ศูนย์โกนหัว, โฮมสเตย์วิถีเซน การปรับตัวขององค์กรศาสนา ในยุคที่ความเชื่อต้องพึ่งทุนนิยม

การกลับมาของซีรีส์สาธุ ในซีซั่น 2 ทำให้ชาวโซเชียลฯ กลับมาวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งถึงประเด็นระหว่าง ‘ศาสนา’ และ ‘ธุรกิจ’ ซึ่งทางหนึ่งคือหนทางดับทุกข์ อีกทางหนึ่งคือหนทางสู่ความมั่งคั่ง มองมุมไหนสองสิ่งนี้ก็เป็นเส้นขนานของกันและกันมาตลอด โดยเฉพาะในศาสนาพุทธที่มีคำสอนให้ผู้นับถือไตร่ตรองละจากกิเลสวัตถุ (แม้บ่อยครั้งจะเผยให้เห็นความย้อนแย้งเมื่อคนในผ้าเหลืองเป็นผู้กระทำผิดเสียเองก็ตาม)

ถึงกระนั้นในร่มศาสนาอื่นเรื่องของศาสนาและธุรกิจกลับมีให้เห็น ผ่าน business model ที่น่าสนใจ โดยที่ไม่ต้องหลบซ่อน หรือหักเหลี่ยมเฉือนคมเหมือนในซีรีส์ แต่จะทำยังไงและเป็นศาสนาไหนบ้าง พนมมือตั้งจิตอธิษฐานแล้วไปหาคำตอบพร้อมกันในคอลัมน์ Recap ตอนนี้

Tonsure Centres: ธุรกิจ ‘โกนผม’ แลกความศรัทธา

ณ เมืองติรุมลา รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดติรุมลา ติรุปติ เวงกเฏศวร (Tirumala Tirupati Venkateswara Temple) มีธุรกิจที่เรียกว่า ‘ถวายหัว’ หรือการ ‘โกนหัว’ เพื่อถวายเส้นผมบูชาแด่พระวิษณุ ปางพระเวงกะเตศวร  ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู นิกายไวษณพ (Vaishnavism) โดยผู้ที่มาแสวงบุญสามารถทำตามพิธีดังกล่าวได้ทุกเพศทุกวัย

ในอดีตการถวายเส้นผมเป็นการแสดงสัญลักษณ์ถึงการละอัตตา, หลุดพ้นจากวัฏจักรโลกียะ และแสดงตนถึงการเป็นสาวกที่ดี เป็นเช่นนั้นมาหลายร้อยปีจนกระทั่งโลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ความเชื่อดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นการถวายเส้นผมแลกกับการขอพรสำเร็จ 

และนั่นจึงเป็นที่มาของ ‘ติรุมลา ติรูปติ เทวสถานัม’ (Tirumala Tirupati Devasthanams: TTD) องค์กรอิสระที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลรัฐอานธรประเทศซึ่งรับหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการวัดติรุมลา ริเริ่มธุรกิจ ‘Tonsure Centres’ หรือ ‘ศูนย์โกนผมครบวงจร’ โดยมีช่างตัดผมนับร้อยชีวิตคอยให้บริการในบริเวณวัด มีระบบจัดการคิว ระบบชำระเงินค่าโกนผม มีห้องอาบน้ำสำหรับชำระล้างตัวพร้อมเปลี่ยนชุดเตรียมเข้าพิธีสักการะขอพร

และด้วยปริมาณเส้นผมหลายร้อยตันต่อปี องค์กรติรุมลาฯ จึงนำเส้นผมเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการประมูลออนไลน์เพื่อขายเส้นผมเหล่านั้นแก่ร้านตัดผม, โรงงานผลิตวิกผม และส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ 

สาเหตุที่การทำธุรกิจศูนย์โกนผมครบวงจรสามารถดำเนินได้โดยไม่ผิดกฎหมายนั้น เพราะองค์กรติรุมลาฯ ดำเนินกิจการภายใต้การกำกับของรัฐบาล ขณะเดียวกันมีการทำข้อตกลงกับผู้ใช้บริการว่าสิทธิ์การเก็บรักษาเส้นผมที่ถูกโกนจะตกอยู่กับองค์กรติรุมลาฯ ซึ่งสามารถนำไปใช้ต่อได้ในเชิงพาณิชย์ โดยรายได้จากการทำธุรกิจจะถูกส่งกลับมาทำนุบำรุงวัด และมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อถกเถียงตามมาอยู่บ่อยครั้ง ว่าการทำธุรกิจลักษณะนี้อาจนำมาสู่ปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างการบังคับขายเส้นผม หรือผิดจากหลักวัตถุประสงค์เดิมที่ทำเพื่อสนองความศรัทธา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโมเดลธุรกิจนี้เองมีส่วนทำให้วัดติรุมลาฯ เป็นวัดที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอินเดีย

Shukubo: เปลี่ยนที่พำนักสงฆ์ให้เป็น ‘โฮมสเตย์’ สัมผัสรสพระธรรมฉบับวิถีเซน

75,000 คือจำนวนตัวเลขวัดร้างและวัดที่ขาดผู้ดูแลสืบทอดต่อในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัดศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน นิกายเซน สาเหตุหลักๆ มาจากจำนวนประชากรที่ลดลงในประเทศญี่ปุ่น เหลือเพียงผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าวัด ขณะที่เด็กรุ่นใหม่เริ่มหันหลังให้กับศาสนา 

ด้วยจำนวนรายได้จากการรับบริจาคที่ลดลง วัดในญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า ‘โชคุโบะ’ (Shokubo) จึงปรับตัวด้วยการเปลี่ยนที่พำนักสงฆ์เป็น ‘โฮมสเตย์’ วัดเอะโคอิน ภูเขาโคยะซัง (Ekoin Temple, Koyasan) จังหวัดวากายามะ

ที่ภายในวัดยังคงบรรยากาศเงียบสงบ อุดมด้วยแมกไม้ธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมวิจิตรงดงามของตัววัด เพิ่มเติมคือมีการแบ่งสัดส่วนให้กลายเป็นที่พักสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมโปรแกรมกิจกรรม ‘ปฏิบัติธรรมแบบวิถีเซน’ เช่น การคัดลอกพระสูตร, นั่งสมาธิ, สวดมนต์, ทำวัตรเช้า, แช่ออนเซ็น ไปจนถึงการทานอาหารมังสวิรัติหรือที่เรียกว่าโชจิน เรียวริ (Shojin Ryori) ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล

ไม่ใช่แค่การปรับตัวในแง่กิจกรรม บุคลากรและพระสงฆ์ภายในวัดเองยังหันมาใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกสบายใจ และถ่ายทอดขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมหรือเรื่องราวประวัติศาสตร์ของวัดได้อย่างถูกต้อง

ถ้าถามว่าการที่วัดเปลี่ยนตัวเองเป็นโฮมสเตย์เชิงพาณิชย์จะไม่ผิดหรือ? คำตอบคือไม่ เพราะตามบทบัญญัติของกฎหมาย ‘religious organization’ ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งครอบคลุมการดูแลวัด, ศาลเจ้า, โบสถ์ ฯลฯ ระบุไว้ชัดเจนว่า ศาสนสถานใดก็ตามที่จดทะเบียนภายใต้ Religious Corporations Act หรือกฎหมายที่ให้สถานะทางกฎหมายแก่หน่วยงานทางศาสนา สามารถถือครองทรัพย์สินและดำเนินกิจการเชิงพาณิชย์ได้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร 

นอกจากนี้รายได้ที่มาจากการทำพิธีกรรม การบริจาค และกิจการพาณิชย์จะได้รับสิทธิพิเศษชำระภาษีน้อยกว่าองค์กรเอกชนทั่วไป นั่นก็เพื่อทำให้ศาสนสถานสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง จึงไม่แปลกใจที่วัดในประเทศญี่ปุ่นจะค่อยๆ ผันตัวเองเป็นโชคุโบะ ที่ต้องบอกว่าได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่สนใจในเทรนด์ wellness

TBN: สถานีโทรทัศน์ที่ยืนหยัดถึง 72 ปีจากแรงศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชน

ย้อนกลับไป ค.ศ. 1973 สหรัฐอเมริกาได้เกิดเครือข่ายโทรทัศน์คริสเตียนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า Trinity Broadcasting of Texas, Inc. (TBN) ที่ก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเพนเทคอสต์ ก่อนจะถูกดำเนินกิจการโดยคู่สามีภรรยาพอลและแจน เคราช์ (Paul and Jan Crouch) ในฐานะองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ดำเนินงานในรูปแบบเครือข่ายสื่อโทรทัศน์ 

เครือข่ายโทรทัศน์ TBN เน้นผลิตและนำเสนอรายการที่เผยแพร่ความเชื่อศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ทั้งโปรเตสแตนต์ คาทอลิก และอีแวนเจลิคัล ไปจนถึงนำรายการบางส่วนที่มาจากคริสตจักรออกฉาย 

ในเวลาต่อมา TBN ยังขยายเครือข่ายการออกอากาศไปยัง 30 ประเทศทั่วโลก อย่างในทวีปเอเชียที่ออกอากาศในนาม TBN Asia, มีช่องออกอากาศที่เน้นเจาะกลุ่มผู้ชมวัยเด็กอย่าง Smile of a Child TV ไปจนถึงการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ด้วยการออกอากาศผ่านแพลฟอร์มสตรีมมิง

ปัจจุบัน TBN ยืนหยัดได้ด้วยการเน้นรับบริจาคจากผู้ศรัทธาเป็นหลัก และบางคราวมีการเปิดรับระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการรับเงินจากการโฆษณา เพราะโฆษณาบางตัวอาจขัดกับหลักศาสนาที่เผยแพร่นั่นเอง 

ทั้งนี้ TBN ดำเนินกิจการภายใต้กรอบกฎหมาย Internal Revenue Code (IRC) ในประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา 501(c)(3) ทำให้รายรับที่เข้ามาในองค์กรได้รับการลดหย่อนภาษี และมีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสโดยรัฐบาลอยู่ตลอด

จากเคสที่กล่าวมาจะเห็นถึงกลยุทธ์อันชาญฉลาดขององค์กรศาสนาในการปรับตัวให้เข้ากับระบบทุนนิยม โดยที่เนื้อในไม่ขัดหรือผิดต่อหลักความศรัทธา แต่ที่สำคัญคือการมี ‘กฎหมาย’ ควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม ที่ทำให้การประกอบกิจการไม่เกิดการกอบโกยผลกำไรจนเป็นปัญหาในอนาคต

นัยหนึ่งอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ศาสนาในบ้านเราอาจต้องทำความเข้าใจยอมรับว่าใดๆ ในโลกปัจจุบันล้วนขับเคลื่อนด้วยเงินทุน ฉะนั้นการเลิกปิดตาข้างหนึ่งแล้วดำเนินการให้เป็นกิจจะลักษณะ มีการตรวจสอบได้อาจเป็นหนทางออกที่ดีกว่า และอาจทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นภายในวัดหมดไปด้วย 

ที่มา

Wrapped 2025 ปีที่ Spotify แก้เกม 2024 ที่คนสาป และขยับสู่ social platform มากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา การรอชมว่าปีที่ผ่านมาเราฟังเพลงอะไรแบบไหนไปบ้างใน Spotify Wrapped ก็กลายเป็นเหมือนหนึ่งในเช็กลิสต์ที่ทุกคนต่างตั้งตา ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ Spotify Wrapped โดนสาปจากผู้คนไม่น้อย เพราะนอกจากจะดู AI เกินไปก็ยังดูไม่หวือหวาเท่าปีก่อนๆ ในปี 2025 นี้ Spotify จึงกลับมาแก้เกม

ไม่ว่าจะฟีเจอร์ใหม่อย่าง Listening Age ที่บอกอายุการฟังเพลงของแต่ละคน หรือจะเป็นการเปิดตัว Clubs และ Roles ที่จัดกลุ่มผู้ฟังแบบใหม่ ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันเหมือนได้สวมหมวกคัดสรรอย่างใน Harry Potter

