นิปปอนเพนต์คว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์สีทาอาคารแห่งปี ‘Superbrands Thailand 2024’

นิปปอนเพนต์คือหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายสีที่หลายคนน่าจะคุ้นหูและอาจเคยใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองกันมาบ้าง เพราะนิปปอนเพนต์หรือบริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก จากประเทศญี่ปุ่น 

ไม่นานมานี้ นิปปอนเพนต์ยังตอกย้ำตำแหน่งของตนเองด้วยการคว้ารางวัล ‘สุดยอดแบรนด์สีทาอาคารแห่งปี 2567’ หรือ ‘Superbrands Thailand 2024’ ถือเป็นแบรนด์สีทาอาคารเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ ร่วมกับแบรนด์จากหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 26 แบรนด์ 

สิ่งที่น่าสนใจคือเจ้ารางวัลนี้ถือเป็นรางวัลบนเวทีระดับโลกที่จัดอย่างต่อเนื่อง 20 ปี ผลการตัดสินก็ผ่านเกณฑ์เข้มข้นจากผลโหวตของผู้บริโภคกว่า 15,000 คนทั่วประเทศ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านแบรนด์และการตลาดอีกกว่า 3,000 คน การพิจารณายังพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ brand quality คุณภาพของแบรนด์, brand affinity ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค และ brand personality เอกลักษณ์ของแบรนด์

การที่แบรนด์สีอายุกว่า 57 ปีแบรนด์นี้ได้รับรางวัลครั้งนี้ถือเป็นการสะท้อนความนิยมการเลือกใช้สีของคนไทยไม่น้อย ทั้งยังสะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดของนิปปอนเพนต์ที่ว่า ‘Inspired by you: สีที่คิดเพื่อคุณ’ ที่ประกอบด้วยหลัก 3C 

ไม่ว่าจะเป็น ‘customer-centric’ การมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างถ่องแท้ ‘customized solution’ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่น เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับลูกค้า และ ‘concrete innovation’ การพัฒนานวัตกรรมที่มีคุณภาพและมาตรฐาน สามารถทดสอบได้จริง 

แนวคิด ‘Inspired by you: สีที่คิดเพื่อคุณ’ ยังต่อยอดเป็นภาพยนตร์โฆษณา ‘สีที่คิดเพื่อคุณ’ ถือเป็นการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของนิปปอนเพนต์เลยก็ว่าได้ ด้วยโฆษณานี้สื่อสารถึงจุดยืนของแบรนด์ว่าเป็นสีที่ ‘ยึดความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง’ (customer-centric) และเข้าใจความแตกต่างของทุกคน

ทั้งยังขยายการรับรู้เป็นวงกว้าง ทั้งกลุ่มเจนฯ X, เจนฯ Y จนถึงเจนฯ Z ผ่านการใช้เครื่องมือทางการตลาดแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะสื่อวิทยุ สื่อนอกบ้าน (out-of-home) อินฟลูเอนเซอร์ หรือ KOLs และโซเชียลมีเดียทุกช่องทางตาม customer journey ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นอกจากรางวัลที่ว่าแล้ว นิปปอนเพนต์ยังได้รับรางวัล ‘Cover of the Year 2024’ สุดยอดหน้าปกแห่งปี ด้วยออกแบบปกได้สวยงาม ซึ่งรางวัลนี้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจาก 26 สุดยอดแบรนด์ที่ร่วมรับรางวัล และเพื่อส่งมอบความสุขให้คนไทย ไม่นานมานี้นิปปอนเพนต์ยังมีโครงการ ‘นิปปอนเพนต์ สีสร้างสุข’ ที่ส่งมอบสีทาอาคารและซ่อมแซมบูรณะชุมชนต่างๆ อย่างการฟื้นฟูชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย  

นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ยังกล่าวปิดท้ายว่ารางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จในฐานะแบรนด์มาตรฐานระดับโลกด้วยแนวคิด ‘Think Globally, Act Locally’ ที่นิปปอนเพนต์นำมาปรับใช้กับการเจาะตลาดแต่ละประเทศ จึงทำให้สามารถสร้างกิจกรรมทางการตลาดที่เชื่อมสัมพันธ์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้ทุก brand touchpoints  

ชุดทำงานของ ‘กรุณา บัวคำศรี’ สู่ TARA แบรนด์ที่อยากสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมผ่านเสื้อผ้า

