คุยกับนาม สุรนาม พานิชการ จากความรักในรสชาติน้ำเต้าหู้รถเข็น สู่ผู้ก่อตั้ง Tofusan

ข้าวเหนียวหมูปิ้ง โจ๊กหมูสับใส่ไข่ หรือน้ำเต้าหู้รถเข็น 

ไม่รู้ว่ามีใครที่ไหนบัญญัติไว้หรือเปล่าว่านี่คือลิสต์อาหารที่ควรขายในตลาดเช้า แต่ไม่ว่าคุณจะตื่นเช้าไปซื้อหาของกินที่หน้าโรงเรียน ตลาดชุมชน แถวป้ายรถเมล์ หรือสถานีขนส่ง รายการอาหารสามัญที่เราคาดหวังว่าต้องเจอแน่ๆ เสมือนหนึ่งรายการอาหารบังคับของพ่อค้าแม่ค้าในแต่ละพื้นที่

นอกจากเมนูอาหารดังกล่าวจะดูเป็นสตรีทฟู้ดยามเช้า ด้วยความหนักท้องของข้าวเหนียวหมูปิ้งกับโจ๊ก เจ้าเมนูทั้งสองนี้จึงสามารถเป็นอาหารกลางวันและอาหารเย็นสำหรับคนเร่งรีบได้อีกด้วย จะมีก็เพียงน้ำเต้าหู้รถเข็นที่ส่วนใหญ่มักจะหากินได้แค่ในเวลาเช้า 

เมื่อพ่อค้าแม่ค้าน้ำเต้าหู้รถเข็นส่วนมากมักจะขายกันเพียงแค่ในตอนเช้า ปัญหาจึงเกิดขึ้นในใจของใครหลายคนที่ตื่นตอนสาย ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่เคยหงุดหงิดใจกับปัญหาหากินน้ำเต้าหู้ตามรถเข็นไม่ทันเพราะอะไรก็ตามแต่ ขอให้คุณทราบไว้ว่า คุณไม่ใช่คนเดียวที่เผชิญปัญหานั้น 

นาม–สุรนาม พานิชการ ผู้ก่อตั้งและ CEO Tofusan เคยประสบปัญหานั้นเช่นเดียวกัน และนั่นทำให้เขาเข้าใจหัวอกคนตื่นมาซื้อน้ำเต้าหู้รถเข็นไม่ทันเป็นอย่างดี จนเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์ ‘Tofusan’ แบรนด์น้ำเต้าหู้บรรจุขวดที่วางขายในร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าทั่วไป 

การสร้างแบรนด์นี้ นามตั้งใจอยากทำให้ทุกคนแน่ใจว่า แม้ไม่ได้ตื่นเช้ามารอซื้อ คุณก็มีน้ำเต้าหู้คุณภาพดีกินได้ แถมซื้อง่าย และสะดวกด้วย

คุณเรียนจบสายวิศวะแล้วทำไมถึงหันมาสนใจการทำธุรกิจ

ตอนนั้นเราได้ทุนจากการทำกิจกรรมไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย แล้วคอนดิชั่นเพียงข้อเดียวของทุนนี้คือ คุณต้องกลับมาทำอะไรก็ได้ให้กับประเทศที่คุณจากมา อย่างผมมีเพื่อนที่ได้ทุนนี้มาจากเวียดนาม เขาก็ต้องกลับไปเวียดนามเพื่อไปทำอะไรสักอย่างให้ประเทศเขา มีเพื่อนมาจากภูฏานเขาก็ต้องกลับไปที่นั่น แล้วประเทศไทยมีคนได้ทุนนี้มาสองคน คนหนึ่งเขากลับไปเป็นอาจารย์ ส่วนผมตั้งใจว่าจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างเพื่อที่จะดึงเงินออกมาให้เข้าสู่ระบบ สุดท้ายผมไปเจอเพื่อนคนหนึ่งเขามีร้านอาหาร ขายขนม ขนมไทย ผมเลยไปช่วยเขา ไปเอาขนมจากหลายๆ ที่ หลายๆ จังหวัด เช่นเอาขนมมาจากเพชรบุรี เอาเม็ดบัวมาจากพิจิตร มารีแบรนด์ ทำแพ็กเกจจิ้งให้ดีแล้วขายเข้าห้าง เป็นการเอาของดีของแต่ละจังหวัดมาทำให้มันดูทันสมัยขึ้น เท่ากับเราช่วยชาวบ้านตรงนั้นให้เขาขายของได้ง่ายขึ้น 

ช่วยยกตัวอย่างขนมสักอย่างที่คุณหยิบมารีแบรนด์ได้ไหม

อย่างเช่น บ๊วยคืนชีพ อันนี้หลายคนอาจจะเคยได้ยินนะ นี่ก็เป็นหนึ่งในโปรดักต์ที่เราเอามาทำแล้วเอาเข้าห้าง

แล้วทำขนมขายอยู่ดีๆ ทำไมถึงมาเริ่มทำน้ำเต้าหู้

ถึงจุดหนึ่งหลังจากเราทำขนมไปสักพัก เราก็อยากจะไปทำอย่างอื่น เราก็มองหาธุรกิจอะไรที่มันจะไม่ไปทับไลน์กับของเดิมที่เราทำไว้กับเพื่อนแล้ว จะได้สบายใจกัน ทีนี้ตอนที่เราทำธุรกิจขนมไทย เราเจอ pain point หนึ่งนั่นก็คือพ่อเราชอบกินน้ำเต้าหู้ แต่ไม่ได้ชอบกินแบรนด์ที่มีอยู่แล้วในตลาด ก็เลยต้องไปซื้อตอนเช้า แล้วรถติด แค่นี้เลย pain point ง่ายๆ แค่ต้องไปซื้อน้ำเต้าหู้ตอนเช้า และขับรถกลับมาที่บ้าน รู้สึกว่า เออ เสียเวลาว่ะ (ยิ้ม)

แต่คือประเด็นไม่ใช่เรารู้สึกว่าเราไม่อยากเสียเวลาให้พ่อนะ แต่ผมว่าคนกรุงเทพฯ คงเข้าใจ ถ้าเราออกสายไปแค่ 5 นาที 10 นาทีนี่ชีวิตเปลี่ยน รถติดแบบติดมากๆ อันนี้เลยเป็นหนึ่ง pain point ที่ผมมาเริ่มทำน้ำเต้าหู้

จริงๆ มีอีกหลาย pain point นะ ตอนทำ Tofusan คือผมไปถามพ่อนั่นแหละว่า ทำไมพ่อไม่กินน้ำเต้าหู้กล่อง พ่อผมเขาก็บอกแค่ว่าเขาไม่ชอบรสชาตินั้น ผมก็ไปพลิกข้างกล่องดู ไปทำวิจัย ก็พบว่า อ๋อ มันมีน้ำมัน มีนมผงผสมอยู่ ตรงนั้นเองผมเลยคิดว่า เออ มันก็น่าจะมีคนที่มี pain point คล้ายๆ กันอยู่เหมือนกัน ผมก็เลยเริ่มทำแบรนด์ Tofusan

ตอนนั้นทำไมถึงตั้งชื่อว่า Tofusan

‘tofu’ แปลว่า เต้าหู้ ในภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือภาษาญี่ปุ่นก็ใช้คำประมาณนี้ คำว่า โตฟู มันเป็นเหมือนคำสากลที่ใช้สื่อถึงเต้าหู้ ส่วนคำว่า ‘san’ มี 2 ความหมาย ความหมายแรกที่คนส่วนใหญ่รู้คือแปลว่า Mister หรือคุณผู้ชายในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผมว่าก็ตรงกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ดีนะ อย่างผู้ชายเอเชียหรือคนเอเชียก็กินเต้าหู้อยู่แล้ว ผมก็เลยอยากจะ represent ผู้ชายเอเชีย ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ซัง หรือซาน แปลว่าภูเขาในภาษาจีน เช่น เขาเหลียงซาน ก็คือภูเขาเหลียงนั่นแหละ ซึ่งผมว่า meaning มันดีนะ แต่เชื่อไหมตอนแรกที่ตั้งชื่อแบรนด์นี้มีคนแค่ 2 คนเองที่บอกว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี คนอื่นๆ บางคนเขาก็บอกว่า ชื่ออ่านยาก ชื่อยาวไป ชื่อแบรนด์ที่ดีควรมีแค่ 2 พยางค์เท่านั้น ไอ้ผมก็หลอกตัวเองว่า ที โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ ชื่อเขายังมีตั้งหลายพยางค์เลย (หัวเราะ) ผมก็เลยเอาชื่อนี้แหละ แต่ทุกวันนี้ก็ยังคงมีคนบอกอยู่นะว่าชื่อ Tofusan มันอ่านยาก

แล้วคุณทำยังไงให้ Tofusan แตกต่างจากน้ำเต้าหู้กล่องในตลาด

ตอนที่เริ่มทำผมค้นพบว่า ด้วยกระบวนการการผลิตอาจจะต้องใส่สารปรุงแต่งเข้าไป เพื่อทำให้รสชาติมันแมสขึ้น ให้ต้นทุนมันได้ แต่เรามาลองคิดดูว่า เอ๊ะ แล้วถ้าเราไม่ทำแบบนั้น มันมีทางเลือกทางวิทยาศาสตร์อื่นไหมที่ทำแล้วมันจะดี นั่นเลยเป็นที่มาของการเริ่มค้นคว้าและวิจัย Tofusan 

พอเริ่มทำมันก็เริ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่น ตอนนั้นมันมีหน่วยงาน Innovative House ใน สกว. (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น สกสว.) ตอนนั้นเขามีโครงการช่วยคนเรื่อง technology developper เราเองที่ไม่มีความรู้เรื่องอาหารก็เลยเข้าไปหา ให้เขาช่วย

ตอนนั้น สกว.เขามีคนที่มีความรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ

เขารู้ลึกมากครับ ลึกขนาดที่ว่าผมงงเลยว่าเขาไปรู้ได้ยังไงว่า คนญี่ปุ่นต้มถั่วเหลืองยังไง โม่ถั่วเหลืองยังไง เราก็พบว่ามันจะมีเปเปอร์ที่เกี่ยวข้องว่าอเมริกาก็มีวิธีแบบหนึ่ง ญี่ปุ่นมีวิธีแบบหนึ่ง จีนมีวิธีแบบหนึ่ง ไทยมีวิธีแบบหนึ่ง อินเดียมีวิธีแบบหนึ่ง ทุกคนมีคาแร็กเตอร์การทำถั่วเหลืองไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นนี่เขาไม่แช่ถั่วนะ เขาเอาถั่วเหลืองไปต้มเลย แล้วค่อยเอาไปโม่ตอนที่มันร้อนๆ จากนั้นก็เอาไปสลัดกาก แต่จริงๆ เขาก็มีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นนะครับ เช่น อาจจะเป็นเรื่องเอนไซม์ที่เขาอยากให้เกิดหรือไม่อยากให้เกิด 

เราก็เอาความรู้จากเปเปอร์พวกนี้มาพัฒนาวิธีต่างๆ เราก็มาดูว่าเอนไซม์ตัวไหนที่เราอยากให้เกิดไม่อยากให้เกิด ก็มาพัฒนาเอา นี่แค่วิธีการแช่ถั่วหรือไม่แช่ถั่วยังลึกขนาดนี้เลย แล้วมันยังมีวิธีการต้มและอื่นๆ อีกที่ลึกลงไป ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่ได้หน่วยงานทางวิทยาศาสตร์มาช่วยดูแล เราก็คงไม่ได้เติบโตมาแบบนี้

พอมีข้อมูลต่างๆ แล้ว คุณทำยังไงต่อ

เราก็ไปจ้างโรงงานผลิต คนหนึ่งทำเรื่องโม่ คนหนึ่งทำเรื่องวัตถุดิบ ตอนผสม คนหนึ่งทำเรื่อง bottling และผมก็ทำหน้าที่ขับรถส่งของจากโรงงาน A ไปโรงงาน B แล้วก็เอาของของ A กับ B มารวมกันใส่ท้ายรถแล้วเอาไปส่งที่โรงงาน C 

ทำไมไม่จ้างหนึ่งโรงงานแล้วให้เขาทำให้เราทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ

ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีตังค์ด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งคือมันหาโรงงานที่จะทำทั้งสามอย่างในโรงงานเดียวกันไม่ได้ด้วย แต่ผมว่ามันก็ดีนะ มันทำให้เรามี unique selling point ที่ชัดเจนจากคนอื่น

กว่าจะออกมาเป็น Tofusan ขวดแรกใช้เวลานานไหม

คร่าวๆ คือผมอยู่ในแล็บ 11 เดือน ซึ่งตอนนั้นเหมือนผมไปเรียนโทใหม่เลยนะ (หัวเราะ) อยู่ตรงนั้นประมาณ 11 เดือนแล้วก็ออกไปจ้างโรงงานผลิตและผมเป็นคนขับรถไปปะติดปะต่อทั้ง 3 โรงงานให้ได้จนออกมาเป็นน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในขวด Tofusan ซึ่งแฟนผมยังแซวผมอยู่เสมอเลยว่า ตำแหน่งที่ผมชอบทำที่สุดคือ การขับรถ พอขับรถเสร็จผมก็เอาไปฝากห้างขายเอง เอาของลงเอง เข็นเข้าไปในห้างเอง เอาของจัดเข้าเชลฟ์เอง

ล็อตแรกผลิตออกมาเยอะไหม แล้วหาตลาดรองรับยังไง

ล็อตแรกเราผลิตประมาณ 30,000 ขวด บวกลบนิดหน่อย เพราะน้อยกว่านั้นเขาไม่ทำให้แล้ว 

แล้วเพื่อความสบายใจของเรา ก่อนที่มันจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ 30,000 ขวด เราจะมีตัวโปรโตไทป์ก่อน เราก็เอาตัวโปรโตไทป์นี่แหละไปนำเสนอขายกับห้างก่อน พอผ่านแล้ว ผลิต 30,000 ขวดเสร็จปุ๊บเราก็เอาไปวางขายที่ห้างได้เลย ซึ่งช่วงแรกเราขายที่วิลล่ามาร์เก็ตที่เดียวเลย เหตุผลเพราะว่า ของมันราคาไม่ถูก สมัยนั้นราคาขวดละ 35 บาท ถือเป็นเงินไม่น้อยนะ แต่จุดเด่นของเราคือใส่ฟองเต้าหู้ลงไป ก็คือกินแล้วจะมีเทกซ์เจอร์มีอะไรให้เคี้ยวๆ 