แต่ความสำคัญของ Wrapped 2025 ไม่ได้อยู่แค่ความไวรัล หากแต่มันสะท้อนให้เห็นแนวทางใหม่ๆ ของ Spotify และสะท้อนทิศทางธุรกิจสตรีมมิงได้ดีไม่น้อย Recap ตอนนี้จึงขอพาไป Wrapped เรื่องราวพร้อมๆ กัน

🎶 Wrapped 2025 ที่เล่นกับความเป็น ‘ตัวเอง’ และเป็น ‘คอมมิวนิตี้’ มากขึ้น

ถ้าย้อนกลับไปปี 2024 Wrapped เคยโดนวิจารณ์ว่ามีความเป็น AI มากจนเกินไป ฟีเจอร์หลายอย่างดูประดิษฐ์เกินจริง และความสนุกแบบเดิมถูกลดทอนลงจนผู้ใช้จำนวนมากบอกว่า Wrapped ดูแปลกๆ และไม่ค่อยมีอารมณ์ 

กลับกัน ปีนี้ Spotify Wrapped 2025 ไม่ใช่แค่การสรุปเพลงที่เราฟังมาทั้งปี แต่เป็นสรุป ‘ตัวตน’ ของเราที่พร้อมจะแชร์ให้โลกภายนอกได้รับรู้ ที่ผ่านมา Wrapped ยังเป็นประสบการณ์ที่พึ่งพาการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมาตลอด แต่ปี 2025 นี้ชัดเจนขึ้นมากๆ 

 การที่นำตัวเลขอย่าง Listening Age มาเล่น ไม่เพียงสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ในทางหนึ่งยังแสดงถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเพลงได้ดี รสนิยมที่เอียงไปทางเพลงเก่าอาจทำให้รู้สึกถึงความทรงจำ ความคลาสสิก หรือความแตกต่างจากคนวัยเดียวกัน ส่วนรสนิยมที่เอียงไปทางเพลงใหม่อาจทำให้รู้สึกว่าเท่าทันกระแส ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ต่างก็แตะกับเรื่องตัวตนของเราโดยตรง

ส่วนการจัดกลุ่มผู้ใช้เป็น Clubs ต่างๆ เช่น Cloud State Society, Grit Collective, Club Serotonin และให้บทบาท หรือ role เช่น Collector, Scout ยังเป็นการสร้าง sense of community ที่นับเป็นปีแรกๆ ที่ spotify ขยับออกจากความเป็นตัวเอง ไปสู่การเชื่อมโยงกับผู้อื่น

อย่าง Wrapped Party ที่ให้ทุกคนมาเปรียบเทียบข้อมูลการฟังเพลงของตัวเองได้พร้อมกันมากถึง 10 คน เปรียบเทียบตั้งแต่ใครฟังนานที่สุด, ใครฟังเพลงแรร์สุด หรือกระทั่งว่าแต่ละคนฟังเพลงคล้ายกันมากแค่ไหน The Verge บอกว่าฟีเจอร์นี้เหมือนเอานิสัยการฟังเพลงมาดวลกัน ทำให้ Wrapped กลายเป็น ‘กีฬา’ ที่แข่งขันกันด้วยข้อมูลเพลง

เรียกว่า Wrapped ปีก่อนๆ เน้นความเป็นตัวฉัน เช่น top artists, top songs แต่ปีนี้เพิ่มองค์ประกอบที่เน้นความเป็นคอมมิวนิตี้มากขึ้น ABC News วิเคราะห์ว่า Wrapped ปี 2025 คือการขยับจากการรายงานผลของตัวเองเป็นประสบการณ์ร่วมทางสังคม

🎶 Wrapped 2025 กับพฤติกรรมผู้บริโภค  

Wrapped ยังสะท้อนว่าผู้คนต้องการ personalization ที่ลึกกว่าเดิม และสะท้อนว่าความเป็นกลุ่มสำคัญมาก นอกจากนั้น นี่ยังเป็นการใช้ gamification marketing ที่ดึงคนให้อยู่ได้นานขึ้น ผ่านการเพิ่มเกม เพิ่มรางวัล เพิ่มปาร์ตี้ให้ผู้บริโภคเล่นกับข้อมูลมากกว่าแค่ได้ดูเฉยๆ

Wrapped ยังแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานต้องการเชื่อมโยงทาง ‘ความรู้สึก’ มากพอๆ กับความฉลาดของระบบที่ช่วยจัดเซตเพลง ซึ่งอาจจะกลายเป็นหลักคิดสำคัญของแพลตฟอร์มสตรีมมิงได้ นอกจากนั้น การแข่งขันระหว่างสตรีมมิง อาจไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีเพลงเยอะกว่าเท่านั้น แต่ใครที่เล่าเรื่องราวได้ดีกว่า เปลี่ยนข้อมูลเป็นการบอกเล่าอัตลักษณ์ก็อาจซื้อใจคนได้มากกว่า

Medium ยังวิเคราะห์ว่า Wrapped ทำให้คนยอมให้ระบบเก็บข้อมูลเพื่อแลกกับผลลัพธ์ในแต่ละปี เป็นวิธีการที่ชาญฉลาด และคนก็ยินยอมกว่าการขอเก็บข้อมูลตามเว็บปกติทั่วไป

🎶 Wrapped 2025 กับบทบาทของ Spotify

Wrapped ยังไม่ใช่กิจกรรมเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของธุรกิจได้ เพราะที่ผ่านๆ มา สื่อหลายสำนักของทั้งไทยและต่างประเทศต่างก็สะท้อนว่า Wrapped ส่งผลดีต่อ Spotify มากแค่ไหน ทั้งยอดดาวน์โหลดแอพฯ ที่พุ่งขึ้น นอกจากนั้นยังส่งผลให้เกิดการกลับมาใช้แอพฯ ซ้ำๆ เพราะต้องการเก็บสถิติเพื่อดูผลปลายปี

แน่นอนว่าคู่แข่งของ Spotify ย่อมมองเห็นเสน่ห์ของ Spotify Wrapped จึงหันมาทำกันมากขึ้น ทั้ง Apple Music ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 หรือจะเป็น YouTube แต่ถึงอย่างนั้น Wrapped จากสองเจ้านี้ก็ยังถูกมองว่าตามหลัง Spotify อยู่ดี เพราะรูปแบบ Wrapped ของ Spotify นั้นค่อนข้างออกแบบมาให้ผู้คนแชร์และเล่าเรื่องราวของตัวเองได้มากกว่า

แอพฯ ที่ไม่ใช่เพลงอย่าง Reddit, Duolingo, Grab หรือแม้กระทั่ง Shoppee ก็มี year-in-review ในสไตล์คล้ายๆ กัน การที่หลายเจ้าหันมาทำรูปแบบกิจกรรมนี้กันมากขึ้นสะท้อนว่า Spotify ได้วางมาตรฐานเรื่อง user engagement ไว้อย่างดี  

Wrapped 2025 ยังชี้ให้เห็นการเปลี่ยนบทบาทของ Spotify จากสตรีมมิงไปเป็น self-identification platform อย่าง Instagram ที่ช่วยผู้คนแสดงตัวตนผ่านภาพ หรือ TikTok ผ่านวิดีโอ แต่ตอนนี้ Spotify ช่วยคนแสดงตัวตนผ่านดนตรี 

ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เห็นว่า Wrapped เป็นประสบการณ์ที่ทั้งส่วนตัวมาก และมีความเป็นสังคมมากในเวลาเดียวกัน สูตรของ Wrapped คือการเล่าเรื่องแบบ personalisation ผสมผสานกับ data-driven เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ใช้งาน ความท้าทายต่อจากนี้คือ Spotify จะคงความสดใหม่ให้ Wrapped ได้แค่ไหน และคู่แข่งจะไล่ให้ทันเวทมนตร์ที่ Wrapped สร้างขึ้นได้หรือไม่

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกกระแสที่ Spotify ยังคงโดนสาป นั้นคือการที่ช่วงปีที่ผ่านมา ศิลปินหลายรายเลือกถอนเพลงออกจาก Spotify มากขึ้น เพราะรู้สึกว่าโมเดลรายได้ของแพลตฟอร์มไม่เป็นธรรมต่อคนทำเพลงรายเล็ก รายได้ต่อสตรีมต่ำจนแทบไม่คุ้มต้นทุน หลายคนจึงเลือกถอนเพลงเพื่อไปอยู่บนแพลตฟอร์มที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า สะท้อนว่าธุรกิจสตรีมมิงกำลังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นธรรม และยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการสร้างแพลตฟอร์มที่เห็นคุณค่าของผู้สร้างอย่างแท้จริง 

 อ้างอิง

นามบัตร 5 ใบของ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและการศึกษาผ่านมูลนิธิ

หากใครแวะมาเยือน Bangkok Kunsthalle (บางกอก คุนส์ฮาเลอ) อาร์ตสเปซที่เปลี่ยนโรงพิมพ์เก่าให้กลายเป็นพื้นที่นำเสนอศิลปะร่วมสมัย น่าจะสะดุดตากับการนำเสนอผลงานของศิลปินไทยและต่างชาติในมาตรฐานระดับสากลโดยคงความดิบและเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ครบถ้วน 

ส่วนผู้ที่เคยเดินทางไป Khao Yai Art Forest (ศิลป่า)แลนด์มาร์กศิลปะท่ามกลางธรรมชาติในเขาใหญ่น่าจะประทับใจกับประติมากรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติ 

ทั้งสองแห่งนี้ต่างนำเสนอศิลปะร่วมสมัยในรูปแบบใหม่ที่ฉีกกรอบจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะรูปแบบเดิมในประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ

ส่วนใครสนใจเรื่องราวการทำงานของมูลนิธิเพื่อสังคม ขอแนะนำให้รู้จักมูลนิธิเชฟแคร์ส (Chef Cares Foundation) ที่สนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ทางอาหาร ด้วยการเชิญเชฟมิชลินกว่า 70 คนมาร่วมทำอาหารพร้อมทาน ทั้งแบบแช่เย็น และแบบแช่แข็งที่มีคุณภาพให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงโครงการต่างๆ ที่ช่วยอนุรักษ์มรดกทางอาหาร และ The BUILD Foundation มูลนิธิที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

ทั้งหมดนี้คือโครงการด้านวัฒนธรรมและมูลนิธิเพื่อสังคมของ มาริษา เจียรวนนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่เริ่มทำมูลนิธิแรกในประเทศไทยตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว 

คุณมาริษาเป็นคนเกาหลี ศึกษาด้านการเงินและธุรกิจระหว่างประเทศมาก่อน รวมถึงมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไทย ทำให้เข้าใจศิลปะร่วมสมัยในระดับนานาชาติ รวมถึงความแตกต่างของการทำงานเพื่อสังคมในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะการทำ philanthropy (องค์กรเพื่อสังคม) และการทำกุศล ซึ่งในเอเชียมีบริบทไม่เหมือนในสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่วัฒนธรรมไทยอาจคุ้นเคยกับการให้ผ่านการทำบุญและการช่วยเหลือตั้งแต่เด็ก วัฒนธรรมตะวันตกจะคุ้นเคยกับองค์กรการกุศลมากกว่า คุณมาริษามองว่า ไม่ว่าจะขับเคลื่อนสังคมรูปแบบไหน หัวใจของการทำดีคือ compassionate heart การเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริงไม่ต่างกันเลย

คอลัมน์ ‘ณ บัตรนั้น’ ในตอนนี้ ขอชวนไปฟังเรื่องราวการทำงานขับเคลื่อนสังคมและวัฒนธรรมผ่านนามบัตร 5 ใบของ มาริษา เจียรวนนท์ ที่ไม่เพียงอยากให้สังคมดีขึ้น แต่ใช้ความเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน

Co-founder – The BUILD Foundation

มูลนิธิแห่งแรกที่คุณมาริษาก่อตั้งเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว คือ The BUILD Foundation มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการสร้างโรงเรียนใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งความช่วยเหลืออื่นยังเข้าไม่ถึง เนื่องจากการเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านเหล่านี้ยากลำบากและเต็มไปด้วยถนนโคลน รถบรรทุกใหญ่เข้าไปไม่ได้ ต้องใช้รถยนต์ หรือรถปิกอัพวิ่งหลายรอบเท่านั้น มูลนิธิหลายแห่งจึงมักเลือกสร้างโรงเรียนในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายกว่า ทำให้เด็กนักเรียนตามชายแดนหรือเด็กไร้สัญชาติถูกละเลย

คุณมาริษาเห็นโอกาสที่จะเข้าไปสนับสนุนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในส่วนนี้ และเมื่อเข้าไปเยี่ยมหลายครั้งด้วยตัวเองก็พบปัญหาหลายอย่าง เช่น สภาพโรงเรียนหลายแห่งชำรุด บางแห่งไม่มีหน้าต่าง ทำให้เวลาฝนตกเด็กไม่สามารถมาเรียนได้ เพราะบางคนต้องเดินทางไปโรงเรียนนานกว่าหนึ่งชั่วโมง โครงการของ The BUILD จึงเข้าไปพัฒนาสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงติดตั้งโซลาร์เซลล์และทีวีดาวเทียมให้เยาวชน

คุณมาริษายังเล่าประสบการณ์ตรงจากการไปเยี่ยมเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลให้ฟัง ตั้งแต่การพบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างการสังเกตเห็นว่ามีแผลบนแก้มของเด็กเล็กหลายคนแม้ไม่มีสนามเด็กเล่นหรือสิ่งอันตรายอื่นในบริเวณนั้น เมื่อพูดคุยกับเด็กจึงพบว่าเกิดจากการปีนต้นไม้แล้วตกลงมา แต่ไม่มียาทา จนเกิดเป็นแผลอักเสบมีน้ำหนอง ไปจนถึงการพบปัญหาใหญ่ที่เชื่อมโยงกับปัญหาทางโครงสร้างสังคม อย่างการแต่งงานเร็วในเยาวชนตั้งแต่อายุ 13-14 เพราะครอบครัวต้องการแรงงานเพิ่มมาช่วยทำงานตัดต้นไม้

ด้วยความที่เห็นเด็กหลายคนใช้ชีวิตในหมู่บ้านตั้งแต่เกิด ไม่เคยเปิดโลกกว้าง คุณมาริษาจึงเคยริเริ่มไอเดียพานักเรียนไปเที่ยวเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และ หัวหินเป็นเวลา 1 อาทิตย์ แต่กลับพบว่า ระหว่างทริป เด็กๆ เริ่มไม่สนุก และอยากกลับบ้าน แม้จะลองชวนให้ลดที่เที่ยวให้เหลือแค่หัวหิน ก็ไม่มีใครอยากไป

“เด็กๆ เหล่านั้นมีความสุขมากกว่าเรา เจออะไรนิดหน่อยก็หัวเราะ เจออะไรนิดหน่อยก็ยิ้ม มีอะไรนิดหน่อยก็ดีใจและพอใจ แต่เราน่ะ เจออะไรกันนิดหน่อยก็ไม่พอใจเลย จากทริปนั้นเลยตระหนักว่า เราไปดึงพวกเขาให้หันเหจากความสุขที่มีอยู่แล้ว 

“ตั้งแต่เกิดมา คนเราก็ไล่ตามความสุข แต่ละคนมีความสุขต่างกัน มีมุมมองต่างกัน บางคนอยากทำงานเก่ง อยากเป็นหัวหน้า แต่จริงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่ความสุขของทุกคน เราอย่าไปรบกวนชีวิตพวกเขามากนัก”

คุณมาริษาจึงมองว่าสิ่งสำคัญที่จะมอบให้เด็กๆ ได้คือทักษะที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตในทศวรรษใหม่ The BUILD Foundation จึงเน้นสนับสนุนการพัฒนาอาชีพให้สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ชุมชน บุคลากรและนักเรียน เพราะการศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด มูลนิธิกำลังพัฒนาโครงการ BUILD Skills Lab โครงการฝึกอาชีพด้วยการสอนทำอาหาร สร้างผลิตภัณฑ์และเมนูชุมชน โดยเริ่มจากโรงเรียนบ้านหมูสี อำเภอปาก ช่องจังหวัดนครราชสีมา

เชฟมิชลินและผู้เชี่ยวชาญ จะเข้าไปสอนเด็กๆ และชุมชนทำคุกกี้ เค้ก อาหารจานเดี่ยวเมนูท้องถิ่นอย่างหมี่โคราช และเมื่อให้เชฟฝีมือดีมาสอน เยาวชนก็จะทำเมนูออกมาอร่อย ทำอาหารขายชุมชน หรือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต ได้สร้างรายได้ให้ตัวเองและชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโมเดลที่มูลนิธิอยากพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับท้องถิ่นในระยะยาว 

นอกจากนี้ยังมีการสอนภาษาอังกฤษ ภาษาต่างชาติ และการสร้างความคุ้นชินในการใช้ AI ให้กับคนในชุมชน เพื่อให้พัฒนาการสอดคล้องเชื่อมต่อกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ 

Founder – Chef Cares Foundation

นอกจากด้านการศึกษาแล้ว คุณมาริษายังตั้งใจนำศาสตร์และศิลป์ในการทำอาหารจากเชฟระดับโลกมาช่วยตอบแทนสังคมผ่าน Chef Cares (เชฟแคร์ส) มูลนิธิและวิสาหกิจเพื่อสังคมที่สนับสนุนด้านวัฒนธรรมอาหาร

จุดเริ่มต้นคือช่วงโควิด-19 ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับข่าวผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ช่วงนั้นคุณมาริษาไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลคุณแม่ทุกวันและสังเกตเห็นว่า บุคลากรทางการแพทย์ต่างทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยมากจนแทบไม่มีเวลาพักหรือกินอาหารให้ครบมื้อ โครงการของ Chef Cares จึงเริ่มต้นขึ้นจากการสนับสนุนอาหารพร้อมทานให้กับทีมบุคลากรทางการแพทย์

“คนเหล่านี้คู่ควรกับการได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เราจึงเชิญเชฟมิชลินมาทำโครงการด้วยกันตั้งแต่ต้น ทุกวันหลังทานข้าวเสร็จประมาณ 7 โมงครึ่ง เราจะเริ่มโทรศัพท์ชวนเชฟต่างๆ มาทำงานด้วยกัน ซึ่งในเวลานั้นเชฟมิชลินก็ลำบากกันมาก เพราะช่วงโควิด-19 ร้านอาหารธรรมดาทั่วไปยังส่งเดลิเวอรีได้ แต่ไม่ค่อยมีใครไปทานอาหารที่ร้านมิชลิน เราก็คุยกับเชฟว่าขอให้บริจาคเวลา บริจาคฝีมือทำกับข้าวได้ไหม เราไม่ได้ใช้เวลานานมากในการชักชวนเชฟแต่ละท่าน บางครั้งไม่ถึง 5 นาที ฟังแป๊บเดียวเชฟก็ตกลงช่วย เราเป็นคนเกาหลีก็รู้สึกประทับใจใน compassion ของคนไทยมาก”

หลังจากโควิด-19 ผ่านไป กิจกรรมและโครงการต่างๆ ของ Chef Cares ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเชฟในโครงการถึง 73 คน ที่ต่างยินดีใช้ฝีมือในการทำอาหารคุณภาพสูงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่ผ่านมาก็มีอาหารจาก Chef Cares ร่วมบริจาคด้วย

คุณมาริษาซึ่งเคยอาศัยอยู่หลายประเทศ มองว่าประเทศไทยเป็นเมืองแห่งอาหารที่ได้เปรียบด้านวัตถุดิบทางธรรมชาติ จากเมื่อ 30 ปีก่อนที่คนไทยนิยมไปกินอาหารที่ฮ่องกง วันนี้เองคนฮ่องกงก็ยังต้องบินมากินของอร่อยในประเทศไทย หรือแม้แต่ประเทศเกาหลีก็ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าที่ประเทศไทย 

“ที่เกาหลีไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเหมือนเมืองไทย ทรัพยากรเดียวที่เรามีคือทรัพยากรมนุษย์ คนเกาหลีรุ่นก่อนเล่าว่า สมัยก่อนช่วงเดือน 11 จนถึงเดือน 2 ของปีถัดไปจะไม่มีอาหารกิน เพราะอากาศเย็นมากจนปลูกอะไรไม่ได้ ต้องทำงานหนักเพื่อเก็บอาหารให้อยู่ได้ 3-4 เดือน แต่ที่เมืองไทยเรามีความอุดมสมบูรณ์

“สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณเติบโตและมั่นคงได้คือการศึกษา การเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ และทำงานหนักมาก เพื่อให้ชีวิตมั่นคงและมีความมั่งคั่ง ตอนนี้จึงเห็น K-pop, K-drama, K-beauty ทั้งหมดเกิดจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของเกาหลีทรงพลังมาก แต่คนไทยก็ไม่แพ้เหมือนกัน ทั้งอาหารอร่อย วัตถุดิบหลากหลาย และน้ำใจดี”

คุณมาริษายังมองว่าวัฒนธรรมด้านอาหารไทยมีความพิเศษ เช่น อาหารถิ่น 5 ภาค อาทิ แกงป่า แต่ละภาคมีสูตรการทำแกงป่าที่ต่างกัน ทั้งวัตถุดิบ สูตร รวมถึงวิธีถนอมอาหาร หรือ ตำราอาหารชาววังที่หายากและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน อีกทั้งภูมิปัญญาการทานอาหารเป็นยา เช่น การใช้สมุนไพรอย่างตะไคร้ ข่า ขิง ทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ในช่วงต้นปีหน้าจะมีการเปิดตัวโครงการ ‘รสชาติไทย’ เป็นคลังความรู้ออนไลน์ส่งต่อวัฒนธรรมอาหารไทย มรดกวัฒนธรรมการกินพื้นถิ่น อาหารในประวัติศาสตร์จวบจนอาหารชาววังซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่คนไทย เองก็อาจไม่ทราบ หรืออาจเข้าถึงได้ไม่ง่าย โครงการเหล่านี้เป็นการอนุรักษ์ต่อยอดมรดกทางอาหารที่ Chef Cares อยากสนับสนุนวัฒนธรรมไทยในหลายมิติ

Founder – Bangkok Kunsthalle

คุณมาริษายังเคยมีงานอดิเรกเป็นนักสะสมศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะร่วมสมัย และงานประติมากรรม (contemporary art and sculpture art) ก่อนผันตัวมาเป็นผู้แบ่งปันผลงานศิลปะ (art sharer) ที่ไม่ได้สะสมเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว แต่เชิญศิลปินหลากหลายแขนงมาสร้างสรรค์ผลงานและแบ่งปันกับผู้ชม บางกอก คุนส์ฮาเลอ จึงเป็นสถาบันศิลปะที่ผู้ชมสามารถเห็นสตูดิโอของศิลปินได้จริง

“คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ศิลปินไทยสร้างงานที่มีเอกลักษณ์แบบท้องถิ่นและอารมณ์ขันลึกซึ้ง แต่ที่ผ่านมา ในทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical) ของแผนที่โลก ประเทศเรามักไม่เคยถูกมองว่าอยู่ในโลกศิลปะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อยากสนับสนุนศิลปะให้มากขึ้น ทำยังไงคนไทยถึงจะรู้จักแหล่งความรู้ทางศิลปะจากเมืองนอก เรารู้ว่ามีคนไทยที่เก่งเยอะมาก แต่จะเชื่อมศิลปินไทยให้เข้าถึงโอกาสและเครือข่ายนานาชาติยังไง ก็เลยตั้งบางกอก คุนส์ฮาเลอขึ้นมา”