ในวันฟ้าโปร่งที่เรานัดพบกับ กรุณา บัวคำศรี ณ บ้านพักส่วนตัวของเธอ กรุณาผู้เรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่นา’ ปรากฏตัวในชุดเสื้อยืดสบายๆ กับกางเกงคาร์โก้ขายาว เป็นลุคเท่ๆ ที่เธอใส่รายงานข่าวภาคสนามมาแล้วบ่อยครั้ง 

กรุณาในหน้าจอที่เราเห็นเป็นยังไง ตัวจริงของเธอก็เป็นอย่างนั้น ดูติดดิน คุยสนุก พูดจาชัดถ้อยชัดคำ และหากเสื้อผ้าจะสะท้อนตัวตนของใครสักคนได้จริงๆ ชุดที่กรุณาเลือกใส่ก็คงไม่ได้สะท้อนอะไรไปมากกว่าบทบาทนักข่าวที่เธอรักสุดใจ 

เป็นคำว่า ‘ชุด’ และ ‘งานข่าว’ อีกเหมือนกันที่พาให้เรามาเจอเธอที่นี่ อีกคำสำคัญไม่แพ้กันคือ ‘ธุรกิจ’ เพราะนอกจากบทบาทการเป็นนักข่าวอิสระที่หลายคนคุ้นหน้า เมื่อเร็วๆ นี้ กรุณาเพิ่งก่อตั้งแบรนด์ TARA ขายเสื้อผ้าเดดสต็อกและของใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายในการหารายได้ไปทำข่าวกับคอนเทนต์ที่ตัวเองเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับคนดูข่าวและโลกใบนี้

ในบ้านพักที่เงียบสงบของ ‘พี่นา’ เราชวนเธอย้อนรำลึกถึงเส้นทางการทำงานข่าว บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากการงาน และไม่พลาดที่จะแวะคุยถึงยูนิฟอร์มสุดเท่ รวมถึงธุรกิจที่เธอเพิ่งก่อตั้งหมาดๆ

Work by กรุณา บัวคำศรี

ย้อนกลับไปในจุดแรกเริ่ม อะไรทำให้คุณอยากทำงานในวงการข่าว

ง่ายมาก พี่ไม่ชอบทำงานออฟฟิศ ไม่ชอบอยู่ในชีวิตวนลูป และไม่ชอบความมีแพตเทิร์น พี่ชอบงานที่ทำให้เรารู้สึกได้เจออะไรใหม่ๆ ทุกวัน ซึ่งมันมีสักกี่อาชีพกัน 

พี่เคยอยากเป็นเจ้าหน้าที่ UN ทำงานภาคสนามแต่มันไกลตัวไป เพราะเราไม่ได้เกิดและโตมาในครอบครัวที่สามารถส่งให้เราอยู่ในสถานศึกษาดีๆ เพื่อจะได้คะแนนดีๆ แล้วไปสอบเข้าองค์กรระหว่างประเทศได้ โดยรวมแล้วพี่อยากทำงานอะไรก็ได้ที่ทำให้ได้ออกไปเจอคนและได้เดินทาง พี่จึงเริ่มต้นด้วยการเป็นนักข่าว

ตอนเป็นนักข่าว องค์กรที่พี่สังกัดส่วนใหญ่ค่อนข้างให้อิสระเยอะ อยากไปทำอะไรก็ได้ ไม่ค่อยมีกฎเกณฑ์จุกจิกเท่าไหร่ เพราะพอเป็นองค์กรที่มีความเป็นพี่เป็นน้องกันจึงค่อนข้างยืดหยุ่น สิ่งที่พี่ชอบทำที่สุดคือตื่น 6 โมงเช้า บางวันขับรถ 6 ชั่วโมงไปเจอแหล่งข่าว บางวันตื่นเที่ยง นั่งเครื่องบินไปอีก 1 ชั่วโมง มันเป็นความไม่เหมือนกันทุกวัน 

หลายคนรู้จักคุณจากรายการ รอบโลก By กรุณา บัวคำศรี แต่เส้นทางการทำงานของคุณก่อนหน้านั้นเป็นยังไง 

