น เราก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเราสามารถส่งของไปได้ ควบคุมรสชาติได้ค่อนข้างโอเค แล้วหลังจากนั้นก็มีโควิด เราก็คิดว่า เราน่าจะเปิดขายแฟรนไชส์นะ
คุณเปิดขายแฟรนไชส์ในช่วงโควิด?
(หัวเราะ) ผมก็ว่ามันก็แปลกๆ นะ แต่ก็ใช่ครับ และมีคนสนใจเยอะเหมือนกันนะ คือตอนนั้นที่ผมกะขายแฟรนไชส์ช่วงโควิด เพราะผมกะให้คนซื้อแฟรนไชส์ไปเพื่อขายเฉพาะเดลิเวอรี ไม่ต้องเปิดหน้าร้านก็ได้ เพราะหน้าร้านมันลงทุนค่อนข้างสูง แล้วสถานการณ์ก็ไม่แน่นอนด้วย
ก็มีคนสนใจค่อนข้างเยอะ เราก็ไปคุย ไปถึงสถานที่ของเขาทุกๆ ที่ แต่หลายๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้มีของมีอุปกรณ์พร้อมที่จะทำได้เลย แล้วถ้าจะให้เขามาลงทุนอะไรเพิ่มผมก็คิดว่ามันจะหนักไปสำหรับเขา แต่ทีนี้พอดีว่ามีร้านอยู่ร้านนึง ที่เขาเปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อยู่แล้วช่วงกลางคืน ฉะนั้นกลางวันเขาว่าง ถ้าเสริมเฟรดดี้ของเราเข้าไป เขาก็พร้อมเปิดได้เลย เพราะเขามีครัวเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ก็เลยเป็นสาขาที่ 3 อยู่ที่สาทรครับ แล้วสาขาที่เหลืออื่นๆ ก็เป็นแฟรนไชส์ตามมา

ได้ข่าวว่าความเผ็ดของเมนูร้านคุณนี่ขึ้นชื่อมาก
จริงๆ เลือกได้นะครับตั้งแต่ไม่เผ็ดเลย คือระดับ 0 ไปจนถึงระดับ 5 คือ Hell แต่ขอเล่าย้อนหน่อยว่าตอนแรกเรามีเผ็ดแค่ 3 ระดับ ตอนเปิดร้านแรกๆ คือระดับ 1-3 แต่ด้วยความที่เราโดนต่อว่าเยอะเรื่องความเผ็ดว่าขอให้มันเผ็ดน้อยกว่านี้ได้ไหม ไอ้เวอร์ชั่น 0-5 ตอนนี้ที่เห็นนี่คือเวอร์ชั่นเผ็ดน้อยแล้วนะครับ นี่คือเผ็ดน้อยที่สุดที่เราทำได้แล้ว อย่างเช่น เผ็ดระดับ 1 ของสมัยก่อนอาจจะเท่ากับระดับ 3 ของตอนนี้ คือทุกคนในร้านเป็นคนกินเผ็ดหมดเลย ตอนเราเทสต์รสชาติกันเองเราเลยคิดว่าประมาณนี้ได้แล้วแหละ รสคนทั่วไป ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เลย (หัวเราะ)
คือคนอินบอกซ์มาด่าจริงจังมาก ด่ามาเยอะมากครับตอนนั้น เยอะจนแบบปรับก็ได้เว้ย ซึ่งตอนแรกก็ดื้อนะครับ ดื้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน ไม่ยอมปรับ เพราะตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะเป็นทางของร้านเราที่เราไม่ชนกับใครในตลาด แต่สุดท้ายคือไม่ชนกับใครแล้วมันจะพานไม่มีใครกินเอานี่สิ (หัวเราะ)
อธิบายหน่อยว่าเผ็ดระดับ Hell คือเผ็ดขนาดไหน