จากประสบการณ์การทำงานในบอร์ดคณะกรรมการร่วมกับพิพิธภัณฑ์ระดับโลกทั้ง Tate Modern ที่ลอนดอน, New Museum ที่นิวยอร์ก, M+ Museum ที่ฮ่องกง, หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ฯล ทำให้คุณมาริษามองเห็นโอกาสของพิพิธภัณฑ์ที่ต่างออกไป

“เรากำลังทำสิ่งที่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์รูปแบบเดิม ซึ่งทำให้ผู้คนสนใจในสิ่งที่เรากำลังทำ โดยทั่วไป พิพิธภัณฑ์มักสร้างโดยสถาปนิกชื่อดังเพื่อจัดแสดงคอลเลกชั่นที่เจ้าของสะสม หรือบางครั้งอาจเชิญศิลปินมาสร้างสรรค์งานสำหรับแต่ละนิทรรศการ แต่เราทำลายกรอบแบบนี้ เพราะแบบเดิมคนจะมองที่ภาพมาสเตอร์พีซชิ้นหลักชิ้นเดียวเป็นเวลานาน”

อาร์ตสเปซแห่งนี้จึงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มรูปแบบ ให้อิสระกับศิลปินทุกแขนง ทั้งไทยและต่างชาติ มีทั้งนิทรรศการระดับนานาชาติและโครงการศิลปินในพำนัก (artist-in-residence) ที่เปิดสตูดิโอให้ศิลปินจากหลากหลายศาสตร์สร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เช่น ล่าสุด Spencer Sweeney ศิลปินจากนิวยอร์กมาตั้งซุ้มไม้ไผ่และทำงานสร้างสรรค์อิสระทั้งวาดภาพและสวมบทบาทดีเจ 

ขณะที่ศิลปินไทยอย่าง คุณกรกฤต อรุณานนท์ชัย มาจัดแสดงงานนิทรรศการร่วมสมัย nostalgia for unity ส่วนคุณจิตติ ชมพี ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการแสดงและเต้นร่วมสมัยนำกิจกรรม Molam Collective มาสอนนักแสดงผู้พิการทางการได้ยินให้ได้เรียนรู้การเต้นจากแรงสั่นสะเทือนของเสียง

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการของศิลปินรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ เช่น ‘อับซาลอง’ กับผลงาน ‘Cells’ ที่สื่อสารถึงบ้านที่ไร้บริบททางวัฒนธรรม รวมถึงนิทรรศการ Vernacular Objects ของ ‘มาร์ค เจียรวนนท์’ ที่รวบรวมวัตถุใช้แล้วในชุมชนเยาวราช นำมาเป็นที่กั้นรถหน้าบ้านแบบง่ายๆ และร้อยเรียงใหม่เป็นชิ้นงานศิลปะรูปแบบที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เคยชมกันมากนัก บางกอก คุนส์ฮาเลอจึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันวงการศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย

จากผลงานทั้งหมดนี้ คุณมาริษาบอกว่าอยากให้บางกอก คุนส์ฮาเลอเป็นพื้นที่ที่เติบโตไปพร้อมกับผู้ชมไทย ทำให้คนไทยคุ้นชินกับศิลปะร่วมสมัยทุกแขนงนอกเหนือจากภาพ ทั้งการเต้น วรรณกรรม สถาปัตย์ ดีไซน์ รวมถึงการทำหนังสั้น ซึ่งตั้งใจเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือแต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก เพราะผลงานเหล่านี้ไม่ใช่งานเชิงพาณิชย์ จึงทำ Moving Image exhibition พื้นที่ฉายผลงานภาพยนตร์ในประเทศและต่างประเทศ คัดเลือกให้คนที่สนใจเข้าชมฟรี จนถึงพื้นที่ open call ที่เปิดให้ศิลปินรุ่นใหม่มาจัดแสดงผลงาน

ทั้งนี้หลายคนที่แวะมาที่บางกอก คุนส์ฮาเลออาจประหลาดใจที่พบอาคารที่คงความดิบดั้งเดิมไว้ตั้งแต่สมัยเป็นโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช โดยในอดีตสำนักพิมพ์แห่งนี้เคยผลิตหนังสือเรียนให้เด็กทั่วประเทศ คุณมาริษาเล่าความตั้งใจเบื้องหลังว่า

“ตอนแรกที่เห็นอาคารนี้ สิ่งแรกที่คิดคือถ้าเราไม่ซื้อไว้ สุดท้ายต้องมีคนเข้ามาทุบทิ้งแล้วสร้างเป็นอาคารพาณิชย์แน่นอน เราเลยตัดสินใจซื้อไว้ เราเลือกเก็บอาคารนี้ไว้ในสภาพเดิมมากที่สุด เพื่อคอยเตือนว่าเราควรอ่อนน้อมกับชีวิต สุดท้ายวงจรชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน มนุษย์เรามีช่วงที่เติบโตและพัฒนาไปตามวัย มีช่วงพีคของชีวิตการทำงาน แต่ไม่มีใครขาขึ้นไปตลอด สักวันหนึ่งเราจะแก่ตัวลงและเกษียณ วันหนึ่งเราอาจต้องเลิกทำกิจกรรมบางอย่าง เพราะร่างกายไม่เอื้อ บางครั้งก็ป่วย บางคนอาจป่วยหนักและจากไปในวันหนึ่ง

“อาคารหลังนี้สะท้อนวงจรชีวิต คล้ายมนุษย์อย่างเราๆ มีจุดที่เกิดขึ้น เติบโต รุ่งเรือง ถดถอยลงจนขาดคนใส่ใจดูแล หลังจากไฟไหม้ใน พ.ศ. 2545 ตอนนี้อาคารอายุประมาณ 82 ปี ไทยวัฒนาพานิชครั้งหนึ่งเป็นผู้ตีพิมพ์หนังสือเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะหนังสือประกอบการเรียนรู้ที่สำคัญ

“เช่น พจนานุกรมภาษาไทย อังกฤษ โดย สอ เสถบุตร หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนหน่วยงานที่ตีพิมพ์ขึ้น ทำให้ธุรกิจมีขนาดเล็กลงตามลำดับ โดยในที่สุด บริษัทได้ย้ายสถานที่ทำการออกไปจากอาคารเดิม และปล่อยให้รกร้าง มันก็เหมือนร่างกายคนเรา ที่ค่อยๆ ถอยลงตามกาลเวลา อาคารนี้จึงเล่าเรื่องชีวิตแบบที่เป็น”

แม้แต่ตัวอาคารของบางกอก คุนส์ฮาเลอ ก็เป็นศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวชีวิตอย่างลึกซึ้งด้วยเช่นกัน 

Founder – Khao Yai Art Forest

Khao Yai Art Forest หรือศิลป่าเขาใหญ่ เป็นอีกโครงการที่คุณมาริษาก่อตั้งหลังจากบางกอก คุนส์ฮาเลอไม่นานนัก โดยมีหัวใจสำคัญคือการเยียวยาจิตใจผ่านธรรมชาติ และสร้างสรรค์ศิลปะโดยคำนึงถึงการฟื้นฟูธรรมชาติ

คุณมาริษาเล่าว่าที่ดินแห่งนี้เดิมเคยเป็นผืนดินของผู้ลี้ภัยที่หนีน้ำท่วมจากโคราชมาก่อนใน พ.ศ. 2518 เมื่อมาตั้งรกราก ก็มีการตัดต้นไม้มาขายและทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว เช่น ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นเวลาหลายปีทำให้ดินเสื่อมสภาพ แม้ว่าจะมีต้นไม้จำนวนมาก แต่พันธุ์ไม้ท้องถิ่นดั้งเดิมเหลือเพียง 60 พันธุ์ และส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ต่างชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลกับวัฒนธรรมอาหารโดยตรง

“รู้ไหมว่าเวลาที่เราไปดูตำราอาหารเก่าแก่ หรือตำราโบราณหายาก เราพบว่ามีตำราอาหารน่าสนใจมากมาย แต่หลายเมนูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เป็นจริง” 

สาเหตุเพราะวัตถุดิบลดน้อยลง จากพันธุ์พืชในตำราอาหารโบราณกว่า 200 พันธุ์ ทุกวันนี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตอาจเหลือเพียง 50 กว่าพันธุ์ โครงการนี้จึงไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่จัดแสดงศิลปะ แต่ยังฟื้นฟูป่าด้วยการนำเมล็ดพันธุ์จากอุทยาน ผัก และผลไม้ มาปลูกเพื่อเยียวยาผืนดินในระยะยาว โดยมีเชฟวุฒิศักดิ์ วุฒิอัมพร Co-founder Chef Cares มาอยู่ที่นี่ และเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางอาหารสำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะ 

คุณมาริษาบอกว่ามีสองเงื่อนไขสำคัญสำหรับศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานที่ Khao Yai Art Forest ข้อแรกคือ การคำนึงถึงการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ และเทรนด์ ESG (Environment, Social และ Governance) ศิลปินต้องใช้สื่อธรรมชาติ (medium) ที่หาได้จากพื้นที่ เช่น แสงแดด ลม น้ำ ดิน หิน ไม้

ตัวอย่างเช่น ผลงานของ Fujiko Nakaya ศิลปินชาวญี่ปุ่นวัย 93 ปี ที่ติดตั้ง installation ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้น้ำมากถึง 6 ตัน ปั๊มน้ำซึ่งเป็นนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพในซานฟรานซิสโกชื่อ Aquaria จึงถูกนำมาใช้ในการดึงอากาศและกลั่นน้ำดื่ม ถือเป็นครั้งแรกที่ใช้นวัตกรรมนี้นอกสหรัฐอเมริกา 

นอกจากนี้ยังเตรียมใช้พลังงานทางเลือกในโครงการอื่นๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงเปลี่ยนระบบไฟฟ้าและพลังงานให้เป็นโซลาร์เซลล์เต็มรูปแบบ

เงื่อนไขข้อสองคือ ศิลปะทุกงานต้องเป็นสิ่งที่ส่งต่อพลังบวกและส่งต่อพลังดีให้กับคนอื่น เพราะคุณมาริษามองว่าอยากให้ผลงานศิลปะทุกชิ้นมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ทำให้คนที่แวะมารู้สึกเชื่อมโยงกับทั้งตัวเองและธรรมชาติได้

“เช่น ผลงาน Fog Forest ของ Fujiko Nakaya เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางหมอกเราจะมองไม่เห็นกันและกัน เราก็ไม่เห็นอะไรในตอนนั้น นี่คือช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ปล่อยวาง เพราะทุกคนไม่ว่าเป็นคนประสบความสำเร็จ มีความสามารถ หรือมีชื่อเสียง ต่างก็มีสิ่งที่ไม่เพอร์เฟกต์ในตัวเราเอง เรามีช่องว่างในใจ ความกังวล บาดแผล ความรับผิดชอบ ความเครียด และสิ่งลบๆ ทั้งหลายอยู่ข้างใน และในช่วงเวลานั้น คุณปล่อยทุกอย่างให้ละลายไปกับหมอก เพราะมันเป็นแค่หมอก

“หมอกที่ล้อมรอบก็เป็นเหมือนคำอวยพรเพราะมาจากฟ้า เมื่อเราตระหนักถึงสิ่งดีๆ ที่ได้รับ มันเป็นโมเมนต์แห่งการเยียวยา บางครั้งอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาที ก็เหมือนได้ทำสมาธิ และปล่อยวางได้แล้ว บางคนก็ถึงกับร้องไห้ 

“เราจัดแสดงหมอกตอนกลางคืนด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเข้ามาในช่วงแรกทุกคนจะเงียบสนิท แต่พอหมอกจาง ทุกคนจะเริ่มกระซิบเบาๆ ทันทีที่อยู่ท่ามกลางศิลปะและธรรมชาติที่ทรงพลัง คุณจะรู้สึกตัวเองถ่อมตัวและตัวเล็กลงมาก แม้เวลาพูด คุณก็ไม่ใช้เสียงดัง นี่คือประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก” 