งานแรกหลังจบมหาวิทยาลัย พี่ทำที่บางกอกโพสต์ เป้าหมายในตอนนั้นคือการหาที่ทำงานสักที่เพื่อเริ่มชีวิตเป็นนักข่าว ตอนนั้นรู้สึกว่าสิ่งที่จะทำให้ไปได้ไกลและเข้าถึงข้อมูลได้เยอะคือภาษาอังกฤษ ซึ่งเวลานั้นภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยดี พี่จึงเรียนด้วยการลงมือทำ (learning by doing) ด้วยการกระโดดเข้าไปทำงานที่บังคับให้เราต้องทำ สิ่งที่ทำคือวิ่งข่าวแล้วต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมันก็ท้าทายพอสมควรแต่เรามีแรงขับอยากเอาชนะอุปสรรคตรงนี้ให้ได้ 

พอได้เขียนบทความมันก็ทำให้เราคิดเป็นระบบมากขึ้น ได้ฝึกรวบรวมข้อมูลและประกอบร่างมัน ได้เรียนรู้วิธีการทำโครงสร้างการเล่าเรื่อง ถึงเราจะใช้เวลาทำงานเยอะกว่าเพื่อน แต่รู้สึกว่านี่คือการลงทุนให้เรามีพื้นฐานที่มั่นคง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินเดือนด้วย ให้เท่าไหร่เอาเท่านั้น 

เราทำอยู่ 2 ปี ตอนนั้นมีความฝันว่าอยากไปเรียนต่างประเทศสักระยะหนึ่ง ก็เลยขอทุนไปเรียนต่ออังกฤษ พอไปอยู่ที่นั่นก็เห็นวิธีการทำสื่อของอังกฤษที่มีความหลากหลายมากกว่า โดยเฉพาะข่าว เราเปิดดูแล้วรู้สึกว่ามันคูลมากเลย เราอยากเดินทางไปที่นั่นที่นี่แล้วรายงานกลับมาที่สถานีเหมือนเขา พอเรียนใกล้จะจบก็รู้ว่าอยากทำงานทีวี 

ตอนนั้นไทยมีช่อง 3 5 7 9 และเริ่มมี ITV เนื่องจากเป็นช่วงหลังพฤษภาทมิฬ ไอทีวีเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เฟี้ยวมากเพราะเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ฉีกกรอบการรายงานข่าว ทั้งรูปแบบ ความเป็นทางการ ภาษาที่ใช้จากการรายงานข่าวแบบเดิม ต้องบอกว่ายุคนั้นข่าวไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเท่าไหร่ เพราะรายงานข่าวนายกฯ ผบตร. หรือ ผอ.องค์กรต่างๆ มันไม่มีเรื่องคน เรื่องชาวบ้านอย่างเรา และเป็นแบบนั้นเรื่อยมา 

แต่ไอทีวีมีการรายงานข่าวนอกพื้นที่เป็นครั้งแรก เราเห็นก็ตื่นเต้น อยากไปทำ บวกกับพี่เคยเป็นผู้นำนักศึกษาสมัยพฤษภาทมิฬด้วย เราก็รู้สึกว่าเรามีความเชื่อมโยงกับสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ เพราะเราเชื่อในเรื่องสื่อที่เป็นอิสระ และสามารถรายงานเรื่องของประชาชนได้จริงๆ 

แต่พอกลับมายังไม่ได้ไปทำไอทีวีเสียทีเดียว เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปี ’40 มีวิกฤตต้มยำกุ้ง เขาไม่ได้มีแผนจะจ้างคนใหม่ เพื่อนนักข่าวที่รู้จักกันเลยชวนไปทำงานให้สถานีโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งมีสาขาที่เมืองไทยด้วย พี่ไปทำงานกับเขาอยู่ปีหนึ่ง พอไอทีวีมีตำแหน่งว่าง เป็นตำแหน่งนักข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ เราก็สมัครเข้าไป ช่วงนั้นเป็นช่วง IMF ทำให้เรามีโอกาสไปเจอนักลงทุนต่างประเทศมากมาย และได้เรียนรู้กลไกในองค์กรระหว่างประเทศ แต่ไม่ใช่เท่านั้น บางทีเวลามีภัยพิบัติ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ช่องก็ส่งพี่ไปเพราะพูดภาษาอังกฤษและพอจะเอาตัวรอดได้ 

