‘แต๋ง กฤษฏิ์กุล’ ผู้บุกเบิกร้านยำเล็กๆ ในพัทยาจนถึงวันที่ฝันอยากให้ทุกบ้านมีเครื่องปรุง After Yum

“ขออนุญาตประชาสัมพันธ์กันในรอบแรกนะคะ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์กันในรอบแรก After Yum พัทยานะคะ เปิดให้รับคิวทางไลน์ตั้งแต่เวลาเที่ยงค่ะ รับอาหารคิวแรกกลับบ้านบ่ายโมงค่ะ…” 

สุ้มเสียงสดใสออดอ้อนประกาศผ่านทางไมค์ไร้สายดังก้องออกลำโพง เจ้าของเสียงดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น แต๋ง–กฤษฏิ์กุล ชุมแก้ว ผู้บุกเบิกก่อตั้งร้านยำชื่อดังของเมืองพัทยา ‘After Yum’ ที่รอเสิร์ฟความแซ่บให้กับลูกค้าอยู่ในปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ บนถนนสุขุมวิท

ว่ากันว่าหลังเหตุการณ์เคราะห์ร้าย มักจะมีโชคลาภอันยิ่งใหญ่รอเราอยู่เสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ความโชคดีอันยิ่งใหญ่คงต้องเกิดขึ้นกับแต๋งอย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวที่แต๋งต้องพานพบกับอุบัติเหตุหนักๆ ในชีวิต แต่เขาได้พบกับเหตุการณ์ระทึกใจมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นล้อเครื่องบินระเบิด เรือล่ม ไวรัสขึ้นสมอง เหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ากับชีวิตของคุณแต๋ง แต่เขาก็ยังรอดปลอดภัย จนกลายมาเป็นผู้บุกเบิกเปิดทางให้กิจการยำเป็นที่แพร่หลาย อย่างน้อยๆ ก็ในพัทยา

แต่การที่เราจะเหมารวมว่า ความสำเร็จในชีวิตของใครสักคนได้มาเพราะ ‘ความโชคดี’ เพียงอย่างเดียวอาจฟังดูไม่เป็นธรรมนัก ถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้น เราอาจจะบอกว่า ความโชคดีของแต๋งเกิดขึ้นจากส่วนผสมของความตั้งใจ ความพยายาม และการเตรียมพร้อมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงตอนของชีวิต จนเมื่อทุกอย่างลงตัว มันจึงผสมผสานออกมาให้เขาเป็น After Yum – ที่สุดของยำ

ว่าแต่ส่วนผสมที่ว่าเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีจนเป็นยำรสเด็ด มีรสอะไรบ้าง?

รสหวาน

รสชาติจัดจ้านของยำ จะกลมกล่อมได้อย่างไรหากขาดรสหวานตัด นอกจากความเอร็ดอร่อยของยำและของทอดที่ขายอยู่ในร้าน การบริการในร้านที่ฝึกฝนพนักงานให้อ่อนหวานและบริการลูกค้าเป็นอย่างดี ประหนึ่งการบริการจากโรงแรม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่แต๋ง ให้ความสำคัญอย่างมาก

แนวคิดของการบริการที่อ่อนโยน ให้พนักงานมี service mind หรือจิตใจพร้อมบริการลูกค้า เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่คุณแต๋งเคยทำงานในโรงแรมมาก่อน ทั้งเคยฝึกงานโรงแรมในทุกฝ่าย ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน ทำให้คุณแต๋งเรียนรู้การปฏิบัติการแบบโรงแรม การดูแลลูกค้าแบบโรงแรม และนำเอาทักษะนั้นมาปรับใช้กับการบริการลูกค้าในร้านยำ

“ทุกอย่างพูดจาภาษาดอกไม้นะคะ แต๋งบอกลูกน้องเลยว่า คำว่า ไอ้ อี มึง กู ขอให้เก็บเอาไว้ใช้ที่บ้าน เพราะแต๋งมองตรงนี้ว่าเป็น theatre เป็นเวทีโชว์ เราเทรนเด็กแบบโรงแรม บริการแบบโรงแรม เหลือแค่เราไม่ใส่บิลให้ลูกค้าในโฟลเดอร์เท่านั้นแหละค่ะ”

แต๋งพูดพลางอมยิ้ม เมื่อเราเอ่ยถามถึงการบริการในร้าน ที่ลูกค้าแน่นร้าน (หรือจะเรียกให้ถูกอาจจะต้องใช้คำว่าแน่นลาน เพราะเป็นสถานที่เปิดโล่ง) แต่ลูกค้าก็ยังคงติดใจทั้งในรสยำและการบริการจนกลับมาเป็นลูกค้าประจำ

“เรามี repeat customer ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์นะคะ คือถ้าคุณขายของแล้วมีลูกค้าเก่ากลับมาซื้อของคุณ คุณไปต่อได้แล้วล่ะ แต๋งเชื่อว่าอย่างนั้นนะ”

แต่ไม่ใช่เพียงแค่การบริการเพียงอย่างเดียวที่ทำให้คนติดใจบริการ หากแต่มีส่วนประกอบอื่นด้วย

After Yum

รสเปรี้ยว

ร้านอาหารไหนที่คนมาต่อคิวเยอะจนแน่นร้าน เป็นต้องหาทางออกด้วยการจัดการคิวหรือการจัดการโต๊ะลูกค้าทุกครั้งไป ไม่ต่างจากที่นี่ที่พยายามจัดระเบียบคิวและการรับประทานอาหารของลูกค้าเป็นรอบๆ การจดออร์เดอร์ของลูกค้าและการลงเวลาในใบออร์เดอร์

อีกทั้งระบบการจัดการ การวางแก้วหมายเลขโต๊ะเพื่อจัดโต๊ะในแต่ละรอบ การจัดโต๊ะให้เขากับจำนวนของลูกค้าในแต่ละคิวแต่ละรอบ ทักษะการจัดการที่เปรี้ยวจี๊ดจัดจ้านแบบนี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน แต่ได้มาจากประสบการณ์การทำออร์แกไนเซอร์และทำอีเวนต์ของแต๋ง เมื่อครั้งยังเป็นเซลส์ (แผนกขาย) ของโรงแรม แต่ทำอาชีพเสริมเป็น ออร์แกไนเซอร์ (แถมพ่วงด้วยตำแหน่งพิธีกรในงาน)

After Yum

“มีอยู่วันนึง แต๋งทำงานที่โรงแรมอยู่ แล้วเราไปงานอีเวนต์ แล้วเห็นคนเขาถือ walkie-talkie เราก็คิดเลยว่าอยากถือบ้าง มันดูเท่ดี มันดูจัดแจง เลยเริ่มทำอีเวนต์ เริ่มจากเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยทำให้สเกลมันใหญ่ขึ้นๆ”

ทักษะการจัดงานของแต๋งเมื่อครั้งยังเป็นออร์แกไนเซอร์จึงติดตัวมา เอื้อให้การจัดระบบระเบียบภายในร้านลื่นไหลไปได้ แม้ว่าลูกค้าจะมากมายขนาดที่ว่ารับบัตรคิวแล้วกลับมารับประทานยำตอนตี 4 ก็ทำกันมาแล้ว

“ลูกค้ารับบัตรคิวค่ะ แล้วกลับมาทานยำตอนตี 4 ตอนช่วงพีคๆ นะ คือใส่ชุดนอนมาเลย คือเราพยายามจัดการลูกค้า บอกเวลาเขาให้เขาออกไปใช้ชีวิตก่อน เขาจะได้ไม่เสียเวลา ถึงเวลาแล้วค่อยกลับมา”

ร้านยำที่ฮิตฮอตติดตลาดจนกลายเป็น ‘แบรนด์’ อย่าง After Yum ที่แปลงกายกลายเป็นยี่ห้อไปปรากฏในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งทูน่ากระป๋อง น้ำตาล น้ำดื่ม และอื่นๆ อีกมากมาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหมัดเด็ดของร้านยำร้านนี้ ที่สุดของยำที่ไม่ได้มีดีแค่ยำ แต่มีดีที่โชว์!

After Yum

ความเผ็ด

นอกจากรสหวาน รสเปรี้ยว ความเผ็ดดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คู่เคียงไปกับอาหารจานยำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบริบทของที่นี่ ความเผ็ดคงไม่ได้หมายความถึงเพียงแต่ พริกที่ใส่ลงไปในยำต่างๆ แต่เป็น ‘ความเผ็ช’ ที่ออกมาจากแต๋งและดุจดิว หุ้นส่วนคนสำคัญผู้ก่อตั้งร้าน

ความเผ็ชที่ว่าคือโชว์ประกาศทวนออร์เดอร์ และกฎกติกามารยาทในการรับประทานอาหารในร้าน ทั้งการห้ามจำหน่ายและดื่มสุราในสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง การทิ้งขยะให้เป็นที่ การซื้อน้ำปั่นที่มีบริการ (แต่ก็อาจจะปิดไปแล้วในรอบที่คุณกินยำ)

การประกาศกฎระเบียบเพื่อแจ้งให้ลูกค้าที่มารับประทานยำทราบ กลายเป็นหนึ่งในของดีของร้าน และกลายเป็น ‘โชว์’ ที่ไม่ว่าใครต่อใครมากินที่ร้านก็ต้องถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เพื่ออัพโหลดลงในสื่อโซเชียลมีเดียของตนเอง

After Yum

ด้วยลีลาท่าทาง สุ้มเสียงที่ขี้เล่นเป็นกันเอง ทำให้โชว์การประกาศของที่นี่เพิ่มความเผ็ดให้แก่ยำที่ร้านและกลายเป็นความเผ็ชที่ลูกค้าติดใจ ซึ่งทักษะดังกล่าวคุณแต๋งสั่งสมมาจากอาชีพที่ 3 ของคุณแต๋งเอง ก่อนที่จะมาลงเอยทำธุรกิจยำ นั่นคือ อาชีพทำไวรัลคลิป

“ทำไวรัลคลิป คือทำคลิปวิดีโอ แต๋งทำแนวตลกนะ ลูกค้าเข้าเยอะมากเลยตอนนั้น เยอะจนแต๋งเคยต้องโอนเงินคืนลูกค้าไป เพราะทำไม่ไหวแล้วค่ะ เหนื่อยมากเลย”

จากประสบการณ์การทำไวรัลคลิป ประกอบกับนิสัยส่วนตัวของคุณแต๋งที่ชอบเล่นสนุกสนาน และเป็นคนร่าเริงจึงหล่อหลอมทักษะการคิดค้นคำ และลีลาท่าทางในการประกาศกฎกติกาของร้าน จนในที่สุดกลายเป็น ‘โชว์’ เด็ดมัดใจลูกค้า

After Yum

รสเค็ม

เป็นอาหารจานยำทั้งที จะไม่มีรสเค็มได้ยังไง หากเราเคยได้ยินสำนวนที่ว่า ‘จงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม’ ที่มีความหมายเปรียบเปรยให้มั่นคงในการทำดีเหมือนความเค็มที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง 

ความเค็มที่คงที่ก็คงจะเปรียบได้กับมาตรฐานรสชาติที่คงเส้นคงวาของ After Yum 

คำถามที่สำคัญของร้านอาหาร คือคุณจะรักษาคุณภาพของมาตรฐานอาหารทุกจานให้เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันได้ที่สุดยังไง

คุณอาจจะใช้สูตรชั่ง ตวง วัด เป็นคำตอบ หรือคุณอาจจะใช้เบสเครื่องปรุงสำเร็จรูปเป็นทางออก แต่สำหรับอาหารจานยำ ที่ต้องใช้พริก มะนาว และวัตถุดิบอีกหลากหลายชนิดที่เป็นเครื่องปรุงหลักในการทำอาหาร  ซึ่งไม่ได้ถูกผลิตออกมาจากโรงงาน แต่ออกมาจากไร่จากสวน ซึ่งมันอาจมีรสชาติที่ไม่คงที่ แถมคุณเองอาจจะไม่สามารถยืนปรุงยำได้ทุกจานทุกวัน แล้วคุณจะควบคุมคุณภาพอาหารได้ยังไง