ตัวอย่างผลงานอื่นๆ เช่น GOD ของ Francesca Arena ที่นำก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนมาวางซ้อน กันกลางป่า ผู้ชมไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรมาก แต่สัมผัสหินเพื่อรับพลัง บางครั้งก็มีผู้มาเยือนสวดมนต์และสัมผัสหินอย่างตั้งใจ นอกจากนี้ ยังมีงาน Madrid Circle ของ Richard Long ศิลปินชาวอังกฤษ บนยอดเขา ที่ผู้ชมสามารถเดินทำสมาธิรอบงาน (walking meditation) เป็นการสร้างประสบการณ์เชิงสติและการรับรู้ร่วมกับธรรมชาติ

หรือในฝั่งศิลปินไทยอย่างคุณอารยา ราษฎร์จำเริญสุข ก็ได้นำเสนอวิดีโออาร์ตร่วมสมัยที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้าชมงาน คุณมาริษาเล่าว่าหลายคนสามารถบรรยายความรู้สึก สิ่งที่เห็น และสิ่งที่สัมผัสได้แม้ไม่คุ้นเคยกับศิลปะมาก่อน 

“เราคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญทุกอย่าง เหมือนกับพวกเขา อาจเก่งเรื่องเกษตรกรรมมาก แต่ไม่รู้จักโมเดิร์นอาร์ต ในขณะที่เราอาจเข้าใจเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ มันทำให้เราถ่อมตัวและเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก

“เราไม่รู้ว่าศิลปะเหล่านี้จะอยู่ได้กี่ปี วันหนึ่งอาจกลายเป็น ephemeral art (งานศิลปะเรียบง่ายที่ไม่รบกวนธรรมชาติและมีอายุสั้น) ที่ค่อยๆ หายไปในวันหนึ่ง แต่ทุกงานไม่ได้มีไว้แค่ให้มอง แต่เพื่อรู้สึก นี่คือความพิเศษของ Art Forest ทุกงานศิลปะที่คุณมีส่วนร่วม คุณจะได้รับพลังบวกจากมัน เมื่อเดินออกจากอุโมงค์หรือเดินเข้าไปใหม่ จะรู้สึกถึงพลังที่ได้รับ

“และศิลปะร่วมสมัยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสวยงามเสมอไป เพราะศิลปะร่วมสมัยคือการแสดงออก ทั้งการแสดงออกของสังคมและตัวตน ซึ่งสังคมและตัวตนไม่ได้เป็นบวกเสมอไป ดังนั้นเราจึงสร้างบางสิ่งเพื่อสะท้อนสิ่งเหล่านั้น เราจึงมักบอกศิลปินว่า อยากให้สร้างงานที่สามารถส่งต่อพลังบวกและพลังดีให้ผู้ชม”

Special Advisor to Senior Chairman – Charoen Pokphand Group

ในบทบาทที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอาวุโสของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณมาริษามีส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมอาหารที่เชื่อมโยงกับมูลนิธิต่างๆ เช่น ในโครงการของ Chef Cares ที่ผลิตสินค้าอาหารพร้อมทานร่วมกับเชฟมิชลิน และ CPF โดยวางจำหน่ายใน เซเว่นอีเลฟเว่น

“จุดประสงค์ในการทำ Ready-to-Eat Meal ของเราง่ายมาก เราต้องการทำอาหารที่ดีที่สุดให้คนไทยกินแล้วสุขภาพแข็งแรง นี่คือเป้าหมายหลักของเรา เราคือผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ไม่ใส่ผงชูรส (No MSG) และเราใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่สุด เช่น หมูชีวา และไก่เบญจา ซึ่งเป็นวัตถุดิบคุณภาพดีมาก จะไม่ค่อยมีใครนำวัตถุดิบเหล่านี้มาทำอาหารสำเร็จรูป”

นอกจากนี้เมนูอาหารชาววังเมนูแรกที่นำมาทำอาหารสำเร็จรูปคือ ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือซึ่งเป็นเมนูที่ขายดีมาก ขายในราคากล่องละ 49 บาท เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ คุณมาริษาบอกว่า สำหรับอาหารพร้อมทานแบรนด์เชฟแคร์สนั้นกำไรทั้งหมดที่ได้นำกลับคืนสู่มูลนิธิอีกต่อเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ต้องทำให้เกิดกำไรบ้าง เพื่อทำให้ช่วยเหลือได้มากขึ้นและยั่งยืน สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพ มีการควบคุมคอเลสเตอรอล ไขมัน น้ำตาล โซเดียมในการผลิตอาหาร เพราะอยากให้คนไทยได้กินอาหารของเชฟแล้วสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องไปหาหมอ

นอกจากนี้คุณมาริษายังต่อยอดโครงการสานฝันปั้นเชฟ หรือ Chef Cares Dream Academy ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายเชื่อมโยงกับการศึกษา สนับสนุนเยาวชนผู้เคยกระทำผิดให้ได้เรียนทักษะทำอาหาร และฝึกงานกับเชฟมิชลิน

“ครั้งแรกที่เราจะทำโครงการช่วยเด็กจากกรมพินิจฯ หลายคนบอกว่าไม่ควรทำเลย จะช่วยเด็กเกเรทำไม แต่ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ใครจะช่วยพวกเขา เราเคยถามพวกเขาว่า ความฝันคืออะไร เด็กตอบว่า เรามีความฝันได้ด้วยเหรอ ไม่กล้าฝันหรอก เพราะเป็นเด็กที่กรมพินิจฯ แล้วเขาก็บอกว่า มีฝันอยู่หนึ่งอย่าง แต่ไม่แน่ใจว่านี่คือความฝันไหม ฝันของเขาคือไม่อยากกลับไป ‘บ้านใหญ่’ (คุกใหญ่) แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่า ใช่ นั่นก็ความฝันของเขาเหมือนกัน”

คุณมาริษามองว่า เพราะบางครั้งเยาวชนเหล่านี้ก็พลาดได้จากปัจจัยต่างๆ เด็กบางคนไม่มีพ่อแม่คอยดูแล หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เพื่อนพาทำผิด การให้โอกาสในโครงการ Chef Cares Dream Academy จึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเยาวชนเหล่านี้ นอกจากเยาวชนจะมีทักษะติดตัว จนเข้าแข่งขันและได้รางวัลใน Thailand International Culinary Cup ระดับประเทศแล้ว โครงการได้ทำ MOU กับกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์เพื่อมอบเยาวชนที่ผ่านการอบรมกลับสู่สังคม พร้อมมีความฝันเป็นของตัวเองที่จะเดินต่อในการเป็นเชฟได้จริงๆ ในอนาคต จากโครงการเพื่อสังคมทั้งหมดนี้ คุณมาริษายังปิดท้ายด้วยการเล่าถึงอีกบทบาทในฐานะคุณแม่ว่า 

“เราอยากให้ลูกๆ รู้จักความขยัน ยังไงก็ต้องขยัน แต่นอกเหนือจากนั้น ทุกการทำองค์กรและกิจกรรมการกุศลควรเกิดจากความรู้สึกขอบคุณ (gratitude) เมื่อเรารู้สึกขอบคุณ เราจะอยากแบ่งปัน เพราะเรารู้สึกว่าเรามีสิ่งดีๆ แล้ว แต่การทำคนเดียว เก็บไว้คนเดียวมันไม่พอ ต้องแชร์ให้คนอื่น

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่มูลนิธิ The BUILD Foundation ก่อตั้งขึ้นมาแต่ลูกๆ ยังเด็ก และเรายังคงทำมาจนถึงทุกวันนี้ เราอยากสอนลูกๆ ให้รู้จักการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ (empathy) และความถ่อมตัว (humility) สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ทุกคนต้องทำงาน ต้องขยัน แต่ก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ แบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่น”

ทักษะชีวิตที่ทำให้ ‘ซีเค Fastwork’ สำเร็จ ไม่ได้ใช้ไฟ แต่ใช้วินัยขับเคลื่อนธุรกิจ

หาคนเดินผ่านหน้าบ้านตอนเช้าทุกวัน หาคนไปนอนบ้านร้างเป็นเพื่อน หาคนปลอมเป็นแฟน หรือแม้แต่หาพี่ชายแบบซีเค Fastwork

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อความที่คนโพสต์งานบน Jobboard ของ Fastwork แพลตฟอร์มหาฟรีแลนซ์ท่ีเรียกได้ว่ารับจ้างทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบที่แท้จริง ตามความตั้งใจของ ‘ซีเค เจิง (CK Cheong)’ CEO ของ Fastwork ที่อยากปฏิวัติวงการบริการและพาธุรกิจไทยไปบุกตลาดโลก

เบื้องหลังการปั้น Fastwork สไตล์ซีเค เล่าผ่าน Session: Mental Toughness ทักษะชีวิตที่ใครก็ฝึกได้ ในงาน iCreator Conference 2025 Presented by Sony ที่ไม่ใช่การเล่าว่าธุรกิจจะต้องทำการตลาดแบบไหน จะต้องปั้นแบรนดิ้งยังไง แต่เป็นเรื่องการฝึกหัวจิตหัวใจให้พร้อมทำธุรกิจ แม้ในวันที่หมดไฟหรือไม่อยากทำอะไรเลยก็ตาม ซึ่งล้วนเป็นเคล็ดลับที่คนประสบความสำเร็จหลายคนก็เลือกใช้กัน ติดตามอ่านได้ผ่านคอลัมน์ Keynote ในครั้งนี้กันได้เลย

💙 กลยุทธ์ ‘สร้างกำแพงให้ตัวเอง’

คุณอาจจะเคยได้ยินคนบอกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องฝึกความอดทน แต่สำหรับซีเคคือ ‘ฝึกความอึด’ ที่ไม่ใช่แค่อดทนนอนรอความสำเร็จเดินเข้ามาหา แต่เป็นการสร้างความกระหายที่อยากประสบความสำเร็จ และสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง

เขายกตัวอย่างว่าคนที่ประสบความสำเร็จ มักมีภูมิหลังที่ลำบากมาท้าทายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นติดหนี้ มีภาระต้องดูแลคนในครับครัว ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงแรงกดดันให้พวกเขาต้องไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่คนที่ไม่ได้มีปัญหาใหญ่ในชีวิต ก็สร้างแรงผลักดันได้เช่นกันด้วยกลยุทธ์ ‘การสร้างกำแพงให้ตัวเอง’

กำแพงที่ว่าคือการประกาศเป้าหมายออกไปว่าคุณต้องการที่จะทำอะไร อย่างตัวเขาเองประกาศว่าจะทำให้ Fastwork ประสบความสำเร็จให้ได้ พอมีคนไปลงข่าว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถอยไม่ได้แล้ว และต้องใช้แรงกดดันทางสังคมเป็นแรงขับเคลื่อนให้ไม่ยอมแพ้

💙 ฝึกวินัย แม้ในวันที่ไม่อยากทำ

ซีเคพูดย้ำเสมอว่าสิ่งที่ทำให้เขาขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ ไม่ใช่การสร้างแรงบันดาลใจหรือที่หลายคนชอบพูดกันว่าต้องมีไฟถึงจะลงมือทำ ซึ่งนั่นอาจเป็นหลุมพรางที่ทำให้ธุรกิจไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

แต่สิ่งสำคัญของผู้ประกอบการคือต้องมี ‘วินัย’ ในการลงมือทำแม้ในวันที่ไม่อยากทำอะไรเลยก็ตาม อย่างตัวเขาเองตั้งใจจะโพสต์คอนเทนต์วันละ 30 ตัวทุกวัน ต่อให้วันนั้นจะเป็นวันแย่ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาควบคุมตัวเอง

หรือวันที่เขาต้องมาขึ้นเวทีพูดในงาน iCreator Conference 2025 สมมติเขากำลังรู้สึกแย่หรือเพิ่งทะเลาะกับคนอื่นมา ปลายทางก็ยังต้องทำงานนี้อยู่ดี ฉะนั้นจึงใช้พลังงานที่มีไปกับการหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันดีกว่า

