เสน่ห์ปลายช้อนของสำรับสำหรับไทย ที่ใช้ตำราโบราณและวัตถุดิบไทย มาเปลี่ยนเมนูใหม่ทุก 2 เดือน

‘แกงป่าแสนตุ้ง’ รสชาติแห่งป่าจากชุมชนแสนตุ้ง จังหวัดตราด

‘ตำส้ม’ อาหารพื้นบ้านของชาวลาวและชาวอีสาน ที่มีรากลึกในวัฒนธรรมสองฝั่งโขง

‘ยำหอยกาบงยาร่วง’ จานที่ควบรวมสองเมนูพื้นบ้านจากสตูลเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ชื่อเมนูเหล่านี้อาจจะดูไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ล้วนเป็นเมนูท้องถิ่นที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน โดย เชฟปริญญ์ ผลสุข เจ้าของร้านสำรับสำหรับไทย ได้ปัดฝุ่นตำราอาหารไทยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน แม่ครัวหัวป่าก์ และอื่นๆ อีกมากมาย มาทำให้สูตรบนหน้ากระดาษ กลายเป็นจานอาหารที่เสิร์ฟให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้ชิม

เขาตระเวนลิ้มรสอาหารท้องถิ่นจากทั่วสารทิศ เพื่อพลิกอาหารพื้นบ้านที่วันหนึ่งอาจสูญหายไป มาเสริมเสน่ห์ด้วยการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ผลัดเปลี่ยนไปตามแต่ฤดูกาล รังสรรค์เป็นเมนูอาหารไทยที่เสิร์ฟในรูปแบบสำรับ

และไม่ใช่ว่าใครจองโต๊ะมาแล้วจะได้ชิมเมนูเดิมเหมือนกันทุกครั้ง เพราะที่นี่จะเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกๆ 2 เดือน ตรงกับความตั้งใจของเชฟปริญญ์ที่อยากให้การเปิดร้านอาหารของเขาเต็มไปด้วย ‘ความสนุก’ และ ‘ไม่น่าเบื่อ’

“เราไม่ใช่คนทำธุรกิจ เราแค่ทำในสิ่งที่รัก”

เป็นประโยคที่เชฟปริญญ์พูดกับเราอย่างตรงไปตรงมา และย้ำเตือนว่าตลอดบทสนทนาในครั้งนี้อาจไม่ได้เต็มไปด้วยเทคนิคการทำธุรกิจร้านอาหารยังไงให้รอด แต่จะเต็มไปด้วยความเชื่อ ความรัก และความตั้งใจอยากนำเสนออาหารไทยให้ผู้คนได้รู้จัก ที่ทำให้ร้านได้รับรางวัล 1 ดาวมิชลิน และยืนระยะมาได้ถึง 8 ปี

คอลัมน์ Brand Belief ในครั้งนี้ ขอพาคุณลัดเลาะเข้ามาในซอยยมราช แถวศาลาแดง เพื่อแง้มประตูมาดูเบื้องหลังครัวสำรับสำหรับไทย พร้อมส่องหัวจิตหัวใจของคนทำอาหาร ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าอาหารหนึ่งจาน  

จานที่ 1
เรียกน้ำย่อยด้วยเมนูจากตำราโบราณ

เชฟปริญญ์ ผลสุข หรือที่สายกินและคนในแวดวงอาหารรู้จักกันในฐานะอดีตหัวหน้าเชฟแห่งร้านอาหารน้ำ (Nahm) ร้านอาหารไทยร้านแรกของโลกที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ก่อนที่ความรักในอาหารไทยจะทำให้เขาตัดสินใจเปิดร้านในชื่อ ‘สำรับสำหรับไทย’

“เราไม่ใช่คนทำธุรกิจ เราแค่ทำในสิ่งที่รัก”

เชฟปริญญ์พูดประโยคนี้กับเรา ก่อนจะเล่าว่าเขาเริ่มจากการเปิดเป็นร้านป๊อปอัพ เพราะอยากหาอะไรสนุกๆ จึงเปิดแค่ปีละ 2 ครั้ง ก่อนที่ภรรยาจะเสนอไอเดียให้มาเปิดเป็นร้านอาหารที่ Soy Sauce Factory ในช่วงนั้นเขาเปิดร้านเพียงเดือนละครั้ง หรือเดือนละ 7 วัน จนมาได้ทำเลเปิดร้านจริงจังตรง 100 มหาเศรษฐ์ (สี่พระยา) ก่อนจะย้ายมาอยู่ในซอยยมราช ย่านศาลาแดง ซึ่งเป็นที่อยู่ของร้านในปัจจุบัน

“ชื่อสำรับสำหรับไทย มาจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราเห็นคนไทยส่วนใหญ่ชอบไปกินข้าวตามสวนอาหาร กินร้านอาหารในโรงแรมแล้วสั่งแต่อาหารฝรั่ง ไม่ค่อยกินอาหารไทยกัน เพราะคิดว่าเป็นอาหารที่ทำกินเองที่บ้านหรือซื้อกินตามตลาดก็ได้ แต่ในช่วง 5 ปีให้หลังตลาดอาหารเริ่มเปลี่ยนไป ร้านอาหารไทยหันมาทำเป็นอาหารฟิวชั่นมากขึ้น คนไทยก็เปิดใจกินอาหารไทยตามร้านอาหารมากขึ้น”

ความโดดเด่นของสำรับสำหรับไทยคือการหยิบสูตรอาหารในตำราโบราณมาใช้อ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน จากบทพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, หนังสือกับข้าวสอนลูกหลาน ที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2492, สำรับรอบปี ที่ตีพิมพ์ในปี 2476 และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเล่มที่ใช้บ่อยมากที่สุดคือ แม่ครัวหัวป่าก์ ฉบับ พ.ศ. 2451 ที่เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์

“ถ้าถามว่าเราแตกต่างไหม ก็แตกต่างนะ เพราะตลาดตอนนี้ ร้านแบบเราที่ทำอาหารไทยแบบโบราณไม่ค่อยมีแล้ว ทุกคนไปทำอาหารแนวใหม่เป็น food innovation กันเยอะ รูปลักษณ์และรสชาติอาหารแบบไทยก็จะหายไปตามกาลเวลา ร้านอาหารแบบเราจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบด้วย”

จานที่ 2
เสิร์ฟจานหลักด้วยรสชาติจากประสบการณ์

“พอเราทำอาหารตำรามาสักพัก มันก็น่าเบื่อนะ เพราะเราเปิดดูสูตรตลอดเวลา วางกองอยู่ข้างๆ ตัวเลย แต่เราไม่รู้รสชาติมันจริงๆ เพราะหนังสือมันกินไม่ได้ เราก็คิดว่าออกไปกินสักหน่อยดีกว่า จะได้รู้ว่ารสชาติจริงๆ มันเป็นยังไง”

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เชฟปริญญ์ตัดสินใจออกเดินทาง ชิมอาหารท้องถิ่นจากทั่วสารทิศ อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้วเขาขับรถกว่า 6 ชั่วโมงไปที่หนองคาย เพราะการขับรถไปจะทำให้เห็นสองข้างทาง ได้แวะชิมอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยกินมาก่อน บางทีเป็นอาหารฝีมือคุณป้า คุณยาย ที่สืบทอดวิธีการทำมาเป็นเจเนอเรชั่นสุดท้าย หากวันหนึ่งท่านไม่อยู่ ก็จะไม่มีคนทำต่อ

“บางคนลูกหลานเขาก็ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ บ้าง ไม่ค่อยมีใครอยากทำร้านอาหารที่ต่างจังหวัด เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ว่าร้านอาหารก็ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ หมด แล้วไม่ว่าจะอาหารภาคไหนก็ทำออกมาเป็นรสชาติที่คนกรุงเทพฯ กิน เราเลยมองว่าถ้าคนชอบเรื่องการกินจริงๆ ไปต่างจังหวัดดีกว่า เพราะรสชาติดั้งเดิมมันอยู่ตรงนั้น”

เชฟปริญญ์เล่าว่าสิ่งที่ได้จากการไปตระเวนชิมอาหารคือความรู้ใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน บางทีเขาก็จะเห็นลำดับการปรุงอาหาร เช่น ใส่น้ำซุป น้ำตาล แล้วตามด้วยน้ำปลาร้า จากนั้นจะลองมาไล่เรียงรสชาติอาหารว่าต้องมีรสอะไร เพื่อพัฒนาเป็นสูตรของตัวเองที่ใกล้เคียงรสชาติดั้งเดิมมากที่สุดหรือเป็นรสชาติที่เขาชอบที่สุด หัวใจสำคัญคือการพยายามรักษากลิ่นของวัตถุดิบเดิมเอาไว้

จานที่ 3
เสริมเสน่ห์ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล

‘เห็ดโคนสดๆ ของขวัญจากธรรมชาติที่กว่าจะได้เห็ดโคนหนึ่งจาน ต้องค่อยๆ บรรจงทำความสะอาดทีละดอกให้ดินออกไป แต่ไม่ทำลายเสน่ห์อันบอบบางของมัน’

‘ปลาเม็งรมควัน วัตถุดิบพื้นถิ่นของภาคใต้ พบได้เฉพาะในระบบนิเวศที่น้ำจืดและน้ำเค็มไหลมาบรรจบกัน’

เหล่านี้เป็นตัวอย่างการเล่าเรื่องราววัตถุดิบ ที่สำรับสำหรับไทยชอบโพสต์ในช่องทางโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ ทำให้เห็นถึงความใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบของไทยมาใช้ในอาหารทุกจาน และปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามแต่ละฤดูกาล

เราคิดว่าประเทศนี้ยังมีร่องรอยของวิธีการทำอาหาร และวัตถุดิบหลายอย่างที่ยังไม่ถูกเอามาใช้เยอะมาก บ้านเราไม่มีคาเวียร์ ไม่มีทรัฟเฟิล ไม่มีอะไรที่แสดงออกถึงความลักชัวรี่ แต่เราจะทำยังให้วัตถุดิบพวกนี้บอกกล่าวคุณค่าของตัวเองได้ เราก็ต้องบอกว่าวัตถุดิบนี้มาจากไหน คนถึงจะเห็นคุณค่าของมันได้”

เชฟปริญญ์ยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพว่าอย่างเห็ดเผาะตอนเก็บมาใหม่ๆ ก็จะเอามาแช่แข็ง เพื่อคงคุณภาพวัตถุดิบไว้ แล้วตอนไปเสิร์ฟก็จะบอกวิธีการถนอมอาหารและวิธีการเอาวัตถุดิบมาใช้แต่ละครั้ง อธิบายให้ลูกค้าฟังว่าสีดำของเห็ด เป็นสีที่เกิดขึ้นเฉพาะในฤดูกาลนี้

หรืออย่างผักบางชนิดที่ต่างจังหวัดขายกิโลกรัมละ 50 บาท เขาก็ไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า จะบอกราคาผักอย่างตรงไปตรงมา และอธิบายเพิ่มว่าเขานำไปทำอาหารยังไงบ้าง ผักนี้เก็บมาจากไหน และเก็บยากขนาดไหน เพราะวัตถุดิบบ้านเราบางอย่างก็หายาก แต่ขายในราคาถูกมาก

“เราเคยเห็นสาหร่ายทะเลของญี่ปุ่น บ้านเราก็มีสาหร่ายขนนกหรือสาหร่ายปีกนก แต่ความยากคือจะเก็บรักษาไว้ยังไงให้ยังมีชีวิตอยู่และจะเอามาทำอาหารยังไงให้อร่อย เรื่องเหล่านี้เราต้องบอกกล่าวออกไปให้คนรู้ ให้มันถูกยอมรับ นั่นเป็นเหตุผลที่เราปรับวิธีการทำอาหาร เพื่อให้วัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาติในบ้านของเราถูกเอามาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด”

จานที่ 4
มัดใจให้อยู่นานด้วยการเปลี่ยนเมนูไม่ซ้ำทุก 2 เดือน

เชฟปริญญ์เล่าว่าตั้งแต่เปิดร้านเมื่อปี 2017 จวบจนวันนี้เป็นเวลา 8 ปีแล้ว เขายังมีความเชื่อเหมือนเดิมคือ ‘ทำเพราะสนุก’ และสิ่งที่ทำให้สนุกตลอดเวลาคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อก่อนเขาจึงเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกเดือน ทำให้ลูกค้าประจำที่ส่วนมากเป็นคนไทยก็มักจะจองโต๊ะเข้ามาทุกเดือน

“เหมือนลูกค้าประจำเขาเชื่อในตัวเรา เชื่อในความสนุกที่เรามีให้ตลอดเวลา ส่วนไอเดียที่เราเปลี่ยนวัตถุดิบ เปลี่ยนเมนูทุกเดือน เพราะเรารู้สึกสนุกและเราเป็นคนขี้เบื่อ อีกอย่างคนทำงานในครัวจะได้ไม่เบื่อด้วย เขาจะมีโอกาสไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปด้วยกัน”

ในช่วง 2 ปีให้หลังมานี้ เชฟปริญญ์ปรับเป็นเปลี่ยนเมนูใหม่ทุก 2 เดือน ทำให้มีลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น 80% ในขณะเดียวกันลูกค้าประจำก็จะมาเห็นหน้ากันช้าลง เพราะเปลี่ยนการจองโต๊ะเป็น 2 เดือนครั้งตามรอบการเปลี่ยนเมนูอาหาร

“ในการจัดสำรับอาหารแต่ละครั้ง เราคิดแล้วว่าจะเล่นกับความรู้สึกคนกินยังไงดี บางครั้งเราเอารสชาติเผ็ดมาก่อน แล้วก็ตามมาด้วยรสชาติอย่างอื่น หรือเอารสชาติเผ็ดอยู่ตรงกลาง เอารสชาติเผ็ดปิดท้าย เราอยากเล่นกับความรู้สึกของคนที่มากิน และอยากให้เป็นการเล่าประสบการณ์ของเชฟด้วยว่าไปเจออะไร ไปกินอะไรมา”

จานที่ 5
ของหวานคือความสนุกที่ได้รับ

“เราไม่ได้นิยามตัวเองว่าเราเป็นร้านอาหารแบบไหน แต่เมื่อก่อนภรรยาผมจะบอกว่าเราเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับอาหารไทยและวิถีแบบไทย เพราะเมื่อก่อนเราไปเจอวัตถุดิบอะไรจากเกษตรกรมา เราก็แชร์ให้เพื่อนๆ วงการเชฟได้รู้ พอเขาไปเจออะไรน่าสนใจก็แชร์กลับมา มันก็ทำให้วงการอาหารมีความมั่นคงขึ้น เพราะเรามีเพื่อนดีกว่ามาเป็นคู่แข่งกัน ผมไม่ได้แข่งกับใคร เราทำร้านนี้ร่วมกับภรรยาเพราะความสนุก”

สิ่งหนึ่งที่เชฟปริญญ์พยายามบอกลูกค้าทุกคนเสมอคือ ร้านนี้ไม่ใช่เชฟส์เทเบิล เพราะถ้าเป็นเชฟส์เทเบิลจะมีความเป็นทางการกว่านี้ แต่เขาอยากให้ทุกคนรู้สึกเหมือนมานั่งกินข้าวในห้องครัวที่บ้าน จึงเลือกทำครัวแบบเปิด ให้ลูกค้าเห็นการทำงานในครัวทุกขั้นตอน ที่เต็มไปด้วยการพูดคุยอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะเป็นระยะ และทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุกตามไปด้วย

“การทำงานที่นี่เรานึกถึงความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ มากกว่าที่จะคิดว่าอาหารจานนี้มันสำคัญกว่าเพื่อนมนุษย์ ถ้าเดินเข้ามาจะเห็นบรรยากาศคนพูดคุยเล่นกัน บางวันคนในครัวก็คุยเรื่องละครบ้าง คุยเรื่องแมวบ้าง ภาพในครัวนี้เลยจะต่างจากที่เราเห็นผ่านรายการแข่งทำอาหารในทีวี เพราะเราช่วยกันทำงาน มากกว่าที่จะแข่งกันทำงาน”

ถึงแม้สำรับสำหรับไทยจะการันตีความน่าสนใจด้วยรางวัล 1 ดาวมิชลินในปี 2024 แต่เชฟปริญญ์ก็เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าบางคนที่เปิดใจมากินเพราะเห็นร้านได้รางวัล โดยที่ยังไม่เห็นหน้าตาอาหารมาก่อน บางคนก็ผิดหวัง บางคนก็ถูกใจ

แต่หากเปิดใจมากินเพราะอาหาร ก็อาจจะได้รับประสบการณ์หรือรสชาติแบบที่คาดไม่ถึงกลับไป เขาพยายามทำให้คนชอบอาหารที่เขาทำมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องชอบทั้งหมดก็ได้ เพราะอาหารเป็นเรื่องของรสนิยม แต่มีส่วนที่มากินแล้วชอบเขาก็พอใจแล้ว

ก้าวต่อไปของสำรับสำหรับไทย เขาอยากให้คนเปิดใจมากินเพราะอาหารน่าสนใจจริงๆ มากกว่าชื่อเสียงของเชฟหรือรางวัลที่ได้รับ แบบนี้ร้านถึงจะอยู่ต่อได้อย่างยั่งยืน

Concur Patchwork แบรนด์ของคนใต้ที่อยากปั้นสามจังหวัดชายแดนใต้เป็นดินแดนแห่งธุรกิจ อัพไซเคิล

จะมีสักกี่แบรนด์ที่เลือกให้นายแบบเป็นอดีตชาวประมงพื้นบ้านวัย 69 ปีอย่าง ‘บอบอ’ ผู้ยังคงปั่นจักรยานเก็บขวดขายเลี้ยงชีพ และ ‘แบเลาะ’ นักปั่นสามล้อรับจ้างคันสุดท้ายของปัตตานีวัย 62 ปี ผู้แบกวิถีชีวิตเรียบง่ายไว้ในทุกลมหายใจ และเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ก็ช่างเท่ เซอร์ เหมาะกับจิตวิญญาณนักสู้ของแบรนด์เหลือเกิน

Concur Patchwork ตั้งใจเลือกคนเหล่านี้เป็นนายแบบผู้เล่าเรื่องแบรนด์ เพราะทุกฝีเข็มที่เย็บปะบนเสื้อผ้าเกิดจากฝีมือของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้ที่สื่อสารถึงความหวัง ความยั่งยืน การเยียวยา และสันติภาพ 

จู–ฮุสนีย์ สาแม ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Concur Patchwork ไม่ได้มองว่าการทำเสื้อผ้าเป็นเพียงเรื่องของแฟชั่น หากแต่เป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เขาเลือกปันหนึ่งในสามของรายได้กลับคืนสู่ชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีและครอบครัวที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 

เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่การรีเมคผ้าเหลือทิ้งให้กลายเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่เท่ แต่คือการทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปพร้อมกับพัฒนาบ้านเกิด

“จุดแข็งของแบรนด์เราจะอยู่ที่เรื่องเล่าในการทำงานที่เชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาในชุมชน ซึ่งโดยปกติแล้ว การทำธุรกิจแฟชั่นจะเชื่อมกับชุมชนค่อนข้างยาก เพราะต้องคุมทุกอย่างแม้กระทั่งดีไซน์ แต่ผมเลือกที่จะทำต่างออกไป”
จูไม่ได้เรียนจบด้านแฟชั่นโดยตรง แต่เรียนรู้เซนส์ด้านแฟชั่นจากประสบการณ์เป็นพ่อค้ามือสอง ควบคู่กับการทำงานใกล้ชิดกับช่างฝีมือในพื้นที่ โดยมีทีมงานที่ดูแลการออกแบบและควบคุมโปรดักชั่น ขณะที่คนในชุมชนมีบทบาทหลักในการเย็บชิ้นงาน

วันนี้ Concur Patchwork กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่หก พร้อมการเติบโตต่อเนื่องกว่า 90% ในปีที่ผ่านมา จากกระแสแฟชั่นรักษ์โลกและเสื้อผ้าแพตช์เวิร์กที่กำลังเป็นที่นิยม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จที่แท้จริงของแบรนด์กลับสะท้อนผ่านการสร้างผลกระทบทางสังคม ด้วยการใช้ศิลปะแห่งการเย็บปะเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืน เปิดโอกาสทางการศึกษา และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในชุมชน

เลิกกั๊ก แล้วปักก่อน

เมื่อสินค้าขายไม่ออก เหลือค้างในสต็อก คุณจะกั๊กให้กลายเป็นของเหลือทิ้งที่ไร้ราคาไหม หรือจะเพิ่มมูลค่าและต่อยอดเป็นสิ่งใหม่

ก่อนเริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง จูมีประสบการณ์เป็นพ่อค้าขายเสื้อมือสองมาก่อน โดยเริ่มจากทำเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้รู้จักเครือข่ายพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนัดสามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เขายกตัวอย่างตลาดสำคัญในภาคใต้ เช่น ตลาดนัดมะพร้าวในยะลา ซึ่งเป็นแหล่งช้อปสินค้ามือสองที่มีอายุยาวกว่า 20 ปี และตลาดนัดรูสะมิแลในปัตตานี

“ปกติแล้วเสื้อผ้ามือสองที่ขายออกได้จริงจะอยู่แค่ 10-30% ของทั้งหมด เสื้อผ้าที่เหลือมักมีตำหนิ ไซส์เล็ก สีไม่สวย ซึ่งจะขายออกช้าและราคาต่ำ คนขายหลายคนก็เลยเลือกที่จะทิ้ง บริจาค หรือขายเซลล์ในราคาถูก เพราะต้องการเคลียร์ของให้ไวที่สุด”

ด้วยจำนวนพ่อค้ามือสองในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีหลักพันคน ประกอบด้วยพ่อค้าออนไลน์ พ่อค้าในตลาดนัด นักศึกษา และผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้ามือสองมานานหลายปี ทำให้จูเล็งเห็นโอกาสว่า ผ้าที่เหลือจากการขายเหล่านี้มีมูลค่าและสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้

“เราพยายามสร้างการตระหนักรู้ทางสังคมให้กับคนในพื้นที่ว่าการทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องคิดไกล ผมเองก็เอาเสื้อผ้าที่หลายคนมองข้ามในพื้นที่มาทำ พยายามชูประเด็นว่าลองกลับมามองทรัพยากรในท้องถิ่นดูว่าเราพัฒนามันได้ยังไงบ้าง 

“และการที่มีเสื้อผ้าเยอะมากในพื้นที่ ก็เท่ากับว่าเรามีชอยส์ในการเลือกเสื้อผ้าเหล่านี้มา upcycle ได้เยอะมาก ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่ผมขายเอง แต่เป็นเสื้อผ้าที่เหลือทิ้งในการขายจากทั้ง 3 จังหวัด ทำให้เรามีแหล่งวัสดุที่ไม่หมดไปและมีเพียงพอให้เอามาทำเสื้อผ้าใหม่ ผมเลยอยากชูประเด็นว่า จุดแข็งของ 3 จังหวัดชายแดนใต้สอดคล้องกับการเติบโตเป็นพื้นที่แห่งธุรกิจ upcycle ในอนาคต ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต่อไป”

แทนที่จะคิดว่าอยากทำแบรนด์แพตช์เวิร์กเจ้าเดียว จูบอกว่าเขาไม่กั๊กวิชาและอยากถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิคการเย็บและการสร้างสรรค์แบรนด์จากผ้าเหลือใช้ผ่านการจัดเวิร์กช็อปให้หลายองค์กรที่เขาถูกเชิญไปบรรยาย เช่น บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดยะลา โครงการฝึกอาชีพในจังหวัดนราธิวาส ฯลฯ

“การที่ผมไปถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้จะทําให้เกิดแบรนด์ลักษณะนี้เพิ่มขึ้น โดยแต่ละคนอาจไปหาพัฒนาแนวทางของตนเองต่อ เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่การอยากทําธุรกิจแบบผูกขาด เราจะเป็นธุรกิจที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะลําพังแค่ผม ปีหนึ่งผมกําจัดขยะได้ไม่กี่ตันหรอก เราก็ต้องอาศัยการเกิดขึ้นของแบรนด์ลักษณะนี้ให้เยอะมากขึ้นในพื้นที่

“ยิ่งขยะจากเสื้อผ้ามีมากเท่าไหร่ แบรนด์เหล่านี้ก็ต้องเกิดมากขึ้นด้วย เพราะเราจะไปเปลี่ยนวิถีการค้าของพ่อค้าแม่ค้าที่ทำให้เกิดเสื้อผ้าเหลือก็ไม่ง่าย ดังนั้นเราต้องออกแบบทางแก้ที่ตอบโจทย์ ยิ่งในปัจจุบัน เสื้อผ้ามือสองกำลังล้นโลก เพื่อนผมที่สิงคโปร์ทำผลสำรวจมาพบว่า เสื้อผ้าทั่วโลกตอนนี้มีจำนวนมากจนสามารถให้คน 6 รุ่นใส่ต่อกันได้ นี่จึงกลายเป็นมุมมองว่า บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหา เราอาจพลิกมันเป็นจุดแข็งทางโอกาสในการสร้างสินค้าที่ไม่สิ้นสุดก็ได้”

รุงรัง ‘เซอร์ไตล์’ 

แรงบันดาลใจด้านแฟชั่นของ Concur Patchwork ไม่ได้เกิดจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่เกิดจากประสบการณ์ตรงของจูในการขายเสื้อผ้าที่หล่อหลอมให้เขามีสัญชาตญาณพ่อค้าที่มองออกทันทีว่าสินค้าแบบไหนจะขายได้

“พอผมเคยขายเสื้อผ้ามือสองเป็นระยะเวลาหลายปี สิ่งที่เราได้ติดตัวมามากที่สุดก็คือการได้มีโอกาสเห็นงานดีไซน์ที่หลากหลาย ผ่านเสื้อผ้ามือสอง เพราะเราขายเป็นพันเป็นหมื่นตัว เราจะได้เห็น กระเป๋า เสื้อ กางเกงจนเป็นภาพติดตา พอสะสม ทําไปนานๆ มันจะเกิดการตกผลึกว่า ในเมื่อเราขายของเหล่านี้ได้อยู่แล้ว ทําไมเราไม่ทําซ้ำเพื่อขายอีกนะ

“ดีไซน์ของแบรนด์จึงอิงจากสินค้าที่เคยขายได้ที่ผ่านมา เพราะพอเคยขายได้ก็แสดงว่ามีความต้องการ และพอเราทําไปสักพักหนึ่ง มันจะมีเซนส์ทางเสื้อผ้าที่เกิดจากการสังเกตบ่อยๆ เหมือนคนทำธุรกิจมานานที่จะมองเห็นโอกาส”  

เสื้อผ้าของ Concur มีดีไซน์ไม่เหมือนกันเลยเพราะเกิดจากการเย็บปะเศษผ้าออกมาเป็นเสื้อกั๊ก แจ็กเก็ต กางเกงวินเทจ กางเกงยีนส์ เย็บด้วยเทคนิคที่ได้แรงบันดาลใจจากการเย็บแบบซาชิโกะและโบโร่จากประเทศญี่ปุ่น 

“ถ้าเป็นเสื้อแจ็กเก็ตจะใช้เทคนิคคุมโทนเสื้อผ้าให้ภาพรวมออกมาสวย  ส่วนถ้าเป็นกางเกงขายาวจะเลือกผ้าแบบแรนด้อม เน้นความคิดสร้างสรรค์ แต่ละตัวไม่ซ้ำกัน เพื่อชูประเด็นว่าความไม่สมบูรณ์แบบก็สวยงาม บางทีเราก็มั่วเอา บางทีเราก็มีการวางคอมโพซิชั่นของสีให้ดูแล้วลื่นตา”

จูบอกว่าตอนทำแรกๆ คนทั่วไปยังไม่ค่อยเข้าใจสไตล์เสื้อผ้าแนวเซอร์เท่าไหร่ แม้แต่ชาวบ้านที่เย็บชุดแพตช์เวิร์กก็ยังเกิดคำถามกับเขาบ่อยครั้ง  “สิ่งที่ท้าทายสุดในการทำเสื้อผ้าคือการสื่อสารกับชาวบ้าน ต้องบอกตรงไปตรงมาว่าช่างของเราไม่ได้เข้าใจแฟชั่นที่เราพยายามนําเสนอออกมาตั้งแต่แรก ชาวบ้านจะติดภาพว่างานเย็บควรจะมีคุณสมบัติสามอย่าง หนึ่งคือเนี้ยบ สองคือต้องสวย สามคือราคาไม่แพง แล้วผมกลับทําตรงข้ามหมดเลย งานก็เย็บออกมาเปรี้ยว เลือกเสื้อผ้ามือสองที่คนมองว่าเป็นขยะมาทำ แล้วก็มีราคาสูงขึ้นมา ซึ่งมันก็ย้อนแย้งกับความรู้สึกเขา  

“หรือการที่ผมบอกชาวบ้านว่าช่วยเย็บเบี้ยวๆ ให้หน่อย เขาก็จะเกิดคำถามว่า จะขายได้จริงใช่ไหม ใครจะซื้อแบรนด์ของเรา เจอคำถามแบบนี้ประจําในการทําความเข้าใจกับช่าง ต้องสื่อสารให้เขาเข้าใจว่าแฟชั่นไม่จำเป็นต้องเป็นเสื้อผ้าดีไซน์เนี้ยบอย่างเดียว ดีไซน์รุงรังก็ขายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโลกให้ช่างของเรา และก็เป็นความสนุกในการอธิบาย เราก็พยายามทำให้ชาวบ้านเห็นโอกาส ต่อไปเขาอาจจะไปบอกต่อให้ลูกๆ หรือคนรู้จักมาศึกษาต่อ ซึ่งก็ตอบโจทย์กับความต้องการของผมในการสร้างช่างและผู้ประกอบการที่ทำเสื้อผ้าสไตล์เซอร์ให้เยอะมากขึ้น” 

อนาคต จูยังมองไกลไปถึงการทำเสื้อผ้าแพตช์เวิร์กจากผ้าทุกชนิดบนโลก แม้ปัจจุบันแบรนด์จะเน้น upcycle จากผ้าคอตตอนที่มีความหนา เย็บมือได้ง่าย แต่เขาก็สนใจหาวิธีการนำผ้าเนื้อบางประเภทอื่นๆ เช่น ชีฟองมารีเมคเป็นเสื้อผ้าใหม่เช่นกัน

ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทอดเทคนิคเย็บปักถักร้อยจากญี่ปุ่น จูกลับมองว่าเป็นเรื่องง่ายที่สุด เพียงแค่เปิดยูทูบให้ชาวบ้านเรียนรู้ตามตัวอย่าง 

“ในการสื่อสารกับชาวบ้าน ถ้าเราเอาหลักการต่างๆ มาสอน แกจะไม่เห็นภาพ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือเราต้องทําทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ซึ่งยูทูบก็มีข้อดีตรงย้อนกลับมาดูได้ง่าย งานซาซิโกะคล้ายกับเทคนิคการเนา เราแค่วาดเส้น แล้วก็เย็บตามรอยที่ขีดเส้น ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนทําได้”

สโลว์แฟชั่นที่อยากเย็บแบบชิลล์ๆ

ปัจจุบัน Concur Patchwork ได้รับการยอมรับในฐานะ global street fashion มากขึ้นเรื่อยๆ จูมีโอกาสพาเสื้อผ้าจากฝีมือของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้ไปเฉิดฉายที่แฟชั่นโชว์ที่สิงคโปร์ในงาน Eco Fashion Weekend ซึ่งเขาเป็นเจ้าของแบรนด์ไทยเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมแสดงผลงาน และยังมีคนสนใจอุดหนุนผลงานจากคนไทยมากมายในงานนั้น

สิ่งที่ทำให้จูมั่นใจว่าฝีมือคนไทยโดดเด่นไม่แพ้ใครคือความประณีตในการเย็บ และรสนิยมที่หลอมรวมจากคนหลายวัฒนธรรมในภาคใต้ การที่ชาวบ้านพูดได้ทั้งภาษามาเลย์ ไทย และอังกฤษ ยังทำให้เปิดกว้างในการเสพแรงบันดาลใจด้านแฟชั่นจากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทำให้เกิดไอเดียสดใหม่และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์จนกลายเป็นจุดขายที่แตกต่าง

จูมองว่าประเทศต่อไปที่อยากขยายตลาดคือออสเตรเลีย เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าประเทศนี้เป็นจำนวนมาก แต่การเดินหน้าต้องมาพร้อมการวางแผนการผลิตอย่างรอบคอบ เพราะทีมช่างหลักของแบรนด์ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุวัย 40-50 ปี ซึ่งย่อมไม่อาจผลิตได้รวดเร็วเทียบเท่าโรงงานที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวจำนวนมาก แต่แทนที่จะมองเป็นข้อจำกัด จูกลับเห็นว่านี่คือจุดแข็งที่สะท้อนคุณค่าของการทำเสื้อผ้าแบบสโลว์แฟชั่นอย่างแท้จริง

เขายังมีแผนผสมผสานระหว่างการผลิตแบบสโลว์แฟชั่นที่ใช้ฝีมือชุมชนกับการผลิตกึ่งแมสเชิงอุตสาหกรรมที่มีแพตเทิร์นเสื้อผ้าอยู่แล้วเข้าด้วยกัน เพราะในขณะที่งานเย็บมือทำได้เพียงวันละ 3-4 ชิ้น การเพิ่มไลน์สินค้าที่มีแพตเทิร์นสำเร็จรูปจะช่วยให้ช่างในพื้นที่มีรายได้มั่นคงขึ้น อีกทั้งยังช่วยขยายธุรกิจให้เติบโต โดยวางโพซิชั่นแบรนด์ไว้ในตลาดเสื้อผ้าระดับกลาง

“ผมมองว่าเราจะเล่นตลาดกลางเพราะเป็นตลาดที่เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้ คนรวยก็ใส่เสื้อผ้าราคากลางๆ ได้ คนทั่วไปก็มาสั่งสินค้าจากแบรนด์ราคากลางๆ ได้เหมือนกันถ้าเขาสนใจ ซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดพิเศษที่สุดและปลอดภัยที่สุดในตลาดการทำธุรกิจนี้”

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างในการเลือกตลาดคือการคำนึงถึงช่างฝีมือ หากเลือกตลาดระดับกลางจะทำให้ชาวบ้านทำงานเย็บโดยไม่ต้องกดดันจนเกินไป ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็ยังได้รับเสื้อผ้าที่สอดคล้องกับราคาและคุณภาพ การเข้าใจขีดจำกัดที่ชาวบ้านทำงานได้โดยไม่กังวลถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะงานสร้างสรรค์ไม่ควรเป็นภาระ หากเกิดความเครียด ผลงานก็จะไม่สามารถสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ออกมาได้อย่างที่ตั้งใจ

ปักใต้บ้านเรา

บทเรียนสําคัญที่สุดในการทำธุรกิจของจูคือการต่อสู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่วันที่คนทั่วไปยังมองไม่เห็นคุณค่าของงานแพตช์เวิร์ก องค์กรรัฐยังไม่เห็นความสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของคนตัวเล็กที่อยากกลับมาพัฒนาชุมชนบ้านเกิด ทำให้จูบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘เราต้องเก่ง’

“ช่วงแรกของการทำแบรนด์ ผมไม่มีใครสนับสนุนเงินทุน ไม่มีใครสนใจ ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยเงิน 70 บาทของตัวเอง เริ่มทำเล็กๆ จากลงทุนค่าเย็บ 10 บาทแล้วเอามาขาย แล้วค่อยเอากำไรจากตรงนั้นมาต่อยอด เราถูกมองว่าเป็นเด็กนอกแถวที่มาทำแบรนด์ จนพอแบรนด์เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็เริ่มมีหน่วยงานรัฐมาให้ความสนใจ 

“เรื่องราวการดิ้นรนด้วยตัวเองแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับทุกคนในประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งเป็นบทเรียนสําคัญว่า การที่เราจะเอาตัวรอดได้ เราต้องพึ่งพาตัวเอง เราต้องเก่งให้ได้ ถ้าเราโง่ เราไปต่อไม่ได้เลย เพราะไม่มีใครสนับสนุนเราในตอนแรก พอพัฒนาตัวเองมาขนาดนี้ก็เลยคิดต่อว่าเรียนปริญญาเอกให้เก่งไปเลยแล้วกัน”

จูเรียนจบปริญญาตรี เอกวิชาภาษาอังกฤษ จบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ (MBA) และตอนนี้กำลังเรียนต่อปริญญาเอกด้านความยั่งยืน (sustainability development) เพราะมองว่าการศึกษาต่อด้านความยั่งยืนอย่างตรงสายจะสามารถต่อยอดการทำงานด้านธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

จากการเริ่มต้นสร้างธุรกิจท่ามกลางความไม่รู้และการลองผิดลองถูกมาทั้งหมด จูบอกว่าส่วนหนึ่งที่แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ในทุกวันนี้ก็เพราะโชคและจังหวะเวลาเข้าข้างด้วย วันนี้เขาจึงเลือกถ่ายทอดความรู้ให้คนรุ่นใหม่เดินตามง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลุ้นโชค เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงสร้างแบรนด์ที่แข็งแรง แต่เป็นการสร้างวิธีคิดที่ช่วยยกระดับคนและสังคมไปพร้อมกัน

โมเดลธุรกิจของ Concur จึงไม่เพียงแค่สร้างรายได้ แต่ยังแบ่งผลกำไรหนึ่งในสามคืนกลับสู่ชุมชน ผ่านทุนการศึกษา การสนับสนุนชาวบ้าน และกิจกรรมช่วยเหลือผู้ยากไร้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากแบรนด์ TOMS ที่ใช้โมเดล ‘ซื้อหนึ่ง บริจาคหนึ่ง’ แต่เลือกปรับให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ที่ยังขาดการศึกษาและโอกาสในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยที่ผ่านมามอบทุนการศึกษาให้คนในพื้นที่กว่า 20 คน บริจาคอาหารและข้าวของให้กับครอบครัวที่ลำบากมากกว่า 36 หมู่บ้าน แม้จะเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆ แต่ก็ทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีทางออกในชีวิตไม่โดดเดี่ยวจนเกินไปและมีกำลังใจใช้ชีวิตต่อไป 

“ผมมองว่าการยกระดับการศึกษาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการมากที่สุด เพราะเราเจอเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้มาตลอดเวลา 20 กว่าปี เรามองว่ากลไกการสร้างสันติภาพในพื้นที่ยังมีคนที่ลงมาสนับสนุนตรงนี้ไม่มากพอ

“ด้วยความที่เราเป็น social enterprise มาตลอด ผมเชื่อว่าถ้ามีคนทำธุรกิจเริ่มมาลงสนามช่วยเหลือคนในพื้นที่ด้วยกัน มันจะเกิดแรงกระเพื่อมใหม่ในการทำธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อช่วยเหลือสังคมด้วย ซึ่งมันจะเกิดเป็นโมเดลให้คนอื่นทำตามต่อไป และถ้าเรายกระดับการศึกษาให้ดีขึ้นได้สำเร็จ เยาวชนจะได้เรียนรู้วิธีคิดมุมใหม่ ความรุนแรงก็จะลดลง สันติภาพในพื้นที่จะเกิดขึ้นได้ผ่านการศึกษา” 

ถ้าเสื้อผ้าของแบรนด์ Concur Patchwork สามารถพูดกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปได้ จูบอกว่าแบรนด์ของเขาอยากขอบคุณลูกค้าที่เห็นความพิเศษของเสื้อผ้าจากฝีเข็มของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้