ตอนนั้นได้รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติปีถัดมาด้วยนะจาก process นี้ คือใส่ฟองเต้าหู้เข้าไปแล้วมันยังโอเคอยู่ มีเรื่องเล่าให้ฟังขำๆ คือฟองเต้าหู้มันก็คือโปรตีนที่เปลี่ยนสภาพแล้วลอยขึ้นมาบนผิว ทีนี้ถ้าเราใส่ฟองเต้าหู้เข้าไปโปรตีนก็จะสูงขึ้นด้วย ผู้บริโภคก็จะแฮปปี้ ซึ่งตอนแรกเราก็กะว่าจะขายคนที่มีอายุหน่อย เป็นผู้ใหญ่หน่อย แต่สุดท้ายไปจบที่ลูกค้าวัยประมาณ 20-30 หมดเลย

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

มีสองเคสที่น่าสนใจ หนึ่ง มีลูกค้าคนหนึ่งที่ผมได้คุยกับเขา เขาบอกว่าเขาซื้อเพราะแพ็กเกจมันต่างจากของแบรนด์อื่น ซึ่งก็ต่างจริงๆ นะ ในสมัยนั้น การที่มีโลโก้เข้ามาอยู่ในแพ็กเกจจิ้งมันก็ทำให้เราต่างมาก อีกเคสหนึ่งที่จำได้คือ เขาบอกว่าคุณพ่อเขาก็อายุ 60 กว่าๆ ซึ่งไม่ได้มาเดินซื้อของเองแล้ว เขาใช้ลูกมาเดินแทน แล้วด้วยความที่แพ็กเกจจิ้งของเราที่เป็นแก้วมันหนัก ผมก็เดินไปส่งลูกค้าหลายๆ คนถึงรถเลย ซึ่งเขาซื้อกันยกลังเลย 24 ขวด จำได้ว่ามีบางคนซื้อ 3 ลังเลยนะ เพราะเขาคิดว่ามันเป็นโปรดักต์ที่ตอบโจทย์เขา ซื้อเอามาติดบ้านไว้ก่อนเลยแหละ

เหมือนคุณมักหาโอกาสคุยกับลูกค้าเพื่อให้ได้ข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

ต้องเล่าย้อนนิดหนึ่งก่อนว่า ตอนที่ผมเอาของไปฝากขาย คือเนื่องจากมันเป็นการฝากขาย ความเสี่ยงมันตกเป็นของผู้ผลิต ก็คือผมนั่นเอง ทีนี้พอเราเข้าใจตรงนี้ เราก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ของเรามันอยู่ในที่ที่ลูกค้าเห็นเยอะที่สุด ขายออกเร็วที่สุด เพื่อเมคชัวร์ว่าจะได้เอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนหมุนผลิตล็อตถัดไป ผมเลยไปยืนอยู่ใกล้ๆ ข้างๆ จุดที่วางขาย Tofusan ซึ่งผมว่ามันเป็นโมเมนต์ที่ดีมากๆ เลยนะ เราได้เข้าใจฟีดแบ็กของลูกค้า ได้เข้าใจลูกค้าจริงๆ  ได้คุยกับลูกค้าที่เป็นลูกค้าจริงๆ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบการทำเซอร์เวย์เท่าไหร่ เพราะลูกค้าที่เราเซอร์เวย์มาเขาอาจจะไม่ได้ซื้อจริงก็ได้ ผมชอบการได้คุยกับลูกค้าจริงๆ มากกว่า เราได้เข้าใจว่าเขาคิดยังไง

ผมเวียนไปตามวิลล่าสาขาต่างๆ เป็นเดือนๆ จนเชื่อไหมว่าผมรู้ว่าจุดไหนคือจุดที่ลูกค้าจะหยุดยืน จุดไหนคือจุดที่ลูกค้าจะเดินผ่าน จุดไหนคือจุดที่แอร์จะลงเพื่อเปลี่ยนมู้ดของคนที่มาเดินห้าง และมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมทำ ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นการไปล้ำ privacy คนอื่นนะครับ แต่ผมชอบสังเกตของในตะกร้าของคนที่เดินไปมา คือผมมองจนผมรู้เลยว่าถ้าลูกค้าซื้อกระดาษทิชชู่ยี่ห้อนี้บวกกับผงซักฟอกยี่ห้อนี้ เขาจะเป็นลูกค้าที่ซื้อ Tofusan ของเรา คือเราพอจะเดาได้เมื่อเราเห็นมามากพอ แต่ที่ทำคือต้องทำด้วยความสนุกนะ อย่าฝืนทำ ทำเป็นธรรมชาติ เหมือนเล่นเกม

ทุกวันนี้ Tofusan มีหลายรสชาติ มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกเลยไหม

ตอนแรกมีแค่รสออริจินัลปกติเลย ใส่ฟองเต้าหู้เข้าไป แล้วเราใส่น้ำตาลน้อย สมัยนั้นรสปกติของแบรนด์ทั่วไปจะใส่น้ำตาล 8-10% แต่ของเราใส่อยู่ที่ 3.5-4% ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คนก็ชอบแหละ แต่แน่นอนว่า มันก็ยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ เพราะเราขายอยู่ที่ขวดละ 35 บาท ในขณะที่น้ำเต้าหู้หน้าปากซอยบ้านอาจจะขายอยู่ที่ 8-10 บาท ราคามันก็ห่างกันเยอะ แต่เราก็เก็บโจทย์นี้ไว้ในใจ แต่อย่างน้อยคนที่เขามี pain point ที่ออกไปซื้อน้ำเต้าหู้แต่เช้าไม่ได้ เขาก็ยอมจ่ายอยู่

ตอนนั้นล็อตแรกขายหมดเร็วมาก 30,000 ขวดใช้เวลาประมาณเดือนสองเดือนก็หมดแล้ว จากนั้นก็เอาเงินไปลงทุนในล็อต 2 และทำเหมือนเดิมทุกอย่าง จน 8-9 เดือนผ่านไปมีงาน THAIFEX ผมก็เอา Tofusan ไปออกบูท ก็มีคนจากเซเว่นฯ เดินเข้ามาติดต่อที่บูทที่ THAIFEX

คือตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มเอา Tofusan ไปขายในห้างแล้ว ทั้งที่วิลล่ามาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ เดอะมอลล์ MaxValu วันนั้นที่คุยกันผมจำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้นะครับ เขาบอกประมาณว่า เขาคิดว่าการขาย 35 บาทไม่เวิร์กนะ แล้วเขาก็บอกว่าสำหรับขวดแก้ว ราคาควรอยู่ที่ประมาณ 18-20 บาท ถึงจะเวิร์กและขายได้ เขาก็บอกผมว่าไม่ได้อยากให้ผมลดต้นทุนอย่างเดียว แต่อยากให้ลดขนาดด้วย แล้วถ้าทำการบ้านเสร็จเมื่อไหร่แล้วมาคุยกัน ปรากฏว่านั่นแหละเป็น challenging ชีวิตใหม่อีกอันหนึ่ง

ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือน สุดท้ายพบว่าเราต้องตั้งโรงงานขึ้นมาเล็กๆ โรงงานหนึ่ง เพื่อทำน้ำเต้าหู้ดิบ ซึ่งก็คือน้ำเต้าหู้ที่ยังไม่ได้ต้ม เพื่อไปส่งต่อที่อีกโรงงานหนึ่งให้เขาทำ process ต่อไป และทำให้เราลดขนาดลงมาให้เล็กลงได้เพื่อที่จะขายที่ 18-20 บาท ก็ปรากฏว่าประสบความสำเร็จ และเป็นที่มาของการตั้งโรงงานเล็กๆ ของเราเองในการทำน้ำเต้าหู้ดิบ และตรงนี้แหละครับก็เริ่มมีรสที่ 2-3 ออกมา จนวันหนึ่งเราก็มาค้นพบอีกตลาดหนึ่งคือ ตลาดน้ำเต้าหู้ที่ใส่ขวดพลาสติก

น้ำเต้าหู้ใส่ขวดแก้วกับน้ำเต้าหู้ใส่ขวดพลาสติกตลาดต่างกันตรงไหน

ข้อดีของขวดแก้วคือเราไม่ต้องแช่เย็นก็ไม่เสีย แต่ขวดมันจะหนัก และแพง แพงทั้ง process และแพงเพราะค่าขนส่งด้วยเพราะว่าหนัก ทีนี้ตลาดที่บอกว่าไม่มีใครทำเลย คือตลาดทำนมถั่วเหลืองใส่ขวดพลาสติก ซึ่งเบา แต่ต้องแช่เย็นเพื่อรักษาอุณหภูมิ ไม่อย่างนั้นมันจะเสีย เราก็เลยค่อยๆ เพิ่มโรงงานและทำเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งมาถึงตอนนี้เราทำและบรรจุที่โรงงานได้เองร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งตอนนั้นโรงงานนี้เป็นโรงงานห้องแถวเล็กๆ เท่านั้นเองนะครับ เป็นโรงงานที่ 2 ของเรา

และอย่างที่บอกว่าน้ำเต้าหู้ใส่ขวดพลาสติกมันจะต้องแช่ตลอด ทีนี้เรายังไม่มีเงินซื้อห้องเย็นในตอนนั้น ก็เลยไปเช่าตู้คอนเทนเนอร์เย็นแล้วเสียบเข้าไปในห้องแถวเลยครับ ขนาดของตู้มันเสียบเข้ามาในห้องแถวได้พอดี เหลือพื้นที่เล็กๆ เท่านั้นให้เดินเข้าไปในโรงงาน (หัวเราะ) ซึ่งเรามี อย.ถูกต้องทุกอย่างนะ แต่มองย้อนกลับไปก็พูดตรงๆ ว่า มันดูประหลาดมากๆ เลย คนอื่นเขาคงคิดเหมือนกันว่ามันดูประหลาด

ใช้ชีวิตแบบทุลักทุเลอย่างนั้นอยู่ประมาณ 8-9 เดือนสุดท้ายก็ต้องย้าย เพราะสเกลเรามันใหญ่ขึ้นจนถึงตอนนี้ก็ขยายมาเป็นโรงงานแห่งที่ 5 แล้ว เพราะองค์กรเราก็ใหญ่ขึ้นตามสเกล คือที่ผ่านมาเราเช่าที่มาตลอด เพราะเราก็ไม่มีตังค์จะไปซื้อที่ดิน ไม่มีทรัพย์สินไปค้ำประกัน เราก็กู้เงินไม่ได้ แต่ตอนนี้กู้แบงก์ผ่านแล้วและธุรกิจมันถึงระดับหนึ่งที่เราจะซื้อที่ทำโรงงานได้แล้ว ตอนนี้ที่เราอยู่กันก็เป็นโรงงาน 15 ไร่ครึ่ง capacity การผลิตเราวันๆ หนึ่งผมว่าอยู่ที่ประมาณ 8 แสน – 1 ล้าน ยูนิตต่อวัน

จากที่ไปจ้างเขาผลิตจนวันนี้ที่มีโรงงานของตัวเองและผลิตได้เป็นล้านยูนิตแล้ว ถือว่าตัวเองเป็นแบรนด์ใหญ่ในสนามน้ำเต้าหู้หรือยัง

โอ๊ย ผมยังเป็นขนาดกลางอยู่นะครับ  เพราะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศไทยเขาจะผลิตเยอะกว่านี้อีก 5 เท่า 10 เท่า คือโอเค โรงงานผมไม่ได้เล็ก แต่ก็ไม่ได้ขนาดใหญ่มาก แต่ล้านยูนิตที่เราผลิตได้มันก็กระจายออกไปทางช่องทางต่างๆ เช่น น้ำเต้าหู้ออนไลน์ที่น่าจะพูดได้ว่าดีที่สุดหรือเกือบๆ ดีที่สุดของจีน อันนี้เราก็ผลิตให้

ทุกวันนี้ Tofusan มีรสชาติต่างๆ นานามากมาย ทำไมน้ำเต้าหู้ต้องมีหลายรส

ตอนที่ผมไปยืนอยู่ในห้าง ผมเข้าใจเลยว่า การที่เรายืนอยู่ในห้างแล้วโปรดักต์เรามีแค่อย่างเดียว รสเดียว มันยากต่อการที่จะทำให้ลูกค้ามองเห็น ก็เลยคิดว่าเราต้องมีรสชาติที่สอง ผมเลยมาลองดูว่าเทรนด์มันคืออะไรในตอนนั้น เทรนด์ที่กำลังดังตอนนั้นคือ soy matcha latte กำลังดัง อันนี้ต้องบอกก่อนนะว่าผมย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  ผมก็มาลองคิดดู soy มันคือเรานี่ นำ้เต้าหู้ matcha คือชาเขียว ถ้าเราใส่ชาเขียวลงไปก็น่าจะได้ และถ้าเราใส่ถั่วแดงบดลงไปและตั้งทิ้งไว้มันก็จะเป็นเลเยอร์ที่อยู่ตรงก้นขวดซึ่งดูเป็นกิมมิกที่น่าสนใจดี นั่นเลยเป็นรสที่ 2

ส่วนรสที่ 3 เป็นรสกล้วย ซึ่งตอนนั้นเกาหลียังไม่ได้ฮิตนมกล้วยขนาดอย่างทุกวันนี้นะ แต่ตอนนั้นเราไปเจองานวิจัยนึงของ สกว.ที่พิษณุโลกจะมีกล้วยตาก ซึ่งกล้วยตากเวลาที่เราตากมันจะมีน้ำเชื่อมผุดออกมาจากกล้วย และมีรสชาติหวานคล้ายกับน้ำผึ้ง ซึ่ง สกว. ไปหาเอนไซม์ที่เหมาะในการย่อยกล้วยให้กลายเป็นน้ำเชื่อมที่มีรสชาติเกือบๆ เหมือนน้ำผึ้ง คืออร่อยเลย เราก็เลยไปดูดเอนไซม์นั้นออกมาแล้วนำกลับเข้าไปใส่ในน้ำเต้าหู้ของเรา ก็จะเป็นน้ำเต้าหู้รสกล้วยที่มีเอกลักษณ์ คือคนอื่นอาจจะใส่ flavour แต่เราใส่น้ำเชื่อมจากกล้วย

คุณทำแบรนด์ขึ้นมาเพราะอยากให้คนหากินน้ำเต้าหู้รถเข็นได้ง่ายๆ แล้ววันนี้ Tofusan ไปแย่งลูกค้าของคนที่เขาขายน้ำเต้าหู้รถเข็นไหม