อยู่ไอทีวีได้เกือบสามปีก็ถูกไล่ออก พี่ก็กลับไปทำงานกับเพื่อนฝรั่ง เป็นโปรดักชั่นเฮาส์ของคนแคนาดาที่เขาทำให้ลูกค้าทั่วโลก ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการทำงานของฝรั่งทั้งการทำงานข่าวและสารคดี ทำอยู่ได้สามปีก็มีโอกาสกลับไปทำฟรีแลนซ์อ่านข่าวต่างประเทศที่ช่อง 11 จนกระทั่งเกิดรัฐประหารของพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ไอทีวีก็ถูกปิดและเปลี่ยนไปเป็น ThaiPBS เขาก็ชวนพี่ไปทำงานในยุคก่อตั้ง 

พี่ทำอยู่ได้ปีนึงแล้วลาออกเพราะการเมืองมันแรงมาก เครียดมาก เลยออกมาขอพักแป๊บนึง ประจวบเหมาะกับตอนนั้นช่อง 3 ติดต่อมา บอกว่ามาเถอะ ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่อ่านข่าวอย่างเดียว ตอนแรกสัญญาแค่ 2 ปีแต่ต่อไปเรื่อยๆ เพราะอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ จนเข้าปีที่ 5-6 พี่รู้สึกว่าไม่ไหว ชีวิตเราไม่ได้เกิดมาเพื่อนั่งอ่านข่าว จังหวะนั้น PPTV เขาอยากเน้นเรื่องข่าวต่างประเทศ พอมาที่นี่ก็ได้โอกาสทำในสิ่งที่อยากทำมานานคือการลงพื้นที่ นั่นคือที่มาของ รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี 

การเป็นนักข่าวที่ดีเรียกร้องทักษะอะไรบ้าง

(นิ่งคิด) มี 2 อย่าง ทักษะที่หนึ่งคือดูว่าประเด็นไหนน่าสนใจและเป็นประโยชน์กับคน เวลาพี่พูดคำว่าน่าสนใจมันตีความได้เยอะ ถ้าเราอยู่ในสถานีที่เน้นเรื่องเรตติ้ง ความน่าสนใจคือเรื่องอะไรก็ได้ที่คนดูเยอะๆ แต่สำหรับพี่ ความน่าสนใจไม่ได้อยู่แค่คนดูเยอะอย่างเดียว พี่มองว่ามันน่าจะต้องมีอะไรที่มันยึดโยงกับหน้าที่ที่แท้จริงของสื่อมวลชน นั่นคือ สื่อสารสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคน อาจไม่ใช่ประโยชน์ในแง่ที่ว่าเขาเอาไปทำมาหาเลี้ยงชีพได้แต่เป็นประโยชน์ในแง่ที่ว่า เขาได้รับรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อน และอาจเป็นประโยชน์ในแง่ใดแง่หนึ่งในอนาคต สิ่งนี้เราเรียกว่าความรู้

ทักษะที่สองคือ storytelling skill ทักษะการอธิบายความ หาวิธีอธิบายให้ได้ว่าจะทำยังไงให้คนเข้าใจว่าข่าวที่เราจะพูดคืออะไร และสื่อสารให้กับเขาอย่างมีประสิทธิภาพ

ความสนุกของการเป็นนักข่าวคืออะไร

ได้เจอคนใหม่ๆ และได้ทำอะไรที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม สำหรับพี่ พี่คิดว่ามันเป็นห้องเรียนของพี่ เวลาพี่เจอคนนั่งอ่าน นั่งดูอะไร แล้วพี่ได้ยินอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันเป็นความตื่นเต้นในชีวิต 

ในเมื่อเป็นห้องเรียน บทเรียนสำคัญที่คุณได้เรียนรู้จากการเป็นนักข่าวคืออะไร

ห้องเรียนที่เราไปเจอ เราได้เจอคนหลากหลาย แต่ชีวิตคนมันมีบทสรุปเหมือนกันหมดแหละ มันมีทั้งวันที่เราทำได้ดี วันที่เราทำได้ไม่ดี วันที่เราได้ยิ้มหัวเราะเพราะได้นู่นได้นี่ กับวันที่เราต้องร้องไห้เพราะต้องเจอสิ่งที่เราไม่อยากเจอ มันคือชีวิตนั่นแหละ 

การได้เจอชีวิตคนที่มีหลายมิติทำให้มองเห็นความแตกต่าง หลากหลาย แต่เราจะพยายามเข้าใจเขายังไง พี่อยากเข้าใจว่าทำไมบางคนในบางพื้นที่ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ ณ เวลานี้ หรือเวลาเราเจอคนแย่ๆ เราจะจัดการความรู้สึกยังไง มันคือการเรียนรู้ชีวิต

