เบื้องหลังการพัฒนาสินค้านวัตกรรมของ TMAN ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้ยาสมุนไพร  

ยาน้ำแก้ไอไอยรา (IYARA) ที่แก้ปัญหาเรื่องรสชาติขมของสมุนไพร, โพรโพลิซ (Propoliz) ที่ทำให้รักษาอาการเจ็บคอได้สะดวกขึ้นในรูปแบบสเปรย์และเม็ดอม, ยาทา Nevtral Cream สำหรับรักษาอาการผื่นแพ้ทางผิวหนังจากสมุนไพรที่ลดผลข้างเคียงจากสารเคมีประเภทสเตียรอยด์, Polar Spray สเปรย์ปรับอากาศที่คิดค้นสารสกัดเพื่อบรรเทาอาการทางเดินหายใจทั้งต้นเหตุและปลายเหตุ, ยาพาราเซตามอล Para Fast Activ ที่ออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น 2 เท่าและแตกตัวได้ภายใน 21 วินาที

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้นในพอร์ตโฟลิโอสินค้านวัตกรรมหลากหลายหมวดของ TMAN ผู้บุกเบิก know-how ในการพัฒนาสูตรยาของคนไทยและมองเห็นโอกาสในตลาดที่มีช่องว่างในการพัฒนากลุ่มยาสมุนไพรให้มีมาตรฐานเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน

เส้นทางการพัฒนานวัตกรรมทั้งหมดนี้เริ่มต้นบุกเบิกภายใต้บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) ก่อนจะแตกหนึ่งในบริษัทย่อยเป็นบริษัท โนว่า เฮลท์ จำกัดเพื่อสร้างความร่วมมือกับทีมวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับจำหน่ายภายใต้ TMAN 

โดยการวิจัยเริ่มต้นตั้งแต่การคิดค้นกระบวนการนำสมุนไพรไทย เช่น กระชายขาว มะแว้ง รางจืด ฯลฯ มาพัฒนาเป็นสารสกัดธรรมชาติ Nature Ceutical เพื่อเพิ่มทั้งคุณภาพและประสิทธิภาพของยาสมุนไพรจนมีสินค้านวัตกรรมออกมามากมาย ทุกวันนี้บริษัทมีสินค้าครอบคลุมแทบทุกกลุ่ม ทั้งหมวดหมู่ยาเพื่อการรักษาโดยตรง หรือ ‘ป่วยแล้วค่อยใช้’ และหมวดที่ ‘ยังไม่ป่วยแต่ใช้เพื่อป้องกัน’ มีทั้งยาและเวชภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่นตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

ชวนคุยกับ ธนัท พลอยดนัย ผู้บริหารของบริษัท โนว่า เฮลท์ จำกัด ว่าการวางรากฐานการทำงานวิจัยที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการควบคุมกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพของ TMAN นั้นทำได้อย่างไร

สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการยาสมุนไพร   

ภาพจำของบริษัทยาในประเทศไทยคือการนำเข้าผลิตภัณฑ์และเวชภัณฑ์ยาของต่างประเทศมาขายและรอก๊อบปี้สูตรจากต่างประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมยาในไทยมีภาพลักษณ์ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนานวัตกรรมของตัวเองขึ้นมาได้

คุณธนัทบอกว่าสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ TMAN ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้านวัตกรรมในองค์กร “ในการขายสินค้าสิทธิบัตรของต่างประเทศอย่างเดียว มันคงหนีไม่พ้นการทำการตลาดโดยใช้การแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำสินค้าใหม่ขึ้นมา หมายความว่าเราต้องรอวันที่หมดสิทธิบัตรยาก่อนเท่านั้นถึงจะสามารถพัฒนาสินค้าต่อไปได้ เราเลยมองว่าถ้าสามารถพัฒนาสินค้ารวมถึงนวัตกรรมขึ้นมาเอง ประโยชน์อย่างแรกเลยคือสามารถสร้างจุดขายใหม่เพื่อตอบ pain point ใหม่ได้ และยังสามารถทำให้เราสร้างสนามการแข่งขันใหม่ ซึ่งดีกว่าการแข่งขันกับสินค้าเดิมในตลาดเดิม”

จากการที่ TMAN เป็นลีดเดอร์ที่ยืนอยู่ในวงการธุรกิจยาแผนปัจจุบันในไทยมานานจนเป็นผู้เชี่ยวชาญและรักษามาตรฐานตามระดับนานาชาติได้มาตลอดทำให้คุณธนัทบอกว่าบริษัทมองเห็นโอกาสในการยกระดับมาตรฐานของวงการยาสมุนไพรไทย 

“ทางผู้ก่อตั้งของเรามีความสนใจมากในการทำยาสมุนไพร แต่จุดอ่อนของยาสมุนไพรคือไม่มีมาตรฐานของตัวเองที่ได้รับการยอมรับมากเท่าไหร่นัก เราเลยพยายามประยุกต์เอาความถนัดในการทำยาแผนปัจจุบันมาใช้กับการทำกลุ่มผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และสร้างเนเจอร์ ซูติคอล (Nature Ceutical) ขึ้นมา” 

Nature Ceutical คือคอนเซปต์การพัฒนาสารสกัดธรรมชาติจากสมุนไพรซึ่ง TMAN ได้คิดค้นสูตรและกระบวนการขึ้นเองจากเทคโนโลยีในการผลิตยาแผนปัจจุบันจนสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ 3 อย่าง 

1. คือต้องพิสูจน์ได้ว่าสารตัวไหนคือสารออกฤทธิ์ที่แท้จริงและทำให้สมุนไพรตัวนี้เกิดประสิทธิภาพจริง (Efficacy)

2. ต้องตรวจสอบได้ว่ามีความปลอดภัย ไม่มีสิ่งปนเปื้อน  (Safety)

3. คือต้องสามารถรักษาระดับคุณภาพให้เท่าเทียมกันในทุกล็อตที่ผลิตออกมา (Quality)

ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับวงการยาจากสมุนไพรไทยซึ่งเป็นวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของบริษัท

คิดค้นสินค้านวัตกรรมจาก pain point 

นวัตกรรมแรกจากสมุนไพรของ TMAN คือยาน้ำแก้ไอไอยราที่คุณธนัทเล่าที่มาที่ไปว่าพัฒนาสูตรมาจากความต้องการจริงๆ ของผู้บริโภคและคุณหมอ

“pain point แรกคือคนส่วนใหญ่จะมีความคิดว่ายาน้ำแก้ไอสมุนไพรมีรสชาติที่ไม่โอเคมากๆ ซึ่งถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะทานเท่าไหร่ อีก pain point หนึ่งจะเป็นในมุมของผู้จ่ายยา คือคุณหมอหรือเภสัชกรที่มองว่าการทานยาน้ำสมุนไพรมีประสิทธิภาพสู้กับยาแผนปัจจุบันไม่ค่อยได้”

“เราก็พยายามแก้ pain point ของผู้บริโภคในเรื่องรสชาติให้ออกมาอร่อย ทานง่าย และแก้ pain point ของผู้จ่ายยาในเรื่องของประสิทธิภาพ โดยการพยายามพัฒนา R&D ของสารสกัดมาตลอด เพื่อจะสามารถบอกได้ว่ายาแก้ไอตัวนี้มีสารออกฤทธิ์อยู่เท่าไหร่และมีสารไหนเป็นตัวออกฤทธิ์กันแน่” 

จากสมุนไพรไทยที่รู้จักกันดีอย่างมะแว้ง มะขามป้อม บริษัทใช้เทคโนโลยี Nature Ceutical ในการควบคุมปริมาณสารสำคัญในสารสกัดธรรมชาติเพื่อออกมาเป็นสูตรยาไอยราและยังต่อยอดสูตรพิเศษชื่อ ไอยรา ไลท์ สูตรไม่มีน้ำตาล สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังโดยตรงอีกด้วย

นอกจากยาน้ำแบรนด์เก่าแก่ที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว สเปรย์พ่นคอชื่อดังอย่างแบรนด์โพรโพลิซ (Propoliz) ก็เป็นสูตรที่ TMAN คิดค้นสารสกัดสแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิซ (Standardized Propolis) ด้วยตัวเองเช่นกัน โดยทำสารสกัดให้ได้มาตรฐานสากลเทียบเท่ายาแผนปัจจุบันและต่อยอดการผลิตยาแก้เจ็บคอ Propoliz หลายรูปแบบทั้งแบบสเปรย์ เม็ดอม เพื่อสะดวกในการใช้หลากหลายวิธีของผู้บริโภค