ยอมรับแหละว่ามันอาจจะไปกินส่วนของเขาบ้าง แต่ที่ผมคิด ผมคิดว่าเราต้องยอมรับว่าคนบางคนเขามีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ตื่นสาย ขับรถไปไม่ทัน เราก็มี Tofusan ตรงนี้ แต่ถ้าวันไหนคุณตื่นเช้า คุณไปซื้อน้ำเต้าหู้ได้สะดวก อย่างนั้นก็ดีเลย ซื้อน้ำเต้าหู้ตามรถเข็นเลย ซึ่งผมแฮปปี้มากนะ ผมคิดว่าเราไม่ต้องทำโปรดักต์เพื่อแย่งตลาดคนอื่นหรอก 

เพราะเราก็อยากให้คนที่เขาทำอาชีพของเขาอยู่แล้วทำได้ดีต่อไปและดีขึ้น อย่างตอนนี้ผมก็แอบทำโปรดักต์ที่จะไปช่วยผู้ประกอบการน้ำเต้าหู้รถเข็นให้ทำงานได้ง่ายขึ้น และต้นทุนเท่าเดิม ไม่แพงขึ้น เช่น ปกติต้องตื่น 4 ทุ่มมาโม่มาจัดการ อันนี้เราอาจจะมีน้ำเต้าหู้ที่เข้มข้นมากๆ แล้วเขาสามารถเอาไปทำต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องโม่ ในราคาที่เขาโอเค และเราจะขายเฉพาะเขา เราจะไม่วางแมส จุดประสงค์ของผมคือ อยากให้พ่อค้าแม่ค้าที่เขาขายน้ำเต้าหู้รถเข็นสะดวกขึ้น ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เหมือนคนที่ตื่นมาไม่ทันซื้อน้ำเต้าหู้ตอนเช้าก็มี Tofusan ที่รอตอบโจทย์คุณอยู่

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราไม่ค่อยเห็นโฆษณาจาก Tofusan เลย เป็นความตั้งใจของคุณหรือเปล่า

เพราะไม่มีตังค์ครับ (หัวเราะ) จริงๆ ชอบพูดว่าไม่มีตังค์ แต่ผมบอกอย่างนี้ดีกว่า คือผมคิดว่าเราไม่ได้เชื่อตรงนั้น เช่น สมัยก่อนตอนเราดูละครตอนที่มีโฆษณาเราก็เดินไปทางอื่นบ้าง ไม่สนใจบ้าง คือได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง พอผมไม่เชื่อแบบนั้น มันก็เลยไม่ได้เอาเงินไปลงตรงนั้น เช่นคนปกติอาจจะกันเอางบ 10% เพื่อโฆษณา เราก็เอางบ 10% ตรงนั้นยัดเข้าไปในโปรดักต์แทน เพราะฉะนั้นของของเราก็ควรจะดีกว่าคนอื่นเขาสัก 10% เพราะเราไม่ได้ลงงบไปที่โฆษณา พอเราเอางบไปลงที่โปรดักต์เราก็หวังให้โปรดักต์พูดแทนเรา ซึ่งผมคิดว่าผมก็โชคดีมากที่ผลมันออกมาโอเคมากๆ  คือเราเชื่อว่าเราต้องทำโปรดักต์ออกมาให้ดีมากๆ คือวิธีสื่อสารก็สำคัญแต่ไม่ควรเอาเงินไปทุ่มกับวิธีสื่อสาร โดยที่โปรดักต์ของเราไม่ดี

ชวน Seen Scene Space หยิบ 11 คอนเสิร์ตที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

Seen Scene Space

Seen Scene Space add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Day 1 ของ ROOFHAIR ธุรกิจซาลอนที่เชื่อในงานฝีมือ และการขัดเกลาให้เก่งขึ้นในทุกๆ วัน

ROOFHAIR

ROOFHAIR Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ROOFHAIR

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Keziah แบรนด์เสื้อผ้าของเด็กหญิงวัย 10 ขวบที่กำลังจะไปแสดง New York Fashion Week 2022

Keziah (เคสิยาห์) คือแบรนด์ผ้าพิมพ์ลายของ วินนี่–ด.ญ.เคสิยาห์ ชุมพวง ศิลปินภาพวาดแนวแอ็บสแตรกต์ วัย 10 ปี และครอบครัว

สามปีที่แล้ว ผู้เขียนมีโอกาสเล่าเรื่องของวินนี่ และ ฮีโร่–ด.ช.วจนะ ชุมพวง พี่ชายที่อายุมากกว่า 1 ปี เรื่องที่ทั้งสองคนเป็นผู้ประกอบการที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของงานแสดงสินค้า Style Bangkok นั่นหมายความว่า วินนี่และฮีโร่มีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ

ด้วยผลงานที่โดดเด่น เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาทำให้ Keziah เป็นแบรนด์ที่ได้รับความรักจากทุกคนที่พบเจอ ตลอดสามปีที่ผ่านมา

Capital กลับมาพบกับวินนี่ ฮีโร่ พ่อโพ–กรกมล ชุมพวง และแม่มุ้ย–ยุภวัลย์ ย่องภู่ อีกครั้ง ในวาระที่แบรนด์ Keziah กำลังจะไปแสดงงานที่ New York Fashion Week 2022 ระหว่างวันที่ 8-11 กันยายนนี้ 

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ตื่นเต้น เราที่ติดตามครอบครัวนี้มานานก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ก่อนจะไปพูดคุยถึงที่มาและการเตรียมพร้อมสำหรับงานแฟชั่นระดับโลก Capital ขอเล่าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์และวิธีทำธุรกิจครอบครัว ที่ทั้ง พ่อ แม่ และลูกๆ มีส่วนร่วมในทุกการคิดและตัดสินใจ

ฮีโร่และวินนี่เกิดและเติบโตในครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่เป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายธุรกิจ หากแต่เป็นเรื่องการทำธุรกิจ 101 นั้น ทั้งสี่คนจับมือกันทำแบรนด์และเขียนตำราธุรกิจ (ครอบครัว) แบบลองผิดลองถูกเองบ้านๆ เมื่อ 3 ปีก่อน โดย Keziah เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนความสุขของลูกๆ จากการทำงานศิลปะ 

พ่อโพเล่าว่า ฮีโร่เริ่มต้นวาดภาพสีน้ำ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เรียนทฤษฎีสีหรือการวาดรูปทรงใดๆ มาก่อน แต่ใช้วิธีสังเกตธรรมชาติรอบตัวที่เติบโตในจังหวัดตรัง มองใบไม้ ท้องฟ้า และทะเล ก่อนผสมสีและวาดภาพตามความรู้สึก ขณะที่วินนี่ซึ่งโตตามกันมาสนใจการใช้สีอะคริลิกวาดภาพแอ็บสแตรกต์ลงบนเฟรมซึ่งไม่ถูกบังคับด้วยรูปทรงใดๆ 

“เราไม่เคยวางแผนว่าเด็กๆ จะต้องเป็นศิลปิน แต่เมื่อเขาบอกว่าเขาอยากเป็นศิลปิน เราก็เชื่อว่าเขาเป็นศิลปิน หลังจากพวกเขาเขียนรูป เราก็นำไปใส่กรอบและจัดแสดงต่อสาธารณะ เราเล่นกับเขาจนพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นศิลปินเด็ก ส่วนเรื่องธุรกิจหรือการทำแบรนด์มาจากวินนี่ เขาชอบเสื้อผ้า ชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น ขณะที่เขาทำงานศิลปะอยู่เขาก็มาบอกว่าถ้าป่าหิมะ (ชื่องานศิลปะ) กลายมาเป็นกระโปรงหรือเสื้อผ้าให้เขาใส่ต้องสวยแน่ๆ เราก็นึกภาพตามไอเดียที่เขาบอก และคิดว่ามันก็น่าจะดีนะ แต่เราทำยังไงล่ะ ด้วยความที่ทุกคนไม่รู้ก็เรียนรู้ไปพร้อมกัน” พ่อโพเล่าที่มาของการเล่นสนุกซึ่งวันหนึ่งได้กลายเป็นเวทีและสนามทดสอบความสามารถอันยิ่งใหญ่

หลังจากที่พ่อและแม่หาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต พวกเขาก็ได้เจอโรงงานพิมพ์ผ้า ซึ่งปกติการจะผลิตลายผ้านั้นต้องมีขั้นต่ำในการผลิต 1,000-10,000 หลา แต่เพราะเจ้าของโรงงานที่พวกเขาได้พบชอบงานศิลปะของวินนี่และฮีโร่มากๆ จึงยอมผลิตผ้าในจำนวน 3-5 หลาต่อลาย จากนั้นก็ให้ช่างตัดเสื้อในจังหวัดตรังช่วยตัดเย็บชุดให้ โดยที่สองพี่น้องรับบทนักออกแบบควบตำแหน่งนายแบบนางแบบ โพสท่าถ่ายรูปลงในเฟซบุ๊กที่พ่อและแม่สร้างไว้สำหรับให้แฟนๆ ติดตามผลงาน โดยเสียงชื่นชมและกำลังใจจากบรรดาแฟนคลับทั้งใกล้และไกลก็ทำให้เด็กๆ และครอบครัวตัดสินใจลุกมาทำแบรนด์เสื้อผ้าอย่างจริงจัง

พวกคุณแบ่งหน้าที่กันยังไง ในวันที่ตัดสินใจทำแบรนด์ Keziah 

พ่อโพ : เริ่มจากวินนี่และฮีโร่ตกลงกันเป็นหุ้นส่วน โดยฮีโร่ทุบกระปุกนำเงินเก็บ 4,000 บาทไปจ้างนักออกแบบโลโก้ โดยคำว่า Keziah เป็นภาษาฮิบรู แปลว่า cinnamon หรืออบเชย ทุกคนก็ลงความเห็นว่ารูปเด็กผู้หญิงที่มีกิ่งอบเชยเสียบอยู่ในโลโก้ดูเหมือนวินนี่ที่สุดตรงกับคาแร็กเตอร์หวาน มัน หอม เผ็ด ของเขา 

เมื่อมีแบรนด์ มีผลิตภัณฑ์ หลายคนก็แนะนำให้เราไปออกร้าน จึงเป็นที่มาของการสมัครและได้รับคัดเลือกให้ออกร้านที่งาน Style Bangkok ในฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ ทางผู้จัดงานก็จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการตั้งราคาสินค้า เรียนรู้วิธีการนำเสนอของเพื่อเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้า เด็กๆ ก็นั่งเรียนจริงจังเลยนะ แต่เขาทำได้แค่บวกเลข ยังคูณและหารไม่เป็น โชคดีเพื่อนนักเรียนข้างๆ เขาคิดและแชร์สูตรลัดแบบง่ายๆ พวกเราก็เลยได้ความรู้ไปด้วย ซึ่งวันงานบรรยากาศค่อนข้างจริงจัง เพราะเป็นงานเจรจาธุรกิจ ซึ่งมีกฎว่าห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้างาน เราก็ไปคุยกับผู้อำนวยการจนได้บัตรผ่านพิเศษมา

ผลประกอบเป็นยังไง เหมือนหรือต่างจากที่คิดไว้แค่ไหน

พ่อโพ : หลังจากวันเจรจาธุรกิจ 2 วันสุดท้ายของงานเป็นวันค้าปลีก ทำให้เราเจอกลุ่มเป้าหมายของเราโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกเรายังไม่รู้เลยว่าจะขายอะไร เราเอารูปวาดไปแต่พอใครจะขอซื้อก็บอกว่าไม่ขาย เอาผ้าม้วนไป แต่ก็เก็บไว้ด้านหลังร้าน พี่บูทข้างๆ ซึ่งทนดูมาหลายวัน ก็เลยช่วยเอาผ้าม้วนของเราพาดตกแต่งบูทใหม่ ทีนี้ลูกค้ามาขอซื้อผ้ากันใหญ่ ตอนนั้น 1 หลาเท่ากับกี่เซนติเมตรเรายังคิดไม่ค่อยถูก ตัดผ้าก็ยังแหว่งๆ

แม่มุ้ย : ก่อนจะมาออกร้าน เราเชื่อมั่นว่าคนต้องชอบแน่ๆ ปรากฏเงียบมากเพราะปีนั้นธุรกิจซบเซา เราเองก็จัดร้านกันสะเปะสะปะมาก ในใจพ่อแม่คือเราจะรักษาความเชื่อมั่นที่บอกลูกได้ยังไงดี แต่วินนี่ไม่ยอมแพ้ เขาถือโบรชัวร์ของตัวเองไปเดินหาลูกค้า ซึ่งงานมีกฎห้ามคนเดินออกนอกบูทตัวเอง วินนี่ก็ถามว่าทำไมฝรั่งเขาชมแต่ไม่ซื้อของ เราก็ได้แต่ให้กำลังใจลูก แล้วบอกว่า 3 วันแรกเขายังไม่อนุญาตให้ขายของ เราก็หวั่นๆ นะ ว่าถ้ามาออกงานแล้วขายไม่ได้ขึ้นมาลูกจะเสียกำลังใจ ไหม เขาจะกล้าเชื่อมั่นในสิ่งที่มีต่อหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ผ่านมาด้วยดีร่าเริงกันใหญ่เพราะว่าขายของได้ค่ะ

พ่อโพ : จากวันนั้นพวกเราก็ทำแบรนด์ควบคู่กับแสดงงานศิลปะเรื่อยมา ซึ่งงานศิลปะก็ยังขายอยู่ ราคาของวินนี้จะเริ่มต้นที่ 50,000 บาทขึ้นไป ฮีโร่ก็เช่นกัน แต่ไม่ค่อยได้ขาย หม่าม้าป่าป๊าอยากให้ขาย แต่ลูกไม่ขาย

เพราะศิลปินไม่อนุญาต

แม่มุ้ย : เขาจะต้องสัมภาษณ์คนซื้อค่ะ เขาจะขอคุยเอง 

พ่อโพ : ฮีไร่จะขายงานให้กับคนที่รักงานเขาเท่านั้น ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบงานศิลปะเขาจะรู้ เขาไม่ชอบคนที่มาซื้อเพราะเอ็นดูตัวเขา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คิดจะไป New York Fashion Week คือตอนไหน

แม่มุ้ย : ปีที่ผ่านมาเราทั้งครอบครัวได้ย้ายขึ้นมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของพ่อแม่ก็มาชวนให้สมัครไป New York Fashion Week เราก็รีบไปถามลูกเลยว่าไปไหม เพราะใจแม่อะไปแล้ว

ขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัวเพื่อไป New York Fashion Week มีอะไรบ้าง

พ่อโพ : ขั้นแรกเราต้องทำให้เขาสนใจแบรนด์เรา เพราะผู้จัดเขาจะต้องขายตั๋วชมงาน เราก็ต้องทำให้เขามั่นใจว่าจะมีคนสนใจยอมจ่ายเงินมาดูโชว์นี้ เรารวบรวมผลงานที่ทำ บทสัมภาษณ์ที่เคยออกสื่อทั้งหมด สุดท้ายเขาก็ตอบรับกลับมาว่าโอเค และเหมือนว่าจะจัดให้ Keziah ขึ้นเป็นโชว์เปิดในวันแรก ต้องบอกว่างานนี้มีผู้จัดหลายเวที เราเป็นเพียงโชว์หนึ่งของผู้จัดองค์กรหนึ่งจากทั้งหมด

แม่มุ้ย : หลังจากได้รับคำตอบรับ เขาก็ส่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆ มา มีค่าเวที ค่าลิขสิทธิ์ ค่าขึ้นโชว์ ค่านางแบบ และอื่นๆ จำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ แล้วเราก็ต้องมาคุยเรื่องชุด เรื่องการออกแบบ เรื่องธีมงาน ระหว่างที่ปล่อยให้วินนี่ทำงานกับฮีโร่ คนเป็นพ่อเป็นแม่ซึ่งไม่เคยไปก็จะกังวลหน่อยๆ เลยเริ่มเช็กกับเพื่อนที่นิวยอร์ก ซึ่งทำงานเป็นช่างแต่งหน้าในฮอลลีวูดและเป็นแฟนคลับของวินนี่ เขาก็แนะนำให้คุยกับเพื่อนที่ทำงานนิตยสาร จนได้รู้ว่าองค์กรที่ตอบรับโชว์ของวินนี่มีอยู่จริง ไม่ได้มาหลอก ซึ่งแม้ไม่ใช่เวทีหลักของงาน แต่ก็เป็นเวทีที่ให้ประสบการณ์ New York Fashion Week แก่เด็กๆ ได้แน่นอน เราก็เริ่มเบาใจขึ้นที่ไม่ได้โดนหลอก 

สิ่งที่เตรียมไปแสดงประกอบด้วยชุดที่ออกแบบและตัดเย็บใหม่จำนวน 14 ชุด ทำจากผ้าพิมพ์งานศิลปะลายใหม่ ได้แก่ลายน้ำแข็งไสโดยวินนี่ และลายแมลงปอโดยฮีโร่

ดูเหมือนว่าราคาที่ต้องจ่ายก็เป็นโจทย์ใหญ่ของการไป New York Fashion Week ครั้งนี้ของทั้งครอบครัว

แม่มุ้ย : จริงๆ พ่อแม่จะจ่ายเงินซื้อประสบการณ์นี้เลยก็ได้ แต่มันดูไม่เท่เลย ระหว่างเตรียมงาน รุ่นพี่ก็แนะนำให้ลองหาสปอนเซอร์มาช่วยสนับสนุน แต่เป็นเราเองที่กังวลแทนลูกๆ ว่าการมาของสปอนเซอร์อาจผูกมัดหรือมาจำกัดกรอบที่เด็กๆ วางไว้ เคยลองติดต่อแล้วมีเงื่อนไขว่าคอลเลกชั่นที่จะนำไปแสดงต้องเป็นของสปอนเซอร์ เพราะเป้าหมายหลักของเราคือทำให้เด็กๆ ได้เป็นตัวของตัวเอง เราก็เลยไม่เลือกวิธีหาสปอนเซอร์ จนกระทั่งมีรุ่นพี่แนะนำให้รู้จักคุณวิชชุ พูลสงวน จาก Unique & Union ซึ่งเข้ามาในฐานะพาร์ตเนอร์ธุรกิจ

พ่อโพ : ต้องบอกว่าหลังจากที่เราไปขายสินค้าที่งาน Style Bangkok เราก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ทำให้เราขายของได้เยอะมาก แต่เราเป็นครอบครัวไม่ใช่นักธุรกิจ เราไม่เก่งเรื่องการผลิต การตลาด การขนส่ง เราไม่เก่งเลย เด็กๆ ก็ยังต้องเรียนหนังสือ เมื่อโอกาสมาถึงคนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าต้องเก็บเกี่ยว แต่เราไม่สามารถตอบโจทย์ตลาดได้ เพราะเราก็ยังต้องทำงานหลักเพื่อเลี้ยงลูก ทำให้เสียโอกาสอย่างมาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เราต้องหามืออาชีพคนที่ทำธุรกิจเป็นและถนัดเรื่องการจัดการมาช่วย เพราะในเมื่อเรากำลังจะไปนิวยอร์กซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของแบรนด์ ก็ไม่อยากให้สิ่งนี้สูญเปล่า จึงเกิดความร่วมมือในลักษณะจัดตั้งบริษัท โดยเรายังได้ทำหน้าที่ของเรา เลี้ยงลูก ส่งเสริมพัฒนาการให้เขาได้สร้างสรรค์และทำงานที่เขารัก ส่วนเรื่องค้าขายเป็นงานของ Unique & Union

อะไรทำให้บริษัทที่ไม่เคยสนใจธุรกิจแฟชั่นมาก่อนอย่าง Unique & Union ตัดสินใจจับมือเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกับ Keziah

วิชชุ (วิชชุ พูลสงวน บริหารบริษัทยูนีคแอนด์ยูเนียน)  : เมื่อรู้ว่าเด็กๆ กำลังจะไปแสดงงานที่นิวยอร์ก และกำลังต้องการความช่วยเหลือฝั่งของธุรกิจ เราก็อยากเข้ามาช่วยเพราะเชื่อมั่นว่าเด็กๆ จะนำชื่อเสียงมาให้แก่ประเทศของเรา แม้ว่าผมจะผ่านธุรกิจมาบ้างแต่ยอมรับว่าเป็นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ อาศัยว่าเรามีพันธมิตรในวงการแฟชั่น วงการโฆษณา มีเพื่อนที่เชี่ยวชาญมาช่วยดูแลคุณภาพการผลิตผ้า จึงอยากเข้ามาซัพพอร์ตส่วนนี้ในรูปแบบบริษัทที่ตั้งมาเพื่อสนับสนุนแบรนด์ Keziah โดยเฉพาะ เริ่มจากศึกษาตลาด ดูแลเรื่องการสื่อสาร ขณะเดียวกันก็คิดร่วมกับน้องๆ ค่อยเรียนรู้กันไป แม้ว่าการสร้างแบรนด์ในเวลานี้จะยากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส อย่างน้อยเรื่องราวของน้องๆ ที่นำเสนอออกไปตามสื่อออนไลน์ก็ช่วยสร้างโอกาสให้คนในโลกได้เห็นและรู้จักสิ่งที่เรากำลังจะทำ

การมาของพาร์ตเนอร์ดูจะเป็นวิธีที่ตอบโจทย์และยั่งยืนกว่าการเปิดรับสปอนเซอร์มาสนับสนุน

แม่มุ้ย : จริงๆ ก่อนหน้านี้เคยมีนายทุนเสนอจะลงเงินให้ 10 ล้านบาท แลกกับการให้เราอยู่เฉยๆ ซึ่งเขาจะจัดการแบรนด์เอง แล้วจะให้ส่วนแบ่ง แต่เรารู้สึกว่า Keziah ไม่ใช่แค่ธุรกิจแต่มันคือลูกเรา

พ่อโพ : เราอยากให้เด็กเติบโตและมีความคิดสร้างสรรค์ คือเขาต้องเล่นด้วย ไม่ใช่ได้แค่เงิน แต่เราอยากให้เขาได้เรียนรู้ อย่างที่เห็น งานแฟชั่นที่นิวยอร์ก ทั้งฮีโร่และวินนี่ได้ทำเองหมดทุกขั้นตอน

แม่มุ้ย : เราเข้าใจว่าในโลกของธุรกิจการจะทำให้แบรนด์ไปต่อมันต้องมีระบบระเบียบกว่านี้ แต่ที่ผ่านมา Keziah เดินมาด้วยความรักและความสุข ตราบใดที่ความสุขของพวกเขายังอยู่ เขาได้เล่น ได้จินตนาการ พลังการสร้างสรรค์งานก็จะไม่มีวันหมด

จากวันที่เริ่มต้นเพราะอยากสนับสนุนในสิ่งที่ลูกรัก เมื่อต้องทำให้เป็นธุรกิจมากขึ้น พวกคุณมีวิธีรักษาสมดุลระหว่างครอบครัวและธุรกิจยังไง

แม่มุ้ย : งานของเราคือสนับสนุนเขาในทุกทาง ไม่ว่าจะยังไงเรารักและเป็นห่วงเขา หลายครั้งเราก็กลัวว่าความล้มเหลวจะทำให้เด็กๆ ไม่กล้าไปต่อ สิ่งที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องก้าวข้ามความรู้สึกนี้ให้ได้ พ่อแม่ต้องกล้าหาญ ต้องชนะความกลัวในใจของตัวเอง เด็กเขาไม่แคร์หรอกว่าใครจะมองเขายังไง จะล้มเหลวแค่ไหน แต่พ่อแม่อาย บางทีก็กลัวว่าคนจะมองว่าทำอะไรกัน เราก็แค่ต้องรักกันให้พอ ต้องเชื่อมั่นแล้วมันจะชนะความกลัวตรงนี้ไปได้

พ่อโพ : ก่อนจะมีลูกเราสองคนเคยทำธุรกิจกันมาก่อนแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เราเคยโทษกันและกันซึ่งไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เมื่อมีลูกเราก็เรียนรู้กันใหม่ว่า ถ้าใครออกไอเดียอะไรแล้วเราทำร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือผิดพลาดล้มเหลว เราจะรับผิดชอบร่วมกัน ไม่มีการโทษกัน แล้วเราก็จะลืมมันไวมาก จะไม่กลับไปย้อนดู แต่เราจะไปทำสิ่งใหม่ เคลียร์ให้ไวที่สุดและไปเริ่มใหม่ให้ไวที่สุด อย่างการไปนิวยอร์กไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ พวกเราก็กล้าไปเลย แต่มันค่อยๆ เป็นไปทีละขั้น เกิดจากความเชื่อที่ค่อยๆ เติบโตและพัฒนา

มีคำแนะนำถึงขั้นตอนหรือวิธีการสนับสนุนลูกในสิ่งที่พ่อแม่เองก็ไม่ได้ถนัดยังไงบ้าง

พ่อโพ : ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีสิ่งที่อยากให้ลูกเป็น พวกเราก็เหมือนกัน พวกเราเป็นทนาย เราก็แต่งตัวเต็มยศที่สุดพาเขาเข้าไปที่ศาล สัมผัสบรรยากาศการว่าความ หมายมั่นให้เขาเป็นผู้พิพากษา คิดว่าลูกต้องชอบแน่ๆ สิ่งที่เขาเห็นคือ นักโทษเดินลากโซ่ออกมา จบกัน พยายามบิลด์แค่ไหนเขาก็ไม่รับ ประกอบกับเพื่อนบ้านเราเป็นครอบครัวมิชชันนารีเลี้ยงลูกแบบโฮมสคูล ปล่อยให้เด็กสนุกกับการเป็นตัวเองเต็มที่ เราก็ถามหัวหน้าครอบครัวว่าอาชีพไหนที่จะได้รับการยอมรับในอนาคต ซึ่งคำตอบคือคนที่ทำงานสร้างสรรค์ เราก็เลยกลับใจยอมปล่อยให้เขาเลือกทำสิ่งที่ชอบ แล้วคอยหาโค้ชมาไกด์

อะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าแบรนด์ Keziah มาถูกทางแล้ว ไม่ได้กำลังเล่นขายของอยู่ จริงๆ ลูกค้าของ Keziah เป็นใคร

พ่อโพ : ไม่นานมานี้เราเพิ่งได้เรียนรู้ว่า ลูกค้าหรือคนที่ต้องการสินค้าของเราเขาจะไม่ต่อราคาเลย ขณะที่บางคนต่อให้เราลดราคากระหน่ำแค่ไหน ถ้าเขาไม่ต้องการเราก็ไปขายเขาไม่ได้ คนที่ชอบเรา เขาต้องการของที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเราก็ไม่เหมือนใครจริงๆ

แม่มุ้ย : จริงๆ ข้อเสียของเราคือเราเป็นพ่อแม่ที่ทำงานไปด้วย ขายของไปด้วย ทุกวันนี้ก็มีลูกค้าตามมาในเพจว่าจะขายหรือไม่ขาย บางคนทักมาหลายวันแล้วเราไม่ตอบ แต่ว่าลูกค้าก็น่ารักและยืนยันจะซื้อ นี่คือถึงเหตุผลที่เราอยากให้มีมืออาชีพเข้ามาช่วยแบรนด์ ลูกค้าจะได้ซื้อสินค้าสะดวกและได้รับของเร็วขึ้น ช่วงที่ออกสื่อใหม่ๆ มีลูกค้าขอโอนเงินค่าผ้ามาให้ก่อน บางคนยอมรอเป็นเดือนๆ ลูกค้าทุกคนเอ็นดูเด็กๆ มาก มีหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด เช่น ตำรวจท่องเที่ยวจัหวัดตรังมาตามพวกเราถึงบ้าน เพราะนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่นเป็นแฟนคลับวินนี่และฮีโร่อยากเจอ ถึงบอกว่าแบรนด์เราได้เปรียบเรื่องความเป็นเด็ก

พ่อโพ : เด็กทำธุรกิจไม่เสียเปรียบนะครับ ได้เปรียบมากเลยครับ เราได้รับความรักและการสนับสนุนจากผู้ใหญ่มากมาย

เมื่อเป็นธุรกิจครอบครัว บรรยากาศการทำงานเป็นยังไง ใครตัดสินใจ ใครเป็นผู้นำและผู้ตาม