คือถ้าคิดเป็นพริก ก็จะประมาณครึ่งช้อนชาต่อ 1 ระดับความเผ็ด เพราะฉะนั้นถ้าเผ็ดระดับ 5 ก็จะประมาณ 2 ช้อนครึ่งครับ แต่จริงๆ เราใช้ทั้งพริกไทยและพริกเกาหลีนะครับ มันก็เลยจะมีความเผ็ดยาวกับเผ็ดสั้น แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ยาวมากหรอกครับ ถ้ากินเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้เผ็ดนานขนาดนั้น แต่ส่วนที่เผ็ดที่สุดจริงๆ อาจจะไปอยู่ที่พริกไทยอ่อนในหมูกรอบพริกเกลือครับ ถ้าไปทานเจอตรงนั้นก็จะเผ็ดมากและเผ็ดยาว
เคยคิดอยากทำอย่างอื่นบ้างไหม นอกจากทำธุรกิจร้านอาหาร
คือก่อนหน้านี้ผมเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งการเป็นฟรีแลนซ์เวลาไม่มีเงินเข้ามันเครียดนะครับ เราเลยต้องหาอะไรทำแก้เครียด และเมื่อทำอาหารแล้วมันก็คลายเครียดจริง แต่มันจะพาเราไปเครียดกับอย่างอื่นอีกนะครับ (หัวเราะ) เครียดเรื่องการลงทุนอะไรแบบนี้ครับ แต่พอได้ทำไปเรื่อยๆ เราก็เห็นว่ามันน่าจะมีอะไรที่เราปรับแก้ไขให้มันดีขึ้นได้ในโอกาสหน้า เราก็เก็บความตั้งใจนั้นไว้แล้วก็พยายามปรับให้มันดีขึ้นๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าผมติดใจในการอยู่ในแวดวงอาหารไปแล้ว ก็เลยอยู่ในแวดวงอาหาร
คุณใช้คำว่าอยู่ในแวดวงอาหาร
ใช่ครับ ก็ที่ผมทำตอนนี้ก็มีร้านกะเพรา ‘ที่นี่ Basil’ มีร้านยากิโทริ แล้วก็มีร้านกาแฟ เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ผมไปหุ้นกับเขาอยู่ที่งามวงศ์วาน 18 ครับ แล้วผมก็เคยทำร้านคราฟต์เบียร์ด้วยนะครับ ทำมา 3 ปี อันที่จริงหม้อที่ใช้ต้มแกงกะหรี่ของเราตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้คือหม้อต้มคราฟต์เบียร์นะครับ เพราะผมไปเรียนทำคราฟต์เบียร์มา แล้วปกติแล้วเราไม่สามารถหาหม้อขนาดใหญ่ขนาดนั้นได้ทั่วไปในตลาด แล้วพอผมไปเรียนคราฟต์เบียร์ผมเลยมีหม้อนี้ที่สามารถวัดอุณหภูมิ มีก๊อกมีอะไร ที่เหมาะกับการต้มเบียร์ขนาดใหญ่ขนาดหลายลิตร ผมเลยได้หม้อนี้มาต้มแกงกะหรี่ทุกวันนี้

เห็นว่าเวลาคุณทำร้านอาหารคุณทำกับเพื่อน คุณทำยังไงให้ทำธุรกิจกับเพื่อนแล้วมันรอด
เพื่อนผมแต่ละกลุ่มที่ทำร้านอาหารกับผมเราไม่ใช่ทางเดียวกันเนอะ บางคนถนัดทางคราฟต์เบียร์ บางคนถนัดกะเพรา แต่คือโดยรวมแล้วเวลาเราทำร้านทำงานกับเพื่อน ตำแหน่งหน้าที่ของเราจะไม่ทับซ้อนกัน ถ้าเราตกลงกันแล้วว่าเรื่องนี้ให้เพื่อนเราดู งั้นก็ไปเลย ให้เพื่อนเราตัดสินใจไปได้เลย คือเราไม่ก้าวก่ายกัน อย่างเรื่องอาหาร เรื่องการปรับปรุงรส หรือหาซัพพลายเออร์ เพื่อนผมเขาจะมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว อันนี้ก็ทางเพื่อนไปเลย ให้เขาจัดการ ส่วนทางเพจทางอะไรเพื่อนก็ไม่เคยติหรือว่าผม คืออยากโพสต์อะไรโพสต์ไปเลย คือถ้ามีคะดงคดีอะไรค่อยไปรับพร้อมกันครับผม (หัวเราะ)