การนำสมุนไพรมาพัฒนาเป็นยานั้นยังช่วยสร้างทางเลือกใหม่จากธรรมชาติที่ปลอดภัยขึ้นแทนการใช้ยาที่ผลิตจากสารเคมี ตัวอย่างเช่น เนฟทรอล ครีม (Nevtral Cream) ยาทาสำหรับรักษาอาการทางผิวหนัง ผื่นแพ้อักเสบ หรืออาการคันซึ่งสามารถใช้แทนยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ได้

โดยทั่วไปยาจากสเตียรอยด์นั้นเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงแต่มีผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในเด็กที่อาจพบอาการแพ้จากสเตียรอยด์ได้ง่าย ในขณะที่หากใช้สเตียรอยด์แบบอ่อนหรือสารสกัดธรรมชาติชนิดอื่นก็ยังไม่สามารถรักษาอาการได้จริง 

คุณธนัทบอกว่าการค้นพบคุณสมบัติพิเศษของสมุนไพรไทยชื่อรางจืดที่สามารถใช้ทดแทนสเตียรอยด์ได้ทำให้  โนว่า เฮลธ์ ริเริ่มการวิจัยร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อพัฒนา Nevtral Cream “ปกติแล้วคนเราจะเข้าใจว่ากินรางจืดเพื่อลดไข้ แต่ความจริงแล้วรางจืดมีฤทธิ์ใช้ภายนอกเฉพาะที่มีประสิทธิภาพในการลดผื่นแพ้คันหรือผื่นอักเสบได้เทียบเท่ากับสเตียรอยด์ตัวแรงๆ เลย และยังปลอดภัยเพราะเป็นสารธรรมชาติ เราก็เลยหยิบตัวนี้ขึ้นมาใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่ทำมาสำหรับแก้ผื่นแพ้คัน” 

สูตรใหม่ที่ต้องดีกว่าเดิมในท้องตลาด  

สำหรับกลุ่มยาแผนปัจจุบัน หากมองตลาดอย่างผิวเผินจะรู้สึกว่าโลกสมัยใหม่ในทุกวันนี้มีการพัฒนายาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบถ้วนทุกอย่างแล้ว แต่สำหรับ TMAN  ไม่ว่าจะเป็นยาประเภทใด หากนำมาขายและพัฒนาเอง สินค้ายานั้นต้องแตกต่างและดีกว่าสินค้าอื่นในตลาดที่มีอยู่เดิม 

จากสินค้านวัตกรรมตัวแรกของบริษัทคือ ไมด้า-บี ครีม (Myda-B Cream) ยาทาฆ่าเชื้อราซึ่งนับเป็นครีมรุ่นออริจินัลที่พัฒนาได้เป็นเจ้าแรกของไทยและผลิตมายาวนานต่อเนื่องถึง 40 ปี และล่าสุด TMAN  ได้พัฒนาสินค้ายาพื้นฐานในชีวิตประจำวันอย่างพาราเซตามอล สูตรใหม่ Para Fast Activ ที่เพิ่งวางขายเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกด้วย 

จากคำบอกเล่าของคุณธนัท สูตรนี้ได้พัฒนาให้สามารถดูดซึมได้เร็วที่สุดในท้องตลาดในตอนนี้และมีความสามารถในการแตกตัวได้เร็วกว่ายาต่างประเทศตัวหนึ่งที่เคลมว่าเป็นพาราเซตามอลที่ออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด “ยาพาราของเราเร็วกว่าทางต่างประเทศและสามารถแตกตัวได้ภายใน 21 วินาที ที่สำคัญคือเราทำออกมาแบบมีประสิทธิภาพเหนือกว่าในราคาที่คนไทยเข้าถึงได้”

การมองเห็นโอกาสพัฒนาพาราเซตามอลให้ดีขึ้นนี้มาจากมายด์เซตที่คุณธนัทบอกว่าองค์กรเชื่อในการไม่หยุดพัฒนา “ทีมงาน R&D ของเราไม่เชื่อกับคำว่าดีที่สุด เวลาเราทำสินค้าอะไรสักอย่างออกมาสำเร็จแล้ว เราพยายามที่จะกระตุ้นซึ่งกันและกันว่าจะทำยังไงให้สามารถสำเร็จมากกว่านี้ได้อีก ต่อยอดให้ดีขึ้นกว่านี้อีกได้ไหม สิ่งนี้เป็นมายด์เซตที่เราพยายามผลักดันทีมงานอยู่เสมอ และไม่ใช่แค่กับทีมของเราฝ่ายเดียว เราผลักดันกับฝั่งนักวิจัยด้วยเหมือนกันว่าจะสามารถทำอะไรให้ดีขึ้นไปได้อีกหรือเปล่า”

หัวใจของนวัตกรรมจึงเป็นการพัฒนาสิ่งใหม่และวางภาพจำของสินค้าเดิมที่คนส่วนใหญ่คุ้นชินลง หลายครั้งสินค้าใหม่ยังเกิดขึ้นจากการสังเกตปัญหาเพียงเล็กน้อย ดังเช่น โพลาร์ สเปรย์ (Polar Spray) ที่ริเริ่มคิดค้นจากปัญหาจริงที่ลูกของซีอีโอป่วยบ่อยและมีปัญหาโรคทางเดินหายใจ จึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับเด็ก

อินไซต์ที่ TMAN ค้นพบคือสูตรยาเดิมจากสมุนไพรที่นิยมใช้กันเวลามีน้ำมูกไหลคือการใช้ยูคาลิปตัสออยล์เพื่อช่วยบรรเทาอาการชั่วคราวให้จมูกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกขึ้น แต่การใช้ยูคาลิปตัสนี้เป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น

“จาก pain point ตรงนี้ เราเลยพยายามไปหาสิ่งที่ช่วยรักษาได้ทั้งต้นเหตุและปลายเหตุ ต้นเหตุในที่นี้ก็คืออากาศสกปรกที่มีเชื้อโรคในอากาศ เราก็เลยพัฒนาสารที่มีชื่อว่า Active Polar ขึ้นมา เป็นสารที่สามารถดักจับเชื้อโรคในอากาศ ใช้รักษาร่วมกับกลิ่นยูคาลิปตัสทำให้ทางเดินหายใจโล่งสบายด้วย” 

Polar Spray ที่คิดค้นขึ้นมาจึงเป็นสเปรย์ที่มีฤทธิ์ดักจับและฆ่าเชื้อโรค และยังต่อยอดเป็นสินค้าอื่นๆ ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคหรือเครื่องมือแพทย์ เช่น สเปรย์ดับกลิ่นต่างๆ สบู่ทั้งรูปแบบล้างน้ำออกและไม่ต้องล้างออก และขณะนี้กำลังพัฒนานวัตกรรมสเปรย์ดักจับ PM2.5 ที่ฉีดแล้วดักฝุ่นให้ตกลงมาที่พื้นได้  

ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนวัตกรรมที่คนไทยคิดค้นและพัฒนาได้เองจากการตั้งต้นคิดว่าจะทำให้สินค้าสูตรใหม่ดีกว่าสูตรปัจจุบันที่มีได้ยังไง 

สร้าง ecosystem ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร

เบื้องหลังตัวอย่างสินค้านวัตกรรมทั้งหมดนี้ คุณธนัทบอกว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้เลยถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทีมวิจัยทางการแพทย์

“ต้องบอกว่า TMAN มีความฝันอยากจะสร้างนวัตกรรม แล้วเราก็มีทีม R&D ที่ดูแลด้านนี้อยู่ แต่ว่า R&D ของที.แมนจะไปโฟกัสในการผลิต ซึ่งปัจจุบันเราเองก็อยากทำนวัตกรรม แต่ถ้าถามว่าเรามี know-how เพียงพอที่จะสร้างนวัตกรรมได้ในจำนวนมากหรือยัง ก็ต้องตอบว่ายังไม่ใช่ ทำให้สุดท้ายเราพยายามมองหาหน่วยงานที่เก่งด้านนี้เพื่อจะมาช่วยกันต่อยอดให้ดี  

“เรามองเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วนักวิจัยไทยที่อยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ แพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ เก่งระดับโลกหลายคนมากๆ แต่งานวิจัยที่ออกมายังไม่สามารถผลักดันเข้าสู่เชิงพาณิชย์ในระดับประเทศหรือระดับโลกได้”