“ผมอยากขอบคุณพี่น้องของผม เราเติบโตมาในพื้นที่ที่แทบไม่มีแสงสว่างนำทาง ความรุนแรงเกิดขึ้นตรงหน้าบ้าน เรากลัวกับเหตุระเบิดและการเผาโรงเรียน เรื่องเหล่านี้กลายเป็นปมที่ผลักดันให้ผมอยากแก้ไขปัญหาในบ้านเกิด เพราะเราพึ่งพาใครไม่ได้ รอองค์กรรัฐลงมาแก้กว่า 20 ปี ก็ยังไม่เห็นผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มิหนำซ้ำความรุนแรงกลับยิ่งเพิ่มขึ้น เกิดความไม่ยุติธรรมมากมาย แต่ผมเลือกจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ และยืนยันว่าเราไม่มีสิทธิ์จะใช้ความรุนแรงกับใครทั้งนั้น

“ผลงานแพตช์เวิร์กที่เรานำเสนอจึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่า บ้านเราไม่ได้มีแค่เรื่องราวความรุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ ผ่านงานของชาวบ้านที่เข้ามาร่วมกับเรา และสามารถก้าวไปสู่เวทีในระดับสากลได้

“ผมอยากขอบคุณทุกคนที่ซื้อแบรนด์ Concur Patchwork เพราะถ้าไม่มีพวกเขา ผมก็คงไม่มีวันนี้”

ขอบคุณรูปจาก Concur Patchwork

CMC แบรนด์กลอง ‘ไทยทำ’ จากคนตีกลองไม่เป็นกับคุณภาพระดับ ‘เมดอินไทยแลนด์’ ที่ทั่วโลกยอมรับ

“เมดอินไทยแลนด์ แดนไทยทำเอง, จะร้องรำทำเพลงก็ล้ำลึกลีลา”

ขณะกำลังเรียบเรียงบทสัมภาษณ์นี้ผมนึกถึงท่อนฮุคสุดคลาสสิคจากเพลง เมด อิน ไทยแลนด์ ของคาราบาว วงเพื่อชีวิตระดับตำนาน ซึ่งเนื้อหาปรารภประชดประชันถึงสินค้าฝีมือไทยทำที่ถูกประเมินค่าต่ำไป จนพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ ณ ห้วงเวลานั้นต้องออกนโยบายชวนคนไทยกลับมาซื้อสินค้าของไทย

เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องของอดีต…

ปัจจุบันสินค้าของไทยได้รับการยกย่องไม่ใช่แค่ในแง่ของ OEM (original equipment manufacturer) แต่เป็นในนาม ‘แบรนด์’ โดยแท้จริง 

ผมกำลังกล่าวถึง ‘CMC’ หรือ ‘Chan Musical’ (ชาญมิวสิคเคิ้ล) ผู้ผลิตกลองและเครื่องดนตรีเคาะประกอบจังหวะ ที่นักดนตรีระดับโลกอย่างวง Santana จนถึงร็อกแอนด์โรลหัวขบถอย่าง Oasis เลือกใช้ ยิ่งในประเทศไม่ต้องพูดถึง คุณสามารถพบเห็นมือกลองในวงดนตรีกลางคืนจนถึงนักดนตรีระดับมืออาชีพ อาทิ ค่าย Smallroom หวดกลองของแบรนด์แบรนด์นี้ได้ไม่เคอะเขิน

CMC มีคติประจำแบรนด์คือ ‘กลองไทยทำด้วยใจ’ ที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาจนเติบโตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่เพราะเป็นแบรนด์ของคนไทยหรือผลิตโดยแรงงานไทยทุกขั้นตอน แต่มาจากมาตรฐานที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น 

ความเชื่อที่ว่านี้คงไม่มีใครเล่าได้ดีไปกว่า ชัย–กฤษกร ชาญดนตรีกิจ ทายาทรุ่นที่ 3 และ Chief Designer Officer & Chief Marketing Officer แห่ง CMC ที่จะมาถ่ายทอดความเชื่อของแบรนด์ผ่านบทสัมภาษณ์นี้

ร้านซ่อมเครื่องดนตรีก๋ง มาถึงร้านขายเครื่องดนตรีของป๊า และจากนั้นคือ CMC

“ธุรกิจของ CMC น่าจะเหมือนหลายๆ ครอบครัวชาวจีนที่เริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบ” 

กฤษกรเปรยถึงการก่อตั้ง CMC ให้ฟังขณะกำลังนำสำรวจโรงงานผลิตกลองชุดและเครื่องดนตรีเคาะประกอบจังหวะของเขาซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

แต่ก่อนที่จะเห็นเป็นโรงงานใหญ่โต มีแบ่งสัดส่วนแผนกการทำงานชัดเจนดังตรงหน้า ย้อนกลับไปเมื่อ 67 ปีที่แล้วบริษัทแห่งนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งพนักงานสักคน ทว่าเริ่มต้นขึ้นจากชายชาวจีนโพ้นทะเลที่ชื่อ ‘งิ่งจุ้ย แซ่เซียว’ อากงของกฤษกร ซึ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่บนผืนแผ่นดินไทยด้วยการเป็นลูกจ้างขายแผ่นเสียงในเวิ้งนครเกษม ก่อนจะจับพลัดจับผลูยกระดับตัวเองเป็นช่างซ่อมเครื่องดนตรีด้วยทักษะช่างไม้ที่นำติดตัวมาจากบ้านเกิด

จากลูกจ้าง อากงของกฤษกรค่อยๆ พัฒนาฝีมือ เก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ ก่อนจะตัดสินใจเปิดกิจการของตัวเองในนามบริษัท ‘เป้งนำฮวด’ ที่รับซ่อมเครื่องดนตรีและผลิตกล่องใส่เครื่องดนตรีประเภทเป่า และค่อยๆ ขยายกิจการมาขายเครื่องดนตรีประเภทเคาะประกอบจังหวะ โดยเน้นไปที่ ‘กลองพาเหรด’ ส่งออกแก่โรงเรียนต่างๆ โดยมี ‘ชาติชาย ชาญดนตรีกิจ’ ผู้เป็นพ่อของกฤษกรทำหน้าที่เป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง

“คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเริ่มช่วยอากงทำงานตั้งแต่อายุ 14-15  ปี แกบอกว่าสมัยก่อนทำกลองได้อาทิตย์ละ 2 ใบ นอกจากกลอง ยังทำเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ สมัยนั้นเครื่องดนตรีมันเป็น seasonal product มากๆ คุณพ่ออธิบายให้ผมฟังว่าพอปิดเทอมแทบไม่มีคนซื้อเลย เพราะสินค้าส่วนใหญ่ขายได้แค่กับโรงเรียน คือยุคนี้กับยุคสมัยนั้นมันแตกต่างกันมาก สมัยนั้นการเป็นนักร้องนักดนตรีถูกปรามาสว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน ไม่ได้ดังปรอทแตกมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

“จนสักประมาณปี 2530 เริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาในไทยเยอะขึ้น ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีผู้ที่เข้ามาตามหาผู้ผลิตเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ ตั้งแต่นั้นเลยมีการจดทะเบียนบริษัทเป็นรูปธรรม เท่าที่ผมจำความได้ในรุ่นคุณพ่อการผลิตยังเป็นกึ่งแฮนด์เมด เรียกว่าแฮนด์เมด 70% เครื่องจักร 30% 

“คือสมัยนั้นเรื่องของเทคโนโลยีเครื่องจักรยังไม่ทันสมัยเท่ายุคนี้ ก่อนที่คุณพ่อจะค่อยๆ พัฒนาหาความรู้ ไปตามงานแฟร์ งานโชว์เครื่องจักรงานไม้ เพื่อนำความรู้มาต่อยอดการผลิต จากรุ่นอากงที่ผลิตได้อาทิตย์ละ 2 ใบ ก็กลายมาเป็นอาทิตย์ละ 4 ใบ” กฤษกรย้อนความถึงจุดเริ่มต้นของ CMC ในมุมของผู้บุกเบิก 2 รุ่นแรก

เขาสารภาพกับผมว่า ความจริงแล้วช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขาแทบไม่ได้คลุกคลีกับกิจการของครอบครัวสักเท่าไหร่ นับตั้งแต่ตัดสินใจปลีกตัวไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษา ล่วงเลยถึงวัยทำงานในฐานะคนโฆษณาที่ประเทศออสเตรเลีย 

เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจเขามาตลอดคือทำไมไม่เคยมีแบรนด์กลองไทยที่ได้เฉิดฉายในเวทีระดับโลกบ้าง ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาประเทศไทยรับช่วงต่อกิจการของพ่อ ปรับกลยุทธ์จากที่เน้นส่งออกในฐานะ OEM มาผลิตกลองจำหน่ายเองในนามแบรนด์ CMC

“สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดคือประเทศไทยมีบริษัทดีๆ มีผู้ผลิตเก่งๆ เหมือนอย่างบริษัทที่ผลิตรถยนต์เต็มไปหมด แต่ทำไมไม่เคยมียี่ห้อรถยนต์เป็นของคนไทยเอง เหมือนกับยี่ห้อกลองที่เรามีคนผลิตเก่งๆ มีมือกลองดีๆ เต็มไปหมด แต่ทำไมไม่มียี่ห้อกลองของคนไทยบ้างล่ะ 

“จากคำถามนั้นทำให้ผมตัดสินใจบอกกับป๊าว่า ผมอยากทำแบรนด์กลองชุดเป็นของตัวเอง ซึ่งนี่ก็เป็นความฝันของป๊าเหมือนกัน ที่มาของชื่อ CMC เลยมาจากนามสกุลของครอบครัวชื่อชาญดนตรีกิจ”

‘กลองไทยทำด้วยใจ’ เจตนารมณ์ของคนทำกลองที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

คติประจำใจของ CMC มีด้วยกัน 2 ประโยค

ประโยคแรกคือ CMC live with rhythm จากความเชื่อของกฤษกรที่ว่า ‘ชีวิตคือจังหวะ’ เสมือนนักดนตรีที่ดำเนินอาชีพด้วยจังหวะสนุกสนาน

และประโยคที่ 2 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนดนตรีคือ ‘กลองไทยทำด้วยใจ’ ซึ่งประโยคดังกล่าวมาจากความตั้งใจของทายาท CMC รุ่นที่ 2 ที่หวังให้คนไทยได้ใช้เครื่องดนตรีคุณภาพดีที่ถูกผลิตด้วยความพิถีพิถัน และที่สำคัญคือต้องจำหน่ายในราคาจับต้องได้เพื่อประโยชน์แก่นักดนตรีทุกหย่อมหญ้า

“ตอนที่ผมขอพ่อว่าอยากทำ CMC แกบอกกับผมสั้นๆ ว่า ถ้าจะทำป๊าขอแค่ 2 อย่าง คือ หนึ่ง–คุณภาพต้องดี สอง–ถ้าขายให้คนไทยด้วยกันต้องไม่แพง สั้นๆ แค่นี้ผมได้ฟังก็ตอบตกลงทันที

“เรายังเป็นร้านขายเครื่องดนตรีรายแรกๆ ในประเทศที่ขายของออนไลน์ผ่านโซเชียลฯ คำถามที่เจอประจำคือ ผลิตในเมืองไทยหรือ ‘เมดอินไทยแลนด์’ สู้ของนอกได้ไหม จนวันหนึ่งคุณพ่อเลยพูดว่า ป๊าเกิดมาก็ช่วยก๋งทำกลองแล้ว ทำกลองมาตลอดชีวิต ป๊าทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่ป๊าทำด้วยใจ 

“สิ่งที่คุณพ่อขอไว้มันกลายมาเป็นอีกหนึ่งคติประจำแบรนด์ คนอาจจะมองว่าเราปั้นแต่งคำพูดสวยหรูหรือเปล่า ผมกล้ายืนยันเลยว่าไม่ สิ่งนี้มาจากใจของคุณพ่อและมาจากใจของผม เราอยากทำเครื่องดนตรีคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ ทำให้กลองชุดราคา 4-5 หมื่นสามารถสู้คุณภาพกับกลองชุดจากเมืองนอกราคาหลักแสนได้

“ผมยกตัวอย่างเก้าอี้กลอง (drum throne) ที่ผมนั่งอยู่ ถ้าคุณลองจับดูจะรู้ว่ามันเบามาก โปรดักต์นี้มาจากเพื่อนนักดนตรีที่บอกกับผมว่า เขาอยากได้เก้าอี้กลองน้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ขายในราคาที่จับต้องได้ เราเลยตัดสินใจผลิตเก้าอี้กลองนี้ขึ้นมา

“หรืออย่างไม้กลองคู่ละ 170 บาทถามว่าทำไมผมถึงตั้งใจขายในราคานี้ ถ้าเทียบกับไม้กลองยี่ห้อนอกที่คู่หนึ่ง 400 บาท ง่ายๆ ผมอยากให้ลองคิดตามว่าอาชีพมือกลองถ้าในกรุงเทพฯ เฉลี่ยเล่นคืนหนึ่งได้ค่าแรงชั่วโมงละ 500-800 ถ้าในต่างจังหวัดได้ชั่วโมงละ 300-400 บาท 

“สมมติซื้อไม้กลองมา 400 บาทจู่ๆ ตีไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงไม้หัก บอกเลยว่าคืนนั้นแทบไม่ต่างจากเล่นฟรี ผมเลยอยากให้สินค้าของเราอยู่ที่ราคาประมาณนี้ มือกลองที่เล่นดนตรีรายได้ไม่สูงนักก็สามารถซื้อไหว โดยที่มาตรฐานคุณภาพกับราคาทั้งเขาและเรารับไหว” กฤษกรอธิบายด้วยรอยยิ้ม

จากจุดเริ่มต้นของ CMC ในปี 2554 ที่เน้นผลิตงานกลองแบบคัสตอมตามลูกค้ารีเควสต์ จึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นผู้ผลิตกลองชุดที่ในยุคสมัยนั้นสนนราคาเริ่มต้นเพียง 30,000 บาท ซึ่งกฤษกรกล้ายืนยันกับเราเต็มปากว่าไม่มีแบรนด์กลองแบรนด์ไหนผลิตในราคานี้ โดยต้นทุนการผลิตสามารถควบคุมได้เพราะมีเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ผ่านการคิดค้นจากรุ่นสู่รุ่นเป็นทุนเดิม 

ด้วยเหตุนี้ CMC จึงกลายเป็นยี่ห้อสามัญที่วงดนตรีแทบทุกวงยกใจให้ทั้งในแง่ของคุณภาพและราคา 

คนทำกลองที่ตีกลองไม่เป็น

“จริงๆ ผมตีกลองไม่เป็นนะ ถ้าแค่เคาะๆ งูๆ ปลาๆ ยังพอไหว” 

กฤษกรเอ่ยประโยคชวนสงสัยพลางหัวเราะร่า, ผมขมวดคิ้วคิดในใจอะไรทำให้คนที่ผลิตกลองจนได้รับการยอมรับไปทั่วกลับใช้งานมันไม่เป็นเสียงั้น 

“ผมมองตัวเองเป็นดีไซเนอร์ เป็นมนุษย์ทดลองมากกว่า” กฤษกรช่วยคลายข้อสงสัยดังกล่าวในใจ “ผมอาจจะเป็นคนตีกลองไม่เป็น แต่ผมจูนกลองเป็นเพราะผมอยู่กับมันทุกวัน รู้ว่าเสียงแบบไหนดีไม่ดี ผมเลยชอบนำไม้ประเภทต่างๆ มาทดลอง 

“ครั้งหนึ่งผมได้ไม้ทุเรียนมาทำกลองอยู่ในขั้นตอนพ่นสี ยังไม่ได้ประกอบเป็นสแนร์ด้วยซ้ำ ประจวบเหมาะเป็นช่วงที่วง Santana มาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทยพอดี ด้วยความที่ครอบครัวผมสนิทกับวงเลยชวนเขามาเดินที่โรงงาน ปรากฏว่าคาร์ล เพอร์ราโซ มือเพอร์คัชชั่น เขาเห็นไม้ทุเรียนนี้พอดี เขาก็หยิบตัวถังไม้ขึ้นมาเคาะๆ ครู่หนึ่งเขาก็บอกว่าส่งให้เขาใบหนึ่งสิ เสียงดีมาก   

“หรืออย่างกลองที่วางบนชั้นตรงนี้ เชื่อไหม มีใบหนึ่งทำมาจากไม้ตะเคียนตกน้ำมันซึ่งเสียงดีมาก ผมทดลองใช้ไม้ประหลาดๆ อยู่เยอะ เช่น ไม้ปาล์ม, ไม้จากต้นตาล, ไม้จามจุรี, ไม้มะม่วง ฯลฯ เป็นไม้อะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย แล้วถ้าเป็นไม้ไทยยิ่งได้ช่วยชาวสวนไปในตัว”

 ครั้งหนึ่งเขายังเคยใช้ไม้ทำเขียงซึ่งเป็นไม้เนื้อเหนียวๆ มาทำกลอง ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแม้เนื้อไม้จะดี แต่พอขึ้นโครงทิ้งไว้ 2-3 วัน ไม้ก็งอโค้งใช้การไม่ได้ 

“ผมมองว่าดนตรีเป็นเรื่องของการทดลอง นักดนตรีเองที่ผลิตเพลงขึ้นมา เขาก็ทดลองอะไรหลายๆ แบบเพื่อให้ได้ดนตรีของเขา ตัวเราเองที่เป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีเองก็เหมือนกัน เราต้องทดลองเพื่อหาเสียงใหม่ๆ ที่สามารถเอามาทดแทนสิ่งเก่าๆ หรือสร้างสิ่งใหม่ได้ อย่างเวลาเราทดลองเสร็จก็ต้องส่งให้นักดนตรีทดลองต่อ หรือในแง่การเป็น OEM เราก็ร่วมกับบริษัทฝรั่งทดลองก็มี”  

“ถ้าอย่างนั้น ไม้แบบไหนที่ควรเอามาทำกลองมากที่สุด” ผมถามต่อด้วยความสงสัย ซึ่งคำตอบที่ได้จากเขาทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย เพราะนั่นคือ ‘ไม้ยางพารา’ ไม้เศรษฐกิจเบอร์ต้นของไทย 

“ไม้ยางพาราบ้านเรานี่แหละครับเบอร์หนึ่ง คุณพ่อเล่าให้ผมฟังว่าสมัย 40 ปีที่แล้วยังไม่เคยมีใครนำไม้ยางพารามาทำกลอง คุณพ่อเขาก็ไปขอซื้อต่อไม้ยางพาราจากชาวบ้านในราคาถูก เพราะชาวสวนส่วนใหญ่กรีดยาง พอน้ำยางหมดเขาก็ตัดทิ้ง ไม่ก็เผาทิ้ง พอเอามาทดลองทำกลองทำให้รู้ว่าไม้ยางพารามีย่านเสียงที่ต่ำมหาศาลกว่าเพื่อน 

“ใครที่เป็นนักดนตรีจะรู้ว่ากลองที่ดีจะต้องมีย่านเสียงต่ำ เราเลยได้ประโยชน์จากการนำมาทำเครื่องดนตรี ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์จากการขายต้นยางพาราได้”  

นอกจากกลองชุด CMC ยังผลิตกลองหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะกลองแขก กลองอินเดีย กลองเกาหลี (กลองจังกู) หรือกลองญี่ปุ่น (กลองไทโกะ) กฤษกรบอกกับผมว่ากลองบางชนิดเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วยซ้ำในชีวิต บางเครื่องเคาะถูกคิดค้นใหม่ตามไอเดียนักดนตรี ฟังดูเป็นงานยาก แต่เขายืนยันว่านี่เป็นความสนุกในชีวิตกับการได้เรียนรู้เครื่องดนตรีชนิดใหม่ในทุกๆ วัน

“ผมมองว่าดนตรีเป็นเรื่องของการทดลอง นักดนตรีเองที่ผลิตเพลงขึ้นมา เขาก็ทดลองอะไรหลายๆ แบบเพื่อให้ได้ดนตรีของเขา ตัวเราเองที่เราเป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีเองก็เหมือนกัน เราต้องทดลองเพื่อหาเสียงใหม่ๆ ที่สามารถเอามาทดแทนสิ่งเก่าๆ หรือสร้างสิ่งใหม่ได้ 

“ผมว่าที่นี่อาจไม่ใช่โรงงานผลิตกลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กล้าพูดเต็มปากว่าเราผลิตกลองมากชนิดหรือเครื่องเคาะมากชนิดที่สุดในโลก” 

