คุยกับหัวเรือใหญ่ Upbit Thailand แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยากให้ลูกค้าลงทุนอย่างปลอดภัยและมีความรู้

ในยุคที่ทางเลือกในการลงทุนมีความหลากหลาย หากสังเกตจะเห็นว่าหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตและน่าจับตามองที่สุดในยามนี้คืออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล

เมื่ออุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงขึ้น มีผู้ลงทุนแข่งขันกันมากมาย หลายคนจึงมองหาตัวช่วยเพื่อให้การลงทุนเป็นไปได้ดีมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Upbit ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ก่อตั้งครั้งแรกในประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี 2017 

หลายปีผ่านไป Upbit ได้ขยับขยายการให้บริการไปยังหลายประเทศซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่เปิดให้บริการภายใต้ชื่อ Upbit Thailand เมื่อปี 2021 โดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายไทย อย่างไรก็ดี Upbit Thailand ไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจแก่นักลงทุน แต่ยังเป็นศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมาตรฐานและมีความปลอดภัยที่สามารถช่วยให้นักลงทุนลด ‘ความเสี่ยง’ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการการลงทุน ไม่เพียงแค่เรื่องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ในวาระที่ Upbit Thailand ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 คอลัมน์ Play Risk ชวนคุณปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (CEO) บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด มาคุยกันถึงเบื้องหลังการให้บริการแพลตฟอร์มที่เป็นที่รักของนักลงทุนหลายคน แนวคิดในการออกแบบบริการของพวกเขา ความท้าทายในการทำธุรกิจ และการบริหารความเสี่ยงของนักลงทุนหน้าใหม่ ในยุคที่ใครๆ ก็อยากกระโดดเข้ามาลงทุนกันทั้งนั้น

ปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสากลเป็นยังไงบ้าง

เวลาพูดถึงสินทรัพย์ดิจิทัล คนมักนึกถึงบิตคอยน์ เพราะด้วยราคาที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากเริ่มกลับมาสนใจอีกครั้ง ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีทั้งที่เกิดจากปัจจัยเชิงบวกและเชิงลบ และมักจะเกิดขึ้นจากข่าวต่างๆ ซึ่งเป็นตัวผลักดันกระแสในหมู่ผู้ลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ให้เข้ามาทำการซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ปริมาณการเทรดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าจับตามอง อย่างไรก็ดี สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่เหมาะกับคนที่รู้จักและเข้าใจสินทรัพย์ดิจิทัล คำว่ารู้จักหมายถึงรู้ว่ามันคืออะไร ลงทุนด้วยวัตถุประสงค์อะไร 

หากเรามีสินทรัพย์สักก้อนแล้วอยากนำมาลงทุนกับสินทรัพย์ดิจิทัล จริงๆ ทำได้หลายวิธี ซึ่งวิธีที่คนส่วนใหญ่ทำคือการจัดสรร (allocation / diversification) ทรัพย์สินที่ตัวเองมีมาลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง เพราะราคาที่สูงสุดกับต่ำสุดในหนึ่งวันอาจห่างกันเกินกว่า 30% ได้เลย ดังนั้นถ้าเราลงทุนเยอะอาจมีโอกาสที่จะเสียหายเยอะ อีกวิธีการหนึ่งคือการใช้อัลกอริทึมมาจับเทรนด์แนวโน้มของราคาแล้วลงทุน โดยใช้โรบอตในการเทรด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการว่ามีอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ให้กับนักเทรดหรือเปล่า

ที่บอกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง สูงอย่างไร

เริ่มจากตัวสินทรัพย์ดิจิทัลเอง ถ้าตลาดหรือศูนย์ซื้อ-ขายไม่มีการคัดกรองสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะสม สินทรัพย์ดิจิทัลที่นำมาให้บริการอาจมีคุณลักษณะที่ไม่ดีพอ

ลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดี ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าถ้ามันมีจำนวนเจ้าของมาก (decentralisation) และผู้ออกเหรียญไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) และผู้ออกเหรียญมีประสบการณ์การทำงาน ตลอดจนสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ถูกให้บริการและเทรดอยู่ในหลายตลาด มันก็ไม่สามารถปั่นราคาหรือทำให้กลไกตลาดบิดเบือนได้ง่าย สินทรัพย์ดิจิทัลก็จะมีความน่าเชื่อถือสูงและมีความโปร่งใสต่อผู้ลงทุน เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถบริหารความเสี่ยงตรงนี้ด้วยการเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะสมก็จะสามารถลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดกับนักลงทุนได้

ในแง่มูลค่า สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง

สิ่งที่จะนิยามมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่คืออุปสงค์และอุปทานของตลาด ซึ่งเกิดขึ้นหลายรูปแบบ อุปสงค์อาจจะเกิดจากการแย่งกันซื้อเพราะเห็นโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้จริงๆ

ถามว่าแล้วสินทรัพย์ดิจิทัลเอาไปใช้จริงๆ ได้เหรอ ทุกวันนี้ก็มีการใช้อยู่ทั่วโลก ทั้งใช้โอนเงินระหว่างประเทศ ใช้ในการแลกเปลี่ยน หรือแลกสินค้าและบริการ คุณสมบัติ ฟีเจอร์ หรือสิทธิ์บางอย่าง ซึ่งถ้ามีปริมาณการใช้เยอะ มันก็จะเกิดการแข่งกันเข้าไปซื้อ พอแข่งกันเข้าไปซื้อ ราคาก็จะสูงขึ้น

ถ้าให้ผมเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนตลาดของเงินตรา เงินตราเนี่ยจะออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ถูกนำมาใช้ใน 2 ลักษณะคือเอามาชำระหนี้ตามกฎหมายและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ เวลามีการนำเข้าและส่งออก เขาจะใช้เงินตราในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ซึ่งถ้ามีการส่งออกเยอะแปลว่าค่าเงินของเราเป็นที่ต้องการ ราคาค่าเงินจะแข็งขึ้น ถ้านำเข้าเยอะกว่าค่าเงินเราจะอ่อนลง ดังนั้นเงินตราจะมีการเพิ่มขึ้นและลดลง กระบวนการซื้อ-ขายจากการนำเข้าและส่งออก ในภาษาทางการเงินเราเรียกว่า trade finance ซึ่งมีคนที่เก็งกำไรจากค่าเงินที่เพิ่มและลด 

สินทรัพย์ดิจิทัลก็เช่นกัน ถึงแม้จะมีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่คนก็ไปเก็งกำไรกับมัน จนทำให้ตลาดและปริมาณซื้อ-ขายเพิ่มจำนวนขึ้น เมื่อความต้องการสูงขึ้น ราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ และถือว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่เติบโตเร็ว

ในมุมมองของคุณ สินทรัพย์ดิจิทัลมีอิทธิพลต่อโลกของเราในแง่ไหน

ทุกวันนี้มีความพยายามจะสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล เดิม ตอนที่บิตคอยน์เกิดขึ้น มีฟีเจอร์แค่รับและส่ง ต่อมาเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เกิดขึ้น เขาก็มีการเพิ่มเรื่อง smart contract มีเงื่อนไขมาปรับปรุงเรื่องความสามารถในการประมวลผลและความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเอาสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้กับอัลกอริทึมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริการทางการเงิน เช่น บริหารจัดการลิขสิทธิ์หรือคาร์บอนเครดิต

เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันก็จะเกิดผลกระทบใหญ่ เพราะความสามารถในการสเกลธุรกิจของบล็อกเชนนั้นง่ายกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม ถามว่าง่ายแค่ไหน ผมเทียบว่าการออกบัตรเครดิตหนึ่งใบ ถ้าจะซื้อ-ขายกับร้านไหน ผมจะต้องไปติดต่อร้านค้าให้รับบัตรผม (merchant acquiring) แต่ถ้าบัตรนี้มีการซื้อ-ขายอยู่ในตลาด ร้านที่รับบัตรผมสามารถไปเบิกเงินจากใครก็ได้ ซึ่งในที่นี้คือศูนย์ซื้อ-ขายหรือนายหน้าที่มีการซื้อ-ขาย ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปติดต่อร้านค้า และร้านค้าสามารถเบิกเงินสดได้ทันที ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้ทำให้เราสามารถสเกลธุรกิจออกไปได้เร็วขึ้น

แพลตฟอร์มลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในโลกมีมากมาย Upbit Thailand แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ ยังไง

เริ่มจากการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำมาซื้อ-ขาย เราเลือกอย่างระมัดระวัง กฎของเราข้อแรกคือ founder ต้องน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ในการทำงาน ข้อสองคือมีการไหลเวียน (circulation) ในตลาด เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนที่มีโอกาสได้เปรียบคนอื่น (ในการเข้าถึงหรือได้สินทรัพย์ดิจิทัลมาก่อน) สามารถขายทำกำไรได้ และสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นถูกลิสต์อยู่ในหลายตลาดแล้วหรือยัง รวมทั้งมีปริมาณการซื้อ-ขายมากน้อยแค่ไหน เพราะรายได้ของเราเกิดจากปริมาณการซื้อ-ขาย ถ้าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เป็นที่นิยม บางครั้งการลิสต์ก็ไม่เกิดประโยชน์

นอกจากการเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะสม เราสร้างระบบที่มีความปลอดภัย มีการเฝ้าระวังธุรกรรมต่างๆ ให้มันเป็นไปโดยกลไกตามตลาดธรรมชาติ ถูกต้อง และเหมาะสม รวมถึงไม่เป็นเครื่องมือของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ แล้วระบบก็มีเสถียรภาพ มีทางเลือกที่หลากหลาย

คนที่ใช้ระบบของเราสามารถเทรดผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเรามีฟีเจอร์และ API (Application Programming Interface: API  ตัวกลางที่ช่วยให้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้) ให้ผู้ลงทุนมืออาชีพได้เลือกใช้มากมายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลาย ในขณะเดียวกันเราคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ปกป้องสิทธิ์ลูกค้า รวมถึงป้องกันไม่ให้อาชญากรใช้บริการทางการเงินของเราไปทำอาชญากรรมทางการเงิน

ฟังดูเหมือนหัวใจหลักของ Upbit Thailand คือความปลอดภัย

เราถือเรื่องความปลอดภัยเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ โดยฟังก์ชันเรื่องความปลอดภัยของเราเริ่มตั้งแต่เราปฏิบัติตามกฎหมายไทย ถ้ากฎหมายให้ทำอะไร เราดำเนินตามขั้นตอนทั้งหมด ส่วนที่สองคือเลือกใช้ service provider (ผู้ให้บริการ) ที่เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานทางวิชาชีพมาให้บริการคุ้มครองเรา มีตั้งแต่กลไกในการปกป้องคุ้มครองธุรกรรมไปจนถึงกระบวนการตรวจสอบธุรกรรม แม้กระทั่งการตรวจสอบและวิเคราะห์หลักฐาน (forensic) ซึ่งก็คือหากเกิดเหตุอะไร เรายังสามารถตรวจสอบได้ และเราเป็นสมาชิกในกลุ่มเครือข่ายของผู้ประกอบธุรกิจที่มีมาตรการเพื่อป้องกันธุรกรรมโดยอาชญากรด้วย Travel Rule (ข้อกำหนดที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเก็บและส่งข้อมูลของผู้ทำธุรกรรม (ทั้งผู้ส่งและผู้รับ)) รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขให้ลูกค้าของเราจำเป็นต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนจริงๆ (Dip-Chip verification) ตั้งแต่แรกเริ่ม ถ้าเขาไม่ยืนยัน บัญชีก็จะใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยของเราไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่รวมถึงกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ ประสบการณ์ของบุคลากรและเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศที่เราร่วมมือกันเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยของธุรกรรมมากที่สุด

หนึ่งในประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลคือการฉ้อโกงผ่านคริปโต เราจะป้องกันตัวจากเรื่องนี้ได้ยังไง

นี่คือหนึ่งในอาชญากรรมทางการเงินที่เราอยากให้ป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่อาชญากรจะหลอกให้ลงทุน วิธีของเขาคือการทำเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอมขึ้นมา โดยเอาชื่อเสียงของผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือหรือใบอนุญาตไปอ้างอิงกับลูกค้าเพื่อหลอกให้เขาลงทุน หรือบางทีก็มาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในเชิงโรแมนซ์ พอเริ่มรู้จักไว้เนื้อเชื่อใจกันก็โน้มน้าวให้เหยื่อลงทุนดู เราเจอเรื่องนี้ประจำ

สิ่งที่ลูกค้าทำได้คือการติดตั้งซอฟต์แวร์จาก App Store หรือ Play Store โดยตรง ส่วนผู้ให้บริการที่ไม่รู้จัก อย่างน้อยที่สุดคุณต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ถ้าเรารู้จักจัดการความเสี่ยง อาจจะลองทำในปริมาณน้อยๆ เพื่อลอง เป็นความเสี่ยงที่เรารับได้ก็โอเค แต่ถ้ามันเริ่มมากขึ้น เราต้องเตือนตัวเองว่าเราจะก้าวข้ามเส้นที่เราตั้งขึ้นมาแล้วจริงเหรอ เพราะถ้าเราลองเสี่ยงเมื่อไหร่ นั่นแปลว่าเราพร้อมจะรับความเสี่ยงที่ตามมา มันอาจกลายเป็นความเสียหายมากกว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้เยอะ สิ่งเหล่านี้ควรเป็นเรื่องที่ทุกคนตระหนักว่าทำยังไงถึงจะไม่เชื่อถือบริการหรือการหลอกลวงต่างๆ ที่มันมีมากมาย

นอกจากนี้ Upbit Thailand ยังพยายามปรับตัวให้รองรับผู้ลงทุนเทรดเดอร์มืออาชีพด้วย เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าฟังก์ชันต่างๆ ที่เกิดขึ้นคืออะไร

ผู้ลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่เขาเทรดด้วยอัลกอริทึม (คำสั่งซื้อ-ขายที่ถูกสร้างขึ้นโดยชุดคำสั่งจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์) จะใช้ API เป็นส่วนใหญ่ เราจึงใช้ API มาตรฐานโลกที่สามารถรองรับธุรกรรมได้เป็นจำนวนมากๆ มีการประมวลผลธุรกรรม (transaction) ต่อวินาทีสูง
ที่ Upbit เราให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เราอยากให้พวกเขามีทางเลือกมากกว่า เพราะฉะนั้นเราจึงมีคำสั่งที่หลากหลาย ไล่ตั้งแต่ลิมิตออร์เดอร์ มาร์เก็ตออร์เดอร์ สต็อปลิมิต แต่คำสั่งเหล่านี้เราก็มีการขออนุญาตหน่วยงานที่กำกับดูแลให้เสนอเป็นบริการเพิ่มเติมกับลูกค้า ถ้าทางสำนักงาน ก.ล.ต.เห็นชอบ เราก็เริ่มเปิด ที่ผ่านมาเราดำเนินการเรื่องนี้ทีละขั้นตอนและได้รับอนุญาตในการนำเสนอลักษณะคำสั่งที่แตกต่างกัน ในอนาคตก็จะมีลักษณะคำสั่งใหม่ๆ มาเพิ่ม

ถ้ามีนักลงทุนเทรดที่อยากลองลงทุนมาขอคำแนะนำสักข้อ คุณจะแนะนำอะไรกับเขา

แนะนำให้เรียนรู้ก่อน เพราะหลายคนมักไม่อ่าน มักจะฟัง คนที่ลงทุนด้วยหูมักจะเสียตังค์ คุณต้องสร้างความรู้ให้ตัวเองด้วยการอ่าน ด้วยการไปเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คุณต้องมีข้อมูลก่อน เพราะคนที่ไม่มีข้อมูลจะกลัว แต่พวกที่กล้าเสี่ยงเนี่ยเขาจะไม่กลัวอะไรเลย มันเหมือนห้องนอนที่เราดับแสงไฟ ถ้ามันเป็นห้องนอนที่เราเข้า-ออกประจำ เรารู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ประมาณกี่ก้าว คุณจะมั่นใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากกลัว คุณจงศึกษามันให้เข้าใจก่อนจะลงทุน พอคุณเข้าใจมันแล้ว ถ้าขาดทุนคุณก็จะไม่รู้สึกแย่เท่ากับคุณไม่เรียนรู้อะไรเลย