ต้นน้ำคือการริเริ่มงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยภายใต้บริษัท โนว่า เฮลธ์ จำกัด ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถืองานวิจัย ผู้คิดค้นงานวิจัย จากนั้นส่งต่อให้บริษัทในเครืออย่าง ที.แมน ฟาร์มา ผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน และบริษัท เฮเว่น เฮิร์บ จำกัด ผู้ผลิตยาแผนโบราณและยาจากสมุนไพรในเครือเพื่อทำหน้าที่ในการผลิต จากนั้นสินค้าที่ผลิตเสร็จจะถูกจัดจำหน่ายโดยที.แมน ฟาร์มาซูติคอล ต่อไป

ด้วยกระบวนการทั้งหมดนี้ แต่ละบริษัทในเครือจึงมีหน้าที่ของตัวเองและทำงานร้อยเรียงกันเป็น ecosystem โดยคำนึงถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหลัก 

นั่นทำให้ TMAN มีหมวดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มักตั้งต้นจากการวิจัย เกิดผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ทางการแพทย์และไม่เหมือนใคร เช่น หมวดอาหารเสริมและเครื่องสำอางที่มีจุดเริ่มต้นการคิดค้นจากงานวิจัยผ่านทางโนว่า เฮลธ์ และสถาบันวิจัยทางการแพทย์ชั้นนำเช่นกัน 

ตัวอย่างเช่น อาหารเสริมที่เน้น functional ingredient อย่าง Anthaplex ซึ่งเป็นคอมเพลกซ์รูปแบบอาหารเสริมและแคปซูลจากงานวิจัยระหว่างโนว่า เฮลธ์กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยค้นพบว่าสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และส่งเสริมความจำได้ หรือ Cento-HAC Complex ที่ทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งค้นพบว่าช่วยลดการอักเสบ รอยแดง รอยช้ำ จากการทำศัลยกรรมและเลเซอร์ จึงนำมาทำเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและกลายเป็นความภาคภูมิใจด้านนวัตกรรมของคนไทยที่ชนะการประกวดด้านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากโปแลนด์ 

คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในแต่ละครั้งที่ทำงานวิจัยคุณธนัทบอกว่าสองสิ่งสำคัญที่บริษัทคำนึงถึงไปพร้อมกันด้วยเสมอคือผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ได้ผลลัพธ์ของสินค้าออกมาแต่ยังคำนึงถึงระหว่างทางเพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรและพืชไทยมีรายได้เลี้ยงชีพและไม่เกิดของเสียที่เป็นมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อม

คุณธนัทยกตัวอย่าง เช่น พืชเศรษฐกิจใกล้ตัวอย่างกล้วย “พอเราทำวิจัยเรื่องกล้วย เราก็อยากได้แป้งกล้วยหรือผลกล้วยมาทำงานวิจัยต่อ เราทำวิจัยต่อเนื่องว่าเราจะเอาเปลือกกล้วยไปทำอะไร เอาต้นกล้วยหรือใบกล้วยไปต่อยอดเป็นแพ็กเกจอะไรได้บ้าง พยายามที่จะใช้พืชหนึ่งต้นให้ได้ 100% ทั้งหมด เพื่อให้เกษตรกรขายได้ทั้งต้น มีรายได้สูงขึ้น และไม่ก่อให้เกิดของเสียที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”  

ในกระบวนการสกัดสารจากธรรมชาติจึงมีการนำกรีนเทคโนโลยี (green technology) เข้ามาช่วยบริการจัดการกระบวนการผลิต “สมมติเราจะสกัดสารมะแว้ง พอเราสกัดออกมาเสร็จปุ๊บ เราก็นำกากมะแว้งกลับมาหมุนเวียนใช้ต่อเป็นปุ๋ย หรือว่าอาจจะนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ต่อได้เหมือนกัน คุณค่าของมะแว้งก็จะไม่ได้เกิดแค่กับคนอย่างเดียว แต่ยังมีคุณค่ากับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย เป็นปุ๋ยหรือเป็นอาหารสัตว์ก็ได้ เรื่องน้ำก็เหมือนกัน พอสกัดสารออกมาแล้ว น้ำส่วนเกินเราก็ไม่ได้ทิ้ง เราเอาไปบำบัดต่อแล้วนำน้ำดังกล่าวไปใช้ในสวนสมุนไพรหรือใช้หล่อเลี้ยงเครื่องจักรต่อ เราใช้หลักบริหารแบบ zero waste” 

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ขายดีของบริษัทอย่าง Propoliz Spray ก็เปลี่ยนวัสดุของแพ็กเกจจากขวดแก้วเป็นขวดพลาสติก PET ซึ่งทำให้สามารถหลอมขวดสำหรับนำกลับมาใช้ได้ใหม่ สะดวกขึ้นและยังลดการใช้พลังงานในการขนส่ง 

และด้วยความที่บริษัทเน้นพัฒนาสินค้านวัตกรรมการจากสมุนไพร การเลือกผลิตสินค้าทางเลือกจากธรรมชาติยังเป็นการสนับสนุนเทรนด์รักษ์โลกทางอ้อมด้วยการลดการผลิตจากสารเคมิคอลต่างๆ และได้สนับสนุนเทรนด์ดูแลสุขภาพด้วยทางเลือกจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ TMAN ทำมาตั้งแต่อดีตและพยายามสนับสนุนสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนขึ้น

ภูมิคุ้มกันต้านความล้มเหลวของผู้ผลิตยา

สิ่งที่คุณธนัทชื่นชอบในองค์กรคือโอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่ แม้อัตราส่วนที่พัฒนานวัตกรรมใหม่สำเร็จจะเป็น 1 ใน 10 จากงานวิจัยทั้งหมดก็ตาม 

“ปกติเวลาทำนวัตกรรมขึ้นมา เทียบระหว่างความสำเร็จกับล้มเหลว มักจะมีความล้มเหลวมากกว่าแน่นอน ในการทำนวัตกรรม ถ้ามีแค่มายด์เซตทางนวัตกรรมยังไม่พอ มันต้องกล้าพอที่จะทำด้วย แล้วเจ้าของบริษัทก็ต้องกล้าที่จะให้ลอง ซึ่งองค์กรเรามีทั้งผู้บริหารที่กล้าให้ลอง มีทีมกล้าลงมือทำ และกล้าที่จะล้มเหลว ยิ่งล้มไว ยิ่งลุกขึ้นไว ยิ่งเราพลาดไปแล้ว เราถึงจะรู้ว่าแก้ต่อไปยังไงได้ สิ่งเหล่านี้เป็น key learning ของเรามาตลอดเลยว่า ล้มหนึ่งครั้งก็แค่พบว่าเรามีเส้นทางผิดพลาดเพิ่มอีกครั้ง

ภูมิคุ้มกันต้านความล้มเหลวของผู้ผลิตยาจึงเป็นการกล้าล้มและกล้าลอง ปรับตัวตามเทรนด์โลกอยู่เสมอจนมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ทั้งยาแผนปัจจุบันในโรคกลุ่ม NCDs (non-communicable diseases) เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ที่ตอบโจทย์เทรนด์ผู้สูงอายุ, ยาเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ที่กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นในระยะยาว, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงพฤติกรรมที่ไม่ค่อยเฮลท์ตี้กับสุขภาพในสังคมที่เร่งรีบ 

เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทุกหมวดทั้งผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันโรคและรักษาไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ทั้งหมดนี้ผลิตขึ้นเพื่อคำนึงถึง health span (ช่วงเวลาที่มีคุณภาพชีวิตดี) ที่ดีควบคู่ไปกับ life span (อายุขัย) ที่ยืนยาวขึ้นของคนยุคใหม่ 

ทุกวันนี้ TMAN ได้รับมาตรฐาน GMP PIC/S (Good Manufacturing Practice for Medicinal Products) ที่เทียบเท่ากับมาตรฐานในประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรป และคุณธนัทยังเกริ่นว่ายังมีงานวิจัยอีกหลายตัวที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อสร้างสินค้านวัตกรรมใหม่ในอนาคต 

ความสำเร็จของ TMAN คือการไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีตจากนวัตกรรมยาตัวแรกๆ ที่คิดค้นขึ้นมาคือไอยราหรือสินค้าชื่อดังติดตลาดอย่าง Propoliz แต่กล้าเดินหน้าเผชิญกับการทดลองต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตจึงอาจพบแบรนด์ใหม่ สินค้าตัวเด่นและนวัตกรรมล้ำจาก TMAN อีกก็เป็นได้