After Yum

“ทุกวันนี้แต๋งมีมือยำ 4 มือ แต๋งต้องถ่ายทอดดีเอ็นเอ พันธุกรรมให้คนที่จะมาขึ้นยำ กว่าจะขึ้นยำคนคนนี้ต้องอยู่ติดตัวแต๋งมาเป็นปีนะคะ อย่างมะนาวแต่ละลูกก็เปรี้ยวไม่เท่ากัน ยูเห็นแล้วยูต้อง declare ให้ได้ว่ามะนาวลูกนี้เป็นยังไง เพราะมันไม่ได้ออกจากโรงงาน น้ำปลาออกจากโรงงานมันเค็มเท่ากันทุกขวดอยู่แล้ว แต่อะไรที่ไม่ได้ออกมาจากโรงงาน ยูต้อง decalre แยกแยะมันให้ได้ เอาจิตวิญญาณยูลงไปให้ได้ ให้เห็นถึงความระยิบระยับของน้ำยำให้ได้ ต้องเดาให้ออกว่ารสเป็นยังไง”

สรุปคือการรักษามาตรฐานของการยำตั้งแต่วันแรกที่แต๋งยืนยำเอง จนถึงวันนี้ที่แต๋งออกตัวแบบถ่อมตัวว่าน้องๆ ที่ร้านอาจจะยำได้ดีกว่าเขาแล้วด้วยซ้ำ คือการถ่ายทอดพันธุกรรมและจิตวิญญาณการ ‘ยำ’ ให้กับลูกน้องที่เขาจะเลือกให้ขึ้นมาเป็น ‘มือยำ’ ในร้าน

After Yum

รสกลมกล่อม

เวลาเรานั่งดูหนังสักเรื่องที่ดำเนินต้นเรื่องไปจนจบเราอาจจะเห็นพัฒนาการของตัวละครที่ฝึกฝนและสั่งสมอะไรบางอย่างจนนำพาไปถึงบทสรุป หากเราเปรียบชีวิตของแต๋งและ After Yum เป็นละครหรือหนัง เราอาจจะคิดว่ามันได้เดินทางมาถึงบทสรุปแบบ Happily Ever After แบบในนิยาย

เริ่มจากการเริ่มทำงานในโรงแรมจนได้เรียนรู้มาตรฐานการบริการที่ดี การเป็นออร์แกไนเซอร์จัดงานอีเวนต์ที่ทำให้แต๋งได้ผ่านงานที่เรียกร้องการจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบ และประสบการณ์การทำคลิปไวรัลที่สอนให้แต๋งเรียนรู้การเอนเตอร์เทนผู้ชมคนดู ทุกอย่างรวบรวมเป็นส่วนผสมที่นำพาให้แต๋งก่อร่างสร้างร้าน จนสามารถนำพาให้คนมานั่งกินยำตอนตี 4 ได้ เหมือนกับที่แต๋งพูดไว้ว่า

“ทุกอย่างที่ทำมาเหมือนทำมาเพื่อรอ After Yum เลย”

แต่เมื่อเราถามแต๋งในวันนี้ว่าเขาอยากจะทำอะไรต่อไปในชีวิต ในวันที่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังลงเอยได้ด้วยดี กิจการร้านยำไปได้สวย แถมกำลังจะเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ แต๋งกลับตอบพวกเราว่า “After Yum นั้นยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง”

เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง?

“แต๋งอยากให้ทุกบ้านมีเครื่องปรุงของ After Yum แต๋งอยากให้ต่างประเทศมี After Yum นี่ก็มีที่ที่เตรียมจะไปเปิดนะคะ เตรียมตัวไว้แล้ว แต๋งอยากทำสาขาทัวร์ อยากมีโชว์ อันนี้แต๋งเพิ่งเริ่มเท่านั้นเองค่ะ After Yum เพิ่งจะเริ่มเอง”

After Yum

ทั้งกิจการร้านยำ กิจการขายน้ำยำน้ำปลาร้าที่แต๋งใช้คำว่า ‘เพิ่งจะเริ่มต้น’ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะงอกงามไปในทางไหน เชื่อว่าแฟนๆ คงจะเป็นกำลังใจและรอสนับสนุนต่อไป

ระหว่างทางรอว่าร้านยำร้านนี้จะเดินหน้าไปทางทิศใดต่อ พวกเราอาจจะรอชมอนาคตของร้านและแต๋งไปพร้อมๆ กับคำประกาศที่คุณแต๋งชอบประกาศในช่วงปิดท้ายของการ ‘โชว์’ ในร้านว่า

“เพื่ออรรถรสในการรับประทานและในการรอยำ โปรดหากิจกรรมอื่นทำระหว่างรอ”

กิจกรรมอื่นที่ว่า แต๋งอาจหมายถึง สามารถซื้อน้ำยำ น้ำปลาร้า ของ After Yum ก็เป็นไปได้

After Yum

ฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่

Spotify : spoti.fi/39bqw6F
Apple Podcasts : apple.co/3wgTgDb

Fuse Culture กับ 9 สิ่งที่เป็นที่สุดจาก BAGGU และ HAAN

FUSE CULTURE

FUSE CULTURE add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Fuse Culture

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

‘ละมุนละไม.​’ สตูดิโอเซรามิกที่แก้ปัญหาขยะอาหารด้วยจานชามที่เราใช้ทุกวัน

อาหารเช้าวันนี้ขอเสิร์ฟไข่ต้มในถ้วยที่ทำมาจากเปลือกไข่ กาแฟร้อนจากชุดดริปที่มีส่วนผสมของกากกาแฟ รับประทานพร้อมอาหารตาเป็นดอกไม้ในแจกันที่ทำมาจากกากแคร์รอต ผลงานของ ละมุนละไม.​ สตูดิโอเซรามิกอายุ 10 ปี

ละมุนละไม

ชุดจานชาม (รวมถึงแจกัน) แสนซุกซนนี้มีชื่อว่า The Breakfast Club Gathering เป็นผลงานของ ละมุนละไม.​ สตูดิโอเซรามิกอายุ 10 ปีของ ไหม–ณพกมล อัครพงศ์ไพศาล และ หนาม–นล เนตรพรหม

ละมุนละไม.เริ่มต้นจากการเป็นสตูดิโอเซรามิกที่ทำสินค้ากุ๊กกิ๊กอย่างจานชาม เครื่องประดับ และป้ายชื่อเซรามิกขายตามงานออกร้าน ก่อนจะค่อยๆ ขยายบริการสู่การทำเซรามิกแบบ custom-made โดยเฉพาะการทำ tableware หรือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้คาเฟ่และร้านอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้าน Canvas, La Dotta, ศรณ์, ADHOC BKK ไปจนถึงการทำ wall installation ให้โกลบอลแบรนด์อย่าง Starbucks

แต่ไม่ว่าจะเป็นละมุนละไม.ยุคไหน สิ่งที่ไหมและหนามสนใจไม่แพ้จานชามคือเรื่องของความยั่งยืน

มากไปกว่าการออกแบบสินค้า พวกเขาพยายามออกแบบกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนทุกขั้นตอน (circular design) และนำเศษขยะมาแปรรูปเป็นชิ้นงาน เช่น คอลเลกชั่น The Breakfast Club Gathering ที่ใช้เศษอาหารเหลือทิ้งแทนที่บางวัตถุดิบในการผลิตเซรามิก

“เราพูดเรื่องวัตถุดิบในกระบวนการผลิตมาหลายปีแล้วแต่เราเชื่อว่าการใช้ขยะเศษอาหารเป็น turning point ของเรา” ไหมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

และนี่คือ Brand Belief หรือวิธีคิดอันแน่นหนักของละมุนละไม.​ สตูดิโอที่อยากแก้ปัญหาให้ผู้ใช้และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยภาชนะที่เราใช้ทุกวัน

ละมุนละไม

ภาชนะที่เป็นภาระ

ไหมและหนามหลงใหลในเซรามิกมาตั้งแต่สมัยเรียน และเปิดสตูดิโอทำงานเซรามิกทุกวันมาตั้งแต่เรียนจบ

ยิ่งอยู่กับมันนานเท่าไหร่พวกเขายิ่งพบว่าเซรามิกมีข้อดีมากมาย หนึ่งในนั้นคือเป็นวัสดุที่คงทน ใช้งานได้ยาวนาน ส่วนข้อด้อยคือกว่าเซรามิกจะย่อยสลายต้องใช้เวลายาวนานยิ่งกว่า

“พอทำงานมาสักระยะเราก็เริ่มเห็น pain point ของวัสดุนี้ เซรามิกมันเป็นสิ่งที่เมื่อทำเสร็จแล้วไม่สามารถย่อยสลายได้ นั่นแปลว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี จะยังอยู่บนโลกนี้ไปอีกหลายพัน หลายหมื่นปี ฉะนั้นเราเลยย้อนกลับมาคิดว่าการออกแบบของเราจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ยังไง” ไหมเล่าก่อนหนามจะช่วยเสริมอีกแรง

“เวลาทำเซรามิกมันจะมีของเหลือเสมอ เช่น ดินที่ไม่ได้เผาเพราะว่ามันแห้งไปเสียก่อนหรือปั้นแล้วเบี้ยว เวลาเราทดลองเคลือบเซรามิกถ้าวัสดุมันเหลือเราก็ต้องทิ้ง เอากลับมาใช้ไม่ได้เพราะมันปนเปื้อนไปแล้ว หรือสตูดิโอเราทำงานด้วยดินสองชนิดคือดินขาว porcelain และดิน stoneware บางทีก็มีดินสี ดินเชียงใหม่ ดินโลคอลอีก ซึ่งปกติเขาจะแยกการทำอย่างชัดเจน แป้นหมุนต้องแยกกัน เครื่องมือต้องแยกกัน เราเลยคิดว่าลองรวมกันเลยได้ไหม เริ่มจากการใช้ของเหลือที่เกิดจากในอุตสาหกรรมของเราเอง

ละมุนละไม
ละมุนละไม

“เราลองเอาดินทุกชนิดมาผสมกันทำชิ้นงานได้เป็นผลงานคอลเลกชั่นที่น่าสนใจ ไหมเองตั้งแต่สมัยเรียนก็เคยทำงานที่เอาเศษแก้วมาโรยในเซรามิก ตอนนั้นเราใช้วิธีเดินไปโรงอาหาร บอกป้าขอขวดสไปรท์หน่อยหรือกินเบียร์ก็เก็บขวดไว้ แต่พอโตมาเลยรู้ว่ามันมีโรงงานแก้ว โรงงานกระจก โรงงานขวดที่มี waste เหลือ เขาก็ส่งมาให้เราแบบฟรีๆ เยอะมาก เราก็เอามาลองทุบ ทำเป็นชิ้นงานดู

“เราเอาความรู้พวกนี้มาพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่าง มีความคิดใหม่ว่าต่อไปฉันจะไม่ทิ้งอะไรในสตูดิโอ อันไหนเก็บได้ก็เก็บ พวกสีเคลือบที่แห้งจนเป็นผงก็เก็บไว้หมดเลย เดี๋ยวเอามาใช้โรยงานหรือสร้างสรรค์อะไรก็ได้ จนพัฒนามาเป็นคอลเลคชั่นภาชนะ No waste // No wares ที่ใช้ของเหลือมาทำทั้งหมด ทั้งดิน วัสดุเคลือบและเศษแก้ว”

หนามชี้ให้ดูกองแก้วพลาสติกบรรจุสีเคลือบแห้งๆ รอวันนำไปใช้ ไหมเปิดภาพคอลเลกชั่นที่ว่าให้ดู ส่วนเราได้แต่ลุ้นในใจว่าถัดจาก No waste // No wares แล้ว ของเหลือเหล่านี้จากสตูดิโอจะเซอร์ไพรส์เราในรูปแบบไหนอีก

ภาชนะที่ไม่เป็นภาระ

ละมุนละไม.​ ห้อยคำอธิบายต่อท้ายชื่อว่า ‘คราฟต์สตูดิโอ’