ซีเคยังเล่าอีกว่าวินัยกับความพยายามมีความแตกต่างกันเล็กน้อย บางคนอาจจะมีความพยายาม แต่ถ้าถอยระหว่างทาง เพราะขาดวินัยในการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอก็อาจไปไม่ถึงเส้นชัยได้ เพราะวินัยเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาถึงจะเห็นผลลัพธ์ ถ้าคุณอยากเปลี่ยนอนาคตตัวเองก็ต้องเริ่มมีวินัยตั้งแต่วันนี้

💙 ทำธุรกิจสไตล์โยนหินถามทาง และเผื่อพื้นที่ให้ตัวเองได้ผิดพลาด

การทำธุรกิจสไตล์ซีเคเหมือนกับการโยนหินถามทาง ถ้าโยนแค่รอบสองรอบ อาจจะหาทางออกไม่เจอ แต่ถ้าโยนตลอดสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ยังไงก็จะเจอทางออกเจอในที่สุด แต่ทุกครั้งที่โยนหินจะต้องได้ข้อมูลใหม่ๆ มาพัฒนาต่อไป อย่างอีลอน มัสก์ ตอนสร้างจรวดลำแรกก็เจอปัญหาท่อเชื้อเพลิงรั่วหลังจากปล่อยตัวได้ไม่นานทำให้จรวดระเบิด แต่เขาก็ศึกษาต่อว่าเกิดข้อผิดพลาดตรงไหน ต้องแก้ไขยังไง

หรือบางคนตั้ง KPI ว่าปีหน้าจะต้องมียอดขายเติบโตขึ้น 100% แต่ทำแบบเดิมก็อาจจะไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง กระบวนการในการทำก็ต้องแตกต่าง แต่กลุ่มคนที่ปรับตัวได้ยากมีคนอยู่ 2 ประเภทคือคนที่ทำเหมือนเดิม แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง กับคนที่ทำเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นผิด

ซีเคจึงย้ำว่าการทำธุรกิจต้องเผื่อพื้นที่ให้ตัวเองได้ผิดพลาดและอย่ากลัวที่จะพลาด โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องบอกตัวเองว่าเราจะไม่พลาดเหมือนเดิมรอบสอง ต่อให้คุณทำตามแพลน A แล้วแพลน A ไม่สำเร็จ ก็ต้องมีแพลน B เพื่อทำยังไงก็ได้ให้คุณไปถึงความสำเร็จตรงนั้นให้ได้

ทั้งหมดนี้เป็นทักษะชีวิตที่ซีเคใช้ตลอดการทำธุรกิจของเขา โดยอยู่ภายใต้พื้นฐานความคิดที่ว่าต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าคุณต้องการทำอะไร ต่อให้การทำสิ่งนั้นจะทำให้คุณมีศัตรูก็ตาม เพราะคนที่ไม่มีศัตรูเลยคือคนที่ไม่มีจุดยืน และเอนเอียงไปตามความคิดเห็นของทุกฝ่าย 

สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับให้ได้ว่าคุณไม่สามารถควบคุมความคิดเห็นของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะทำอะไร สังคมก็ตัดสินอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้มั่นใจสิ่งที่ทำ และลงมือทำทันทีแบบไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

5 บทเรียนจาก SNNP ผู้ผลิตเจเล่ เบนโตะ สู่แนวทางธุรกิจขนม-เครื่องดื่มปี 2026 

ในปีที่เศรษฐกิจยังตึงตัวและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ‘ความคุ้มค่า’ กลายเป็นตัวชี้ชะตาของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในไทย โดยเฉพาะหมวดขนมและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นตลาดที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของกำลังซื้อ

นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือที่หลายคนรู้จักผ่านเจเล่ เบนโตะ โลตัส และเมจิก ฟาร์มนั้น ได้สะท้อนภาพนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่าผู้บริโภคไทยในวันนี้ไม่ได้ซื้ออะไรง่ายๆ แต่ต้องเลือกของที่คุ้มค่า มั่นใจได้ และคุ้นเคยที่สุด

นี่คือ 5 บทเรียนจากศรีนานาพร ที่ช่วยอธิบายว่าตลาดขนม-เครื่องดื่มไทย และธุรกิจควรเรียนรู้อะไรจากปีที่ท้าทายที่สุดปีหนึ่ง

1. ผู้บริโภคไม่เสี่ยงลองของใหม่แต่เลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย 

แม้เศรษฐกิจจะน่าเป็นห่วง แต่ตลาดขนมที่หลายคนมองว่าไม่ใช่ปัจจัย 4 กลับโตต่อเนื่อง เพราะในทางหนึ่ง ขนมซองละไม่กี่บาทนั้นคือความสุขราคาถูกที่ผู้บริโภคยังกำเงินไปซื้อมาทานได้อย่างไม่รู้สึกผิด

แต่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะไปได้ดี วิโรจน์อธิบายว่าแบรนด์ใหม่ๆ นั้นเข้าไปครองใจผู้บริโภคได้ยาก เพราะแทนที่จะเอาเงินสิบบาทไปซื้อขนมยี่ห้อใหม่ที่ไม่รู้จักหรือไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไง สู้เอาเงินนั้นไปซื้อแบรนด์เดิมๆ ที่คุ้นรสจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกสบายใจได้มากกว่า ร้านค้าปลีกเองก็เช่นกัน ร้านเหล่านี้จะไม่สต็อกของที่ไม่มั่นใจว่าจะขายได้ ทำให้สินค้าใหม่ๆ ที่อยู่นอกแบรนด์หลักมักไม่ได้รับการตอบรับให้วางขาย

ศรีนานาพรจึงไม่เน้นการสร้างแบรนด์ใหม่ แต่แตกไลน์สินค้าย่อยๆ ภายใต้แบรนด์เดิม ไม่ว่าจะเป็นเบนโตะรสใหม่ โลตัสแพ็กพิเศษ เมจิก ฟาร์มวิตามิน หรือเจเล่ เยลลี่ โซดา

2. ราคา 5-10 บาทคือ category ที่แข็งแรง เป็นราคาเดียวที่คนยังกล้าซื้อ

เมื่อรายได้ยังเท่าเดิม หรือซ้ำร้ายลดน้อยลงกว่าเดิม แต่ทุกอย่างรอบตัวกลับแพงขึ้น ผู้บริโภคจะยิ่งไตร่ตรองกับทุกการใช้จ่าย สินค้าในช่วงราคา 5-10 บาทจึงกลายเป็นช่วงราคาที่แข็งแรง เป็นราคาที่ไม่ต้องคิดมาก เข้าถึงได้ ทั้งวัยเรียน คนทำงาน ไปจนถึงพ่อค้าแม่ขายในภูมิภาคต่างๆ

สิ่งที่น่าสนใจคือเด็กๆ ยังคงเป็นกำลังซื้อหลักของขนมในตลาดไทย ซึ่งทำให้หมวดขนมทรงตัวได้ดีกว่าหมวดเครื่องดื่ม เพราะเด็กๆ ไม่รู้สึกถึงค่าเงินที่เปลี่ยนไป ขณะที่คนวัยทำงานซึ่งเป็นคนหาเงินจะเลือกหั่นค่าใช้จ่ายในหมวดที่ไม่จำเป็นก่อน โดยเฉพาะเครื่องดื่มราคา 15-20 บาท ทำให้หมวดเครื่องดื่มหลายหมวดติดลบ

ในอีกด้าน ร้านค้าก็ยังให้ shelf space กับสินค้า 5-10 บาท เพราะเป็นราคาที่ขายออกเร็วที่สุด ความเสี่ยงต่ำที่สุด และช่วยทำเงินหมุนได้เร็วที่สุด ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัวออกสินค้าให้สอดคล้อง

3. การเพิ่มปริมาณแทนการขึ้นราคา คือกลยุทธ์รอดตาย 

ในช่วงเศรษฐกิจเช่นนี้ กำไรของสินค้าต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางเจ้าอาจเลือกขึ้นราคา 1-2 บาท ซึ่งดูไม่มากไม่มาย แต่การขึ้นราคาเช่นนี้อาจทำให้ยอดขายหายไปทันที ดังนั้นวิธีที่รักษากำลังซื้อไว้ได้ คือการเพิ่มปริมาณสินค้าเพื่อดึงดูดให้เกิดการใช้จ่าย

ศรีนานาพรใช้วิธีเพิ่มปริมาณสินค้า 10-25% จากเดิมกับทั้งเบนโตะ เจเล่ และบางสูตรของเมจิก ฟาร์ม ไม่ใช่เพื่อกำไร แต่เพื่อรักษายอดและรักษาการมีอยู่บนเชลฟ์ เพราะการที่สินค้าถูกหยิบต่อเนื่อง คือปัจจัยสำคัญที่สุดในช่วงที่ตลาดอ่อนไหว ไม่เพียงเพิ่มปริมาณต่อซอง แต่ต่อแพ็กสำหรับร้านค้าโชห่วยก็อาจเพิ่มจำนวนซองมากขึ้นเพื่อให้ร้านค้าทำกำไรได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นให้ร้านเลือกซื้อสินค้าไปกระจายต่อได้ง่าย

การเพิ่มปริมาณจึงเป็นวิธีที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่ายังได้ความคุ้มค่าแบบเดิม แม้ต้นทุนฝั่งผู้ผลิตจะสูงขึ้นก็ตาม

4. ธุรกิจต้องเผื่อใจไว้กับความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจที่เปราะบางและสภาพอากาศ

ในหลายภูมิภาค ความผันผวนไม่ได้มาจากผู้บริโภคอย่างเดียว แต่มาจากสภาพอากาศด้วย น้ำท่วมทำให้บางจังหวัดขายไม่ได้เป็นเดือน ขณะที่หน้าร้อนสั้นลง ทำให้หมวดเครื่องดื่มที่ต้องพึ่งฤดูกาลขายยากขึ้น

ในเมืองใหญ่ๆ กำลังซื้อที่ชะลอตัวทำให้ร้านสะดวกซื้อเติบโตช้าลง แม้ช่องทางอย่างแม็กโครหรือค้าส่งบางกลุ่มยังโต แต่ก็เป็นการโตในหมวดสินค้าราคาต่ำและคุ้มค่า ไม่ใช่สินค้าอัพเซลล์หรือพรีเมียม

ตลาดปีนี้จึงเป็นตลาดที่เปราะบางในหลายมิติ วิโรจน์ยังมองว่าธุรกิจต้องมองทุกปัจจัยตั้งแต่กำลังซื้อ ช่องทางขาย ไปจนถึงฤดูกาลที่แปรปรวนมากกว่าเดิม

5. ปี 2025-2026 คือปีที่ต้องบริหารต้นทุนอย่างรัดกุม และใช้สินค้าราคาเข้าถึงง่ายเป็นหัวหอกของแบรนด์

ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงสะท้อนว่าปีหน้าเป็นปีที่ธุรกิจต้องบริหารต้นทุนให้คุ้มค่าที่สุด ขยายเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่าย ราคารับได้ และมีความคุ้นเคยสูง

เจเล่ เยลลี่ โซดา สินค้าใหม่ล่าสุดของแบรนด์และของตลาดจึงถูกออกแบบมาให้ตีตลาดในราคา 10 บาท ใช้แบรนด์เจเล่เป็นหลังบ้าน ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เจนฯ Z เป็นการสร้างฐานแฟนใหม่ๆ จากที่ฐานเดิมๆ อย่างเจนฯ Y เริ่มเติบโต ขณะที่เบนโตะ โลตัส และเมจิก ฟาร์มก็จะขยายด้วยสินค้าที่จับต้องง่ายมากกว่าการสร้างเซกเมนต์ใหม่ที่ต้องใช้ต้นทุนสูง