5 ความท้าทายที่ ‘ไทน์ กรกนก’ ใช้ทำ Valichain จิวเวลรีที่ใส่ได้ทุกวัน ไม่ลอก ไม่ดำ 

เสื้อ กางเกง รองเท้า–ไม่ปฏิเสธว่ามีเพียงองค์ประกอบเหล่านี้ก็สามารถออกจากบ้านไปใช้ชีวิตได้ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจเคยรู้สึกว่าลุคในวันนั้นๆ ไม่คอมพลีต เหมือนยังขาดหายอะไรไป 

สิ่งที่ขาดหายอาจเป็นเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้เสื้อผ้าหน้าผมของเรา ‘เต็ม’ ขึ้น

เช่นเดียวกับ ‘วาเลนไทน์–กรกนก วรรณกิจ’ ที่หลายคนรู้จักในนามอินฟลูเอนเซอร์สาว ที่อยู่ในวงการบิวตี้มาหลักสิบปี สำหรับเธอ เครื่องประดับอาจไม่ใช่ ‘ตัวเสริม’ แต่คือ ‘ตัวจบ’ ที่ขาดไม่ได้

Valichain แบรนด์จิวเวลรีกันน้ำ ไม่ลอก ไม่ดำ ไม่เขียว และเหมาะกับคนแพ้ง่ายจึงเกิดขึ้น จาก pain point ที่ไม่สามารถหาจิวเวลรีราคาเข้าถึงได้คุณภาพสูงได้

แม้กล้าๆ กลัวๆ แต่กลายเป็นว่าคอลเลกชั่นแรกที่เธอปล่อยขายดัน sold out ใน 1 วัน ทั้งด้วยคุณภาพของสินค้า และอานิสงส์ของการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ 

ถึงอย่างนั้น การทำแบรนด์ภายใต้คำว่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ นำมาซึ่งหลายความท้าทาย คอลัมน์ Brand Belief ครั้งนี้ จึงขอพาไปสนทนากับไทน์ถึงการทำธุรกิจนี้ไปพร้อมๆ กัน

ความท้าไทน์ที่ 1 :
สร้างแบรนด์จาก pain point 

เชื่อว่าหากใครติดตามอินฟลูเอนเซอร์สายบิวตี้น่าจะเคยเห็นเหล่าอินฟลูฯ หันมาจับธุรกิจที่สอง สาม สี่ ห้ากันมากขึ้น ด้วยฐานแฟนที่มีอยู่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อออกสินค้าอะไรมา ก็การันตีไปได้ 1 เปลาะว่าจะต้องมียอดสั่งซื้อ

เครื่องสำอาง อาหารเสริม เสื้อผ้า มักเป็นธุรกิจประเภทแรกๆ ที่เหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์หันมาจับ ด้วยความเชี่ยวชาญแต่เดิมและภาพลักษณ์ของการเป็นอินฟลูฯ สายความงาม

แต่นั่นไม่ใช่กับวาเลนไทน์​ หญิงสาวตรงหน้า

“คนอื่นอาจจะบอกว่าลิปสติกเป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกาย แต่สำหรับเรา จิวเวลรีต่างหากที่เป็นอีกอวัยวะหนึ่ง”

จะต่างหู สร้อย แหวน กำไล สำหรับเธอ ล้วนเป็นตัวจบที่ทำให้ลุคในวันนั้นๆ ดูแตกต่าง เรียกว่าเครื่องประดับส่งลุค ลุคส่งหน้า หน้าส่งภาพลักษณ์

“ถามว่าทำไมไม่ทำแบรนด์เครื่องสำอาง เรามองว่าวงการเครื่องสําอาง วงการบิวตี้มันแข่งขันกันสูงมาก แล้วเราเองก็ยังอยากรีวิวสินค้าจากหลายแบรนด์อยู่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ เพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่ได้อยากกระโดดเข้าไป

“แต่กับเครื่องประดับ เราคิดว่าต่อให้เราใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ ก็ต้องมีเครื่องประดับสักชิ้น เลยคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่เราน่าจะทำได้ดี”

ในช่วงปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 นั้นเอง ไทน์คิดว่านี่แหละเวลาที่ใช่ เวลาที่เธอต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันของตนเองสักที

“เราอยากใส่จิวเวลรีตลอดเวลาโดยไม่ต้องถอด แต่ยิ่งใส่มันยิ่งลอก ยิ่งดํา ยิ่งเขียว บางทีเป็นรอยติดตัวเลยนะ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่เราอยากทำแบรนด์ที่เน้นคุณภาพก่อนคิดเรื่องความสวยงามเสียอีก” 

วัสดุที่ Valichain เลือกใช้เป็นสเตนเลสสตีลเกรดการแพทย์ ที่โดยปกติแล้วมักจะใช้กับเครื่องประดับสำหรับเจาะสะดือ จมูก ฯลฯ ที่ต้องใส่ติดร่างกายตลอดเวลา ต้องการความคงทนและปลอดภัย

“ต้องนึกภาพก่อนว่า 4-5 ปีที่แล้ว จิวเวลรีสายแฟชั่นในตลาดไทยค่อนข้างราคาถูก วัสดุมันอาจจะไม่ได้คุณภาพมาก ตัววัสดุนี้เราเห็นเมืองนอกใช้กันเยอะ แต่ในไทยยังไม่ค่อยมีใครนำมาทำเป็นสร้อย เป็นแหวน เพราะมันมีราคา” 

ความท้าทายในช่วงตั้งไข่ของแบรนด์จึงคือการตามหาโรงงานที่เปิดรับแบรนด์ใหม่ และเพียบพร้อมด้วยคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งเธอก็สู้จนตามหาพาร์ตเนอร์ที่ตรงใจในที่สุด

ความท้าไทน์ที่ 2 :
ดีไซน์ให้ใส่ได้ทุกวัน แต่ยังแตกต่าง 

“โจทย์หลักคือเขาไม่ต้องคิดเยอะ มันต้องใส่ได้ทุกวัน หนึ่งชิ้นใส่ได้กับทุกลุค ทุกโอกาสในชีวิต” คอลเลกชั่นแรกๆ ของไทน์จึงค่อนข้างเรียบง่าย ดีเทลน้อยแต่มาก 

“แต่มันก็จะมีบางคอลเลกชั่นที่เราทําออกมาเป็น seasonal product เพื่อเพิ่มความสนุกให้กับลูกค้าที่ชอบความน่ารัก หรือชอบอะไรใหม่ๆ”

หนึ่งในคอลเลกชั่นเพิ่มความตื่นเต้น สดใหม่ ให้แบรนด์คือคอลเลกชั่นวาเลนไทน์ที่เปลี่ยนรูปแบบไปในแต่ละปี แรกเริ่มเธอตั้งต้นจากอยากทำคอลเลกชั่นเดือนเกิดของตนเองอย่างเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรักที่ผู้คนจะมอบของขวัญให้กัน

“เรารู้สึกว่าจิวเวลรีเป็นของขวัญที่ดีที่จะมอบให้คนรักในวันแห่งความรัก เราเลยตั้งใจออกแบบคอลเลกชั่นวาเลนไทน์กันสุดๆ จําได้ว่าคอลเลกชั่นวาเลนไทน์ปีแรกมันขายดีมาก จนทุกวันนี้ลูกค้าก็ยังถามหาอยู่เรื่อยๆ และเฝ้ารอว่าคอลเลกชั่นนี้ของแต่ละปีจะเป็นยังไง”

อีกคอลเลกชั่นที่เธอยกตัวอย่างความเรียบง่ายที่นำเสนอให้แปลกใหม่คือ Petite Gem ซึ่งคือเครื่องประดับที่ใส่อัญมณีขนาดจิ๋ว 1 เม็ด

“มันจิ้มลิ้มมาก เรายังกลัวว่าลูกค้าจะรู้สึกว่าเบาไปไหม แต่สรุปลูกค้าชอบมากและอยากให้ทำอีก จนตอนนี้เราทำเป็นคอลเลกชั่นนี้นี่แหละ เพียงแต่เปลี่ยนรูปทรงของอัญมณีนั้นๆ”

สิ่งนี้สะท้อนอีกทักษะหนึ่งของการเป็นผู้ประกอบการ ที่ไทน์มองว่าต้องหาสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์และการอยู่รอดในเชิงธุรกิจให้ได้  