สเตปต่อไปคือการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ และเลือกผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ อย่างประเทศไทยก็มีสำนักงาน ก.ล.ต.เป็นหน่วยงานกำกับดูแลอยู่ แต่คำว่าน่าเชื่อถือไม่ได้แปลว่าคุณเทรดกับผู้ให้บริการเหล่านี้โดยไม่มีความเสี่ยงด้านการลงทุน การลงทุนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยง แต่ถ้าเราบริหารความเสี่ยงกับผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ อย่างน้อยพอเกิดปัญหาจะได้มีคนรับผิดชอบได้

ในมุมมองของคุณ จุดไหนเป็นจุดที่อุตสาหกรรมการลงทุนในบ้านเรายังขาด ควรมีการปรับเปลี่ยนหรือเสริมเติมเพื่อให้อุตสาหกรรมยั่งยืนต่อไป

ตอนนี้ทุกคนให้ความสำคัญกับการติดตามความเสี่ยงของธุรกิจในด้านการลงทุน แต่อุตสาหกรรมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของอาชญากรเยอะ สุดท้ายมันจะล่มสลายหากให้ความสำคัญผิดจุด ดังนั้นเพื่อให้เกิดความยั่งยืน เรา (ผู้ประกอบธุรกิจ) ต้องร่วมมือกันเพื่อจับตาดูธุรกรรมให้มีความโปร่งใส เสมือนเงินตรา เราโอนเงินระหว่างประเทศได้ฉันใด สินทรัพย์ดิจิทัลก็ควรจะถูกโอนได้ และใช้มาตรฐานเดียวกันกับเงินสดอย่างมีความปลอดภัยและการกำกับดูแลที่เหมาะสม

นี่คือสิ่งที่ Upbit Thailand รวมถึง Upbit ทั่วโลกพยายามทำมาตลอด เพราะเราอยากเป็นผู้เล่นในระยะยาว การที่เราไปเปิดในหลายๆ ประเทศมันเป็นการแสดงออกให้เห็น เพราะทุกที่ที่เราไป เราได้รับใบอนุญาตทุกที่

ตั้งแต่วันแรกที่เกิด Upbit Thailand จนวันนี้ ธุรกิจนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง

ผมคิดว่าเราออกแบบประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น และเราก็รู้จักลูกค้าและอุตสาหกรรมมากขึ้น อะไรที่เคยเป็นปัญหาอุปสรรค มันก็ทยอยน้อยลง แต่มันก็จะมีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่เราต้องทำคือเราเอาประโยชน์ของลูกค้าและประชาชนในประเทศเป็นสำคัญ 

คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

บุคคลดังกล่าวเป็นผู้บริหารของ บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด และโฆษณานี้ถูกจัดทำโดย บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด”

ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
LINE: http://go.upbit.one/line
Email: [email protected]

‘นมข้นหวาน’ การต่อสู้กับเชื้อโรค วิกฤตนมปลอม และพลังใจในสงครามกลางเมือง 

ปัจจุบัน นมวัวและนมข้นหวานแทบเป็นเรื่องที่แสนจะสามัญ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของหลายคน

การดื่มนมเป็นตัวแทนของการมีสุขภาพดี บางครั้งก็เป็นตัวแทนของความอบอุ่นหัวใจ ส่วนนมข้นหวาน หลายครั้งเป็นเรื่องของรสชาติที่ทำให้เราคิดถึงวัยเด็ก คิดถึงบ้าน แต่กว่าที่ผลิตภัณฑ์นม รวมถึงการที่เราในฐานะประเทศเอเชีย รับวัฒนธรรมการดื่มนมและการทานนมข้นหวานมาปรับใช้นั้นก็มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ

การเอานมไปทำให้ระเหยและเติมน้ำตาล กลายเป็นนวัตกรรมสำคัญในประวัติศาสตร์อาหาร มันไม่เพียงช่วยยืดอายุนมให้เก็บได้นาน แต่ยังกลายเป็นสินค้าส่งออกที่เผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกไปทั่วโลก ว่ากันว่า หนึ่งในเหตุผลที่ฝ่ายเหนือชนะสงครามกลางเมืองอเมริกาได้ ก็เพราะนมข้นหวานที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นอาหารและปลอบประโลมใจท่ามกลางความโหดร้ายของสนามรบ

ด้วยความเข้มข้นที่ใครหลายคนรัก (แม้หมออายุรกรรมจะไม่ปลื้มเท่าไหร่) คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์จึงชวนย้อนกลับไปสำรวจที่มาของนมข้นหวานในกระป๋องโลหะที่เราคุ้นเคย ซึ่งเกี่ยวพันกับการบริโภคนมในอเมริกา ปัญหาการขนส่งนมสดในยุคที่ยังไม่รู้จักแบคทีเรีย รวมถึงการทำน้ำนมปลอมที่เคยทำให้อัตราการเสียชีวิตของทารกในเมืองพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ

นมวัวในเมือง คือเรื่องเป็นตาย

เมื่อพูดถึงการก่อตัวของเมือง เรามักนึกถึงภาพใหญ่ เช่น เมืองขยายตัว คนหลั่งไหลเข้ามาทำงาน การมาถึงของทางรถไฟ แต่ในระดับเล็กกว่านั้น สิ่งที่อยู่ในตู้เย็นอย่างนมวัวหรือนมข้น ก็บอกเล่าอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน เพราะมันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและรูปแบบครัวเรือนในบริบทของความเป็นเมืองที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป 

ในช่วงศตวรรษที่ 19 ในอเมริกา วัวนมเป็นสิ่งที่บ้านต่างๆ จะเลี้ยงไว้ และนมวัวเป็นหนึ่งในอาหารหลักสำคัญของครอบครัว โดยเฉพาะทารกและเด็กตัวเล็กตัวน้อย หรือถ้าไม่เลี้ยงวัว ในชุมชนก็จะมีวัวเลี้ยงและน้ำนมโคดิบให้ไปซื้อหรือนำมาส่งได้โดยยังคงความสดใหม่ไว้

เมื่อผู้คนย้ายเข้าสู่เมือง ครัวเรือนรูปแบบใหม่ก็เกิดขึ้น ชาวเมืองไม่มีพื้นที่เลี้ยงวัวเอง แต่ยังต้องการนมไว้เลี้ยงลูก ในศตวรรษที่ 19 เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กจึงมีฟาร์มวัวในเมืองเกิดขึ้น แต่ปัญหาของวัวในเมืองคือไม่มีทุ่งหญ้าให้วัวกิน คนเลี้ยงวัวจึงใช้ของเหลือจากโรงบ่มเหล้า เช่น กากน้ำตาลและเศษอาหารไร้คุณภาพ มาเป็นอาหารวัวแทน

เวรกรรมตกมาสู่ทั้งวัว ทั้งคนกิน เพราะคุณภาพน้ำนมวัวที่กินอาหารแย่ๆ ก็เลยใส ใสไม่พอ ยังออกสีอมฟ้าเพราะกินสิ่งที่เหลือจากโรงงาน ผลคือคนเลี้ยงวัวหัวใสเลยย้อมสีนมและทำให้เข้มข้นด้วยปูนปลาสเตอร์ เจือด้วยกากน้ำตาลและสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ อีกนิดหน่อย กลายเป็นข่าวฉาวในทศวรรษ 1850 ซึ่งหมอชี้ว่าอัตราการป่วยตายของผู้คนและทารกในเมืองใหญ่เกี่ยวข้องก้บการปลอมนมนี่แหละ

เรื่องนมๆ ในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็นจึงเป็นอีกสุดยอดปัญหา เพราะวัวนมในเมืองรสชาติไม่ดี ต้องหาทางขนส่งนมจากฟาร์มใกล้ๆ และทำให้นมเหล่านั้นไม่เน่าเสียไปซะก่อน แม้ว่าจะไม่มีการปลอมนมแล้ว การขนนมเข้าในเมืองก็นับเป็นสุดยอดมหากาพย์การแก้ปัญหาและการตอบความต้องการสารอาหารของเด็กๆ ในเมือง 

แม้ว่าในหลายเมืองจะมีรถไฟที่อุทิศโบกี้เฉพาะเป็นโบกี้ขนนม หลายครั้งที่เมื่อนมสดถูกส่งจากฟาร์ม เกษตรกรจะเทนมสดๆ ลงถังเหล็กและขนขึ้นรถไฟ แต่เมื่อมาถึงเมืองเช่นย่านแมนฮัตตัน หรือมาถึงแค่เขตของนิวยอร์ก นมเหล่านั้นก็มักจะบูดเน่า 

การบูดเน่าของนมยังคงเป็นต้นตอปัญหาสุขภาพของเด็กๆ และผู้คนในเขตเมือง

บิดาของนมข้นหวาน

เรายังอยู่กันที่ทศวรรษ 1850 ที่อเมริกา และต้องพูดถึงบิดาของนมข้นหวานคือนายเกล บอร์เดน (Gail Borden) อีกหนึ่งชายหนุ่มที่เป็นทั้งนักประดิษฐ์ เป็นทหารผ่านศึก จนในที่สุดกลายเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการ ซึ่งก็มาจากนมข้นหวานนั่นแหละ

เกล บอร์เดน เป็นคนนิวยอร์ก เกิดที่นิวยอร์ก แต่ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันตามสไตล์วัยรุ่นสร้างตัวในยุคอเมริกันดรีม เป็นครู นักหนังสือพิมพ์ เป็นนักคิด จุดพลิกผันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนมข้นกระป๋องของบอร์เดนสัมพันธ์กับหลายจังหวะของชีวิต 

ตัวบอร์เดนเคยสูญเสียภรรยาจากไข้เหลือง (yellow fever) ที่ระบาดหลายครั้งและเป็นโรคสำคัญที่คร่าคนอเมริกาไป บอร์เดนพยายามศึกษาและทำการทดลองเพื่อรักษาอาการป่วยไข้ ตรงนี้เองเราอาจนึกถึงบริบทเดียวกับที่โลกพยายามเข้าใจโรค เช่น อหิวาต์ การทำแผนที่โรคระบาดของหมอจอห์น สโนว์ ในปี 1854 ท่ีลอนดอน 

เรียกว่าช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่เราเกือบจะมองเห็นเชื้อโรคและระบาดวิทยาแล้ว คุณบอร์เดนเองก็เป็นอีกคนที่อยู่ในพื้นที่ธุรกิจ กิจการและการประดิษฐ์ที่พยายามจะเข้าใจและหาทางรักษาความเจ็บป่วย

ตัวบอร์เดน เป็นนักคิด เป็นนักธุรกิจด้วย มีความสนใจในการผลิตอุตสาหกรรมหรือกิจการที่เกี่ยวกับอาหาร เคยทำขนมจากเนื้อวัวหรือบิสกิตจากเนื้อสัตว์ ซึ่งใช้วิธีถนอมอาหารของชนพื้นเมือง เป็นการทำเนื้อแห้งแบบหนึ่งซึ่งในยุคนั้นมีทั้งการไปขุดทองที่แคลิฟอร์เนีย บอร์เดนก็เห็นว่ามีความต้องการในการส่งอาหารที่กินได้ คงทนไปในพื้นที่ทุรกันดารต่างๆ แต่เนื้อดิบก้อนไม่ประสบความสำเร็จ รสชาติไม่ดี กองทัพเอาไปใช้ก็บอกว่าทำให้คนป่วยหนักถึงขนาดกล้ามเนื้ออ่อนแรง บอร์เดนถึงขนาดยื่นขอล้มละลายจากการลงทุน

จุดพลิกสำคัญซึ่งสัมพันธ์กับกิจการแรกของบอร์เดนคือช่วงที่ลอนดอนจัดงาน expo ในปี 1851 บอร์เดนได้เอาผลิตภัณฑ์เนื้อแห้งไปประกวดในงานแถมได้เหรียญรางวัลด้วย ในปีนี้เองที่ตั้งโรงงาน ซึ่งกิจการเนื้อแห้งทำได้ปีเดียวก็ล้มละลาย 

ทว่าในช่วงที่เดินทางกลับจากลอนดอน บนเรือที่ขนของ ขนปศุสัตว์เพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตนมไว้ในเรือนั้นเอง วัวเกิดล้มป่วย กระทั่งตาย ทำให้เด็กๆ และผู้คนที่ดื่มนมจากวัวนั้นเจ็บป่วย รวมถึงบอร์เดนได้เห็นเด็กๆ หลายคนที่เสียชีวิตลงเพราะการดื่มนม เหตุการณ์นั้นเองที่บอร์เดนหันมาสนใจผลิตและทำให้นมที่คนดื่มกันปลอดภัย มีอายุที่ยาวนาน กินแล้วไม่เจ็บไม่ป่วย สุขภาพแข็งแรง

หม้อตุ๋นยา สู่หม้อตุ๋นนม กับกฎแห่งอนามัยของคนรีดนม

ยุคนั้นมีกลุ่มศาสนาที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณภูเขาเลบานอนในเพนซิลเวเนีย นามว่า The Shakers สามารถกลั่นและสกัดสมุนไพรโดยยังรักษาคุณสมบัติทางยาไว้ได้ 

ทางชุมชนก็เปิดพื้นที่ความลับ เป็นหม้อตุ๋นที่เรียกว่า vacuum pan เป็นหม้อขนาดใหญ่ที่ตุ๋นได้ด้วยอุณหภูมิ (ดูในภาพก็ก้าวหน้าเหมือนระบบหม้อต้มในอุตสาหกรรม) การตุ๋นนี้ทำให้อุณหภูมิในการตุ๋นสมุนไพรทำได้เป็นระยะเวลานาน ทำให้สิ่งที่ต้มอยู่ไม่ไหม้ และทำให้น้ำระเหยออกไปได้

ด้วยการเข้าถึงวิทยาการจากผู้ศรัทธา บอร์เดนก็เอามาคิดค้นและทดลอง ทำเป็นโรงงานซึ่งพังไปและกว่าจะได้นมที่ระเหยน้ำออกไปเป็นนมที่กินได้และอยู่บนชั้นได้โดยไม่เน่าเสีย ก็กินเวลาเกือบสามปี ในปี 1856 บอร์เดนจึงได้รับสิทธิบัตร เปิดโรงงาน และทำกิจการจริงจังกับนมข้นหวานในฐานะผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคือการทำให้น้ำในนมระเหยออกไปราว 30% และเติมน้ำตาลเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้รสชาติและยืดอายุของนมก่อนจะบรรจุลงกระป๋องต่อไป 

คงจะด้วยเรื่องโรคภัยและอนามัยติดอยู่ในใจ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องการพาสเจอร์ไรซ์ (ก่อนจะเกิดขึ้นในทศวรรษหลังคือ 1860 โดยหลุยส์ ปาสเตอร์) บอร์เดนจึงเข้มงวดกับอนามัยถึงขนาดประกาศว่า เกษตรกรที่จะขายนมให้กับโรงงานได้ต้องปฏิบัติตามบัญญัติคนรีดนม 10 ประการ (Dairyman’s Ten Commandments) ตรงนี้คล้ายกับการควบคุมคุณภาพปศุสัตว์ เช่น ต้องล้างเต้านมวัวก่อนรีดทุกครั้ง ต้องรักษาความสะอาดของโรงเลี้ยง ต้องลวกและผึ่งตะแกรงกรองนมทุกเช้าและตอนเย็น

ในปี 1858 นมข้นหวานของบอร์เดนจึงได้เปิดตัวสู่ตลาดในยี่ห้อ นกอินทรี (Eagle Brand) ได้รับคำชื่นชมในฐานะผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์ คุ้มค่า และมีอายุยาวนาน

สงครามส่งนม

การทำให้นมไม่ปนเปื้อน น่าจะเป็นกิจการที่ตอบโจทย์สาธารณสุขโดยเฉพาะการติดเชื้อและตายในเด็กได้ แต่กิจการนมข้นหวานตรานกอินทรีไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที บริษัทเติบโตอย่างช้าๆ จนกระทั่งปี 1861 ปีที่อเมริกาเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง

เป็นอีกครั้งที่อาหารประดิษฐ์ใหม่คือนมข้นหวานตอบโจทย์การเป็นเสบียงสงคราม นมข้นๆ ที่อัดอยู่ในกระป๋อง ขนย้ายง่าย ทนทาน ไม่บูดเน่า ให้รสชาติอร่อย ให้พลังงาน ในช่วงสงครามกลางเมืองนี้เองที่บอร์เดนกลายเป็นผู้ผลิตหลักของเสบียง แถมเป็นเสบียงที่รักของทหารแนวหน้าที่ลงไปรบในพื้นที่ทางใต้ของอเมริกา

ความนิยมจนโรงงานแทบระเบิดคือ การผลิตนมข้นหวานในปี 1862 โรงงานในเขตเทศมณฑล Dutchess County รัฐนิวยอร์กผลิตนมข้นได้ 16,000 ควอร์ตต่อเดือน แต่ในปี 1863 มีความต้องการการผลิตที่ 14,000 ควอร์ต ‘ต่อวัน’ เรียกได้วัวทุกตัวในรัศมี 15 ไมล์ จะต้องป้อนนมเผื่อผลิตเป็นนมข้นกระป๋องส่งไปแนวรบทุกวัน

ในตอนนั้นคุณค่าทางโภชนาการสำคัญของนมข้นหวานอัดกระป๋อง คือการที่พวกมันไม่ปนเปื้อน ไม่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ และแน่นอนว่ารสชาติหวานนุ่มของพวกมันนอกจากจะให้พลังงานมากมายซึ่งเพียงพอต่อการรบแล้ว ทหารบางนายระบุว่ารสชาตินมข้นหวานไม่ว่าจะเปิดกินทันที หรือนำไปผสมกับผงกาแฟ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ในภาวะปกติ เป็นหยาดหยดรสหวานท่ามกลางความยุ่งเหยิงและเปลวไฟของสงคราม

หลังสงคราม นมข้นกระป๋องกลายเป็นที่รู้จัก เริ่มวางขายในร้านค้าและร้านชำโดยทั่วไป ค่อยๆ กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารโดยเฉพาะอาหารของเด็กๆ โดยในห้วงเวลาเดียวกันทั้งในกลางศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนความสำเร็จของนมข้นหวานในกองทัพ ที่ยุโรปเองก็มีปัญหานมปนเปื้อน และการปลอมคุณภาพนมด้วยผงชอล์ก

หลังจากความสำเร็จของนมข้นอเมริกัน พี่น้องอเมริกัน จอร์จ และชาร์ลส์ เพจ (George and Charles Page) ซึ่งขณะนั้นชาร์ลส์เป็นผู้ช่วยผู้แทนการค้า ได้เดินทางไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1866 จึงก่อตั้งบริษัทนมข้นหวาน 

ในขณะที่จอร์จนั้นยังคงทำงานร่วมกับโรงงานนมข้นหวานนกอินทรี Anglo-Swiss Condensed Milk Company หลังจากนั้นหนึ่งปีก็ก่อตั้งบริษัทและโรงงานผลิตนมข้นหวานยี่ห้อ Milkmaid Brand บริษัทอเมริกันในที่สุด รวมกับอีกแบรนด์กลายเป็นแบรนด์สำคัญที่เรารู้จักกันดีคือ ‘เนสเล่ (Nestlé)’ 

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นมข้นกระป๋องกลายเป็นตัวแทนของสุขอนามัย คุณภาพ และอนามัยโดยเฉพาะของเด็กทารก รวมไปถึงทุกคนในครอบครัว มีการใช้ภาพเด็กทารกในภาพโฆษณาโดยเฉพาะโฆษณาจากเนสเล่ ในฐานะอาหารสำคัญของทารก ภายหลังเมื่อวิทยาการก้าวหน้าและอาหารของเราเริ่มหลากหลายและมีคุณภาพขึ้น จึงเริ่มมีการเตือนเรื่องการใช้นมข้นหวานเลี้ยงเด็กทารกว่าไม่มีสารอาหารที่เพียงพอ

หลังจากความนิยมในกองทัพ การเปิดกิจการใหม่จนเกิดเป็นนมกระป๋องมาตรฐานสวิส การกลายเป็นอาหารคุณภาพของเด็กๆ และกลายเป็นอาหารควรหลีกเลี่ยงจากคุณค่าทางอาหารที่ไม่เพียงพอ นมข้นหวานเดินทางแพร่กระจายไปยังพื้นที่เขตร้อนของโลก และกลายเป็นนมรสเข้มข้นที่ตอบโจทย์เมนูอาหารของเขตร้อนทั้งในละตินอเมริกา เช่น การทำนมข้นหวานตุ๋น แพร่กระจายจนถึงใกล้บ้านเราเช่น ฮ่องกง วัฒนธรรมโกปี๊ วัฒนธรรมขนมหวานแบบหนักหวานที่เสริฟกับน้ำแข็งไสที่มีทั้งในแถบอินโด-มาเลย์ 

และแน่นอน นมข้นหวานที่คนไทยรักด้วยเช่นกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

จากพนักงาน Google สู่ผู้ก่อตั้ง Antidotes เครื่องหอมไทยที่ใส่ใจในกลิ่นและแพ็กเกจสุดประณีต

“สำหรับเรา กลิ่นคือสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจขึ้น รู้สึกดีขึ้น เติมเต็มชีวิตของเรามากขึ้น เราจึงเลือกใช้ชื่อแบรนด์ว่า Antidotes ที่แปลว่ายาถอนพิษ ถ้าเปรียบกับเครื่องหอม มันคือสิ่งที่ช่วยให้เราขจัดความเครียดต่างๆ ออกไป ช่วยให้คนรู้สึกเติมเต็มและมั่นใจในการแสดงออก”

ช่วงหนึ่งในการสนทนา มิก–วุฒินันท์ ปฐมภควันต์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ Antidotes อธิบายความหมายของชื่อแบรนด์ให้เราฟัง

เขาและ ฝน–กัญญารัตน์ อาจชน รวมทั้ง นู่–ทรัพย์กุลธร อุทัยไพศาลวงศ์ พาร์ตเนอร์ผู้หลงใหลในเครื่องหอมยังเลือกใช้สี Seafoam Green หรือสีเขียวโฟมทะเลมาเป็นสีประจำแบรนด์ สีเขียวโฟมทะเลซึ่งเป็นส่วนผสมของสีเขียว ฟ้า และเทา มีความหมายสื่อถึงโชค ความสดชื่น และการเริ่มต้นใหม่ ยิ่งเสริมความหมายของการเป็นเครื่องหอมที่ใช้แล้วรีเฟรช เติมเต็ม และเสริมความมั่นใจไปอีกชั้น

จากชื่อ จากสี ไหนจะแพ็กเกจจิ้งที่มัดห่ออย่างประณีต หลายคนอาจเข้าใจผิดว่านี่เป็นแบรนด์เครื่องหอมจากต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้ว Antidotes คือแบรนด์เครื่องหอมไทยแท้

ที่น่าสนุกก็คือ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ไทย Antidotes ก็ไม่ได้จำกัดกรอบการสร้างสรรค์ว่าจะต้องใช้วัตถุดิบไทย หรือคิดว่าจะขายแค่กลิ่นแบบไทยจ๋าๆ เท่านั้น

ไลน์สินค้าของแบรนด์ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสนุกซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่และวัฒนธรรมมากมาย ดมแล้วรู้สึกถึงความซับซ้อนแต่ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไป มีความเป็น universal 

ล็อบบี้โรงแรม สนามกอล์ฟสกอตแลนด์ สวนเซน พวงมาลัย บาร์สปีกอีซี่ คือตัวอย่างของกลิ่นเหล่านั้น

ใครจะเชื่อว่านี่คือแบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นงานเสริมของเพื่อนร่วมงานคนไทยในบริษัทเทคฯ ระดับโลก ที่เจอกันในสิงคโปร์แล้วดันรู้ว่ามีความชอบเหมือนกัน ทำขายออนไลน์เล่นๆ ช่วงโควิด ก่อนจะตัดสินใจย้ายถิ่นฐานและกลับมาตั้งแบรนด์จริงจังที่ประเทศบ้านเกิด

ความกล้าในการทำธุรกิจ แนวคิดแบบ universal scent นี้มาได้ยังไง เราอาจต้องย้อนกลับไปดูกันตั้งแต่จุดเริ่มต้น

น้ำหอมคือตัวตน

ใครเคยไปทำงานต่างประเทศหลายคนอาจเคยรู้สึกเหมือนกัน คือเมื่อได้ไปอยู่ต่างที่ต่างถิ่น เราต่างโหยหาสิ่งที่เรียกว่า ‘บ้าน’

มิกก็เช่นกัน หลายปีก่อนเขาย้ายไปทำงานที่ Google สิงคโปร์ อยู่ไปนานวันเข้า เขาก็อยากทำให้ที่อยู่อาศัยเป็นบ้านของตัวเองมากขึ้น สิ่งที่ชายหนุ่มทำคือสร้างบรรยากาศในบ้านด้วยกลิ่น

เขาเชื่อว่า กลิ่นของบ้านสามารถบ่งบอกคาแร็กเตอร์และอารมณ์ในแต่ละวันของเจ้าของบ้านได้

“วันไหนเพื่อนมาเที่ยว เราก็อยากให้เพื่อนรู้ว่าเราชอบกลิ่นแบบไหน ก็เลยเริ่มสะสมน้ำหอมปรับกลิ่นสำหรับบ้านมาเรื่อยๆ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น”

ที่ Google สิงคโปร์ มิกได้รู้จักกับฝน เพื่อนร่วมงานคนไทยอีกคนที่ทำงานด้วยกันบ่อยๆ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าหญิงสาวจะมีแพสชั่นเรื่องน้ำหอมแบบเดียวกัน จนช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ทุกคนต้องเวิร์กฟรอมโฮมกันหมด

“ตอนวิดีโอคอลกันผมเห็นว่าแบ็กกราวด์ของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหอม ซึ่งเยอะกว่าที่ผมมีอีก” มิกย้อนวันวาน เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนา

มากกว่าแพสชั่น

เมื่อรู้ว่ามีแพสชั่นร่วมกัน ทั้งสองคนจึงชวนกันมาทำ side project ผสมน้ำหอมที่อยากได้ ยิ่งศึกษาก็ยิ่งลงลึกกับมัน จนถึงจุดหนึ่งก็อยากทำแบรนด์

“ตอนแรกเราไม่ได้คิดถึงธุรกิจหรือเรื่องกำไรขาดทุนเลย โปรเจกต์นี้เป็นการลองทำสิ่งที่ตื่นเต้นและมีแพสชั่นร่วมกัน ความน่าสนใจคือเราชอบอะไรเหมือนกัน แต่มีสกิลที่แตกต่าง” มิกบอกว่าจุดเด่นของฝนคือด้วยความเป็นเด็กอักษรฯ ที่ชอบเรื่องราวและวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก เวลาศึกษาเรื่องอะไรเธอจะค้นคว้าและลงมือทำอย่างจริงจัง ในเรื่องการทำน้ำหอมเช่นกัน ขณะที่มิกเชี่ยวชาญเรื่องการตลาด และผู้ที่เป็นคล้ายจิ๊กซอว์มาต่อเติมภาพให้สมบูรณ์คือนู่ ผู้เชี่ยวชาญในการปั้นแบรนด์และแพ็กเกจจิ้ง

ทว่าการลาออกจากงานประจำอันมั่นคง บอกลาจากองค์กรที่เป็นความฝันของใครหลายคนมาสร้างธุรกิจที่ไม่รู้ว่าปลายทางจะสำเร็จหรือล้มลุกคลุกคลาน ก็นับเป็นความเสี่ยงที่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าแบกรับ แล้วอะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจนั้น

“สำหรับผมมี 2 อย่าง อย่างแรกคือถามตัวเองว่าเราตั้งใจจะทำสิ่งนี้จริงๆ หรือเปล่า ผมรู้แล้วว่าทีมมีแพสชั่นเรื่องน้ำหอม ดังนั้นเราจะไม่ทำพาร์ตไทม์กับสิ่งนี้อีกแล้ว อย่างที่สอง คือเรามีความพร้อมที่จะทำสิ่งนี้หรือเปล่า ตอนเราลาออก เราไม่ได้ดีดนิ้วออกเลย แต่เราต้องรู้ว่าเราออกมาแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน และเราจะวางแผนธุรกิจยังไง” มิกตอบ ก่อนที่ฝนจะเสริม

“หลายๆ คนมักจะถามว่าเรามีไอเดียธุรกิจ เราทิ้งงานประจำไปทำตามแพสชั่นเลยดีไหม สำหรับฝน แต่ละคนมีจังหวะเวลาของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน เราทำ Antidotes เป็น side project ควบคู่ไปกับงานประจำมา 2-3 ปี 

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ ในช่วงเวลาที่เราตั้งไข่ไอเดียธุรกิจ เราไม่สามารถเร่งได้ มันมีหลายๆ อย่างที่ใช้เวลาเป็นต้นทุน มันคือกระบวนการเฝ้ารอ การคิดการทำ R&D เหล่านี้เป็นกระบวนการที่ถ้าลาออกมาทำเต็มๆ เราอาจจะสติแตกและเลิกไปแล้ว เพราะมันใช้เวลานานมากในการตั้งไข่ 

“เพราะฉะนั้นต้นทุนที่สำคัญที่สุดของเราไม่ใช่เงิน แต่คือเวลาที่ได้ทดลอง”

กลิ่นที่สนุกและ ​universal

สิ่งที่เป็นจุดร่วมอีกประการของผู้ก่อตั้งทั้งสามคือพวกเขาเชื่อว่า เครื่องหอมไทยสามารถไปได้ไกลถึงระดับสากล

“ตอนทำงานอยู่สิงคโปร์ ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมที่หลากหลายมาก และทุกคนก็ยินดีที่จะลองสิ่งใหม่ เขาจะเปิดรับถ้าสินค้าและบริการต่างๆ มีมาตรฐานและคุณภาพที่ดีจริง” มิกบอก 

ถึงตรงนี้ ฝนเสริมว่า “เราอยากนำเสนอแบรนด์ที่มีความเป็น global citizen อยู่ในนั้น เป็นเครื่องหอมแบรนด์ไทยที่กลิ่นไม่ได้ยึดติดกับที่ไหน นำเสนอความเป็นตัวเราที่ภูมิใจในความเป็นไทยแต่ก็มีความเป็นอินเตอร์”

เพราะอย่างนั้น เครื่องหอมของ Antidotes จึงไม่มีการจำกัดกรอบเรื่องที่มาของกลิ่น สังเกตได้จากกลิ่นแต่ละกลิ่นที่จะเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่พวงมาลัย สนามกอล์ฟสกอตแลนด์ ยันล็อบบี้โรงแรม

“หอม มีเอกลักษณ์ และเข้าถึงง่าย นี่เป็นเงื่อนไขในการทำเครื่องหอมของเรา มันต้องมีคาแร็กเตอร์อะไรบางอย่างที่เราดมแล้วต้องรู้สึกได้ แต่ต้องไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ ที่สำคัญคือมันถ่ายทอดประสบการณ์ที่เราโหยหา” ฝนบอก แล้วยกตัวอย่างกลิ่นล็อบบี้โรงแรม (White Sensation) ให้ฟัง กลิ่นนี้เป็นกลิ่นแรกๆ ที่แบรนด์ทำ เป็นกลิ่นที่ขายดีที่สุด ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่เธอไปพักผ่อน แล้วอยู่ๆ ก็สงสัยขึ้นมาว่า ‘ทำไมฉันจะตื่นขึ้นมาในโรงแรมทุกวันไม่ได้ล่ะ’ 

ทุกกลิ่นมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลัง และไม่ใช่แค่กลิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากการท่องเที่ยวเท่านั้น บางกลิ่นพวกเขาก็หยิบยกองค์ประกอบบางอย่างมาจากวัฒนธรรมที่เคยประสบพบเจอ เช่น พวงมาลัย สวนเซน ป่าเกียวโต หรือวัฒนธรรมชนเผ่า ซึ่งล้วนถูกนำมาเล่าให้น่าสนใจผ่านศาสตร์ของกลิ่น