กระบวนการทำงานของพวกเขาเป็นเช่นนั้น คือคราฟต์กับทุกสิ่งทุกอย่าง กับคอลเลกชั่นของสตูดิโอ ไหมและหนามออกแบบอย่างละเมียดละไมทั้งด้านดีไซน์และฟังก์ชั่น อย่างคอลเลกชั่น THE BLUE MEMOIR  ด้านดีไซน์พวกเขาเล่นสนุกด้วยการใช้ภาชนะอีนาเมลสีขาวขอบน้ำเงินเป็นแรงบันดาลใจ ส่วนด้านฟังก์ชั่นยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เพราะมันถูกคิดจาก pain point ของคนที่อาศัยในคอนโด ดังนั้นเมื่อวางชามซ้อนกันขอบภาชนะจะเสมอกันพอดี ประหยัดพื้นที่เก็บของได้มาก

ส่วนกับงาน custom-made พวกเขาเป็นเหมือนดีไซน์เซอร์วิสที่รับบรีฟของลูกค้ามาตีโจทย์อย่างละเอียดจนได้ชุดของใช้บนโต๊ะอาหารแบบร้านเดียวในโลก

และเมื่อวงการอาหารโดยเฉพาะร้าน fine dining หันมาใส่ใจเรื่องการอนุรักษ์และการลดของเหลือในอุตสาหกรรมอาหารอย่างจริงจังขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงมักนำแนวคิดภาชนะจากของเหลือไปเสนอร้านที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นจุดบรรจบที่พอดิบพอดี

“ตัวอย่างคือร้าน Canvas เขาพูดในเรื่องความยั่งยืนและวัตถุดิบพื้นถิ่นอยู่แล้ว ตอนนั้นเราเลยนำเสนอว่าจะออกแบบจานจากดินเหลือใช้แต่มีสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน” หนามอธิบาย

ทั้งคู่ช่วยกันเล่าต่อว่าปกติการออกแบบจะตีความจากคอนเซปต์ เมนู และการตกแต่งภายในของร้าน หากเป็นร้านอาหารทั่วไปจะเน้นออกแบบภาชนะให้ใช้ได้กับเมนูที่หลากหลาย ส่วนกับร้านที่เสิร์ฟเป็นคอร์ส เช่น fine dining หรือโอมากาเสะจะดีไซน์จานชามสำหรับแต่ละเมนูโดยเฉพาะ แต่ต้องนำมาใช้ใหม่ได้กับเมนูใหม่ๆ ในอนาคต

“สมมติเป็นร้านที่เสิร์ฟอาหาร 20 จาน ภาพรวมของ 20 ไอเทมนี้จะต้องเข้ากับอินทีเรียร์ของร้าน เมื่อเขาเปลี่ยนเมนูตามซีซั่นก็สามารถเลือกจานเดิมมาใช้ซ้ำได้ไม่ต้องสั่งทำจานใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนเมนู ไม่งั้นจานที่ใช้เสร็จแล้วจะไปไหน มันก็คือ waste

“พอมันวนใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ เวลาลูกค้ามากินอาหาร ถ่ายรูปปุ๊บคนก็รู้แล้วว่าจานนี้เป็นของร้านอาหารร้านนี้ ช่วยส่งเสริมแบรนด์ดิ้งร้านต่อไป” ไหมเล่าแนวคิดให้ฟัง

ละมุนละไม

“บางทีเราก็คิดเผื่อลูกค้า” หนามซึ่งเป็นคนออกแบบหลักเสริมขึ้นแล้วหยิบจานทรงแบนใบหนึ่งมาให้ดู ด้านหนึ่งเคลือบด้วยวัสดุมันวาวส่วนอีกด้านมีพื้นผิวด้าน หน้าตาเหมือนแผ่นหิน

“จานนี้เราดีไซน์ให้ใช้ได้สองด้าน สามารถเสิร์ฟเมนูที่แตกต่างกันได้ เช่น เมนูอาหารทะเลเสิร์ฟด้านมัน ส่วนอีกฝั่งใช้เสิร์ฟเมนูที่แห้งๆ หน่อย หรือเราเคยทำถ้วยที่ใส่อาหารด้านในก็ได้หรือคว่ำแล้วใช้วางอาหารเป็นคำก็ได้ เท่านี้ก็มีความ sustain ขึ้นแล้ว ต้นทุนของลูกค้าก็ถูกลง”

จากจานสู่จาน

การร่วมงานกับร้านอาหารเปิดประตูบานเอกซ์คลูซีฟให้ละมุนละไม.

บางครั้งพวกเขาได้ชิมคอร์สอาหารของร้านก่อนใคร ได้คุยกับเชฟถึงวิธีคิดอย่างลงลึก ไม่ก็ได้เห็นกระบวนการทำงานของเชฟที่นักชิมหลายคนชื่นชม

และเป็นการทำงานแบบนี้เองที่ทำให้พวกเขาได้พบปัญหาที่หลายคนไม่รู้ นั่นคือขยะจากครัวของร้านอาหารมีปริมาณเยอะกว่าขยะจากครัวเรือนมาก ไหมบอกว่าแม้ร้านอาหารใหญ่ๆ หรือร้าน fine dining ในไทยหลายร้านจะพยายามแยกขยะอย่างเป็นระบบแต่ระบบจัดการขยะในภาพใหญ่ก็ยังต้องพัฒนา

“จริงๆ แล้วคอมมิวนิตี้ร้านอาหารในไทยเริ่มมีการจัดเก็บขยะ แยกขยะแล้วแต่ เราเคยคุยกับพี่โบ (เชฟโบ–ดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของร้านอาหาร Bo.lan) ว่าการกำจัดขยะมันยากเหมือนกันเพราะว่าต้องมีโรงงานหรือหน่วยงานที่รับไปกำจัดอย่างถูกวิธีไม่ใช่แค่เอาไปฝังดิน ขยะอินทรีย์ย่อยสลายได้ก็จริงแต่ว่าต้องใช้เวลาอีก 10-20 ปีกว่าจะกลายเป็นปุ๋ย เราเลยคิดว่าถ้าเราสามารถคืนชีวิตให้ขยะอินทรีย์ ด้วยการเอาไปแปรรูปให้มีคุณค่า คนนำไปใช้ต่อได้จะเวิร์กกว่าไหม”

ไม่นานหนามก็เจอจุดเชื่อมโยงระหว่างวัตถุดิบในครัวกับวัตถุดิบที่ใช้ในสตูดิโอ

“พี่หนามเคยได้ยินมาว่าเปลือกไข่มีแร่ธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นแร่เดียวกับที่ใช้ผสมในวัสดุเคลือบเซรามิกทำให้มันขาวขึ้น นวลขึ้น เลยเสนอว่าเราลองใส่เปลือกไข่ลงไปแทนดีมั้ย”

ละมุนละไม
ละมุนละไม

หนามเล่าต่อว่าความยากของการนำขยะอาหารมาอัพไซเคิลคืออุณหภูมิที่ใช้ในการเผาเซรามิกซึ่งสูงจนอินทรีย์สารหลายชนิดจะสูญหายไปทันตา

“การทำเซรามิกมันคือการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อเผาอนุภาคของดินจะเปลี่ยนไปกลายเป็นของแข็ง เป็นเซรามิก ทีนี้เศษอาหารเหลือทิ้งที่เราเอามาผสมในดินหรือทำเคลือบส่วนใหญ่ถ้าเผาในอุณหภูมิสูงขนาดนั้นคือ 1,250 องศาเซลเซียสมันก็จะหายไปหมดเลยเหลือเป็นช่องว่าง ยกเว้นบางอย่างที่ทนความร้อนได้ เช่น พวกเปลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเปลือกไข่ เปลือกหอย เปลือกกุ้ง เปลือกปู ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือแร่ธาตุ เหมือนแร่หินปูนหรือแร่แคลเซียมคาร์บอเนตที่เราเอามาใส่ในเคลือบ”

“แต่สุดท้ายพอทดลองใช้เปลือกไข่ทำเคลือบ ผลลัพธ์มันไม่เหมือนกับใช้แร่แคลเซียมคาร์บอเนตนะ” ไหมเฉลยผลลัพธ์แบบยิ้มๆ “ถึงอย่างนั้นเราก็ได้พื้นผิวเป็นผลึกซึ่งเวิร์กในแง่ความสวยงามและเวิร์กในแง่ของคุณค่า เราสามารถลดการใช้แคลเซียมคาร์บอเนตที่เขาต้องไปขุดเหมืองมาแล้วใช้เปลือกไข่ที่เราสามารถไปขอทุกร้านอาหารได้แทนซึ่งทุกร้านยินดีจะให้”

ละมุนละไม

เมื่อทดลองกับเปลือกไข่สำเร็จ หนามเลยทดลองกับเศษอาหารอื่นบ้าง เขานำกากกาแฟซึ่งมีอนุภาคละเอียดมากมาผสมกับดิน เมื่อเข้าเตาเผากากกาแฟจะหายไปทำให้ดินเบาขึ้น มีความพรุน เหมาะกับการทำกระถางหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการคุณสมบัติอุ้มน้ำ หรือจะทำชุดดริปกาแฟก็ได้ เมื่อเคลือบทับก็แทบดูไม่ออกว่าแตกต่างจากเซรามิกที่ทำจากดินเพียวๆ เพียงแต่มีน้ำหนักเบากว่าเท่านั้น

จนถึงวันนี้ ละมุนละไม.ได้โอกาสออกแบบภาชนะจากขยะเศษอาหารให้ร้านต่างๆ ไปบ้างแล้ว เช่น ADHOC BKK ที่ใช้เศษอาหารจากบางเมนูของร้านมาพัฒนาเป็นภาชนะเพื่อเล่าเรื่องวงจรวัตถุดิบ และกำลังมีโปรเจกต์กับร้าน Bo.lan และร้านศรณ์ ที่พวกเขาจะออกแบบจานจากดินท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค พร้อมเคลือบสีสัน ตกแต่งลวดลายให้ยังคงเอกลักษณ์ของร้านเอาไว้

นอกจากร้านเหล่านี้ เราเชื่อว่าจะมีร้านอื่นๆ ที่เห็นคุณค่าของการ upcycle เศษขยะในครัวเป็นจานชามเป็นจำนวนมากตามเทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับ storytelling มากขึ้นเรื่อยๆ

“ด้วยความที่เราทำงานกับร้านอาหารมาสักระยะเราก็เข้าใจว่าลูกค้าคิดเรื่องความยั่งยืน เห็นการใช้วัตถุดิบโลคอล และเห็นเทรนด์ storytelling ในวงการ fine dining ที่เน้นสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า ร้านอาหารโอมากาเสะเชฟก็ต้องทำคำต่อคำเพื่อให้เห็นทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แม้แต่ภาชนะที่อยู่บนโต๊ะก็ช่วยเล่าเรื่องได้

“การเล่าเรื่องเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถส่งต่อเรื่องราวหรือคุณค่าไปยังผู้รับสาร ดังนั้นเราเลยอยากให้จานชามของเราสร้างสตอรีเรื่องความยั่งยืน คนที่มาทานร้านก็จะได้ตระหนักถึงประเด็นนี้และอาจจะนำกลับไปปรับใช้ที่บ้านของเขาต่อเหมือนเราค่อยๆ ใส่ชุดความคิดที่เรารู้สึกว่าเป็นคุณค่าที่ดีผ่านร้านอาหาร” ไหมบอก

ไปร้านอาหารครั้งต่อไป นอกจากจะสนใจอาหารตรงหน้า ภาชนะเองก็อาจจะมีเรื่องเล่ารสอร่อยไม่แพ้กัน

ละมุนละไม

(จาน) อาหารตัวอย่าง

แน่นอนว่าการเปลี่ยนเศษอาหารเป็นภาชนะทำให้ละมุนละไม. แตกต่างจากแบรนด์เซรามิกอื่นๆ ในตลาดไม่เว้นในหมู่แบรนด์รักโลก

และแน่นอนว่าเมื่อแตกต่างจึงมีคนตั้งคำถามว่าการ upcycle ขยะเศษอาหารเป็นเพียงมาร์เก็ตติ้งของแบรนด์หรือไม่