“บางทีเราอยากจะทำดีไซน์แปลกๆ ระย้าๆ แต่ลูกค้าซื้อไหมก็อีกเรื่อง เราต้องหาตรงกลางระหว่างความสวยกับใส่ได้จริง เพราะว่าเรายังต้องคงคอนเซปต์ใส่ได้ทุกวัน” เธอยืนยัน

ความท้าไทน์ที่ 3 :
ใช้ความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ให้ถูกที่ถูกทาง 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเป็นอินฟลูเอนเซอร์นั้นย่อมนำมาซึ่งแต้มต่อในการทำธุรกิจไม่มากก็น้อย สำหรับ Valichain เองก็เช่นกัน ไทน์มองว่าประสบการณ์และชื่อเสียงที่สั่งสมในวงการนี้มีผลต่อการเติบโตของแบรนด์

ช่วงแรกเธอส่งให้เพื่อนๆ ทั้งคนในวงการ ทั้งคนทั่วไปทดลองใส่อยู่เกือบปี ปรากฏว่าเพื่อนที่แพ้ง่ายมากๆ เคยใช้ทั้งแบรนด์ถูกแบรนด์แพงก็แพ้กลับใส่ของ Valichain ได้สบายๆ 

“บางคนใส่ทั้งวัน ใส่ไปออกกำลังกาย ใส่อาบน้ำ ก็ไม่ลอกไม่ดำ พอมันคุณภาพดี เขาก็ลงโซเชียลมีเดียให้เราโดยที่เราไม่ได้ขอ คนก็เริ่มสงสัยว่ามันคือแบรนด์อะไร มันทำให้พอเราเปิดตัววันแรกก็ขายหมดทันทีทั้งที่ตอนแรกเรายังกลัวอยู่เลยว่ามันจะขายได้ไหม”

จากประสบการณ์การเป็นอินฟลูเอนเซอร์และนักรีวิวยังทำให้เธอเข้าใจอินไซต์ของลูกค้าและนั่นเองที่ทำให้เธอจริงจังกับการออกแบบแพ็กเกจให้สวยงาม น่าถ่ายรูปแชร์ และประทับใจตั้งแต่แรก unbox

“เราออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้มันสวยงาม เปิดมาก็มีการ์ด มีคำอธิบายชัดเจนว่าเราเชื่อในเรื่องอะไร ถ้าเขามีปัญหาเขาสามารถติดต่อเราที่ช่องทางไหนได้บ้าง มันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ถ้าเขาประทับใจเขาจะแชร์ จะบอกต่อ

“ไม่ใช่เปิดมาแล้วก็เจอจิวเวลรีอยู่ในถุงเลย เราว่ามันไม่สวย คนจะรู้สึกว่าค่อยถ่ายแล้วกัน แล้วเขาก็จะไม่ได้ถ่าย หรือบางทีอาจจะไม่ได้ใส่จนลืมมันไป”

ความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ยังช่วยให้เธอได้พูดคุยและรับฟังเสียงลูกค้าหลายทาง คือทั้งผ่านแบรนด์และผ่านแอ็กเคาต์ตัวเอง ฟีดแบ็กที่นำไปพัฒนาต่อจึงจริงใจและใช้ได้จริง

“เราได้เรียนรู้จากผู้บริโภคเยอะมากว่าเขาชอบอะไร ต้องการอะไร แล้วเขาก็มองภาพแบรนด์ออกเลยว่าภาพลักษณ์ของคนที่ใส่ Valichain มันก็คือสาวที่ดูมั่นใจเพราะมันมีความผูกโยงกับตัวเราค่อนข้างเยอะ

“ย้อนกลับไปวันแรกๆ ถ้าเราไม่ได้มีคนรู้จักอยู่แล้ว ไม่ได้มีเพื่อนๆ ในวงการ มันก็อาจจะยากกว่าในการสร้างแบรนด์ให้เติบโต แต่สุดท้ายแล้วถึงเราจะเป็นอินฟลูฯ ถ้าของไม่มีคุณภาพ มันคงไม่ยั่งยืน” 

ไทน์ยังเสริมว่า ยิ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ก็ยิ่งต้องจริงจังกับคุณภาพ เพราะคงไม่คุ้มเสี่ยงหากต้องนำชื่อเสียงที่สั่งสมมาเดิมพัน

“ถ้าคุณภาพมันไม่ได้เราก็ไม่ซื้อต่อหรือกลับมาซื้อซ้ำ เราจึงคิดว่าทุกแบรนด์ควรจริงจังกับคุณภาพ ที่สำคัญคือต้องไม่หยุดฟังเสียงลูกค้า เราติดตามตลอดจริงๆ ทั้งจากหน้าร้าน ออนไลน์ หรือในคอมเมนต์ทั่วไป”

ความท้าไทน์ที่ 4 :
จริงจังกับแบรนดิ้งที่ชัดจนตะโกนเรียกชื่อลูกค้า 

“ไม่ใช่ว่าเราทำธุรกิจนี้เป็นธุรกิจแรกแล้วสำเร็จเลยนะ ตอนอายุ 20 ต้นๆ เราก็เฟล เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลย อีกเรื่องคือเราไม่จริงจังกับการทำแบรนดิ้ง”

นอกจากคุณภาพที่เป็นหัวใจสำคัญ การทำแบรนดิ้งให้แข็งแรงก็เป็นสิ่งที่วาเลนไทน์ใส่ใจตั้งแต่ day 1 ทั้งชื่อที่ต้องแตกต่างแถมยังเชื่อมโยงกับตัวตนของเธอ ภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่สื่อสารถึงความมั่นใจ ไปจนถึงสีสันที่ตะโกนเรียกหาลูกค้า

“เราอยากให้มันไม่น่าเบื่อ เราอยากให้มันสื่อถึงสาวยุคใหม่ที่มีความมั่นใจ ดังนั้นสีมันจะต้องไม่นู้ด น้ำตาล ขาว ดำ แล้วมันก็ต้องไม่ดูหรูจนเอื้อมไม่ถึง เพราะเราอยากทำแบรนด์จิวเวลรีที่ดูสนุก มีคุณภาพ ในราคาเข้าถึงได้”

แบรนดิ้งที่ชัดเจนยังสำคัญต่อแนวทางการสื่อสารของ Valichain เช่นกัน ไทน์บอกว่าเมื่อคนเห็นสี เห็นฟอนต์ของแบรนด์ เธอแทบไม่ต้องอธิบายให้มากความลูกค้าก็เข้าใจถึงตัวตนของแบรนด์ ขณะเดียวกันทีมงานของเธอก็นำไปต่อยอดเป็นคอนเทนต์หรือแนวทางการสื่อสารได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องคอยแนะ หรือคอยตัดสินใจให้ทุกเรื่อง

“หนึ่งวันมีหลายอย่างต้องทำ ถ้าเราทําแบรนด์โดยไม่ยอมปล่อยบางอย่างที่เราไม่ถนัด มันก็เสียเวลา เพราะฉะนั้นเราต้องปล่อยให้ทีมที่เขาถนัดบางเรื่องมากกว่าได้ทำแทนเรา ซึ่งถ้าแบรนดิ้งชัด ทีมก็จะทำงานง่าย”

โดยเฉพาะการทำคอนเทนต์ ไทน์มองว่า Valichain จะไม่ปล่อยเทรนด์ไหนไปเลย แต่การจะกระโดดไปทำคอนเทนต์ที่เข้ากับเทรนด์ก็ต้องดูเช่นกันว่าเทรนด์นั้นเหมาะกับแบรนดิ้งหรือไม่ 

เธอยกตัวอย่างไวรัลซีรีส์ The White Lotus ที่มีประโยคฮิตติดปากว่า ‘Welcome to the White Lotus’ ที่น้องมุกหรือลิซ่า LLOUD เอ่ยในเรื่อง ทีมก็นำมาทำคอนเทนต์ Welcome to Valichain สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว

@valichain

✨ Recreating Lisa’s White Lotus S3 receptionist look with our jewelry! #Valichain #LISA #LisaXWhiteLotus #TheWhiteLotus #JewelryInspo

♬ Born Again (feat. Doja Cat & RAYE) – LISA

“เรามองว่าทุกอย่างเป็นคอนเทนต์ได้ และทุกคนก็ทำคอนเทนต์ได้ ซึ่งพอแบรนดิ้งมันชัด น้องในทีมก็จะเข้าใจอัตโนมัติว่าเทรนด์ไหนที่เขาจะเล่น เทรนด์ไหนที่เขาต้องปรับเพื่อให้มันเข้ากับแบรนด์ของเรา