ซับซ้อนแต่เข้าใจง่าย

ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ทึกทักตามใจว่าชอบกลิ่นไหน ลูกค้าก็น่าจะชอบด้วย การออกน้ำหอมออกมาได้สักกลิ่นนั้นผ่านการรีเสิร์ชกับคนหลักร้อย และวิเคราะห์ข้อมูลว่ากลิ่นนั้นคือกลิ่นที่ใช่จริงๆ หรือเปล่า 

มิกเล่าเกร็ดสนุกให้ฟังว่า ด้วยธรรมชาติของคนไทยที่คุ้นเคยกับดอกไม้ใบหญ้า เราอาจคิดว่ากลิ่นดอกไม้อาจไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น แต่กับคนสิงคโปร์หรือคนชาติอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในเมือง พวกเขาโปรดปรานกลิ่นเหล่านี้พิเศษเพราะโหยหาธรรมชาติ

ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนจะตัดสินใจออกกลิ่นอะไร พวกเขาต้องมั่นใจว่ากลิ่นนั้นจะตรงกับคาแร็กเตอร์ของลูกค้า ซึ่งเป็นคนช่างเลือก ใส่ใจรายละเอียด กล้าแสดงตัวตน ชอบความซับซ้อนแต่ไม่ได้เข้าใจยาก เหมือนกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ 

“สำหรับเรา กลิ่นคือสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจขึ้น รู้สึกดีขึ้น เติมเต็มชีวิตของเรามากขึ้น เราจึงเลือกใช้ชื่อแบรนด์ว่า Antidotes ที่แปลว่ายาถอนพิษ ถ้าเปรียบกับเครื่องหอม มันคือสิ่งที่ช่วยให้เราขจัดความเครียดต่างๆ ออกไป ช่วยให้คนรู้สึกเติมเต็มและมั่นใจในการแสดงออก” มิกอธิบาย

จุดขายคือประสบการณ์

สินค้าของ Antidotes แบ่งได้ออกเป็น 2 หมวดง่ายๆ คือ Home และ Body

Home คือผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้บรรยากาศในพื้นที่ที่เราอยู่ดีขึ้น ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นบ้าน รถ หรือที่ทำงาน Home Fragrance มีตั้งแต่เทียน ดิฟฟิวเซอร์ และเครื่องหอม ส่วน Body คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกาย ทั้งน้ำหอมและบอดี้ออยล์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเฉพาะที่ทำให้บอดี้ออยล์มีเนื้อสัมผัสที่พิเศษ

กลิ่นที่ปลอบประโลมใจ จากวัตถุดิบและเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์สินค้าให้มีคุณภาพ เหล่านี้คือการสร้าง ‘ประสบการณ์’ ดีๆ ที่ลูกค้าจะสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรม

“นอกจากกลิ่นที่ได้รับ สัมผัส สี หรือกล่อง ต้องแตกต่าง ตั้งแต่ความนูนบนกล่องที่ถ้าไม่จับเองก็จะไม่รู้สึกเลย ทุกๆ กล่องเรายังผูกโบด้วยมือให้ลูกค้า พนักงานทุกคนจะต้องผ่านการสอบผูกโบในกระบวนการการเทรนนิ่ง นี่คือประสบการณ์ที่เราอยากให้ลูกค้าได้เห็น รู้สึก และสัมผัส ถึงแม้เขาจะซื้อให้ตัวเอง เราก็อยากให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เปิดของขวัญให้ตัวเองทุกครั้งที่เปิดกล่อง Antidotes” นู่อธิบายถึงความใส่ใจในแพ็กเกจจิ้ง

“สุดท้ายแล้ว การทำแบรนด์มันคือการย้อนกลับไปตอบคำถามว่า เราอยากให้คนรู้สึกกับแบรนด์ของเรายังไง ถ้าเราสามารถตอบโจทย์ตรงนั้นได้ มันก็จะสร้างการเชื่อมโยงทางความรู้สึก (emotional connection) ที่เรามีกับลูกค้า ให้เขารู้สึกว่า เขากับแบรนด์ของเรามีตัวตนคล้ายๆ กัน” ฝนเสริม

“เวลาลูกค้าเลือกน้ำหอม เขาไม่ได้เลือกแค่กลิ่นที่เหมาะกับตัวเขา แต่บางทีเขาเลือกเพราะคาแร็กเตอร์แบรนด์และประสบการณ์ที่เหมาะกับเขา”

คู่แข่ง = ข้อดี

เพราะผู้ก่อตั้งอย่างมิกและฝนทำงานการตลาด เชี่ยวชาญการยิงแอดฯ ในช่วงแรกเริ่ม Antidotes จึงเน้นขายทางออนไลน์เป็นหลัก ก่อนที่ผ่านไปไม่นาน นู่ที่ทำงานด้านแบรนดิ้งมาตระหนักได้ว่า การขายเครื่องหอมคือการขายประสบการณ์ เมื่อเห็นโอกาส เขาจึงชวนทีมทุกคนมาสร้างหน้าร้านด้วยกัน 

Antidotes ตั้งตัวเองเป็นแบรนด์ระดับสากล ตลาดของลูกค้าที่พวกเขาโฟกัสจึงมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ นั่นส่งผลถึงการเลือกโลเคชั่นในการตั้งร้านด้วย

ตอนนี้แบรนด์ของพวกเขามีทั้งหมด 2 สาขา ตั้งอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพระราม 9 โดยมีแผนจะขยับขยายไปสู่อีก 2 สาขาใหม่ในไม่กี่เดือนนี้ นั่นคือสาขาไอคอนสยาม และสาขาสยามดิสคัฟเวอรี

วัดจากโลเคชั่น หลายคนอาจจะพอเดาออกว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชุกชุม แต่สิ่งที่เราสนใจคือ ทำไมพวกเขาจึงเลือกขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่มีคู่แข่งเปิดเคาน์เตอร์แบรนด์กันมากมาย

“เมื่อก่อนเราจะกลัวการแข่งขัน กลัวว่ามาที่นี่จะมีคู่แข่งเยอะ เราจะสู้เขาได้ยังไง แต่พอได้มาอยู่ในห้าง เราค้นพบว่าการอยู่ในที่ที่มีการแข่งขันสูงๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันดีเสียอีก เพราะหมายถึงเรามาอยู่ในที่ที่มีกลุ่มลูกค้าเดิมอยู่แล้ว เราก็สามารถแสดงตัวให้คนที่เขาสนใจได้เห็นมากขึ้น อีกอย่างที่ค้นพบคือ ลูกค้าน้ำหอมส่วนใหญ่เขาก็ชอบไปเดินในที่ที่มีน้ำหอมให้เลือกหลายๆ แบรนด์ ดังนั้นเราต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีการแข่งขันสูงๆ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัว แต่มันคือโอกาสที่ทำให้เราได้นำเสนอตัวเอง” ฝนตอบ

“ที่ที่มีการแข่งขันเยอะไม่ใช่ competition แต่เราอยากให้มองว่าเป็น destination หมายถึงว่าคุณกำลังอยู่ในจุดหมายของคนที่ต้องการสิ่งนี้”

น้ำหอมในดวงใจ

13,000 ล้านบาท คือตัวเลขประมาณขนาดของตลาดเครื่องหอมเมืองไทยในปี 2025–สถิตินี้ที่มิกบอก ทำให้เรารู้ว่าตลาดนี้นั้นใหญ่กว่าที่เราประเมินไว้

“ตลาดนี้เป็นตลาดที่กำลังเติบโตขึ้นทุกๆ ปี ปัจจัยมี 2 อย่างคือเด็กเจนฯ Z โตขึ้น และทุกคนอยากแสดงอัตลักษณ์ของตัวเอง น้ำหอมก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือของเขา อีกปัจจัยคือตอนนี้คนต่างชาติเริ่มมองเห็นคุณค่าวัตถุดิบต่างๆ ของไทย ดังนั้นการซื้อน้ำหอมที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบเหล่านี้มันก็ช่วยให้ตลาดนี้เติบโตขึ้น” ชายหนุ่มเล่า

“ถ้าให้เสริมเรื่องเทรนด์ ฝนคิดว่าตอนนี้ตลาดน้ำหอมเริ่มเติบโตไปสู่ความเฉพาะกลุ่ม (niche) มากขึ้น จากแต่ก่อนแบรนด์ที่เรารู้จักก็จะมีแต่แบรนด์ใหญ่ๆ แต่ตอนนี้เราเห็นการเติบโตของ Le Labo หรือ MFK กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ซึ่งก็มาจากการที่ผู้บริโภคเปิดรับกลิ่นใหม่และหากลิ่นที่แสดงตัวตน นอกจากนี้ น้ำหอมยังเข้าไปสู่การเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ เคยได้ยินไหมว่ามีคนทำน้ำหอมเพื่อฉีดก่อนนอน หรือแบรนด์ใหญ่ๆ ก็ออกน้ำหอมสำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น เทรนด์อีกอย่างที่มองเห็นคือน้ำหอมกลายเป็นสิ่งที่แสดงตัวตนของแบรนด์ต่างๆ เดี๋ยวนี้ห้าง หรือแบรนด์เสื้อผ้าก็ต้องมีน้ำหอมกลิ่นของตัวเอง เพราะกลิ่นคือส่วนหนึ่งในการแสดงตัวตน เราจะได้เห็นการใช้กลิ่นในแง่มุมที่หลากหลายมากขึ้น” ฝนสมทบ

ในอนาคต ทีม Antidotes ยังอยากขยายอาณาจักรของแบรนด์ให้มีสินค้าไลฟ์สไตล์เยอะขึ้น ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือบอดี้ออยล์ที่แตกไลน์ไปสู่ความเป็นสินค้าสกินแคร์แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นน้ำหอม 

“เราอยากเติบโตเป็น top-of-mind ของแบรนด์ไทยเวลาเรานึกถึงเครื่องหอม” ฝนทิ้งท้ายด้วยแววตาเป็นประกาย

3 สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของ 3 ผู้ก่อตั้ง Antidotes


นู่–ทรัพย์กุลธร อุทัยไพศาลวงศ์ : storytelling 
“storytelling อาจเป็นคำที่ได้ยินบ่อย แต่เราจะสังเกตเห็นได้ว่าท่ามกลางแบรนด์ยุคนี้ที่ทำมาร์เก็ตติ้งเหมือนกัน แบรนด์ที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่ทำ storytelling อย่างลงลึกจริงๆ เพราะฉะนั้น การหาเรื่องราวและตัวตนจึงเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สำคัญของการสร้างแบรนด์”

มิก–วุฒินันท์ ปฐมภควันต์ : คุณภาพและทีม
“เราอยากได้ลูกค้าที่ใช้สินค้าของเราแล้วชอบจริงๆ รู้สึกว่าสินค้าของเรามีคุณค่ากับเขาจริงๆ นอกเหนือจากนั้นคือทีม ถ้าทีมแต่ละคนมีจุดโฟกัสที่ไม่เหมือนกัน มันจะทำให้แบรนด์ถูกมองรอบด้านมากขึ้น เพราะเราใส่ใจในทุกมุมของแบรนด์”

ฝน–กัญญารัตน์ อาจชน : สินค้าและความรู้เรื่องบัญชี
“การตลาดไม่ว่าจะดีแค่ไหน มันก็จะพาคนเข้ามาหาเราได้ครั้งเดียว แต่สินค้าคือสิ่งที่ทำให้คนกลับมา คือสิ่งที่เป็น marketing tool ที่ดีที่สุด อีกอย่างที่สำคัญคือความรู้ทางด้านการจัดการบัญชี เพราะหลายๆ อย่างในธุรกิจ สุดท้ายมันลงไปสู่การจัดการระบบ การบริหารบัญชี และการจัดการการเงิน มันจะทำให้ธุรกิจของเรายั่งยืนได้ในระยะยาว มันคือกระดูกสันหลังของบริษัทที่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จไม่ค่อยพูดถึง”

สัมผัสวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไต้หวันผ่าน 6 แบรนด์สุดสร้างสรรค์

ไต้หวันขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวไทย ด้วยเสน่ห์ของบ้านเมืองที่ทันสมัย เต็มไปด้วยธรรมชาติ อาหารอร่อย และศิลปวัฒนธรรมสไตล์ไต้หวันก็งดงาม ในอีกมุมหนึ่งไต้หวันยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตวันโตคืนอีกด้วย

ในปี 2023 สถาบัน IMD หรือ International Institute for Management Development ได้จัดอันดับให้ไต้หวันอยู่อันดับที่ 6 ของโลกด้านความสามารถในการแข่งขัน จากทั้งหมด 69 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก แต่หากนับเฉพาะเขตเศรษฐกิจที่มีประชากรจำนวนมากกว่า 20 ล้านคนขึ้นไป ไต้หวันถือว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขัน 

ด้วย GDP เกือบ 760,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับ 20 ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก และทำให้รายได้ต่อหัวของประชาชนชาวไต้หวันในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 36,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 4%

ข้อได้เปรียบของไต้หวันคือเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการส่งออก ทำให้มีดัชนีการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะเดียวกันก็ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนภายในประเทศ และยังเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลก โดยมีบริษัท TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company เป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยผลิตชิปให้ Apple, NVIDIA, AMD และอื่นๆ อีกมากมาย

ไต้หวันไม่เพียงแต่สนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ครอบคลุมทั้งงานศิลปะและงานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น การทอผ้า งานแกะสลักไม้ งานเซรามิก ที่หยิบยกวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มาผสมผสานกับงานศิลปะร่วมสมัย

รัฐบาลไต้หวันยังมีนโยบายการให้เงินทุนสนับสนุนธุรกิจสร้างสรรค​์ที่ออกแบบและผลิตในไต้หวัน พร้อมจัดตั้งสวนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ เช่น สวนสร้างสรรค์ Huashan 1949 สวนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ Songshan ให้ดีไซเนอร์ไต้หวันได้มีพื้นที่แสดงผลงานอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันคนไต้หวันและนักท่องเที่ยวก็มีสถานที่ช้อปงานคราฟต์และงานแฮนด์เมดต่างๆ ได้อย่างจุดใจ

นอกจากนั้น ยังจัดงานนิทรรศการต่างๆ เช่น Creative Expo Taiwan และโครงการริเริ่มเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการอนุรักษ์วัฒนธรรม ทำให้มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กว่า 69,630 ราย สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไต้หวันกว่า 273,096 คน และมีรายได้รวมจากธุรกิจประเภทนี้ต่อปีถึง 32  พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าสร้างสรรค์ของไต้หวันยังติดอันดับที่ 46 ของโลก จากการจัดอันดับของ UNCTAD เลยทีเดียว

Recap ในครั้งนี้จึงขอตีตั๋วบินข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาเดินเที่ยวเล่น พร้อมส่อง 6 แบรนด์ Made in Taiwan ที่หยิบความคิดสร้างสรรค์มาบอกเล่าถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ เรื่องราวทางสังคม และธรรมชาติอันสวยงาม ผ่านผลงานที่ทำให้ผู้คนรู้จักและหลงรักประเทศไต้หวันกันมากขึ้น

1. inBlooom ถ่ายทอดสังคม วัฒนธรรม และธรรมชาติไต้หวันผ่านลายผ้า

ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ประเทศไต้หวันไม่เคยมีแบรนด์ผ้าที่ออกแบบลวดลายโดยดีไซเนอร์มาก่อน กระทั่ง Ama Shen, Chiu Chung-yu และ Hana Tsai สามสาวนักออกแบบได้ก่อตั้งแบรนด์ inBlooom ภายใต้คำถามที่ว่าถ้าพูดถึงไต้หวันคนจะคิดถึงสีสันและลวดลายอะไรบ้าง

ลายผ้าของ inBlooom ได้รับแรงบันดาลใจจากการหยิบจับเรื่องใหญ่ๆ ของสังคมไต้หวัน เช่น นกพื้นเมืองที่ใกล้สูญพันธุ์, กระเบื้องโบราณ, ลวดลายหน้าต่าง หรือประเด็นขยะทะเล มาผสมผสานกับความสวยงามของศิลปะร่วมสมัย จนเกิดเป็นสินค้าที่หยิบใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น กระเป๋า ร่ม หมวก ผ้าเช็ดหน้า