งานประณีตในแบบ ‘เมดอินไทยแลนด์’

Bedroom Audio, Lomosonic, เรนิษรา, ไหทองคำ และวงดนตรีจากค่าย Smallroom เช่น Tattoo Colour และ The Richman Toy 

เหล่านี้คือชื่อศิลปินที่กฤษกรพอจะนึกได้เร็วๆ ว่าพวกเขาใช้ผลิตภัณฑ์กลองของ CMC หรืออัพเดตล่าสุดหน่อยคือที่เจ้าตัวโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ร็อกสตาร์หัวขบถใช้มาราคัสที่ผลิตจากโรงงานของ CMC ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตรียูเนี่ยน ที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์

นอกจากคุณภาพการใช้งานที่ดีและราคาจับต้องได้ มีองค์ประกอบใดอีกบ้างที่ทำให้แม้แต่ศิลปินชื่อดังตัดสินใจใช้เครื่องดนตรีจาก CMC ซึ่งคำตอบที่ได้จากกฤษกรคือ ‘ความประณีต’ ตั้งแต่การเลือกวัสดุไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายอย่างการออกแบบลวดลาย

“ตอบยากเหมือนกันนะว่าทำไมนักดนตรีดังๆ หรือนักดนตรีระดับโลกเลือกใช้ CMC บางคนมาเพราะอยากลองเครื่องดนตรีฝีมือคนไทย หรือบางคนมาเพราะอยากได้ความแตกต่าง ตัวผมเองก็พยายามออกแบบสินค้าโดยไม่เคยมองตัวเองแมสแล้วหรือเป็นแบรนด์ใหญ่ 

“คือผมคิดว่าการทำเครื่องดนตรีมันต้องสนุก มันต้องแปลกใหม่ อย่างเช่นกลองโลหะที่ลวดเป็นสนิม ผมทำเพราะตอนนั้นน้ำท่วมพอดี บังเอิญผมเห็นกลองมันขึ้นสนิมแล้วสวยดี ผมก็เอาไปทำต่อเป็นลวดลายโดยที่กันไม่ให้สนิมมันลามกว่าเดิม หรืออย่างกลองชุดที่ตั้งอยู่ตรงนี้ลวดลายเกิดจากพ่นสีแบบแฮนด์เมดซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ CMC ไม่ใช่งานแรปอัพสีเหมือนที่พบทั่วไป

“หลักๆ นักดนตรีที่จะรีเควสต์ทำกลองคัสตอมกับเรามีกฎอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือเราจะไม่ก๊อปดีไซน์หรือสีซิกเนเจอร์ของแบรนด์อื่น ส่วนข้อสองคือดีไซน์ที่พิสดารมากๆ จนเราทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกนักดนตรีทุกคนคือก่อนจะเลือกดีไซน์ คุณต้องเลือกก่อนว่าอยากได้ไม้ที่ให้เสียงแบบไหนมาทำกลอง” 

ไม้บางชนิดให้เสียงทุ้ม บางชนิดเสียงแหลม การจะสั่งทำกลองชุดหนึ่งที่ราคาไม่ถูกนั้น เขามองว่านักดนตรีต้องรู้สึกชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่เลือกสีหรือดีไซน์แบบที่เคยเห็น 

ปัจจุบันรูปแบบธุรกิจของ CMC เน้นไปที่การส่งออกต่างประเทศเป็นหลักถึง 85% โดยเฉพาะในแถบอาเซียนที่เรียกว่าแทบจะครองตลาด เช่น ในกัมพูชาและเมียนมาที่มีตัวแทนจำหน่ายจริงจัง ซึ่งกฤษกรบอกว่า ‘การบริการหลังการขาย’ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดส่งออกของ CMC เติบโต เพราะนี่เป็นแบรนด์เครื่องดนตรีเพียงไม่กี่แบรนด์บนโลกที่มีบริการลักษณะนี้

 “สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อสร้างไว้จะเรียกว่าเป็นบรรทัดฐานความรับผิดชอบก็ได้ คือเรารับประกันสินค้าเสียหายแก่ลูกค้า OEM ที่ 1% ถ้าพบเกินกว่านั้นเราจ่ายคืนทั้งหมด นั่นทำให้ลูกค้าต่างชาติมั่นใจในคุณภาพของเรามากๆ เวลาเรานำสินค้าไปจัดแสดงงานใหญ่ๆ อย่าง The NAMM Show ลูกค้าก็จะชื่นชมว่าสินค้าของเราดีมาก หรืออย่างช่วงที่เกิด Hamburger crisis มีลูกค้าหลายเจ้าที่หนีไปใช้สินค้าจากจีนที่ราคาถูกกว่า แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาเพราะเจอปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า 

“แม้กระทั่งในนาม CMC ก็มีการรับประกันสินค้า 2 ปี ถ้าสินค้าเสียหายจากการผลิตเรายินดีซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ให้ใหม่ ต่างจากต่างประเทศที่เขารับประกันอย่างมากก็ 1 ปี อย่างสกรูที่ใช้จูนเสียงกลองเราก็เลือกใช้แบบสเตนเลส ซึ่งปกติต้องเป็นกลองราคาหลักแสนถึงจะได้แบบนี้ แต่เราพยายามพัฒนาผลิตสกรูของเราเองขึ้นมาเพื่อให้นักดนตรีทุกคนได้ใช้ สิ่งนี้เป็นความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนในแบบของเรา”

ต่อยอดแบรนด์ใหม่ในนามไชโย

ถึงตรงนี้มีอีกหนึ่งแบรนด์ที่กฤษกรภูมิใจนำเสนอ นั่นคือ ‘ไชโย’ แบรนด์ฉาบที่เขาซุ่มซ้อมปลุกปั้นต่อจาก CMC ที่แข็งแรงติดลมบนไปก่อนแล้ว โดยกฤษกรอธิบายว่าชื่อแบรนด์มีที่มาจากคำอุทานแบบไทยๆ คือ ‘ไชโย…โห่ฮิ้ว’ ที่ทั้งคนไทยและคนต่างชาติจดจำได้ง่าย 

ส่วนที่มาในการต่อยอดมาจากความตั้งใจของเขาที่อยากหาแนวทางใหม่ๆ ในการผลิตเครื่องดนตรีที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยยังคงคอนเซปต์ความเป็นงานคราฟต์ไว้อยู่

“ผมมองว่าถ้าเกิดเราอยากไปไกลกว่านี้ เราก็ควรจะมีอีกสักแบรนด์ที่จดจำได้ง่าย เป็นแบรนด์ที่สนุกสนาน มีเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎเดิมๆ นี่จึงเป็นที่มาของฉาบยี่ห้อไชโย ถามว่ามันพิเศษแหกกฎยังไง ถ้าคุณเป็นคนเรียนดีไซน์มาก่อนจะรู้ว่ากฎของการดีไซน์มีอะไรบ้าง นั่นคือ architecture, graphic design หรือ product design 

“กลับกันกฎของการผลิตฉาบยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเครื่องจักร แต่เราเลือกกลับไปใช้รูปแบบการผลิตแบบแฮนด์คราฟต์ คือผลิตด้วยหลอมด้วยเตาถ่าน ซึ่งเป็นเตาฟืนไม้โอ๊กโบราณ ไม่มีการใช้เครื่องจักรเลย มีแค่ตอนปั๊มนูนตัวอักษรเท่านั้น เป็นการพากลับสู่จุดเริ่มต้นของเครื่องดนตรีชนิดนี้อย่างแท้จริง”

“แนวคิดการผลิตฉาบแบบนี้มาจากไหน” ผมถามกฤษกรต่อ

“จากตุรกี” ทายาท CMC รุ่นที่ 3 ตอบกลับ “ผมไปถึงแหล่งคนผลิตจริงๆ เลย เห็นเลยว่าเขาใช้เตาฟืน เตาถ่านในการอบหลอมเพื่อขึ้นรูปฉาบ ตอนนี้เหลือเพียง 2 เจ้าเท่านั้นในตุรกีที่ใช้กรรมวิธีแบบนี้อยู่ ฟังดูขั้นตอนยุ่งยากราคาต้องแพง แต่เรายังคงความตั้งใจเดิมคือขายในราคาที่คนธรรมดาก็ซื้อไหว 

“กรรมวิธีแบบนี้ผมว่าไม่ต่างจากที่ CMC เลย อย่างเราใช้เครื่องจักรม้วนไม้ทำกลองที่เป็นเทคโนโลยีเดิมๆ ตั้งแต่รุ่นพ่อผมเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งผมมองว่าบางอย่างที่มันมีประวัติศาสตร์แบบนี้ควรค่าแก่การรักษาไว้ เราเพียงเข้ามาต่อยอดเพื่อให้มันเกิดสิ่งใหม่เท่านั้น”

ฝันที่กล้าฝันของแบรนด์ที่ชื่อ CMC

“ดูคุณจะเป็นคนที่มีไอเดียและแพสชั่นล้นเหลือมากๆ มีอะไรบ้างที่คุณตั้งเป้าหมายไว้อีกต่อจากนี้” ผมถามกฤษกรทิ้งท้ายก่อนจะจากกัน

“มีเยอะมาก ก่อนอื่นตอนนี้ผมกำลังตามหาโปรดักดีไซเนอร์มาช่วยอยู่เพราะคิดงานไม่ทัน เพราะตอนนี้ไม่ได้มีแค่ลูกค้า OEM ที่ว่าจ้างเรา แต่ยังมีลูกค้า ODM (original design manufacturer) ที่เขามาโยนหินถามทางเรื่องไอเดีย ผมเลยมองว่าถ้าเราจะโตขึ้นก็ต้องมีทีมที่ใหญ่ขึ้นตามเพื่อรองรับไอเดียที่เข้ามา (หัวเราะ)

“ส่วนเป้าหมายใหญ่ตอนนี้สำหรับผมคือไปให้ถึงระดับโลก พูดตรงๆ ทุกวันนี้สินค้าของเราไปในหลายประเทศอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย และในอาเซียน แต่ยุโรปหรืออเมริกายังคงมีแบรนด์ที่ครองตลาดฝั่งนั้นอยู่ซึ่งก็มีอยู่หลายยี่ห้อ แต่ผมอยากใช้คติประจำแบรนด์อย่างกลองไทยทำด้วยใจทำให้ทั่วโลกรับรู้ ว่าสินค้าที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยที่ทำด้วยใจจริงๆ มันเป็นยังไง

“ขณะเดียวกัน CMC ก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับวงดนตรีอินดี้อยู่หลายวง เพราะผมอยากเห็นวงการดนตรีไทยมีความหลากหลายมากขึ้น และผมเชื่อว่าวงการดนตรีไทยไปได้ไกลกว่านี้ ผมเจอนักดนตรีไทยเก่งๆ อยู่หลายคน ทำเพลงคุณภาพไม่แพ้ต่างชาติเลยเพียงแค่ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก CMC เลยอยากสนับสนุนนักดนตรีเหล่านี้ที่รายได้อาจจะยังไม่มาก” 

เส้นทางเติบโตของ CMC ที่กฤษกรวาดไว้ยังคงอีกยาวไกล แต่บทพิสูจน์เรื่องคุณภาพที่ผ่านมาเป็นเครื่องการันตีที่แน่ชัดแล้วว่า สินค้าของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และที่สำคัญคืออะไรที่ทำด้วยใจมักมีคุณค่าต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นเสมอ แม้แต่คนที่ตีกลองไม่เป็นก็สามารถทำกลองคุณภาพที่ที่ทั่วโลกยอมรับได้

JERA Cloud ผู้นำตลาด POS สำหรับคลินิกความงามที่ LINE MAN Wongnai เข้าซื้อกิจการ

รู้ไหมว่าตลาดความงามเติบโตมากถึง 12% ต่อปี ขณะที่ตลาดร้านอาหารโตเพียง 1-2% ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดในประเทศไทยที่เติบโตเป็นเลขสองหลักในปีนี้ ความน่าสนใจคือเจนฯ Z เป็นกลุ่มผู้ใช้บริการที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นกลุ่มเพศชายยังหันมาใช้บริการคลินิกความงามมากขึ้น  

นอกจากผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้จริง และราคาที่เข้าถึงได้นั้น คำถามสำคัญคือปัจจัยอะไรอีกบ้างที่ทำให้บางคลินิกขยายสาขาได้จำนวนมาก หนึ่งในเหตุผลนั้นคือการให้บริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการจองจนกลับมาใช้ซ้ำ เป็นเหตุผลที่ธุรกิจ POS สำหรับบริหารจัดการคลินิกความงามและทันตกรรมในไทยน่าจับตา

ท่ามกลางผู้เล่นมากมาย JERA Cloud ถือเป็นตัวเต็งในสนามนี้ และนั่นเองจึงเป็นเหตุผลให้ LINE MAN Wongnai แพลตฟอร์มเดลิเวอรีของไทยเข้าซื้อกิจการ แต่ JERA Cloud มีกลยุทธ์อะไรบ้างจึงเติบโตเป็นผู้เล่นอันดับ 1 แล้วการขยายกิจการนอกธุรกิจร้านอาหารครั้งแรกของ LINE MAN Wongnai เป็นยังไง ขอพาไป Recap พร้อมๆ กัน

+ ผู้เล่นอันดับ 1 จากการเห็นช่องว่างในตลาดและเข้าใจความต้องการของลูกค้า 

JERA Cloud ภายใต้การบริหารของบริษัท ละมุนภัณฑ์ ไอที จำกัด เป็นสตาร์ทอัพไทยที่ก่อตั้งมานาน 8 ปี เริ่มต้นจาก ผศ. ดร. บัณฑิต ฐานะโสภณ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรมเป็นทุนเดิม และผู้ร่วมก่อตั้งท่านอื่นๆ เห็นว่าระบบจัดการบริหารคลินิกในขณะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อคลินิกทั่วไปหรือคลินิกรักษาโรคเป็นหลัก ไม่ตอบโจทย์คลินิกความงาม 

JERA Cloud จึงถูกสร้างขึ้นด้วยความเข้าใจนั้น เช่น การจัดการคอร์สความงาม แพ็กเกจ การนัดหมายแพทย์ การจัดการข้อมูลแพทย์และค่าคอมมิชชั่นพนักงาน รวมถึงระบบ CRM ที่แข็งแรง อย่างการสะสมแต้ม หรือการแลก Voucher ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำ 

ระบบของ JERA Cloud ยังรองรับคลินิกได้ทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 10 สาขา ซึ่งลูกค้าหลักอย่าง Aura Bangkok Clinic ยังยืนยันว่าระบบมีความเสถียรสูง ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานใช้เวลากับระบบน้อยลง และมีเวลาให้บริการลูกค้ามากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้ถึง 30-40% จากการปรับปรุงระบบการจองให้ใช้งานง่ายขึ้น 

จุดเริ่มต้นในช่วงแรกที่มีลูกค้าเพียง 80 คลินิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคลินิกความงาม บริษัทได้ต่อยอดเข้าสู่ระบบ POS สำหรับคลินิกทันตกรรม ภายใต้ชื่อ JERA Dent เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การวางแผนการรักษาและการเก็บข้อมูลประวัติคนไข้ด้านทันตกรรม 

ในปี 2020 JERA ยังเชื่อมต่อกับ LINE Official Account (OA) และเปิดใช้ JERA CRM ซึ่งทำให้คลินิกสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุด เก็บข้อมูล และสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ ระบบนี้ช่วยให้การทำงานไม่ใช่เพียงแค่จัดการหน้าร้าน แต่ครอบคลุมถึงการตลาดและการดูแลลูกค้าด้วย

ในช่วงปี 2021-2022 JERA เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยอมรับว่าเป็น POS อันดับ 1 สำหรับคลินิกในประเทศไทย มีฐานลูกค้ากว่า 1,700 คลินิก ทั้งในกลุ่มความงามและทันตกรรม พร้อมมูลค่าธุรกรรมในระบบ 26,000 ล้านบาท นับเป็นหลักฐานชัดเจนว่า JERA ไม่ได้เป็นเพียงระบบจัดการทั่วไป แต่ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมคลินิกความงามในไทย

+ การขยายกิจการนอกธุรกิจร้านอาหารครั้งแรกของ LINE MAN Wongnai

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ LINE MAN Wongnai ด้วยเป็นการขยายธุรกิจออกนอกกลุ่มร้านอาหารเป็นครั้งแรก หลังจากที่ผ่านมาได้ใช้การ M&A หรือการควบรวมกิจการเพื่อการเติบโต เช่น การควบรวมกิจการกับ Food Story ในปี 2023 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจ POS สำหรับร้านอาหาร ซึ่งทำให้ LINE MAN มีอัตรากำไรสูงกว่า 20% หลังรวมกับ Food Story และมีลูกค้าใช้ add-on solution เช่น CRM, Mobile Ordering มากกว่า 10,000 รายจากฐานลูกค้า POS 50,000 กว่าร้าน

หนึ่งในเหตุผลสำคัญของการก้าวออกจากตลาดเดิมๆ เพราะเมกะเทรนด์ด้านความงามและสุขภาพกำลังมาแรง มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังคงมีช่องว่างสำหรับการเติบโตอีกมาก การตัดสินใจเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ Merchant Digital Solutions ที่ต้องการขยายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมข้างเคียง 

ความโดดเด่นของ JERA Cloud ที่มีระบบจัดการคลินิกความงามและทันตกรรมครบวงจร จะช่วยให้ LINE MAN Wongnai เข้าถึงผู้ประกอบการกลุ่มใหม่ได้ทุกระดับ 

หลังจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ LINE MAN Wongnai จะลงทุนเพิ่มในด้านการตลาดและทีมขาย เพื่อขยายฐานลูกค้าและให้การสนับสนุนลูกค้า JERA Cloud อย่างใกล้ชิด ทีมเทคฯ ของ LINE MAN Wongnai ยังจะช่วยเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเพิ่มฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้น

ในแง่ ecosystem ของระบบนั้น จะมีการเชื่อมโยง JERA Cloud เข้ากับ LINE Pay เพื่อเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินและสิทธิประโยชน์ ทั้งยังมีแผนที่จะให้คลินิกสามารถโพสต์ขายเวาเชอร์หรือบริการจองผ่านแอพพลิเคชั่น LINE MAN ได้ โดยที่ทีมผู้ก่อตั้ง JERA Cloud จะยังคงทำงานและพัฒนาธุรกิจในกลุ่มความงามต่อไป ภายใต้การดูแลของฝั่ง Merchant Digital Solutions ของ LINE MAN Wongnai

LINE MAN Wongnai ยังย้ำว่าการเข้าซื้อกิจการหรือการ M&A นี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายธุรกิจ และระหว่างที่มีแผนยื่น Filing เพื่อ IPO ภายในปีนี้ ก็มองหาโอกาส M&A อื่นๆ อยู่เช่นกัน โดยที่การจะเลือก M&A ในแต่ละครั้ง จะต้องคำนึงถึงอุตสาหกรรม ความแข็งแกร่งของบริษัทนั้นๆ และทีมงานที่ต้องมีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อสร้างการเติบโตแบบ 1+1=3 ไม่ใช่ 2

UNIQLO แบรนด์เสื้อผ้าสามัญประจำบ้าน ความฝันของลูกชายร้านตัดสูทที่อยากให้แฟชั่นเข้าถึงได้  

ถ้าเคยไปเที่ยวญี่ปุ่น นอกจากร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ สิ่งหนึ่งที่คุณจะได้พบแทบทุกมุมหัวถนนในเมืองใหญ่ คือ ร้านเสื้อผ้ายูนิโคล (UNIQLO)

หากอยากนึกภาพให้ออกว่า แบรนด์เสื้อผ้านี้โด่งดังแค่ไหนในญี่ปุ่น มีคำพูดเล่นๆ ในญี่ปุ่นที่ว่า “เวลาเดินเล่นในโตเกียว มีโอกาสสูงมากที่จะเจอคนใส่เสื้อผ้าของ UNIQLO เหมือนกัน”

ด้วยสาขาเกือบ 1,000 แห่งในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว นั่นทำให้แบรนด์ครองส่วนแบ่งตลาดเสื้อผ้าสูงที่สุดในญี่ปุ่นได้ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนปรัชญาการก่อตั้งแบรนด์ที่ว่า แฟชั่นไม่ควรเป็นของคนกลุ่มพิเศษเท่านั้น แต่เสื้อผ้าของ UNIQLO ถูกออกแบบในคอนเซปต์ LifeWear คือเรียบง่าย ใส่สบาย ใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ 

ว่าง่ายๆ คือ เกือบทุกคนในญี่ปุ่นรู้จัก UNIQLO เพราะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ คล้ายกับการที่คนญี่ปุ่นต้องมีข้าวในทุกมื้ออาหาร!