“เราเลยอยากให้ใครก็ตามที่เริ่มทำแบรนด์ ใส่ใจกับการสร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรง มันน่าจะช่วยให้แบรนด์ไปต่อได้ง่าย ทั้งเชิงคอนเทนต์ ไปจนถึงการตลาด เพราะเราจะเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าของเราต้องการอะไร เรากําลังเสิร์ฟใครอยู่”

ความท้าไทน์ที่ 5 :
ลงมือทำ ล้มแล้วลุก เพื่อสร้างแบรนด์ไทยให้จับใจต่างชาติ

แรกเริ่มเดิมที Valichain ก่อตั้งขึ้นจากแพสชั่นของไทน์ล้วนๆ เธอยืนยันกับเราว่าเธอไม่ได้มีแผนธุรกิจอะไรมากมาย แต่เมื่อแบรนด์เติบโต ทีมขยายใหญ่ขึ้น ในฐานะ CEO และพี่สาวของน้องๆ ในทีม เธอต้องปรับตัวและเรียนรู้เรื่องธุรกิจในทุกๆ วัน

“สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้าอยากทําอะไรต้องเริ่มเลย ถ้าไม่ได้เริ่มทําจะไม่ได้เรียนรู้ แล้วก็ความล้มเหลวเนี่ย มันทำให้เราได้เรียนรู้เยอะที่สุด แล้วเราจะไม่กลับไปทําพลาดเหมือนเดิม”

มากไปกว่านั้น ไทน์ยังมองว่าความสำเร็จไม่ใช่จุดที่ CEO พักหายใจได้ แต่กลับเป็นสิ่งเร้าให้เธอต้องเดินให้ไวและเดินนำพนักงานหนึ่งก้าวเสมอ 

“สําเร็จไม่ได้หมายความว่าจบแล้ว สําเร็จเท่ากับไปต่อ ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าดีจังเลย อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร แสดงว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ”

ปัญหายังไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือความท้าทายให้เธอและแบรนด์ได้เติบโตไปอีกขั้น เหมือนเป็น quest ในชีวิตจริงให้เธอได้เก็บแต้มไปเรื่อยๆ

“มันจะทําให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะถ้าถามนักธุรกิจทุกคน ทุกคนก็ต้องตอบว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่มีเลยเนี่ยประหลาด หรือแปลว่าแบรนด์อาจจะไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ดีขนาดนั้น  

“ถามว่า quest ต่อไปของเราคืออะไร เราอยากให้ Valichain เป็นแบรนด์ไทยที่ถ้าต่างชาติมาไทย Valichain จะต้องเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เขาอยากมาช้อปกลับไป”

5P ของ ‘Charlee and Friends’ เจ้าของสลัชชี่โกโก้สุดไวรัล ที่ทำเองตั้งแต่ปลูกถึงชงลงแก้ว

โกโก้และช็อกโกแลตเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ตามเมนูร้านคาเฟ่ ร้านกาแฟ หรือร้านเครื่องดื่มต่างๆ 

แต่ถ้าพูดถึงคราฟต์ช็อกโกแลตที่มีความละเอียดทางรสชาติ ลึกลงไปถึงพื้นที่ที่ปลูกซึ่งให้เทสต์โน้ตต่างกันไป เชื่อว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าใจ บ้างคงยังไม่รู้ถึงความต่างของโกโก้และช็อกโกแลตที่ได้มาจากเมล็ดเดียวกันเสียด้วยซ้ำ และบ้างน่าจะยังไม่รู้ว่าช็อกโกแลตไทยไปคว้ารางวัลในเวทีระดับโลกมาแล้ว  

ร้านที่อยากนำเสนอรสชาติของช็อกโกแลตและโกโก้ไทยให้คนไทยได้รู้จักอย่าง Charlee and Friends จึงเกิดขึ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นคาเฟ่ specialty chocolate ที่เน้นขายช็อกโกแลตกับโกโก้เพื่อแก้ปัญหาของเกษตรกรต้นทาง

จากธุรกิจเล็กๆ ของกลุ่มเพื่อนที่หวังรายได้เล็กๆ น้อยๆ ในช่วงที่เว้นว่างจากงานประจำสู่ร้านที่ตั้งเป้าจะขยายสาขาไปทั่วห้างในกรุงเทพฯ คอลัมน์ 5P ตอนนี้ชวนไปสำรวจความเป็น Charlee and Friends และเส้นทางที่เต็มไปด้วยรสชาติที่ซับซ้อนกว่าแค่ความหวานเหมือนกับช็อกโกแลต

PRODUCT
เริ่มจากปลูกโกโก้เอง จนได้เปิดคาเฟ่

Charlee and Friends เริ่มต้นจากการทำคาเฟ่โกโก้ในจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นแหล่งปลูกโกโก้คุณภาพแห่งหนึ่งในไทย 

วัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากสวนของหนึ่งในผู้ก่อตั้งอย่าง ไอ–ไอศูรย์ มั่นธนาสกุลกรณ์ ซึ่งเริ่มลงทุนปลูกโกโก้เนื่องจากมีโรงงานช็อกโกแลตมาการันตีราคาให้ในราคาสูง แต่ต่อมาเมื่อโรงงานมีปัญหาและไม่สามารถรับซื้อได้ เกษตรกรจึงมีทางเลือกไม่มาก คือหากไม่โค่นทิ้งก็ต้องสร้างรายได้ต่อ 

“ส่วนใหญ่เลือกโค่นทิ้งเพราะกระบวนการในการแปรรูปมันยากมากแล้วใช้ทุนสูง ต้องใช้เทคนิคความรู้เยอะ ส่วนไอเลือกที่จะลองแปรรูปดู เป้าหมายแรกคือแค่จะผลิตออกมาเพื่อส่งเป็นซัพพลายให้ตามร้านคาเฟ่” กานต์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเล่าถึงปัญหาของเกษตรกรสวนโกโก้ ณ ตอนนั้น

Charlee and Friends คาเฟ่โกโก้ที่กำแพงเพชรจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นโชว์รูมให้สินค้าจากสวนของเกษตรกรที่ปลูกเองตั้งแต่ต้นน้ำได้เฉิดฉาย ประกอบกับในช่วงนั้น ตลาดนัดจ๊อดแฟร์ที่กรุงเทพฯ ใกล้จะเปิด ไอจึงชวนเพื่อนอีก 2 คนคือ กานต์–วรภาส สุวรรณทศ และ เปรี้ยว–ณัชชา กุลหงวน ที่ขณะนั้นเพิ่งออกจากงานประจำให้ลองขายของด้วยกันและสร้างแบรนด์ใหม่สำหรับเปิดในกรุงเทพฯ 

Charlee and Friends จึงเกิดขึ้นโดยมีไอทำระบบหลังบ้านและจัดการเรื่องวัตถุดิบ กานต์เป็นคนประสานงานกับห้างสรรพสินค้า หาโลเคชั่น และติดต่อกับแบรนด์ต่างๆ ในการคอลแล็บ ส่วนเปรี้ยวดูแลเรื่องอาร์ตของแบรนด์ การทำบัญชี และทำส่วนแอดมิน

“ตอนแรกผมแค่อยากทำเป็น passive income เล็กๆ น้อยๆ แล้วกลับไปทำงานประจำต่อ แต่ตอนเปิดเนี่ยยอดดีมากแบบเกินเป้าไปเยอะเลย ผมก็เลยคิดว่าแบบนี้สบายแล้ว ไม่ใช่ขำๆ แล้ว”

ออกร้านในกรุงเทพฯ เพียงครั้งแรกก็ทำยอดขายได้ทะลุเป้าขนาดนี้ สำหรับแบรนด์ที่เพิ่งเริ่มต้นคงไม่มีอะไรจุดประกายความหวังได้เท่านี้อีกแล้ว แต่เส้นทางของแบรนด์เกิดใหม่ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

“หลังจากนั้นก็ขาดทุนยับเลยครับ เหลือวันละประมาณ 500 วันละพัน วันละศูนย์ก็มีบ่อย” 

แต่ด้วยความไม่อยากยอมแพ้ Charlee and Friends เลยเปลี่ยนแผนโดยขยับตัวเองไปอยู่ตามบูทในห้างสรรพสินค้าและงานอีเวนต์ต่างๆ และยังคงใช้แผนนี้มาจนถึงปัจจุบัน