“บางคนถามว่าเราเอาเศษวัตถุดิบมาใช้เป็นกิมมิกหรือเพื่อประโยชน์ทางมาร์เก็ตติ้งเฉยๆ หรือเปล่า เราสร้างความยั่งยืนได้จริงเหรอ” ไหมเล่าให้ฟังถึงฟีดแบ็กที่ได้เมื่อนำคอลเลกชั่นภาชนะจากเศษอาหารไปโชว์ในเทศกาล Bangkok Design Week 2022

“เราคิดว่ามันอยู่ที่ว่าแต่ละคนมองคำว่ายั่งยืนยังไง เรามองว่าผลิตภัณฑ์ของเรายั่งยืนตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เราร่วมมือกับร้านอาหารแล้ว กว่าจะเป็นสินค้าเราผ่านกระบวนการการคิดในรูปแบบ circular design ถึงเราจะยังไม่กล้าบอกว่าสิ่งนี้มันติ๊กถูกทุกข้อเรื่องความยั่งยืน แต่ว่าเราก็พยายามคิดให้ครบลูปว่าทุกกระบวนการต้องเกิดของเสียน้อยที่สุด

“เรามองว่างานของเรานำขยะมาสร้างให้เกิดคุณค่าใหม่ เอา food waste ซึ่งเป็นปัญหาจริงๆ มาแทนที่วัสดุที่ใช้ในกระบวนการทำเซรามิกจริงๆ เช่น เปลือกไข่ก็อาจทำให้ไม่ต้องไปขุดแร่จากเหมืองมาใช้และนำแร่เหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอย่างอื่น”

“หนึ่งในร้านที่เราร่วมมือคือร้านด้านล่างสตูดิโอเรานี่แหละ” หนามกำลังพูดถึงร้านส้มตำที่ตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของตึก “ตอนที่เราทดลองทำเคลือบ เราบอกเขาว่าเดือนนี้รบกวนช่วยแยกเปลือกไข่ให้หน่อยได้มั้ย เขาก็ได้ลดขยะ และอย่างน้อยก็ได้ awareness เรื่องการจัดการขยะ เราก็ได้เปลือกไข่มาทำงาน เราคิดว่ามันเป็นจุดตั้งต้นที่ดีของทั้งสองฝ่าย”

ทั้งสองคนรู้ดีว่าสเกลการผลิตของพวกเขาไม่อาจบรรเทาความเสียหายจากอุตสาหกรรมเซรามิกได้ แต่ไหมและหนามก็หวังว่าการทดลองที่ผ่านมาจะทำให้โรงงานขนาดใหญ่กว่าตนเองเห็นตัวอย่างการผลิตที่ดีต่อโลกมากขึ้น

“เราเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำในสตูดิโอเล็กๆ แล้วมันเวิร์ก ถ้าเกิดว่าบริษัทใหญ่หรือว่าโรงงานเขาเห็นโอกาสตรงนี้แล้วเอาไปใช้เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ขึ้นได้ มันลดการใช้แร่ธาตุหรือทรัพยากรได้จริงๆ ถามว่าคุณสมบัติแตกต่างจากเซรามิกโดยทั่วไปไหม เรามองว่าความแข็งแรงความทนทานไม่ได้แตกต่างขนาดนั้นเพราะว่าเราเผาในอุณภูมิสูง มันจึงทนความร้อน ทนไฟ ทนกรดด่าง การันตีความ food safe และ microwave safe เพื่อให้ใช้งานได้กับทุกคน ทุกร้านอาหาร” ไหมตอบอย่างตั้งใจ

หนามอธิบายเพิ่มอีกนิดว่าถ้ากำลังการผลิตพร้อมจะเป็นเรื่องดีต่อผู้บริโภคด้วย เพราะการจัดการขยะในไทยที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้เมื่อจะ upcycle อะไรสักอย่างต้องใช้แรงคนและเวลา ราคาผลิตภัณฑ์อีโค่จึงแพงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปมาก

แต่ถ้าการผลิตของอีโค่ทำได้แบบแมส ราคาของผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบบไม่ต่างกันนัก ผู้บริโภคก็มีโอกาสเลือกหยิบของที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมสร้างความยั่งยืนได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน

ปรุงธุรกิจให้ยั่งยืน

อย่างที่ไหมบอกไว้ตอนต้น เธอ “เชื่อว่าการใช้ขยะเศษอาหารเป็น turning point ของเรา”

ย้อนกลับไปหลายปีก่อนหน้า turning point จุดหนึ่งของละมุนละไม. คือการปรับจากแบรนด์ที่ผลิตของใช้เซรามิกแบบสำเร็จสู่การทำผลิตภัณฑ์แบบคัสตอมซึ่งในตอนนั้นแทบไม่มีสตูดิโอไหนชูเป็นจุดขาย

“ตอนเริ่มทำสตูดิโอร้านอาหารยังไม่ได้เน้นทำภาชนะคัสตอม ทุกคนหาซื้อตามแหล่งผลิตคือโรงงาน เพิ่งมาไม่กี่ปีหลังที่ร้านอาหารต้องการหา brand identity มากขึ้นฉะนั้นเขาก็เลยต้องหาความคัสตอม แต่ถ้าจะสั่งโรงงานทำใหม่ก็ต้องสั่ง 300 ชิ้น เขาถึงจะทำให้ เราเลยเหมือนเป็นจุดเล็กๆ แทรกตัวเข้าไปรองรับตลาดนี้

“จริงๆ ทุกคนเขา custom-made ได้หมดนะ เรางงเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่มีใครพูดคำนี้ออกมา แต่ว่าเราพูดออกมาเลยว่าเรา custom-made ได้” ไหมเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

ละมุนละไม

ตอนนั้นพวกเขาเห็นช่องว่างในตลาดภาชนะร้านอาหารอย่างชัดเจน แต่ภาชนะจากเศษขยะอาหารคือการสร้างทางเลือกใหม่ไปเสนอลูกค้าโดยที่ลูกค้าก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการ 

ถึงอย่างนั้นพอทำแล้วพวกเขาก็พบว่านี่คือ turning point สำคัญในแง่ที่มันเปลี่ยนกระบวนการทำงานของสตูดิโอและตอบรับเทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะสำคัญขึ้นเรื่อยๆ

“ลูกค้าร้านอาหารเขาก็คิดในแอเรียความถนัดของเขานั่นแหละ ในแง่วัตถุดิบ ในแง่ zero waste อย่างเราได้ทำงานกับร้าน PRU ที่ภูเก็ต วัตถุดิบทุกอย่างของเขาเกิดในจังหวัดตั้งแต่ปลูกผัก เลี้ยงหมู แต่ว่ายังไม่ได้คิดในมุมของจาน ถึงอย่างนั้นพอเราทำงานนี้แล้วเอาไปเสนอเขารู้สึกว่าเขามีแก่นธุรกิจที่ยั่งยืนอยู่แล้ว เราไปเติมเต็มเขาได้ก็ยิ่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน” หนามเล่า

ละมุนละไม

“เซรามิกของเราเป็นเซรามิกทางเลือกหนึ่งในอีกหลายร้อยล้านแบรนด์ที่มีอยู่บนโลกนี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเลือกเรา เพราะว่าเรานำเสนอคุณค่าหรือแนวคิดที่เขารู้สึกว่าแมตช์กับประเด็นที่ร้านอาหารอยากสื่อสารกับลูกค้าของเขาได้

“ถ้าจะพูดถึงเรื่องเทรนด์ จริงๆ แล้ววัสดุ biomaterial ในวงการเซรามิกเป็นเทรนด์ใหม่ที่ยังไม่ถึงไทย แต่ในฝั่งยุโรปเขาก็ใช้กันเยอะมากๆ แล้ว มีคนที่เอา waste จากอุตสาหกรรมการทำเหมืองหิน เหมืองแร่ มาทำเป็นสีเคลือบ มีองค์กรสนับสนุนการวิจัยเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นเราว่าเริ่มตอนนี้ก็ดีเพราะเรามีเมกะเทรนด์ที่กำลังรองรับอยู่ วันหนึ่งที่มันเข้ามาที่ไทย ก็จะมีร้านอาหารที่ตระหนักในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เราเองก็จะค่อยๆ adapt วัตถุดิบและเครื่องไม้เครื่องมือของเราให้พร้อมกับสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นด้วย”

“เราเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นแค่เทรนด์แล้วตอนนี้” ไหมเสริมขึ้น “สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรใส่ใจ เป็นความจำเป็น เราอยากให้สิ่งที่เราใช้ สิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดสามารถเป็นสิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดหรือชุบชูใจเราในเรื่องนี้ได้”

“เรามีของต่างๆ ที่ environmental friendly มีเฟอร์นิเจอร์แล้ว มีรถยนต์แล้ว เราว่าจานชามก็อาจจะเป็นของที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วย มันเป็นสิ่งที่เราใช้ทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ถ้ามันตอบโจทย์ได้ก็คงจะดี” หนามสรุป

ละมุนละไม

ขอบคุณภาพจาก ละมุนละไม.

‘RepairSmith’ บริการซ่อมรถถึงหน้าบ้านที่แบ่งรายได้ไปซ่อมรถให้กับองค์กรการกุศล

ในยุคที่ทุกอย่างในชีวิตสะดวกสบายไปซะหมด ซื้อของใช้เข้าบ้าน กดแป๊บเดียวเย็นนี้ก็มาส่งถึงแล้ว ช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นธรรมชาติที่อยากได้อะไรก็แค่เปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมาแล้วกดสั่ง อีกไม่กี่วัน (หรือบางกรณีวันเดียวก็มี) ก็ได้ของชิ้นนั้นอยู่ในมือ อยากทานอาหารร้านไหนก็กดสั่ง 30 นาทีก็พร้อมตักเข้าปาก คลาสเรียนเสริมความรู้ก็สามารถทำออนไลน์ได้จากทุกที่ เรียกรถแท็กซี่ก็ทำได้ง่ายๆ แค่กดไม่กี่ปุ่มเท่านั้น มีเพียงแค่ไม่กี่อย่างในชีวิตเท่านั้นที่เรายังไม่สามารถกดปุ่มสั่งงานจากโทรศัพท์สมาร์ตโฟนในมือได้ หนึ่งในนั้นคือการนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง

นั่นคือแนวคิดเบื้องหลังสตาร์ทอัพ ‘RepairSmith’ ที่จะเข้ามาปฏิวัติธุรกิจซ่อมรถที่คงรูปแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมาเลยตลอดครึ่งศตวรรษ

RepairSmith

คงมีสักครั้งในชีวิตที่เวลารถเสียหรือต้องเอาเข้าศูนย์เช็กระยะแล้วเรามีความคิดว่า “มันมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหมนะ ขี้เกียจเสียเวลาขับเข้าไป นั่งรออีกไม่รู้กี่ชั่วโมง อยากเอาเวลาตรงนั้นไปทำอย่างอื่นจัง” นั่นคือปัญหาที่เจ้าของรถยนต์ทุกคนต้องพบเจอมากน้อยแตกต่างกันไป โจเอล มิลเนอ​ (Joel Milne) และ ฟิลิกซ์-แมตเทียส วัลเทอร์ (Felix-Matthias Walter) ผู้ร่วมก่อตั้งทราบเรื่องนี้ดีเลยสร้างสตาร์ทอัพแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถกดเรียกช่างซ่อมรถแบบ on-demand มาซ่อมถึงหน้าบ้านหรือที่ทำงาน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปเข้าศูนย์หรือนั่งเฝ้าให้รถซ่อมเสร็จ

RepairSmith ที่ได้รับการสนับสนุนเงินส่วนใหญ่โดย Daimler AG (เจ้าของ Mercedes-Benz) เป็นมากกว่าแค่สตาร์ทอัพแบบ on-demand ทั่วไป มันทำให้ประสบการณ์การซ่อมรถยนต์แบบดั้งเดิมเปลี่ยนไปเลย มันนำเอาความสะดวกสบายของงานบริการระดับพรีเมียมเหมือนเอารถยนต์ไปเข้าศูนย์ที่มีมาตรฐานสูง โดยใช้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการซ่อมในรูปแบบต่างๆ มาดูแลถึงที่บ้าน บอกราคาประมาณเบื้องต้นมาให้เรียบร้อย สามารถจองผ่านออนไลน์ ถ้าซ่อมตรงนั้นไม่ได้เพราะมีงานที่ซับซ้อนหรือเสียหายมากกว่าที่ประเมิน ช่างก็จะลากเอาไปซ่อมที่อู่ให้ต่อจนจบและนัดวันเอามาคืน ที่สำคัญคือมีประกันคุ้มครองความเสียหายทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบงานเลยทีเดียว

RepairSmith

Match Made in Heaven

โจเอล มิลเนอ​ และฟิลิกซ์-แมตเทียส วัลเทอร์ คือสองคนที่ร่วมกันก่อตั้งสตาร์ทอัพแห่งนี้ขึ้นมาในปี 2019

มิลเนอนั้นมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการอยู่ในตัวอยู่แล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเริ่มเขียนโปรแกรมเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบและเข้ามหาวิทยาลัยด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น หลังจากจบมหาวิทยาลัยในวัย 21 ปีก็เริ่มก่อตั้งบริษัทแรกของตัวเอง เขาจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยควีนส์ และปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก Harvard Business School เป็นผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญสายเทคโนโลยีที่เคยผ่านการระดมทุนระดับ 100 ล้านดอลลาร์มาแล้วในช่วงที่ทำธุรกิจ เป็นตั้งแต่ CEO, COO และ CTO ในหลายบริษัทตลอด 20 ปีก่อนมาก่อตั้ง RepairSmith นอกจากนั้นยังเป็นนักลงทุนและผู้ให้คำแนะนำกับสตาร์ทอัพอีกหลายแห่งในแคลิฟอร์เนีย เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าความตั้งใจส่วนตัวของเขาคือการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้ชีวิตของผู้ใช้งานง่ายขึ้นก็คงไม่ผิดมากนัก

ส่วนวัลเทอร์คือคนที่เข้ามาเติมเต็มและทำให้สตาร์ทอัพแห่งนี้เกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ มิลเนอเชี่ยวชาญเรื่องการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ส่วนวัลเทอร์นั้นมีประสบการณ์ยาวนานกับอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 25 ปี ตั้งแต่การซ่อมรถในโรงรถของพ่อแม่สมัยยังเป็นวัยรุ่นไปจนถึงบทบาทผู้บริหารระดับสูงที่ Daimler AG เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นช่างเครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz ทำงานตั้งแต่อู่ซ่อมไต่เต้าไปจนถึงตำแหน่งซีเนียร์ที่ Daimler ทำตั้งแต่วางแผนกลยุทธ์องค์กร จัดการดูแลส่วนรถยนต์มือสอง ดูแลรถที่ใช่เพื่อการพาณิชย์ และทำการตลาดสำหรับบริการและชิ้นส่วนอะไหล่อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยเมื่อลูกค้าใช้บริการของ ​RepairSmith แล้วจะบอกว่ามาตรฐานของที่นี่สูงมากเหมือนกับเข้าอู่รถไม่มีผิด แถมเขายังคัดเลือกทั้งพันธมิตรร้านค้าที่ไว้ใจได้สำหรับการซ่อมที่อู่ และยังดูแลทีมที่ตรวจสอบความพึงพอใจของลูกค้าเองด้วย

เมื่อเอาทั้งสองคนมารวมกันก็กลายเป็น RepairSmith ที่มีเป้าหมายชัดเจน คือการเปลี่ยนประสบการณ์อันเลวร้ายในการเอารถไปเข้าอู่ ให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซ่อมรถนั่นง่ายเหมือนกับการกดเรียก Grab หรือ Uber เลย

แต่ในยุคปัจจุบันที่ความ ‘ง่าย’ และ ‘สะดวกสบาย’ ถือเป็นพื้นฐานของบริการออนไลน์อยู่แล้ว ที่นี่จะเป็นเพียงแค่บริการแบบ on-demand แบบเดิมๆ ทั่วไปคงไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ (แทบ) ทุกอย่างในชีวิตหาได้แค่ปลายนิ้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างออกไปคือ ‘ทักษะความรู้’ หรือ ‘ความสามารถ’ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

RepairSmith

เมื่อเราพูดถึงบริการส่งของ ส่งอาหาร ส่งเอกสารทั่วไปนั้นจะทราบว่าใครๆ ก็พอทำได้ มีรถมอเตอร์ไซค์ มีใบขับขี่ก็โอเคแล้ว แต่ว่าการ ‘ซ่อมบำรุง’ รถยนต์ถึงหน้าบ้านต้องใช้พนักงานที่มีความสามารถเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป RepairSmith จึงมีพนักงานประจำที่มีความรู้เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรถ ผ่านการอบรมของบริษัท และเป็นช่างที่มีประสบการณ์ หลังจากที่ลูกค้าจองคิวออนไลน์เสร็จ พนักงานก็จะขับรถตู้คันใหญ่ที่มีอุปกรณ์ซ่อมรถมาด้วย ซึ่งมิลเนอบอกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของบริการที่ลูกค้าเรียกนั้นสามารถทำได้ด้วยอุปกรณ์ในรถตู้คันนี้ ถ้าซ่อมไม่ได้จริง ๆ พวกเขาจะขับไปเข้าอู่ที่เป็นพาร์ตเนอร์และจัดการซ่อมที่นั่นแล้วขับกลับมาส่งถึงหน้าบ้านภายหลัง ส่วนราคาก็แทบจะไม่ต่างจากการขับไปที่อู่เองเลย มิลเนอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Inc.com ว่า

“คุณไม่ยกห้องน้ำไปหาช่างประปา เมื่อมีช่างประปามาถึงบ้าน เราก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไป”

ถึงแม้ตอนนี้บริษัทจะไม่ได้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องรายได้กับสาธารณะ แต่ตัวเลขหลังจากเปิดตัวมาได้สองปีก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพ่อใจ​ (ราวๆ 8 หลัก หรือ 10 ล้านดอลลาร์) เติบโต 22 เปอร์เซ็นต์ต่อปี พยายามจ้างงานให้เร็วที่สุดจากความต้องการที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รถตู้สำหรับใช้งานก็ต้องมีการออกใหม่แทบอาทิตย์ละคัน และภายในสิ้นปีนี้น่าจะมีช่างซ่อมรถที่เป็นพนักงานประจำถึง 70 ตำแหน่งและรถตู้ราวๆ 100 คัน

ความท้าทายคือเรื่องของการจัดตารางเวลาให้ลงตัว มิลเนอบอกว่า “มันเหมือนการวิ่งและถือกรรไกรไว้ในมือด้วย ในช่วงวันแรกๆ ที่เรามีรถตู้แค่ 2-3 คัน ผมสามารถจัดตารางไว้ในอีเมล Outlook ได้เลย แต่พอมี 50 คัน? โชคดีนะเพื่อน”

ตอนนี้มิลเนอต้องสร้างระบบหลังบ้านเข้ามาช่วยเรื่องการวิเคราะห์และจัดการเรื่องเวลาการรอคอยให้เหลือไม่เกิน 2-3 วันเท่านั้น เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องรอนานจนเกินไป

RepairSmith

Giving Back

ภายในเวลาสามปี ตอนนี้ RepairSmith ขยายไปแล้วกว่า 8 รัฐ อันได้แก่ ออริกอน, เนวาดา, เท็กซัส, แอริโซนา, วอชิงตัน, ฟลอริดา, จอร์เจีย และแคลิฟอร์เนีย ครอบคลุม 650 เมืองทั่วอเมริกา เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและปกติแล้วคิวจะเต็มอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พวกเขาก็ยังตั้งเป้าหมายในการมอบบางสิ่งคืนให้กับสังคมที่พวกเขาอยู่ด้วย โดยในช่วงต้นปี 2021 พวกเขาตั้งเงินไว้ 125,000 ดอลลาร์สำหรับการซ่อมรถยนต์ให้กับพยาบาลหรือแพทย์ที่ต้องทำงานหนักและเป็นแถวหน้าของการต่อสู้กับโรคระบาด บางส่วนแบ่งไปใช้ซ่อมให้คนได้รับผลกระทบ ตกงานจากเศรษฐกิจที่ถูกกระทบเป็นวงกว้าง

เงินตรงนี้เป็นเงินที่พวกเขาแบ่งออกมาจากรายได้เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มิลเนอเล่าว่ามันเป็นการมอบคืนที่มีความหมายแต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะมีความต้องการเยอะมากแต่พวกเขาตอบสนองได้ไม่เพียงพอ เงินตรงนี้ไม่นานก็หมดและคนก็ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ มีคนโทรติดต่อมาตลอดเพื่อขอให้ช่างของพวกเขาไปซ่อมรถให้หน่อย มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากที่จะปฏิเสธ แถมไม่พอ การต้องเอาทรัพยากรของบริษัทมาตอบคำถามและดูแลเรื่องนี้ก็ทำให้งานหยุดชะงัก ทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ไม่ดีด้วยถ้าต้องรอรับบริการนานเกินไป มิลเนอจึงพยายามแก้ไขและแบ่งเงินออกมาอีกก้อนหนึ่งราวๆ 250,000 ดอลลาร์ แต่ครั้งนี้เขาวางแผนว่าต้องจัดการให้ดีขึ้นกว่าเดิม

RepairSmith

หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการที่ชื่อ ‘CAHOOTS’ ในเมืองยูจีน รัฐ ออริกอน ที่แพทย์และผู้ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจะเดินทางไปเจอคนป่วยที่บ้านด้วยรถแวน มิลเนอจึงเกิดไอเดียขึ้นมาว่าที่จริงแล้วพวกเขาสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมตรงนี้ได้ ไม่ต้องช่วยหรือซ่อมรถของประชาชนทั่วไปโดยตรง แต่สามารถซ่อมบำรุงรถแวนที่ทำงานการกุศลเหล่านี้ได้ เพื่อให้งานของพวกเขาไม่ติดขัด เพื่อที่องค์กรเหล่านี้จะสามารถใช้ความเชี่ยวชาญและความรู้ของพวกเขาไปช่วยคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรเหล่านั้นและสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนด้วย

“ผมเห็นองค์กรนั้นแล้วคิด ‘เฮ้ พวกเขามีรถเก่าเยอะเลย เวลาซ่อมคงใช้เงินเยอะ เราสามารถช่วยคนกลุ่มนี้บรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้นะ’”

ช่วงปลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงเริ่มโครงการ ‘Jump Start’ ที่จะเข้าไปช่วยพาร์ตเนอร์ที่เป็นองค์กรการกุศลในเมืองต่าง ๆ ที่พวกเขาทำงานอยู่ โดยเข้าไปให้บริการแต่ละองค์กรเป็นเงินราวๆ 10,000 ดอลลาร์จนครบเป้า 250,000 ดอลลาร์ที่วางเอาไว้ พาร์ตเนอร์แรกๆ อย่าง Project Angel Food ที่ใช้รถเพื่อนำอาหารไปส่งคนป่วยที่ออกจากบ้านไม่ได้กว่า 2,100 คนทุก ๆ วัน ซึ่งพวกเขาก็จะเอารถแวนกว่า 10 คันขององค์กรนี้มาซ่อมเพื่อให้มันใช้งานต่อได้อย่างไม่ติดขัด

แอนน์-มารี วิลเลียมส์ (Anne-Marie Williams) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารและการตลาดของโครงการ Project Angel Food บอกว่า “RepairSmith ทำให้การขับรถแวนของเราเพื่อไปส่งอาหารให้กับคนที่ต้องการนั้นเป็นไปได้” ทำตั้งแต่ปรับศูนย์ถ่วงล้อ เปลี่ยนนำ้มันเครื่อง เปลี่ยนผ้าใบเบรกและเปลี่ยนปั๊มระบบพวงมาลัยพาวเวอร์

โดยมิลเนอก็เชื่อว่าเขาได้ค้นพบจุดที่บริษัทของเขาสามารถมอบคืนให้กับสังคมได้แล้ว การทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างไม่ติดขัดหมายความว่าคนที่จะได้รับความช่วยเหลือก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย

สำหรับอนาคตของบริษัทแล้ว มิลเนอเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่าอู่ซ่อมรถทั่วไป เพราะยิ่งเทคโนโลยีของรถยนต์พัฒนาและซับซ้อนมากขึ้น บริษัทของเขาก็จะยิ่งอยู่ในจุดที่เติบโตตามไปด้วยเพราะช่างที่อยู่ในบริษัทจะได้รับการอบรมและพัฒนาความรู้อยู่ตลอดเวลา

“ที่อเมริกามีอู่ซ่อมขนาดเล็กราวๆ 200,000 แห่งทั่วประเทศ และการที่พวกเขาจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นทั้งราคาสูงและเป็นเรื่องยาก เรารู้สึกว่าเราเป็นแพลตฟอร์มที่ขยายได้ เราจะใช้เงินเพื่อลงทุนในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ จำนวนการซ่อมอาจจะเหมือนเดิม แต่ประเภทของงานซ่อมจะแตกต่างออกไปจากเดิมแน่นอน”

วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรเคยกล่าวเอาไว้ว่า

“เราหาเลี้ยงชีพด้วยสิ่งที่เราได้ แต่เราสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่เราให้”

ความสำเร็จของธุรกิจหนึ่งขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ทั้งการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขยาย และการให้บริการที่ดี มอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในราคาที่เหมาะสม แต่สำหรับ RepairSmith ในขณะที่พวกเขากำลังเติบโตก็มองไปถึงการมอบคืนให้สังคมต่อด้วย ใช้ความสามารถและความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ในสังคมผ่านตัวกลางคนอื่นๆ ทำให้ไม่แปลกใจว่าทำไมภายในเวลาแค่สองปีจึงขยายไปได้กว่า 650 เมืองและมีเสียงตอบรับที่ดีขนาดนี้

อ้างอิง

inc.com/tim-crino/repair-smith-mechanic-on-demand-jump-start-nonprofits.html

inc.com/sageworks/why-business-is-booming-for-auto-repair-entrepreneurs.html?cid=search

repairsmith.com/i/blog/meet-the-driving-force-behind-repairsmith

edition.cnn.com/2020/07/05/us/cahoots-replace-police-mental-health-trnd/index.html

angelfood.org

คุยกับร้านไลฟ์สไตล์ FRANK! GARCON ถึงวิธีทำธุรกิจกับเพื่อนให้เป็นพาร์ตเนอร์กันไปได้นานๆ

ร้านสีน้ำเงินเจิดจ้าแห่งนี้มีความน่าสนใจในหลายเลเยอร์

ในเลเยอร์หนึ่ง ที่นี่คือร้าน lifestyle store ในสยามสแควร์ที่รวมไอเทมแฟชั่น unisex และสินค้าศิลปะไว้ในที่เดียว เจาะทาร์เก็ตวัยรุ่นสายอาร์ตในวันที่สยามยังมีแต่ร้านมัลติแบรนด์สำหรับผู้หญิง

คอนเซปต์อุดช่องว่างได้พอดี การดำเนินธุรกิจก็น่าสนใจเพราะแม้ร้านมัลติแบรนด์จะแข่งขันกันมากมายแต่ร้านแห่งนี้สามารถรวมแบรนด์ไว้ได้ถึง 200 แบรนด์ มีสินค้าหลายหมื่นชิ้น และมีลูกค้าแน่นร้านทุกวัน

นอกจากวัยรุ่นที่ชวนเพื่อนมาเดินเลือกของ เจ้าของร้านเองก็เป็นกลุ่มเพื่อน 4 คนที่เอาประสบการณ์ ความถนัด และความสนใจมาเทรวมกันจนกลายเป็นร้านที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ร้านที่มีชื่อว่า FRANK! GARCON

ในยุคที่คนรุ่นใหม่หลายคนมีธุรกิจกับเพื่อน เราชวนผู้ก่อตั้งทั้งสี่มาแชร์ว่าพวกเขามีวิธีทำงานกับเพื่อนยังไงให้ราบรื่นและพบว่าข้อห้ามคลาสสิก ‘อย่าทำงานกับเพื่อน’ อาจใช้ไม่ได้เสมอไป เมื่อความเป็นเพื่อนนำข้อดีมากมายมาสู่การบริหารร้านสีน้ำเงินร้านนี้

และต่อไปนี้คือเวิร์กกับเพื่อนให้เวิร์กในแบบฉบับของ FRANK! GARCON

frank

สายตาที่หันไปหาสิ่งเดียวกัน

เพื่อนทั้งสี่ที่รวมตัวกันเป็น FRANK! ประกอบด้วย โอกิ–ทัดสุระ อิวาชิตะ และ พร–ทวีพร หล่อเลิศรัตน์ สามีภรรยาเจ้าของร้านรองเท้าหนัง London Brown, ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทยากุล ดีไซเนอร์สาวเจ้าของแบรนด์ Daddy and the Muscle Academy และ อั้ม–บุญญนัน เรืองวงศ์ อาร์ตไดเรกเตอร์โฆษณาผู้เป็นแฟนของลูกศร

“สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ประมาณ 10 กว่าปีก่อน เรารู้จักกับพี่พรเพราะเพื่อนไปทำฟรีแลนซ์ให้ London Brown พอรู้จักกันก็ได้รู้ว่าไลฟ์สไตล์เราใกล้เคียงกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน หลังจากนั้นก็เลยไปช็อปปิ้ง แฮงเอาต์กันบ่อยจนสนิทกัน” ลูกศรเท้าความ

“เราทุกคนวนเวียนอยู่ในสยาม พี่พรกับพี่โอกิเขามีร้านรองเท้าในสยาม หลังจากนั้นศรก็เปิดร้าน Daddy and the Muscle Academy อยู่ในสยามเหมือนกัน ช่วงนั้นสยามคือทำเลทองเลย วันนึงพี่พรเขาก็โทรมาบอกว่ามีห้องว่าง ศรอยากทำอะไรกันไหม

“เราคบกับเขามา นอกเหนือจากความเป็นเพื่อนเราเห็นวิธีการทำงานเขามาก่อน เราได้เห็นความจริงจัง ตั้งใจ” แค่มองตาก็เข้าใจ ลูกศรตกลงทำงานกับพรในทันทีก่อนแฟนของทั้งคู่ซึ่งไลฟ์สไตล์คล้ายกันจะเข้ามาแจม

และความที่เดินสยามด้วยกันมาหลายปี เมื่อจะเปิดร้านสายตาของทุกคนจึงเห็นช่องว่างเดียวกันโดยอัตโนมัติ

“ช่วงนั้นร้านมัลติแบรนด์ส่วนใหญ่จะเป็นร้านสำหรับผู้หญิง แต่ร้านที่เป็นร้านของวัยรุ่นช่วงตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนเฟิสต์จ็อบเบอร์ และเป็นเด็กอาร์ต เท่ๆ หน่อยยังไม่ค่อยมี แบรนด์ก็อยู่อย่างกระจัดกระจาย ลูกศรเขาทำงานสไตลิสต์ก็รู้ว่ามีช่องว่างนี้ พี่พรกับพี่โอกิก็บอกว่าเป็นทาร์เก็ตที่น่าสนใจ เขาอยู่ในสยามเขาก็เห็นว่ามันไม่มีจริงๆ” อั้มอธิบายก่อนโอกิผู้ถูกเอ่ยถึงจะเล่าต่อ

“ส่วนมากร้านในสยามจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า แต่ร้านที่ขายไลฟ์สไตล์ งานศิลปะยังไม่ค่อยมี ร้านของเราเลยเป็น lifestyle store มีของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ทั้งดนตรี ศิลปะ ภาพยนตร์ เสื้อผ้า”

เติมช่องว่างทางความสามารถ

FRANK! GARCON เกิดขึ้นจากการเติมเต็มช่องว่างทางธุรกิจในย่านสยาม ส่วนการทำให้ร้านตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นไปได้ด้วยการเติมเต็มช่องว่างทางความสามารถของกัน

ใครถนัดอะไร เก่งด้านไหนก็รับผิดชอบด้านนั้น ในช่วงแรกๆ ที่ทำร้านกันเองการมีผู้ก่อตั้งถึงสี่คนจึงช่วยให้ร้านเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“มันเป็นไปตามธรรมชาติ มองตาก็รู้ว่าใครต้องทำอะไร” ลูกศรพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

“เวลาหุ้นกับเพื่อนมันมีการหุ้นหลายแบบ คนที่สนใจด้านเดียวกันพอมาทำธุรกิจก็อาจจะไปไม่รอดเพราะว่าในองค์กรหนึ่งมันมีหลายแผนก หลายเซกชั่นที่ต้องดูแล อย่างศรเรียนจบด้านดีไซน์ พี่อั้มทำงานอาร์ตไดฯ เราก็เลยจะดูฝั่งครีเอทีฟ การสื่อสาร CI แบรนด์ดิ้งทั้งหมด ส่วนพี่พรกับพี่โอกิเขาจะเก่งเรื่องเมเนจเมนต์และบัญชีเลยเป็นคนดูแลฝั่งโอเปอเรชั่น เลือกสินค้าเข้าร้าน ติดต่อกับแบรนด์ที่มาวางขายทั้งหมด”

แต่ไม่ว่าจะรับผิดชอบฝั่งไหน คุม CI หรือเป็นฝ่ายเลือกสินค้าเข้าร้าน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นภาพแบรนด์ที่ตรงกันซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับชาว FRANK!

“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์ สิ่งแรกที่เราต้องทำคือกำหนดอาร์ตไดเรกชั่น กำหนด CI ของแบรนด์ พอภาพชัดทุกอย่างมันจะไหลตามมาเลยว่าแบรนด์ไหนที่ใช่สำหรับเรา แบรนด์ไหนที่ไม่ใช่ แบรนด์ไหนอยู่กับเราแล้วส่งเสริมภาพลักษณ์กัน

“สำหรับพวกเราศรว่ามันเริ่มจากความชอบ เราชอบทำธุรกิจเหมือนกัน มีความชอบที่คล้ายๆ กันพอทำงานเลยไม่ต้องพูดกันเยอะ ไม่ต้องมาจูนสไตล์ ไม่มีใครรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ เวลาจับเสื้อตัวนึงมาศรกับพี่พรจะกรี๊ดเหมือนกัน (หัวเราะ)” ลูกศรเล่า ก่อนที่เธอ พร และอั้มจะขอโชว์ว่าเสื้อที่ใส่มาวันนี้ยังเป็นเสื้อที่ด้านหน้าเรียบๆ ด้านหลังมีลายขนาดใหญ่เหมือนกันแบบไม่ได้ตั้งใจ

frank

ยิ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ อั้มยิ่งย้ำว่าสไตล์ที่ตรงกันยิ่งทำให้พวกเขาขยับตัวได้ไวซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมาก “ถ้าสไตล์ไม่ตรงกันเราก็จะทำงานช้า สมมติว่าดีไซน์เสื้อแบบนึง ฝั่งดีไซน์ส่งให้ฝั่งขาย ฝั่งขายไม่ชอบ ไม่เชื่อใจ ต้องปรับแก้ ส่งไปอีกก็ไม่ชอบอีก กว่าจะได้ขายมันใช้เวลานานมาก

“แต่นอกจากสไตล์ตรงกัน พอแบ่งพาร์ตกันแล้วเวลาทำงานก็ต้องให้เกียรติกันด้วย ในพาร์ตโอเปอเรชั่นเรากับศรก็จะไม่ไปก้าวก่าย เคารพการตัดสินใจของพี่พรและพี่โอกิ ส่วนในพาร์ตดีไซน์ที่ลูกศรทำ พี่พร พี่โอกิก็จะเคารพการตัดสินใจของลูกศร”

“ศรว่ามันคือความเข้าใจ คือความเห็นพ้องต้องกัน บอกไม่ถูกว่าคืออะไร อาจจะเป็นเคมี พอทุกคนเห็นภาพตรงกันทุกอย่างมันก็กลม ดำเนินงานของแต่ละฝ่ายได้สบาย แล้วมันไม่ใช่แค่เรา 4 คน หลังๆ แต่ละฝ่ายก็เริ่มมีทีมของตัวเอง พอภาพเราชัดน้องๆ เขาก็จะรู้ว่าแบบนี้ใช่ FRANK! แบบนี้ไม่ใช่โดยที่เราไม่ต้องบอก แล้วเขาก็จะไปตีความต่อได้อีกอินฟินิตี้ว่าอันไหนที่เป็นเรา