ทั้งนี้ แต่ละธุรกิจต่างก็มีปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน การกลับไปวิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้าน วิเคราะห์ตลาด วิเคราะห์คู่แข่ง จึงเป็นหลักการพื้นฐานที่ทุกธุรกิจควรทำ เช่นเดียวกับที่วิโรจน์เฝ้ามองตลาดมาตลอดหลายปีที่อยู่ภายใต้ศรีนานาพร

Vithita Animation One-Stop Service ด้านคาแร็กเตอร์ และมาสคอตมาร์เก็ตติ้งเจ้าแรกในไทย

ก็อตจิ, แม่มณี, กล้วยกรุงศรี, น้องเอนจี้ ไปจนถึงพี่บุรุษไปรษณีย์ 

ไม่ว่าคุณจะชอบคาแร็กเตอร์หรือไม่ แต่เชื่อว่าน่าจะต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินชื่อเหล่านี้กันมาบ้าง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าคาแร็กเตอร์เหล่านี้นี่แหละที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ เป็นที่รู้จักและครองใจคนมากขึ้น เช่น ธนาคารกรุงศรี ที่ลีลาเต้นของเจ้ากล้วยเป่าลมคอยสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ผู้คนจนภาพของกรุงศรีดูเป็นธนาคารที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น

ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้คาแร็กเตอร์กลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ได้รับความนิยม ‘วิธิตา แอนิเมชั่น’ บริษัทที่หลายคนคุ้นชื่อจากงานแอนิเมชั่นชื่อดังจากปังปอนด์ และสารพัดชุดมาสคอตซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2001 ต่อยอดจากขายหัวเราะ, มหาสนุก จึงขยับบทบาทของตัวเองครั้งใหญ่ 

จากผู้อยู่เบื้องหลังคาแร็กเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ และแอนิเมชั่นมากมาย มาสู่การเป็น one-stop service สำหรับงานคาแร็กเตอร์และมาสคอตมาร์เก็ตติ้งรายแรกของประเทศไทย

‘พิมพ์พิชา อุตสาหจิต’ ทายาทของขายหัวเราะ และบริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จำกัด เผยว่าการที่หลายองค์กรตั้งใจลงทุนสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวเองมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเครื่องมือชนิดนี้กำลังกลายเป็นสินทรัพย์ระยะยาวของแบรนด์ ซึ่งต้องการมากกว่าแค่การออกแบบหนึ่งตัวแล้วจบ

Brand Belief ครั้งนี้ จึงขอพาทุกคนไปเปิดเบื้องหลังการทำงานแบบฉบับวิธิตา และการประกาศจุดยืนครั้งใหญ่ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความเชี่ยวชาญที่บริษัทมีอยู่แล้วมากกว่า 20 ปี 

01 เพราะคาแร็กเตอร์ไม่ได้สำเร็จในวันเดียว 

ภายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทรนด์คาแร็กเตอร์ในไทยโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากฝั่งผู้บริโภคและฝั่งองค์กร ผู้คนคุ้นชินกับการสื่อสารผ่านตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์ไลน์ แอนิเมชั่นบนโซเชียล หรือมาสคอตตามงานอีเวนต์ 

พิมพ์พิชาเล่าว่าส่วนหนึ่งเพราะเห็นเคสความสำเร็จจากแบรนด์อื่นๆ เช่น หมีเนย หมูเด้ง หรือคาแร็กเตอร์ประจำองค์กรต่างๆ ซึ่งส่งผลให้หลายองค์กรต้องการสร้าง ‘ตัวแทนของแบรนด์’ ขึ้นมาเพื่อเชื่อมกับกลุ่มผู้ใช้ใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อโฆษณาแบบเดิมอีกแล้ว

สำหรับเธอ คาแร็กเตอร์ยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบรนด์ที่ดูสนุกสนาน หรือแบรนด์ที่ขายสินค้าเด็ก แต่สามารถเป็นเครื่องมือการตลาดที่ใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงองค์กรที่มีภาพลักษณ์จริงจัง

“หลังๆ แบรนด์ที่จริงจัง ยิ่งอยากใช้มาสคอตเพราะมันช่วยให้ภาพลักษณ์เฟรนด์ลี่ขึ้น ประเทศญี่ปุ่นคือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะแม้แต่สำนักงานท้องถิ่น โรงพยาบาล หรือหน่วยงานรัฐก็ยังมีคาแร็กเตอร์ประจำพื้นที่ ทำให้การสื่อสารขององค์กรมีความมนุษย์มากขึ้นและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น”

ในไทยเอง เทรนด์นี้กำลังเดินมาทางเดียวกัน แบรนด์ขนาดใหญ่ต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และคาแร็กเตอร์คือภาษาสากลที่เชื่อมช่องว่างระหว่างองค์กรกับผู้คนได้ดีที่สุดแบบหนึ่ง

ทว่า ไม่ใช่ทุกคาแร็กเตอร์ที่สร้างขึ้นมาจะประสบความสำเร็จ หากแต่ยังต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยที่จะปั้นให้คาแร็กเตอร์เหล่านั้นมีชีวิตและจับใจผู้คนได้  

“หลายแบรนด์ทำคาแร็กเตอร์ขึ้นมา แต่หลังจากเปิดตัวไปไม่นาน คาแร็กเตอร์ก็หายไปจากช่องทางสื่อทั้งหมด เพราะการทำคาแร็กเตอร์ให้อยู่ในใจคนได้นั้นต้องมาพร้อมการวางแผนต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การโปรโมตระยะสั้น เราต้องพาเขาไปเจอคน พาไปให้คนเห็นหลายๆ ช่องทาง

“คาแร็กเตอร์ยังเป็นสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนตามเทรนด์และพฤติกรรมของคนด้วย เช่น วิธีพูด อารมณ์ หรือกิจกรรมที่เข้าร่วม มันต้องรีเฟรชตามเทรนด์เสมอ ไม่สามารถใช้รูปแบบเดิมตลอดไปได้ งานของคาแร็กเตอร์ยังคือการเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับแบรนด์ผ่านความรู้สึก ไม่ใช่แค่การมองเห็น ดังนั้นการแสดงออกผ่านท่าทาง การโต้ตอบ หรือการเดินเข้าไปหา จะต้องมีเอกลักษณ์เหมือนเรากำลังสร้างคนหนึ่งคนขึ้นมา”  

และนั่นเองเป็นเหตุผลที่วิธิตา แอนิเมชั่นในฐานะ one-stop service งานคาแร็กเตอร์และมาสคอตมาร์เก็ตติ้งเกิดขึ้น

02 เริ่มจากต้นน้ำที่แข็งแรง

“เดี๋ยวนี้จริงๆ ง่ายขึ้นมาก มี AI มีนักวาดอิสระ แบรนด์อาจจะจ้างหรือ prompt ให้วาดแค่ตัวเดียวแล้วเอาไปใช้เลยโดยไม่ต้องใช้เราก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าการจะทำให้มันสำเร็จมันไม่ได้จบแค่นั้น”

พิมพ์พิชาอธิบายให้เข้าใจว่าการจะปั้นคาแร็กเตอร์หรือมาสคอตขึ้นมาสักตัว ส่วนใหญ่คนจะพลาดตรงที่ไปโฟกัสแค่หน้าตาหรือ physical appearance ว่าจะทำเป็นหมี เป็นหมา พอออกแบบเสร็จก็จบ ทั้งที่จริงๆ แล้วมาสคอตควรมีมิติอื่นๆ ให้ต่อยอดได้มากกว่านั้น  

“การทำมาสคอตมันไม่ใช่โปรเจกต์สั้นๆ ประกาศเปิดตัวแล้วจบ แต่ควรคิดวางแผนงานระยะยาว ต้องมีการโปรโมต มี PR ในสื่อต่างๆ และทำให้คาแร็กเตอร์ไปอยู่ในหลายช่องทาง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ไปออกอีเวนต์ ไปอยู่บนสินค้า merchandise ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้แปลว่าต้องทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายต้องย้อนกลับมาที่เป้าหมายของแบรนด์ว่าจริงๆ แล้วอยากให้มาสคอตมาช่วยเรื่องอะไร”

เพราะในมุมของวิธิตาฯ การสร้างคาแร็กเตอร์ไม่ได้เริ่มจากการวาด แต่เริ่มจาก “การตีโจทย์” ให้ชัดก่อนว่า ถ้าเป้าหมายของแบรนด์เป็นแบบนี้ กลุ่มเป้าหมายแบบนี้ และมี pain point แบบนี้ มาสคอตควรมีหน้าตาแบบไหน มีบุคลิกยังไง และควรยืนอยู่ตำแหน่งไหนในแบรนด์ เพื่อให้เชื่อมต่อกับผู้คนได้ถูกทาง

จากนั้นจึงค่อยเดินไปสู่ปลายทางคือ execution ว่าจะใช้สื่อไหน ทำกิจกรรมแบบไหน และต้องวางแผนต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อไม่ให้มาสคอตหายไปกลางทาง

เมื่อทีมวางทิศทางตั้งแต่ต้นอย่างชัดเจน ทุกงานที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ สติ๊กเกอร์ไลน์ มาสคอต หรือแอนิเมชั่น จะเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด เป็นระบบที่ช่วยให้แบรนด์ประหยัดเวลา ลดต้นทุน และไม่ต้องเสียแรงไปกับการแก้งานหรือทำซ้ำโดยไม่จำเป็น

03 เป็นเพื่อนคู่คิดแบบครบวงจร 

“เคยเจอเคสที่คาแร็กเตอร์ใช้ไปไม่ถึงปี ตัวเดียวกันแต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย แล้วยิ่งเป็นองค์กรใหญ่ที่มีหลายฝ่าย พอฝ่ายต่างๆ เอาคาแร็กเตอร์ไปใช้โดยไม่มีแกนที่แข็งแรงหรือคู่มือในการใช้งานร่วมกัน ก็เลยทำให้คาแร็กเตอร์เพี้ยนไปได้หลายเวอร์ชั่นมาก”

พิมพ์พิชาเล่าว่า ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด และสาเหตุสำคัญคือองค์กรไม่มีคู่มือกลางที่จะกำกับให้ทุกทีมใช้งานคาแร็กเตอร์ในทิศทางเดียวกัน วิธีแก้ที่ได้ผลที่สุดก็คือการสร้าง character bible หรือคู่มือคาแร็กเตอร์ที่ช่วยให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทีมภายในหรือเอเจนซีภายนอกทำงานบนมาตรฐานเดียวกัน

เมื่อมี Character Bible ทีมก็ไม่ต้องมานั่งเดาว่าตัวนี้พูดได้ไหม, ท่านี้เหมาะหรือเปล่า, สัดส่วนต้องเป็นแบบไหน เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก

“character bible จะระบุทั้งน้ำเสียง ท่าทาง คีย์เวิร์ด ธีมภาพ สัดส่วน การใช้สี และ Do หรือ Don’t อย่างละเอียด รวมถึงการใช้คาแร็กเตอร์ในช่องทางต่างๆ เช่น ถ้าคาแร็กเตอร์ตอบคอมเมนต์บนเพจ น้ำเสียงต้องเป็นยังไง ถ้าอยู่ในวิดีโอควรแสดงอารมณ์แบบไหน หรือถ้าถือพร็อพต้องถือแบบไหน 

“บางคาแร็กเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างรอยยิ้มให้ผู้คน ดังนั้นถ้าเรามีคาแร็กเตอร์ไบเบิลชัดเจน คาแร็กเตอร์นั้นก็จะไม่ถูกนำไปใช้ในท่าทางเศร้าหรือร้องไห้ เพราะมันขัดกับบุคลิกที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น”

นอกจากการออกแบบวิธีการใช้งานให้อย่างลงลึกแล้ววิธิตาฯ ยังมีสายงานโปรดักชั่นครบทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับคาแร็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์ไลน์ แอนิเมชั่น merchandise ชุดมาสคอต ไปจนถึงการฝึก performer ที่จะใส่ชุดบนเวที 