ทุกวันนี้คุณทำงานไปเพื่ออะไร

เพื่อที่ตัวเองยังรู้สึกมีประโยชน์อยู่ 

ถ้าเป็นเมื่อสัก 20 ปีก่อนพี่อาจจะบอกว่าทำงานเพื่อหาเงิน เพื่อจะได้อยู่ในจุดที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ถึงตอนนี้ถามว่าเป้าหมายในชีวิตยังเป็นเงินอยู่ไหม ใช่ แต่มันลดลงมาเยอะแล้ว เพราะเราก็พอจะมีอะไรบางอย่างที่จะทำให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ไปจนตาย ถ้าเอาเฉพาะเรื่องเงินก็ไม่ต้องทำงานแล้วก็ได้ พูดอย่างนี้คนจะหมั่นไส้ไหม (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้พี่ live modestly ไม่ซื้ออะไรแพงๆ ไม่ได้ซื้อข้าวของเยอะ แค่มีเงินใช้ไปเป็นเดือนๆ ก็พอแล้ว

แต่ที่ยังทำงานอยู่ พี่คิดว่าเป็นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความหมายของชีวิตมนุษย์–ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม–เราจะรู้สึกอิ่มเอม มีพลัง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หรือกับอะไรก็ตามที่เขาคู่ควรจะได้ เช่น สัตว์ สิ่งแวดล้อม อะไรแบบนี้

Uniform by กรุณา บัวคำศรี

ปกตินักข่าวมีกฎในการแต่งตัวไหม

จริงๆ ก็มีนะ เพราะในที่สุดแล้วเราก็ต้องมีกาลเทศะ ถ้าพี่ไปสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี เจ้าหน้าที่ หรือเจอใครที่ต้องเคารพสถานที่หรือตัวบุคคล พี่ก็ต้องใส่กางเกงที่สุภาพเรียบร้อย ใส่สูท รองเท้าหุ้มส้น แต่งให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

และถ้าเราออกภาคสนาม ต้องคิดว่าให้คล่องตัวในการทำงานมากที่สุด ขาสั้นและรองเท้าแตะจะไม่ใส่เพราะเราต้องเคารพสถานที่ ต่อให้เราไปสงครามหรือบ้านนอกคอกนา เราต้องเคารพคนที่เราไปเจอ ถ้าออกพื้นที่พี่ก็จะใส่กางเกงที่ใส่ของได้เยอะๆ เช่น ปากกา กระดาษ โทรศัพท์ ยา ลูกอม ฯลฯ ไม่ต้องเปิดกระเป๋าไปๆ มาๆ เพราะถ้าเกิดหลงพลัดกับใคร พี่ก็ยังมีข้าวของพวกนี้ติดตัว นี่คือความมั่นคงของพี่

ส่วนเสื้อ ถ้าออกพื้นที่จะเป็นเสื้อยืด แต่พี่ก็จะเตรียมเสื้อแจ็กเก็ตหรือเสื้อคลุมที่ไม่ยับง่ายไว้เพื่อใส่รายงานข่าว เพราะข่าวคือความน่าเชื่อถือ ใส่แค่เสื้อยืดไม่ได้ มากกว่านั้น ในบางกรณี สมมติเราเดินทางไปเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อไปทำเรื่อง ISIS ตอนที่อยู่กับทหารพี่อาจถอดเสื้อนอกออกได้ แต่ถ้าไปเจอกับคนที่เป็นขั้วการเมือง พี่จะแต่งแบบนั้นไม่ได้ 

โดยสรุป ชุดที่ใส่คือต้องทำให้มันสามารถไปหาทุกคนได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเจอใครบ้าง

คุณมีสไตล์การแต่งตัวที่ชอบหรือเปล่า

ส่วนใหญ่ที่จะใส่ชุดที่สีไม่ฉูดฉาด เป็นเอิร์ทโทน เพราะถ้าฉูดฉาดไปบางทีมันกระอักกระอ่วน เช่น เราไปสัมภาษณ์คนที่เขาเพิ่งเสียลูกไปจากระเบิด เราจึงจะใช้สีเซฟๆ ไว้ มากกว่านั้นคือมันง่ายต่อการดูแลด้วย บางทีที่ที่เราไปเอาของไปเยอะไม่ได้ เช่น เราอาจไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะอยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว 2-3 วัน ใส่สีเอิร์ทโทนคนก็ไม่รู้ว่าสกปรกหรือเปล่า (หัวเราะ) 