“ด้วยความที่รู้ใจกันวิธีการทำงานของเราเลยเน้นการสื่อสารที่เร็วและทำเร็ว เราไม่จำเป็นต้องมานั่งประชุมตลอดเวลาแต่สามารถตัดสินใจในฝ่ายของตัวเองได้เลย จะคุยกันจริงจังเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ เช่น มีห้างติดต่อเข้ามาหรือการย้ายสาขา ศรว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นยุคของความเร็ว ตัดสินใจเร็ว ทำอะไรเร็ว เคลื่อนตัวเร็ว องค์กร FRANK! เลยเคลื่อนตัวเร็วมาก” ลูกศรสรุปให้

frank

สร้างระบบที่จริงใจ

“ถ้าให้แนะนำคนที่จะทำงานกับเพื่อน ผมคิดว่าควรเซตระบบทุกอย่างให้ดีตั้งแต่แรกโดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างบัญชีที่ต้องทำให้โปร่งใสเพราะมันแตกหักกันง่ายๆ เลย” อั้มตอบทันทีที่เราขอคำแนะนำให้คนที่กำลังเริ่มทำธุรกิจกับเพื่อน

“บางคนจะเกรงใจกันช่วงแรกๆ ตอนเงินไม่เยอะมันไม่เท่าไหร่หรอก วันไหนที่เงินเยอะถึงจะมีปัญหา ฉะนั้นเราตั้งต้นตั้งแต่แรกเลย เซตระบบให้ดี ตกลงกันให้แฟร์ ไม่อย่างนั้นมันจะรู้สึกว่าทำไมฉันได้น้อย ทำไมเธอได้เยอะ มายึกยักกันตอนหลัง”

โอกิกับพรซึ่งดูแลเรื่องบัญชียกตัวอย่างระบบด้านการเงินให้ฟังว่า ทุกค่าใช้จ่ายต้องมีที่มาที่ไปให้ทุกคนรู้ ส่วนเรื่องสมุดบัญชี หากใครเป็นเจ้าของบัญชีคนที่ถือสมุดบัญชีต้องเป็นผู้ก่อตั้งอีกคนเพื่อให้โปร่งใส

frank

“พอเราทำงานด้วยความรู้สึกว่าเราไม่โกงเราก็สามารถเปิดได้หมดทุกอย่าง เราเข้าใจว่าเรื่องเงินมันคุยกันยาก แต่ควรต้องคุย เพราะถ้ามีปัญหาเรื่องเงินงานทุกอย่างมันจะติดขัดไปหมดเลย”​ โอกิย้ำหนักแน่น 

แนวคิดเรื่องระบบที่ดีและความโปร่งใสไม่ใช่สิ่งที่จบในหมู่ผู้ก่อตั้งเท่านั้นแต่ยังนำไปสู่การวางระบบการทำงานกับแบรนด์ที่มาวางขายกับ FRANK! GARCON ทำให้แบรนด์เชื่อใจและอยากวางขายกับพวกเขาไปนานๆ

“ด้วยความที่เรามีแบรนด์วางขายเยอะและอยากทำให้โปร่งใส เราเลยใช้ระบบหลังบ้านที่แบรนด์สามารถล็อกอินเข้ามาดูสต็อกสินค้าของเขาแบบเรียลไทม์ได้ รู้ว่าของชิ้นไหนขายไปวันที่เท่าไหร่ เหลือสต็อกอะไรบ้าง แบรนด์ใช้งานง่าย ตัวเราก็สามารถเช็กได้เหมือนกัน โปร่งใสทั้งเขาและเรา และเรามีวันโอนเงินที่แน่นอน ตั้งแต่ทำมาก็ยังไม่เคยเกินวันที่แจ้งเอาไว้ พยายามให้แบรนด์เชื่อถือเรา” พรและโอกิช่วยกันเล่า ส่วนลูกศรที่ดูแลด้านแบรนด์ดิ้งขอเสริมว่าระบบจ่ายเงินตรงเวลาสุดท้ายแล้วก็กลับมาตอบการสร้างแบรนด์ FRANK! GARCON ให้มั่นคง

“เพราะเราให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่สดใหม่และยังเป็น young designer ซึ่งพวกเขาต้องใช้เงินไปหมุน เราเลยให้ความสำคัญมากกับการจ่ายเงินให้ตรงเวลา ยิ่งเขามีเงินต่อยอดทำโปรดักต์ใหม่เร็วเท่าไหร่ลูกค้าก็จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากเรามากขึ้นเท่านั้น”

frank

เลือกเพื่อนและพาร์ตเนอร์ที่ใช่

FRANK! GARCON เป็นตัวอย่างการทำงานกับเพื่อนที่มีข้อดีมากมายก็จริง แต่สุดท้ายลูกศรย้ำว่าเพื่อนกับพาร์ตเนอร์ที่ดีอาจไม่ใช่คนเดียวกัน อยู่ที่การจัดวางความสัมพันธ์ให้เหมาะสม

“จากประสบการณ์ เรารู้สึกว่าไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่จะทำธุรกิจด้วยกันแล้วไปได้ดี ถ้าเป็นเพื่อนเราแฮงเอาต์ด้วยกันจบวันแล้วก็จบ แต่ความเป็นพาร์ตเนอร์มันคือการอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ทำงานด้วยกันตลอดเวลา เราจะต้องอยู่กับเขายิ่งกว่าแฟน

“ถ้าถามเรา สิ่งสำคัญที่ต้องดูในเพื่อนคือทัศนคติในการตัดสินใจ เรา get along ไปกับเขาไหม มีการตัดสินใจที่คล้ายกันหรือเปล่า ถ้าไปคนละทิศละทาง ทำงานด้วยกันปีสองปีอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามองระยะยาวแบบ 10 ปีมันจะมีเรื่องให้เราตัดสินใจเยอะมาก ยิ่งกว่านั้นมันมีเรื่องที่เราจะต้องเห็นต่างกันแน่ๆ เราจะจัดการความเห็นต่างนี้ยังไง เห็นต่างแล้วเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม”

ปัญหานี้ไม่มีวิธีจัดการตายตัว แต่หนึ่งสิ่งที่ลูกศรและทีมแนะนำได้คือให้มองคุณสมบัติของเพื่อนกับพาร์ตเนอร์ให้ชัดเจน แล้วค่อยใช้ความเป็นเพื่อนในจุดที่เหมาะสม

“เพื่อนก็ส่วนเพื่อน แต่เมื่อทำธุรกิจเราก็ต้องมองในมุมของสไตล์การทำงาน ถ้าคนนึงใจร้อน อีกคนควรใจเย็น หรือถ้าใจเย็นทั้งคู่ก็จะดี หรือทำงานแบบกัดไม่ปล่อยไหมหรือทำยังไม่ถึงที่สุดแล้วท้อกลางทาง มันมีปัจจัยร้อยแปดพันเก้า

“อย่างพี่พรกับพี่โอกิเขาทำธุรกิจกันมานานแล้ว สิ่งที่เราเห็นคือเขาประสบความสำเร็จในธุรกิจของเขา พอศรมาเริ่มธุรกิจของตัวเอง พี่พรก็อาจจะเห็นว่าเราเป็นเด็กที่ตั้งใจ เอาจริงเอาจัง บวกกับการที่เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาเรารู้ว่าการตัดสินใจมันไปในแนวทางเดียวกันมันก็เลยเวิร์ก การทำธุรกิจมันมีเรื่องให้ตัดสินใจเกิดขึ้นบ่อยมากแต่มันจะไปในทางเดียวกันเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรือเรื่องดีไซน์”

ถามว่าคิดเหมือนกันขนาดไหน เห็นได้จากคำตอบและเสียงหัวเราะของพรเมื่อเราถามว่าอยากแนะนำอะไรเพิ่มหรือไม่ “คิดเหมือนศรเลย ขอข้ามไปชมเพื่อนเลยได้ไหมคะ”

แน่นอนว่าคำตอบของเราคือได้ และด้านล่างนี้คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาสี่คนถึงเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดของกัน

You Are My Best Part (ner)

จากลูกศรถึงอั้ม : definition ของพี่อั้มคือเป็ด คือทำได้หลายอย่างในเลเวลที่ดีด้วย บัญชีเขาทำได้ เรื่องครีเอทีฟก็ดีมาก ทำ 3D ได้ ทำกราฟิกได้ แล้วก็มีวิชั่น ซึ่งคนแบบนี้ศรคิดว่าเราต้องการเขาในองค์กร

จากอั้มถึงพร : พี่พรเขาเป็นคนที่มีวิชั่น มองขาดเรื่องธุรกิจ สมมติง่ายๆ ว่าเราต้องเลือกว่าจะไปเปิดร้านที่ไหนเขาก็จะมองขาดว่าที่นี่ดี ที่นี่ไม่ดี

จากพรและโอกิถึงลูกศร : ศรเป็นคนเก่ง มีความสามารถ เป็นคนที่ตั้งใจจริง ตอนที่เจอกันเขายังเด็กมาก ลุคดูเป็นเด็กน่ารักๆ แต่เวลาทำงานคือจริงจังมากๆ มีความรับผิดชอบ ถึก มายด์เซตดีมาก แล้วก็เป็นคนมีวิชั่น มองภาพอะไรขาด มองไกล เหมือนเรามองประมาณนี้ แต่เขาจะคิดต่อไปอีก บียอนด์ไปอีก

จากลูกศรถึงโอกิ : ศรกับพี่พรเป็นคนไว ส่วนพี่โอกิเขาจะเป็นคนที่คอนทราสต์กับเรา คือสุขุมนุ่มลึก เป็นเจนเทิลแมนพอมีพี่โอกิที่คิดเยอะให้เรา ศรว่ามันบาลานซ์กันได้ดี

How to Find True Love and Happiness รักแท้…(วางแผนทางการเงิน) ยังไง

รักแท้ นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

รักแท้ WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

สอนลูกให้รวยและรู้จักวางแผนทางการเงินผ่านค่าขนม

มีคำถามจากคุณผู้อ่านที่เป็นคุณพ่อคุณแม่หลายท่านส่งมาถามว่า จะสอนลูกให้รู้จักค่าของเงินและการวางแผนทางการเงินอย่างไร Wealth Done ตอนนี้มีคำตอบค่ะ

จะสอนเขาอย่างไร จะให้ตั้งเป้าหมาย จะให้ทำอะไร ฟังดูคตินิยมมากใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วง่ายมากค่ะ เราอยากให้ลูกเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญแรกสุด พ่อแม่ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง อยากให้ลูกพูดเพราะ พ่อแม่ก็ต้องพูดเพราะ อยากให้ลูกอ่านหนังสือ พ่อแม่ก็ต้องอ่านหนังสือกับเขา ไม่อยากให้เขาดื่มน้ำอัดลม พ่อแม่ก็ต้องไม่ดื่มน้ำอัดลม ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่บอกให้ลูกทำอย่างนึง แล้วตัวเองทำอีกอย่างนึง แล้วลูกจะเชื่อฟังนะคะ

เรื่องการออมเงินก็เช่นกันค่ะ หากเราจะสอนให้ลูกออมเงิน เราก็จะต้องออมเงินด้วย

เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างค่าขนม ซึ่งเท่ากับ ขนม 1 ชิ้น น้ำหรือนม 1 กระป๋อง ถ้าสมมติที่โรงเรียนขายอยู่ประมาณ 25-35 บาท นั่นคือเงินค่าขนมต่อวัน ตอนเล็กๆ  ก็ให้เป็นรายวัน ซึ่งระหว่างทางเราอาจจะใส่นมกล่องลงไปติดกระเป๋า แล้วอาจจะลองบอกว่าถ้าทานนมกล่องก็ไม่ต้องซื้อขนมนะลูก เพื่อที่จะเหลือเงินนี้มาหยอดกระปุก 