เรียบง่าย มีคุณภาพ ไม่ได้หวือหวา หรูหรา แต่กลับเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่น รวมถึงตลาดนานาชาติ แน่นอนว่าประเทศไทยก็เช่นกัน

จากการรับช่วงต่อร้านเสื้อผ้าของครอบครัว พร้อมความฝันของการนิยามร้านเสื้อให้เป็นเรื่อง ‘ของทุกคน’ มากกว่า ‘เฉพาะกลุ่มสังคม’ ชายคนหนึ่งได้พลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของแบรนด์แฟชั่น ผ่านกาลเวลา จนทำให้ UNIQLO เป็นธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นแบรนด์ระดับชาติ และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

UNIQLO ทำได้ยังไง? คอลัมน์ Biztory ครั้งนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้พร้อมกัน

ร้านตัดสูทของครอบครัว

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับว่ามีความยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นทุกคน

ทาดาชิ ยานาอิ (Tadashi Yanai) เกิดในปี 1949 ที่เมืองอุเบะ จังหวัดยามากูจิ ในภูมิภาคชูโกกุบนเกาะฮนชู ครอบครัวของเขาทำธุรกิจตัดสูทเล็กๆ ชื่อ Ogori Shoji ขายชุดสูทและเสื้อผ้าบุรุษ

ยานาอิ เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมอุเบะ นอกจากการศึกษา บรรยากาศการทำงานในร้านของครอบครัว ทำให้ยานาอิคุ้นเคยกับเสื้อผ้าและการค้าขายตั้งแต่ยังเด็ก หลังจบมัธยม เขาเข้าเรียนต่อปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ก่อนจบออกมาในปี 1971 

ยานาอิเริ่มทำงานในห้างสรรพสินค้า Jusco (ปัจจุบันคือ AEON) ในตำแหน่งพนักงานขายเครื่องครัวและเสื้อผ้าบุรุษ แต่ทำได้เพียงปีเดียวก็ตัดสินใจลาออก เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่เขาหลงใหลอย่างแท้จริง

หลังจากลาออก ยานาอิกลับมาช่วยกิจการร้านตัดสูทของครอบครัวและรับสืบทอดกิจการในปี 1972 ขณะที่ก็เริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ไปด้วย เนื่องจากเขามี ‘ฝัน’ ที่ต่างไปเล็กน้อยจากร้านเสื้อผ้าของครอบครัว

แม้ร้านตัดสูทของครอบครัวยานาอิจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ราคาขายของชุดบุรุษก็ค่อนข้างแพง ยานาอิเห็นว่า ลูกค้าของร้านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ขณะที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงเสื้อผ้าคุณภาพดีได้ จึงทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามว่า 

‘ทำไมเสื้อผ้าดีๆ ต้องเป็นของคนมีเงิน’ 

และนั่นก็เป็นความคิดอันเป็นรากฐานสำหรับการสร้างร้านเสื้อผ้าของเขาในเวลาต่อมา

ขณะที่ยานาอิเองเคยเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่นั่นเขาได้เห็นร้านอย่าง Gap และ Benetton ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าแคชชวลราคาย่อมเยา นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขามั่นใจว่า ทุกคนสามารถใส่เสื้อผ้าดีมีคุณภาพโดยไม่ต้องจ่ายแพงได้ และญี่ปุ่นก็ต้องการร้านเช่นนั้น

เมื่อเห็นว่าธุรกิจเสื้อผ้าญี่ปุ่นยังไม่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและราคา จึงเป็นฝันใหญ่ที่ยานาอิมีในใจเรื่อยมาในการปฏิวัติวงการค้าปลีกเสื้อผ้าโดยการสร้างร้านขายเสื้อผ้าในแบบที่เขาคิด

ไม่ใช่แค่ร้านเดียว แต่หมายถึงอาณาจักร

กำเนิด UNIQLO 

ล่วงเข้าสู่ยุค ’80s เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเฟื่องฟู คนมีกำลังซื้อสูง และนิยมแบรนด์หรูและแฟชั่นตะวันตก ตลาดเสื้อผ้าในญี่ปุ่นเองก็แบ่งชัดเจนระหว่างแฟชั่นหรูราคาแพงและเสื้อผ้าท้องถิ่นที่คุณภาพต่ำกว่า ไม่มีใครทำตลาดเสื้อผ้าที่เรียบง่าย คุณภาพดี ราคาเอื้อมถึง ให้ทุกเพศทุกวัยใช้ได้จริง ขณะที่โมเดลแบบเดิมอย่าง ‘ออกแบบ ผลิต ขาย’ แยกเป็นหลายขั้นตอน ทำให้ต้นทุนสูง และรอบการผลิตยาว

ยานาอิที่รับช่วงต่อกิจการร้านตัดเสื้อสูทของครอบครัวและดำรงตำแหน่งประธานบริษัทนั้นชื่นชมในตัวตนและผลงานของปีเตอร์ ดรักเกอร์ (Peter Drucker) นักเขียนชาวอเมริกัน ที่ปรึกษาด้านการจัดการ และกูรูด้านการบริหารอย่างมาก ซึ่งดรักเกอร์เคยกล่าวไว้ว่า 

‘เงินทองและศีลธรรมไม่จำเป็นต้องแยกขาดจากกัน’ 

ยานาอิจึงตระหนักว่าเขาสามารถสร้างอาณาจักรและกลายเป็นมหาเศรษฐีได้โดยไม่ต้องทำลายจิตวิญญาณของตนเอง

จากคำกล่าวของดรักเกอร์ ยานาอิได้เรียนรู้ว่า แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่บริษัทหรือเจ้าของต้องการขาย การคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นลำดับแรกนั้นสำคัญกว่า

ผลลัพธ์นั้น คือการที่ยานาอิเพิ่มเสื้อผ้าสตรีเข้าไปในร้านเสื้อผ้าบุรุษของครอบครัว และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Unique Clothing Warehouse (ซึ่งต่อมาเรียกสั้นๆ ว่า UNIQLO) ในปี 1984 

ยานาอิอยากสร้างเสื้อผ้าแบบ ‘LifeWear’ คือเรียบง่าย ใส่ง่าย ดูดีทุกยุคสมัย เหมาะกับชีวิตประจำวัน ไม่วิ่งตามแฟชั่นที่เปลี่ยนเร็ว ขณะที่มองเห็นศักยภาพมหาศาลในตลาดเสื้อผ้าลำลองของญี่ปุ่น และตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจของครอบครัวจากเดิมที่เน้นการขายชุดสูทเป็นเสื้อผ้าลำลอง นอกจากนี้ เขายังค้นพบว่าเครือร้านแฟชั่นต่างประเทศหลายแห่งมีการบูรณาการในแนวตั้ง โดยควบคุมกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการค้าปลีก

นั่นทำให้ร้าน Unique Clothing Warehouse เลือกขายเสื้อผ้าลำลอง คุณภาพดี ราคาย่อมเยา เน้นดีไซน์เรียบง่าย เพื่อให้คนทุกกลุ่มเข้าถึง และมีลูกค้าชื่นชอบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และกลุ่มครอบครัว เพราะเป็นของที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่ของแฟชั่นฉาบฉวย

แม้จะมีเสียงวิจารณ์ในช่วงแรกว่าเสื้อผ้าของเขา ‘เรียบและไม่มีสไตล์’ แต่ท้ายที่สุด ความเรียบง่ายนี่แหละ ที่กลายเป็นเอกลักษณ์และจุดแข็งของแบรนด์ในเวลาต่อมา

เรียนรู้หมัดเด็ด จากการ ‘บุก’ คนสำคัญ

อาจกล่าวได้ว่า อิทธิพลและแรงบันดาลใจจากร้านขายเสื้อผ้าแคชชวลจากตะวันตกอย่าง Gap และความเป็น ‘นักเรียนรู้’ ของยานาอิ คือสิ่งที่เป็น ‘รากฐาน’ และทำให้ UNIQLO เติบโตอย่างมั่นคงทางด้านธุรกิจ

ในช่วงทศวรรษ 1980 มิกกี้ เดรกซ์เลอร์ (Mickey Drexler) ประธานบริษัท Gap ในขณะนั้น ได้รับฉายาว่า ‘The Merchant Prince’ เพราะเก่งเรื่องการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแคชชวลให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของคนอเมริกัน’

กล่าวได้ว่า Gap ภายใต้การบริหารของเดรกซ์เลอร์กำลังรุ่งพุ่งแรง จนกลายเป็นตัวแทนแฟชั่นเรียบง่ายสไตล์อเมริกัน

ยานาอิมองว่า ญี่ปุ่นยังไม่มีแบรนด์เสื้อผ้าแคชชวลที่เป็นของทุกคน แต่ Gap ทำสำเร็จในอเมริกาแล้ว เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และเสื้อเชิ้ต กลายเป็นของใช้พื้นฐาน เขาจึงมองเดรกซ์เลอร์เป็น ‘ต้นแบบ’ ที่ UNIQLO เรียนรู้ได้

เมื่อมุ่งมั่นอยากเข้าใจระบบการบริหารร้านค้าปลีกเสื้อผ้าให้ประสบความสำเร็จ ยานาอิจึงทำทุกทางเพื่อเรียนรู้จากเดรกซ์เลอร์ ผู้ซึ่งเป็นสุดยอดพ่อค้าเสื้อผ้าในยุคนั้น เริ่มจากการศึกษาโมเดลธุรกิจของ Gap อย่างละเอียด เดินทางไปอเมริกาเพื่อสังเกตวิธีการจัดร้าน การวางเสื้อผ้า ป้ายราคา และบรรยากาศการช้อปปิ้งของผู้คน รวมถึงซื้อเสื้อผ้าของ Gap มาลองใส่เอง เพื่อเข้าใจทั้งสินค้าและประสบการณ์ลูกค้า

กระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 1980s ที่ UNIQLO เริ่มเติบโต ยานาอิได้ติดต่อเดรกซ์เลอร์เพื่อพบปะกินข้าว โดยส่งคำเชิญและผ่านเครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา และเขาไม่ลังเลสักนิด ที่จะศึกษาทุกสิ่งของเดรกซ์เลอร์เพื่อ ‘เรียนรู้โดยตรง’ จากเขา และ ‘เลียนแบบ’ มัน

ความพยายามดังกล่าว ทำให้ยานาอิได้อินไซต์จากวงการค้าปลีกระดับโลกและจากสุดยอดพ่อค้าเสื้อผ้าอย่างเดรกซ์เลอร์ ที่สำคัญคือ การนำแนวทางของระบบการบริหารร้านค้าปลีกเสื้อผ้าจาก Gap มาใช้กับ UNIQLO  

ทั้งการจัดการซัพพลายเชน การทำร้านแบบ self-service ที่ให้ลูกค้าเลือกเองจากชั้นวาง การขาย basic item เช่น ยีนส์ เสื้อยืด เสื้อกันหนาว แทนแฟชั่นตามฤดูกาล และการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์เรียบง่าย สะอาดตาแต่ทรงพลัง

ยานาอิตั้งเป้าให้ UNIQLO เป็น Gap เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ที่ภายหลังพัฒนาไปไกลกว่านั้นจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก

และนั่นยิ่งทำให้ UNIQLO  เติบโตแบบก้าวกระโดด หลังเข้าสู่ทศวรรษ 1990

Fleece jacket จุดเปลี่ยนแรก

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในญี่ปุ่นช่วยผลักดันให้  UNIQLO เป็นที่รู้จัก เนื่องจากผู้คนต้องการสินค้า ‘ราคาถูกลง’ และ UNIQLO ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม

ในปี 1993 ยานาอิตัดสินใจครั้งสำคัญในการทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับบริษัทญี่ปุ่น นั่นคือย้ายฐานการผลิตทั้งหมดไปยังประเทศจีน ทำให้เขาลดต้นทุนการขายเสื้อผ้าและบริษัทก็มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 

ล่วงถึงปี 1994 หลังจากยานาอิเข้ารับช่วงต่อกิจการร้านตัดสูทครอบครัวได้ 10 ปี  UNIQLO เริ่มขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจนมีถึง 100 สาขาในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

และในช่วงปลายทศวรรษ 1990 พลุแรกของ UNIQLO ก็มาถึง 

ก่อนปี 1998 เสื้อฟลีซ (Fleece) ในญี่ปุ่นยังถือว่าเป็นสินค้าราคาแพง เฉพาะคนที่มีกำลังซื้อเท่านั้นที่จะครอบครองได้ ยานาอิและทีมจึงระดมสมองจนเกิดไอเดียว่า อยากให้ฟลีซเป็นเสื้อที่ทุกคนใส่ได้ บริษัทจึงเจรจากับซัพพลายเออร์สิ่งทอรายใหญ่ในจีน เพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ลดคุณภาพ

กระทั่งปี 1998  UNIQLO เปิดสาขาใหญ่ที่ฮาราจูกุ กรุงโตเกียว และเปิดตัวสินค้า ‘Fleece Jacket’ ราคา 1,900 เยน ซึ่งถูกกว่าท้องตลาดหลายเท่า จนคนญี่ปุ่นแห่ซื้อถล่มทลายเพราะคุณภาพดีและราคาถูก 

เพียงในปีแรกที่วางขาย Fleece Jacket ของ UNIQLO ก็สร้างยอดขายกว่า 2 ล้านตัว แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มเท่านั้น เพราะในปีถัดมา ยอดขายพุ่งขึ้นถึง 26 ล้านตัว! จนสร้างปรากฏการณ์ ‘Fleece Boom’ ในญี่ปุ่น จนว่ากันว่าทุกครอบครัวแทบจะต้องมีฟลีซของ UNIQLO อย่างน้อยหนึ่งตัวเลยทีเดียว

นอกจากความสำเร็จด้านยอดขาย สิ่งสำคัญคือมันสะท้อนแนวคิด LifeWear หรือ ‘เสื้อผ้าสำหรับทุกคน’ ของยานาอิ ที่ประสบผลสำเร็จและส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เพราะฟลีซของ UNIQLO ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกว่า ‘เสื้อผ้าดีๆ ไม่จำเป็นต้องแพง’

ความสำเร็จจาก Fleece Jacket ทำให้ UNIQLO ถูกยกระดับจากร้านขายเสื้อผ้ากลายเป็นแบรนด์ที่ ‘เปลี่ยนวิธีคิด’ ของสังคม และทำให้ UNIQLO มีเงินทุนและความมั่นใจในการขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่องในญี่ปุ่นจนเพิ่มเป็น 300 สาขา และเป็นจุดเริ่มที่ทำให้แบรนด์กล้าก้าวออกนอกประเทศ เพื่อพิสูจน์ว่าปรัชญานี้ใช้ได้กับคนทั้งโลก

แต่สิ่งที่รออยู่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

วิธีคิดเดียวกัน ไม่อาจใช้ได้กับทุกสถานที่

หลังความสำเร็จในทศวรรษ 1990 เมื่อโลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ในปี 2000 UNIQLO ก็เริ่มต้นบุกตลาดนอกญี่ปุ่น

ช่วงแรกที่เข้าสู่ตลาดต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่การเปิดที่ลอนดอนในปี 2001 และอเมริกาปี 2005 UNIQLO คิดว่า โมเดลที่เคยประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น จะใช้ได้เหมือนกันในยุโรปและอเมริกา

หากแต่ UNIQLO เข้าใจตลาดตะวันตกผิดไป เพราะลูกค้าในประเทศตะวันตกคาดหวังเสื้อผ้าที่มี ‘สไตล์’ มากกว่าแค่ basic wear ผลคือ สินค้าของ UNIQLO ถูกมองว่าเรียบเกินไป และไม่มีความแตกต่างจากแบรนด์ท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว เช่น Gap, H&M หรือ Old Navy

ขณะที่โลเคชั่นในการเปิดร้านก็ไม่เหมาะสม ที่ลอนดอน UNIQLO เปิดสาขาจำนวนมากในย่านที่ไม่ใช่ prime location หรือทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมถึงในอเมริกาที่เปิดสาขาในย่านที่ยังไม่มี high traffic มากนัก ทำให้แบรนด์ไม่ถูกสังเกต

และด้วยความที่ UNIQLO ใช้วิธีคิด ‘แบบญี่ปุ่น’ มากเกินไป จึงไม่ได้ปรับสินค้าและการจัดร้านให้เข้ากับขนาด รสนิยม หรือฤดูกาลของคนท้องถิ่น เสื้อผ้าบางรุ่นที่ขายดีในญี่ปุ่น จึงไม่ตรงกับความต้องการของคนยุโรปและอเมริกัน

ไหนจะต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง Gap, H&M หรือ Zara ที่ครองตลาดเสื้อผ้าแคชชวลอยู่แล้ว UNIQLO จึงยังไม่โดดเด่นพอที่จะ ‘แบ่ง’ ส่วนแบ่งการตลาดนี้มา ผลคือ UNIQLO ต้องปิดสาขาไปกว่าครึ่งในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เพราะการขยายสาขาแบบเร่งรีบ โดยที่ยังไม่เข้าใจตลาดอย่างถ่องแท้

แต่อย่างไรก็ดี ความล้มเหลวนี้ก็เป็น ‘บทเรียน’ ครั้งสำคัญ ที่จะทำให้ UNIQLO กลับมาบุกตลาดโลกอีกครั้งในทศวรรษ 2010

ปรับจุดยืนเป็น functional clothing

หลังจากความผิดหวังในการบุกตลาดต่างประเทศครั้งแรกช่วงต้นทศวรรษ 2000 UNIQLO กลับมาแก้เกมใหม่อีกครั้ง โดยมองว่าการขาย UNIQLO แบบสไตล์ญี่ปุ่นอาจไม่เพียงพอ จึงสร้างคอนเซปต์ใหม่ในการออกแบบเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใช้ได้ทุกวัน แต่มี ‘นวัตกรรม’ ซ่อนอยู่ 

ความเป็น LifeWear ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อบอกผู้บริโภคต่างชาติว่า  UNIQLO เป็น ‘functional clothing’ ไม่ใช่ ‘fast fashion’ คือมุ่งเน้นด้านวิศวกรรมวัสดุ (material engineering) อย่างจริงจัง โดยบริษัทได้ลงทุนในความร่วมมือระยะยาวกับผู้เชี่ยวชาญเทคนิคทางด้านผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทผู้ผลิตวัสดุยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toray Industries

ความร่วมมือดังกล่าวก่อให้เกิดเทคโนโลยีผ้าที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะ UNIQLO อย่าง HEATTECH ที่เปลี่ยนชุดชั้นในธรรมดาให้กลายเป็นระบบควบคุมอุณหภูมิ เสื้อผ้าที่บางเบาแต่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งนวัตกรรมที่เริ่มต้นในปี 2003 นี้ ทำให้เกิดยอดขายสินค้า HEATTECH สูงถึง 130 ล้านชิ้นในปี 2012

ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ ต่างเร่งออกแบบเสื้อผ้าให้ ‘ทัน’ เทรนด์แฟชั่นล่าสุด แต่ทีมวิจัยและพัฒนาของ UNIQLO ทุ่มเวลาในการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ ได้แก่ การผลิตเสื้อแจ็กเก็ตดาวน์น้ำหนักเบาพิเศษที่บีบอัดให้เล็กลงในกระเป๋าพกพา การพัฒนาผ้าแห้งเร็วที่ช่วยดูดซับความชื้นในสภาพอากาศชื้น และการพัฒนาเทคนิคการถักแบบไร้รอยต่อเพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ UNIQLO หันมาโปรโมตสินค้าที่มีฟังก์ชั่นชัดเจน ไม่ใช่แฟชั่นทั่วไป เช่น HEATTECH หรือ ผ้าเก็บความร้อนสำหรับฤดูหนาว AIRism หรือ ผ้าระบายอากาศใส่สบายสำหรับหน้าร้อน และ Ultra Light Down หรือ แจ็กเก็ตขนเป็ดที่เบาและพับเก็บง่าย นวัตกรรมพวกนี้จึงทำให้ UNIQLO  ‘แตกต่าง’ จาก Zara หรือ H&M ที่เน้น fast fashion

ขณะที่ก็เริ่มคอลแล็บกับดีไซเนอร์ดังๆ และแบรนด์ไอคอนต่างๆ เพื่อเพิ่มสีสันให้กับแบรนด์ เช่น KAWS, Disney, Marimekko, Doraemon และอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นที่จดจำ และดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ที่สนใจแฟชั่นและศิลปะ

อีกบทเรียนที่ UNIQLO ได้รับจากการบุกตลาดโลกครั้งแรกคือ โลเคชั่น

การกลับมาครั้งนี้  UNIQLO เลือกเปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ในศูนย์กลางเมืองใหญ่ๆ เพื่อเป็นตัวแทนของแบรนด์ ไม่ใช่ทำเลชานเมืองแบบครั้งแรก เช่น ถนนฟิฟท์อเวนิวในนิวยอร์กและยูเนียนสแควร์ในซานฟรานซิสโก หรือถนนออกซ์ฟอร์ดในลอนดอน และฌ็องเซลีเซ ในปารีส โดยใช้สถานที่เหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของคนในท้องถิ่นก่อนขยายสาขา กล่าวได้ว่า UNIQLO ‘รอบคอบ’ ขึ้น

แม้ว่าจะทำให้ UNIQLO ขยายตัวช้ากว่าคู่แข่ง แต่ผลลัพธ์ของ ‘ความอดทน’ ก็ทำให้ในปี 2024 UNIQLO มีผลประกอบการเป็นประวัติการณ์ด้วยรายได้ 1.7118 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 19.1% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยเฉพาะตลาดฝั่งอเมริกาเหนือเพียงอย่างเดียวก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 32.8% เป็น 217.7 พันล้านเยน

ปัจจุบัน UNIQLO ตั้งเป้าขยายสาขาในสหรัฐอเมริกา 200 สาขาภายในปี 2027 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในกลยุทธ์การพัฒนาตลาดระยะยาว แม้จะเผชิญกับความท้าทายในช่วงแรกก็ตาม

ปฏิวัติระบบและประสบการณ์

อีกหนึ่งสิ่งที่ UNIQLO ได้ ‘ปฏิวัติ’ คือการนำเทคโนโลยีมาผสานใช้ในการค้าปลีกที่สร้างสรรค์ประสบการณ์การช้อปปิ้งใหม่

หากใครเคยใช้บริการในช็อปของ UNIQLO  อาจเคยเจอกับระบบชำระเงินแบบที่แค่นำสินค้าลงไปในตระกร้าแล้ววางในกล่องสแกน ระบบก็จะทำการคิดเงินให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องยิงบาร์โค้ด ซึ่งหากลองพลิกดูป้ายแท็กดีๆ อาจเห็นคำว่า RFID ที่อยู่ในแท็ก นั่นคือระบบที่ UNIQLO นำมาใช้

RFID คือเทคโนโลยีติดแท็กที่ใช้คลื่นวิทยุเพื่อระบุและติดตามสินค้า ซึ่งจะต่างจากบาร์โค้ดที่ต้องสแกนทีละชิ้น นั่นหมายถึง RFID สามารถอ่านข้อมูลจากหลายชิ้นพร้อมกันโดยไม่จำเป็นต้องหยิบออกมา ซึ่ง UNIQLO นำระบบนี้มาใช้ในหลากหลายส่วน

อย่างแรกคือระบบการชำระเงินที่กล่าวไป ซึ่งระบบ RFID จะอ่านข้อมูลทุกชิ้นพร้อมกันโดยไม่ต้องนำเสื้อมาสแกนทีละตัว ทำให้การชำระเงินมีความรวดเร็ว และลดการต่อคิวในร้าน ต่อมาคือระบบเช็กสต็อกอัตโนมัติ เสื้อผ้าทุกชิ้นของ UNIQLO จะมีแท็ก RFID ทำให้เมื่อส่งสินค้าเข้าร้าน ระบบจะรู้ทันทีว่ามีสินค้าเข้ามากี่ตัว ไม่จำเป็นต้องนับมือ ทำให้ลดเวลาและแรงงานมหาศาล 

ระบบ RFID ยังช่วยจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง ทำให้รู้ได้แบบเรียลไทม์ว่าสินค้าอยู่ตรงไหน ขายไปแล้วกี่ชิ้น และควรส่งเพิ่มเมื่อไหร่ จึงบริหารสต็อกได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาของค้างสต็อกและขายไม่ทัน นอกจากนี้ RFID ยังตรวจจับได้ว่ามีสินค้าชิ้นใดถูกนำออกจากร้านโดยไม่ได้จ่ายเงิน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการถูกขโมย

จะเห็นได้ว่า ระบบ RFID คือเทคโนโลยีที่ UNIQLO นำเข้ามาผสานกับการจัดการในร้าน ไม่ใช่แค่ประสบการณ์การช้อปปิ้ง แต่รวมถึง ‘หลังบ้าน’ ที่รัดกุม ลดต้นทุนแรงงาน เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพ 

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางเฉพาะตัวที่โดดเด่นของ UNIQLO ในการสร้างสรรค์แบรนด์ นั่นคือการรักษาประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมกับผสานเทคโนโลยีเข้ากับการค้าปลีกได้เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ยังต้องพึ่งพาระบบเดิม

ได้ใจโลกยุคใหม่

UNIQLO เป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นที่พยายามปรับตัวให้สอดคล้องไปกับเทรนด์สิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาแบรนด์ลงทุนเรื่องคุณภาพของวัสดุและเทคโนโลยีการผลิต โดยเชื่อมโยงเรื่องความยั่งยืนเข้ากับรูปแบบธุรกิจผ่านความริเริ่มต่างๆ 

เช่น โครงการ RE.UNIQLO ที่ส่งเสริมให้ลูกค้ารีไซเคิลเสื้อผ้าเพื่อนำมาผลิตเป็นสิ่งทอใหม่หรือบริจาคให้ผู้ลี้ภัยร่วมกับ UNHCR หรือเปิด Repair Studio ในบางสาขาที่ให้บริการซ่อมและดัดแปลงเสื้อผ้า

ในแง่ของการผลิต  UNIQLO ใช้โมเดล SPA แบบเดียวกับที่ Gap ของอเมริกา ทำให้ควบคุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ดีไซน์จนถึงการขายหน้าร้าน จึงควบคุมคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่ก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘Takumi System’ หรือการส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ประกอบด้วยช่างฝีมือด้านการย้อมและผลิตวัตถุดิบจากญี่ปุ่นไปประจำโรงงานคู่ค้า เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องคุณภาพสิ่งทอและควบคุมมาตรฐาน การจัดการกระบวนการผลิต และการพัฒนาทรัพยาการมนุษย์ในโรงงาน

UNIQLO ยังตั้งเป้าหมายในการจัดหาฝ้าย 100% จากแหล่งที่ยั่งยืนภายในสิ้นปี 2025 และเปลี่ยนวัสดุทั้งหมด 50% ไปใช้วัสดุรีไซเคิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 90% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง นั่นจึงทำให้ UNIQLO เข้าร่วมโครงการ Better Cotton Initiative ในปี 2018 โดยสนับสนุนการให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายเกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำ การจัดการยาฆ่าแมลง และสิทธิแรงงาน

นอกเหนือจากโครงการริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อม UNIQLO ยังมีโครงการเพื่อนสังคมอื่นๆ เช่น การฝึกอบรมสร้างอาชีพสำหรับผู้หญิงในบังกลาเทศ ด้วยตระหนักว่าผู้หญิงคิดเป็นประมาณ 80% ของแรงงานในโรงงานพันธมิตร แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาอาชีพ UNIQLO จึงพัฒนาการฝึกอบรมเฉพาะทางร่วมกับ UN Women โดยผสมผสานทักษะทางสังคมสำหรับความเป็นผู้นำ การฝึกอบรมทางเทคนิคสำหรับการจัดการการผลิต และโครงการสร้างความตระหนักรู้ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความก้าวหน้าในอาชีพของผู้หญิง

สิ่งเหล่านี้ทำให้ UNIQLO แตกต่างจากการเป็น LifeWear ที่ใช้กลยุทธ์ของคุณภาพและความยั่งยืน สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกยุคใหม่ ทำให้ ‘ได้ใจ’ ผู้บริโภคที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมไปเต็มๆ

อนาคตที่ท้าทาย

หากอ้างอิงจากเว็บไซต์หลักของ Fast Retailing บริษัทแม่ของ UNIQLO พบว่าในปี 2025 UNIQLO มีสาขาในญี่ปุ่นกว่า 1,000 สาขา และต่างประเทศกว่า 1,700 สาขา ในกว่า 25 ประเทศ รวมทั่วโลกมากกว่า 2,500 สาขา! ขณะที่มูลค่ากิจการของเครือ Fast Retailing เป็นหนึ่งในบริษัทแฟชั่นที่มูลค่าตลาดสูงที่สุดในญี่ปุ่น

เป้าหมายในอนาคตของ UNIQLO คือการขยายสาขาในอเมริกาเหนือและยุโรป ให้เป็นฐานใหญ่เหมือนในเอเชีย เดินหน้าผลักดันแนวคิด LifeWear ให้เป็นแบรนด์เสื้อผ้าประจำวันของคนทั่วโลก รวมถึงลงทุนวิจัยวัสดุสิ่งทอใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดของคุณภาพเสื้อผ้า ขณะที่ยังคงรักษาความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทั้งการลดการปล่อยคาร์บอน ใช้พลังงานสะอาด และเพิ่มระบบรีไซเคิล

 ถึงอย่างนั้น ขณะที่กำลังขยายธุรกิจไปทั่วโลก UNIQLO เองก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ อาทิ การแข่งขันที่สูงขึ้น ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นใหญ่ในปี 2024 ที่ยานาอิให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า UNIQLO ไม่ได้ใช้ฝ้ายจากซินเจียง เนื่องจากฝ้ายซินเจียงถูกเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาเรื่องการบังคับใช้แรงงาน และนโยบายของจีนที่ต้องการปกป้องอุตสาหกรรมฝ้ายของตนเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของ UNIQLO ที่ผสมผสานความแม่นยำแบบญี่ปุ่นเข้ากับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แนวปฏิบัติที่ยั่งยืน และการมุ่งเน้นคุณภาพ ทำให้ UNIQLO โดดเด่นในตลาดโลก ด้วยการรักษาความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง ควบคู่ไปกับการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล จึงทำให้ UNIQLO กลายเป็นแบรนด์ที่ ‘อยู่ในชีวิตประจำวัน’ ของทุกคนได้จริงอย่างที่ครั้งหนึ่งทาดาชิ ยานาอิ เคยฝันไว้

แล้วในตู้เสื้อผ้าของคุณมีสินค้าของ UNIQLO อยู่บ้างไหม?

อ้างอิง 

‘เสน่ห์’ ร้านสระไดร์แบบ subscription เจ้าแรกในไทย ตกครั้งละ 66 บาท แต่ได้ใช้อุปกรณ์ Dyson

ปกติคุณเข้าร้านทำผมตอนไหน?

ตอนที่อยากตัดผม ตอนที่อยากเปลี่ยนสีผมใหม่ หรือตอนที่อยากสระไดร์ผม

เชื่อว่าคำตอบส่วนมากคงเทไปที่ 2 เหตุผลแรก ทำให้ผู้คนไม่ได้เข้าร้านทำผมบ่อยนัก ทั้งที่จริงแล้วชีวิตของเราวนเวียนอยู่กับการสระไดร์ผมแทบทุกวัน และปัญหาใหญ่ของผู้หญิงก็คงหนีไม่พ้นความรู้สึกขี้เกียจสระผม บางครั้งก็งานยุ่งจนไม่มีเวลาสระผม นี่ยังไม่นับรวมถึงการเซตผม เอาแค่จะไดร์ผมก็ใช้เวลานานแล้ว

“เราต้องการสร้างภาพจำให้คนรู้สึกว่าการเข้าร้านสระผมเป็นเรื่องง่าย ด้วยราคาที่เข้าถึงได้จริง เเละสามารถเข้าไปอยู่ใน routine การดูแลตัวเองได้ทุกวัน เหมือนการดื่มกาแฟก่อนเข้างาน หรือไปฟิตเนสหลังเลิกงาน”

ความตั้งใจนี้เกิดจากประสบการณ์ของ พีม–พศุตม์ คล่องวัฒนกิจ ที่เคยเป็นบาร์เบอร์และเปิดร้านซาลอนเป็นของตัวเองมาก่อน จึงหยิบ pain point เรื่องการสระผมของสาวๆ โดยเฉพาะคนเมือง มาสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในโมเดลที่ยังไม่มีใครทำมาก่อนในวงการร้านทำผม

ด้วยการเปิดร้าน ‘เสน่ห์’ มาให้บริการ blow-dry subscription หรือการสระไดร์แบบ subscription เป็นเจ้าแรกในไทย เพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้แบบไม่จำกัดในทุกวัน ด้วยราคาต่อเดือนที่เข้าถึงได้จริง เริ่มต้นที่ 1,990 บาทต่อเดือน ตกครั้งละ 66 บาท โดยใช้อุปกรณ์ทำผมระดับโลกอย่าง Dyson

ทันทีที่เราเห็นโมเดลธุรกิจนี้ก็เกิดความสงสัยว่าไอเดียนี้มีที่มาที่ไปจากไหน การใช้อุปกรณ์พรีเมียม แต่ตั้งราคาเท่านี้คุ้มทุนจริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเทรนด์ wellness หรือการดูแลสุขภาพที่ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายหรือจิตใจ แต่อาจหมายรวมไปถึงการดูแลเส้นผมให้สวยงามและสุขภาพดี ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ หรือความเสี่ยงในวันที่คนลงมาเล่นในสนามนี้เยอะกันแน่

ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันผ่านคอลัมน์ Micro Wave ครั้งนี้กันได้เลย

ในมุมของคุณคิดภาพจำของร้านทำผมเมื่อก่อนเป็นยังไง

ก่อนหน้านี้เวลาเรานึกถึงร้านทำผม ภาพจำหลักๆ คือการไปตัดผม ทำสี หรือ ทำเคมีต่างๆ ซึ่งเเต่ละครั้งที่ไปมักจะใช้เวลาอยู่ในร้านนาน และเราจะเข้าไปเฉพาะเวลาที่ต้องทำผมจริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรที่ไปบ่อยๆ เราเเทบไม่ได้เห็นภาพคนเข้าร้านทำผม เพื่อไปดูเเลตัวเองหรือเข้าบ่อยจนเป็นกิจวัตรประจำวัน

คุณมองเห็นโอกาสหรือช่องว่างทางการตลาดอะไรถึงตัดสินใจเปิดร้านเสน่ห์

เราเคยเป็นบาร์เบอร์ (ช่างตัดผมชาย) มาก่อน แล้วก็มีคนมาเสนอขายกิจการซาลอน (ร้านเสริมสวยหรือร้านทำผม ที่ให้บริการดูแลเส้นผมและทรงผม เช่น สระ ตัด ย้อม ดัด ยืดผม) ทั้งที่เราไม่มีประสบการณ์เลย ก็ทำร้านนั้นมาประมาณ 2 ปี แล้วรู้สึกว่าหลายธุรกิจในหลายวงการ จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือถูก disrupt ในที่สุด ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนก็จะเป็น Netflix, spotify 

กลับกัน วงการ hair salon ในเมืองไทย ผ่านมาเป็น 10 ปี 20 ปีเเล้ว ยังไม่มี disruptive idea หรือโมเดลใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนหรือยกระดับวงการนี้สักเท่าไหร่ แล้วเรามองว่าหนึ่งใน pain point ที่ใหญ่ที่สุดของผู้หญิงคือเรื่องการสระผม เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยรู้สึกขี้เกียจสระผมเอง หรือรู้สึกว่าการเป่าผมเองใช้เวลานาน แต่ถ้าจะเข้าร้าน hair salon เพื่อใช้บริการทุกครั้ง แล้วจ่ายเป็นรายครั้ง หลายๆ ครั้งก็แพง ยิ่งถ้าอยากเข้าถึงบริการที่ดีและผลิตภัณฑ์ที่ดีด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ราคาจะสูงตามขึ้นอีก

 ร้านเสน่ห์เราเลยอยากมาเป็น solution ที่แก้ pain point นี้ให้ทุกคนเข้ามาใช้บริการได้แบบไม่จำกัดในทุกวัน ด้วยราคาต่อเดือนที่เข้าถึงได้จริง เริ่มต้นที่ 1,990 บาทต่อเดือน ตกครั้งละ 66 บาท แล้วเข้าถึงอุปกรณ์ทำผมระดับโลกอย่าง Dyson ได้ในรูปแบบของสระไดร์แบบ subscription เจ้าแรกในไทย

คุณใช้ไดร์ของ Dyson ใช้ผลิตภัณฑ์แบบพรีเมียม แต่ทำราคาเดือนละ 1,990 บาทได้ยังไง

ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับร้านอาหารบุฟเฟต์ที่ราคาไม่ได้สูงมาก เเต่การบริการดีและใช้วัตถุดิบคุณภาพดี พอเราเฉลี่ยต่อหัวหรือเฉลี่ยจากจำนวนครั้งที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ก็ทำราคาที่คุ้มที่สุดสำหรับคนไทย และเราเองก็ได้รับการซัพพอร์ตจาก Dyson Thailand เพื่อให้คนไทยได้ลองใช้ Dyson ครบทุกรุ่น ในราคาที่เข้าถึงได้จริง

ไอเดียการสระไดร์แบบ subscription มาจากไหน

โมเดล subscription ไม่ใช่สิ่งใหม่ เราจะเห็นตัวอย่างจาก Netflix หรือ Spotify ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปแล้ว หรืออย่างการสมัครฟิตเนส ที่ไม่ต้องคิดเยอะว่ามาเล่นครั้งนี้จะแพงมั้ย จะเล่นได้กี่ครั้งต่อเดือน

แต่ใน hair salon บ้านเรายังไม่มีใครหยิบโมเดลนี้มาใช้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้วงการนี้ ซึ่งเรามองว่านี่เป็นโอกาสที่จะ disrupt รูบเเบบการขายเดิมๆ และสร้างวิธีการใหม่ๆ ให้วงการนี้ เราเลยเป็นร้านที่ให้ บริการ blow-dry subscription หรือการสระไดร์แบบ subscription

ที่ลูกค้าเลือกแพลนได้ไม่ว่าจะเป็น 1 เดือน 3 เดือน เเละ 12 เดือน และใช้บริการสระไดร์ได้ทุกวัน และทุกสาขาที่จะเปิดเพิ่มในอนาคต เหมือนการสมัครฟิตเนสเลย เพราะเราอยากให้เสน่ห์เป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ตอบโจทย์ pain point เรื่องการสระไดร์ แล้วเข้าไปผูกกับกิจวัตรประจำวันของคุณ ทำให้ทุกๆ ครั้งที่อยากเข้าร้านสระผมคุณจะต้องนึกถึงร้านเสน่ห์

นอกจากสระไดร์แล้ว ร้านคุณมีบริการอื่นด้วยมั้ย

เราให้ความสำคัญเรื่องบริการและประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ เราเลยออกแบบท่าสระผมและท่านวดศีรษะมาจากท่านวดไทยบางท่า และท่ายืดเส้น ยืดสายบางท่า มาใช้ให้เข้ากับความต้องการของคนไทยเป็นหลัก โดยเน้นการนวดผ่อนคลาย