พ่อโพ : สำหรับพวกเรา พ่อไม่ใช่ผู้นำ แต่เป็นแม่และลูกๆ ผมทำแค่พยายามจะรักษาสมดุล ไม่ได้ห้าม แต่ช่วยทำจินตนาการพวกเขาให้เป็นรูปเป็นร่าง ทั้งๆ ที่ความจริงเรากลัวมาก แต่พวกเขาดึงความเชื่อมั่นในตัวเราออกมาก็ทำให้เราโตไปด้วย ตั้งแต่วันแรก ทุกอย่างเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ เริ่มจากฮีโร่ชอบวาดรูป จากกระดาษปอนด์แผ่นละ 5 บาท สีตราม้า พู่กัน 5-10 บาท แม่เขาก็จะค่อยๆ พาไปสู่กระดาษและสีที่แพงขึ้น เพราะรู้ว่าจะทำให้งานออกมาดีขึ้น มีคุณภาพ ซึ่งถ้าเป็นพ่อ พ่อคงจะถ่วงเขา หยุดพวกเขาแค่นั้น เขาก็จะไม่เกิดการพัฒนา พอมาทำธุรกิจ ซึ่งเราเห็นลูกความของเราก้าวพลาดมาเยอะ เราก็ไม่กล้า ขณะที่แม่กับลูกๆ กล้าหาญและมองการณ์ไกล จนวันนี้ฮีโร่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์สีและกระดาษยี่ห้อดังจากการที่เป็นผู้ใช้งานจริง มันทำให้เราเปิดใจว่า ทุกคนเดินไปนะ พ่อจะคอยเดินตามและระวังหลังให้เอง

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจครอบครัว

พ่อโพ : เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำให้เราเสียความเป็นตัวเรา ธุรกิจครอบครัวก็จะเดินต่อไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเด็กเนี่ยไม่เข้าใจว่า business คืออะไร เขาพร้อมที่จะเลิก หรือร้องไม่เอาไม่ทำได้ตลอดเวลา เพราะเขาคือเด็ก หน้าที่เราคือสื่อสารกับทุกคนและพาร์ตเนอร์ว่าขอให้เรารักษาตัวตนของเขาไว้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ business มาทำให้เสียตัวตนของเขาไป business ก็จะหายไปด้วย

แม่มุ้ย : ความยากอีกเรื่องคือความต่อเนื่อง เพราะความสุขเป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง ไม่ได้อยู่กับเราทุกวัน แถมมีขึ้นๆ ลงๆ ครอบครัวเราก็เหมือนกัน แล้วแต่ละคนบางจังหวะนี้โอเค ช่วงนี้ทุกอย่างราบรื่นหมด มีพลังทำเรื่องดีๆ เยอะแยะเลย ผ่านไปสักพักนึงเจอช่วงวิกฤตชีวิตซึ่งพ่อแม่จะเจอก่อน เราก็ต้องมาคิดว่าทำยังไงไม่ให้กระทบลูก ไม่ใช่ว่าชีวิตลูกจะทุกข์ไม่ได้ แต่ทำยังไงให้เขามั่นใจว่าจะทุกข์จะสุขเดี๋ยวก็ผ่านไปได้ ช่วงนี้ผิดหวังนะลูก ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ ซึ่งมากกว่าเรื่องผิดหวังแล้วผ่านไปได้ เรื่องความสร้างสรรค์เนี่ยทำยังไงไม่ให้เขาเลิกหรือหยุดไปดื้อๆ ก็ต้องพลังบวกที่มีอยู่ภายใน ให้แม้แต่ช่วงที่วิกฤตสุดๆ ก็ยังสร้างสรรค์งานได้

ทุกคนเรียนรู้อะไรบ้างจากการทำ Keziah ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

แม่มุ้ย : ไม่มีอะไรไม่มีทางออก ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าเราเชื่อ ถ้าเราลงมือทำ อย่าไปกลัว ความกลัวเป็นความรู้สึกหนึ่งพอๆ กับความสุขนั่นแหละ กลัวมันมีกันทุกคน มีมาเรื่อยๆ ขนาดเรื่องไปนิวยอร์ก แม่ก็คิดตลอด ไปแล้วจะเจออะไร หรือระหว่างทางก่อนที่จะตัดสินใจไปนิวยอร์ก ระหว่างที่ต้องรอนั่นรอนี่ เยอะแยะไปหมด วิธีชนะความกลัวก็คือก้าวออกไปเลย

อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อจะเริ่มต้นทำธุรกิจครอบครัว

แม่มุ้ย : อย่ามองที่เงินเพียงอย่างเดียว

พ่อโพ : ถ้าพูดว่าทำธุรกิจแล้วใช้มายด์เซตแบบผู้ใหญ่ มันคงจะตึงเครียดมาก และแบรนด์ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ต้องคิดว่าเงินจะได้มายังไงหรือจะได้มาเมื่อไหร่ แต่ให้คิดถึงเรื่องการเรียนรู้เป็นหลัก ว่าสิ่งนั้นคุ้มค่าสำหรับการเริ่มต้นให้เขาลองผิดลองถูกมากแค่ไหน จงเอาความสุขของพวกเขาเป็นที่ตั้ง แล้วมันจะได้ทั้ง business และความสุขในครอบครัว

คุยกับ ‘ABC Cooking Studio’ สตูดิโอสอนทำอาหารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

ABC Cooking Studio

ABC Cooking Studio Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

TQM จากนายหน้าเคาะประตูขายประกัน สู่ธุรกิจมูลค่า 25,000 ล้าน ‘ตัวกลาง’ ที่ไม่ถูกดิสรัปต์

เมื่อเทคโนโลยีทำให้แบรนด์เจอกับลูกค้าโดยตรงได้ง่ายขึ้น ธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวกลาง’ ทั้งหลายจึงถูกลดบทบาทลง ตัวกลางหลายคนถึงกับล้มหายออกไปจากตลาด

แต่ก็มีตัวกลางอีกหลายรายเช่นกันที่เทคโนโลยีไม่สามารถมาดิสรัปต์ได้ ทั้งยังคงเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยทำให้อุตสาหกรรมเติบโต

หนึ่งในนั้นคือตัวกลางที่ชื่อว่า TQM บริษัทที่ทำธุรกิจเป็นนายหน้าขายประกันในไทยมานานถึง 69 ปี ตั้งแต่ยุคสมัยที่ยังขายกันแบบเคาะประตูตามบ้าน ขยับมาเป็นการขายผ่านทางโทรศัพท์ จนมาถึงการขายผ่านทางออนไลน์ ตั้งแต่อดีตที่บริษัทประกันยังต้องวิ่งเข้าหาผู้คน มาจนปัจจุบันที่คนเริ่มเป็นฝ่ายมองหาประกันมากขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนทางการเงิน

จากจุดเริ่มต้นในปี 2496 ที่ คุณปู่เอ็กเซี้ยง และ คุณพ่อกวง แซ่แต้ ได้รับการชักชวนให้ไปเป็นนายหน้าให้กับบริษัทมุยอาประกันภัย ซึ่งก็คือ AIA ในปัจจุบัน เมื่ออยู่กับประกันไปได้ระยะทั้งสองเห็นว่านี่เป็นธุรกิจที่มีโอกาส จึงได้ตั้งบริษัทที่ใช้ชื่อว่า ‘เกียงซิง’ ขึ้นมา ซึ่งหมายถึงความมั่นคง, น่าเชื่อถือ และพัฒนาต่อจนกลายมาเป็น TQM อย่างทุกวันนี้

TQM ในปัจจุบันบริหารงานโดยทายาทรุ่นสามอย่าง อัญชลิน พรรณนิภา ซึ่งรับหน้าเป็นประธานกรรมการ และ นภัสนันท์ พรรณิภา ที่เป็นทั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและภรรยาของอัญชลิน โดยทั้งสองเป็นทั้งหางเสือและหัวเรือใหญ่ที่พาธุรกิจครอบครัวเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ จนทำให้ปัจจุบัน TQM กลายเป็นตัวกลางที่มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 25,500 ล้านบาท พร้อมกับกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี ตั้งแต่ปี 2561 มีกำไรอยู่ที่ 404 ล้านบาท จนมาถึงปีล่าสุดอย่าง 2564 ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 890 ล้านบาท

ท่ามกลางยุคสมัยที่ตัวกลางจำนวนมากถูกคัดออกไปจากอุตสาหกรรม  TQM ทำยังไงจึงยังสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง ทั้งในความหมายของการยังมีความสำคัญในชีวิตผู้คน เติบโตในเชิงธุรกิจ และไม่ถูกเทคโนโลยีดิสรัปต์

อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 69 ปี คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรที่น่าสนใจบ้าง

อัญชลิน : ในแง่ของโปรดักต์ ประกันมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป อย่างถ้าย้อนกลับไปในช่วง 60 ปีก่อน สินค้าหลักของบริษัทเราคือประกันอัคคีภัย เพราะบ้านเรือนในสมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ หากเกิดไฟไหม้ก็จะลุกลามได้ง่าย คนในสมัยก่อนจึงนิยมทำประกันอัคคีภัยกันไว้ หรือเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนหน้าที่รถยนต์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ TQM ก็หันมาขายประกันสำหรับรถยนต์มากขึ้น 

จนถึงตอนนี้ที่หากเข้าไปดูในเว็บไซต์ของ TQM ก็จะพบกับประกันรูปแบบใหม่ๆ มากมายที่ปรับตัวไปกับยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยไซเบอร์หรือประกันช้อปปิ้งออนไลน์ก็ตาม

นภัสนันท์ : ส่วนในแง่ของรูปแบบการขายก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากเดิมที่ขายแบบ face to face คือเดินทางไปอธิบายต่อหน้าลูกค้าว่าตัวประกันมันมีรายละเอียดอะไรบ้าง แต่การไปเจอลูกค้าวันนึงได้แค่ 2-3 รายก็เก่งแล้ว ก็เลยขยับมาทำ tele sale มาจนถึงขายผ่านออนไลน์ในปัจจุบัน 

แล้วทัศนคติของผู้คนที่มีต่อประกันเปลี่ยนแปลงไปไหมจากวันแรกที่คุณมาดูแลธุรกิจ

นภัสนันท์ : ในฐานะที่ดูแลด้านมาร์เก็ตติ้ง เราเห็นว่าการรับรู้ในเรื่องประกันของผู้คนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น การพูดเรื่องประกันในปัจจุบันนั้นง่ายกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก จากการแช่งก็กลายมาเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในชีวิต เด็กรุ่นใหม่หลายคนซื้อประกันเพื่อเอาไปเป็นเครื่องมือในการบริหารภาษี ยิ่งช่วงธันวาคมยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เพราะทั้งคนที่โบนัสเพิ่งออก ทั้งคนที่หาประกันไปลดหย่อนภาษี ปลายปีจึงถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจประกันเลย 

วันนี้ตลาดของธุรกิจประกันในไทยเป็นยังไงบ้าง

อัญชลิน : ผมว่าเป็นตลาดที่ยังมีช่องว่างและโอกาสอีกมากมาย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ อย่างที่อยู่อาศัย จากจำนวนเกือบ 30 ล้านครัวเรือน มีคนทำประกันเกี่ยวกับบ้านอยู่แค่ราวๆ  20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ที่ว่านี้ ก็ทำเพราะธนาคารที่ไปกู้เงินมาซื้อบ้านบังคับให้ทำ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ทำเฉพาะประกันตัวอาคาร ไม่ได้ทำครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินในบ้าน

หรือกับประกันรถยนต์ ถ้าไม่ใช่พวก พรบ.ที่กฎหมายบังคับให้ทำ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจทั้งหลายก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อยมาก จากจำนวนรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนราวๆ 20 ล้านคัน มีรถยนต์ที่ทำประกันแบบสมัครใจราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

ประกอบกับในวันนี้ที่เทคโนโลยีทำให้โลกของเรามีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ภัยไซเบอร์ต่างๆ นานา ความใหม่นี้ก็จะตามมาด้วยความเสี่ยง รวมไปถึงโอกาสที่มากขึ้นของธุรกิจประกันด้วยเช่นกัน

ช่วงที่ผ่านมาบริษัทประกันหลายรายได้รับผลกระทบจากโควิด TQM ได้รับผลบ้างไหม

นภัสนันท์ : โควิดเป็นเคสพิเศษที่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย โดยปกติแล้วการจะออกประกันอะไรสักอย่างคือการเอาข้อมูลและค่าสถิติในอดีตมาคิดคำนวณ ซึ่งกับโควิดสถิติมันน้อย ตัวเลขมีแค่สองปีเท่านั้น และด้วยสองปีแรกที่จำนวนคนติดยังไม่เยอะเท่านี้บริษัทประกันยังทำกำไรได้ แต่พอมาระบาดหนักในปีที่ 3 บริษัทประกันหลายแห่งจึงได้รับผลกระทบอย่างที่เราเห็นกันในข่าว 

เราในฐานะโบรกเกอร์แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบเลย เพราะเราต้องคอยดูแลลูกค้า ย้ายลูกค้าจากบริษัทที่ปิดไปยังบริษัทที่เปิดอยู่ ซึ่งช่วงนั้นพนักงานของเราก็ทำงานกันอย่างหนักหน่วงมาก

ในปัจจุบันที่ข้อมูลหาได้ง่าย ทุกคนสามารถซื้อประกันจากบริษัทที่เป็นผู้รับประกันโดยตรงได้ แล้วเหตุผลสำคัญในการมีอยู่ของของโบรกเกอร์ประกันอย่างพวกคุณคืออะไร 

นภัสนันท์ : ถ้าเราทำแค่เอากรมธรรม์จากบริษัทไปส่งให้กับลูกค้าอย่างเดียว อาชีพเราคงหมดไปแล้ว สิ่งที่ TQM ทำไม่ใช่แค่เรื่องของการขาย แต่ยังรวมไปถึงการบริการด้วย ตั้งแต่ช่วยลูกค้าเลือกกรมธรรม์ว่าแบบไหนจะเหมาะกับเขามากที่สุด

ซึ่งด้วยความที่เราเป็นตัวกลางก็เลยจะมีประกันจากหลากหลายเจ้า ไม่ได้กระจุกอยู่แค่เจ้าเดียว หรือเวลามีภาษาประกันอะไรที่อ่านแล้วเข้าใจยาก เราก็จะช่วยอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่าประกันที่เขาเลือกคุ้มครองยังไง เคลมแบบไหน ซึ่งในต่างประเทศโมเดลการเป็นโบรกเกอร์ประกันที่ให้บริการแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่กำลังเติบโตด้วยเช่นกัน