โดยมีกุศโลบายว่ากระปุกควรจะเป็นกระปุกใส อาจจะเป็นขวดน้ำมาเจาะรูไว้ก็ได้ค่ะ ถามทำไมต้องเป็นกระปุกใส เพราะพอเขาหยอดลงไป เขาจะได้เห็นว่าเงินเขานั้นเติบโตยังไง พอเขาเริ่มโตก็ลองเปลี่ยนไปให้ค่ารายสองวันเพื่อให้เขารู้จักบริหารจัดการ จากนั้นขยับเป็นรายอาทิตย์ แล้วพอถึงระดับมัธยมก็เป็นรายเดือน

ระหว่างทางเราก็จะคอยมอนิเตอร์เขา ทุกเดือนเราก็จะคอยถามว่าเก็บเงินได้เท่าไหร่ ชวนเขานับเงินในกระปุก จากนั้นพาไปฝากเงินที่ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นเงิน 20 บาท 50 บาท 100 บาทก็เปิดบัญชีให้เขา น่ารักเชียวค่ะ

ทุกครั้งที่ไปฝากเงิน ลองชวนเขาทำอะไรที่เขาอยากทำ ถ้ายังนึกไม่ออก สิ่งที่อยากฝากพ่อแม่ทุกคนก็คือยัดหนังสือใส่มือลูกค่ะ การที่เขามีหนังสือในมือมันฝึกทั้งเรื่องสมาธิ ฝึกทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็ก ฝึกเรื่องการอ่าน แล้วตามมาด้วยเรื่องราวในหนังสือ ส่วนใหญ่จะให้คติ ให้แรงบันดาลใจต่างๆ เพราะฉะนั้นไปฝากเงินปั๊บก็พากันแวะร้านหนังสือนะคะ อาจจะให้เขาเลือกหนังสือสักหนึ่งเล่มกลับมาด้วย เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่จะทำให้ลูกของเราเข้าใจว่า ถ้าเขาเก็บเงินได้เท่านี้เงินจะสามารถกลายร่างเป็นหนังสือหนึ่งเล่มได้ ที่สำคัญลองบอกให้เขาเก็บรักษาหนังสือเล่มนั้นสิคะ เขาจะดูแลมันอย่างดี 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมักจะตรงข้ามกัน คือนอกจากจะไม่ชวนเขาเก็บเงินแล้ว เวลาไปห้างสรรพสินค้าก็ยังจะซื้อของเล่นให้เขาอยู่ตลอด สิ่งที่ตามมาคือของเล่นเต็มบ้าน แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าเขาไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะได้ของเล่นสักชิ้นหนึ่งเลย 

ในทำนองกลับกัน ถ้าเราค่อยๆ สอนเขาเก็บเงินที่ละเล็กละน้อยเพื่อซื้อของบางอย่างที่เขาอยากได้ มันอาจฟังดูเป็นเรื่องในอุคมคติมากเลย แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่หนึ่ง

สำหรับครอบครัวเชื้อสายจีน วันตรุษจีน จะมีประเพณีให้เงินแต๊ะเอีย แทนที่จะให้เขาใช้เงินก้อนนั้น ก็นำไปฝากธนาคาร ซึ่งเขาจะตกใจมาก เพราะระหว่างที่เขาเก็บได้ 5 บาท 10 บาท แต๊ะเอียนั้นคือเงินหลักร้อย บางครอบครัวให้หลักพันบาท เขาก็จะดีใจ แล้วเชื่อสิคะ พอเขาเริ่มเก็บสตางค์ได้ เมื่อเราถามว่าเขาอยากใช้เงินกับอะไร เขาจะยังไม่อยากใช้ เพราะอยากจะเห็นตัวเลขในบัญชีของเขาเติบโต เป็นบททดสอบที่ท้าทายของคุณพ่อคุณแม่เหมือนกัน บางคนอาจจะถามลูกว่าอยากได้กีตาร์สักตัวมาซ้อมเล่น อยากจะไปเรียนเปียโน หรืออยากใช้เงินที่เก็บได้ระยะหนึ่งไปทำอะไรเป็นพิเศษ

อีกหนึ่งกุศโลบายคือ เก็บเงินได้เท่าไหร่ คุณพ่อคุณแม่ทบให้อีกเท่าตัว ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าจะมีรางวัลมาจูงใจเด็กๆ สักหน่อย เราเห็นพ่อแม่คนไทยหลายคนชอบทำ คือให้เงินรายวันตามเกรดที่เรียนได้ ซึ่งเราไม่อยากจะแนะนำ เพราะถ้าลูกคุณเรียนเก่ง คุณทำเลย แต่ถ้าลูกคุณจะต้องเป็นทุกข์ทรมานเพราะเรื่องเกรดเราไม่แนะนำ

ต้องเข้าใจนะคะว่าคนเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ลำพังแค่เขาเติบโตและเลี้ยงดูตัวเองได้ก็ดีมากแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องช่วยเขาคือ ค้นหาว่าเขาชอบอะไรและชำนาญอะไร 

เราอาจจะเคยได้ยินว่า อย่าไปสอนปลาให้ปีนต้นไม้ เด็กทุกคนมีความเก่งของตัวเอง สิ่งที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทำคือ สังเกตลูกตัวเองเยอะๆ ทำให้เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพราะการอ่านจะช่วยให้เขาเรียบเรียงความคิดได้ สอนเรื่องการจับใจความ แล้วก็สรุปใจความ เป็นทักษะที่จะติดตัวเขาไปตลอดเวลา เรื่องการวางแผนทางการเงินตั้งแต่เด็กก็เช่นเดียวกัน

เรื่องที่สองคือ สอนเรื่องการประหยัด ผ่านการรักษาข้าวของที่มี

สมมติไปโรงเรียนด้วยดินสอ 3 แท่ง ยางลบ 1 อัน ก็ควรจะกลับบ้านด้วยดินสอ 3 แท่งพร้อมยางลบ 1 อัน สอนให้เขารักษาของ ไม่ทำหายและก็ไม่ไปเอาของเพื่อนกลับบ้าน 

ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้ที่อยากเล่าให้ฟัง มีวันหนึ่ง ลูกลืมชุดพละ เราอยากเป็นแม่ที่ดีก็เลยไปซื้อชุดใหม่มาให้ เจออาจารย์อยู่หน้าห้องเรียน อาจารย์ก็ห้ามคุณแม่เด็ดขาด แล้วบอกว่าเขาต้องเรียนรู้ที่จะอายเมื่อยืนท่ามกลางหมู่เพื่อนที่ใส่ชุดพละขณะที่เขาใส่ชุดนักเรียน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้และจำผลของการลืมเอาชุดพละมา ซึ่งเราไม่เคยคิดในมุมนี้มาก่อน ว่ามีหลายๆ เรื่องที่เป็นบทเรียนสอนให้เขาเติบโต เราเองก็ต้องเติบโตเรียนรู้ว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ

จากหัวข้อบทความเรื่องการ ‘สอนลูกให้รวย’ คุณอาจจะสงสัยว่า เด็กและผู้ใหญ่มีความเข้าใจความรวยเหมือนกันหรือแตกต่างอย่างไร 

จริงๆ เด็กเขาไม่ได้เข้าใจหรอกค่ะ 

จากสิ่งที่เขาเห็น คุณแม่ให้แบงก์พันร้านค้าแล้วเขาทอนกลับมา มีแบงก์สีม่วง สีแดง แล้วก็มีเหรียญอีก เขาจะรู้สึกว่าคุณแม่เก่งมากเลย เพราะนอกจากจะได้แบงก์เยอะขึ้นแล้วยังได้ของด้วย แต่เขายังไม่รู้หรอกว่า คำว่ารวยคืออะไร แต่สิ่งที่เขาจะเข้าใจก็คือ คุณแม่ทำงานเพื่ออะไร เพื่อจะมีสตางค์ แต่เขาจะไม่รู้เลยว่าคุณแม่ต้องทำงานเพื่อจะมีสตางค์มาซื้อข้าวให้เขา

ในฐานะนักการเงินมีคำแนะนำว่า เวลาที่ไปซื้อของที่ตลาดก็ควรพาเขาไปด้วย เพื่อเรียนรู้และเข้าใจว่าของมีราคา ทำไมพ่อและแม่ต้องทำงานเพื่อจะได้เงิน และเอาเงินไปซื้อของให้หนู นอกจากนี้ยังเป็นการสอนเรื่องตัวเลขที่ดีที่สุด ชวนเขาคิดเรื่องบวกลบคูณหาร เช่น นี่คือแบงก์พันนะ มันเป็นแบงก์ใหญ่ที่มีมูลค่าสูงสุด แบงก์พัน 1 ใบมีค่าเท่ากับแบงก์ร้อย 10 ใบ ในที่สุดเขาจะเรียนรู้ว่า รวยสำหรับเขาคือการได้กินของที่ชอบ หรือการที่ไปร้านค้าแล้วเขาสามารถซื้อของเยอะแยะกลับบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อหนูเติบโต หนูก็ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำในสิ่งที่ชอบ เพื่อที่หนูจะได้ทำงานที่หนูชอบ มีสตางค์และเก็บเงินอย่างนี้เป็นต้น

ขณะที่คำว่ารวยของผู้ใหญ่ เรามักจะบอกเสมอว่า ถ้าเรารู้ตัวเราเอง ไม่ไปเทียบกับคนอื่นที่เขาอาจจะโพสต์ในโซเชียลตลอดเวลาว่าไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาใช้เงินบัตรเครดิตเพื่อความสุขนั้น ขณะที่บางคนไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่มีเงินในบัญชีมากมาย 

ความรวยก็ขึ้นกับว่าความสุขเราอยู่ตรงไหนมากกว่า เช่น ถ้าความสุขของคุณคือการไปเที่ยว ก็เก็บเงินไปเที่ยว มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งเขามีความฝันอยากไปดูบอลโลกสักครั้งในชีวิต เขาก็วางแผน 4 ปี สำหรับการเก็บเงินเพื่อไปอังกฤษ ประกอบด้วย ค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 20,000 ค่าใช้ชีวิตในอังกฤษ 3 อาทิตย์ นี่น่าจะอยู่ประมาณสัก 80,000 เขาก็สามารถเก็บเงิน 100,000 บาทได้ภายใน 4 ปี แล้วเขาก็ไปเที่ยวไปดูบอลโลก เราว่ามันเป็น achievement ที่ดีมากๆ

กลับมาที่เรื่องลูกๆ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์บ้าง หรือโรงเรียนทางเลือก ซึ่งท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ค่าเทอมของโรงเรียนแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันมหาศาล ถ้าโรงเรียนรัฐบาล ค่าเทอมจะอยู่ประมาณหลักหมื่น ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนค่าเทอมก็อาจจะขึ้นมาเป็น 80,000-100,000 แต่ถ้าไปอินเตอร์ก็อาจจะอยู่ที่ 300,000-1,000,000 ต่อปี

ซึ่งไม่ว่าจะเงินหมื่นกับล้านก็ต้องวางแผน สมมติว่าเรายังมีไม่เยอะ ในขวบปีแรกหรือ 6 ปี ถ้าเราส่งเขาไปโรงเรียนที่ค่าเทอมประมาณหมื่นกว่า แล้วเราเก็บตังตอนนั้น 6 ปี พอถึงช่วงชั้นมัธยมเราจะมีเงินก้อนใหญ่พอให้เขา

โดยในช่วงชั้นการเรียนปริญญาตรีนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาอยากเรียนอะไร ซึ่งถ้าพ่อแม่เก็บเงินถึง 12 ปี มีโอกาสสูงที่จะเก็บเงินได้ 10 ล้านบาท ก็จะทำให้เขามีตัวเลือกในชีวิตมากขึ้น และเงินนี้ก็มากพอที่จะทำให้เขาเรียนจบปริญญาตรีและโทที่ต่างประเทศได้สบายๆ 

สิ่งที่อยากจะฝากถึงพ่อแม่ทุกคนคือ อะไรก็แล้วแต่อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย แต่อยากให้มาสนุกกับการวางแผนชีวิตให้เขา และเฝ้าดูเขาเติบโตกันดีกว่า


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co