แบรนด์ยังสนับสนุนผู้ผลิตในท้องถิ่น ด้วยการใช้ซัพพลายเออร์ในไต้หวันและผลิตในชุมชนตัดเย็บผ้าชนบท พร้อมสอนทักษะการตัดเย็บให้กับผู้คนในท้องถิ่น เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน และก้าวสู่ความยั่งยืน ด้วยการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่น เส้นด้ายรีไซเคิล หนังวีแกน ผ้าฝ้ายออร์แกนิก

นอกจากลวดลายและแนวคิดที่น่าสนใจ จนทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่วเอเชียแล้ว ยังใช้กลยุทธ์การคอลแล็บจับมือร่วมกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น ออกแบบถุงผ้าให้กับ McDonald’s, ออกแบบถุงใส่กาแฟให้กับสตาร์บัคส์ ออกแบบกล่องยาสีฟันให้กับดาร์ลี่ โดยสินค้าเหล่านี้วางจำหน่ายทั้งในไต้หวันและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น

inBlooom จึงไม่ใช่แค่ผ้าที่มีลวดลายสวยงาม แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวของไต้หวันและเป็นกระบอกเสียงในเรื่องที่เป็นปัญหาได้เป็นอย่างดี หากใครที่แวะเวียนไปไต้หวันก็สามารถไปช้อปที่ร้าน inBlooom ทั้ง 8 สาขาในไต้หวันได้ แต่ถ้าอยากร่วมทำเวิร์กช็อปพิมพ์ลายผ้าด้วยตัวเอง ต้องมาสาขาแรกในย่าน Dadaocheng (ต้าเต้าเฉิง) ย่านท่าเรือเก่าของไทเปเท่านั้น

2. Anta Pottery เครื่องปั้นดินเผาที่บอกเล่าวัฒนธรรมท้องถิ่น

ไม่ว่าจะแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ได้เลื่อนขั้น ไปจนถึงการมอบของขวัญทางการทูต ประเทศไต้หวันมักจะเลือกให้ของขวัญที่ทำจากเซรามิก ทั้งถ้วยชา จาน ชาม และแจกัน พร้อมด้วยลวดลายที่สื่อถึงความเป็นสิริมงคล

เมือง Yingge (อิงเกอ) เป็นศูนย์กลางการผลิตเซรามิกที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และมีแบรนด์ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1976 อย่าง Anta Pottery แบรนด์เครื่องปั้นดินเผาที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์งานเซรามิกคุณภาพสูง ผ่านการผสมผสานความละเอียดในเทคนิคดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย

ออกแบบเป็นลวดลายที่อิงจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและข้าวของเครื่องใช้ในอดีต 

ไม่ว่าจะลาย Gaji bag หรือที่เรียกกันว่าถุงกาจิ ถุงช้อปปิ้งขนาดใหญ่ที่ทำจากพลาสติกสาน มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านจิงเหลียวในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น ไปจนถึงการใช้ฟ่านถีจื้อ ซีลี่ หรือชุดอักษรจีนดั้งเดิมที่ใช้ในภาษาจีนตัวเต็ม มาเขียนเล่าเรื่องเล่าเรื่องราวต่างๆ บนเซรามิก

ผลงานของ Anta Pottery ไม่เพียงสวยและใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่ยังแฝงไปด้วยเรื่องเล่าของวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงมักถูกเลือกให้ไปเป็นของขวัญให้กับแขกบ้านแขกเมืองอยู่บ่อยครั้ง สามารถไปช้อปเป็นของฝาก ของขวัญได้ที่หน้าร้านทั้ง 3 สาขา หรือถ้าอยากทำเวิร์กช็อปปั้นเซรามิก ต้องมาที่สาขาต้นกำเนิดในย่านเซรามิกอย่าง Yingge Old Street ในเมืองนิวไทเป 

3. carpenter งานไม้แฮนด์เมดที่ผสานศิลปะเข้ากับของใช้ในชีวิตประจำวัน

งานไม้เป็นหนึ่งในงานฝีมือที่อยู่คู่ไต้หวันมาอย่างยาวนาน ด้วยทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ราคาถูกส่งออกไปยังแถบสหรัฐฯ และยุโรป จนกลับมาได้รับความนิยมในไต้หวันอย่างมากหลังยุค 2010 ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับงานฝีมือ ดีไซน์ที่สวยงาม การใช้งานอย่างยั่งยืน และไลฟ์สไตล์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น

ในระยะหลังมานี้ งานไม้ในไต้หวันเป็นหนึ่งในแขนงของงานคราฟต์ที่มีทั้งรากวัฒนธรรมดั้งเดิมและแนวคิดร่วมสมัยที่โดดเด่น โดยเฉพาะแบรนด์ carpenter ที่สองพี่น้องชาวไต้หวันได้รับช่วงต่อธุรกิจจากพ่อที่เป็นช่างไม้มากฝีมือมากว่า 29 ปี เพื่อพัฒนางานไม้แฮนด์เมดที่ผสมผสานดีไซน์ใหม่ๆ เข้ากับองค์ประกอบที่สนุกสนาน สร้างความน่าสนใจให้งานไม้ และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น โคมไฟ ของตกแต่งบ้าน ของเล่น เครื่องเขียนแบบไม้

carpenter ได้ปรับธุรกิจให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ผ่านการเลือกใช้ไม้จากโรงเลื่อยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC และศูนย์ป่าไม้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าทุกชิ้นยังได้รับการออกแบบและผลิตในไต้หวัน นอกจากนี้ยังเปิดคลาส DIY ให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ประดิษฐ์โมเดลไม้ ทำจักรยานไม้ ทำของเล่นไม้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในงานช่างไม้

ไม่เพียงแต่พลิกฟื้นอุตสาหกรรมที่เกือบจะซบเซา แต่ยังเป็นการสืบทอดงานไม้ให้คงอยู่คู่ไต้หวันต่อไป ใครสนใจสามารถมา DIY งานไม้และช้อปได้ทั้ง 4 สาขา โดยสาขาที่ใหญ่ที่สุดและมีเปิดให้ DIY แบบเต็มวันก็ต้องมาที่สาขา Houli (โหวลี่) เมือง Taichung (ไถจง) กันได้เลย

4. YUANTAI แบรนด์ที่เปลี่ยนไม้ไผ่ให้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์รักษ์โลก

ในยุคแรกของไต้หวัน สิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันมากกว่าครึ่งหนึ่งทำมาจากไม้ไผ่ เพราะเป็นวัสดุท้องถิ่นที่หาง่ายที่สุด ทำให้ในยุคนั้นมีโรงงานผลิตสินค้าเกี่ยวกับไม้ไผ่มากกว่า 1,500 แห่งในไต้หวัน จวบจนปัจจุบัน นอกจากตะเกียบแล้ว ก็แทบไม่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ไผ่ให้เห็นมากนัก และทำให้อุตสาหกรรมนี้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว และเหลือแหล่งผลิตสินค้าจากไม้ไผ่เพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้น

หนึ่งในนั้นคือ YUANTAI แบรนด์คราฟต์ไม้ไผ่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ 30-40 ปีที่แล้ว แต่เดิมผลิตเพียงไม้ไผ่สำหรับอุตสาหกรรม แต่หลังจากรุ่นลูกได้มาสืบทอดกิจการต่อจากรุ่นพ่อ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่าอยากให้ไม้ไผ่ถูกหยิบกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันอีกครั้ง และอยากให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจอุตสาหกรรมที่อยู่มาอย่างยาวนาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

หลักสำคัญของแบรนด์ยังคือการออกแบบร่วมสมัยที่ใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ circular economy มาปรับใช้ผ่านวัสดุที่ย่อยสลายได้ และทำให้เกิด zero waste มากที่สุด ผ่านสินค้าไลฟ์สไตล​์ เช่น แปรงสีฟันไม้ไผ่ หลอดไม้ไผ่ ถ้วยไม้ไผ่ ชามไม้ไผ่ ที่แคะหูไม้ไผ่ โดยมีหน้าร้านเพียงสาขาเดียว ตั้งอยู่บนถนน Dingheng Street ซึ่งเป็นจุดสำคัญของ Bamboo Industry Trail ในย่าน Zhushan (ฉู่ชาน)

5. Kamaro’an สืบทอดงานฝีมือชนเผ่าพื้นเมืองเข้ากับดีไซน์มินิมอล

หากใครแวะเวียนไปบริเวณชายฝั่งตะวันออกของไต้หวัน น่าจะพบเจอกันชาว Pangcah (ปังกะห์) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Amis (อาเหม่ย) เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ที่สุดในไต้หวัน ซึ่งเต็มไปด้วยวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งในด้านการใช้ชีวิต การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การออกแบบ และงานหัตถกรรม แต่ด้วยในอดีต วัฒนธรรมของชนเผ่านี้ไม่มีภาษาเขียน ประวัติศาสตร์และองค์ความรู้จึงถ่ายทอดผ่านการเล่าจากรุ่นสู่รุ่น

Lin Tien-miao จึงจับมือร่วมกับ Tipus Hafay ดีไซเนอร์ที่เป็นชาวชนเผ่า Pangcah และซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก เพื่อก่อตั้ง Kamaro’an ขึ้นในปี 2013 ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องประดับและของใช้แฟชั่นแฮนด์เมดที่หยิบภูมิปัญญาท้องถิ่นของชนเผ่าพื้นเมืองนี้มาใช้

ทั้งเทคนิคการถักทอ การถักปอ การถักหวาย และการใช้วัสดุธรรมชาติ มาสร้างสรรค์เป็นสินค้าแฟชั่นร่วมสมัยในดีไซน์มินิมอล เช่น กระเป๋าถักสลิงเชือกไนลอนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเปลของชนเผ่า กระเป๋าใส่ของจิ๋วลายหวาย โคมไฟเชือกถักด้วยมือ

ไปช้อปกันได้ที่ Kamaro’an House ในย่าน Xinsheng (ซินเซิง) เมืองไทเป นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายในร้าน MoMA Design Store ที่นิวยอร์ก และ Museu Picasso Shop ที่บาร์เซโลนา รวมถึงในแกลเลอรีและดีไซน์สโตร์ระดับโลกหลายแห่งอีกด้วย

6. AIKA Handmade Shoes คัสตอมรองเท้าให้ลูกค้าแต่ละคนและทำแค่วันละคู่

ไต้หวันมีวัฒนธรรมการซ่อมรองเท้าและร้านรองเท้าแบบ made-to-order ในย่านชุมชนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในยุค 50s-80s ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป หลังจากผู้คนหันมาใส่แต่รองเท้าสำเร็จรูปกันมากขึ้น จวบจนปัจจุบันมีดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่เข้ามาฟื้นฟูงานคราฟต์รองเท้าแบบโบราณ เช่น การตอกตะปูด้วยมือ เย็บพื้นแบบ Goodyear welt หรือใช้หนังวัวแท้ไม่ผ่านสารเคมี

หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ AIKA Handmade Shoes รองเท้าทำมือที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยช่างฝีมือท้องถิ่นที่หลงใหลในรองเท้าคุณภาพดีที่ทำอย่างประณีต โดยเฉพาะรองเท้าแบบ Mary Jane, รองเท้า Flat, รองเท้า Oxford และรองเท้าหนังแท้ที่ตัดเย็บด้วยมือทีละคู่

AIKA Handmade Shoes จึงเลือกคัสตอมรองเท้าตามความต้องการของลูกค้า โดยมีแบบรองเท้า วัตถุดิบทำรองเท้า มีสี และลวดลายให้ลูกค้าเลือกดีไซน์รองเท้าได้ตามใจชอบ แต่ด้วยความที่ทำด้วยมือในทุกขั้นตอน และมีทีมงานเล็กๆ คอยช่วยนิดหน่อยเท่านั้น จึงผลิตได้เพียงแค่วันละหนึ่งคู่

แต่นั่นก็ทำให้เป็นร้านยอดนิยมในหมู่คนที่มองหารองเท้าทำมือที่รองรับกับเท้าของพวกเขาจริงๆ และมีดีไซน์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร จนถือว่ารองเท้าแต่ละคู่มีแค่คู่เดียวในโลกก็ว่าได้ AIKA Handmade Shoes มีหน้าร้านเพียงสาขาเดียวอยู่ในย่าน Zhongshan (จงซาน) เมืองไทเปเท่านั้น

7 สิ่งสำคัญที่ทำให้ Upbit กลายเป็นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก

ปัจจุบันเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่เรียกกันว่า ‘Digital Assets’ ได้กลายมาเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทั่วโลก สาเหตุหลักๆ ก็เพราะเป็นสินทรัพย์ที่เข้าถึงได้ง่าย สามารถแลกเปลี่ยนได้ตลอดเวลา มีสกุลเหรียญให้เลือกลงทุนหลากหลายสกุล และยังมีตลาดซื้อ-ขายที่ใหญ่พอๆ กับตลาดหุ้น จินตนาการแล้วแทบไม่ต่างจากดินแดนที่มีพื้นที่ให้สำรวจอย่างไร้ที่สิ้นสุด

อย่างไรก็ดี กลไกการซื้อ-ขายสินทรัพย์ประเภทนี้จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘กระดานเทรด/ศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ (Exchange) หรือก็คือ ‘แพลตฟอร์ม’ ในการเชื่อมโยงผู้ลงทุนเข้าด้วยกันเพื่อทำการซื้อ-ขายลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งหนึ่งในแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและได้รับความนิยมย่อมมีชื่อของ ‘Upbit’ (อัพบิต) รวมอยู่ด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 Upbit ได้ก่อตั้งขึ้นโดยนักธุรกิจด้านไอทีชาวเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า ‘ซงชีฮยอง’ (Song Chi-hyung) ซึ่งเป็น CEO ในเวลาดังกล่าวของ Dunamu บริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ชื่อดังของแดนโสมขาว ในระยะเวลาสั้นๆ Upbit ได้ก้าวมาเป็น 1 ใน 5 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของโลก และสามารถครองตลาดส่วนแบ่งในประเทศเกาหลีใต้ได้มากถึง 80% จากการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg

ภายหลังปี 2018 เป็นต้นมา Upbit ได้ขยายฐานการให้บริการไปอีก 3 ประเทศในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศไทย โดย Upbit Thailand นั้นเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ในชื่อบริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Exchange (Thailand) Co., Ltd.) 