อัญชลิน : คำถามนี้เป็นสิ่งที่เราถูกถามมาตลอดว่าเป็นตัวกลางจะโดนดิสรัปต์ไหม จะหายไปจากตลาดไหม ซึ่งถ้าเราเป็นแค่คนส่งของผมว่าหายไปแน่ แต่เราไม่ใช่แค่คนส่งของทั่วไป เรามีบริการ มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า เราช่วยดูแลเวลาลูกค้าจะเคลมหรืออะไรต่างๆ ไม่ใช่ขายเสร็จแล้วเวลาลูกค้าจะเคลมก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ไปคุยกับบริษัทประกันเอาเองนะ สำคัญเลยคือเวลาลูกค้าของเราเคลมเขาจะไม่ต้องไปนั่งต่อล้อต่อเถียงกับบริษัทประกันด้วยตัวเอง เพราะเรามีทีมงานจำนวนมากที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องนี้อยู่ 

นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม TQM ถึงมีพนักงานที่คอยเอาไว้บริการลูกค้า เป็น after sale service มากถึง 2,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าพนักงานฝ่ายขายประกันเสียอีก

เห็นช่วงสิงหาคมที่ผ่านมา TQM จัดงานครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อเป็น TQMalpha การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สำคัญยังไง

อัญชลิน : มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่บริษัทมีมา 69 ปี เราปรับทั้งแบรนด์ ปรับทั้งโครงสร้างบริษัท คราวนี้เราจะไม่ได้อยู่แค่ในธุรกิจประกันแล้ว แต่จะหารายได้จากธุรกิจการเงินและเทคโนโลยีแพลตฟอร์มด้วย

นภัสนันท์ : เมื่อหลักการประกันภัยคือการกระจายความเสี่ยง เราเองที่ทำธุรกิจนี้ก็ต้องกระจายความเสี่ยงของตัวเองด้วยเหมือนกัน ผ่านการมองหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของประกันเท่านั้น

ถ้าย้อนดูผลประกอบการย้อนหลัง TQM เป็นบริษัทที่มีกำไรเติบโตมาตลอด แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเลือกที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน ออกไปทำสิ่งใหม่ 

อัญชลิน : มันเกิดจากการที่เรามานั่งสำรวจกันว่า TQM มีจุดแข็งอะไร จนพวกเราพบว่านอกจากความเข้มแข็งทางการเงินแล้ว TQM ยังเป็นคนกลางที่ขายของเก่งและให้บริการเก่งด้วยเช่นกัน คราวนี้พอมามองอีกทีผมก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นการเป็นคนกลางที่ขายของเก่งมันไม่ต้องขายแค่ประกันอย่างเดียวก็ได้ แต่ยังขายอย่างอื่นได้อีกมากมาย แล้วเราก็เป็นคนกลางที่มีฐานข้อมูลลูกค้า (database) เป็นของตัวเองด้วย

อีกมุมหนึ่งก็เกิดจากการที่ลูกค้าของเราเองมาบอกว่าเบี้ยประกัน 15,000-20,000 บาทมันเยอะ เขาเลยขอผ่อนจ่ายกับทางบัตรเครดิตแทน ซึ่งพอมาดูตัวเลขย้อนหลัง โห (เน้นเสียง) ดอกเบี้ยที่ลูกค้าจ่ายมันเป็นหลายร้อยล้านเลยนะ ในขณะที่บริษัทของเราเองก็มีความเข้มแข็งทางการเงินอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็เลยคิดจะทำขาการเงินขึ้นมา ที่นอกจากจะเอาไว้ให้ลูกค้าผ่อนจ่ายเบี้ยประกันกับเราแล้ว ก็ยังสามารถต่อยอดไปสู่การทำสินเชื่อส่วนบุคคลได้

สุดท้ายเรามานั่งไล่เรียงดู 12 บริษัทที่ TQM มีอยู่ในมือ แล้วเอามาจัดกรุ๊ปใหม่ ก็จะเห็นว่าทั้ง 12 บริษัทนั้นอยู่ภายใต้ 3 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน กลุ่มแรกคือประกันซึ่งเป็นธุรกิจหลัก กลุ่มสองคือการเงิน ซึ่งเรื่องเงินกับประกันเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว และกลุ่มสามคือธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มซึ่งจะช่วยซัพพอร์ตให้ประกันและการเงินเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น 

เมื่อเป็นแบบนี้เราก็เห็นโอกาสการเติบโตไปอีก ก็เลยมาจัดโครงสร้างของบริษัทให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แล้วก็เลยกลายมาเป็น TQMalpha ที่ธุรกิจทั้ง 3 ขาต่างก็เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ ดีกว่าไปลงทุนทำธุรกิจใหม่ที่เราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ 

นภัสนันท์ : การจะเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรใหม่สักอย่างต้องทำในวันที่เราแข็งแรง ถ้าจะไปทำตอนที่ธุรกิจเกิดปัญหา แบบนั้นเราว่ามันไม่ใช่

การเปลี่ยนจาก TQM Corporation มาเป็น TQMapha ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จัดอยู่ในความเสี่ยงระดับไหน 

นภัสนันท์ : พอเป็นสิ่งที่เราทำการบ้านกับมันมาอย่างหนัก เลยมองว่ามันเป็นความท้าทายมากกว่าความเสี่ยง ท้าทายว่าจะไปถึงจุดที่เราตั้งเป้าได้ไหม

เป้าหมายที่ว่าคืออะไร

อัญชลิน : คือภายใน 5 ปีข้างหน้า เราจะมีลูกค้าในฐานระบบเพิ่มขึ้นมาเป็น 10 ล้านราย โดยรายได้ 50 เปอร์เซ็นต์มาจากธุรกิจประกัน 25 เปอร์เซ็นต์มาจากธุรกิจการเงิน ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาจากธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

แล้วในมุมของผู้บริโภค การเปลี่ยนเป็น TQMalpha พวกเขาได้อะไร 

อัญชลิน : ได้คำว่า total solution เรื่องการเงิน จากประกันขยับไปเป็นสินเชื่อ อีกหน่อยก็ไปช่วยวางแผนทางการเงินให้ เพราะการเงินถือเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตและเป็นสิ่งที่กำหนดอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตได้อีกมาก 

ในการทำธุรกิจ ปกติคุณทั้งสองเป็นคนพร้อมเสี่ยงเวลาเจอโอกาสใหม่ๆ ไหม 

อัญชลิน : กว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องยอมรับว่าผมทำผิดมามากกว่าทำถูก จริงๆ ก่อนหน้าจะมารับไม้ต่อธุรกิจประกันของที่บ้าน ผมก็ไปทำธุรกิจของตัวเองแล้วก็เจ๊งมาเยอะ เคยเปิดบริษัทจัดนิทรรศการก็ไปไม่เป็นท่า เปิดบริษัทเทรดดิ้งขายเหล็กก็ไปไม่รอด ทำอะไรหลายๆ อย่างแบบใจใหญ่ แต่พอเจอวิกฤตต้มยำกุ้งตอนปี ’40 ก็ทำให้เราเป็นคนระมัดระวังขึ้น ยิ่งมาทำ TQM ที่มีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ยิ่งต้องระวังมากขึ้นไปอีก จะตัดสินใจแต่ละครั้งต้องมีข้อมูลมารองรับจำนวนมาก ทำอะไรค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่เทหน้าตักแบบลงไปเลยตู้มเดียว

นภัสนันท์ : จริงๆ เราเป็นคนชอบชาเลนจ์ตัวเอง เวลามีของใหม่มาก็อยากลองตลอด คนอื่นอาจจะมองว่ามันคือความเสี่ยง แต่เราเรียกมันว่าความท้าทายในการออกไปหาโอกาสใหม่ๆ มากกว่า เพราะการลงทุนแต่ละครั้งก็มีกรอบของเงินลงทุนและเวลาของมันอยู่ว่าสามารถทำได้เท่านี้ ในเวลาเท่านี้นะ อะไรแบบนี้เป็นต้น

แล้วคุณใช้เช็กลิสต์แบบไหนประเมินความเสี่ยงในการจะลงมือทำอะไรใหม่แต่ละครั้ง 

อัญชลิน : ต้องใช้ข้อมูลประกอบในการตัดสินใจมากๆ อีกอย่างคือต้องคิดว่า worst case ของความผิดพลาดนั้นคืออะไร และมันต้องเป็น worst case ที่ไม่ไปกระทบเสาหลักของธุรกิจให้ซวนเซ เพราะการตัดสินใจทำอะไรใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง นอกจากเป้าหมายเรายังต้องมองด้วยว่าระหว่างทางที่เราเดินไปหาเป้าหมายนั้นมันมีหลุมบ่ออะไร แล้วถ้าเกิดเราดันตกลงไปในหลุมนั้น ก็ขอให้เป็นหลุมที่ยังตะกายออกมาได้ 

ส่วนเรื่องอื่นๆ ถ้ามันเสี่ยงแต่เราอยากลองจริงๆ ก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับกระเป๋าเงินของ TQM เลย เพราะนี่เป็นกระเป๋าที่มีเจ้าของหลายคน แต่ผมจะเอาเงินจากกระเป๋าส่วนตัวมาเสี่ยงแทน เพราะถ้ามันผิดพลาดก็ยังเป็นอะไรที่เรายอมรับเองได้

อีกแง่หนึ่งคือ ความผิดพลาดก็ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ พัฒนาต่อไป จนทำให้เจอทางที่ถูกต้องได้ในที่สุด แล้วผมก็เป็นคนที่มีระยะเวลากำหนดให้กับสิ่งต่างๆ ถ้าให้เวลาแล้วแต่มันยังไม่ได้เป็นแบบที่ตั้งใจไว้ แถมสิ่งนั้นยังไม่ได้มาช่วยเกื้อกูลกับธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ แล้วยังมาทำให้เราพะว้าพะวงใจกับมันด้วย แบบนี้ก็ต้องยอมตัดใจไป เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องซัพพอร์ตมันต่อไปอีก 

นภัสนันท์ : ส่วนในมุมของ TQM การจะตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรในแต่ละครั้ง เราก็จะมีคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยดู เป็นฟิลเตอร์ที่ดีมากๆ ที่มาช่วยเราตัดสินใจ ไม่ใช่ความคิดที่มาจากเราแค่สองคน

ด้วยความที่อยู่ในธุรกิจประกันมาหลายปี เห็นการเปลี่ยนผ่านหลายอย่าง แล้วมีอะไรบ้างไหมที่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไป 

อัญชลิน : มันคือหลักสุจริตใจต่อกัน ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องสำคัญมากในธุรกิจนี้ ทั้งในฝั่งบริษัทประกันและฝั่งผู้ซื้อประกัน เพราะหากต่างไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน บริษัทตั้งใจเบี้ยว หรือลูกค้าตั้งใจทุจริตเพื่อจะเอาเงิน ธุรกิจมันก็เดินต่อไปไม่ได้

นอกจากการเติบโตของบริษัท คุณคาดหวังอะไรจากการเปลี่ยนเป็น TQMalpha อีกบ้าง

อัญชลิน : ก็คือการเติบโตนั่นแหละ แต่ทั้งนี้มันต้องเป็นการเติบโตที่ยั่งยืนทั้งของเรา พนักงาน คู่ค้า นักลงทุน เพราะผมอยากให้บริษัทนี้อยู่ไปนานๆ อยู่ไปถึงร้อยปี 

แล้วถ้าถึงวันนั้นที่ได้ฉลอง 100 Years Anniversary จริงๆ ก็คงเป็นอะไรที่เท่ไม่น้อย

‘Red Lobster’ ร้านที่มีสารพัดกุ้งให้กินได้ไม่อั้นที่ Beyonce พูดถึงในบทเพลงและกำลังจะเปิดสาขาที่ไทย

ในภาคพื้นเอเชียประเทศไทยถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหารทะเลจากนอร์เวย์ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่เห็นทีจะชัดเจนที่สุดของการประกาศตัวเป็นลูกค้าเบอร์ต้นของตลาดอาหารทะเลนอร์เวย์ของประเทศไทยคือ การที่ไทยมีการนำเข้าแซลมอนจากนอร์เวย์ถึง 20,000 ตันในปี 2021 จนสภาอาหารทะเลแห่งนอร์เวย์ (Norwegian Seafood Council–NSC) ถึงกับตัดสินใจมาเปิดออฟฟิศระดับภูมิภาคที่กรุงเทพมหานคร ด้วยความหวังจะอำนวยความสะดวกให้คนไทยที่รักอาหารทะเลจากนอร์เวย์ได้รับความสะดวกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ความนิยมชมชอบในอาหารทะเลจากนอร์เวย์ของคนไทย คงต้องยกเครดิตเต็มๆ ให้กับแซลมอน สินค้ายอดฮิตติดอันดับเมนูอาหารที่คนไทยน้ำลายสอทุกครั้งที่ได้ยิน พาลไปถึงประโยคที่ชาวเน็ตไทยชอบใช้ปลอบใจกันและกันในวันที่เหนื่อยล้าว่า “แล้วแซลมอนจะเยียวยาทุกสิ่ง” 

อาจจะเป็นเพราะรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ทั้งนุ่มและมัน ของแซลมอนจากนอร์เวย์ เลยพานทำให้บรรดาร้านอาหารบุฟเฟต์ นิยมใช้กลยุทธ์การเอาปลาแซลมอน (ที่อาจจะไม่ได้ถูกนำเข้าจากนอร์เวย์) มาเป็นตัวชูโรงในการดึงดูดลูกค้า

แต่ดูเหมือนกับว่า ในปี 2022 เกมธุรกิจร้านอาหารทะเลแบบบุฟเฟต์ในประเทศไทยกำลังจะมีผู้เล่นหน้าใหม่มาแรงชื่อว่า Red Lobster ซึ่งเป็นร้านบุฟเฟต์เชนจากสหรัฐฯ ที่สามารถยืนระยะอยู่ยั้งยืนยงในศึกทะเลเดือดมายาวนานกว่า 54 ปี กำลังจะมาเปิดสาขาในประเทศไทยที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์วันที่ 12 กันยายน 2565 นี้

ก่อนที่เหล่าซีฟู้ดเลิฟเวอร์จะล้างท้องรอเพื่อเข้าไปลิ้มชิมรสชาติซีฟู้ดจากเมนูทะเลสัญชาติอเมริกัน เราคงต้องย้อนดูกันสักหน่อยว่าตลอด 54 ปีที่ผ่านมาของธุรกิจ Red Lobster ผ่านอะไรมาบ้างจนกว่าจะถึงวันนี้ที่เดินทางมาไกลถึงไทยแลนด์

ถ้าเราคิดถึงป๊อปคัลเจอร์ของช่วงยุค 70s เราคงคิดถึงเพลงดิสโก้หรือผมหยิกฟูทรงแอฟโฟร แต่ถ้าเราคิดถึงร้านอาหารทะเลเชนที่ป๊อปปูลาร์ในอเมริกาที่ถือกำเนิดในช่วงปีนั้น คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดถึงชื่อ 

Red Lobster 

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 1938 จากชายหนุ่มวัยรุ่นอายุ 19 ปีผู้มีหัวธุรกิจ (ใช่ คุณอ่านไม่ผิด อายุ 19 ปี!) ที่ชื่อ บิลล์ ดาร์เดน (Bill Darden) เขาเล็งเห็นโอกาสการขายอาหารมื้อกลางวัน แก่คนทำงานและประชาชนทั่วไป โดยปกติแล้วมื้อกลางวันเป็นมื้อที่เหล่าคนทำงานต้องการหาอาหารรสชาติดี ปริมาณอิ่มท้อง และราคาสมเหตุสมผลบวกกับการบริการที่เป็นมิตร อีกทั้งในยุคนั้นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยังไม่เป็นที่แพร่หลาย หรือจะพูดให้ถูกคือ ยุคนั้นร้านอาหารเชนฟาสต์ฟู้ดใหญ่ยังไม่ถือกำเนิดเลยด้วยซ้ำ (แมคโดนัลด์ก่อตั้งในปี 1955, เบอร์เกอร์คิงก่อตั้งในปี 1954, Chick-fil-A ก่อตั้งในปี 1946)

บิลล์เลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารกลางวันขนาดกำลังดี 25 ที่นั่ง เน้นขายอาหารจำพวกไก่, สเต๊ก และอาหารจำพวกเซาเทิร์นสไตล์ โดยตั้งชื่อร้านว่า ‘The Green Frog’ ที่บ้านเกิดของเขาในเมืองเวย์ครอสส์ ในจอร์เจีย ร้าน The Green Frog เป็นร้านที่เสิร์ฟอาหารด้วยความรวดเร็วแถมยังมีปณิธานว่าจะบริการลูกค้าทุกคนด้วยความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกสีผิวและเชื้อชาติ

ปรากฏว่าทั้งคอนเซปต์และการบริการแบบเป็นธรรมของบิลล์ถูกอกถูกใจลูกค้าเป็นจำนวนมาก ร้านอาหาร The Green Frog ของบิลล์ประสบความสำเร็จแบบที่ว่าถ้าบิลล์เกิดในเมืองไทยสมัยนี้ บิลล์น่าจะถูกอุปมาว่าเป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้านด้วยความสำเร็จที่บิลล์ได้รับจากร้านอาหาร The Green Frog จึงทำให้บิลล์มีกระแสเงินสดมากพอที่จะลงทุนเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ Howard Johnson ที่มีทั้งกิจการที่พักแรมและร้านอาหาร (Howard Johnson เป็นธุรกิจร้านอาหารเชนที่มีบริการแบบเต็มรูปแบบแห่งแรกในอเมริกา) ซึ่งธุรกิจ Howard Johnson ของบิลล์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตแดนที่บิลล์ถนัดคือ เมืองทางตอนใต้ของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟลอริดา

อาจจะเป็นเพราะความนิยมในการซื้อรถยนต์จนธุรกิจขายรถยนต์สามารถทำยอดขายได้ดีในช่วงยุค 60s-70s หรืออาจจะเป็นเพราะราคาของเครื่องปรับอากาศที่เริ่มลดลงจนเป็นที่เข้าถึงได้ของร้านอาหาร โรงแรมและครัวเรือนในอเมริกาจนทำให้การเดินทางมาท่องเที่ยวในดินแดนแถบทางใต้ของอเมริกาสะดวกสบายขึ้น แถมที่พักก็มีอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศรอรับนักท่องเที่ยวหลังจากที่เดินทางกลับที่พักแรม พลเมืองอเมริการวมถึงชาวต่างถิ่นจึงนิยมมาเที่ยวรัฐทางใต้ของอเมริกามากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร Howard Johnson ที่บิลล์เป็นเจ้าของอยู่ถึง 20 แห่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนถึงตอนนี้ใครต่อใครก็ต่างเรียกบิลล์ว่า เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในฟลอริดา

แต่ดูเหมือนว่าความสำเร็จของบิลล์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การได้เป็นเจ้าของ Howard Johnson ทั้ง 20 สาขา บิลล์สังเกตเห็นว่าเมนูที่ขายดีในร้านอาหารของเขาส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารทะเล บิลล์จึงขอวัดดวงดูอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่า วิสัยทัศน์ของเขายังคงเฉียบแหลมและอ่านเกมได้ไม่พลาดอยู่ บิลล์ตัดสินใจลงทุนสร้างร้านอาหารร้านใหม่ขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้มีหุ้นส่วนคนสำคัญอีกคนที่เขาชวนมาลงทุนด้วยคือ ชาร์ลี วูดส์บี้ (Charley Woodsby) เชฟและนักธุรกิจที่อยู่ในแวดวงร้านอาหารในฟลอริดา

โดยร้านอาหารน้องใหม่ของบิลล์และชาร์ลีมีชื่อว่า ‘Red Lobster Inn’ ซึ่งก่อตั้งได้ไม่นานพวกเขาก็ตัดคำว่า Inn ออก

สาขาแรกของ Red Lobster เปิดในปี 1968 สถานที่ที่บิลล์และชาร์ลีเลือกจะเปิดร้านอาหารซีฟู้ดโดยมีบริการแบบเต็มรูปแบบคือที่ Lakeland ฟลอริดา ทั้งสองเลือกเปิด Red Lobster ด้วยการวางโมเดลธุรกิจว่าให้เป็นร้านอาหารทะเลเพื่อให้ลูกค้าแบบกลุ่มครอบครัวมากิน และราคาต้องถูกกว่าร้านอาหารซีฟู้ดทั่วไปที่เปิดในเมือง โดยบิลล์และชาร์ลีคิดว่าถ้าโมเดลนี้ประสบความสำเร็จที่นี่ มันก็น่าจะประสบความสำเร็จยังที่อื่นๆ ด้วย

 ทั้งรสชาติที่ถูกปาก ราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้ Red Lobster ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมีการขยายสาขา Red Loster ออกไปถึง 5 สาขาภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ชื่อเสียงของ Red Lobster เป็นที่รู้จักในหมู่นักกินอาหารทะเลจนในปี 1970 General Mills ตัดสินใจขอซื้อ Red Lobster จากบิลล์และชาร์ลีทั้งๆ ที่ เป็นร้านอาหารที่เพิ่งพิสูจน์ตัวเองได้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นในสังเวียนธุรกิจร้านอาหาร

ว่ากันว่าบิลล์และชาร์ลีได้รับข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้จาก General Mills ซึ่งน่าจะหมายถึงตัวเลขบนเช็คที่งดงามและโอกาสที่จะยังคงได้นั่งเป็นบอร์ดบริหารของ Red Lobster ต่อไป รอน วูดส์บี้ (Ron Woodsby) ลูกชายของชาร์ลีเคยให้สัมภาษณ์กับ Mashed ว่า 

ในตอนนั้นชาร์ลีมีความคิดอยากที่จะขาย Red Lobster อยู่แล้ว เนื่องด้วยราคาของล็อบสเตอร์ที่แพงขึ้นเรื่อยๆ พอได้รับข้อเสนอจาก General Mills เขาจึงรับข้อเสนอนั้นเอาไว้อย่างไม่รีรอ 

จากการบริหารของบิลล์และชาร์ลีประกอบกับบริษัทแม่ที่มีสายป่านทางการเงินมั่นคงอย่าง General Mills ทำให้ Red Lobster สามารถทำรายได้สูงถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1980 

กาลเวลาผ่านไปบิลล์เสียชีวิตในปี 1994 ส่วนชาร์ลีเกษียณไปก่อนหน้านั้นแล้วหลายปี ทำให้โจทย์ในการบริหารร้านอาหารทะเลตกอยู่กับ General Mills บริษัทต้องฟันฝ่าปัญหาหลายต่อหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ชาร์ลีเคยกังวลในช่วงปีแรกๆ ของการก่อตั้ง Red Lobster ได้กลับมาหลอกหลอนผู้บริหาร Red Lobster อีกครั้ง นั่นคือ ราคาของล็อบสเตอร์และอาหารทะเลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปี 2014 Red Lobster จึงถูกขายต่อให้กับ Golden Gate Capital ด้วยมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการที่ Golden Gate Capital เล็งเห็นความเป็นไปได้ในการต่อยอดทางธุรกิจของ Red Lobster

ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อราวปลายยุค 60s ต่อเนื่องมาถึงยุค 2000 ที่ Red Lobster ประสบอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก คือราคาค่าอาหารทะเลที่พุ่งตัวสูงขึ้น ถึงตรงนี้ Golden Gate Capital คงเล็งเห็นแล้วว่า ควรจะแก้ปัญหาต้นทุนราคาของอาหารทะเลที่พุ่งสูงขึ้นทุกปีให้ถูกจุดสักที

แต่ปัญหาที่ว่าจะแก้ได้ยังไง จะไปควบคุมไม่ให้ราคาอาหารทะเลปรับเพิ่มขึ้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ในเมื่ออัตราเงินเฟ้อนั้นสูงขึ้นทุกปี

Golden Gate Capital จึงตัดสินใจว่าในเมื่อปัญหานี้เป็นปัญหาที่แก้เองไม่ได้ ก็คงต้องขอความร่วมมือจากคนอื่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นผู้เล่นที่สำคัญในวงจรธุรกิจร้านอาหาร นั่นจึงเป็นที่มาของการที่ Golden Gate Capital ยอมให้บริษัทมหาชนอย่างไทยยูเนียน กรุ๊ป บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่เย็นและแช่เยือกแข็งที่มีฐานการผลิตอยู่ใน 4 ทวีปทั่วโลกทั้ง อเมริกาเหนือ ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย เข้าร่วมหุ้นด้วยในการเป็นเจ้าของ Red Lobster ในปี 2016

การที่เราได้ยินข่าวว่า Red Lobster กำลังจะมาเปิดตัวที่ประเทศไทยจึงอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรนัก ทั้งการที่มีหุ้นส่วนเป็นบริษัทจากไทยประกอบกับการที่คนไทยก็มีหัวใจรักซีฟู้ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประเทศไทยจึงดูเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สดใสของ Red Lobster

ว่าแต่เมนูอะไรบ้างที่ทำให้ใครหลายคนต่างพูดถึงการมาถึง Red Lobster ผู้คนหลงรักอะไรในร้านอาหารร้านนี้

ถึงแม้ว่าชื่อร้านจะใช้ชื่อว่า Red Lobster แต่อันที่จริงเมนูที่ขายในร้านไม่ได้มีแค่กุ้งล็อบสเตอร์ แต่ยังมีอาหารทะเลอื่นๆ ให้คุณเลือกสรรมากมาย ทั้งกุ้ง แซลมอน พาสต้า สเต๊ก แต่ถ้าจะถามถึงโปรโมชั่นเด็ดที่เป็นลายเซ็นของ Red Lobster ที่สาวก Red Lobster ต้องสั่งแทบจะทุกครั้งที่ไปเยือนก็คงจะหนีไม่พ้น Endless Shrimp

‘Endless Shrimp’ ไม่ใช่แค่ชื่อเมนูแต่เป็นชื่อเรียกชุดอาหารโปรโมชั่น ถ้าแปลเป็นไทยแบบง่ายๆ คือ  การกินกุ้งแบบไม่รู้จบ หรือบุฟเฟต์กุ้งนั่นแหละ

Endless Shrimp ของ Red Lobster มีเมนูกุ้งให้เลือกหลากหลายทั้ง Garlic Shrimp Scampi, Grilled Shrimp Skewer, Parrot Isle Jumbo Coconut Shrimp, Walt’s Favorite Shrimp ที่อเมริกา Endless Shrimp มีราคาอยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนราคาขึ้น-ลงบ้างเล็กน้อยตามแต่ราคาของกุ้งในตลาดอาหารทะเล ณ ขณะนั้น 

ลูกค้าของ Red Lobster สามารถกิน Endless Shrimp ได้แบบไม่จำกัดเวลา คือคุณจะมานั่งกินกุ้งจาก Endless Shrimp ตั้งแต่ร้านเปิดยันร้านปิดก็ไม่มีใครว่า ปี 2013 กลุ่มนักข่าวจาก The Huffington Post เข้าไปนั่งกินกุ้งจาก Endless Shrimp และโดยเฉลี่ยพวกเขาแต่ละคนกินกุ้งไปคนละ 101 ตัว แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีจากทางร้าน

การพิสูจน์บุฟเฟต์กุ้งไม่รู้จบเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อปี 2016 จากนักข่าวสองคนของ Business Insider ที่อยากพิสูจน์อีกสักครั้งต่อประโยชน์ส่วนรวมว่าพวกเขาสามารถกินกุ้งจาก Endless Shrimp โดยที่ทางร้านจะเสิร์ฟกุ้งให้เขาเรื่อยๆ จริงหรือ 

ผลปรากฏว่าทางร้านก็เสิร์ฟกุ้งให้เรื่อยๆ แก่นักข่าวทั้งคู่เป็นเวลา 8 ชั่วโมงติดต่อกันโดยเขาทั้งสองนับแล้วว่าสิริรวมในวันนั้นเขากินกุ้งจากเมนูต่างๆ ไปถึง 305 ตัว แถมผู้จัดการร้านยังคอยแวะเวียนมาบอกเทคนิคในการกินกุ้งให้พวกเขาสามารถยังกินต่อไปได้เรื่อยๆ แบบชิลล์ๆ เช่น สั่งน้ำอัดลมหรือโซดามากินตัดเลี่ยน หรือสั่งพวกเครื่องดื่มรสมินต์อย่างเช่นโมจิโต้มากินเพื่อช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร

ถึงตรงนี้คงต้องเชื่อแล้วว่าเสิร์ฟกุ้งแบบไม่รู้จบจริงๆ

อีกเหตุการณ์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของ Red Lobster คือการได้พื้นที่โฆษณาแบบฟรีๆ จากศิลปินระดับโลกอย่าง Beyonce