เธอยกตัวอย่างว่างานประเภท ‘มาสคอต’ มักเป็น pain point ของแบรนด์จำนวนมาก เพราะหากไม่มีผู้เชี่ยวชาญแล้วแบรนด์ต้องคุมโรงงานผลิตเอง การตรวจสอบชุดมาสคอตที่ออกมาอาจทำให้รายละเอียดเพี้ยน สีผิด สัดส่วนไม่ตรง หน้าตาไม่เหมือนแบบต้นฉบับ  

“บางโรงงานรีเควสต์ให้ไปตรวจชุดที่หน้างาน ซึ่งสิ่งที่หลายแบรนด์เจอคือเขาไม่สะดวกไปตรวจเอง หรือไปตรวจแล้วก็อาจจะดูไม่ออกว่าโอเคไหม เพราะถ้าคนไม่แม่น เขาจะดูไม่ออกเลยว่าสัดส่วนที่โรงงานทำมันถูกไหม สีผิดหรือเปล่า แต่ด้วยประสบการณ์ของวิธิตาฯ แบรนด์ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย เขาแค่บอกความต้องการ ที่เหลือเราจะดูแลคุณภาพให้” 

พิมพ์พิชาบอกว่ามาสคอตหนึ่งตัวคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ถ้าทำผิดทางก็ต้องกลับไปเริ่มใหม่ ซึ่งทั้งเสียเงินและเสียเวลา การมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งศิลปะและงานผลิตมาคอยช่วยคิดตั้งแต่ต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“เราจะช่วยวิเคราะห์ว่าจากบรีฟนี้ ควรเลือกวัสดุแบบไหน เช่น ฟองน้ำ ไฟเบอร์ หรือแบบเป่าลม เพราะแต่ละแบบมีผลต่อภาพลักษณ์ น้ำหนัก ความสบายของผู้ใส่ และลักษณะการเคลื่อนไหวต่างกัน”

เพราะเหตุนี้ เธอจึงมองว่าบทบาทของวิธิตาฯ ไม่ได้เป็นแค่ผู้รับจ้างผลิต แต่เป็นส่วนหนึ่งของทีมลูกค้า

“เราเลยคิดว่าเราเป็นเหมือนเพื่อนคู่คิด เป็นหนึ่งในทีมเขาที่ช่วยทั้งสร้างคาแร็กเตอร์ตั้งแต่วันแรก ช่วยทำให้คาแร็กเตอร์เขาเติบโตขึ้นมา แล้วก็เป็นหนึ่งในกองเชียร์ด้วย เราไม่ได้มองว่างานของเราเป็นแค่การรับจ้างเป็นงานๆ แล้วจบ แต่เราช่วยรักษาผลประโยชน์ให้พาร์ตเนอร์ของเรา และช่วยดำเนินการให้แบบครบจบจริงๆ โดยนอกจากพาร์ตเนอร์จะได้งานที่มีคุณภาพแล้ว ยังได้ทั้งความสะดวกและความสบายใจด้วย”

04 สร้างคอมมิวนิตี้ให้คาแร็กเตอร์ได้เฉิดฉาย

จากประสบการณ์กว่า 20 ปีของวิธิตาฯ พิมพ์พิชาเน้นย้ำว่าการทำคาแร็กเตอร์ไม่ใช่แค่เรื่องการออกแบบ แต่ยังคือการวางแผนให้คาแร็กเตอร์มีพื้นที่เชื่อมกับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ

“ถ้าสร้างมาแล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเฉยๆ ก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้ดีไซน์สวยแค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือการคิดว่าคาแร็กเตอร์จะไปอยู่ตรงไหนบ้าง จะไปเชื่อมกับใคร และแต่ละช่องทางต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์

“การดูแลให้คาแร็กเตอร์ไม่หายไป ต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะต้องทำสม่ำเสมอและทำให้ดีทุกครั้ง”

ความเชื่อนี้เองที่บ่มเพาะให้วิธิตาฯ และขายหัวเราะจัด Character Fest Thailand งานรวมตัวคาแร็กเตอร์ครั้งแรกของไทยที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้คาแร็กเตอร์สามารถปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับได้ในพื้นที่จริง หลายแบรนด์ได้เห็นพลังของคาแร็กเตอร์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งจากจำนวนภาพที่ผู้ชมอัพโหลดเองบนโซเชียล ไปจนถึง user-generated content จำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว

“ไม่ใช่ทุกแบรนด์จะมีพื้นที่ให้คาแร็กเตอร์ออกมาพบเจอผู้คนจริงๆ บางรายทำคาแร็กเตอร์ขึ้นมาแล้วไม่มีที่ให้โปรโมตเลย นอกจากสื่อของตัวเองหรืออีเวนต์ของบริษัท แต่ในงาน Character Fest Thailand จะเห็นเลยว่าเราเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถ่ายคอนเทนต์ ทำให้ทุกคาแร็กเตอร์ในงานเป็นเสมือนเป็นมีเดียที่มีชีวิตจริงๆ ของแบรนด์”  

นอกจากงานนี้จะสร้างการตระหนักรู้ของคาแร็กเตอร์แล้ว ยังทำให้เกิดความรักในแบรนด์ ผ่านประสบการณ์ร่วมที่จับต้องได้ Character Fest จึงไม่ใช่อีเวนต์เฉพาะกิจ แต่เป็นปลายทางของวงจรคาแร็กเตอร์มาร์เก็ตติ้งที่ทำให้คาแร็กเตอร์มีพื้นที่เติบโต มีแฟนคลับของตัวเอง และมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว

05 ผลงานจากพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์

การเปลี่ยนผ่านของวิธิตา แอนิเมชั่นครั้งจึงนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนชื่อบริการ แต่คือการกำหนดตัวตนใหม่ของบริษัท จากผู้ผลิต ไปสู่ผู้คิด ผู้วางกลยุทธ์ และผู้สร้างระบบ ecosystem ให้คาแร็กเตอร์แบบครบวงจรในระดับประเทศ

“เรายังเชื่อในพลังของความคิดสร้างสรรค์ และพลังของคาแร็กเตอร์กับมาสคอตว่ามันเข้าถึงใจผู้คนได้ทุกวัย และเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังมากๆ เรามีแพสชั่นในสิ่งนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากส่งมอบให้คือบริการที่ดีที่สุดในฐานะเพื่อนคู่คิด ที่ช่วยให้คาแร็กเตอร์หรือมาสคอตของพาร์ตเนอร์เราถูกปั้นขึ้นมาอย่างถูกทาง และประสบความสำเร็จได้สูงที่สุด ไม่ใช่แค่ทำตามบรีฟแล้วจบ แต่คือเดินไปด้วยกันในระยะยาวจริงๆ”

และต่อไปนี้คือผลงานจากพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ของทีมวิธิตาฯ 

Engy
จากเรื่องไฟฟ้าที่ไกลตัว สู่การสื่อสารแบบเพื่อน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องการเครื่องมือที่จะทำให้เรื่องไฟฟ้าซึ่งเป็นหัวข้อที่ฟังดูแข็ง และเป็นทางการกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงผู้คนมากขึ้น วิธิตาฯ จึงสร้าง ‘น้องเอนจี้’ เป็นตัวแทนแบรนด์ที่เป็นมิตร สนุกสนาน และพร้อมอธิบายเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัว

โจทย์สำคัญคือการสร้างภาพจำใหม่ให้กับองค์กรพลังงาน ซึ่งปกติมีภาพลักษณ์เป็นหน่วยงานที่พูดเรื่องวิศวกรรมหรือการจัดการโครงข่ายไฟฟ้า แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องการความเป็นมนุษย์มากขึ้น

“เราตีโจทย์ว่าเอนจี้ควรสื่อสารเรื่องอะไร ทำยังไงให้ไฟฟ้าดูเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหนึ่งในผลงานครั้งนี้คือการทำสติ๊กเกอร์ไลน์ที่มียอดดาวน์โหลดแตะหลักล้าน” 

นอกจากสติ๊กเกอร์ น้องเอนจี้ยังถูกต่อยอดเป็น artwork, merchandise และ key visual สำหรับงานสำคัญขององค์กร เช่น งานครบรอบปี การจัดงานสาธารณะ และกิจกรรม CSR ทำให้องค์กรสามารถใช้คาแร็กเตอร์เป็นเครื่องมือเชื่อมกับคนทุกกลุ่มได้จริง

พลังของน้องเอนจี้ไม่ได้อยู่ที่ความน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่คือการวางบทบาทของคาแร็กเตอร์ให้เป็น  ‘ตัวกลางระหว่างองค์กรกับประชาชน’ ซึ่งทำให้การสื่อสารของ กฟผ.เข้าถึงคนได้เป็นวงกว้างมากขึ้น

Nong HuangYai x Nong RukLoke
เปลี่ยนภาพจำเม็ดพลาสติกใหม่ให้น่ารัก สดใส แต่ไม่ทิ้งฟังก์ชั่น

โจทย์จาก PTT Global Chemical นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการสร้างภาพใหม่ให้กับ ‘เม็ดพลาสติก’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งข้อดีและประเด็นสิ่งแวดล้อม 

วิธิตาฯ ต้องหาทางออกแบบคาแร็กเตอร์ที่เล่าฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนฟอร์มรูปร่างได้ของเม็ดพลาสติก แต่ก็ยังมีมิติด้านอารมณ์ให้กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบได้ และสื่อสารความตั้งใจขององค์กรในเวลาเดียวกันด้วย

Nong HuangYai หรือน้องห่วงใย คาแร็กเตอร์เม็ดพลาสติกสีฟ้าที่เปลี่ยนรูปร่างตามอารมณ์ เช่น กลายเป็นรูปหัวใจเวลามีความสุข หรือกลายเป็นหลอดไฟเวลามีไอเดีย ใช้สำหรับการสื่อสาร ทำให้พลาสติกดูมีชีวิตและเข้าถึงง่ายขึ้น 

Nong RukLoke น้องรักษ์โลก เป็นเม็ดพลาสติกย่อยสลายได้ สีเขียว เป็นคู่หูที่เสริมภาพเชิงสิ่งแวดล้อม และช่วยอธิบายว่าเราสามารถใช้พลาสติกอย่างเหมาะสมได้หากจัดการให้ถูกวิธี

งานนี้ถูกต่อยอดเป็นสติ๊กเกอร์ไลน์, แอนิเมชั่น, อีการ์ด, แผ่นพับให้ความรู้ และของพรีเมียมสำหรับงานวันเด็ก ทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรดูเป็นมิตรขึ้นและช่วยลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพลาสติกได้ในระดับหนึ่ง

แม่มณี 
ตำนานคาแร็กเตอร์ของประเทศไทย

ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน SCB ต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าหันมาใช้แอพพลิเคชั่นรับชำระเงิน ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่มากในตอนนั้น เนื่องจากร้านค้าส่วนใหญ่ยังใช้เงินสดเกือบทั้งหมด การจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้งานกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

วิธิตาฯ จึงได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘แม่มณี’ ใหม่ โดยตีความนางกวักในยุคใหม่ ให้มีความทันสมัย เข้าถึงง่าย และสื่อสารได้ในโลกออนไลน์

แม่มณีถูกนำไปใช้ในทุกสื่อ จากแอพพลิเคชั่น สแตนดี้หน้าร้าน ไปจนถึงของพรีเมียม ทำให้คาแร็กเตอร์ตัวนี้กลายเป็นหนึ่งในคาแร็กเตอร์ระดับประเทศที่คนไทยจดจำได้จนถึงวันนี้

นอกจากนี้ยังมีผลงานคาแร็กเตอร์อื่นๆ อีกที่วิธิตา แอนิเมชั่นมีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลัง เช่น ก็อตจิ, กล้วยกรุงศรี และอื่นๆ อีกมากมายที่ชาวไทยคุ้นเคย สำหรับใครที่สนใจปั้นคาแร็กเตอร์แบรนด์ของตัวเอง ติดต่อ Vithita Animation ได้ที่ :

E-mail : [email protected] 

LINE ID : @vithita 

Tel : 02-6419400