นอกจากช่องทางการให้บริการที่เข้าถึงได้ง่ายทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น iOS และ Android แล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ Upbit เติบโตอย่างก้าวกระโดดในฐานะแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เราขอชวนไขคำตอบผ่าน Capital List ตอนนี้

1. Trust and Security : มีเสถียรภาพและระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล 

หนึ่งใน ‘หัวใจหลัก’ ที่สำคัญที่สุดของ Upbit คือเรื่องของความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดำเนินกิจกรรมการซื้อ-ขายได้อย่างอุ่นใจ Upbit ยึดมั่นในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยที่ดี ด้วยระบบที่ได้รับการยอมรับระดับสากล 

ยกตัวอย่างฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ‘ระบบการเฝ้าระวังแบบอัตโนมัติ’ (Automated Surveillance) ซึ่งเป็นฟีเจอร์แจ้งเตือนกรณีที่มีการถอนสินทรัพย์ไปยัง Wallet อื่นเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบว่าปลายทางการโอนนั้นเป็น Wallet ที่ถูกต้องหรือไม่ 

หรืออีกฟีเจอร์สำคัญเรื่องความปลอดภัยในการทำธุรกรรม คือการบังคับตั้ง ‘รหัสยืนยันตัวตน’ หรือ ‘2FA’ เพื่อเข้าสู่หน้าการทำธุรกรรม และ ‘การตั้งรหัสเบิกถอน’ หรือ ‘Fund Password’ ซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่จะมีการถอนสินทรัพย์ออกจากบัญชีของลูกค้า  

ทั้งนี้ Upbit เป็นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยรางวัล Information Security Management System (ISMS) จาก Korea Internet & Security Agency (KISA) เป็นรายแรกเมื่อปี 2018 และมาตรฐาน International Organization for Standardization (ISO) อีก 3 มาตรฐาน ได้แก่ ISO/IEC 27001:2013, ISO/IEC 27017:2015 และ ISO/IEC 27018:2014

2. Proven Experience : แพลตฟอร์มมากประสบการณ์ที่ซัพพอร์ตสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการได้

Upbit เชื่อมั่นในการไม่หยุดแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของแพลตฟอร์มเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยการนำประสบการณ์ที่สั่งสมทั้งหมดมาต่อยอดเสมอ

ยกตัวอย่างเช่น การแสดงหน้ากราฟกระดานเทรดที่เข้าใจได้ง่ายแก่นักลงทุน ความสามารถในการปรับแต่งฟังก์ชันการแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล ไปจนถึงการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานระดับสากล และการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของนักลงทุนอย่างรัดกุม ซึ่งในปัจจุบันระบบบนแพลตฟอร์มของ Upbit นั้นสามารถรองรับมูลค่าการเทรดได้อย่างมีเสถียรภาพ ทั้งหมดนี้จึงทำให้การเทรดสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย

3. Global Standard : มีพันธมิตรสนับสนุนรอบโลกร่วมสร้างความโปร่งใส

แน่นอนว่าการก้าวมาเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกได้ ย่อมต้องมีพันธมิตรที่สามารถช่วยให้แบรนด์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

โดยเฉพาะในแง่ของการป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการกระทำผิดเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการที่ Upbit ยึดมั่น ยกตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับ ‘VerifyVASP’ บริษัทผู้ให้บริการตรวจสอบธุรกรรมผ่านบล็อกเชน ที่ร่วมกันสร้างเครือข่ายของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้แข็งแกร่ง ภายใต้กฎ Travel Rule ของหน่วยงาน FATF รวมถึงการตรวจสอบย้อนหลัง (Forensic) เพื่อศึกษาต้นตอของการใช้แพลตฟอร์มเพื่อเป็นช่องทางการกระทำผิดของอาชญากรได้

นอกจากนี้ Upbit ยังมีพันธมิตรที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีก อาทิ ในอุตสาหกรรมกีฬา ด้วยการเป็นพันธมิตรกับ SSC Napoli สโมสรฟุตบอลจากลีกประเทศอิตาลี

4. Professional Trading : เหมาะกับนักลงทุนมืออาชีพ ด้วยกลไก API รองรับการเทรด 

ในมุมของนักลงทุนมืออาชีพแล้ว การมีแพลตฟอร์มที่เสถียรย่อมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประสบการณ์การเทรดนี้เอง Upbit จึงมีการใช้กลไกการส่งคำสั่งด้วย API (Application Programing Interface) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทั้งในแง่ของการซื้อ-ขายของเหรียญ และการจัดการคำสั่งซื้อ-ขายของผู้ใช้งานที่มีจำนวนมาก

5. Expand Potential : ปรับตัวเข้ากับหลัก ESG เพื่ออนาคตของโลก

ไม่ใช่แค่เรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้นที่ต้องการยกระดับ เพราะในแง่ของความยั่งยืน Upbit ก็เป็นหนึ่งในองค์กรด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่พยายามผลักดันแนวคิด ESG หรือการพัฒนาองค์กรด้วยความยั่งยืนเพื่ออนาคตอันมั่นคงของโลก และร่วมกันผ่านพ้นวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 

ในส่วนของ Upbit Thailand แนวคิดด้าน ESG นั้นถูกปลูกฝังแก่พนักงานผ่านวิธีการเรียบง่ายแต่ทำได้จริง เช่น การใช้ทรัพยากรในสำนักงานเท่าที่จำเป็น และในภาพใหญ่ขององค์กรยังมีการสนับสนุนในเรื่องของ carbon offset อีกด้วย โดย Upbit Thailand ได้รับการรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (net zero) จาก Tembusu Asia Consulting ประเทศสิงคโปร์ (TAC) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย

6. Financial Stability : การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเพื่อแสดงความโปร่งใส

ในเรื่องของ ‘ความมั่นคงและความมั่นใจ’ Upbit มีการเปิดเผยงบการเงิน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเพื่อให้ลูกค้าสามารถประเมินสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และความเสี่ยงของกิจการได้อย่างต่อเนื่องและโปร่งใส

7. Compliance Regulatory Standards : การให้บริการภายใต้กฎของสำนักงาน ก.ล.ต. อย่างเคร่งครัด 

Upbit Thailand ถือเป็นแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อ-ขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) โดยมีการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ยกตัวอย่างเช่น การเลือกสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือมาให้บริการ ซึ่งมีให้เลือกเทรดมากว่า 100 สินทรัพย์, เทคโนโลยี Wallet ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย และระบบซื้อ-ขายสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 

โดย Upbit Thailand ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อการให้บริการ 2 ประเภท คือ 1. ศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) และ 2. นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) 

นอกจากนี้ Upbit Thailand ยังมีมาตรการปฏิบัติตามกฎ Travel Rule ตามแนวการกำกับของ Financial Action Task Force (FATF) เพื่อสามารถตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมได้อย่างโปร่งใส 

นี่คือแง่มุมที่น่าสนใจของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชื่อว่า Upbit อย่างไรก็ตาม เรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเข้าถึงได้ง่ายก็จริง แต่ทุกๆ การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ การมีอยู่ของแพลตฟอร์มนั้นก็เพื่อช่วยให้การแลกเปลี่ยนนั้นทำได้ง่ายมากขึ้น

ฉะนั้นการลงทุนทุกๆ ครั้งจึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง และประเมินอย่างรอบคอบเสียก่อน เพราะประโยชน์นี้ไม่ใช่แค่กับตัวเราเอง แต่ยังรวมไปถึงนิเวศของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
LINE: http://go.upbit.one/line
Email: [email protected]

วาดเส้น เติมสีสันกับ PEPPER.INKER สตูดิโอสักสุดสดใสของ ‘ชาช่า ริต์ตา‘ ที่ให้คุณค่ากับงานออกแบบ

ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับงานศิลปะ และเปิดกว้างเรื่องเสรีภาพบนร่างกายมากขึ้น ‘การสัก’ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกตั้งคำถามอีกต่อไป 

สิ่งนี้กลายเป็นภาษาศิลป์บนร่างกายที่เล่าเรื่องราวเจ้าของผิวผ่านรอยหมึกที่ถูกย้ำด้วยเข็มนับร้อยครั้ง รอยหมึกที่ช่างสักบรรจงลากเส้นให้เป็นลาย 

เช่นเดียวกับวลี ‘Your Tattoo Your Story’ ที่ ชาช่า–ริต์ตา รามณรงค์ เจ้าของสตูดิโอสัก PEPPER.INKER ให้คำนิยามกับงานสักว่าเป็นเสมือนตัวแทนที่เล่าเรื่องราวของคนคนหนึ่งผ่านงานศิลปะบนร่างกายได้

สตูดิโอสัก PEPPER.INKER เป็นธุรกิจล่าสุดของชาช่าที่เกิดจากการใส่ส่วนผสมความเป็นตัวเองและความชื่นชอบศิลปะในอัตราส่วนพอดิบพอดี เกิดเป็นสตูดิโอสักที่มีสไตล์ชัดเจนไม่ซ้ำใครตั้งแต่ประตูทางเข้าจนถึงเตียงสัก

นอกจากการให้คุณค่ากับงานออกแบบทั้งบนผิวหนังและผนังสตูดิโอแล้ว อีกสิ่งที่ชาช่าให้ความสำคัญและทำมาตลอดคือการดูแลลูกค้าอย่างดี ตั้งแต่เริ่มพูดคุยไปจนถึงช่วงหลังการสักอย่างดีที่สุด ด้วยเชื่อว่าจะเป็นการสร้างมาตรฐานและบริการที่ดีของสตูดิโอได้  

หลังจากที่ PEPPER.INKER ได้เติบโตมาเป็นอย่างดีกับขวบปีที่ 6 ฝากผลงานการสักนับพันชิ้นบนเรือนร่างของผู้คนหลากหน้าหลายตา ชวนให้เราอยากรู้ถึงเรื่องราวในแต่ละก้าวการเติบโตของสตูดิโอสักแห่งนี้ที่ยังคงฮิตติดกระแสมาตลอดตั้งแต่เปิดสตูดิโอในวันแรก  

อย่างที่รู้กันดีว่าคุณมีหลายบทบาท ทั้งนักร้อง นักแสดง และนักสะสม ในวันนี้ที่คุณก้าวเข้ามาเป็นนัก ‘สัก’ ประตูสู่บทบาทใหม่นี้ถูกเปิดได้ยังไง

ช่าทำออกแบบกราฟิกมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เราพยายามเรียนรู้และขวนขวายด้วยตัวเองแล้วลงมือทำเลย ช่วงนั้นช่าทำแบรนด์ด้วย เป็นแบรนด์พินหรือเข็มกลัด ชื่อว่า Project number 92 แล้วก็มีรับออกแบบโลโก้ของแบรนด์ต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ 

ตอนนั้นเราทำเพราะเรามีความสุขและสนุกมาก เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบและทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง แล้วมันยิ่งทำให้ลายเส้นของเราเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นช่างสัก ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัว

ครั้งแรกที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสักมันเกิดจากแฟนของชาช่าไปสัก แล้วเรารู้สึกว่ามันเท่ดี เลยเริ่มสนใจ บวกกับเราทำออกแบบกราฟิกอยู่แล้วเลยคิดว่ามันน่าจะเอามาลิงก์กันได้ แต่ตอนนั้นภาพมันก็ยังไม่ชัดนะ แค่รู้สึกว่าอยากลองดูและมันน่าจะสนุกดี 

หลังจากมีความคิดนี้ช่าก็เริ่มเสิร์ชหาโรงเรียนสอน จนมาเจอโรงเรียนของครูที่ตอนนี้เป็นหนึ่งในช่างสักของสตูฯ เราด้วย สมัยนั้นมันเป็นยุคที่ยังสักด้วยเครื่องคอยล์อยู่ เครื่องมันค่อนข้างหนักและเลอะมือ สักเสร็จแล้วมือดำปิ๊ดปี๋เลย บวกกับโรงเรียนค่อนข้างไกลมาก เราก็ไปเรียนได้ประมาณ 2 ครั้ง แล้วเลิกไป

ในเมื่อยอมแพ้ไปแล้ว อะไรทำให้คุณกลับมาจริงจังกับการสักจนเปิดสตูฯ ของตัวเอง

มีเพื่อนของช่าคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่บอบบางมากแล้วตอนนี้มีรอยสัก มันเลยจุดประกายให้เราว่าถ้าเขาสักได้ เราก็ต้องสักได้สิ เราเลยขอคุณแม่ไปสัก ซึ่งก็โน้มน้าวใจอยู่นานพอสมควร แต่ก็แอบไปสักจนได้เป็นรูปแอปเปิล มาจากชื่อคุณแม่ 

มันเป็นเหมือนไฟลต์บังคับที่คุณแม่ต้องยอม ทีนี้พอได้เห็นช่างสักอีกครั้งเลยยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งนี้มันเท่มากและเราอยากทำ ช่าเลยตั้งใจกลับไปเรียนอีกครั้ง หลังจากเรียนจบเราก็หาที่แล้วก็เปิดร้านเลย

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นช่าเลยเปิดรับสักฟรีไปก่อนประมาณ 40-50 คน เราบอกลูกค้าว่าตรงนี้เราฝึกสักนะ ซึ่งลูกค้าก็โอเค จากนั้นเราก็สะสมเป็นผลงานลงบนไอจีมาเรื่อยๆ แล้วลายเส้นเราก็เริ่มชัดเจนขึ้น เราเลยรู้สึกว่าโอเค พร้อมแล้ว เลยเริ่มเปิดเป็นทางการ

วันนี้ที่ค่านิยมการสักเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น คุณมองว่าสิ่งนี้มีผลกับธุรกิจของคุณยังไงบ้าง

ช่ามองว่ามันทำให้งานสักดูน่ารักขึ้น คนยุคนี้เลยเปิดใจกับการสักมากขึ้นด้วย เพราะภาพลักษณ์ตอนนี้มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนสมัยก่อน คนมองงานสักเป็นเหมือนงานศิลปะ ซึ่งมันค่อนข้างตรงกับสิ่งที่เราทำใน PEPPER.INKER ด้วยสไตล์งานออกแบบที่มันน่ารัก คนเลยกล้ามาสักกันมากขึ้นด้วย

อย่างที่ช่าบอกว่ามันไม่น่ากลัว สักแล้วมันไม่เจ็บเท่าที่คิด บางทีช่าสักแล้วลูกค้าหลับจนกรนเลยก็มี เพราะนอกจากจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักมือช่างสักแล้ว เครื่องมือและเทคนิคก็มีผลเหมือนกัน ตอนช่าไปสักครั้งแรกก็กลัวเหมือนทุกคนว่ามันจะเจ็บ เหมือนเรามีภาพจำแบบนั้นไป ซึ่งพอมันไม่เจ็บเท่าที่คิดแล้วทุกคนก็เริ่มสนใจงานสักมากขึ้น ทำให้กลายมาเป็นจุดขายของ PEPPER.INKER ด้วย 

ทำไมต้องเป็นชื่อ PEPPER.INKER 

ชาช่ามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็น PEPPER.INKER มันมีจุดเชื่อมโยงมาจากความชอบของช่าเองทั้งหมดเลย

จริงๆ แรกสุดเลยชาช่าใช้ชื่อว่า Yellow Submarine เพราะว่าตอนนั้นชาช่าชอบเพลงของ The Beatles มาก หลังจากนั้น ทุกคนก็จะรู้ว่าชาช่าเป็นคนชอบสะสมตุ๊กตา แล้วเราไปเจอกับตุ๊กตา BJD ที่เป็นเรซิน แล้วตัวนี้เขาชื่อว่า Pepper Annie แต่ว่าตัวเขาใหญ่มาก ซึ่งเรารู้สึกไม่สันทัดตุ๊กตาใหญ่ เลยได้แต่เก็บชื่อเขามาชอบ พอดีกับที่เราไปได้ตุ๊กตาหมาป่าแวร์วูฟตัวหนึ่งมา เราก็ตั้งชื่อว่า Pepper เลย

ทีนี้ช่าก็เริ่มอยากเอาคำว่า Pepper ไปใส่ทุกอย่าง เพราะเราชอบคำนี้มาก ก็เลยลองวางคำเป็น Pepper Ink บ้าง Pepper Tattoo บ้าง หรืออะไรที่คำมันลิงก์กัน ก็เลยกลายเป็น PEPPER.INKER ที่ทุกคนรู้จักในทุกวันนี้

การนำความชอบของตนเองมาต่อยอดเป็นธุรกิจ คุณมองว่าสิ่งนี้ทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จยังไงบ้าง

ช่าว่ามันทำให้เรามีเอกลักษณ์และคนอื่นสามารถจำเราได้ อย่างการตกแต่งในสตูฯ ก็มาจากความชอบของเรานะ ตั้งแต่เรื่องโทนสีเลย ช่าเลือกใช้เป็นแม่สี 3 สี แดง เหลือง น้ำเงิน 

มันมาจากการที่ช่าสักงานไปเรื่อยๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่า 3 สีนี้สไตล์มันชัดดีและมันดูเป็นตัวเรา ช่ามองว่ามันมีเสน่ห์ เพราะแม่สีมันสามารถผสมแล้วกลายเป็นสีใหม่ๆ ได้ พอดึงตรงนี้มาต่อยอดเลยเป็นภาพจำ พวกเตียงสัก เก้าอี้ที่นั่งก็สั่งทำให้เป็นโทนนี้ เพราะช่าอยากให้มันพิเศษและเป็นแบบของเราโดยเฉพาะ

หรืออย่างการมีของเล่น ของสะสมที่คนมาสักหรือดูตามโซเชียลฯ ของชาช่าเขาจะจำได้กัน อันนี้เราเอามาจากบ้านเลย แล้ววางไว้แทบทุกอณูในสตูฯ เพราะช่ารู้สึกว่ามันคือตัวตน เราชอบอะไรที่มันมองแล้วมัน nostalgic มันทำให้เรานึกถึงตอนเด็กๆ แล้วช่างสักในร้านคนอื่นก็ชอบสะสมของเล่นเหมือนกันมันเลยดึงดูดกันโดยอัตโนมัติ ช่าเลยทำเป็นตู้โชว์ของเล่นและของสะสมในสตูฯ เพราะเราให้คุณค่ากับมัน เราตั้งใจเก็บและจำได้ทุกตัว