ถ้าการที่แจ็คสัน หวัง พูดถึงเมนูข้าวผัดอเมริกันและซุปข้าวโพดของร้านอาหารถูกและดี ของฟู้ดแลนด์แล้วทำให้ยอดขายของทั้งสองเมนูขายดีแบบถล่มทลายในชั่วข้ามคืน คุณลองจินตนาการดูว่า การที่บียอนเซ่เขียนเนื้อร้องโดยมีท่อนที่เอ่ยว่า จะพาชายหนุ่มไปกิน Red Lobster ถ้าเขาปฏิบัติดีกับเธอ จะทำให้ Red Lobster ขายดีขึ้นขนาดไหน 

วรรคทองดังกล่าวปรากฏอยู่ในเพลง Formation ของอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 6 Lemonade (2016) ของเธอ แต่ความพีคไม่ได้จบอยู่แค่ว่าในเนื้อเพลงนี้มีท่อนที่เอ่ยถึง Red Lobster เท่านั้น ความส้มหล่นแบบสุดๆ ของ Red Lobster ที่ได้แอร์ไทม์ไปแบบฟรีๆ จากบียอนเซ่คือ เธอเปิดตัวเพลงนี้ในการแสดง Halftime โชว์ของ Super Bowl 2016 ที่มีคนดูประมาณ 112 ล้านคนทั่วโลก หมายความว่าคนทั้ง 100 ล้านกว่าคนทั่วโลกดูโชว์นี้ไปพร้อมกัน รู้จักเพลงนี้ไปพร้อมกัน และได้ยินชื่อ Red Lobster ไปพร้อมๆ กัน

มูลค่าโฆษณาต่อวินาทีที่น่าจะแพงที่สุดในโลกคือ โฆษณาระหว่างโชว์ของ Superbowl แต่ Red Lobster ได้มันไปแบบฟรีๆ เพราะชื่อร้านดันไปปรากฏอยู่ในเพลงที่บียอนเซ่แต่งและใช้ร้องโชว์ ทำให้ยอดขายของ Red Lobster พุ่งสูงขึ้น 33% หลังโชว์จบ

มีนักวิเคราะห์มากมายออกมาวิเคราะห์โชว์ดังกล่าวที่พูดถึงโชว์เพลง Formation ของบียอนเซ่ว่าเป็นโชว์ที่อาจจะแสดงถึงสัญลักษณ์การเคลื่อนไหวของสังคม บียอนเซ่ได้รับทั้งก้อนหินและดอกไม้จากโชว์นี้ บ้างก็ชื่นชมโชว์เธอ บ้างก็คิดว่าโชว์นี้ช่างน่าขัน แต่จะยังไงก็ตามคนที่ได้รับผลประโยชน์จากโชว์นี้ไปแบบเต็มๆ แบบโชคหล่นทับคงจะหนีไม่พ้น Red Lobster

กูรูทางการตลาดและธุรกิจหลายคนออกมาพูดถึงกรณีนี้ว่า ปกติแล้วเวลาดาราหรือเซเลบริตี้หยิบจับหรือพูดถึงสิ่งไหน มันก็มักจะทำให้สินค้าตัวนั้นขายดีขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ในกรณีนี้ บียอนเซ่พูดถึงการพาชายที่รักไป Red Lobster มันยิ่งทำให้ Red Lobster มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น เท่ขึ้น เก๋ขึ้น เพราะโดยปกติเราอาจจะมองว่า Red Lobster เป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว เป็นร้านที่เราจะไปกินบุฟเฟต์ แต่ถ้าขนาดบียอนเซ่ยังพูดว่า เธอจะพาชายที่รักไปกิน Red Lobster

แล้วคุณจะอดใจไม่ไป Red Lobster ไหวหรอ?

ที่มา

AIS X ไทยลีก กับเบื้องหลังภารกิจสร้างคุณค่า จาก E-Waste สู่เหรียญรางวัลเกียรติยศ

ด้วยปริมาณของ ‘ขยะอิเล็กทรอนิกส์’ หรือ E-Waste ที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่สำรอง หูฟัง สายชาร์จ กลายเป็นขยะหลังจากที่หมดอายุการใช้งาน และขยะเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โจทย์ใหญ่ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การทำรีไซเคิลอย่างถูกวิธี แต่ต้องไปเริ่มที่การสร้างความตระหนัก ความเข้าใจถึงผลกระทบของ E-Waste จนนำไปสู่การจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกวิธี มากไปกว่านั้นคือการทำให้ทุกคนเห็นคุณค่าจากการทิ้งขยะ E-Waste ก็จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้ในที่สุด

โดยหนึ่งในภาคธุรกิจแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้าน E-Waste และได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ AIS ทั้งการสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ ทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์เพื่อเพิ่มจุดรับทิ้งขยะตามสถานที่ต่างๆ และสร้างกระบวนการจัดการการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีตามมาตรฐานสากล รวมถึงยังใช้แนวคิดใหม่ๆ เพื่อต่อยอดจากการทิ้งขยะธรรมดาๆ ให้มีคุณค่า

และโปรเจกต์ล่าสุดที่เป็นความร่วมมือระหว่าง AIS x Thai League X WMS คืออีกโปรเจกต์ที่สะท้อนความตั้งใจในการจัดการ E-Waste อย่างสร้างสรรค์

การคอลแล็บข้ามวงการระหว่าง ค่ายมือถือ, วงการกีฬาไทย และบริษัทกำจัดของเสีย เป็นการร่วมมือกันทำให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นของเสียให้มีคุณค่าใหม่อีกครั้ง ภายใต้โปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘แฟนบอลไทยไร้ E-Waste’

โดยกระบวนการของโปรเจกต์นี้อธิบายให้เห็นภาพคือจะเริ่มต้นโดยการที่ AIS จะเป็นผู้รวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือ E-Waste จากผู้คน ก่อนจะนำไปส่งต่อให้กับทาง WMS เพื่อนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ จนขยะเหล่านี้กลายมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สามารถนำมาใช้ผลิตเป็นเหรียญรางวัล และสุดท้ายจึงนำเหรียญรางวัลไปมอบให้กับทีมที่คว้าแชมป์การแข่งขันไทยลีกในฤดูกาลนี้

เป็นการเปลี่ยนสิ่งที่เหมือนจะไร้ค่าไปแล้วให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมค่ายมือถือถึงเลือกจับมือกับวงการกีฬา?

เพื่อความเข้าใจมากขึ้น คงต้องเท้าความเล่าถึงที่มาที่ไปให้ฟังกันก่อนว่า โปรเจกต์นี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก AIS โดย คุณเอื้อง–สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS เล่าให้ฟังว่า การดำเนินธุรกิจของ AIS ทำควบคู่ไประหว่างการเติบโตของธุรกิจ และนโยบายด้านความยั่งยืน โดย AIS วางมิติการทำงานด้านความยั่งยืนไว้ 3 มิติคือเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ซึ่งการทำงานของโปรเจกต์นี้เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง และแน่นอนว่า AIS เองให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจที่กระทบกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ทั้งเรื่องของการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือแม้แต่การลดปริมาณขยะ โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อ AIS นอกจากนั้นยังมีการชวนคนทั่วไปมามีส่วนร่วมกับความตั้งใจในการลดปริมาณและการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วย 

โดยหนึ่งในวิธีการที่ AIS เลือกใช้ก็คือการเริ่มต้นสร้างความตระหนักให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของการเก็บและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี อาสาเป็นผู้รวบรวมขยะ E-Waste โดยการตั้งกล่องรับทิ้งขยะ E-Waste ไว้ตามจุดต่างๆ ตั้งแต่ในพื้นที่หน้าช็อปของ AIS ไปจนถึงการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ในหลายภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ เอกชน ภาคธุรกิจค้าปลีก อสังหา ธุรกิจสินค้า IT และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อที่จะรวบรวมและนำไปจัดทิ้งอย่างถูกวิธี โดยในแต่ละปี AIS สามารถรวบรวมขยะ E-Waste ได้ราว 3-4 แสนชิ้นเลยทีเดียว

คุณเอื้องเล่าเสริมให้ฟังว่า “AIS เป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่ลุกขึ้นมาเชิญชวนผู้คนให้เอา E-Waste มาทิ้งกับเรา แล้วเราคิดทุก Journey ในการจะทำให้ผู้คนเอาขยะมาทิ้ง คิดทุกๆ สเตปที่มันจะเกิดขึ้นในโครงการนี้ เพราะเราไม่ได้อยากทำโปรเจกต์นี้แบบฉาบฉวย อยากจะทำให้มันเป็นสิ่งที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน”

จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา AIS ได้เข้าไปเป็นพาร์ตเนอร์กับไทยลีก ที่นับว่าเป็นการแข่งขันลีกฟุตบอลอาชีพสูงสุดของไทย ในฐานะผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านทาง AIS PLAY ซึ่งนอกเหนือจากโจทย์ในแง่ของการส่งมอบประสบการณ์การรับชมให้กับแฟนบอลไทยแล้ว คุณเอื้องยังบอกอีกว่า มีโจทย์ที่อยากจะเอนเกจกับกลุ่มแฟนบอลทั่วประเทศ ให้มีส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้กับการแข่งขัน นั่นจึงเป็นที่มาของโปรเจกต์นี้กับทางไทยลีก

ทางด้าน กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด เล่าถึงเบื้องหลังว่า ไทยลีกมีแนวคิดที่จะทำ ‘กรีนลีก’ อยู่แล้ว ซึ่งคำว่ากรีนลีกนี้หมายถึงการทำให้การแข่งขันในแต่ละแมตช์ลดการใช้ขยะลง ใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะจำนวนแฟนบอลไทยลีกทั่วประเทศนั้นมีจำนวนมากราว 10 ล้านคน ซึ่งหากทำให้คนกลุ่มนี้ตระหนักรู้ถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างอิมแพกต์ให้สังคมหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ไม่น้อย

การจับมือระหว่าง AIS x ไทยลีก x WMS ในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นภาพเส้นทางของการทำงานเพื่อสร้างคุณค่าให้กับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มตั้งแต่การนำถังฝากทิ้ง E-Waste ไปวางไว้ตามสโมสรไทยลีกทั้ง 16 ทีมทั่วประเทศ โดยใช้ช่องทางการสื่อสารและกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างสโมสร นักบอล และแฟนบอล เข้าไปสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการที่ WMS ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดของเสีย นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ไปรีไซเคิลและผลิตเป็นเหรียญรางวัลต่อไป

เหตุผลที่ต้องเป็น WMS หรือบริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด เพราะนี่เป็นบริษัทที่อยู่ในญี่ปุ่นมานานถึง 140 ปี และเติบโตในไทยมา 22 ปี มี know-how ในการจัดการกับของเสียอย่างครบวงจร ฉะนั้นจึงมีความน่าเชื่อถือว่าขยะที่ AIS ส่งไปให้จะถูกนำไปจัดการอย่างถูกต้องถูกวิธีจริงๆ ทุกชิ้นส่วนของขยะอิเล็กทรอนิกส์จะถูกนำไปแปรเปลี่ยนสภาพโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นการกำจัดขยะแบบ zero landfill อย่างที่ AIS ตั้งใจไว้

ฟูมิฮิโร่ คาจิฮาร่า Executive Director ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด (WMS) เล่าให้ฟังว่า “หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ WMS ตัดสินใจร่วมมือกับ AIS ในครั้งนี้เป็นเพราะส่วนใหญ่แล้วขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ WMS จัดเก็บจะมาจากภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่จะมาจากภาคชุมชน เพราะความยากในการเก็บรวบรวมและจัดส่งขยะจากชุมชนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ใช้งบประมาณ จำนวนคน และเวลาอย่างมหาศาล เมื่อ AIS มีความตั้งใจในเรื่องนี้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของเราที่ต้องการให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการกำจัดและรีไซเคิลอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อลดปัญหาสภาวะด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น

โดยกระบวนการหลังจากได้รับขยะ E-Wasted มาจาก AIS ขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นจะถูกส่งต่อไปที่โรงงานของ WMS ที่ชลบุรี เพื่อนำไปจัดการในรูปแบบ zero landfill ซึ่งเป็นวิธีการจัดการขยะแบบสากล โดยจะเริ่มจากการแกะชิ้นส่วนต่างๆ ออกมาก่อนแล้วนำวัสดุชนิดเดียวกันมาหลอมรวมกัน จนเกิดเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง อย่างเช่น อลูมิเนียม ทอง เงิน ทองแดง เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ก็จะนำไปหลอมเป็นเหรียญรางวัลต่อไป 

สำหรับชิ้นส่วนไหนของขยะ E-Wasted ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ก็จะถูกนำไปเผาอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้ขี้เถ้าที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของปูนซีเมนต์ต่อ ถือเป็นการรีไซเคิลขยะโดยที่ไม่มีการฝังกลบอย่างที่ AIS ตั้งใจไว้ และไม่ใช่แค่ตัวเหรียญเท่านั้น แต่สายคล้องหรือกล่องใส่เหรียญรางวัลก็ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลเช่นกัน

นอกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์จะกลายเป็นรางวัลเกียรติยศสำหรับผู้ชนะ สโมสรที่สามารถรวบรวม E-Waste ได้มากที่สุด ก็จะมีรางวัล  FOOTBALL CLUB E-WASTE CHALLENGE AWARD มอบให้เพื่อเชิดชู ซึ่งสโมสรแรกที่ได้รับรางวัลนี้ไปก็คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

จากโปรเจกต์นี้ ทำให้เราเห็นถึงภาพใหญ่ของวงการฟุตบอลไทยที่กำลังจะยกระดับมาตรฐานการแข่งขันให้เทียบเท่าระดับสากล ที่ลีกใหญ่ๆ ของโลกกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องของการแข่งขันที่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม เพราะอย่าลืมว่า การแข่งขันแต่ละนัดต้องใช้ทรัพยากรและเกิด waste มากมาย 

และโครงการคนไทยไร้ E-Waste ที่เกิดจากความตั้งใจของทั้ง AIS ไทยลีก และ WMS ก็เป็นเสมือนกับจุดเริ่มต้นของเป้าหมาย Green Thai League ที่เราอาจจะได้เห็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยแบบใส่ใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากกิจกรรมการทิ้ง E-Waste ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

Day 1 ของ Seen Scene Space โปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ตที่พาศิลปินนอกกระแสมาให้คนไทยได้ฟัง

Seen Scene Space

Seen Scene Space Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Seen Scene Space

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ชวน CURADEN เลือกหยิบ 8 สิ่งที่เป็นที่สุดของ CURAPROX มาใส่ตระกร้า

CURAPROX

CURAPROX add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้