และลูกค้าสามารถเลือกใช้ Dyson เซตผมได้ทุกรุ่น เช่น ทำผมลอนด้วย Dyson Airwrap ทำผมตรงด้วย Dyson Airstrait ส่วนนี้เราไม่มีบวกเพิ่ม วันไหนอยากทำทรงไหนก็ได้หมด และไม่ได้มีแบ่งราคาตามความยาวของผม ทั้งหมดรวมอยู่ในค่า subscription แล้ว ซึ่งเราออกแบบบริการสระ ไดร์ เซตผมให้ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบของคนเมือง

เรามีเพิ่มทรีตเมนต์และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นระดับท็อป อย่างตอนนี้ก็มีของ Olaplex และ K18 เป็นตัวเลือกสำหรับลูกค้าที่ทำสีผมมา แล้วอยากฟื้นฟูผม บริการนี้จะคิดเพิ่มจากค่า subscription โดยหลักๆ แล้วทุกบริการของเรา จะคำนึงเรื่องของการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นหนังศีรษะหรือเส้นผม

คิดว่าเสน่ห์จะเปลี่ยนภาพจำของร้านทำผมในไทยยังไงบ้าง

เราไม่ได้มาเปลี่ยนภาพจำ เเต่เรามาสร้างภาพจำใหม่ๆ ให้วงการนี้ เราต้องการสร้างภาพจำให้คนรู้สึกว่าการเข้าร้านสระผม เป็นเรื่องง่ายในราคาที่เข้าถึงได้จริง เเละสามารถเข้าไปอยู่ในกิจวัตรการดูแลตัวเองได้ทุกวัน เหมือนการดื่มกาแฟก่อนเข้าทำงาน หรือการไปฟิตเนสหลังเลิกงาน

ที่มาที่ไปของชื่อร้านเสน่ห์มาจากไหน

มาจากจุดประสงค์หลักที่เราทำแบรนด์นี้ขึ้นมาเลย เราอยากจะนำเสนอแบรนด์ไทย เพราะเห็นว่าทุกวันนี้มีหลายร้านที่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศเเละมาเปิดในไทย เเต่ยังไม่ค่อยมีร้าน hair salon ที่นำเสนอแบรนด์คนไทยเเละไปในเวทีโลก

เเต่กลับกันสิ่งเเรกๆ ที่ต่างชาตินึกถึงก็คือเรื่องการบริการ เหมือนกับร้านนวดไทยที่มีอยู่หลายประเทศทั่วโลก เราเลยอยากนำเสนอร้านสระผมแบรนด์คนไทยให้ตลาดโลกได้รู้จัก และเน้นงานบริการที่เป็นเสน่ห์ของคนไทย เลยใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘เสน่ห์’

คิดว่าความยากหรือความท้าทายในการเปิดร้านช่วงแรกคืออะไร

พอเราใช้โมเดล subscription กับบริการสระไดร์ ก็ตามมาด้วยเทคโนโลยีหรือระบบที่อยู่ข้างหลังบ้านอย่างแอพพลิเคชั่นของเรา เพื่อทำให้ระบบนี้สมบูรณ์แบบมากที่สุด แล้วเราไม่ได้มีกรณีศึกษาให้เรียนรู้ เราต้องลองผิดลองถูกเองจากศูนย์ และยังมีอะไรที่ต้องทำ เพื่อพัฒนาระบบของเราให้ดีขึ้น

แอพพลิเคชั่นที่คุณพูดถึงมีหน้าตาเป็นแบบไหน

ถ้านึกภาพตามง่ายๆ เหมือนเราเข้าฟิตเนส ที่สมาชิกทุกคนต้องมีแอพพลิเคชั่นไปสแกนแล้วก็เข้าได้ทุกสาขา 

ร้านเราวอล์กอินมาได้เลย ไม่ต้องจอง แล้วใช้แอพฯ สแกนเข้าใช้บริการได้ทุกวัน ลูกค้าสามารถเลือกแพลนการ subscription ตามจำนวนเดือนที่สะดวกได้ผ่านแอพฯ และเรามีระบบเก็บคะแนนในนั้นมาใช้แลกเป็นส่วนลดในการทำทรีตเมนต์ได้อีกด้วย

ด้วยความที่รูปแบบธุรกิจของคุณเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีใครทำ แล้วคุณสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ยังไง

เราปรับวิธีการเล่าให้คนเข้าใจง่ายมากขึ้นและทำให้เชื่อมโยงกับคน เราใช้คำว่าสระไดร์บุฟเฟต์ และเริ่มอธิบายว่าการสระไดร์ได้แบบบุฟเฟต์คือการ subscription เหมือนสมัคร Netflix หรือ Spotify ไม่ใช่การซื้อแพ็กเกจ แต่เป็นการจ่ายรายเดือนในราคาคงที่ แล้วเข้ามาใช้บริการได้ทุกๆ วัน

ตั้งแต่เปิดร้านมาลูกค้าให้กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง

เราเปิดร้านมาประมาณ 3 เดือน กระแสตอบรับต้องบอกว่าเกินคาดมากๆ ลูกค้าหลายคนก็ฟีดแบ็กว่าชอบไอเดียนี้ ในที่สุดก็มีคนเข้ามาแก้ pain point เรื่องการสระผม เพราะเป็นเรื่องเบสิกมาก แต่ทุกวันนี้ยังเข้าถึงยากทั้งในเรื่องราคาและรูปแบบการให้บริการ

แต่พอเรามาก็ตอบโจทย์ตรงนี้ โดยเฉพาะคนเมือง ตอนนี้คนก็เรียกร้องอยากให้เราขยายสาขาไปหลายๆ ที่เพื่อเข้าถึงคนในหลายๆ โซน ทุกวันนี้เรามีการบันทึกดาต้าของลูกค้าด้วย จะเห็นว่าส่วนใหญ่มาใช้บริการเฉลี่ยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง อย่างบางวันถ้ารีบกลับบ้านหน่อยก็จะไม่ได้มาสระผม แต่ถ้าพอมีเวลาช่วงพักเที่ยงหรือช่วงเย็น ก็แวะมาสระไดร์ผม

คุณมองว่าเทรนด์ wellness หรือการดูแลสุขภาพของผู้คนจากเมื่อก่อนกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไง

เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ตั้งเเต่ช่วงโควิด-19 เป็นต้นมาเราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผ่านอาหารการกินหรือไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงกิจกรรมที่เลือกทำ ทุกวันนี้เราจะได้ยินคำว่า wellness กันมากขึ้น หลายธุรกิจ หลายเเบรนด์ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

เมื่อก่อนความเข้าใจคำว่า wellness อาจหมายการรักษาหรือดูแลสุขภาพ ซึ่งจริงๆ คำว่า wellness มันคือสุขภาพดี ที่ตอนนี้ขยายไปถึงเรื่องการดูแลเส้นผม ความงาม และการดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ เทรนด์โลกตอนนี้ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ร้านเสน่ห์เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม แล้วก็ wellness ด้วย

เทรนด์ที่ว่าส่งผลดีต่อธุรกิจคุณด้วยไหม หรือถือว่าเป็นความเสี่ยงที่มีผู้แข่งขันในตลาดนี้สูงขึ้น

คนที่ได้ผลประโยชน์จริงๆ คือผู้บริโภค เพราะสุดท้ายเเล้วหลายธุรกิจก็ต้องปรับตัวตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ทั้งเรื่องสินค้าและบริการ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น

แม้ว่าตลาด wellness จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่เรามองว่าไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับธุรกิจเรา ยิ่งมีคนมาทำมากขึ้นหรือมีโมเดลใหม่ๆ มากขึ้น นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเทรนด์นี้กำลังมาหรือธุรกิจภาคส่วนนี้คนให้ความสนใจ 

เรามีเพื่อนร่วมวงการดีกว่าเราไม่มีเลย ถ้าเราไม่มีคนทำแข่งเลย แปลว่ามันอาจจะไม่เวิร์กหรือไม่ได้เป็นที่สนใจจริงก็ได้

ในอนาคตมีแผนอยากให้ธุรกิจเติบโตไปในทิศทางไหน

ร้านเสน่ห์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขยายสาขา เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงบริการที่ดี ในราคาที่เข้าถึงได้จริง เเละสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ให้คนไทย 

เราเชื่อว่ามีร้านทำสีหรือร้านตัดผมที่เก่งๆ เยอะแยะ หลายคนก็มีร้านประจำในการตัดผมทำสี อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าสุดท้ายแล้วเรามองว่าเราไม่ได้เข้ามาแข่งในตลาดนี้  ถ้าคุณอยากไปตัดผม ทำสี คุณไปร้านประจำคุณได้เลย แต่ถ้าคุณอยากสระผมให้มาที่ร้านเสน่ห์

บทเรียนที่เสน่ห์ให้กับคุณคืออะไร

เรามองว่าวันนี้อาจจะยังเร็วไปที่จะสรุปบทเรียนจากธุรกิจนี้ เพราะเราเพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาดไม่นาน แต่ถ้าพูดในมุมของบทเรียนในการตัดสินใจ คือเรากล้าที่จะทำสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ ซึ่งบทเรียนสำคัญอย่างแรกคือคุณจะต้องเจอทุกคนบอกว่า ‘มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เวิร์กหรอก’

คุณจะต้องพร้อมเดินบนเส้นทางที่เดียวดายในช่วงแรก เพราะแทบจะไม่มีใครให้คำปรึกษาหรือเป็นแบบอย่างได้ เพราะมันเป็นเรื่องใหม่มากๆ แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ ถ้าคุณตัดสินใจจะทำแล้ว คุณต้องโฟกัสมากกว่าคนอื่น ตั้งใจมากกว่าคนอื่น และพร้อมที่จะแลกกับอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าคนอื่นๆ

ทุกวันนี้เราอาจจะยังไม่ได้เป็นเสน่ห์ในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์เเบบ 100% เเต่เราก็ยังไม่หยุดปรับปรุงเเละพัฒนา เพื่อให้บริการของเราไปสู่ความสมบูรณ์เเบบมากที่สุด

13 ปี The Voice ที่เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี เมื่อความแมสไม่พออยู่รอดเลยขอสู้หมดหน้าตัก

ถนนทั้งเส้นเงียบเหงาผิดวิสัย ร้านรวงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มุงดูหน้าจอสี่เหลี่ยมโดยมิได้นัดหมาย เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลิบมาจากครอบครัวบ้านข้างๆ เหล่านี้คือเสน่ห์ที่ ‘รายการโทรทัศน์’ เคยมอบให้คนดูครั้งเมื่อครองอันดับ 1 ความเป็นสื่อยอดนิยม

กระทั่งถึงยุคที่สื่อโทรทัศน์ถดถอยภายหลังการมาของโซเชียลฯ และสตรีมมิง หลายรายการทีวีเข้าสู่เกม survival ที่ต้องเฟ้นหาวิธีเรียกเรตติ้งหรือปรับวิธีการออกอากาศให้เข้ากับพฤติกรรมคนดู เฉกเช่นที่ The Voice Thailand รายการประกวดร้องเพลงแนวเรียลลิตี้กำลังเผชิญอยู่ 

จากรายการที่ประเดิมซีซั่นแรก (2012) ด้วยยอดเรตติ้งชมสดถึง 7.3 อุดมโค้ชระดับพระกาฬทั้งก้อง–สหรัถ สังคปรีชา, เจนนิเฟอร์ คิ้ม, โจอี้ บอย และแสตมป์–อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ที่รับหน้าที่ปั้นเหล่านักดนตรีเสียงดีให้กลายเป็นศิลปินตัวจริงดีกรีนามสกุล The Voice 

ไม่ว่าจะนน ธนนท์, สงกรานต์ รังสรรค์, ฟิล์ม บงกช, วี วิโอเลต, แม็กซ์ เจนมานะ และอีกมากมาย ถึงคราวเปลี่ยนกลยุทธ์แบ่งฉายทางสตรีมมิงเน็ตฟลิกซ์ รวมไปถึงคิดกิมมิกรายการให้หลากหลายมากขึ้น เช่น The Voice Kids, The Voice All Stars และล่าสุดอย่าง The Voice Pride

เปรียบวัฏจักรของ The Voice Thailand ตลอด 13 ปีที่ผ่านมาแทบไม่ต่างจากการเล่น ‘เก้าอี้ดนตรี’ ที่ต้องคว้าโอกาสที่เข้ามาเพื่อความอยู่รอด แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนกลับมีสิ่งเดียวที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงคือ ‘คุณภาพ’ 

ทั้งหมดนี้คงไม่มีใครอธิบายได้ดีไปกว่า ‘โอ๋–พัฒนี จรียะธนา’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์ซิท สาม หก ห้า จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์ The Voice Thailand

ย้อนกลับไปในวันที่ The Voice Pride เข้าสู่รอบไฟนอล เราชวนพัฒนีปลีกตัวหลบหลังฉากเพื่อสนทนาถึงวันคืนที่เปลี่ยนผ่านของ The Voice นับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจนำเข้ารายการ จากจุดสูงสุดจนถึงวันที่ร่วงหล่น ความในใจที่ทำให้เธอแบกรับรายการนี้ไว้แม้ต้องเผชิญนานาอุปสรรค

จากวันที่ The Voice ออกฉายซีซั่นแรกจนถึงตอนนี้ จุดไหนเป็น turning point ที่ทำให้คนทำธุรกิจทีวีต้องเผชิญกับความท้าทาย

ถ้าพูดถึงวงการทีวี มันมีการเปลี่ยนแปลงหนักจริงๆ อยู่ 2 ช่วง 

ช่วงแรกคือช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิทัล ก่อนหน้านั้นที่ The Voice ออกฉายยังเป็นทางช่อง 3 รูปแบบเดิมอยู่ จนกระทั่งหมดช่วงพีคของรายการคือซีซั่น 3 วงการทีวีถึงเข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัลเต็มตัว 

ผลคือจากเดิมที่คนดูดูทีวีอยู่แค่ 4-5 ช่อง กลายเป็นมีตัวเลือกให้ดู 20 ช่อง ทำให้ยอดคนดูกระจัดกระจายแบ่งสัดส่วนไปตามช่องต่างๆ ช่วงนั้นถือเป็น ‘สงครามทีวีดิจิทัล’ มีองค์กรเอกชนเข้าไปลงทุนซื้อช่องเป็นของตัวเองเพราะเขามองว่านี่เป็นโอกาส ซึ่งธุรกิจทีวีก็ขยายสเกลไปถึงหลักพันล้าน หมื่นล้าน

ช่วงที่สองคือ 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นช่วงที่หนักที่สุดเพราะพฤติกรรมของคนดูเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากการมาของโซเชียลฯ ที่บูมมากๆ และเห็นชัดเลยคือ TikTok คนดูก็มีทางเลือกที่ดูในมือถือได้ ดูผ่านสตรีมมิงได้  ไม่จำเป็นต้องดูถ่ายทอดสดเหมือนแต่ก่อน 

จนถึงตอนนี้พี่ว่าพฤติกรรมของคนดูชอบคอนเทนต์ที่เป็น short form สังเกตได้จากที่ The Voice ลงรีรันในยูทูบตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงซีซั่น 2024 มียอดวิวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 400-500 ล้านวิว จนกระทั่งมาถึงซีซั่นนี้แหละที่ยอดในยูทูบตกลงแบบน่าใจหาย 

บางคลิปจากยอดวิวหลักแสนเหลือแค่หลักหมื่นเพราะเขาหนีไปแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็น short form เป็นจุดเปลี่ยนที่สะท้อนให้เห็นว่ายอดคนดูไม่ได้ชี้วัดกันที่ long from อีกต่อไปแล้ว

ถ้าอย่างนั้นวงจรการทำงานของ The Voice ณ เวลานี้เป็นแบบไหน

การทำงานของ The Voice แบ่งย่อยๆ คือออกฉายทางทีวีเสร็จก็จะมีรีรันที่สตรีมมิง จากนั้นถึงแบ่งไฮไลต์ไปลงตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่จะมีทั้งใน reel, YouTube และ TikTok ซึ่งในปี 2024 เราทำยอดวิวได้หลายล้าน แต่ตอนนี้พฤติกรรมคนดูใน TikTok ก็เปลี่ยนไปอีก คือเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อฟังเพลงแต่ต้องการเข้ามาดูคอนเทนต์ที่มันตลก คอนเทนต์ที่เป็นทางการมากๆ เขาจะไม่เอาเลย 

อย่างพวกวิดีโอที่เป็นคลิปเพลงสั้นๆ คนดูก็ไม่ได้เยอะ ทั้งที่เพลงในซีซั่นนี้ (The Voice Pride) โคตรดี แต่ถ้าเป็นวิดีโอแนวสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ หรือเบื้องหลังเวทีที่มีปล่อยมุกตลกคนจะชอบมากๆ 

หมายความว่าสิ่งที่คนทำธุรกิจทีวีในตอนนี้ต้องใส่ใจมากที่สุดคือเรื่องพฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา

ใช่ เอาจริงๆ นี่เป็นโจทย์ที่เราพยายามแก้อยู่ตลอด เราพยายามอ่านพฤติกรรมคนดู อย่างเมื่อก่อนเราออกอากาศทางทีวีเสร็จเราก็อัพโหลดคลิปไฮไลต์การแสดงของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน กระทั่งปี 2024 คนเริ่มไม่ดูทีวี เราก็แก้โจทย์ด้วยการย้ายไปสตรีมในเน็ตฟลิกซ์เพื่อที่คนดูจะชมรีรันได้ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ และอย่างที่บอกว่าพอมาตอนนี้คนไม่ค่อยดูคอนเทนต์ที่เป็น long from เราก็มาตัดคลิปสั้นๆ ลง TikTok

แต่ถามว่ามันได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม บอกเลยว่ายากเหมือนกัน เรายังต้องปรับเยอะมาก พี่ว่าคนทำคอนเทนต์ต้องปรับตัวได้ตลอด ต้องปรับเยอะด้วย ปรับตามทั้งสถานการณ์และปรับตามผู้ชม ซึ่งปรับตามผู้ชมถือว่าสำคัญที่สุด

ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของทีวียังเป็นช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนทำธุรกิจทีวีอยู่หรือเปล่า

สำหรับพี่คิดว่าไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว 

ทีวีกลายเป็นเรื่องของคนอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นผู้สูงอายุที่อยู่บ้านแล้วยังดูทีวีอยู่ คือกลุ่มคนดูทีวียังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กลุ่มคนดูหลักกลายเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ คอนเทนต์ที่จะออกทีวีส่วนใหญ่เลยเป็นคอนเทนต์ที่ผลิตมาเพื่อเสิร์ฟคนวัยประมาณนี้ 

แต่โชคดีที่กลุ่มคนดูของ The Voice ครอบคลุมตั้งแต่คนรุ่น 15 ปีไปจนถึงรุ่น 60-70 ปี เราเลยเป็นรายการเพลงที่อยู่ได้ทั้งทางทีวีและออนไลน์ 

เรื่องการขายเราก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยจากที่มีไทอินแค่ในทีวีก็ต้องมีในออนไลน์ มีไทอินติดตะกร้าซื้อสินค้าใน TikTok แต่ถามว่าทีวีตายมั้ยพี่ว่ายังไม่ตาย แต่จะทำยังไงให้ต้นทุนการผลิตรายการมันต่ำลง หมายความว่าคุณจะยึดติดทุกสิ่งอย่างอยู่กับทีวีไม่ได้ คุณต้องมีแพลตฟอร์มอื่นเข้ามาช่วยเสริมเพื่อให้คุณภาพยังเต็มรูปแบบ

พอจะจำได้ไหมว่าซีซั่นไหนของ The Voice ที่ได้รับการตอบรับดีที่สุด

คำตอบยังคงเป็นซีซั่น 3 เป็นซีซั่นที่พีคมากๆ เป็นซีซั่นที่ดีทั้งเรตติ้ง มีดราม่าถึงขั้นที่พี่คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) ต้องปิดแอ็กเคานต์อินสตราแกรม ซึ่งการมีดราม่าหมายความว่ารายการคุณมีคนให้ความสนใจนะ (หัวเราะ)