เรามองว่าทั้งหมดนี้มันเป็นข้อดีมากๆ เพราะลูกค้าที่มาเขาให้ความสนใจและชมสตูฯ เราว่าน่ารักจังเลย เราแฮปปี้มากที่เขาชอบในสิ่งที่เราทำ แล้วอย่างที่เราบอกว่าบางคนยังมีความกลัวการสักอยู่ พอเราตกแต่งแบบนี้มันช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย เหมือนมาร้านขายของเล่น หรือว่ามิวเซียมของสะสม เขาก็จะชิลล์เวลานอนสัก บางทีก็มีมองของเล่นไปด้วย จริงๆ ก็เหมือนเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ทำให้ความเครียดความกลัวมันน้อยลง เพราะยิ่งเราเครียดมันจะยิ่งรู้สึกเจ็บ

กลายเป็นว่าระหว่างสักก็มีเรื่องให้ชวนคุยกันด้วย มันยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นทั้งช่างสักและลูกค้า เหมือนเป็นตัวเริ่มต้นบทสนทนา พอเราคุยกันไปก็จะได้แลกเปลี่ยนกันมากขึ้น เรื่องอะไรใหม่ๆ บางเรื่องช่าก็ได้เรียนรู้จากลูกค้า บางคนก็เล่าเรื่องปรับทุกข์ ชาช่าว่ามันช่วยบำบัดผู้คนเหมือนกัน 

การได้คุยกัน ได้ฟังกัน มันได้แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ได้ มันดีเลย

คิดว่าสิ่งที่ชูความเป็นตัวตนของ PEPPER.INKER ให้แตกต่างไปจากเจ้าอื่นคืออะไร

PEPPER.INKER ให้ความสำคัญกับการออกแบบ ช่าจะคุยกับลูกค้าอย่างละเอียดก่อนเสมอว่าเขาอยากได้อะไร และแนวไหน เราก็กรุ๊ปทั้งหมดให้ ซึ่งหลังจากตรงนี้คนอื่นอาจจะออกแบบมาก่อนตามลูกค้าบอกมา แต่ของช่าคือเราจะรอเจอลูกค้าที่สตูฯ ก่อนแล้วค่อยออกแบบ 

เราจะมาคุยกันก่อนสักทุกครั้ง และคอยอธิบายกับลูกค้าว่าอันนี้ออกแบบตามที่ต้องการนะ ลูกค้าชอบไหม หรืออยากปรับตรงไหน เราก็จะทำตอนนั้นเลย เพราะเราให้คุณค่ากับการออกแบบผลงานมาก มันต้องอยู่บนร่างกายเขา เราเลยให้ความสำคัญกับคนที่มาสักทุกคนและต้องการทำสิ่งนี้ให้ออกมาดีที่สุด มันคือ special moment ของเขา

ทำไมต้องออกแบบหลังจากคุยที่สตูดิโอเท่านั้น

ด้วยความที่คอนเซปต์ของ PEPPER.INKER คือ ‘Your Tattoo Your Story’ ช่าเชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวของตนเอง นั่นคือสาเหตุที่ทำไมเราต้องออกแบบงานใหม่ตลอด เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนชอบสิ่งเดียวกัน ชาช่าเลยจะออกแบบเมื่อลูกค้ามาถึงเท่านั้น ซึ่งช่าจะดูประกอบไปกับลักษณะของเขาด้วย การออกแบบมันจะเข้ากับสไตล์ลูกค้ามากขึ้นด้วย 

หมายความว่าบางคนเป็นผู้หญิงห้าวๆ มา เราคงไม่ใส่แบบสีหวานๆ ให้เขาทำนองนี้ ช่าว่ามันเป็นเสน่ห์ของการได้เจอและพูดคุยกันก่อน 

สตูฯ เรามีช่างสัก 3 คนที่สไตล์จะต่างกันออกไป คนแรกก็ครูของชาช่าที่สอนสักให้ ครูจะรับเป็นงานสไตล์ไล่แสงเงา งานดอกไม้ แล้วก็รับเป็นงานที่ยากๆ เช่น งานแก้ งานกลบสี ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนของชาช่าที่สนิทกันมาตั้งแต่ทำพินเลย คนนี้จะเป็นงานกราฟิกที่น่ารักแบ๊วๆ มีความเป็นการ์ตูน ส่วนชาช่า สไตล์กราฟิกก็จะเป็นแนวน่ารักแบบซนๆ เวลาคุยกับลูกค้าก็จะค่อนข้างชัดว่าสไตล์ไหนเหมาะกับลูกค้าคนไหนด้วย

กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาสักกับ PEPPER.INKER เป็นคนที่มีความชอบสไตล์ไหน

กลุ่มลูกค้าของที่นี่มีหลายช่วงวัยมาก มีตั้งแต่วัยรุ่นอายุ 20 ปีจนถึงวัยเกษียณ 60 ปีก็มี เพราะว่าบางคนเขาชอบสไตล์นี้ เขาอยากสักแนวนี้ เขาก็มาหาเรา ส่วนมากที่มาก็จะเป็นคนที่สักครั้งแรก เพราเขารู้จักเราและเห็นโซเชียลฯ ที่เราลงตลอด เขาก็มั่นใจและไม่กลัว เหมือนเขาตั้งใจมากันอยู่แล้ว

ส่วนมากลูกค้าจะมีสไตล์ที่ชัดมาก ว่าชอบผลงานของสตูฯ เรา บางคนใส่แว่นน้ำเงินแดงเหลืองมาเลย เขาตั้งใจใส่มาวันนี้ให้เห็นเลย มันเลยทำให้เราเห็นว่าคนที่เขาชอบงานเราเขาก็ต้องเป็นสไตล์แบบเรา แต่ก็มีบางคนนะที่ดูไม่ใช่สไตล์เราเลย ก็เลือกมาสักงานเรา

จริงๆ ผู้ชายมาสักกับชาช่าเยอะนะ ตอนแรกช่าจะคิดว่าเขาจะมารอแฟน แต่เขาตั้งใจมาสักกับเราเลย ช่าก็จะออกแบบให้งานมันแมนขึ้น อาจจะไม่ใส่ความน่ารักลงไป แต่ว่าเราก็ยังคงให้มีความสดใสสไตล์เราอยู่ ช่าเลยคิดว่าคนมาสักกับชาช่าก็ต้องมีความสดใสอะไรบางอย่างในตัว ไม่ว่าจะการแต่งตัว หรือความชอบสีสัน แบบนี้มันเห็นได้ชัดเลย

สิ่งที่ทำให้ PEPPER.INKER ยืนอย่างมั่นคงมาถึงทุกวันนี้คืออะไร

ช่าว่านอกจากเราทำด้วยความชอบของเราแล้ว เรื่องการโปรโมตก็สำคัญมาก อย่างเราก็ใช้ TikTok ทำคลิปเพื่อให้คนรู้จักเรามากขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนเข้าถึงกันง่ายขึ้นมากๆ มันเป็นตัวเชื่อมระหว่างเขาและเราให้รู้จักพื้นที่ตรงนี้มากขึ้น 

คลิปของช่าจะบอกทุกอย่าง เราจะบอก จะแนะนำอะไร ก็จะพูดในคลิปเลย แสดงให้เห็นทั้งวิธีการเลือกลาย อุปกรณ์ที่ใช้ เวลาคนมาดูก็จะได้หลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่รับรู้ว่านี่คือร้านสักเท่านั้น

แล้วการให้คุณค่ากับผลงานก็สำคัญ คือช่ามีความรู้สึกว่าเราไม่ชอบให้ใครมาก๊อปผลงานเรา ช่าก็เริ่มจากการให้คุณค่ากับสิ่งนี้ เราออกแบบเองทั้งหมด มันเลยมีความเป็นออริจินอลมาก แต่บางทีเราก็เจอการก๊อปงาน แต่ก็เข้าใจว่ายังมีบางส่วนที่ยังไม่ตระหนักถึงตรงนี้มากพอ  

คุณดูเป็นคนที่มีไฟในทุกๆ ธุรกิจที่ทำ เคยมีช่วงที่หมดไฟบ้างไหม แล้วจัดการกับช่วงนั้นยังไง

พอเราทำมาด้วยความชอบ เราก็กล้าตอบว่ายังไม่เคยมีนะ แต่มันก็มีช่วงที่เราต้องสะดุดอยู่เหมือนกัน คือช่วงโควิด-19 ตอนนั้นเราเคว้งเลย สตูฯ ต้องปิดไป 7 เดือน เพราะมันเป็นข้อบังคับให้ปิด แทบทุกร้านทุกธุรกิจได้ผลกระทบกันหมด ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ช่าโชคดีตรงที่ลูกค้าก็ยังเลือกที่จะรอ และไม่มีใครคืนมัดจำสักคน เราเลยรู้สึกโอเค เดี๋ยวเรารอสถานการณ์ดีขึ้น แล้วทยอยรวมทีมใหม่

อีกเรื่องคือเราไม่เคยคิดจะวางมือจากตรงนี้เพราะสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นเลย เรามองว่ามันคือความรับผิดชอบกับลูกค้าที่เคยจองไว้ด้วย มันเป็นความรับผิดชอบระยะยาว เพราะบางคนจองคิวกันเป็นปี เราเลยทำได้แค่รอสถานการณ์ 

จริงๆ ช่างสักในสตูฯ ก็เครียดกันนะ เพราะช่างบางคนไม่ได้ทำงานอื่น เราก็เลยยืดหยุ่น คืออยากทำอะไรเราเปิดกว้างเต็มที่ ไม่ต้องเข้างานทุกวัน มีคิวสักค่อยเข้ามา ซึ่งมันทำให้ช่างสักจัดการชีวิตตัวเองได้ ความเครียดก็น้อยลงด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งรอลูกค้าทุกวัน เราตัดปัญหาการรับวอล์กอินไปเลย

มาถึงตรงนี้ คุณมองภาพในอนาคตของ PEPPER.INKER ไว้ยังไงบ้าง

เราอยากเปิดคอร์สสอนมาก ซึ่งก็มีรับสอนอยู่บ้าง แต่เราอยากปรับให้ตอบโจทย์การเรียนรู้ของคนยุคนี้มากขึ้น มีความเป็นเวิร์กช็อปมากขึ้น มีความมินิมอลที่เข้าถึงง่าย เพราะบางคนแค่อยากลองทำ แต่ไม่ได้อยากจริงจัง เราก็อยากตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งช่าก็รอย้ายสตูฯ ใหม่ให้ทุกอย่างลงตัวขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยเริ่มมาทำคลาส 

แล้วก็อยากทำสิ่งที่ทำอยู่ต่อไปเหมือนเดิม อย่างตัว Flash Day ก็เป็นกิจกรรมที่ช่าจะออกแบบลายมาแล้วเปิดจองคิวให้คนสนใจมาสักได้เลยตามวันที่เราวางไว้ อันนี้เขาไม่ต้องไปรอคิว 1 ปี แต่สักได้เลย มันก็จะสนุกสำหรับเขาและสนุกสำหรับเราด้วย ซึ่งช่าจะวางไว้เป็น Flash Day ปีละ 2-3 ครั้ง

เรามองว่าเราก็อยากทำตรงนี้ไปอีกนานเลย จนแก่หรือจนจะปวดคอกว่านี้

ตลอดระยะเวลา 6 ปี คุณได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นทั้งเจ้าของและช่างสักของสตูดิโอ PEPPER.INKER บ้าง

อย่างแรก คือต้องรับผิดชอบต่องานทั้งหมดที่มีและพยายามทำให้มันดีที่สุด ในทุกกระบวนการเราต้องอธิบายทุกอย่างให้ลูกค้าฟังได้ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจที่สุด บางคนสีไม่ติด เราก็ต้องอธิบายว่าเกิดจากอะไร คือให้เขากังวลให้น้อยที่สุด

เพราะผลงานของเรามันอยู่กับเขาตลอดไป และเป็นเหมือนตัวแทน เวลาคนอื่นเห็นงานเราจากตัวเขา มันเป็นเหมือนชื่อเสียงของเราที่ออกไปเหมือนกัน 

เรื่องต่อมา คืออย่าหยุดโปรโมต เราต้องทำคลิปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะพอเขามองเห็นเรา รู้จักเรา เขาก็จะจำเราได้ และเริ่มมีเราอยู่ในใจ แม้เขาจะไม่ได้สักวันนี้ แต่ถ้าในอนาคตเขาคิดถึงร้านสัก แล้วเขาเคยเห็นเราบ่อยๆ เขาก็มีโอกาสสักกับเราได้เหมือนกัน ซึ่งมันคือการไม่ปิดช่องทางของตนเอง

และสำคัญที่สุด คือเรื่องของมาตรฐาน ทุกอย่างที่เลือกใช้ต้องดี ได้มาตรฐาน และสะอาดมากๆ เพราะมันมีโอกาสติดเชื้อได้ ช่วงหลังจากการสักเราก็ต้องดูแลเขาให้ได้มากที่สุด ต้องบอกวิธีการดูแลอย่างละเอียด ช่าจะบอกลูกค้าเสมอเลยว่าถ้ามีปัญหาทักมาได้ตลอด เพราะสตูฯ เราเน้นเรื่องการดูแลเป็นพิเศษ  

มีอะไรอยากบอกกับคนที่กำลังจะเริ่มลงมือทำธุรกิจไหม

ถ้าอยากทำก็ให้ทำเลย แต่ว่าควรจะเป็นสิ่งที่เราชอบ ถ้าเราไม่ชอบมันจะยากมากๆ เราอาจจะไม่อินกับมัน 

สมมติมันเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว ก็อยากให้ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะรู้ใจว่าเราอยากทำต่อไปไหม เพราะมันจะมีบางจุดที่เราอาจจะไม่อินแล้ว หรือความชอบเราเปลี่ยนไป แต่ช่าว่าถ้าตอนนี้ชอบและอยากทำก็ลุยไปเลย เพราะยิ่งเริ่มเร็วยิ่งมีโอกาสโตได้ไวขึ้น หรือถ้าเรารู้ใจตัวเองเร็วว่าเราอาจจะไม่ได้ชอบจริงๆ มันก็จะไม่เสียเวลาด้วย แล้วเราก็จะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ไวขึ้น

สำหรับคนที่สนใจวงการช่างสัก อยากให้ตระหนักในเรื่องของคุณค่าและให้ความสำคัญกับการออกแบบเอง เพราะช่าเชื่อว่าทุกคนที่ทำงานนี้ เราจะภูมิใจในการออกแบบของตนเอง และไม่อยากให้ไปก๊อปผลงานของใครเลย มันคือการให้เกียรติทั้งตนเองและลูกค้าด้วย 

ที่สำคัญ อย่ากดความสามารถของตนเองด้วยราคาที่ต่ำเกินไป เพราะทุกผลงานมันมีคุณค่า อยากให้เชื่อมั่นในตนเองให้มากๆ

Camp Safari ลานแคมป์ใกล้เมืองที่เปิดให้ถ่ายหนัง ขายสินค้าแรร์ และรับลูกค้าแบบ exclusive

ลัดเลาะเข้ามาในย่านคลองสามวา ท่ามกลางเสียงสิงสาราสัตว์ของซาฟารีเวิลด์ มีลานกางเต็นท์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ในอีกฝั่งของแม่น้ำ 

หากดูจากทัศนียภาพ ลานกางเต็นท์แห่งนี้รายล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวชอุ่ม รุ่มรวยไม่แพ้ลานแคมป์ปิ้งในต่างจังหวัด แทนที่จะทนขับรถหลายชั่วโมงเพื่อไปถึง กลับใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น–นั่นคือเหตุผลที่สายแคมป์ปิ้งหลายคนเลือกมาที่นี่

ที่น่าสนใจกว่า คือ Camp Safari เป็นลานกางเต็นท์แห่งแรกๆ ที่รับลูกค้ากันแบบ exclusive group หวังให้พวกเขาสะดวกสบายที่สุด แถมในวันดีคืนดี เอส–ปรมินทร์ นิลพันธุ์ ผู้ก่อตั้งที่คนในวงการยกให้เป็นกูรูแคมป์ปิ้ง ยังแปลงโฉมที่นี่ให้เป็นลานถ่ายหนัง ละคร โฆษณา หรือจัดงานอีเวนต์ แล้วแต่ว่าโจทย์ที่รับมาจะเป็นแบบไหน