เครื่องดื่มที่อยากเสิร์ฟทุกความต้องการ และใช้ทุกส่วนของเมล็ดโกโก้

นอกจากเส้นทางการสร้างแบรนด์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว ความหลากหลายของโปรดักต์ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน 

Charlee and Friends แบ่งเมนูเครื่องดื่มออกเป็น 3 หมวด คือโกโก้ ช็อกโกแลต และชาโกโก้ โดยแต่ละหมวดหมู่ก็จะมีเมนูแยกย่อยลงไป มีทั้งรูปแบบผงช็อกโกแลตที่นำไปชงเองที่บ้าน ช็อกโกแลตก้อนสำหรับทานเป็นสแน็ก หรือเปลือกโกโก้สำหรับชงชาโกโก้แบบใส ซึ่งมีวางขายอยู่ที่หน้าร้านทุกตัว 

แต่การจะเริ่มต้นขายช็อกโกแลตที่มีรสชาติซับซ้อน ไม่ได้มีแค่ความหวานแบบช็อกโกแลตที่หลายคนคุ้นเคยตั้งแต่เยาว์วัย อาจจะยาก การขายควบคู่กับสิ่งที่คนคุ้นเคยอย่างโกโก้จึงเป็นทางออก 

“พอเริ่มทำก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ตลาดตอนนั้นยังไม่ได้ยอมรับ ยังไม่รู้จักช็อกโกแลต specialty เพราะว่าส่วนใหญ่มันจะติดเปรี้ยวนิดหนึ่ง เหมือนกับกาแฟเปรี้ยวที่จะมีเทสต์โน้ตเลยทำควบคู่กับโกโก้ 

“คือถ้าเป็นช็อกโกแลตจะมีเทสต์โน้ตชัด ถ้าเป็นโกโก้จะเข้มข้นหวานมันอย่างที่ส่วนใหญ่คนรู้จัก เราก็เลยทำตัวโกโก้ที่มีสารอาหารสูงขึ้นมาเพื่อให้จับกลุ่ม everyday drink ได้มากขึ้น”

ขยายความจากคำบอกเล่าของกานต์ ทั้งช็อกโกแลตและโกโก้นั้นมีที่มาจากวัตถุดิบเดียวกันคือผลจากต้นโกโก้ (cacao) ซึ่งข้างในลูกโกโก้จะมีเมล็ดอยู่ ถ้านำเมล็ดนั้นมาทำตามกระบวนการก็จะได้ช็อกโกแลตออกมา

ช็อกโกแลตที่ได้มาจากขั้นตอนนี้จะมีรสชาติเปรี้ยว เข้ม และมีเอกลักษณ์ของรสชาติตามแต่ละพื้นที่ที่ปลูก อย่างเช่นรสชาติของผลไม้หรือกลิ่นของดอกไม้ ส่วนโกโก้คือผลผลิตจากการดึงไขมันดีบางส่วนออกจากช็อกโกแลตจนได้เป็นผงโกโก้สำหรับชงดื่ม ผงโกโก้จากขั้นตอนนี้แม้จะเสียรสชาติเอกลักษณ์อย่างช็อกโกแลตไป แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสารอาหาร เช่น สารต้านอนุมูลอิสระที่มากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 

 ด้วยความรู้จากการเป็นเกษตรกรที่ทำแบรนด์เอง โปรดักต์ของ Charlee and Friends จึงพยายามเสิร์ฟผลิตภัณฑ์จากต้นโกโก้ให้ครบถ้วน ตั้งแต่ชาโกโก้ที่ได้จากการแปรรูปเปลือกโกโก้ซึ่งเป็นการค้นพบจากการที่เกษตรกรที่ไม่อยากทิ้งส่วนเปลือกไปเฉยๆ ทั้งยังมีเครื่องดื่มซิกเนเจอร์โกโก้ และดาร์กโกโก้ที่หวานน้อย มีสารอาหาร และดื่มง่าย จนถึงเมนูสลัชชี่หรือโกโก้แบบปั่นที่กลายเป็นเมนูขายดีของร้านและเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ตอยู่พักใหญ่

“สลัชชี่เนี่ย จริงๆ ผม 3 คนไม่ชอบทานปั่นเลย ตอนทำก็เลยทำโดยการที่กะๆ เอาว่าคงประมาณนี้แหละ แล้วก็ต้องทำ sample taste เพราะว่าเมนูส่วนใหญ่ที่ร้านพวกเราจะ R&D กันเอง แต่สลัชชี่เป็นการเดาเลยเพราะว่าปกติไม่ทาน ก็เลยลองแจกชิมเยอะมาก” ส่วนช็อกโกแลต ทางร้านใช้ช็อกโกแลตจากจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนของไอ และมีช็อกโกแลตจากจังหวัดตากเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ทั้ง 2 แหล่งให้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ต่างกัน 

นอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลตในชื่อ Central North ที่เกิดจากการเบลนด์ผลผลิตจากทั้ง 2 จังหวัดเข้าด้วยกัน ช็อกโกแลตตัวนี้ยังไปคว้ารางวัลเหรียญทองแดงจากเวที World Craft Drinking Chocolate Competition 2024 ประเทศอิตาลีมาแล้ว ส่วนช็อกโกแลตจากจังหวัดตากก็ไปได้เหรียญเงินในเวที Academy of Chocolate ที่ประเทศอังกฤษ สาขา Plain Chocolate Drink มาเช่นกัน

นอกจากความอร่อยเข้มข้นแล้ว อีกสิ่งที่ทั้งสามคนเน้นคือเรื่องสุขภาพ เช่น โกโก้ที่หลังจากผ่านหลากหลายกระบวนการแล้วจะมีสารอาหารสูงขึ้น หรือชาโกโก้ที่ชงจากส่วนเปลือกที่มีสารอาหารและช่วยเรื่องการนอนหลับ ที่สำคัญ เมนูเครื่องดื่มของ Charlee and Frineds ยังมีรสหวานน้อยเพื่อให้ดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น  

นอกจากเมนูใหม่ๆ ที่เกิดจากลูกค้า Charlee and Friends ยังทำให้เมนูของตัวเองน่าสนใจและสดใหม่ยิ่งขึ้นผ่านการคอลแล็บกับแบรนด์สุดพรีเมียม อย่าง Montagne ร้านไอศครีมโดยเชฟปูน–ภูผา ชุณหรัศมิ์ เจ้าของรางวัล Sweet Chef TH จนได้เป็นเมนู Dirty Slushy สลัชชี่โกโก้จาก Charlee and Friends ท็อปด้วยท็อปปิ้งสุดพรีเมียมจาก Montagne ซึ่งการคอลแล็บก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทางแบรนด์คาดหวังว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าและทำให้ Charlee and Friends ได้เข้าไปอยู่ในสายตาของลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นั่นเอง

PRICE
คุณภาพระดับโลกในราคาเข้าถึงได้

Charlee and Friends สังเกตและจดจำได้ง่ายๆ จากโลโก้ตัวการ์ตูนสีแดงที่สอดแทรกในทุกอณูของสินค้าและการตกแต่งหน้าร้าน 

กานต์เล่าว่า ที่มาของโลโก้และสีสันนั้นไม่ซับซ้อน เริ่มต้นจากศิลปินนักวาดนำวันเกิดของทั้ง 3 คนไปตรวจหาสีมงคล พอได้ออกมาเป็นสีแดงจึงเกิดเป็นโลโก้ตัวการ์ตูนที่แค่อยากให้ออกมาดูน่ารักอย่างไม่มีนัยสำคัญอะไร 

แต่ก็เกิดเป็นคำถามว่า ในเมื่อโลโก้ออกมาน่ารักตามสไตล์เจนฯ Z ขนาดนี้ ทางแบรนด์หวังว่าเจนฯ Z เป็นกลุ่มลูกค้าหลักหรือเปล่า 

“ตอนแรกคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น คิดว่าลูกค้าจะเป็นวัยรุ่นตั้งแต่มัธยมปลาย มหาลัยจนถึง first jobber แต่พอเปิดมาจริงๆ ลูกค้าหลักคือ first jobber พนักงานออฟฟิศ ที่น่าแปลกใจที่สุดคือลูกค้ากลุ่มใกล้เกษียณจนถึงเกษียณไปแล้ว ก็เป็นลูกค้าประจำพอสมควร ประมาณ 30% เลย” 

ระหว่างที่เราสนทนากันนั้นเอง คนที่หยุดมองหน้าร้าน บ้างก็เดินเข้ามาซื้อกลับบ้านกลับเป็นคุณลุงคุณป้าสูงวัย 