จริงๆ The Voice เป็น talk of the town ตั้งแต่ซีซั่นแรก ทั้งเราทั้งทีมงานก็ค่อยๆ ปรับตัวเรียนรู้เรื่องโปรดักชั่น แต่ซีซั่น 3 ดีทั้งในเชิงยอดคนดู ดีทั้งยอดขายโฆษณา และมียอดวิวในออนไลน์รวมกันหลักหลายร้อยล้าน 

หลังจากที่ประเมินแน่ชัดแล้วว่าอุตสาหกรรมทีวีกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง The Voice มีวิธีปรับตัวยังไง

ข้อแรกเลยคือ The Voice เป็นรายการที่มีต้นทุนมหากาพย์มาก พี่พูดอยู่เสมอว่า The Voice ซีซั่นแรกมีต้นทุนอยู่ 150 ล้านบาท สูงแบบนั้นมาเรื่อยๆ กระทั่งเลยจุดพีคคือซีซั่น 4 เป็นต้นมาเราถึงเริ่มลดต้นทุนลง จาก 150 ล้านบาทเหลือ 100 ล้านบาท 

พอจบซีซั่น 6 The Voice ย้ายออกอากาศจากช่อง 3 ไป PPTV ต้นทุนก็มาเหลือ 90 ล้านบาท จนถึงตอนที่กลับมาออกอากาศอีกครั้งหลังหนีโควิด-19 คือตอนที่เป็น The Voice All Stars เราลดต้นทุนเหลือ 50 ล้านบาท 

สาเหตุหลักๆ ที่ต้องปรับลดต้นทุนโปรดักชั่นเพราะเรายังต้องแบกรับเรื่องค่าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศเท่าเดิม ทั้งค่าลิขสิทธิ์รายการและค่าลิขสิทธิ์เพลงที่ซื้อมาเพื่อใช้ในรายการ เรื่องการคุมค่าโปรดักชั่นเลยเป็นเรื่องแรกที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดในแง่ของการปรับตัว แต่จะเห็นว่าในมุมคน คุณภาพโปรดักชั่นเราแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง คือเราลดต้นทุนโดยที่ได้ค่าโฆษณาหรือขายลิขสิทธิ์ออกอากาศเสมอตัวหรือขาดทุนด้วยซ้ำในบางปี

ส่วนเรื่องที่สองคือเรื่องของคอนเทนต์ที่เรามีการปรับตามที่อธิบายไป ต้องบอกว่าแต่ละซีซั่นมีปัญหาที่เข้ามาท้าทายอยู่ตลอด

การย้ายบ้านจากช่อง 3 มา PPTV และล่าสุดคือช่อง ONE 31 ถือว่ามีผลอะไรบ้างไหม

เรื่องย้ายช่องมีผลเล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ที่เราทำ The Voice Pride มีสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้เลยก็คือ The Voice ต้องออกอากาศตอนหกโมงเย็นวันอาทิตย์เท่านั้น เพราะคนดูของเราแฟนคลับของเราอยู่วันนั้นเวลานั้น 

ตอนย้ายไป PPTV เราเคยลองเปลี่ยนมาออกอากาศวันจันทร์สองทุ่ม ปรากฏว่ายอดคนดูน้อยลง จนเรากลับมาฉายเวลาเดิมวันเดิมตอนเป็น The Voice All Stars ที่ช่อง ONE 31 ยอดคนดูถึงกลับมาพีคตั้งแต่เทปแรก

จนมาถึง The Voice Pride จริงๆ เราไม่ได้อยากย้ายช่องสักเท่าไหร่ เพียงแต่มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาออกอากาศที่ไม่ลงตัว ประจวบเหมาะกับช่อง 7 กำลังหารายการเรามาลงตอนสองทุ่มครึ่งวันอาทิตย์ซึ่งเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ก็เลยตัดสินใจย้ายช่องอีกครั้ง 

เรารู้ดีว่าไม่ใช่งานง่าย คือกลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่นอาจจะดูผ่านเน็ตฟลิกซ์ได้ แต่กลุ่มคนดูทางทีวีที่เป็นผู้สูงอายุเขาอยู่ดูถึงสี่ทุ่มครึ่งไม่ไหวแน่ๆ ฉะนั้นปีหน้าถ้าเราจะทำต่อก็ยังอยากจะกลับมาอยู่ช่วงวันเดิม เวลาเดิมอยู่ดี

ยืนระยะรายการยังไงให้คนดูไม่รู้สึกจำเจแม้จะผ่านไปหลายซีซั่น

หลักๆ เป็นเรื่องของการสปินออฟ (spin-off) หรือการทำภาคแยกออกไป เริ่มจากฝั่งเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เขาคิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะอยู่ยังไงให้ได้เป็นสิบๆ ปี อย่างช่วงแรกที่สปินออฟจาก The Voice Senior มาเป็น The Voice Kids หรืออย่างที่เราทำ The Voice All Stars ซึ่งมีแค่ 2-3 ประเทศที่ทำ แต่สิ่งที่ต่างคือเราทำแล้วได้ความสดใหม่กว่า เพราะเราเลือกศิลปินที่เป็นระดับตัวพ่อตัวแม่ของวงการมาแข่งขัน

ยกตัวอย่าง The Voice 2024 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ประสบความสำเร็จมากๆ นับตั้งแต่ที่ย้ายไปช่อง ONE 31 ทั้งเรตติ้งออกอากาศสดและยอดเรตติ้งทางเน็ตฟลิกซ์ก็ติดท็อป 10 ทุกสัปดาห์ แต่เราก็ไม่ชะล่าใจและคิดว่าถ้าเราจะทำต่อก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาเสิร์ฟคนดู เช่น เพิ่มกติกา block, super block และ steal จนมันอิ่มตัวถึงค่อยสปินออฟต่อยอดหากลุ่มคนใหม่ๆ เข้าแข่งขัน เราถึงตัดสินใจทำ The Voice Pride

สุดท้ายยังไงรายการเราก็ยังต้องเน้นขายเสียงหาคนมาแข่งร้องเพลงอยู่แล้วแหละ แต่เราสามารถแยกย่อยแบ่งประเภทผู้เข้าแข่งขัน หรือแบ่งประเภทของเพลงที่จะใช้แข่งขันก็ได้ อย่างต่างประเทศยังมี The Voice Rap

อีกเหตุผลที่เราทำ The Voice Pride ก็เพราะว่าประเทศไทยเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เราถึงอยากลองตลาดกลุ่มคนดูกลุ่มนี้ ถือเป็นการ fresh up เปลี่ยนสีสันรายการให้มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะรูปแบบรายการเราไม่สามารถทำอะไรได้มากเพราะต่างประเทศเขาวางมาไว้แล้ว

จริงๆ The Voice Pride เรายื่นขอให้เจ้าของรายการอนุมัติถึง 2 ปี คือหลังจากจบ The Voice 2024 เรายื่นเรื่องทันที ตอนแรกเขาก็ยังไม่อนุมัติเพราะเขาสงสัยว่าทำไมถึงต้องมาแบ่งแยกเรื่องเพศ จนเราอธิบายไปว่ามันเป็นเรื่องของการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยนะ 

อีกความต่างคือ The Voice ปกติคือผู้เข้าแข่งขันเริ่มจากการเป็น nobody แต่ The Voice Pride ผู้เข้าแข่งขันมาด้วยความเป็น somebody ในจุดที่เขายืนอยู่ บางคนเป็นแดร็กควีนชื่อดัง เขาเลยตั้งใจที่จะมาโชว์จัดเต็มมากกว่าแค่โชว์พลังเสียง

ในเมื่อ The Voice ตอนนี้มีเครื่องมือที่เป็นโซเชียลฯ อยู่ในมือ ถ้าอย่างนั้นมีแผนการทำคอนเทนต์ออนไลน์ยังไงให้แตกต่างจากรายการแข่งขันร้องเพลงอื่น

คือพื้นฐานคอนเทนต์ของเรายังคงเป็นการร้องเพลง แต่ตอนนี้เราเริ่มแบ่งคอนเทนต์ให้มีความหลากหลาย ดูเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้นโดยเล่าผ่านตัวผู้เข้าแข่งขัน เช่นจับเขามาทำ vlog, ให้ผู้เข้าแข่งขันมาร้องเพลงด้วยกัน หรือชวนเขามาเล่นเกมตลกโปกฮาเล็กๆ น้อยๆ เด็กจากเวที The Voice เขาจะได้ต่อยอดตัวเองได้ด้วย

แสดงว่าคนดูต้องการคอนเทนต์ที่เป็น ‘ธรรมชาติ’ จากหลังเวทีมากขึ้น

ใช่ เรียนรู้ง่ายๆ จากตัวเราเองที่เมื่อก่อนไม่ชอบให้ใครสัมภาษณ์ ไม่ชอบออกหน้ากล้อง มาวันนี้ต้องมาช่วยทำคอนเทนต์ในช่องออนไลน์ มาตอบคำถามจากคนดูทางบ้าน เช่น ค่าลิขสิทธิ์เพลงเท่าไหร่, ข้าวกองถ่าย The Voice อร่อยแค่ไหน คอนเทนต์แบบนี้ใน TikTok ยอดหลักแสน เพราะคนดูชอบดูอะไรที่เรียลๆ ง่ายๆ 

น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือ The Voice ไม่มี ‘ด้อม’ แฟนคลับเหมือนรายการเพลงรายการอื่น ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปที่เราต้องหาวิธีทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พี่ว่าเดี๋ยวนี้รูปแบบรายการแข่งขันร้องเพลงไม่ได้ตายตัวเหมือนแต่ก่อน อย่างฟากต่างประเทศเองก็ปรับตัวยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อก่อนเราเสนออะไรเขาก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ‘tv is not anymore’ คอนเทนต์มันมาเร็วไปเร็ว 

หลักๆ เรายังหวังให้คนจดจำ The Voice ว่าเป็นรายการที่มีดีที่เพลง อย่างการทำเพลงเก่าที่มีอยู่แล้วมาเรียบเรียงใหม่ให้ผู้คนสนใจซึ่งเป็นสิ่งที่เราประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ซีซั่นแรก

แล้วการเลือกโค้ชที่เป็นอีกหนึ่งไม้เด็ดของ The Voice ตอนนี้มีเกณฑ์การคัดเลือกยังไง

ข้อแรกคือเลือกคาแร็กเตอร์ของโค้ชให้ตรงกับซีซั่นนั้น ส่วนข้อที่สองคือเลือกจาก ‘อินเนอร์’ ของโค้ช ไม่ใช่ว่าแค่ดังก็จะมานั่งเก้าอี้โค้ชตรงนี้ได้ ถ้าคุณบอกว่าคุณมานั่งตรงนี้ได้แต่คุณไม่มีแพสชั่น ไม่มีใจก็ไม่เอา และโค้ชทุกคนต้องเคมีเข้าขากัน แบ่งหน้าที่กันได้เหมือนรับส่งอินเนอร์ได้เหมือนทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง 

แล้วธุรกิจทีวีในต่างประเทศต้องปรับตัวเยอะเหมือนอย่างบ้านเราด้วยหรือเปล่า

ปรับนะ อย่าง The Voice ของฝั่งสหรัฐอเมริกา ก็มีการไทอินมากขึ้น แต่ที่แปลกใจมากๆ คือเขาทำยังไงให้ผลิตได้ 2 ซีซั่นต่อปี อาจเป็นเพราะตลาดคนดูทีวีบ้านเขายังใหญ่อยู่ 

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าประเทศรอบๆ หรือแม้แต่บ้านเราตอนนี้แทบจะไม่มีรายการทีวีที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศเหลืออยู่เลย เพราะคนทำทีวีไม่มีใครอยากเสียค่าลิขสิทธิ์ ยิ่งเป็นรายการอย่าง The Voice ที่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์สองต่อ คือค่าลิขสิทธิ์รายการกับค่าลิขสิทธิ์เพลงที่นำมาใช้ในรายการ

 

คุณเคยกล่าวไว้ว่าตัวเองยอมขาดทุนกับ The Voice เพื่อที่จะได้กำไรในวันข้างหน้า ถึงตอนนี้ยังมองแบบนั้นอยู่ไหม

คือเราไม่ได้เซ็นศิลปินต่อ เราไม่ได้ทำ artist management ไม่ได้หาตังค์กับศิลปิน กำไรที่เราว่าคืออยากเห็นศิลปินออกไปเติบโต

ถามว่ายังอยากทำอยู่ไหม ถ้าใจน่ะอยากทำ แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะไหวไปอีกถึงกี่ปี มันเป็นความฝัน ความสนุกที่ได้เห็นเด็กจาก The Voice กลายเป็นศิลปินประดับวงการระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะนนท์ ธนนท์, โบกี้ไลออน, วี วิโอเลต หรือโจอี้ ภูวศิษฐ์ แต่ละคนเป็นศิลปินระดับท็อป 5 คือเราภูมิใจที่เราได้สร้างศิลปินเหล่านี้ขึ้นมา เด็กๆ เองก็แฮปปี้ที่ได้ใช้นามสกุล The Voice   

ถ้าเรายังมีแรงยังมีทุนอยู่ก็ยังอยากทำต่อจนมันไม่ไหว คือตอนนี้เราทำด้วยแพสชั่นส่วนตัวล้วนๆ สุดท้ายจะทำต่อก็ต้องหาทางแหละเหมือนที่เกิดกับ The Voice Pride ซึ่งเป็นซีซั่นแรกที่ขาดทุนมหาศาล แต่มองอีกมุมถือเป็นบทเรียนชั้นดีให้เราได้เรียนรู้ 

มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ขาดทุน ทั้งการเปลี่ยนเวลาออกอากาศจากหกโมงเย็นเป็นสองทุ่มซึ่งไม่ใช่เวลาที่กลุ่มคนดูเราอยู่ หรือการที่เราทำธีมไพรด์ทำให้กลุ่มคนดูผู้ชายเราหายไปเยอะ

ถามว่าสุดท้ายเสียใจไหมกับสิ่งที่ตัดสินใจบอกเลยว่าไม่ ถ้าคนเราไม่ล้มก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ วันข้างหน้ายังมีหนทางอีกเยอะให้เราได้ไปต่อ

รับมือยังไงกับตัวเลขขาดทุนในจำนวนที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

ทำใจแหละ (หัวเราะ)

แรกๆ ก็ท้อ ถามกับตัวเองว่าต้องทำยังไงต่อวะ คือเราตั้งใจทำรายการให้ดีถึงขั้นหวังรางวัล Asian Television Awards (รางวัลที่มอบเพื่อเป็นการยกย่องแก่รายการคุณภาพยอดเยี่ยมที่ผลิตในอุตสาหกรรมทีวีของภูมิภาคเอเชีย) อยากให้มองกลับมาแล้วรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ

แต่พอมาเห็นแพสชั่นของผู้เข้าแข่งขัน เห็นกลุ่ม LGBTQAI+ ที่เขาตั้งใจมาแข่งขัน เห็นความพยายามของเขาบนเวทีมันทำให้เราคิดว่าจะมาร้องไห้ให้เขาเห็นตรงนี้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเฉลิมฉลองไปกับความตั้งใจของเขา จากนี้จะรับมือยังไงก็คงต้องหาทางปรับเปลี่ยนกันใหม่ อาจจะทำคอนเทนต์ให้หลากหลายมากขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากโปรดักชั่นก้อนเดียวกัน 

ขณะเดียวกันการหาพาร์ตเนอร์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการอยู่รอด อย่างเรื่องการโปรโมตตอนนี้ก็ได้ทีม Chom PR AGENCY เข้ามาช่วย หรืออย่างปีก่อนก็เป็นทาง Plan B Media เราจำเป็นต้องหาพาร์ตเนอร์เหล่านี้เข้ามาช่วยเราทำงานแต่ละด้าน

อะไรทำให้คุณเลือกทำ The Voice ต่อไปแม้รู้ว่าอนาคตจะต้องขาดทุนเรื่องตัวเลขก็ตาม

เพราะเราเชื่อ 

เราเชื่อว่า The Voice ยังเป็นแบรนด์ที่เด็กๆ นักดนตรีใฝ่ฝันอยากมาประกวดสักครั้งในชีวิต เห็นจากที่เราเปิดออดิชั่นทุกๆ ปีแล้วมียอดคนสมัครถล่มทลายทั้งที่ลึกๆ ในใจเราเตรียมพร้อมแล้วว่าอาจจะไม่มีใครมาสมัครก็ได้ ล่าสุดปี 2024 ที่เราเปิดบูทออดิชั่นที่สยาม ปรากฏว่าโดนตำหนิยับเพราะแถวผู้สมัครยาวเกิน ก็เลยต้องหนีมารับสมัครทางออนไลน์รวมๆ แล้วปีนั้นมียอดผู้สมัครเกินสามหมื่นคน

จริงๆ พี่รู้สึกว่าบ้านเรามีเวทีประกวดที่สร้างนักดนตรีมากพอแล้วแต่ยังขาดพื้นที่ที่จะโปรโมตเขาเหล่านั้นเหมือนแต่ก่อน พี่เลยตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์รายการ Music Countdown จากเกาหลีใต้มาทำ คือเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรีด้วย แต่เราจะยกระดับวงการแค่คนเดียวคงไม่ได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ผลลัพธ์บั้นปลายจะเป็นยังไงไม่รู้แต่ถ้าพี่ยังมีไฟมีแรงก็ยังอยากจะทำตรงนี้ต่อไป

รู้สึกยังไงที่พา The Voice มาถึงจุดนี้

ภูมิใจนะ รู้สึกภูมิใจและมีความสุขมากๆ ยิ่งช่วงนี้กลับมาทำ The Voice All Stars หลังหยุดไปเพราะโควิด-19 เกือบ 3 ปี ตอนแรกทุกคนบอกว่าเลิกทำเถอะรายการทีวีตอนนี้ใครจะดู แต่เรายังมีความเชื่อที่จะทำ ทีมงานทุกคนก็เชื่อแบบเดียวกับเรา 

อย่าง The Voice Pride มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้นแต่เรามีความสุขที่ได้เป็น ‘พื้นที่’ ที่ให้ผู้เข้าแข่งขันได้แสดงออก และถ้าวันข้างหน้าเขาต่อยอดโอกาสจากการมารายการของเราได้ก็ยินดี มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมที่จับต้องไม่ได้นะ ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายนอกจากคำว่าภูมิใจ

คิดว่าอนาคตข้างหน้ามีอะไรที่จะต้องเตรียมตัวรับมือบ้างสำหรับคนที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมทีวี

จริงๆ อยากจะบอกว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องอนาคตเยอะ 

บางอย่างมันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม คิดมากไปก็เหนื่อยใจเปล่า สุดท้ายถ้าเจออุปสรรคเราก็ต้องสู้ ก็ต้องแก้กันไป และต้องมั่นใจในศักยภาพที่เรามี แต่ไม่ใช่ว่าพูดแบบนี้แล้วจะไม่วางแผนรับมืออะไรเลย อย่างพี่ก็มีคิดวางแผนสปินออฟแพลตฟอร์มกระจายคอนเทนต์เพื่อให้ทีมงานยังมีงานทำต่อไป 

13 ปีในการทำ The Voice ให้บทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง

ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของ come and go มันมีช่วงที่เราไต่ไปถึงจุดสูงสุดกับช่วงที่ตกลงมาจุดต่ำสุดแล้วเดี๋ยวมันก็จะพุ่งกลับขึ้นใหม่ คือจะบอกว่าอย่ามัวแต่ยึดติดกับอดีต ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่เราทำแค่นั้นพอ 

ถ้าเรารักก็ทำมันให้เต็มที่ แล้วต้องอยู่กับมันด้วยความสุขด้วยนะถ้าทุกข์อย่าฝืนทำ อย่างที่พี่ทำ The Voice เพราะพี่มีความสุขถึงแม้คนภายนอกจะดูว่ามันทุกข์ แต่ใจพี่รู้ดีว่าพี่ทำไปทำไม (ยิ้ม)