ที่นี่ยังได้แรงบันดาลใจจากโมเดลโคกหนองนา เพราะนอกจากจะมีลานกางเต็นท์สำหรับเหล่าแคมเปอร์ค้างคืน Camp Safari ยังมีร้านขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้งครบวงจร รวมถึงของสะสมสุดแรร์สำหรับสายเอาต์ดอร์ แถมยังมีคาเฟ่สไตล์ฟาร์มตั้งอยู่ข้างๆ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาเช้าเย็นกลับ

แนวคิดในการทำธุรกิจของเอสก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ในขณะที่ผู้ประกอบการหลายคนบอกเราว่าลูกค้าคือพระเจ้า แต่กับเอส–ลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนที่เห็นหน้าค่าตา ช่วยเหลือ และยกระดับวงการแคมป์ปิ้งให้เติบโตไปด้วยกัน

01
สายแคมป์ปิ้งที่มาก่อนกาล

ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น เอสคือคนหนึ่งที่ชอบทำกิจกรรมเอาต์ดอร์และเอกซ์ตรีมเป็นที่สุด 

เขาชอบขี่มอเตอร์ไซค์ ขับรถโฟร์วีล ออกไปกางเต็นท์กับเพื่อนในสถานที่ต่างๆ แบบค่ำไหนนอนนั่น ไลฟ์สไตล์นี้ไม่เคยเปลี่ยนไป กระทั่งช่วงโควิด

“เรารู้สึกเหมือนโดนขัง อยู่กับบ้านก็เกิดความเครียด แต่ตอนนั้นมีที่เดียวที่เราสามารถไปเที่ยวได้แบบเว้นระยะห่าง คือลานกางเต็นท์” เขาย้อนเล่า “พอได้ไปเจอเพื่อนก็รู้สึกดีขึ้น เราเจอมิตรภาพใหม่ๆ ในลานกางเต็นท์ ได้มานั่ง มานอน ทำอาหารกินกันก็มีความสุขแล้ว”

ก่อนหน้าจะมีโรคระบาด กระแสแคมป์ปิ้งในไทยเริ่มบูมขึ้นมาได้สักพัก มีแบรนด์อุปกรณ์แคมป์ปิ้งเกิดขึ้นมากมาย อินเทอร์เน็ตทำให้ลูกค้าอย่างเราๆ สั่งสินค้าจากอีกทวีปได้ด้วยปลายนิ้ว โลกของการกางเต็นท์เองก็มีเฉดสีใหม่ๆ 

ทั้งกระแส glamping ลานกางเต็นท์สุดแกลม ถ่ายรูปสวย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่ทำให้อยู่เต็นท์ได้เป็นเดือนๆ หรือ ‘รถบ้าน’ ที่ผู้คนนิยมขับไปออกแคมป์กันมากขึ้น บางคนถึงกับ DIY รถตู้ของตัวเองให้มีห้องนอนและห้องน้ำ เพื่อที่จะกลายเป็นรถบ้านที่พร้อมสำหรับการออกแคมป์

“ช่วงโควิดนี่แหละเป็นช่วงที่กระแสแคมป์ปิ้งแรงที่สุด สินค้ามีราคาแพงขึ้นเพราะส่งออกและนำเข้ายาก หลายคนเห็นสินค้าแคมป์ปิ้งขายได้ดีก็ขายตาม ทำให้กระแสแคมป์ปิ้งเติบโตไวมาก”

02
กูรูแคมป์ปิ้ง

เพราะอยู่ในวงการเอาต์ดอร์มาเนิ่นนาน เอสจึงมีงานอดิเรกเป็นการสะสมอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง (เขาเรียกติดปากว่า ‘ของเล่น’) เมื่อสะสมเยอะเข้า เขาจึงเป็นที่พึ่งพิงเสมอเวลาเพื่อนในวงการต้องการคำแนะนำ นานวันเพื่อนๆ ก็ยกให้เขาเป็นกูรูด้านไอเทมแคมป์ปิ้งไปโดยปริยาย

จุดนั้นแหละที่เขาตัดสินใจว่าอยากทำธุรกิจจำหน่ายสินค้าแคมป์ปิ้งต่อ

“เรามีของเล่นเยอะ เราได้เล่นเราก็เลยรู้ แค่นั้นเอง ไม่ได้เก่งอะไรเลย” ชายหนุ่มถ่อมตัว 

เอสอยากศึกษาเกี่ยวกับเทรนด์แคมป์ปิ้งให้ลงลึกกว่าเดิม เขาจึงลงเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำดุษฎีนิพนธ์เกี่ยวกับเครือข่ายเอกชนในการผลักดันธุรกิจแคมป์ปิ้งต่อภาครัฐ ช่วงเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มทำรายการท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งทางยูทูบของตัวเองควบคู่ไปด้วย ต่อยอดไปสู่รายการ ‘แคมป์ซาฟารี วิถีคนแคมป์’ ทางช่อง JKN Top News ในเวลาต่อมา

03
ลานแคมป์ปิ้งใกล้กรุง

จากคนชอบสะสมสินค้าแคมป์ปิ้ง รักการออกไปกางเต็นท์เป็นชีวิตจิตใจ วันหนึ่งเอสก็ตัดสินใจขยายธุรกิจจากขายสินค้ามาเปิดลานกางเต็นท์เต็มตัว

เขากับน้องชายมีที่ดินผืนหนึ่งอยู่บริเวณทุ่งเพล จังหวัดจันทบุรี แต่โชคไม่ดีที่เป็นพื้นที่ที่ขับรถเข้าได้ยาก ตอนนั้นเอง เขาได้ยินว่ามีที่ดินผืนหนึ่งติดกับซาฟารีเวิลด์ เป็นพื้นที่ของหมู่บ้านจัดสรรที่ถูกปล่อยให้รกร้าง เขาต่อสายเพื่อขอเช่าทันใด ก่อนที่ภายหลังจะเจรจาซื้อ

“ที่นี่เป็นเหมือนป่าในเมือง มีเสียงสัตว์จากซาฟารีเวิลด์ และมีทะเลสาบอยู่ใกล้ๆ เราตื่นมาแล้วเหมือนอยู่ต่างจังหวัด” ทัศนียภาพเหล่านี้บอกเขาว่าที่นี่แหละ ‘ใช่’

อีกเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะลงทุนกับธุรกิจนี้คือ “ช่วงหนึ่งเราติดโควิดจนเกือบเสียชีวิต ต้องนอนในห้องไอซียูอยู่เกือบสิบวัน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราจะปลูกบ้านที่นี่พอดี เราเหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง พอรอดมาได้ก็อยากทำให้สำเร็จ

“มีคนเคยทักเหมือนกันว่า พี่ มาทำลานกางเต็นท์ที่นี่ ใครจะมา แต่เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราทำเล็กๆ ของเรานี่แหละ เพราะวันนี้ความสุขของเราคือการอยู่กับธรรมชาติ เคยคิดเหมือนกันว่าพอเปิดแล้วจะหาลูกค้าจากไหน แต่สุดท้ายก็มีรายการต่างๆ มาถ่าย มาขอสัมภาษณ์ อย่างรายการของบาส Go Went Go ช่วงนั้นเขาดังมาก ทำให้มีรายการอื่นๆ ตามมาอีกหลายรายการ”

ช่วงที่รายการแคมป์ปิ้งมะรุมมะตุ้มนี้แหละ ทำให้เขาผุดไอเดียของลานกางเต็นท์แบบใหม่ที่ไม่ได้มีไว้แค่กางเต็นท์เท่านั้น 

04
แคมป์ที่ไม่ใช่แค่แคมป์

“ถ้าดูจากสถานที่ ใครจะเชื่อว่าจะมีที่ที่มีนกเป็นหมื่นๆ ตัว มีเสียงสิงโต มีหิ่งห้อยแบบนี้อยู่ในกรุงเทพมหานคร นี่เป็นจุดแข็งหนึ่งที่เรามีไม่เหมือนคู่แข่ง” ชายหนุ่มบอก

ด้วยสถานที่ที่รุ่มรวยไปด้วยธรรมชาติและเสียงของสิงสาราสัตว์ Camp Safari เปิดให้บริการลานกางเต็นท์ที่รองรับเฉพาะลูกค้า exclusive group ซึ่งหากเทียบราคากับลานกางเต็นท์อื่นๆ แล้วราคาจะสูงกว่า แต่ราคานั้นแลกมาด้วยความสะดวกสบาย และการดูแลสถานที่ให้เพียบพร้อมตลอดเวลา ลูกค้าหลายคนก็เอ่ยปากว่าคุ้มค่าคุ้มราคา

“สำหรับเรา ลานกางเต็นท์ที่ดีต้องมีห้องน้ำสะอาด ไม่มีแมลง ที่สำคัญคือเราปฏิบัติกับลูกค้าเหมือนเพื่อนมาเยี่ยมบ้าน บางคนอยากมาย่างสเต๊ก มาอยู่แบบ glamping เราก็จัดเตรียมให้ จริงๆ คำว่า exclusive group ของเราก็มาจากลูกค้านะ คือเขามาแล้วว้าว รู้สึกเอกซ์คลูซีฟ นั่นเป็นการตัดสินของเขาเอง”

ทว่า ด้วยราคาของลานกางเต็นท์ที่อาจจะเข้าถึงลูกค้าได้เพียงบางกลุ่ม เอสก็นึกถึงลูกค้าคนอื่นๆ ที่อาจจะอยากมาเที่ยวชม Camp Safari เช่นกัน เขาคิดถึงโมเดล ‘โคกหนองนา’ แนวคิดการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมที่จัดการทรัพยากรในพื้นที่อย่างคุ้มค่า แรงบันดาลใจจากโคกหนองนาทำให้เขาอยากรวมหลายๆ สิ่งไว้ในพื้นที่เดียว เพื่อรองรับลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างที่เราเห็นในวันนี้ ภายในพื้นที่ของ Camp Safari มีตั้งแต่ร้านค้าจำหน่ายไอเทมเกี่ยวกับแคมป์ปิ้งจำนวน 2 ช็อป รวมของสะสมและสินค้าสุดแรร์จากทั้งฝั่งอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลี ไว้ให้สายช้อปได้จับจ่ายใช้สอย ส่วนคนที่อยากมาเที่ยวชมธรรมชาติเฉยๆ ก็สามารถมาที่ร้านกาแฟ Antika Café & Resort คาเฟ่ติดแม่น้ำสุดชิลล์ที่มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่ข้างใน

นอกจากนี้ Camp Safari ยังเปิดให้เช่าสถานที่เพื่อถ่ายหนัง ละคร รายการ โฆษณา และจัดงานอีเวนต์หลากหลายรูปแบบ

“ผมถามคุณว่าในวงการละคร เวลาคุณยกกองไปอยุธยาหรือชัยนาท คุณต้องใช้ค่าน้ำมันเท่าไหร่ ใช้กองคาราวานมหาศาลมีค่าใช้จ่ายกี่บาท แต่ถ้าคุณมาหาเราคุณอาจจะเซฟไปได้ครึ่งหนึ่ง อาจจะได้โลเคชั่นตรงนี้หลายๆ มุม คุณจบได้เลย 

“เพราะเราออกแบบให้มีทั้งน้ำ เนินเขา เนินหิน จำลองต่างจังหวัดมาที่นี่เลย” เอสบอก แล้วกระซิบว่า กองถ่ายที่ฮิตไม่แพ้กองละครคือกองถ่ายโฆษณาของสินค้าจำพวกรถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า แบรนด์เสื้อผ้า ไปจนถึงงานเปิดตัวศิลปินดัง 

05
จุดกระแสแคมป์ปิ้งไทย

ในฐานะหนึ่งในคนที่ปลุกกระแสแคมป์ปิ้งและลานกางเต็นท์ทางเลือกขึ้นมา เอสมองว่าวงการนี้ยังไปต่อได้อีกไกล ยังมีโอกาสให้ธุรกิจเติบโตอีกมาก 

“เราทุกคนรักธรรมชาติ เมื่อรักเราก็ต้องออกไปหาธรรมชาติ มันก็เป็นโอกาสให้หลายคนเปลี่ยนพื้นที่รกร้างเป็นลานกางเต็นท์ ยิ่งรัฐบาลบอกว่าจะเก็บภาษีพื้นที่เพิ่มหากปล่อยพื้นที่ให้รกร้าง คนก็ยิ่งอยากทำมากขึ้น ไม่มีอะไรเลยครับ แค่ปูหญ้าสวยๆ หาวิวสวยๆ ห้องน้ำสะอาด จบ คุณหากินได้แล้ว

“ถ้าคุณสร้างรีสอร์ต คุณลงทุนหลายล้าน แต่ถ้าคุณสร้างลานกางเต็นท์ แค่คุณปูหญ้า ทำห้องน้ำ แค่นี้คุณก็ต่อยอดได้ แล้วเมื่อคุณทำ ร้านขายอาหาร ขายของโชห่วยรอบข้างก็ได้อานิสงส์ไปด้วย” เขายกตัวอย่างให้เราเห็นภาพ 

“ผมยินดีนะที่มีคนทำลานกางเต็นท์มากขึ้น เพราะเท่าที่รู้มา มีลูกค้าที่ชอบกางเต็นท์ในไทย 2-3 ล้านคน ผมคงรับไม่ได้ทั้งหมด อีกอย่างคือลานกางเต็นท์ก็เหมือนโรงแรม ลูกค้าก็มองหาที่ใหม่ๆ ตลอด ผมคิดว่าธุรกิจแคมป์ปิ้งยังมีช่องว่างอีกเยอะ ยังมีใครหลายคนที่ยังไม่รู้จัก 

“มุมเสียที่ผมมองเห็นคือ ในประเทศไทยรัฐบาลยังไม่ผลักดันธุรกิจตรงนี้จริงจัง มีแค่ภาคเอกชนที่ผลักดันกันอยู่ ถ้ารัฐบาลผลักดันการท่องเที่ยวเหมือนต่างประเทศ เราว่ามันจะเกิดการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น”

06
เพื่อนแคมป์ปิ้ง

ตลอด 6 ปีของ Camp Safari เอสย้ำว่าสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจลานกางเต็นท์สำหรับเขา คือแพสชั่นและความจริงใจต่อลูกค้า

“เราต้องมีแพสชั่นกับสิ่งที่เราชอบ แล้วเราถึงจะสื่อให้ลูกค้าอินเหมือนเราได้ ทุกวันนี้ลูกค้ามาซื้อสินค้ากับผม ไม่ได้ซื้อกับลูกน้อง เพราะเขาซื้อด้วยความเชื่อมั่น ฉะนั้นเราต้องมีความจริงใจให้ลูกค้า ทำให้เขามาหาเราแล้วเขามีความสุข เพื่อให้ครั้งต่อไปที่เราไปเจอกันในป่า เราก็จะได้มีความสุขเหมือนกัน

“ลูกค้ากับผมไม่เคยเจอกันในห้าง เราเจอกันในป่า” เขาหัวเราะ “เรากินบนพื้นหญ้า นั่งโต๊ะแคมป์ ก่อกองไฟด้วยกัน ถือแก้วคนละใบ แล้วคนแคมป์เขามีน้ำใจต่อกัน เราแบ่งอาหารกินกัน ไม่ตัดสินว่าใครรวยหรือจนเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่มิตรภาพของเราเกิดขึ้นในป่า”

เราไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคต ธุรกิจของ Camp Safari จะเติบโตไปในทิศทางไหน แต่ดูจากรอยยิ้ม ตาเป็นประกาย และคำบอกเล่าเรื่องมิตรภาพจากเอสแล้ว เส้นทางธุรกิจของ Camp Safari คงจะไม่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน

3 คำแนะนำสำหรับคนที่อยากทำธุรกิจแคมป์ปิ้ง
โดย เอส–ปรมินทร์ นิลพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Camp Safari

  • มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และขยัน
  • จะทำธุรกิจอะไรต้องเริ่มต้นจากความชอบและมีแพสชั่นกับมันก่อน
  • ต้องมีความพร้อมเรื่องเงิน