ถึงจะได้ลูกค้ากลุ่มที่ไม่คาดฝันมา แต่นั่นไม่ได้ส่งผลต่อการตั้งราคาของ Charlee and Friends สักเท่าไหร่ เพราะความตั้งใจแรกคือการทำให้เป็นเครื่องดื่มที่เข้าถึงง่ายที่สุด แม้ในช่วงที่ราคาช็อกโกแลตในตลาดพุ่งสูง

“เราอยากทำราคาให้มันเข้าถึงง่ายที่สุดอยู่แล้วตั้งแต่แรก ทำให้เป็น everyday drink มันก็มีอย่างเช่นตอนที่ราคาตลาดโลกขึ้นไปเกิน 100% เราก็พยายามยื้อ พยายามไม่ขึ้น ทุกวันนี้อย่างช็อกโกแลตราคาแก้วละ 160 ก็จัดว่าราคาสูง แต่ว่าถ้าเปรียบเทียบกับกระบวนการและสารอาหารที่ได้ มันก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล แต่ก็คือเกิดการ adjust เพราะว่าเราพยายามจะทำให้มันถูกที่สุดอยู่แล้ว”

เครื่องดื่มของ Charlee and Friends เริ่มต้นที่ 65 บาทกับเมนูชาโกโก้ ส่วนเครื่องดื่มโกโก้นมรสหวานมันเริ่มต้นที่ 75 บาทกับเมนูซิกเนเจอร์โกโก้ และสลัชชี่โกโก้ที่มี 2 ขนาดให้เลือกคือไซซ์เล็ก 90 บาท ไซซ์ปกติ 120 บาท นอกจากนี้ ก็มีเมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลตที่ใช้ตัว Central North ในการชง ขายในราคา 140 บาท 

ถึงแม้ว่าหลายเมนูของร้านจะมีราคาสูงกว่าโกโก้และช็อกโกแลตที่เราคุ้นเคยกับตามร้านคาเฟ่ทั่วไป แต่ทั้งหมดนี้คือเมนูที่ผ่านกระบวนการที่ถูกคิดมาอย่างตั้งใจ เพื่อให้เป็นคราฟต์โกโก้คุณภาพทั้งรสชาติความอร่อยและสารอาหาร

PLACE
ขยายสาขาและขยันออกอีเวนต์เพื่อสร้างการรับรู้

ด้วยความต้องการเป็น everyday drink ของเหล่าผู้บริโภค Charlee and Friends จึงพยายามปรากฏตัวให้ผู้คนได้เห็นผ่านตาและได้ลองแวะเข้ามาลิ้มรสตามงานอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับคราฟต์โกโก้ ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มต่างๆ  

อย่างงานใหญ่ล่าสุดที่ได้เปิดบูทคือ Thailand Craft Cocoa 2025 ซึ่งเป็นงานที่รวมร้านคราฟต์โกโก้มากที่สุดแห่งปี ทางแบรนด์ยังคงมีแพลนว่าจะไปออกบูทในงานทั่วประเทศ ในปี 2025 ก็ได้ไปงาน Thailand Coffee Hub ที่จังหวัดขอนแก่นมาแล้ว ส่วนงานใหญ่อีกงานที่จะสามารถเจอกับ Charlee and Friends ได้ก็คือ Thailand Coffee Fest นั่นเอง 

“ไปบางพื้นที่คนก็อาจจะไม่รู้จัก กลุ่มลูกค้าอาจจะไม่ได้ตรงมาก แต่ถือเป็นการเซอร์เวย์เพื่อวางแผนเปิดสาขาในอนาคต” 

ในตอนนี้ Charlee and Friends กำลังวางแผนจะขยายสาขาไปในพื้นที่ที่มีประชากรเยอะและมีกำลังซื้อ เช่นตามออฟฟิศ ชุมชน แต่ยังคงเน้นห้างสรรพสินค้าเป็นหลักเพราะมีคนพลุกพล่านอยู่ตลอด โดยตั้งเป้าในกรุงเทพฯ และละแวกใกล้กับสาขาแรกก่อน เพื่อให้การขนส่งง่าย 

PROMOTION
สื่อสารความเป็น top-of-mind เรื่องคราฟต์โกโก้

“เป้าหมายหลักก็คือทำให้เป็น top-of-mind ของคราฟต์โกโก้กับ specialty ช็อกโกแลต ส่งประกวดระดับโลกต่อไป” 

การเป็น top-of-mind ในเรื่องคราฟต์โกโก้คือเป้าหมายใหญ่ของ Charlee and Friends ส่วนการขยายสาขาก็เป็นหนึ่งในแผนการที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น นอกจากนี้ ทั้งสามคนยังไม่หยุดนิ่งแค่การเป็นโกโก้คุณภาพดีในไทย แต่ยังคิดไปถึงการผลักดันให้โปรดักต์ได้รับการการันตีคุณภาพในระดับสากล

“มันเป็นเหมือนการตรวจสอบมาตรฐานที่เราจะได้คำแนะนำในการพัฒนาแบรนด์หรือกระบวนการต้นทางต่อไป แล้วก็ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องมาร์เก็ตติ้งด้วยว่า มีตราที่ทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเราได้รับการยอมรับในระดับโลกมาแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มีผลต่อการขายเหมือนกัน” 

ถึงแม้จะมีตราที่การันตีคุณภาพ แต่หากไม่ได้รับการสื่อสารออกไปก็คงไม่อาจทำให้เกิดการรับรู้ของคนทั่วไปได้ อีกสิ่งที่ Charlee and Friends เห็นว่าสำคัญคือการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ของวงการนี้ต่อไป 

งานอีเวนต์ที่เกิดขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคได้มากขึ้นแน่นอน มันยังทำให้คนที่มีความชอบเดียวกันได้มารวมตัวกัน ทั้งคนขายและผู้บริโภค เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน อัพเดตเทรนด์ใหม่ๆ ร่วมกัน จนบางครั้งก็อาจเกิดการจับมือเพื่อต่อรองกับซัพพลายเออร์ร่วมกันได้เลย”

PEOPLE
ธุรกิจที่ทุกคนได้เติบโตไปพร้อมกัน 

“ตอนแรกคิดเป็น purple นะ แต่ไม่มีสาระอะไรเลย” กานต์ตอบติดตลก เมื่อเอ่ยถามถึงอีก P ที่สำคัญในการทำ Charlee and Friends 

“จริงๆ ก็เป็น people ทั้งทีมงานหลังบ้าน ต้นน้ำเกษตรกรที่เราร่วมงานกัน ตอนแรกๆ ที่ทำแบรนด์ อย่างหนึ่งที่รู้สึกปลื้มใจมากคือเราให้เงินเดือนน้องๆ ในระดับที่เขาใช้ชีวิตอยู่ได้ ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีเงินให้ตัวเองด้วยนะแต่เห็นแล้วมันมีความสุข 

“เราเลยอยากยกระดับทุกๆ คนที่ร่วมงานให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเขาตั้งใจทำงาน เราเลยอยากให้ตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นไปกับเราด้วย”

อย่างที่เล่าว่า Charlee and Friends มีจุดเริ่มต้นจากความอยากแก้ปัญหาให้เกษตรกรต้นทาง เลยไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์จะให้ความสำคัญกับผู้คนที่อยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต แต่นอกจากนั้นก็ยังมี people อีกฝั่งที่สำคัญกับ Charlee and Friends

“people ของฝั่งผู้บริโภคก็สำคัญ มันไม่ใช่แค่ทำธุรกิจเพื่อหวังกำไร แต่ว่าความสุขระหว่างทาง กำลังใจจากผู้บริโภค ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรายังไม่เลิกทำ เราต้องขอบคุณทั้งสองฝั่งที่ทำให้แบรนด์ยังไปต่อได้ 

“ตอนนี้เกษตรกรที่เราดีลและรับซื้ออยู่ เราก็ทำสัญญายาวว่าถ้าทำคุณภาพได้ก็เอาหมดเลย แล้วเรายังให้ความรู้เขาในเรื่องกระบวนการต่างๆ เพื่อลด loss ระหว่างทาง เรายังซื้อเขาในราคาที่สูงกว่าตลาด เป็นการยกระดับไปด้วย

“เราทำให้แบรนด์อยู่อย่างยั่งยืน อาจจะไม่ต้องหวือหวามาก แต่เราก็พยายามจะทำเครื่องดื่มคุณภาพที่มีสารอาหารอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ”