TQM เปลี่ยนครั้งใหญ่เป็น ‘TQMalpha’ ขยายจากธุรกิจประกันไปยังธุรกิจการเงินและเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

จากจุดเริ่มต้นของบริษัทเมื่อ พ.ศ. 2496 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 69 ปีแล้วที่ TQM ได้อยู่ในอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยมา ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นการขายประกันแบบเคาะประตูตามบ้าน ขยับมาเป็นการขายประกันทางโทรศัพท์ จนกลายเป็นการขายประกันผ่านทางออนไลน์ในวันที่ทุกอย่างปรับสู่ความเป็นดิจิทัล

จนวันนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งของ TQM กับการเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘TQMalpha’ และจะไม่ได้ขายแค่ประกันอีกต่อไป แต่จะขยายไปยังธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

ทีนี้เรามาดูกันว่าธุรกิจแต่ละขาของ TQMalpha จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

TQMalpha

ธุรกิจประกัน
ถือเป็นจุดเด่นและจุดแข็งของ TQM อยู่แล้ว โดยล่าสุดทาง TQM ก็ได้เข้าไปลงทุนใน TQR บริษัทโบรกเกอร์ประกันภัยเข้ามาเพื่อทำให้ธุรกิจประกันของ TQM ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดย TQM จะเป็นนายหน้าที่ขายทั้งประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันวินาศภัย และภายในขาประกันนี้ก็มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนในธุรกิจประกันที่ประเทศกัมพูชาและลาวอีกด้วย

ธุรกิจการเงิน
จัดตั้งบริษัท EASY Lending เพื่อให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะธุรกิจประกันและการเงินเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง บวกกับสถานะการเงินของ TQM ถือเป็น positive cashflow หรือหมายถึงการที่บริษัทสามารถอยู่ได้ 200 กว่าวันแม้จะไม่มีกำไร ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแรง จึงนำมาสู่การต่อยอดธุรกิจนี้

ธุรกิจเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม
จะเลือกลงทุนกับธุรกิจเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่สามารถเข้ามาซัพพอร์ตธุรกิจในขาประกันและการเงินได้อย่างเช่น FinTech, InsureTech หรือ MotorTech เป็นต้น โดย TQM จะเข้าไปลงทุนในบริษัท บิลค์ วัน กรุ๊ป แพลตฟอร์มด้านการก่อสร้างและอสังหาในจำนวน 40% ซึ่งในฝั่งของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มได้ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ หรือหมู Ookbee มานั่งเป็นกรรมการคนใหม่อีกด้วย

TQMalpha

บนเวทีแถลงข่าววันนี้ ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บอกถึงเหตุผลของการลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ เพราะ “เรากำลังอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า VUCA World” ซึ่งหมายถึงในโลกที่มีความผันผวนสลับซับซ้อนขึ้นทุกวัน

ดังนั้นการที่ TQM บริษัทมีกำไรเติบโตมาอย่างต่อเนื่องลุกขึ้นมาปรับตัวใหญ่ในครั้งนี้ (ปี 61 กำไร 400 ล้านบาท, ปี 62 กำไร 500 ล้านบาท, ปี 63 กำไร 700 ล้านบาท และปี 64 ที่ผ่านมากำไร 890 ล้านบาท) ก็เพื่อเป็นการปรับธุรกิจให้ก้าวทันต่อความผันผวนของโลก เป็นการกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยใช้จุดแข็งของ TQM ซึ่งก็คือความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกันและฐานลูกค้าที่มีอยู่ในระบบกว่า 4 ล้านคนมาต่อยอดเป็นธุรกิจอื่นที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ประกัน

TQMalpha

พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2026 TQMalpha จะมีฐานลูกค้าในระบบเพิ่มมาเป็น 10 ล้านราย โดยรายได้ 50% จะมาจากธุรกิจประกัน 25% มาจากธุรกิจการเงิน และอีก 25% มาจากธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

จากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จาก TQM มาเป็น TQMalpha ในครั้งนี้ก็ทำให้คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า TQMalpha จะมีรายได้มาจากฝั่งประกันอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท ฝั่งการเงินอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ส่วนเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มจะเป็นฝั่งที่เข้ามาช่วยให้ประกันและการเงินของ TQMalpha เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

TQMalpha

ทั้งนี้แม้จะเปลี่ยนชื่อจาก TQM มาเป็น TQMalpha และจะเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาเป็นบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) แต่ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงใช้ชื่อว่า TQM อยู่เช่นเดิม

ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการประกันได้ไม่น้อย เพราะใครจะคิดว่าวันหนึ่งบริษัทตัวแทนขายประกัน จะเอาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้วคือดาต้าและฐานลูกค้าที่ตัวเองมีอยู่ในมือ มาแตกไลน์เป็นธุรกิจการเงินหรือเทคโนโลยีแบบนี้

เมื่อเห็นแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าฉุกคิดเหมือนกันว่า แล้วธุรกิจที่คุณทำอยู่มันมี asset อะไรให้ไปต่อยอดเป็นอย่างอื่นที่อยู่นอกกรอบธุรกิจเดิมๆ ได้อีกบ้าง

TQMalpha

Air Protein สตาร์ทอัพที่เสกเนื้อสัตว์จากคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้พื้นที่น้อยกว่าปศุสัตว์ 1.5 ล้านเท่า

ภาวะโลกร้อนมีปัจจัยหลักๆ อยู่สองส่วน คือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ) ไปสู่ชั้นบรรยากาศที่มากขึ้น อีกส่วนคือจำนวนต้นไม้ที่เคยช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ให้ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศลดลงไปจำนวนมากจากการถางป่า

แน่นอนว่ามนุษย์มีส่วนทำให้ภาวะโลกร้อนนั้นเลวร้ายลงมากจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน รถยนต์ เครื่องบิน อุตสาหกรรมโรงงาน แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วคือจำนวนต้นไม้ที่ถูกตัดลงไปอย่างรวดเร็วด้วยต่างหาก และ 1 ใน 4 ของแผ่นดินโลกถูกใช้สำหรับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และ 1 ใน 3 ของพื้นที่เพาะปลูกถูกใช้สำหรับอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อนำมาเป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้น

จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทุกวันนี้เราผลิตเนื้อสัตว์มากกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนประมาณ 6 เท่าตัว เป็นต้นเหตุของปริมาณก๊าซเรือนกระจก 1 ใน 4 ของทั้งโลก มากกว่ารถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน และเรือ รวมกันซะอีก แน่นอนว่าการผลิตที่เยอะขึ้นก็หมายถึงการทำลายผืนป่าที่มากขึ้นไปด้วย

ลิซ่า ไดสัน (Lisa Dyson) นักฟิสิกส์ และจอห์น รีด (John Reed) นักวัสดุศาสตร์ ทราบดีถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศที่กำลังย่ำแย่ของโลกใบนี้เป็นอย่างดีเหมือนกับทุกคน พวกเขาทำงานด้วยกันที่ Department of Energy’s Berkeley Lab โดยมีเป้าหมายไปที่เนื้อสัตว์ที่เราทานอยู่ในทุกๆ วันนี้

แม้ทราบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นสาเหตุใหญ่ของภาวะโลกร้อน แต่ปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้มีท่าทีจะลดลงเลย (ราว 386 ล้านตันและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ภายในปี 2050 มีการคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะแตะ 10,000 ล้านคน และจะมีความต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 68% นั่นหมายความว่าเราต้องหาแหล่งอาหารเพิ่มขึ้นมากอีกหลายเท่า แล้วจะทำยังไงให้มันไม่กระทบกับสภาพแวดล้อมล่ะ?

ที่ผ่านมาเราเห็นเนื้อสัตว์จากห้องแล็บที่เกิดจากการเพาะเนื้อเยื่อจากเซลล์สัตว์หรือนวัตกรรมเนื้อจากพืช (plant-based) ถูกสร้างมาจากโปรตีนที่ทำจากถั่วเหลืองและถั่วเขียวกันมาพอสมควรแล้ว มันกลายเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากกินพืช แต่ยังไม่สามารถตัดใจจากรสชาติและรสสัมผัสของเนื้อสัตว์ได้ มันเป็นทางเลือกของคนไม่กินเนื้อ แต่รักเนื้ออยู่นั่นเอง

แม้เนื้อจากพืชจะเป็นทางเลือกที่ดี ลดการถางป่าเพื่อทำปศุสัตว์ลงได้ไปจำนวนหนึ่ง แต่มันเหมือนแก้ปัญหาได้เพียงครึ่งเดียว เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นยังถูกสร้างขึ้นมาในปริมาณที่มากโขอยู่ ลิซ่าและจอห์นเลยพยายามมองหาคำตอบที่ครอบคลุมมากกว่านี้ 

จนกระทั่งไปเจองานวิจัยของนาซ่าจากยุค 60s ที่ตอนนั้นพยายามคิดค้นหาวิธีการผลิตอาหารสำหรับนักบินอวกาศระหว่างเดินทางเป็นระยะเวลานานโดยใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด

โดยหนึ่งในไอเดียอันน่าทึ่งคือการใช้จุลินทรีย์ชนิดพิเศษชื่อว่า hydrogenotrophic (มีอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่อย่างน้ำพุร้อน) ที่สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจของนักบินอวกาศแล้วเปลี่ยนเป็นอาหารให้มนุษย์ทานได้ แต่ไอเดียนี้กลายเป็นหมันไปเพราะโครงการเดินทางไปดาวอังคารไม่เกิดขึ้น

“เราทำต่อจากที่พวกเขาทำค้างไว้เลย”

ลิซ่าและจอห์นให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Fast Company ไว้แบบนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบริษัท Kiverdi ในปี 2008 โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘Probiotic Production Process’ ซึ่งลิซ่าบอกว่ามันก็คล้ายกับการสร้างโยเกิร์ตหรือไวน์นั่นแหละ ในถังหมักเจ้าจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้จะนำคาร์บอนไดออกไซด์และส่วนผสมที่เป็นสารอาหารแร่ธาตุต่างๆ (ซึ่งเป็นความลับของบริษัท) เพื่อผลิตส่วนผสมที่มีโปรตีนถึง 80% ที่มีกรดอะมิโนเหมือนกันกับโปรตีนในเนื้อวัวหรือไก่ นอกจากนี้ยังมีวิตามินเช่น B12 ที่มักไม่พบในอาหารมังสวิรัติ นอกจากนั้นยังไม่มีสารปนเปื้อนอย่างฮอร์โมนเร่งโตหรือยาปฏิชีวนะอีกด้วย และกระบวนการทั้งหมดก็ใช้พลังงานสะอาดทั้งสิ้น

ผลิตภัณฑ์แรกๆ ที่พวกเขาเลือกทำคือน้ำมันปาล์มและน้ำมันหอมระเหย เพราะมันเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแชมพู​ สบู่ หรือในอาหารหลายๆ อย่าง การผลิตน้ำมันด้วยวิธีนี้จะลดการถางป่าเพื่อปลูกต้นปาล์มได้ด้วย

ในปี 2019 พวกเขาใช้หลักการพื้นฐานเดียวกับแล้วเปิดตัวอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งชื่อว่า ‘Air Protein’ ซึ่งก็เหมือนอย่างที่ชื่อบอกครับว่ามันเป็น ‘โปรตีนที่มาจากอากาศ’ เป้าหมายคือการสร้างเนื้อจากคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสเต๊กฉ่ำๆ หรือแซลมอนชิ้นโต ความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด 

กระบวนคล้ายกับวิธีการทำโยเกิร์ตโดยอาศัยจุลินทรีย์ที่มีชีวิตในถังหมักและป้อนส่วนผสมต่างๆ ลงไปอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน แร่ธาตุ น้ำ และไนโตรเจน จนออกมาเป็นโปรตีนแบบผงที่มีกรดอะมิโนเหมือนกันกับโปรตีนในเนื้อเลย แล้วต่อจากนั้นก็เอาไปแปรรูปให้เป็นเหมือนเนื้อสัตว์อะไรก็ได้ตามต้องการ หรือแม้แต่เอาไปเป็นส่วนผสมในอาหารอย่างโปรตีนบาร์ ซีเรียล ได้หมดเลย

เมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่ได้แล้ว กระบวนการผลิตทั้งหมดใช้พื้นที่ในการผลิตน้อยกว่าปศุสัตว์แบบเดิมถึง 1.5 ล้านเท่าและใช้น้ำน้อยกว่า 15,000 เท่าเลยทีเดียว 

“คุณต้องใช้ฟาร์มขนาดเท่ากับรัฐเท็กซัสเพื่อสร้างโปรตีนเท่ากับที่ได้จาก Air Protein ในขนาดของดิสนีย์เวิลด์”

นอกจากนั้นเทคโนโลยีนี้จะดึงคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมาใช้ เพราะฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดเรียกว่าเป็น ‘carbon-negative’ ก็ได้ คือนอกจากจะไม่สร้างมลภาวะเพิ่มแล้ว ยังช่วยทำให้โลกนี้สะอาดขึ้นด้วย

ตอนนี้เราเริ่มเห็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘Direct Air Capture’ ที่เป็นเหมือนโรงงานดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรงแล้วนำไปใช้สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือเก็บไว้ในพื้นดินอย่างถาวร (สตาร์ทอัพอย่าง Global Thermostat กำลังพิสูจน์ไอเดียนี้อยู่ที่เมืองฮันต์สวิลล์ รัฐแอละแบมา) ลิซ่ามองภาพว่าต่อไปในอนาคตพวกเขาสามารถเข้าไปทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพเหล่านั้นได้โดยตรงเลย เอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดมาจากอากาศ แล้วใช้เทคโนโลยีของ Air Protein เพื่อสร้างอาหารให้กับประชากรทั้งโลกได้เลย

“เราเชื่อว่าเมื่อขยายการผลิตมากขึ้น และมีโรงงานที่เป็น Direct Air Capture มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบมากที่จะทำให้โรงงานเหล่านี้สร้างอาหารขึ้นมาด้วยเลย”

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อจากนี้คือการทำให้กระบวนการทั้งหมดนั้นมีต้นทุนที่ถูกลงเพื่อไปแข่งขันกับอุตสาหกรรมผลิตเนื้อให้ได้ ซึ่งก็เหมือนกับเนื้อทางเลือกแบบอื่นๆ นั่นแหละ ลิซ่าชูประเด็นว่านวัตกรรมของ Air Protein นั้นใช้พื้นที่น้อยมากๆ สามารถทำเป็นแนวตั้งได้ ใช้ทรัพยากรที่น้อย และพลังงานทั้งหมดสามารถใช้เป็นพลังงานสะอาดได้ทั้งสิ้น โดยทางทฤษฎีแล้วปัจจัยเหล่านี้จะราคาถูกลงเรื่อยๆ เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปข้างหน้า

“เทคโนโลยีของเราจะไม่ได้เพียงประหยัดต้นทุนตั้งแต่แรก แต่มันยังมีโครงสร้างต้นทุนที่จะลดลงไปเรื่อยๆ ด้วย”

Air Protein เพิ่งได้รับเงินทุนไป 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อต้นปี 2021 จากบริษัทลงทุนอย่าง ADM Ventures, Barclays และ GV

สิ่งที่เราทุกคนน่าจะทราบดีคือโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ อากาศที่ร้อนขึ้น มลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย สัตว์สูญพันธ์ ป่าไม้ถูกทำลาย โรคระบาดที่ยากจะรับมือขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น สถานการณ์ดูจะยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ เทรนด์ของการผลิตอาหารแบบทางเลือกเหมือนอย่าง Air Protein จะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นในอนาคต เพราะเราไม่สามารถผลิตอาหารแบบเดิมในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ ลิซ่าเล่าปิดท้ายว่า

“เรากำลังสร้างนิยามใหม่ของการผลิตเนื้อสัตว์ และรู้สึกตื้นเต้นมากที่เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนครั้งนี้”

อ้างอิง

ทำไม ‘ร้านติ่มซำ’ จึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ยอดผู้ฉีดวัคซีนในฮ่องกงเพิ่มขึ้น

ร้านติ่มซำ

ร้านติ่มซำ Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

บินไปดู NBA กับ ‘23 Mania’ ครีเอเตอร์สายบาสเกตบอลที่ลุกขึ้นมาทำทัวร์ดูบาสฯ รายแรกในไทย

แม้เป็นเกมกีฬาที่ถือกำเนิดขึ้นจากอีกซีกโลก แต่วัฒนธรรมและความสนุกของวงการบาสเกตบอล NBA ในสหรัฐอเมริกาก็ยังสามารถเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงไทย และหยั่งรากลงในใจของผู้คนมากมาย ซึ่งเราเชื่อว่าพวกเขาต่างก็มีความฝันเดียวกันคือ อยากจะได้ไปชมการแข่งขันบาสเกตบอล NBA ที่ขอบสนามสักครั้งในชีวิต

นี่เองจึงเป็นที่มาของ ‘ทัวร์ดูบาสเกตบอล NBA’ ที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยซึ่งริเริ่มโดย เอ้–ทศพร และ ตูน–ไอยวริญ โรจน์สุวณิชกร แห่ง 23 Mania สองคอนเทนต์ครีเอเตอร์ผู้คร่ำหวอดวงการบาสเกตบอลมาตั้งแต่ก่อนที่เราจะรู้จักกับคำว่า ‘คอนเทนต์ครีเอเตอร์’ เสียอีก

23 Mania

“NBA เป็น sport entertainment business มันไม่ใช่แค่กีฬาอย่างเดียว แต่มีความบันเทิงเข้ามาด้วย” เอ้เกริ่นถึงความเพลิดเพลินที่ทุกคนจะได้รับจากเกมบาส NBA

“เวลาที่เราดูบาสผ่านหน้าจอ เราได้เห็นเกมในสนาม กล้องอาจจะจับคนดูบ้างนิดหน่อย แต่พอเราเข้าไปอยู่ในสนามจริงๆ เขาจะมีกิจกรรมเพื่อเอนเตอร์เทนคนตลอด ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืนเสื้อยืด คนที่อยู่ในสนามก็จะได้ประสบการณ์ชูมือแย่งเสื้อที่ยิงขึ้นมา หรือบางทีก็ได้ออกกล้อง หน้าเราจะได้ไปขึ้นบนจอกลางใหญ่ๆ หรืออย่างในปัจจุบันตอนนี้เขาก็มีกิจกรรมใหม่ คือให้เราติดแฮชแท็กชื่อทีมเขา จากนั้นรูปหรือข้อความที่เราโพสต์ก็จะไปโชว์บนจอใหญ่กลางสนาม พวกนี้มันเป็นกิมมิกและสีสันที่คนเข้าไปในสนามเท่านั้นที่จะได้สัมผัส 

“ถ้าถามว่าเบื่อไหม เราไม่เบื่อ แสง สี เสียง เพลง กิจกรรม เขามีตลอดจริงๆ ไม่ใช่ว่ามาดูบาสอย่างเดียว แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นแฟนบาสก็ยังสนุกเลย” ฟังถึงตรงนี้ คนที่ไม่ใช่แฟนบาสอย่างเราก็เริ่มนึกครึ้มอยากลองเข้าไปนั่งในสนามกับเขาดูสักครั้ง

ภาพจาก 23 Mania

ตูนเล่าว่า โดยปกติแล้วทัวร์ดูบาสของ 23 Mania จะกินระยะเวลาประมาณ 7 วัน 5 คืน และจะได้ไปเยือนสนามบาสเกตบอลอันโด่งดังทั้ง 2 สนามในซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิส

“อย่างกรุ๊ปล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราพักอยู่ที่ซานฟรานฯ 2 คืน ที่นั่นจะมีทีมบาสชื่อ Golden State Warriors และมีสนามของเขาชื่อว่า Chase Center ซึ่งก็จะเป็นหนึ่งเกมที่เราต้องพาทุกคนไปดู หลังจากนั้นเราก็จะขยับมาที่แอลเอ ซึ่งจะมีสนามประจำชื่อ Crypto.com Arena เป็นสนามเหย้าของทีม Los Angeles Lakers และ Los Angeles Clippers ซึ่งเราก็จะมาดูตรงนี้อีก 2 เกม หรือถ้าสามารถลงได้ก็อาจจะเป็น 3 เกมเลย” ตูนอธิบายถึงกำหนดการเดินทางโดยคร่าวของทัวร์ 

ภาพจาก 23 Mania

ฟังแบบนี้หลายคนอาจคิดว่า ใครๆ ก็สามารถจองตั๋วการแข่งขันและเดินทางไปดูบาสด้วยตัวเองได้ทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินทางไปกับทัวร์เลยสักนิด แต่เชื่อเถอะว่ายังมีความพิเศษอีกมากมายหลายประการที่คุณจะสามารถหาได้จากทัวร์ของ 23 Mania เท่านั้น และนั่นเองที่ทำให้ทัวร์สุด niche ทัวร์นี้ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015

แม้ในยุคอินเทอร์เน็ต 5G ที่ใครๆ ก็สามารถเปิด GPS เที่ยวคนเดียวได้สบายๆ แต่ทัวร์นี้ก็ยังไม่หายไปไหน ในทางกลับกัน เอ้และตูนบอกว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทัวร์ของพวกเขาได้รับความสนใจมากเสียจนที่นั่งถูกจองเต็มภายใน 2 วันแรกที่เปิดจองเลยทีเดียว!

กรุงเทพฯ

ย้อนไปในปี 2015 ก่อนที่ทัวร์ครั้งแรกจะเกิดขึ้น เอ้เป็นเพียงคอบาส NBA คนหนึ่งที่ใช้เวลาว่างแทบทั้งหมดไปกับการติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบบาสเกตบอลด้วยกัน

“ตอนแรกพวกเราทำร้านขายของฝาก ขายขนมโมจิของนครสวรรค์ ซึ่งมันเป็นอาชีพที่มีเวลาว่างค่อนข้างเยอะในสมัยนั้น และด้วยความที่เราชอบบาสเป็นการส่วนตัว มีไลน์กลุ่มสำหรับคุยเรื่องบาสกับเพื่อนๆ ทำให้เรานั่งคุยเรื่องบาสเกือบทั้งวัน จนตูนเขาเห็นว่าเรามัวแต่คุยแบบนี้มันเสียเวลา เลยเสนอว่าทำไมเราไม่ลองเปิดเพจเพื่อให้ข้อมูลเรื่องบาสไปเลย” 

เพจ NBA Mania (ชื่อเดิม) จึงถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 6 กรกฎาคม 2015

“เรามีทั้งข่าวอัพเดตและเขียนบทความลงในเพจทุกวัน พูดง่ายๆ ว่าทำคอนเทนต์แหละ แต่ในเวลานั้นมันยังไม่มีคำจำกัดความของอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์เลย เพิ่งจะมามีเรียกกันเร็วๆ นี้เอง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าพวกเราเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์มาโดยที่เราไม่รู้ตัว” ตูนเสริม

“จนวันหนึ่งตอนที่ผมวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่สนามบาสหลังบ้านพร้อมกับคิดงานไปด้วย ตอนนั้นผมคิดว่าทุกคนที่ชอบบาสเขาก็น่าจะมีฝัน…” เอ้เกริ่นถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขานึกสนใจอยากทำทัวร์ขึ้นมา

“ความจริงคือตัวเองอยากไปบ่อยๆ แหละ” ตูนอดไม่ได้ที่จะแซว

23 Mania

“ไม่ คือก็แค่คิดว่าคนที่ดูบาสเหมือนกันเขาก็คงมีฝันเหมือนเรา นั่นคืออยากไปดูเกมสดๆ ในสนามสักครั้ง ก็เลยลองเอาไอเดียนี้มาคุยกับตูนดู เพราะเราก็รู้ทุกอย่างอยู่แล้วทั้งเรื่อง NBA การจองตั๋วบาส การท่องเที่ยว และการเดินทางต่างๆ ตูนเองก็เป็นแอร์โฮสเตสเก่า ดังนั้นเราก็แค่ต้องลองทำกันขึ้นมาดู

“ตอนนั้นที่ประกาศไปครั้งแรก อินบอกซ์เรามันเออเร่อไปเลยเพราะคนถามเข้ามาเยอะมาก” 

ด้วยความที่ยังไม่เคยมีใครจัดทัวร์ดูบาสเกตบอล NBA ขึ้นมาก่อนเลยในประเทศไทย ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ค่อนข้างสูง ทำให้ลูกเพจส่วนมากแม้สนใจอยากไปแต่ก็ยังไม่มั่นใจ หลายคนถึงกับเดินทางมาหาเอ้และตูนถึงที่บ้าน หรือโทรเช็กกับที่ทำงานเพื่อยืนยันว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ! 

แล้วในที่สุดพวกเขาก็สามารถจัดทัวร์ครั้งแรกขึ้นได้สำเร็จในช่วง NBA Regular Season ปี 2015 โดยมีผู้ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 18 คนด้วยกัน นับจากนั้นเป็นต้นมา ทริปการไปดูบาส NBA ของ 23 Mania ก็ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง regular season ของทุกปี

ภาพจาก 23 Mania

BKK-SFO

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ทัวร์ดูบาส’ แต่เอ้และตูนก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าทัวร์นี้ไม่ได้แค่พาไปดูบาสเกตบอล และคนที่ไปก็ไม่ได้มีแค่คอบาสเช่นกัน

“ต้องบอกก่อนว่าเวลาที่ไปกับเรา ตั้งแต่เช้าจรดเย็นนี่เราเที่ยวกันเหมือนปกติเลย เพราะเกมบาสเขาจะมีตอนเย็น ดังนั้นตั้งแต่เช้าเราจะออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จุดเช็กอินที่ถ้าใครไปซานฟรานฯ หรือแอลเอแล้วต้องไป”

หลังจากที่ได้ไปส่องโปรแกรมทัวร์โดยละเอียดแล้ว ยืนยันได้ว่าตารางเที่ยวแน่นเอี้ยดและเก็บครบอย่างที่ตูนบอกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Golden Gate Bridge, Alcatraz Island หรือ Lombard Street ในซานฟรานซิสโก

ภาพจาก 23 Mania

เอ้เล่าว่า โดยปกติแล้ว แพ็กเกจทัวร์นี้จะรวมค่าเข้าชมเกมบาสจำนวน 1 เกมของทีม Los Angeles Clippers ซึ่งจะเป็นที่นั่งในโซน lower level ใกล้กับขอบสนาม ส่วนเกมที่ 2 หรือ 3 นั้นผู้เดินทางสามารถตัดสินใจเลือกแมตช์ที่ต้องการชม รวมถึงตำแหน่งที่นั่งที่เหมาะสมกับบัดเจ็ตที่มีได้ ผู้ชมสายเปย์อาจเลือกที่นั่งแถวหน้าใกล้ชิดติดขอบสนามในแมตช์ของทีมโปรด ส่วนใครที่อยากเซฟค่าใช้จ่ายในบางแมตช์ก็สามารถขึ้นไปนั่งที่โซน mid-level หรือ higher level ซึ่งมีค่าใช้จ่ายย่อมเยากว่าได้ 

หรือจะไม่เข้าชมเพิ่มสักแมตช์เลยก็ได้เช่นกัน เพราะตูนกับเอ้ก็จะแบ่งทีมกันเพื่อดูแลลูกทัวร์ที่ไม่เข้าชมในเกมนั้นๆ และพาไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากในโปรแกรมแทน เรียกได้ว่าเป็นทัวร์ที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นอย่างแท้จริง

23 Mania

“เราอยากให้เขาได้ประสบการณ์อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่เรื่องของบาส แต่รวมถึงเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ส่วนตัวผมก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นไกด์ เวลาอยู่บนรถเดินทางจากซานฟรานซิสโกไปแอลเอ ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงเราก็เล่าให้เขาฟังทั้งหมด เพราะเราชอบประเทศอเมริกา ชอบวัฒนธรรม ชอบประวัติศาสตร์ของที่นี่

“เพราะส่วนมากคนที่เขาไปกับเรา เขาไม่เหมือนผมที่เดี๋ยวๆ ก็กลับไปอีกแล้ว บางคนเขาอาจจะตั้งใจไปแค่ครั้งเดียวในชีวิต” เอ้สรุป

Crypto.com Arena

จากการเดินทางไปชมบาสเกตบอล NBA ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่พาทัวร์ไปและไปเป็นการส่วนตัว ทำให้เอ้และตูนได้ทำความรู้จักกับทีมงานในสโมสรบาสเกตบอลหลายแห่ง และสามารถต่อรองสิทธิพิเศษให้กับผู้ร่วมเดินทางในแต่ละทริปได้

“โดยปกติแล้วเวลาไปดูเกมบาส ประตูสนามจะเปิดก่อนเริ่มแข่งประมาณสัก 1-1.5 ชั่วโมง แต่ถ้าไปกับเรา ที่สนามของ Crypto.com ของทีม Los Angeles Clippers เราจะสามารถเข้าไปชมการซ้อมของนักกีฬาได้ตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมงก่อนเกมเริ่ม โดยเขาจะให้เราติดแท็บข้อมือสำหรับเข้าชมเกมซ้อม และพาเราดิ่งลงไปที่ขอบสนามเพื่อชมเกมซ้อมแบบใกล้ๆ เลย” ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อหมดเวลาซ้อม พวกเขาทุกคนก็ยังสามารถเดินตัวปลิวเข้าไปช้อปของที่ระลึกในทีมสโตร์ได้ก่อนใคร ไม่ต้องไปรอเบียดแย่งซื้อกับผู้ชมคนอื่นในช่วงเวลาเปิดขายปกติ

ภาพจาก 23 Mania

“ส่วนในฤดูกาลที่จะถึงนี้เราก็คุยกันไว้ว่า น่าจะได้ลงไปที่พื้นสนามเพื่อถ่ายรูปและแตะมือกับนักกีฬาด้วย” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทัวร์นี้จะสามารถพาเราไปเหยียบพื้นไม้เงาวับของสนามบาสเกตบอล NBA ได้จริงๆ! 

“ความจริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราเคยดีลกับเขาไว้นานแล้ว แต่พอมีโควิด-19 เกิดขึ้นก็เลยต้องพักไปก่อน ดีที่ตอนนี้ที่อเมริกาเขามูฟออนจนสามารถใช้ชีวิตเหมือนปกติทุกอย่างแล้ว” ตูนเสริม

23 Mania

“อีกเคสที่เราคุยกันไว้คือ ถ้าเราพาเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 14 ไปแบบยกกลุ่ม ก็จะสามารถพาเด็กๆ ลงไปเล่นในสนามได้เลย เหมือนกับว่าได้เป็นนักบาส NBA จริงๆ” คำบอกเล่าจากเอ้ยังคงทำให้เราตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกคุณเริ่มต้นทำความรู้จักกับทีมงานภายในได้ยังไง” เราสงสัย

“อาจจะเพราะส่วนตัวพวกเราสองคนชอบคุยอยู่แล้ว แล้วพอเขาเห็นพวกเรารวมกลุ่มกันไปเป็นกลุ่มใหญ่ เดินทางมาจากประเทศไทย เขาก็มาชวนคุยเพราะสนใจ ผมเห็นเขาเป็นเจ้าหน้าที่ ใส่เสื้อทีม ห้อยป้ายทีม ก็เลยลองพูดคุยกับเขาดู” เอ้เล่าด้วยท่าทีสบายๆ 

“หลังจากนั้นก็มีการแลกอีเมลและติดต่อกันมาเรื่อยๆ ซึ่งตรงนี้มันก็วิน-วิน เพราะเขาเองก็ต้องการลูกค้า ส่วนเราก็ต้องการประสบการณ์พิเศษให้คนที่เดินทางไปกับเรา”

23 Mania

Venice Beach

นอกเหนือจากความฝันที่อยากจะไปชมบาสเกตบอล NBA แบบติดขอบสนามสักครั้งในชีวิตแล้ว แฟนบาสหลายคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องหยิบรองเท้าบาสคู่เก่งใส่กระเป๋าเดินทางไปด้วย เพื่อทำความฝันข้อที่สองให้เป็นจริง นั่นคือ การได้เล่นบาสเกตบอลในสนามที่สหรัฐอเมริกา

“ด้วยความที่คนที่ไปกับเราส่วนใหญ่เป็นคนที่ชอบเล่นบาสเหมือนกัน เราจึงอยากให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นบาสที่อเมริกาสักครั้ง โดยตอนเช้าเราอาจจะนัดรถให้มารับ เพื่อออกไปเล่นบาสตามสนามสาธารณะต่างๆ เช่น สนามใน Venice Beach ที่แอลเอ ซึ่งเป็นสนามบาสสาธารณะที่ค่อนข้างดัง ปรากฏเป็นฉากในหนังหลายต่อหลายเรื่อง” เอ้เล่า

รายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้คือโปรแกรมที่พวกเขาจัดขึ้นด้วยความเข้าใจ ทั้งในฐานะคนรักบาส และคนรักการท่องเที่ยวคนหนึ่ง 

“ถ้าถามว่าคุณสามารถจองตั๋วไปดูบาสเองได้ไหม แน่นอนว่าทำได้ แต่ในจำนวนวันเท่ากัน บัดเจ็ตเท่ากัน อาจจะทำเวลาและทำราคาได้ไม่เท่าเรา เพราะเราใช้รถทัวร์รับส่งถึงหน้าสนาม อาหารทุกมื้อเราก็ติดต่อจองไว้ล่วงหน้าหมด ถึงร้านปุ๊บอาหารวางปั๊บ เทียบกับเวลาที่เราไปเที่ยวกันเอง เรารู้ว่าการเดินทางในอเมริกามันเหนื่อยและใช้เงินเยอะมาก ดังนั้นเราจึงตั้งใจให้ผู้ร่วมเดินทางทุกคนได้ความสะดวกและประหยัดเวลาที่สุด” เอ้เล่า ก่อนที่ตูนจะเสริม

“และเวลาเราเดินทางไปเที่ยวกันเองส่วนตัว เราก็จะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมตลอด อย่างล่าสุดเมื่อปีก่อนที่เราไปครั้งแรกหลังโควิด-19 เราก็ต้องไปเซอร์เวย์เพื่ออัพเดตว่ามีร้านอาหารร้านไหนมาเปิดใหม่บ้าง หรืออย่างนิวยอร์กก็เช่นกัน เราก็มีการไปสำรวจว่าถ้าเราจะจัดทัวร์นิวยอร์กนี่ควรจะไปกินอะไร พักที่ไหน”

23 Mania

Chase Center

เช่นกันกับที่พวกเขาสั่งสมประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับบาสเกตบอล NBA ของเอ้และตูนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่พวกเขาได้มีโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทยไปร่วมงานกับ NBA ถึงสองโปรเจกต์ด้วยกัน ตูนเล่าว่า

“มันเป็นโปรเจกต์ที่เราร่วมกับทาง True Visions ซึ่งเขาเป็น Official Broadcaster ของทาง NBA อยู่แล้ว โดยงานแรกของเราคือการพากย์บาสเกตบอลออนไลน์เมื่อปีก่อน” 

“ตอนนั้นทางทรูวิชั่นส์เขาติดต่อมา โดยบอกว่ามีทั้งหมด 4-5 ครีเอเตอร์ที่เขาส่งไปให้ทาง NBA เลือก ให้เราทำไฟล์นำเสนอตัวเองไปก่อน และทาง NBA ก็เลือกเรา” เอ้เสริม และนั่นเองที่ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อจาก NBA Mania เดิมให้กลายเป็น 23 Mania เพื่อป้องกันข้อขัดแย้งในทางกฎหมายเมื่อร่วมงานกับ NBA

“ส่วนในฤดูกาล NBA Finals ปีนี้ เราก็มีโอกาสได้เดินทางไปในฐานะ on-site coverage เป็นการรายงานข่าวสดขอบสนามใน NBA Finals เกมที่ 1-4 ซึ่งประเทศไทยเราไม่เคยส่งนักข่าวไทยไปทำข่าวใน NBA Finals มาก่อนเลย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะเราทั้งได้สัมภาษณ์นักบาส และได้ไปอยู่กลางสนามจริงๆ” ตูนอธิบายต่อด้วยความตื่นเต้นถึงประสบการณ์การทำงานในสนาม Chase Center ที่ซานฟรานซิสโก และสนาม TD Garden ที่บอสตัน

23 Mania

“มันเป็นเส้นทางการเติบโตที่เราคาดไม่ถึง จากการทำเพจเป็นงานอดิเรก ชวนคนไปเที่ยว จนกลายเป็นทัวร์จริงจัง เปิดร้านอาหาร ทำยูทูบ จนได้โอกาสร่วมงานกับ NBA จริงๆ” เอ้ว่า 

สำหรับพวกเขาแล้ว การจัดทัวร์เพื่อพาทุกคนไปดูบาสจึงไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่เป็นความตั้งใจที่พวกเขาอยากส่งต่อแพสชั่นของตัวเองให้กับทุกคนในทริป

“เพราะการได้ไปดูบาสในสนาม NBA สักครั้ง ตูนว่ามันเป็นการเปิดประสบการณ์ชีวิตจริงๆ แฟนบาสทุกคนพูดหมดเลยว่า ดูแค่ในทีวีก็มันแล้วนะ แต่พอมาอยู่ริมขอบสนามจริงๆ มันเกินกว่านั้นอีกเยอะมาก ตูนชอบสีหน้าสตันท์ของทุกคนเวลาที่เข้าไปในสนามครั้งแรก เราต้องคอยบอกว่า ‘เดินต่อค่ะ เรายังเข้าไปใกล้กว่านั้นได้อีกค่ะ!’ เพราะทุกคนยืนแข็งไปเลย” ตูนเล่าติดตลก

“ในอนาคตผมก็ยังอยากให้คนที่เดินทางไปกับเราได้ความประทับใจ และได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษๆ มากขึ้นไปอีก อะไรก็ตามที่เขารู้สึกว่า เขาไปเองแล้วเขาทำไม่ได้ ปัจจุบันเราก็ทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ในอนาคตเราก็อยากให้เขาได้มากกว่านี้อีก” เอ้ทิ้งท้าย

23 Mania

Indonesia: ประโยชน์ของการควบรวมกิจการ

ข่าวใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมาในแวดวงธุรกิจไทย หนีไม่พ้นข่าวการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่หลายดีล ไม่ว่าจะเป็นซีพีซื้อและควบรวมเทสโก้, การประกาศควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค หรือล่าสุดข่าวเอไอเอส เข้าซื้อกิจการ 3BB เพื่อขึ้นแท่นเป็นผู้นำอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา

แน่นอน ขึ้นชื่อว่านักธุรกิจ โดยเฉพาะผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ การตัดสินใจลงทุนเป็นหมื่นๆ ล้านเพื่อควบรวมกิจการกับคู่แข่ง ย่อมผ่านการตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนมาแล้วว่าน่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท (ส่วนคำถามที่ว่า ประโยชน์นั้นจะเกิดจริงหรือไม่ ‘คุ้มค่า’ เงินลงทุนที่เสียไปหรือเปล่า บ่อยครั้งต้องรอให้เวลาผ่านไประยะหนึ่งจึงจะประเมินได้)

แล้ว ‘ประโยชน์’ ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับจากการควบรวมกิจการกับคู่แข่งมีอะไรบ้าง? เราอาจแบ่งประโยชน์ทั้งหมดออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน

1. พลังร่วม (synergies)–ประโยชน์จากประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและต้นทุนที่ลดลงหลังการควบรวม ในขนาดที่มากกว่าประสิทธิภาพและต้นทุนของแต่ละบริษัทก่อนการควบรวม หรือพูดง่ายๆ ว่า ควบรวมแล้ว 1 บวก 1 ได้ผลลัพธ์มากกว่า 2 เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (economies of scale) และจุดแข็งของแต่ละบริษัท (เช่น ไม่ต้องใช้บุคลากรฝ่ายสนับสนุนเท่าเดิม เพราะซอฟต์แวร์สามารถรองรับขนาดการทำธุรกิจของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม 2 บริษัทได้อยู่แล้ว หรือสามารถลดแผนการลงทุนขยายกิจการได้ เพราะได้ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทมาแล้ว ฯลฯ) 

2. การเติบโต–จากโอกาสที่บริษัทผู้เสนอซื้อกิจการไปควบรวม จะได้ส่วนแบ่งตลาดสูงๆ (พูดง่ายๆ คือลูกค้า) อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องออกแรงมาก เพียงแต่ต้องจ่ายเงินซื้อธุรกิจของคู่แข่งในราคาที่ผู้ถือหุ้นคู่แข่งพอใจ ประโยชน์จากการเติบโตแบบนี้มักเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการแบบแนวนอน (horizontal merger) ซึ่งหมายถึงการควบรวมกิจการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน เป็นคู่แข่งกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนในประเทศไทยคือ ซีพีกับเทสโก้ (คู่แข่งในธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต) ทรูกับดีแทค (คู่แข่งในธุรกิจคลื่นความถี่มือถือ) และล่าสุด เอไอเอสกับ 3BB (คู่แข่งในธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์) 

3. เพิ่มอิทธิพล/ลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน–ประโยชน์ข้อนี้มักเป็นเป้าหมายหลักของการควบรวมกิจการแบบแนวตั้ง (vertical merger) ซึ่งหมายถึงกรณีที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของคู่ค้า หรือบริษัทอื่นที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ไม่ใช่ซื้อคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น บริษัทเบียร์เข้าซื้อกิจการของบริษัทผลิตขวด (เพื่อลดต้นทุนการซื้อขวดมาใส่เบียร์ตัวเอง) หรือบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าซื้อกิจการของบริษัทกระจายสินค้า เพื่อลดต้นทุนการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค เป็นต้น

4. กำจัดคู่แข่ง–ข้อนี้มักมาพร้อมกันกับประโยชน์ข้อ 2. (การเติบโต) โดยเฉพาะในการควบรวมกิจการแบบแนวนอนที่บริษัทควบรวมกิจการกับคู่แข่ง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือได้ทั้งลูกค้าเพิ่ม และลดคู่แข่งไป 1 ราย แน่นอนว่าปกติการควบรวมลักษณะนี้จะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก บริษัทที่ริเริ่มความคิดต้องเสนอราคา ‘พรีเมียม’ สูงกว่าราคาตลาด เพื่อจูงใจให้ผู้ถือหุ้นบริษัทเป้าหมายยอมขาย (หรือแลกหุ้นเป็นหุ้นบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวม) 

การเข้าซื้อและควบรวมกิจการสามารถสร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้หลายทางดังที่กล่าวข้างต้น มันจึงเป็นเรื่องปกติในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจสาขาที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการเติบโต แต่เมื่อมองระดับอุตสาหกรรมหรือสังคม การที่คู่แข่งหายไป 1 ราย ในธุรกิจที่มีการกระจุกตัวสูงมากอยู่แล้ว รายใหม่เข้ามาแข่งได้ยากอยู่แล้ว ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ในระยะยาว เพราะถ้าการแข่งขันลดลงมาก ผู้ประกอบการก็มีแรงจูงใจน้อยลงที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และ ‘ราคา’ ที่ผู้บริโภคจ่ายก็อาจสูงกว่าราคาที่จะเกิดในภาวะที่เคยมีการแข่งขันมากกว่านี้

ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการแข่งขัน บ่อยครั้งจึงต้องออกมาตรการที่จะช่วยรักษาระดับการแข่งขัน เป็นเงื่อนไขในการอนุมัติดีลควบรวมกิจการที่ส่งผลกระทบสูง และในกรณีที่ไม่เห็นว่ามาตรการไหนจะช่วยลดผลกระทบต่อระดับการแข่งขันได้อย่างมีนัยสำคัญ ก็จะตัดสินใจ ‘ไม่อนุมัติ’ ดังที่เราได้เห็นตัวอย่างมาแล้วมากมายในหลายประเทศ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเห็นในประเทศไทย

บริษัทมีหน้าที่หาทางกำจัดคู่แข่งเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองฉันใด หน่วยงานกำกับดูแลก็มีหน้าที่กำกับดูแลให้การแข่งขันเกิดขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและสังคมส่วนรวมฉันนั้น

หน้าที่ใคร หน้าที่มัน

ในโลกกว้างใหญ่ของบอร์ดเกม เกมที่สื่อสารประโยชน์และข้อพิจารณาของการควบรวมกิจการได้อย่างแม่นยำและน่าคิดที่สุด คือ Indonesia (2005) เกมเก่า แต่เก๋า ผลงานชิ้นเอกยุคบุกเบิกของ เจโรน ดูเมน (Jeroen Doumen) และยอริส เวียร์ซิงกา (Joris Wiersinga) สองคู่หูนักออกแบบชาวดัตช์ที่ฝากเกมเศรษฐศาสตร์ไว้ในโลกของเกมกระดานมากมาย รวมถึง Food Chain Magnate (2015) เกมห้ำหั่นในวงการฟาสต์ฟู้ดที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงไปแล้วก่อนหน้านี้

เกมนี้ให้ผู้เล่น 2-5 คนเล่นเป็นผู้ประกอบการในอินโดนีเซียยุคบุกเบิกอุตสาหกรรม พยายามทำเงินให้ได้มากที่สุดด้วยการก่อร่างสร้างธุรกิจ ซึ่งมีตั้งแต่ ข้าว เครื่องเทศ ยางพารา น้ำมัน Siap-Faji (ข้าวกล่องพร้อมทานแบบอินโด) หรือจะทำธุรกิจขนส่งทางเรืออย่างเดียวก็ได้ เราจะส่งของทางเรือไปขายตามเมืองบนเกาะต่างๆ ขยายกิจการ และแน่นอน ควบรวมกิจการกับบริษัทของคู่แข่งเมื่อสบโอกาส เกมนี้ใช้เวลาเล่นประมาณ 3-4 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ยุค แต่ละยุคเมืองใหม่ๆ จะผุดขึ้นบนแผนที่และเราจะสร้างธุรกิจใหม่ได้ ทุกคนเริ่มเกมด้วยเงิน 100 รูปี และไพ่สร้างเมือง (ธุรกิจ) สามใบ ใช้ 1 ใบต่อยุค ไพ่แต่ละใบมีเมือง 3 เมืองให้เลือกว่าจะสร้างธุรกิจที่เมืองไหน

Indonesia เป็นเกมจำลองการแข่งขันในโลกทุนนิยมที่ดุเดือดไม่แพ้ Food Chain Magnate จากนักออกแบบทีมเดียวกัน ในเกมนี้แม้แต่ ‘ลำดับการเล่น’ ก็ต้องประมูลแข่งกัน เพราะลำดับการเล่นมีผลมาก–คนที่ได้เล่นคนแรกจะมีสิทธิ์ริเริ่มการควบรวมกิจการก่อนคนอื่น 

ที่แสบมากคือทุกคนในเกมมีส่วนร่วมประมูลได้หมด ไม่ต้องเป็นเจ้าของบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่ตกเป็นเป้าการควบรวมก็ได้ ขอแค่มีเงินถุงเงินถังมากพอ จำนวนบริษัทที่เป็นเจ้าของยังไม่ถึงเพดานที่กำหนด และใช้เวลา ‘ค้นคว้าวิจัย’ (R&D) การควบรวมกิจการ (ทำในเฟส R&D ของเกม) มาแล้วก่อนหน้านี้

การเสนอควบรวมกิจการแบบจู่โจม (กรณีที่คนเสนอไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท) เรียกว่า hostile takeover หรือการเสนอซื้อแบบเป็นปฏิปักษ์ในโลกจริง ในเกม Indonesia วิธีเดียวที่เจ้าของบริษัทเป้าหมายจะป้องกันได้ก็คือ มีเงินมากพอที่จะทุ่มประมูลมากกว่าผู้เล่นที่ริเริ่มดีลและผู้เล่นคนอื่นๆ จนเป็นผู้ชนะการประมูล (ถ้าเทียบกับโลกจริง กติกานี้เปรียบเสมือนการเสนอ ‘ราคา’ ที่สูงพอจะจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมตัดสินใจขายบริษัท ถึงแม้คณะผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัทจะไม่เห็นด้วย)

ผลลัพธ์ของการควบรวมกิจการใน Indonesia ก็คือ เกิดบริษัทใหม่ที่มีมูลค่ากิจการมากกว่าเดิม และเจ้าของ 2 บริษัทเดิมก็จะได้เงินค่าซื้อกิจการจากเจ้าของใหม่ (หรือเจ้าของบริษัทผู้ซื้อจ่ายให้กับเจ้าของบริษัทเป้าหมาย ถ้าเจ้าของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นผู้ชนะการประมูล) ในสัดส่วนที่สะท้อนมูลค่ากิจการ

ยกตัวอย่างเช่น สมมติผู้เล่นคนหนึ่งชนะประมูลการควบรวมกิจการข้าว 2 บริษัทในราคา 224 รูปี บริษัทข้าวเป้าหมายแห่งหนึ่งมีนาข้าวใน 4 จังหวัด อีกบริษัทมีนาข้าวใน 3 จังหวัด แปลว่าผู้ชนะประมูลจะต้องจ่ายเจ้าของบริษัทแรก 224 x (4/7) = 128 รูปี และจ่ายเจ้าของบริษัทที่สอง 224 x (3/7) = 96 รูปี เพื่อเป็นเจ้าของบริษัทใหม่ที่มีนาข้าวทั้งหมด 7 จังหวัด

การควบรวมกิจการใน Indonesia ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างธุรกิจฟาสต์ฟู้ด หรือ Siap-Faji (ข้าวกล่องพร้อมทาน) ในเกม ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทข้าว กับบริษัทเครื่องเทศเข้าด้วยกัน นี่เป็นกรณีเดียวเท่านั้นที่เราจะควบรวมกิจการต่างธุรกิจในเกมได้ ปกติการควบรวมในเกมจะเป็นแบบแนวนอน นั่นคือควบรวมระหว่างบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันเท่านั้น 

การควบรวมกิจการใน Indonesia ไม่จำเป็นต้องทำครั้งเดียวจบก็ได้ ถ้าเราเจียดเวลามาทำวิจัยหรือ R&D ในเกมมากพอ เราก็สามารถเอาบริษัทที่ผ่านการควบรวมมาแล้ว 1 ครั้ง ไปควบรวมกิจการกับบริษัทใหม่ที่ยังไม่ผ่านการควบรวม ก่อเกิดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นผลรวมของบริษัท 3 แห่ง ซึ่งในโลกจริงหลายบริษัทก็เติบโตผ่านการทำดีลซื้อและควบรวมกิจการกับบริษัทอื่นรัวๆ มากกว่าจะเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ

แน่นอน การควบรวมกิจการใน Indonesia มีประโยชน์ชัดเจนในแง่ของการขยายธุรกิจและแสวงกำไรมากขึ้น แต่การควบรวมอาจไม่ ‘คุ้มค่า’ ก็ได้ เช่น เราอาจใจแตกทุ่มเงินซื้อบริษัทมาแพงเกินไป หรือควบรวมแล้วดันอยู่ในชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม ต้องจ่ายค่าขนส่ง (ให้กับผู้เล่นคนอื่นที่ทำธุรกิจขนส่ง) บานตะไทเพื่อส่งสินค้าไปขายบนเกาะห่างไกล (อินโดนีเซียประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย เส้นทางส่งสินค้าในเกมนี้อาจยาวมา) จนสุดท้ายได้กำไรนิดเดียวหรืออาจขาดทุน เป็นต้น

สุดท้ายเมื่อจบเกม ผู้ชนะใน Indonesia จึงอาจไม่ใช่คนที่ควบรวมกิจการมาเยอะที่สุด แต่อาจเป็นเจ้าของบริษัทที่ชาญฉลาด ปลุกปั้นกิจการของตัวเองและสามารถขายได้ในราคา ‘พรีเมียม’ ได้เงินสดเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่เจ้าพ่อเจ้าแม่แห่งการควบรวมใช้เงินเพลินจนกำไรจากบริษัทที่ซื้อมาไม่คุ้มค่าการลงทุน

ในเมื่อเกมนี้ไม่มีจำนวนตาชัดเจน แต่เกมจะจบเมื่อมีจำนวนบริษัทบนกระดานตามกำหนด เป็นไปได้ว่าผู้เล่นบางคนจะอยากให้คนมาซื้อบริษัทตัวเองในยุคสุดท้าย จากนั้นเอาเงินไปสร้างกิจการใหม่เพื่อบังคับให้เกมจบก่อนที่นักควบรวมจะได้กำไร นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ทำได้เช่นกัน (แต่แน่นอนว่าเพื่อนจะไม่ชอบหน้าเท่าไร!)

‘จังหวะ’ ของการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ใน Indonesia สำคัญไม่แพ้ในเกมเศรษฐศาสตร์ชั้นครูเกมอื่น เรารู้ว่าสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงๆ อย่างยางพาราและน้ำมัน จะผลิตได้ในยุคที่ 2 หรือ 3 ไม่สามารถผลิตได้ในยุคแรก ดังนั้นการยอมยกธงขาว แพ้การประมูลควบรวมกิจการ เพื่อเก็บเงินสดไว้สร้างบริษัทยางพาราหรือน้ำมัน ก็เป็นการตัดสินใจที่เข้าท่าเมื่อทำในจังหวะที่เหมาะสม (เห็นอยู่แล้วว่าเกมกำลังจะเปลี่ยนยุค) 

Indonesia เป็นเกมที่ ‘โหด’ เอาการ ในแง่ที่ว่าการตัดสินใจพลาดในช่วงต้นเกม อาจส่งผลลัพธ์ยาวนานจนทำให้เราไล่คนอื่นไม่ทันจนจบเกมเลยก็ได้ แต่ความสนุก ความลุ้นตัวโก่ง และความมันที่ได้จากการเล่น รวมถึงความรู้แบบแนบเนียนเกี่ยวกับการควบรวมกิจการที่เกมนี้ ‘สื่อ’ ให้เราซึมซับโดยไม่ได้ ‘สอน’ ออกมาตรงๆ ก็คุ้มค่ากับความโหดหินของเกมทุกประการ

สรุปคำแนะนำจากนายกสมาคมโฆษณาดิจิทัลไทย ว่าเราควรทำโฆษณายังไงในยุคที่มีสารพัดแพลตฟอร์ม

ในวันๆ นึงผู้คนใช้แอพกันมากมาย จะเล่นโซเชียลมีเดียก็มีทั้งเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม, ติ๊กต็อก จะสั่งของก็มีทั้ง Shopee, Lazada, จะกินข้าวก็มีทั้ง Grab, LINE MAN, Robinhood จนทำให้ทุกวันนี้กลายเป็นยุคแห่ง ‘สารพัดแพลตฟอร์ม’

และก็เป็นธรรมดาว่าเมื่อที่ใดมีคนอยู่เยอะ ที่นั่นก็ย่อมมีธุรกิจตามมาด้วย หลายแบรนด์จึงต่างพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสารพัดแพลตฟอร์มที่ไม่ว่ากลุ่มลูกค้าจะเปิดแอพไหนก็จะต้องเจอกับแบรนด์อยู่ดี

แม้แพลตฟอร์มทั้งหลายเหล่านี้จะอยู่ในมือถือเครื่องเดียวกัน แต่ก็ล้วนมีวิธีการใช้งาน ภาษา วัฒนธรรม หรือการทำโฆษณาที่ต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง สะท้อนได้จากคำว่า ทวีตภพ, เพลงในติ๊กต็อก, ดู Reel ในอินสตาแกรมซึ่งคำเหล่านี้บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละแพลตฟอร์มได้เป็นอย่างดี

แล้วในยุคที่เต็มไปด้วยแพลตฟอร์มมากมายขนาดนี้ คนทำธุรกิจควรทำยังไง?

หนึ่งเซสชั่นภายในงาน Creative Talk 2022 ที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดีคือเซสชั่นที่มี ภารุจ ดาวราย CEO ของเอเจนซีโฆษณาอย่าง Publicist และนายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ขึ้นมาเป็นสปีกเกอร์ในหัวข้อ ‘Winning in Platform World’

ก่อนจะไปดูว่าการทำธุรกิจในยุคที่เต็มไปด้วยแพลตฟอร์มนั้นควรทำยังไง ภารุจชี้ให้ผู้ฟังเห็นถึงประโยชน์ของการทำธุรกิจและโฆษณาบนแพลตฟอร์มกันก่อนว่ามีอยู่ 4 ข้อหลักๆ ด้วยกัน

ข้อแรกคือมีดาต้าเยอะ เพราะทุกครั้งที่มีคนเข้าไปใช้งาน แพลตฟอร์มจะมีการเก็บข้อมูลเสมอ ทั้งข้อมูลการทำธุรกรรม นิสัยและพฤติกรรมผู้ใช้งานว่าเข้ามาใช้กี่โมง เข้าวันละกี่ครั้ง รู้ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน ซึ่งดาต้าเหล่านี้ทำให้แบรนด์สามารถเข้าใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ข้อที่สองคือ network effect หมายถึงเมื่อมีคนใช้มากเท่าไหร่ ก็จะมีคนอื่นๆ ใช้ตามมากขึ้นเท่านั้น เป็นเหมือนอุปทานหมู่ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็อย่างเช่นเฟซบุ๊กที่จะเราจะแอดเพื่อนเพิ่มไปเรื่อยๆ

ข้อที่สามคือ personalized ecosystems เพราะแต่ละคนก็ล้วนแต่มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน และดาต้าในแพลตฟอร์มสามารถตอบโจทย์ความ personalized นี้ได้

ส่วนข้อสุดท้ายคือแพลตฟอร์มช่วยตัดคนกลางออกไป และทำให้แบรนด์สามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น

เมื่อผู้คนใช้เวลาในหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น เม็ดเงินที่ใช้ในการทำโฆษณาจึงถูกกระจายไปในหลากหลายแพลตฟอร์มตามไปด้วย แต่ก็มีหลายครั้งที่การหว่านเงินทำโฆษณาไปในหลายแพลตฟอร์มนั้นไม่สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ

อย่างในช่วงปี 2020 มีข้อมูลออกมาว่าหลายแบรนด์ในอเมริกามียอดการใช้จ่ายค่าโฆษณามากกว่ายอดขายถึง 3 เท่า พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือใช้เงินค่าโฆษณาเยอะแต่ยอดขายกลับไม่ได้เยอะตาม เงินที่จ่ายไปไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้กลับมา

แล้วในโลกที่มีหลายแพลตฟอร์มแบบนี้ เราควรจะทำยังไงเพื่อทำให้การโฆษณาเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด เรื่องนี้ภารุจบอกว่ามีอยู่ 4 ข้อด้วยกัน

ข้อแรกคือ real identity หรือการเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง ปัจจุบันแบรนด์รู้จักลูกค้าจากดาต้าที่มาจากหลากหลายแพลตฟอร์ม (ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ หากคุณเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำคอนเทนต์ทั้งบนติ๊กต็อก, เฟซบุ๊ก หรือยูทูบ การเก็บดาต้าที่เป็นฐานแฟนของคุณก็อาจจะแตกต่างกันออกไป เพราะแต่ละรายก็มีเครื่องไม้เครื่องมือในการเก็บดาต้าที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งเวลาคนคนนึงไปสมัครแพลตฟอร์มหลายๆ อย่าง บ้างใช้อีเมลในการสมัคร บ้างใช้เบอร์มือถือในการสมัคร บ้างลงทะเบียนผ่านเฟซบุ๊ก ดังนั้นต่อให้เรามีดาต้าแต่ก็อาจไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้เข้าใจพฤติกรรมอย่างแท้จริงก็ได้ เพราะการใช้เฟซบุ๊กก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของคนคนนั้น)

ดังนั้นภารุจจึงแนะนำว่าสิ่งที่แบรนด์ควรทำก็คือการเก็บดาต้าของลูกค้าด้วยตัวเอง จากนั้นจึงค่อยนำดาต้าของลูกค้าที่ได้มาจากแพลตฟอร์มต่างๆ มาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งก็จะทำให้แบรนด์เห็นข้อมูลและเข้าใจลูกค้าอย่างรอบด้านมากขึ้น เป็นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ดาต้าให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ข้อที่สองคือเมื่อแบรนด์เข้าใจลูกค้ามากขึ้นจากการต่อจิ๊กซอว์ของดาต้าที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ แล้ว ก็จะทำให้แบรนด์สามารถตามหากลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นว่าอยู่ที่แพลตฟอร์มไหนเป็นหลัก ทำให้สามารถคิดวิธีการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์มได้มากขึ้น

ภารุจได้ยกตัวอย่างในกรณีนี้ว่าคล้ายกับการหว่านอวนหาปลา ในสมัยก่อนผู้คนอาจจะเลือกใช้อวนใหญ่ๆ เพื่อให้ได้ปลาเยอะๆ โดยไม่สนว่าจะได้ปลาอะไร หรือได้ขยะ ได้ก้อนหินติดมาด้วยไหม กลับกันถ้าหว่านอวนโดยรู้ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร ก็จะรู้ว่าปลาที่ต้องการอาศัยอยู่ตรงไหนมากเป็นพิเศษ และทำให้เราเลือกหว่านแหไปหาลูกค้าได้อย่างตรงจุด

ข้อที่สามเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ในฐานะที่ทำงานเป็นครีเอทีฟมาก่อน ภารุจบอกว่าคำว่า ‘ครีเอทีฟ’ ในบริบทของการทำโฆษณาแบบเดิมที่เน้นการทำเป็นแคมเปญแล้วจบไป ทำหนังโฆษณาแล้วหวังว่าคนจะเข้าใจและจดจำแบรนด์ได้ อาจใช้ไม่ได้กับการทำโฆษณาในปัจจุบันแล้ว

เพราะโฆษณาในปัจจุบันต้องเป็นอะไรที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นงานที่สร้างเอนเกจเมนต์กับผู้คน และเมื่อเกิดเอนเกจเมนต์ก็จะเกิดดาต้าจนแบรนด์สามารถนำดาต้าไปใช้ประโยชน์ในโอกาสต่อไปได้

ข้อสุดท้ายคือเรื่องของ direct relationship เมื่อถึงขั้นตอนที่ลูกค้าเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ คือมีเอนเกจเมนต์จนเกิดเป็นดาต้า เราก็ต้องไม่ทิ้งโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ในที่นี้หมายถึงการหยิบข้อมูลที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการให้หรือเสนอสิ่งต่างๆ ให้กับลูกค้าผ่านช่องทางที่มี ทั้งแอพพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรืออีเมล ซึ่งทุกอย่างต้องปรับเป็น personalized หรือตอบโจทย์ตอบสิ่งที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการให้มากที่สุด

โดยสรุปแล้วผู้คนไม่มีวันจะใช้ชีวิตอยู่บนแค่แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง การหวังพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ–ในที่นี้หมายถึงการเก็บดาต้าของลูกค้าจากแพลตฟอร์มอื่นๆ อาจไม่ใช่วิธีการที่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้นแล้วนักการตลาดและแบรนด์จึงควรเริ่มเก็บดาต้าเป็นของตัวเองควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้รู้จักพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น ทำให้รู้ว่าแบรนด์ควรจะใช้งบโฆษณาที่มีอยู่อย่างจำกัดไปยังแพลตฟอร์มไหนเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

โฆษณาออนไลน์ควรขายของในเวลาที่เหมาะสม เบื้องหลังงาน GrabPay Wallet แบบอินไซต์โดยวิชัย แห่ง Salmon House

อินไซต์อย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาของมนุษย์คือ เวลาที่คนเราเจออะไรสักอย่างที่ไม่คุ้นเคย หรือเจอสิ่งใดที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป (ไม่ว่าจะดีหรือร้าย) เรามักจะ eject มันก่อนเสมอ มันก็เลยทำให้นักโฆษณาจะเจอบรีฟลักษณะหนึ่งเป็นประจำนั่นคือ การทำโฆษณาเพื่อบอกผู้บริโภคว่า “เฮ่ย รู้ว่ามันใหม่ แกไม่เคยใช้ มันดีนะเว้ยแก ลองใช้ดูก่อน” หรือ “มันก็ยุ่งยากครั้งแรก ครั้งเดียว ต่อไปชีวิตแกจะดีขึ้นนะเว่ยยย”

โฆษณาไทย และโฆษณาโลกก็อยู่กับคอนเทนต์แนะนำสิ่งใหม่ให้กับชีวิตมานานแสนนาน แล้วเรามีท่าเล่นกับสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนกันนะ

ครั้งนึงเอเจนซี (WOLF) ชวนพวกผมให้ทำโฆษณาให้ GrabPay Wallet ไอเดียเดียวกันเลย 

โดยปกติเวลาเรารับงานจากเอเจนซี ส่วนใหญ่แล้วเอเจนซีก็จะมีหนัง มีเส้นเรื่อง หรือกระทั่งสตอรีบอร์ดขายลูกค้าเรียบร้อย จึงจะมาหาเรา

งานนี้ไทม์ไลน์แปลกนิดหน่อย (หรือที่พวกเราเรียกกันเองว่า ‘งานไฟป่า’) แล้วเนื่องจากเวลาทั้งหมดมันกระชั้นมาก เอเจนซีเลยคิดหนังมาเลย 5 เรื่อง ให้เราดู ให้เราเลือกก่อน แล้วถึงจะไปขายลูกค้า แล้วเราชอบเรื่องไหนก็จะเชียร์เรื่องนั้นเป็นพิเศษ

หนึ่งในห้าเรื่องนั้น มีเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องกอริลล่านั่งคุยกับคน

ซึ่งแน่นอนว่า อีหนังกอริลล่าเนี่ยโดนกูตัดทิ้งก่อนเรื่องแรกเลย 55555

เหตุผลที่ตัดออกคือ ถ้าเราทำหนังเรื่องนี้ จากเดิมที่เป็นหนังคนคุยกันแบบปกติ มันจะมีโปรดักชั่นเพิ่มเติมขึ้นมานั่นก็คือ การสร้างเจ้าชุดกอริลล่า ที่ยุ่งยาก และใช้เวลาเพิ่มขึ้น

คือการทำชุดกอริลล่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่เรากลัวจะได้ชุดกอริลล่าโง่ๆ ที่ดูไม่สมจริง แล้วมันจะทำให้หนังมันดูแย่ไปด้วย ถ้าจะทำหนังที่กอริลล่าคุยกับคน เราอยากได้กอริลล่าที่หน้าตาขยับได้ ขมวดคิ้วได้ ยักคิ้วได้ ยิ้มได้ ฯลฯ และเหนืออื่นใด เราอยากให้กอริลล่าตัวนี้สมจริงที่สุด ทั้งหมดที่พูดมา มันเป็นงานที่เราต้องไปพึ่งคนอื่นให้ผลิต แปลว่า ถ้าเรารับทำหนังกอริลล่า เราต้องไปฝากชีวิต ฝากหนังทั้งหมดไว้ที่ทีมทำกอริลล่า ถ้าดีก็ดีไป ถ้าห่วยนี่ฉิบหายกันยาวๆ 

สรุปสั้นๆ อีกครั้งคือใจเสาะ ไม่กล้าเสี่ยงและขี้เกียจทำอะไรยากๆ นั่นแหละ 5555

ดังนั้นอีกอริลล่า…มึงไม่ได้เกิดแน่

ตัดภาพมา เอเจนซีบอกว่า “ลูกค้าชอบหนังกอริลล่ามากเลยค่ะ”

อ่า…บะ บังเอิญจังเลยครับ กำลังอยากทำหนังเกี่ยวกับกอริลล่าอยู่พอดี

แต่จริงๆ คือฉิบหายแล้ว

พอต้องมาทำทางนี้แน่ๆ เราก็พบว่า การทำกอริลล่าให้สมจริง ถึงจะยาก แต่ถ้าเราทุ่มเงินมากพอ เราน่าจะได้ของดีแหละ

จบเรื่องตัวกอริลล่าไป (ไม่ได้จบนะ คือจบที่ไปจ้างทีมเก่งๆ นั่นแหละ)

สิ่งต่อมาที่ยากที่สุดของการทำหนังโฆษณาทุกเรื่องก็คือ บท

อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า เอเจนซีจะมีบท หรือเส้นเรื่องมาให้แล้ว แต่ก็เป็นหน้าที่ของโปรดักชั่นเฮาส์ที่ต้องมาพัฒนาบทนั้นให้เป็นบทที่ถ่ายทำได้ ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้ บางครั้งเราก็พัฒนาบทต่อจากเอเจนซี แต่หลายๆ ครั้งเราก็ขอเริ่มต้นทำใหม่หมดเลย โดยยึดจากแกนไอเดียเดิมที่เอเจนซีขายกับลูกค้าก่อนหน้า

หนังทั้งเรื่องมันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกอริลล่าคุยกับคน ดังนั้นเราจะต้องทำให้การพูดคุยนี้สนุก ออกรสออกชาติ

และสำคัญสุดต้องขายของให้ได้

โอเค เรามาวิเคราะห์เป็นจุดๆ ก่อนว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้

อย่างแรกเลย คนและกอริลล่า

คนเท่ากับฉลาด มีปัญญา ส่วนกอริลล่าคือสัตว์เดรัจฉาน ใช้กำลัง และฉลาดไม่เท่าคน

สิ่งแรกที่ปรับในบทคือการทวิสต์ พลิกให้กอริลล่าฉลาดกว่าคน 

พอเรา establish ทัศนคติของตัวละครแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องสร้างคือคอนฟลิกต์ให้กับตัวละคร

ในบทร่างแรกที่เอเจนซีส่งมา ประโยคแรกของหนังจะเริ่มด้วยกอริลล่าพูดว่า “ลิงที่ไหนๆ ก็เหมือนกันหมดเนอะ แย่งกันกิน แย่งกันใช้” เราพบว่าการทำให้กอริลล่ามาวิจารณ์เผ่าพันธุ์ตัวเอง…มันก็ได้แหละ แต่คอนฟลิกต์ (ความขัดแย้ง จุดเริ่มต้นของเรื่อง) มันไม่เกิด

เราอยากทำให้คนกับกอริลล่าเกิดคอนฟลิกต์ตั้งแต่เริ่มต้นไดอะล็อกแรกของหนังเลย โดยที่คอนฟลิกต์ตรงนี้จะต้องสะท้อนนิสัยและสติปัญญาของคาแร็กเตอร์ในทันทีด้วย

ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนเอาไดอะล็อกนี้ไปใส่ปากคน ให้คนวิจารณ์ลิง แล้วให้ลิงเถียงแก้ต่างเผ่าพันธ์ุตัวเองกับคน

และการเถียงของกอริลล่าจะต้องไม่เถียงธรรมดาด้วยนะ กอริลล่าจะต้องเถียงแบบผู้มีวุฒิภาวะและมีปัญญาด้วย

ทีนี้ นอกจากเราจะได้คอนฟลิกต์แล้ว (คนทะเลาะกับกอริลล่า)

เราก็ยังได้คอนทราสต์อีก (คน–ไม่ฉลาด กวนตีน, กอริลล่า–มีวุฒิภาวะ มีปัญญา)

เรื่องบังเอิญคือหลายวันก่อนที่จะได้บทหนังเรื่องนี้ ผมได้ฟัง Untitled Case ที่เชิญคุณแทนไท ประเสริฐกุล มาออก แล้วเขาพูดประโยคนึงว่า “สัตว์ในตระกูลลิงมีสองชนิด ไม่เหมือนกัน ลิงที่มีหางเราเรียกว่า วานร แต่ลิงที่ไม่มีหางมันคือ ape” 

พอฟังแล้วก็รู้สึกว่า เอ้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ะ เป็นข้อมูลที่ง่าย แต่ใหม่ดี

เราก็เลย เอาชุดความรู้นี้แหละมาเป็นคอนฟลิกต์ของหนัง

มันก็เลยกลายเป็นมาไดอะล็อกแรกของหนังตามนี้

ชัยณรงค์ : ลิงที่ไหนๆ มันก็เหมือนกันอะเนอะ แย่งกันกิน ไม่มีคลาส ไม่มีวัฒนธรรม

กอริลล่า : ไม่เหมือนนะ ในภาพเนี่ยคือลิงมีหาง เป็น monkey แต่มีลิงอีกแบบที่ไม่มีหางคือพวก ape 

ในความคิดกอริลล่าคือ ไม่ใช่แค่โต้แย้งคำว่า “ลิงที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน” แต่ก็ใจดีมากพอที่จะอธิบายให้ความรู้เลยว่า มันไม่เหมือนกันนะเว่ย ลิงในทีวีเนี่ยมีหาง เรียกว่า monkey แต่อีกแบบที่ไม่หาง (ตัวของกอริลล่าเอง) มันคือ ape

การที่เลือกเอาไดอะล็อกที่วิชาการฉิบหาย อยู่ดีๆ มึงก็ National Geographic ทำไมวะ คือการแอบสร้างความน่าเชื่อถือให้เจ้ากอริลล่าด้วย เพราะความน่าเชื่อถือมันจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในช่วงขายของตอนท้าย

ไดอะล็อกที่ชัยณรงค์จะตอบต่อมา มีความสำคัญมาก คือการคอนเฟิร์มคาแร็กเตอร์ชัยณรงค์ว่ามันเป็นคนยังไง ซึ่งแน่นอน เราจะให้มันคล้อยตาม เห็นด้วยไม่ได้ เพราะไม่งั้นหนังจบทันที 5555 

ไอ้คนในหนังมันต้องกวนตีน เกรียน บัวใต้น้ำ 

ชัยณรงค์ : โอ๊ย เหม็นเนิร์ด ทำมาเป็นรู้ดี

นอกจากจะไม่ฟังแล้ว ยังไปกระแนะกระแหนเขาอีก

เพื่อเป็นการคอนเฟิร์มนิสัยของคาแร็กเตอร์กอริลล่าจึงต้องตอบอย่างสุภาพชนอีกไลน์ว่า

กอริลล่า : คืองี้เว่ย เราคือกอริลล่าอยู่ในตระกูล ape แต่ในทีวีเนี่ยคือลิงแสม อยู่ในตระกูล monkey

ชัยณรงค์ : จ้าาา พ่อวิกิพีเดีย

เนี่ย…ไอ้คนพวกนี้…นิสัย

ถึงตรงนี้สิ่งที่เราสร้างไว้คือ คาแร็กเตอร์กอริลล่า ฉลาดกว่าและน่าเชื่อถือ ส่วนชัยณรงค์คือคนโง่ที่ชอบอวดดี 5555

ตัวหนังจะเริ่มขายของตรงที่ชัยณรงค์รู้ตัวว่าสู้กอริลล่าไม่ได้แล้วจะสั่งอาหารมากิน ทำให้กอริลล่าหันไปเห็นพอดีว่า ชัยณรงค์ไม่ได้ใช้ GrabPay Wallet ถึงตรงนี้แหละที่เราหยิบอินไซต์ที่ผมเกริ่นไว้แต่ต้นมาใช้ คือคนเราเวลายังไม่ได้ลองทำอะไร มักจะบ่นไว้ก่อนว่ายุ่งยาก โดยที่ยังไม่รู้ว่ายากอะไร ก่อนที่กอริลล่าจะสรุปหนังว่า 

กอริลล่า : กูใช้เวลา 2.3 ล้านปี กว่าจะควบคุมไฟได้ ต้องกินของดิบไปเท่าไหร่ ลับหินเอง ล่าแมมมอธเอง สู้กับเสือเขี้ยวดาบ สู้กับเผ่าข้างๆ กว่าจะขยายพันธุ์มาเป็นมึงวันนี้ได้ นี่แค่กดมือถือนิดหน่อย มึงบอกว่า ยากเหรออออออ ไอ้โฮโมเซเปี้ยนหยิบหย่ง

ไดอะล็อกไลน์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากญาติผู้ใหญ่เวลาบ่นเด็กว่า “เนี่ยเมื่อก่อน ลุงลำบากกว่านี้เยอะ”

แต่พอเอามาใส่ในบริบทการวิวัฒนาการที่ใช้เวลา 2.3 ล้านปีปุ๊บ ขำหนักเลย ถือเป็นไดอะล็อกที่ผมชอบมาก เพราะมันได้สรุปตัวหนังในมุมมองของกอริลล่าได้อย่างสะใจ เป็นไดอะล็อกที่ขมวดมุกไว้หมด และยังโยงเข้ากับตัวสินค้าได้อีกต่อ จากนั้นก็เข้าสู่ท่อนขายของอย่างเต็มตัว

ในการทำหนังเรื่องนี้ เจ้าชุดกอริลล่าก็ยังเป็นเรื่องน่ากลัวตั้งแต่ตอนผลิต จนถึงถ่ายทำ

กอริลล่าในหนังเรื่องนี้ เบนซ์ ธนชาติ (ผู้กำกับ) ไม่อยากให้กอริลล่ามันเหมือนมาสคอตงานหนังสือ ที่ยืนโยกไปมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่อยากได้กอริลล่าที่เหมือนกอริลล่าจริงๆ ดังนั้นเราจึงหานักแสดงละครเวทีมาใส่ชุดกอริลล่านี้

เรื่องยุ่งยากต่อมาคือ เจ้าหน้าของกอริลล่าเนี่ย…มันมีกลไกบังคับกล้ามเนื้อ เช่น ขมวดยิ้ม ยักไหล่ โดยทั้งหมดบทหน้ากอริลล่าต้องใช้คนบังคับพร้อมกัน 2-3 คน คนหนึ่งบังคับคิว อีกคนบังคับปาก

เพื่อให้วันถ่ายทำราบรื่นและใช้เวลาน้อยที่สุด เราจึงให้นักพากย์ที่เราจะใช้เป็นเสียงกอริลล่า อัดเสียงไดอะล็อกล่วงหน้าทั้งหมดก่อนถ่ายทำ เพื่อส่งให้ทีมบังคับหน้ากอริลล่าซ้อมคิวหน้าไว้ก่อน

ส่วนวันถ่ายทำก็นรกมาก เพราะเจ้าชุดกอริลล่ามันหนามาก และร้อนโคตรๆ เบนซ์ถ่ายไปก็บ่นไปว่า พี่เขาจะไหวมั้ยวะ นอกจากตัวคนในชุดแล้ว เจ้ากลไกบังคับกล้ามเนื้อก็บอบบางมาก ใช้งานนิดหน่อยแบตหมด เครื่องร้อนต้องพักนั่นนี่ แต่โชคดีที่เราดีไซน์บทให้เป็นแค่คาแร็กเตอร์สองตัวคุยกัน เลยเป็นการถ่ายทำที่ค่อนข้างทำเวลาได้ดี นักแสดงไม่เสียน้ำตายซะก่อน 55555

อีกวันที่สำคัญของงานนี้คือวัน final mix (วันลงเสียง) เพราะเป็นวันที่ได้คำว่า “ชัยณรงค์อย่ากวนตีน”

คือเจ้าคำนี้มันไม่เคยอยู่ในบทเลย ถือเป็นเมจิกโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในวัน final mix เป็นประโยคที่มีความสำคัญกับหนังมากๆ เพราะที่ผมเกริ่นไว้แต่ต้นว่า องก์หนึ่งของหนังจะต้อง establish ให้ได้ว่า คาแร็กเตอร์กอริลล่าเท่ากับฉลาด และคาแร็กเตอร์คนเท่ากับโง่และอวดดี และเจ้าไลน์ “ชัยณรงค์อย่ากวนตีน” จะต้องมาในจังหวะนี้เท่านั้น

ชัยณรงค์ : ลิงที่ไหนๆ มันก็เหมือนกันอะเนอะ แย่งกันกิน ไม่มีคลาส ไม่มีวัฒนธรรม

กอริลล่า : ไม่เหมือนนะ ในภาพเนี่ยคือลิงมีหาง เป็น monkey แต่มีลิงอีกแบบที่ไม่มีหางคือพวก ape 

ชัยณรงค์ : โอ้ย เหม็นเนิร์ด ทำมาเป็นรู้ดี

กอริลล่า : คืองี้เว่ย เราคือกอริลล่าอยู่ในตระกูล ape แต่ในทีวีเนี่ยคือลิงแสม อยู่ในตระกูล monkey

ชัยณรงค์ : จ้าาา พ่อวิกิพีเดีย

กอริลล่า : ชัยณรงค์อย่ากวนตีน

สิ่งที่เราเขียนคือการที่กอริลล่าพยายามอธิบายบางสิ่งบางอย่าง อย่างมีความรู้ และใจเย็น แต่อีชัยณรงค์ก็กวนตีนเขาอยู่ได้

หลังไดอะล็อก “จ้า พ่อวิกิพีเดีย” กอริลล่าจะต้องด่าอะไรสักอย่างแล้ว ซึ่งคำด่านี้ต้องเป็นคำด่าที่ไม่หยาบคาย ต้องเป็นคำด่าที่แสดงถึงวุฒิภาวะที่สูงกว่า “ชัยณรงค์อย่ากวนตีน” เลยเป็นคำด่าที่พอดี เบนซ์ไดเรกต์ให้คำนี้พูดออกมาอย่างเรียบๆ ไม่มีอารมณ์โกรธ การเรียกชื่อจริง มันทำให้เป็นทางการ เหมือนครูประถมปรามเด็กในห้อง

แล้วไอ้คำว่า ชัยณรงค์อย่ากวนตีน ก็กลายเป็นคำที่คนจำแม่นที่สุดของหนัง เพราะมันมาอย่างถูกที่ถูกเวลา และมาในอารมณ์ที่ถูกต้อง

ถึงตรงนี้ถ้าเรามองกันดีๆ อินไซต์ของหนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่การที่เราบอกคนดูว่า “เวลามีอะไรใหม่ๆ ให้ลองดูก่อน”

แต่อินไซต์จริงๆ ที่ทำให้คนชอบหนังเรื่องนี้คือ “คนเหี้ยกวนตีนกอริลล่า และโดนด่า”

เพราะลึกๆ แล้วเราต่างเกลียดคนกวนตีน และเราเชื่อว่าคนนิสัยไม่ดีควรจะได้การลงโทษ หรือโดนด่า

ทั้งเรื่อง ชัยณรงค์แม่งโง่เง่า นิสัยไม่ดี กวนตีนกอริลล่า ที่อุตส่าห์ให้ความรู้อย่างใจเย็น แล้วก็โดนด่า ซึ่งมึงสมควรได้รับสิ่งนั้น อย่าไปกวนตีนคนอื่นดิวะ

หนังเรื่องนี้มันตอบความรู้สึกนั้น  

ดังนั้นการที่ชัยณรงค์พูดจากวนตีน ล้อเลียน กับกอริลล่าผู้ใจเย็นและมีวุฒิภาวะทั้งเรื่อง นอกจากจะทำให้เรื่องสนุกแล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กอริลล่าเวลาพูดขายของในช่วงท้ายให้กลายเป็นสิ่งน่าฟังและคนดูรับได้ เพราะกอริลล่าพูดอะไรที่เมคเซนส์มาทั้งเรื่อง 

การทำโฆษณาออนไลน์มันก็แบบนี้แหละ จะขายของก็ได้ จะขายอย่างหนักหน่วงแค่ไหนก็ได้ แต่เราต้องทำให้ตัวบทมันอนุญาตให้ขายของให้ได้ก่อน ให้เวลากับบทมันสักนิด แล้วคนดูจะฟัง จะเชื่อ ผมไม่รู้ว่าไอเดียของความเชื่อที่ว่า คนเห็นสินค้าเร็วๆ เท่ากับดีนั้นจริงไหม

แต่สิ่งที่พูดมาตลอด และคงจะต้องพูดตลอดไปคือ การมาถูกที่ ดีกว่าการมาเร็วแต่ไม่ถูกต้อง

ผมไม่ได้บอกว่าการมาของสินค้าต้องช้านะครับ มาเร็วก็ได้ แต่ต้องมีเหตุผลที่ถูกต้อง 

การที่สินค้าออกมาเร็วๆ ไม่ได้ช่วยให้การขายของมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การสร้างเหตุให้สินค้ามันออกมาช่วงไคลแมกซ์ของหนัง ให้สินค้ามาด้วยฟังก์ชั่นที่มันถูกออกแบบมา คนจะจดจำได้มากกว่าเยอะกว่านะครับ

สิ่งหนึ่งที่ทาง WOLF บอกกับลูกค้า ซึ่งถือว่าเป็นสัจธรรมของการทำโฆษณาออนไลน์ยุคนี้คือ “ทุกวันนี้ไม่มีใครอยากดูโฆษณาหรอกครับ” ดังนั้นสิ่งแรกที่ตั้งต้นก่อนทำงานโฆษณาคือเราควรจะรู้ว่าตรงไหนยังไม่ขาย ตรงไหนเตรียมตัวจะขาย และตรงไหนคือท่อนขาย

เบนซ์เคยเปรียบเทียบโฆษณาทุกวันนี้เหมือนการจีบกัน

มีผู้หญิงนั่งอยู่ในบาร์ ผู้ชายคนที่หนึ่ง เดินเข้ามาแล้วค่อยๆ พูดคุยกัน ยิงมุกขำๆ กรุบกริบ เรารู้แหละว่าเขาจะจีบเรา แต่การที่เขาเข้ามาด้วยไมตรี ดูท่าทีเรา แสดงทัศนคติบางอย่าง แล้วค่อยๆ จีบเรา กับผู้ชายอีกคน เดินเข้ามาแล้ววางกุญแจเฟอร์รารี่ โฉนดที่ดิน บุ๊กแบงก์ วุฒิการศึกษา และสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมบอกเลยว่า รวย จะจีบ พ่อแม่อยู่ไหน จะไปขอเดี๋ยวนี้ 

คนที่ผู้หญิงทั่วไปจะเลือกก็น่าจะเป็นคนแรก เพราะนั่นคือวิธีการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มันควรจะเป็นอะนะ

โฆษณาออนไลน์มันก็แบบนั้นแหละ

เดินเข้าป่าไปกับ ‘trekkingTHAI’ ทัวร์เล็กๆ ที่มีฝันอยากให้คนเข้าใจธรรมชาติกว่านี้อีกสิบเท่า

‘ถ้าเราเหนื่อยล้าจงเดินเข้าป่า’

ท่อนฮุกของเพลงดังในยุคหนึ่งทำให้เราคิดถึงการเดินเข้าไปสัมผัสธรรมชาติ ความรู้สึกของการเดินขึ้นเขาลงห้วย การนอนในเต็นท์ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกเมื่อสัมผัสแสงแรกของวันท่ามกลางทะเลหมอก 

เราต่างรู้ดีว่าการได้อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติส่งผลทำให้จิตใจของเราเบิกบานมากขึ้น แง่หนึ่งการนำตัวเองออกจากสภาวะเดิมๆ ที่เร่ง สู่ที่ใหม่ๆ ย่อมทำให้เราตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว ยิ่งพาตัวเองกลับคืนสู่ต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่งแล้ว นอกเหนือจากความตื่นตาตื่นใจในความสวยงาม ยังนำพาความสงบมาสู่จิตใจ ได้รับพลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง และอาจ ‘กระตุ้นเตือน’ ถึงความยิ่งใหญ่ของพลังนี้ เพื่อให้เรารักษามันเอาไว้

เช่นเดียวกับที่ ต้า–นิพัทธ์พงษ์ ชวนชื่น ผู้ก่อตั้ง trekkingTHAI บริษัททัวร์เดินป่าที่เขาออกตัวว่าเป็นบริษัททัวร์ ‘เล็กๆ’ แต่ทุกทัวร์มีความละเอียดลออ และเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมอย่างมาก บนความเชื่อที่ว่า การได้สัมผัสธรรมชาติทำให้เราเชื่อมต่อและเป็น ‘เพื่อน’ กับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งส่งต่อความเชื่อนี้กับลูกทัวร์ที่มาใช้บริการปีแล้วปีเล่า ทริปแล้วทริปเล่า

หัวใจของการทำทัวร์เล็กๆ ที่มีฝันใหญ่ให้ยืนระยะมาถึง 23 ปีคืออะไร นิพัทธ์พงษ์จะพาเราเดินทางไปกับเรื่องราวของ trekkingTHAI ไปด้วยกัน

BEGINNING
ต้นกำเนิด

2542 คือปีที่ trekkingTHAI ถือกำเนิดขึ้น 

ในวันนั้นการเดินป่ายังเป็นการท่องเที่ยวเล็กๆ นิพัทธ์พงษ์เลือกที่จะเปิดบริษัททัวร์เดินป่าขึ้นจากความชอบของตัวเอง และความคิดว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ชอบเดินป่า ทั้งที่ในขณะนั้น การเดินป่ายังไม่ใช่ ‘เทรนด์’ ในการท่องเที่ยวของคนไทย

สองปีก่อนหน้า ทุกๆ วันหยุดเป็นช่วงเวลาที่อดีตวิศวกรโรงงานคนนี้ไปเดินป่า เขาเล่าว่า คงเป็นเพราะชอบมาก เขาจึงได้เข้าป่าแทบทุกเดือน 

ยุคนี้สมัยนี้ อินเทอร์เน็ตล่มหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักได้ แอพพลิเคชันโซเชียลมีเดียล่มกลายเป็นเรื่องใหญ่ ลองคิดดูว่า ในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย การติดต่อสื่อสารยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก เราจะหาข้อมูลและท่องเที่ยวกันยังไง ยิ่งเป็นการเที่ยวป่าแล้ว ก็ดูจะยิ่งยากเข้าไปใหญ่

“ตอนนั้นเราเริ่มเห็นปัญหา คือยุคนั้น เมื่อ 23 ปีก่อน การจะจองเข้าอุทยานมันต้องโทรศัพท์ ซึ่งโทรศัพท์ก็ยังมีน้อย เราก็ต้องส่งจดหมายไปล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน แล้วก็รอจดหมายกลับ ก็คือเวลาจองจริงๆ คือเป็นเดือน เสร็จแล้วพอได้รับจดหมายตอบกลับ การเดินทางแบบที่รวมกันไป สมัยก่อนมันก็ไม่มี ก็ต้องหาคนไป เวลาหาคนไปก็จะต้องไปลงในนิตยสาร หรือลงประกาศ

“ทีนี้เราก็เลยตั้งเว็บไซต์ขึ้นมา ตอนทำเว็บไซต์นั้นขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเว็บแรกๆ ที่ทำทางด้านการท่องเที่ยว ด้านการเดินป่า เราก็เปิดเว็บบอร์ดเล็กๆ ขึ้นมา แล้วก็ประกาศในนั้นครั้งแรกว่า ใครอยากไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติแม่เงา ถ้าจะไปก็ติดต่อมาทางเว็บ แล้วก็เจอหน้ากันที่หมอชิตเลย…”

FIRST TRIP
ท่องไปตามใจฝัน

‘ท่องไปตามใจฝัน’ คือชื่อทริปเริ่มแรกของ trekkingTHAI 

เดาคอนเซปต์ได้ไม่ยากว่า ทริปนี้เป็นการท่องเที่ยวตาม ‘ความฝัน’ ของตัวเองจริงๆ นิพัทธ์พงษ์เล่าว่าหลังจากที่ประกาศหาเพื่อนเที่ยว ทริปแรกๆ ที่เกิดขึ้นมีลูกทัวร์ไม่ถึงสิบคน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดหารเฉลี่ยรวมกันทั้งทริป โดยที่ต้นคิดอย่างเขาเองก็ร่วมหารค่าใช้จ่ายด้วย

จากทริปแรกที่แม่เงา สู่ทริปที่สองที่กุยบุรี ทั้งสองทริปมีจุดร่วมคือ การแสวงหาที่เที่ยวที่ยากลำบาก ทั้งสองทริปมีผู้นำทางคือเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติที่แนะนำได้ว่า มีที่ไหนที่พอจะเป็น ‘ที่เที่ยว’ ได้บ้าง หรืออย่างที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งดูช้างป่าที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ การบุกป่าหาช้างก็เป็นเรื่องยากมากๆ หากย้อนกลับไปเมื่อ 23 ปีก่อน

ภาพจาก trekkingTHAI

“โอ๊ย ไม่เจอช้างสักตัว คือช้างมันก็คือช้างป่า ซึ่งยังไม่คุ้นคน ลองนึกถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อน เราตามหายังไงก็ไม่เจอ จนสุดท้ายมันมีบึงน้ำ เราก็ไปซุ่มอยู่ใต้ลม ซึ่งช้างอยู่เหนือลม ช้างก็ออกมา ก็ชูงวง หาน้ำกิน เราก็แอบดูหน่อยเดียว ห่างๆ ลิบๆ เลย แต่ยุคนี้พอกลับไปช้างแทบจะเอางวงมาชนหน้าแล้ว เอาตูดหันมา ส่ายตูด น่ารัก มันก็พิสูจน์อย่างนึงว่า กลไกของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยหมายถึงว่าภาคประชาชน ภาคของอุทยาน (แห่งชาติ) ถ้ามันต่อเนื่อง มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้นะ”

ผลจากทริปเหล่านั้น คือภาพถ่ายที่เผยแพร่ผ่านเว็บบอร์ดเพื่อแบ่งปันความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ได้พบ หลังจากนั้น trekkingTHAI ก็เริ่มทำทัวร์เดินป่าสายลุย เหมาะสำหรับผู้มีใจรักการเดินป่าเลเวลสูงๆ บางครั้ง การเดินป่าของทริปท่องไปตามใจฝันคือการเดินป่าระยะสั้น สลับกับการกางเต็นท์ นอนฟังเสียงสรรพสัตว์ บางคราวทัวร์ของ trekkingTHAI ก็เป็นทัวร์เดียวที่อยู่บนพื้นที่นั้น

ภูสอยดาว ดอยลังกาหลวง ดอยหลวงเชียงดาว – นี่คือเส้นทางเด่นในยุคเริ่มแรกของเทรคกิ้งไทย ก่อนที่การเดินป่าจะเริ่มเป็นกระแส และมีทัวร์เดินป่าเกิดขึ้นมากมายในหลายปีให้หลัง ความต้องการท่องเที่ยวบนดอยและภูเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นจนเดี๋ยวนี้ เพียงเปิดระบบไม่นาน ดอยเหล่านี้ก็ถูกจองเต็มหมดแล้ว

ภาพจาก trekkingTHAI

“เดี๋ยวนี้เราไม่ได้จัดที่เชียงดาว เพราะว่าแค่การกดจองปกติจำนวนดีมานด์ก็มากอยู่แล้ว” นิพัทธ์พงษ์เล่า

ระยะต่อมา การทำทัวร์ของ trekkingTHAI จึงเป็นทัวร์ที่ ‘ลึก’ ขึ้น 

‘ลึก’ ที่ไม่ได้หมายถึงเข้าไปในป่าลึก แต่หมายถึงการอยู่กับธรรมชาติในเชิง ‘ลึก’ 

“จุดแข็งของเราคือ เรารู้ว่ากลไกของการที่จะใช้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการฟื้นฟูอนุรักษ์ปกป้องป่ามันต้องทำยังไง จุดยืนของเราคือ เราไม่ได้ส่งเสริมการปลูกต้นไม้เชิงเดี่ยว แล้วเรียกว่าป่า เราส่งเสริมให้รักษาพื้นที่สภาพแวดล้อม เพราะเราเชื่อว่าการอนุรักษ์ความหลากหลายทางธรรมชาติ ต้องเกิดจากการที่เราสร้างสภาพแวดล้อมให้มันอยู่ ให้สัตว์อยู่ ให้สรรพสิ่งอยู่ กิจกรรมอีกอย่างที่เราจะไม่ทำก็คือ สร้างฝาย สมมติว่า กลไกของฝายคือการแทรกแซงกลไกตามธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง ให้ผลบวกกับคน แต่ที่เหลือ กับสรรพสิ่งมันไม่ได้ให้ผลบวกไปด้วยนะ คุณจะสูญเสียความหลากหลาย

“แล้วเป็นเรื่องที่ทีมผมพิสูจน์ไว้คือ เราลองติดตามเรื่องนี้มาสิบกว่าปี เราก็เห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลง การชวนคนไปเที่ยวแล้วค่อยๆ แทรก คนเขาก็จะรับฟัง หรือการได้แลกเปลี่ยนอะไรกันไปเรื่อยๆ มันก็เข้าใจไปเอง”

นอกเหนือจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแล้ว การเที่ยวป่ายังมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ ประกอบกับนวัตกรรมการท่องเที่ยวที่มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น ทำให้ทัวร์ในปัจจุบันของเทรคกิ้งไทยมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย โดยมี ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการ ‘อาบป่า’ การท่องเที่ยวแบบ wellness-oriented ecotourism ที่ทำให้นักท่องเที่ยวผ่อนคลายจากภาระหรือสภาพจิตใจที่หม่นหมอง การเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ หรือว่าการจัดทริปอาสาสมัครนักสื่อความหมายธรรมชาติ อาทิ กรณีช้างออกจากป่าเขาอ่างฤๅไนที่ฉะเชิงเทรา

“เราเริ่มจากมุมของเราคือ นำคนไปทำความเข้าใจข้อเท็จจริงเหล่านี้ ไปฟังคน แล้วก็หาทางฟังช้างด้วย ดูว่าทำไมช้างต้องออกมา แบบไปดูของจริง ดูรั้วที่กันช้าง ดูคนว่าคนเข้าไปอยู่กี่ปีแล้ว ซึ่งคนก็จะเล่าว่า เขาเป็นรุ่นลูก รุ่นพ่อเขาอยู่มา 30-40 ปี ไม่เคยมีช้างออกมา แล้วทำไมช้างออกมาตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องที่มีนักวิจัยอื่นๆ เขาสืบค้น เราเป็นนักท่องเที่ยว เราไปทำหน้าที่ของนักสันติภาพ คือไปฟังแล้วก็กระจายสิ่งที่เขาพูด แล้วก็หวังว่าคนที่ไปก็จะไปพูดต่อในเชิงข้อเท็จจริง เชิงที่สัมผัสมา ไม่ใช่เพื่อตัดสิน แต่เพื่อเข้าใจ”

ภาพจาก trekkingTHAI

ทริปของ trekkingTHAI อีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจคือ ‘ทริปทดลอง’ ซึ่งทริปล่าสุดคือทริปทำความรู้จัก ‘เหี้ย’ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นิพัทธ์พงษ์เล่าว่า ในกรุงเทพฯ มีรังเหี้ยขนาดใหญ่ในสวนสาธารณะและแหล่งน้ำหลายแห่ง การทำความรู้จักเหี้ยในเมืองหลวงแห่งนี้ มีจุดมุ่งหมายคือการไปทำความเข้าใจชีวิต และเชื่อมโยงกับธรรมชาติไปด้วย 

การทดลองที่ว่าไม่ได้มีเพียงแค่ทริปที่ทดลองจัดขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงกิจกรรมทำความเข้าใจธรรมชาติ เช่น การลอง ‘สื่อสาร’ กับสรรพสัตว์

“สมมติว่าตอนเดินป่า เรามาฝึกสื่อสารกับตั๊กแตนยังไงไม่ให้ตั้กแตนหนี ระหว่างทานข้าว เราก็ต้องตั้งต้นจากคุยกับน้องตั๊กแตนก่อน ถ้าคุยกับตั๊กแตนยังไม่ได้ ลองไปคุยกับตัวที่มันเคลื่อนไหวช้าๆ ก่อน อย่างซาลาแมนเดอร์ ซาลาแมนเดอร์น้ำ ก็เกิดเป็นภาพที่สวยงาม เขาไม่จับไม่อะไรนะ แต่คุยกับสัตว์เหล่านั้น คุยจนกระทั่งว่า พอเราอยู่นิ่งๆ สัตว์พวกนี้ก็เข้ามา”

MIND THE STEPS
โปรดระวังทุกย่างก้าว 

หากจะกล่าวว่า 23 ปีของ trekkingTHAI เป็น 23 ปีแห่งการ ‘ปรับตัว’ ก็ไม่ผิดนัก

จากคอนเซปต์แรกสุดอย่าง ‘มิตรภาพ ความฝัน วันแรมทาง’ ที่บ่งบอกความเป็นจุดนัดพบของคนรักการเดินป่า มาวันนี้ คอนเซปต์ของทัวร์เจ้านี้กลายมาเป็น ‘healthier wellness’ ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า trekkingTHAI ยืนระยะมาได้ด้วยการปรับตัวมาตลอด ทั้งปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยว ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะสิ่งแวดล้อม และปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ระหว่างการเดินทาง 

นิพัทธ์พงษ์เล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เมื่อเดินทางไปแล้ว ได้ข่าวว่าจุดหมายเกิดน้ำป่าไหลหลาก ทำให้ถนนขาด ทำให้ต้องวางแผนที่จะเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางทั้งหมด

“หลักการคิดก็คือ สมมติเราเป็นลูกทัวร์ เวลาเป็นลูกทัวร์คิดยังไงเราต้องคิดแบบนั้นเลย สมมติเราพาเขามาเที่ยวแล้วแต่ว่ามันเที่ยวไม่ได้ วิธีการก็คือต้องหาที่เที่ยวทดแทนให้ เงินก็ไม่ไปคิดเขาเพิ่ม ลูกค้าทุกคนก็แฮปปี้ เพราะเรารักษามิตรภาพ รักษาคน แบบรอบน้ีเราเที่ยวไม่ได้เดี๋ยวรอบหน้าก็มาเที่ยวใหม่”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นิพัทธ์พงษ์วิเคราะห์ว่าส่วนใหญ่ที่ลูกทัวร์ไม่พอใจมีสาเหตุใหญ่มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ หนึ่ง-รออย่างไม่มีจุดหมาย กับ สอง-เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามโปรแกรม

รอแล้วไม่มีจุดหมาย เขาแก้โดยการสื่อสารให้ลูกทัวร์ทราบเป็นระยะว่า ส่ิงที่เขากำลังรอนั้น มีจุดหมาย ไม่ได้รอไปเรื่อยๆ ส่วนเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามโปรแกรม เขายกตัวอย่างกรณีที่ลูกหาบไม่พอ ทำให้สัมภาระบางส่วนมาไม่ทันกัน

“ตามเทศกาลเวลาคนมันแน่นจัดลูกหาบก็จะไม่พอ บางทีเลยไม่เป็นไปตามโปรแกรม ซึ่งอะไรที่ไม่เป็นไปตามโปรแกรมคนจะไม่พอใจ แต่จะไม่พอใจมากขึ้นถ้าเขาพบว่าเขาต้องรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย คือเวลาทำงานบริการมันต้องเจอปัญหาแน่นอน แต่ว่าตราบใดก็ตามที่เขาเห็นว่า ไกด์เรา คนของเราลงไปจัดการปัญหา แล้วก็ให้ทางเลือก เขาก็รู้สึกปลอดภัย

“ยกตัวอย่าง เคยมีช่วงแรกๆ ที่เรายังรับมือไม่ได้ อย่างเรื่องอาหาร คือให้เขารอโดยไม่มีจุดหมาย คืออาหารที่ไม่ใช่เราทำเอง บางทีก็เหมือนเวลาไปเที่ยวกันเอง เจอร้านไหนก็ลงไปสั่ง แล้วก็ร้านอาหารเขาก็ทำไม่ทัน วิธีแก้ปัญหาก็มีตั้งแต่ที่ไกด์ลงไปช่วยเขาทำ เพราะปกติไกด์ก็จะสนิทกับร้าน ก็ไปช่วย ลูกค้าก็เห็นแล้วว่ามีคนทำให้เขา แต่ถ้าไม่มีอะไรเลยเขาก็อาจจะโกรธ แล้วก็อีกวิธีแกคือต้องมีอาหารที่เรียกว่าเซตสำรองเตรียมไว้ เป็นอาหารเซตที่พร้อมปรุงได้เลยทันที”

สิ่งเหล่านี้เกิดจากการวางแผนที่เรียกว่า ‘การออกแบบบริการ’ ซึ่งเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์จากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ที่พลิกผันระหว่างการเดินทางครั้งต่อๆ ไปอย่างแม่นยำ และทำให้ลูกค้าพอใจสูงสุด

แต่ต่อให้เตรียมการแค่ไหน ก็มักมีสิ่งที่เหนือการเตรียมการและความคาดหมายเสมอ

ภาพจาก trekkingTHAI

ปลายเดือนมีนาคม 2563 โรคโควิด-19 แพร่ระบาดหนักทั่วโลก เกิดการล็อกดาวน์ให้ทุกคนอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก่อให้เกิดการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด ทัวร์ทุกทัวร์จากที่เคยทำเงินได้มหาศาล กลายเป็นรายรับเป็นศูนย์

อาจเป็นโชคดีที่ว่า ช่วงต้นปี 2563 นิพัทธ์พงษ์เดินทางกลับมาจากประเทศจีน ซึ่งในขณะนั้น ทางการจีนเริ่มตรวจตราคนเข้า-ออกอย่างเข้มข้น ส่ิงที่เขาบอกกับทีมงานหลังจากนั้นคือ ให้เตรียมตัวไว้ เพราะต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ถามว่ารายได้หายไปหมดทำยังไง ผมก็จะคิดว่าทีมงานของเราทำอะไรได้ มาย้อนดูว่าทีมงานเรามีจุดแข็งอะไร ซึ่งจุดแข็งของทีมพวกผมคือเป็นคนขายเก่ง บริการดี สายท่องเที่ยว ก็เอามาขายของออนไลน์ ทำไลฟ์แล้วก็เอาอุปกรณ์แคมป์ปิ้งมาขาย แล้วก็ถ้าจำได้ ปี ’63-’64 เทรนด์แคมป์ปิ้งมันบูมเพราะคนออกนอกประเทศไม่ได้ ก็มีลานกางเต็นท์เกิดขึ้น แล้วมันก็ไม่ได้บูมแค่ผมคนเดียว ชาวบ้านเขาก็เอาของแคมป์ปิ้งออกมาด้วย เราก็เกาะกระแสมา ขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้งกันเป็นล่ำเป็นสัน จนพอมาปีนี้ คนก็เปิดร้านขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้งเยอะขึ้น รายได้จากทัวร์เราก็กลับมาแทนที่อุปกรณ์แคมป์ปิ้งได้พอดี”

นิพัทธ์พงษ์เรียกสิ่งนี้ว่า การปรับตัวโดยใช้ขีดความสามารถเดิม โดยนำคุณลักษณะของความเป็นมัคคุเทศก์มาทำในสิ่งใหม่ เพียงเปลี่ยนจากการพาเที่ยวเป็นการพาช้อปแทน ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ trekkingTHAI ให้ความสำคัญในภาวะวิกฤตเช่นนี้ คือการพยุงให้ทุกส่วนของบริษัท ‘อยู่รอด’ ด้วย

“เรามีรถตู้อยู่ 20 กว่าคัน เราก็ต้องช่วยคนขับรถตู้ โดยจัดของยังชีพให้เขา แต่ละวันต้องไม่อด 3 เดือนต้องไม่อด ง่ายๆ เลยก็จะมีหลักสูตรเดินป่า โดยให้มาม่า 1 กล่องมี 90 ห่อ ซึ่งยังไม่พอ 3 มื้อ เราก็ให้ข้าวอีก 1 ถัง ต่อคน มันก็ได้ถึง 270 มื้อ แล้วก็ให้น้ำพริกแบบเดินป่า จัดสิ่งเหล่านี้ให้พี่ๆ รถตู้ที่เขากลับไปอยู่บ้านนอก แล้วก็มีอย่างอื่นเสริมนิดๆ หน่อยๆ ให้เขา”

“ส่วนไกด์ ถ้าใครขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้งได้ก็เอาไปเลย 15 เปอร์เซ็นต์ คือเราก็แทบไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ แค่เหลืออยู่พอประมาณ แต่มันทำให้ไกด์ยังพอมีรายได้ ก็ลากกันมา แต่ว่าแต่ละรอบก็เลือดสาด คือเราอาจจะเอาตัวรอดมาได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกทัวร์จะรอดหรอก” 

อย่างที่เขาว่า ความน่าเศร้าคือ ทัวร์เดินป่าหลายทัวร์ ซึ่งนิพัทธ์พงษ์ถือว่าเป็น ‘เพื่อน’ ในการทำธุรกิจนี้ ก็ต้องปิดตัวลงไปจากวิกฤตการระบาดระลอกใหญ่ 

ในห้วงเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ การเอาตัวรอดจากวิกฤตคือสิ่งสำคัญสำหรับทุกทัวร์ เพื่อยืนระยะตัวเองต่อไป แต่ถึงกระนั้น นั่นไม่ใช่สุดท้ายปลายทางของทัวร์รักษ์ธรรมชาติเจ้านี้

ALONG THE WAY
สิ่งสำคัญตลอดเส้นทาง

ในบรรดาการปรับตัวจากสถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมา สิ่งที่ท้าทายทัวร์เดินป่าอย่าง trekkingTHAI ในยุคนี้คือ การดำเนินธุรกิจทัวร์ในวันที่ใครๆ ก็ไปแคมป์ปิ้งด้วยตัวเองได้ สามารถหาข้อมูล จองที่พัก จองเข้าชมอุทยานแห่งชาติได้สะดวก รวดเร็ว

“เราต้องรู้ว่าคนยังเที่ยวกับทัวร์อยู่เพราะอะไร เช่น เขาเที่ยวเองไปเรื่อยๆ แต่วันนึงเขาต้องการข้อมูลมากขึ้นในเชิงธรรมชาติ แบบไม่เครียด เขาก็มากับเรา หรือว่าเขาต้องการทำกิจกรรมที่แตกต่าง อย่างบางพื้นที่มันเป็นพื้นที่ที่ยังจัดการยาก สมมติต้องเอาเชือกเข้าไป ต้องมีเชือกเหนียวๆ ที่ราคาหลักหมื่น ถ้าเขาไปเองมันก็ไม่คุ้ม เขาก็จะมากับเรา ส่วนเชิงคุณภาพ เราก็ปรับตัวมาเป็นอย่างเช่น อาบป่า หรือรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นความต้องการที่เฉพาะขึ้นไปอีก

“แล้วก็อีกกลุ่มนึงก็คือองค์กรต่างๆ พอเขาจัดเอาต์ติ้งที่เป็นเอาต์ดอร์ในป่า เขาวางใจเราเพราะมาตรฐานเราสูง เรามีอุปกรณ์ที่ดี มาตรฐานที่ดี มีไกด์ที่มีทั้งความรู้ความชำนาญจริง เราถึงอยู่ได้”

แต่ที่ว่ามาก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ท้าทายที่สุดของทัวร์เดินป่ารายนี้

เขาว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการยึดมั่นในความเชื่อขององค์กรในการ ‘รักษ์’ ธรรมชาติ

ภาพจาก trekkingTHAI

“คือเราเป็นระดับนโยบาย ก็เคยเหมือนกันว่าในทางปฏิบัติมีคนมาบอกว่า พี่ต้า ทริปนี้ขยะเยอะมากเลย ผมฟังแล้วจี๊ดเลยนะ วิธีการเราของเราก็คือต้องไปนั่งคุย ไปนั่งรับฟังไกด์ว่ามันเป็นยังไง แล้วก็ต้องมาดูว่าเราต้องแก้ยังไง คุยกับอุทยาน พยายามฟื้นฟูสภาพแวดล้อมกลับมา”

ปัจจุบัน นอกเหนือจากทัวร์เดินป่า trekkingTHAI ยังร่วมมือกับกลุ่มเยาวชนต้นกล้า จังหวัดนครนายก จัดค่ายปลูกจิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

ความฝันของทัวร์แห่งนี้จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามพลวัตของทัวร์เดินป่าแต่อย่างเดียว แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจในธรรมชาติแก่ผู้ร่วมเดินทางไม่ว่าจะเป็นการเดินทางรูปแบบใดก็ตาม

คำถามสามข้อที่นิพัทธ์พงษ์ใช้ชี้วัดว่าคนเข้าถึงและเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นหรือยังก็คือ เคยไปแคมป์ปิ้งหรือเปล่า หลังแคมป์ปิ้งมีการจัดการขยะหรือไม่ และ มีใครเคยสื่อสารกับสัตว์ได้บ้าง โดยเมื่อเดินผ่านสัตว์ต่างๆ แล้วสัตว์เหล่านั้นไม่หนี

“พอถามว่าใครไปแคมป์ปิ้งมาบ้าง ยกมือพึ่บพั่บๆ เลย พอถามต่อว่า ใครไปแคมป์ปิ้งแล้วจัดการขยะเรียบร้อยบ้าง มือจะค่อยๆ น้อยลง แล้วพอถามคำถามที่สาม ที่ผมบอกว่าเป็นความฝัน คนก็อาจจะคิดว่าอันนี้พี่ต้าบ้าๆ บอๆ หรือเปล่า ให้คุยกับนกหนูแมลง แต่จริงๆ นี่ไม่ใช่หลักการที่เราคิดเองนะ เป็นหลักการของทางมูลนิธิโลกสีเขียว เขาว่า มนุษย์เราห่างจากธรรมชาติจนกระทั่งว่าไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้” 

ซึ่งการเชื่อมโยงหาธรรมชาติไม่ได้ของมนุษย์ที่ว่านี้เอง ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติถูกถ่างออกจนราวกับว่า เราอยู่ไกลเกินกว่าจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่ยังดีที่ปัจจุบันถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น

“ที่ยุโรปเวลาคุณนั่งกินกาแฟแล้วมีตัวอะไรเดินผ่านเหมือนอยู่ในป่า หรือว่าที่บาหลีมีร้านกาแฟอยู่ แล้วมีไอ้เข้ตัวนึงเดินไปเดินมา คนเขาจะไม่ตื่นเต้น ส่วนที่เมืองไทยเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว คือเริ่มไม่กลัว เริ่มไม่ฆ่า”

หลังจากฟังเขาเล่าจนถึงตรงนี้ เราจึงถามถึงเป้าหมายในอนาคตของ trekkingTHAI 

การทำให้ผู้คนทุกคนเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้มากกว่าเดิม คือคำตอบ

“แต่ก่อนเดินป่าไม่ได้ง่าย ยากมาก แล้วก็เดินได้น้อย ปัจจุบันเดินป่านี่กลายเป็นง่ายแล้ว มีคนเดินเอง แล้วก็มีทัวร์ เขาเรียกว่า ecosystem หรือระบบนิเวศมันดีขึ้น เราก็อยากสื่อสารเรื่องของการปลูกจิตสำนึกในด้านการปกป้อง ซึ่งมันน่าจะมีเยอะๆ เมื่อก่อนโดยส่วนตัวคิดว่ามันทำยาก แต่เราไม่ได้หมายถึงตัวเราทำคนเดียว เราเพียงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เป้าหมายของเราก็คือพยายามทำให้ผู้คนเชื่อมโยง เชื่อมต่อกับธรรมชาติให้ได้มากกว่าเดิมสัก 10 เท่า”

3 ข้อที่ควรรู้ก่อนออกเดินป่า ฉบับ trekkingTHAI

  1. ตระหนักถึง ดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม

trekkingTHAI ให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีข้อตกลงที่ทำให้สามารถดื่มด่ำธรรมชาติได้เต็มที่และไม่รบกวนแคมป์อื่นๆ รอบข้าง 

  1. เปิดใจให้ผ่อนคลาย 

เพื่อเป็นการเชื่อมโยงสู่มิตรภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในทริป

  1. พูดคุยหรือแสวงหามิตรภาพใหม่ๆ

เราถามถึงข้อที่ 3 เป็นพิเศษว่า เป็นมิตรภาพแบบใด กับเพื่อนร่วมทาง หรือระหว่างเรากับสิ่งแวดล้อม คำตอบคือ ใช่ทั้งหมด

“แล้วก็มิตรภาพที่มีต่อนก หนู แมลง ตั๊กแตน แล้วก็แมงกีนูนด้วย” นิพัทธ์พงษ์เสริม พร้อมรอยยิ้ม