ก็คือเราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเลย มันก็เลยไม่มีปัญหากัน
เวลาจะชวนใครสักคนมาลงหุ้นทำร้านด้วยกันคุณมองหาอะไรในตัวหุ้นส่วน
ผมว่าผมมองหาคนที่คุยกันได้ คุยกันง่าย เพราะถ้ามันเกิดปัญหาจริงๆ เราต้องกล้าคุยกัน ถ้าเพื่อนสนิทมากๆ แบบสนิทมากๆ จริงๆ ผมกลัวนะ ผมจะไม่กล้าไปร่วมงานขนาดนั้น เพราะเราก็จะกลัวว่าเราพูดอะไรไปเราจะไปทำร้ายจิตใจเขาหรือเปล่า แต่กับเพื่อนที่ทำด้วยกันอยู่จริงๆ เราก็สนิท แต่เรารู้สึกว่าเราพูดกับเขาตรงๆ ได้
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการทำร้านอาหาร
ผมคิดว่าเป็นเรื่องรสชาติที่ลูกค้าได้รับ คือเวลาทำร้านอาหารลูกค้าเขาอาจจะเจอปัญหาหลายๆ อย่างนะ อย่างเช่น บริการไม่ดี มานั่งรอนาน แล้วอากาศร้อน หรืออะไรก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่เราได้เสิร์ฟอาหารที่ดีให้เขา มันจะช่วยเขาได้เยอะเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญหาอะไรอินบอกซ์มา ผมจะเทคแอ็กชั่นทันที อย่างเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สำคัญที่สุดเลย เรื่องรสชาติ เรื่องคุณภาพอาหาร
แล้วคุณควบคุมคุณภาพและรสชาติยังไงตั้ง 7 สาขา
เรามีครัวกลางสำหรับแกงกะหรี่และซอสสำหรับผัด อันนี้ก็จะมาจากครัวกลางเลย เราจะใช้มาตรวัดเลยว่า ใส่ขนาดนี้ ผัดขนาดนี้ ได้ขนาดนี้ แล้วเขาก็จะเตรียมแค่เนื้อสัตว์กับผัก เนื้อสัตว์อื่นๆ เราจะมีซัพพลายเออร์ส่งไปอยู่แล้วเนอะ แต่มันจะมีความยากเรื่องหมูกรอบนิดนึง ที่เขาต้องทำให้ได้คุณภาพตามที่เราวางไว้ อันนี้ยากที่สุด การเตรียมหมูกรอบให้กรอบทั้งวัน หรือการเตรียมหมูกรอบให้มันพอดีกับการขายในแต่ละวัน

คุณคิดว่าลูกค้าของ Freddie RiceCurry คือใคร
ถ้าเป็นตอนแรกๆ ลูกค้าของเฟรดดี้จะเป็นเด็กครับ เด็กแบบ ม.ต้น ถึงประมาณมหาวิทยาลัยที่ชวนพ่อแม่มากิน อันนี้คือตอนแรกๆ ที่จะเห็นมาเล่นในเพจบ่อยๆ แต่พอเริ่มเปิดร้านไปสักพัก เริ่มมีลูกค้าวัยทำงานเข้ามาแล้ว อายุสัก 20-40 ประมาณนี้ ซึ่งอันนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นลูกค้าหลักของเราแล้วแหละ แต่พอเราไปเปิดที่ป้อมพระสุเมรุผมกลับแปลกใจเพราะลูกค้าเป็นคนสูงอายุซะเยอะ อายุจะประมาณแบบ 45+ เลย เราเลยมองเห็นว่า เออ แต่ละสาขาจริงๆ ลูกค้าต่างกันมากนะ อย่างอโศกก็จะเป็นน้องๆ นักเรียน นักศึกษา
ลูกค้าต่างกันแล้วเราทำการตลาดยังไง
จริงๆ เราก็เน้นออนไลน์ เน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นที่เขาอยู่ในแพลตฟอร์ม เพราะถ้าเป็นคนที่สูงอายุมากๆ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์มบ่อยๆ เขาก็กินหน้าร้านอยู่แล้ว เราก็เลยจะเน้นเฉพาะวัยรุ่นที่อยู่ในแพลตฟอร์ม เฉพาะเพื่อนๆ ที่อยู่ในเพจ มาเอนเกจกับเรา มาตอบนี่ตอบนั่นไปเรื่อยๆ คือมาช่วยเราปั่นนั่นแหละครับ
คอนเทนต์แบบไหนที่เล่นในออนไลน์แล้วฟีดแบ็กดี
ร้านเรามันจะมีมุกนึงที่ลูกเพจเขาตั้งให้นะครับ คือแกงกะหรี่น้ำประปา คือเขาจะเล่นว่าเราไปเอาแกงกะหรี่เจ้าอื่นมาละลายน้ำขาย เขาก็เลยจะแซวกันประมาณนี้ว่า เฮ่ย แกงกะหรี่น้ำประปา หรือไม่บางทีเขาก็เรียกน้ำประปาเลย ซึ่งบางทีคนที่เขาเข้ามาใหม่ๆ เขาก็จะงง แล้วมาถามว่าจริงหรือเปล่า ไอ้เราก็ตอบกลับไปเลยครับว่า จริง! (หัวเราะดังลั่น) อันนี้ก็จะเป็นมุกการันตีประจำเพจเลยครับว่าเล่นเมื่อไหร่ฟีดแบ็กดีแน่นอน
แล้วมีมุกไหนไหมที่เราจะไม่เล่น
จริงๆ ก็มีครับแต่เราก็พยายามดันเพดานของเราไปเรื่อยๆ ว่าเราแตะได้ขนาดไหน เพราะมันก็มีหลายๆ เรื่องเนอะที่เป็นเรื่องใหญ่ อย่างพวกเรื่องเหตุบ้านการเมืองอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เราก็พยายามแตะไปเรื่อยๆ ว่ามันไปได้ขนาดไหน จะโดนตีกลับเมื่อไหร่ เราก็เลยอาจจะโดนแขวนบ่อยๆ น่ะครับตามบางกลุ่ม (หัวเราะ) แต่เราก็จะพยายาม อะไรที่ไปวิจารณ์คนอะไรตรงๆ อย่างนี้เราก็ไม่ทำ ส่วนใหญ่เราจะแซวมากกว่า
ถ้าเราบอกว่ายินดีด้วย แสดงว่าตรงกันข้ามนะครับ โพสต์ว่ายินดีด้วยคนก็จะรู้แล้วว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้ว (หัวเราะ)

ถึงวันนี้คุณคิดว่า Freddie RiceCurry ประสบความสำเร็จหรือยัง
คิดว่ายังไม่ประสบความสำเร็จนะครับ แต่ว่ามันจะมีความสำเร็จเล็กๆ ตรงที่เราสามารถรอดจากโควิดมาได้ คือช่วงโควิดแรกๆ ผมกับเพื่อนเดาว่าอาจจะต้องปิดร้านไปเลย อย่างผมเองต้องกระโดดไปหางานประจำทำเพื่อให้มีเงินมาซัพพอร์ตเลี้ยงร้าน เพื่อนผมก็เช่นเดียวกันนะ หาเงินมาซัพพอร์ตร้าน แล้วเราก็พยายามไม่หักเงินใคร จ่ายเงินเดือนปกติให้ทุกคน แต่รายได้มันหายไปเยอะเลย ตอนนั้นเลยคิดว่าอาจต้องปิดร้านไปเลย แล้วค่อยกลับมาเปิดใหม่ก็ได้
แต่พอมาคิดอีกทีก็คิดว่าถ้าปิดร้านไปเลย โอกาสกลับมาใหม่ก็อาจจะยาก ด้วยความพร้อมด้วยอะไรหลายๆ อย่างเราอาจจะหลุดไปแล้ว ตัวพวกเราเองก็อาจจะไม่พร้อมกับการกลับมารวมกันใหม่ เราก็พยายามปั่นไป ลดราคาบ้างอะไรบ้าง ออกเมนูใหม่ๆ เอาตัวรอดไปวันต่อวัน ให้มันมีกระแสเงินสดเข้ามาในร้าน แต่เราก็ผ่านมาได้
อันนี้ผมคิดว่าคือความสำเร็จที่เราภูมิใจได้แล้วนะ