นอกจากเสื้อผ้า มีไอเทมติดตัวในการทำข่าวภาคสนามบ้างไหม

กระป๋องน้ำ โทรศัพท์มือถือ สมุดจดข่าว ปากกา และพี่ก็จะมีบ๊วยเค็ม เพราะบางทีเดินทางนานแล้วง่วง ต้องการพลังงาน อีกอย่างคือ Power Gel หรืออาหารเหลวติดตัว เพราะบางทีเราออกพื้นที่แล้วเราไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือเปล่า เราต้องมีอาหารเหลวติดตัวไว้ ให้ประทังชีวิตได้สัก 2-3 วัน 

พวกนักข่าวภาคสนามก็จะมี survival kit อยู่ใน running bag หรือกระเป๋าเล็กๆ ที่ใส่อาหาร ยาสามัญ ตัวห้ามเลือด ส่วนใหญ่เป็นของที่จะช่วยชีวิตเราถ้าเกิดอะไรขึ้น โชคดีที่ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้น 

อีกอย่างที่ต้องมีสำหรับบางพื้นที่คือขวดน้ำที่กรองน้ำได้ เช่นเราไปเฮติที่เจอน้ำโคลน ขวดน้ำนี้ก็จะสามารถกรองน้ำโคลนให้ใสจนดื่มได้ 

TARA by กรุณา บัวคำศรี

ก่อนหน้านี้เคยคิดหรือเปล่าว่าจะทำแบรนด์ของตัวเอง

เคยคิดแต่มันเป็นวุ้นๆ และมาคิดมากขึ้นตอนที่สื่อเกิดขึ้นเยอะ แลนด์สเคปของสื่อเปลี่ยน สื่อออนไลน์มากขึ้น แน่นอนว่าการแข่งขันเยอะขึ้น แต่เรารู้ว่าเราอยากทำอะไร พี่ก็มองอนาคตว่าถ้าการแข่งขันเยอะมากแล้วเราต้องไปประนีประนอมกับอะไรบางอย่างเพื่อจะได้ทำงานที่เราอยากทำ 

เช่น ถ้าเราอยากทำเรื่องสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและสิ่งแวดล้อม แล้วพี่อยากจะพูดว่าหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมคือการทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว แต่พี่จะต้องไปขอเงินจากบริษัทใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้มันก็ดูตลก พี่จึงคิดว่าเราควรจะต้องหาวิธีที่จะยืนด้วยขาของตัวเอง

ไม่ได้ทำคนเดียวแต่เราอยากสื่อสารกับคนดู กับประชาชนโดยตรง ถ้าเรามีความเชื่อว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นประโยชน์กับสังคม เราเชื่อว่าคนพร้อมจะสนับสนุน ในขณะเดียวกัน พี่ก็ไม่ได้อยากทำในลักษณะว่าขอเงินประชาชนมาทำ มันควรมีเครื่องมืออะไรบางอย่างที่เราตอบแทนเขา 

เพราะพี่ทำเรื่อง climate change พี่เลยทำสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขาย ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า และเป็นของที่จำเป็น เพื่อคนที่สนับสนุนพี่จะได้รับไปเป็นการตอบแทนและเขาสามารถใช้ได้จริง ที่สำคัญคือพี่ไม่อยากทำอะไรที่ตีหัวเข้าบ้าน ผลิตของอะไรมาก็ได้แล้วขาย พี่เลยเริ่มต้นด้วยการทำแบรนดิ้ง สร้างตัวตนของมันขึ้นมา ไม่ผูกติดกับพี่มาก เพื่อวันหนึ่งที่พี่ไม่อยู่แล้ว คนอื่นจะทำต่อได้ 

พี่อยากทำแบรนด์ที่ลงทุนกับเรื่องการออกแบบและหนักแน่นกับปรัชญาของมันชัดเจนว่ามันมีขึ้นเพื่ออะไร ถ้ามันอยู่ได้ พี่คิดว่าในอนาคตน้องๆ นักข่าวที่อยากทำคอนเทนต์เรื่องสิ่งแวดล้อมต่อเขาอาจจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

ปรัชญาของ TARA คืออะไร

TARA เชื่อว่าเรามีทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับทุกคน แต่เราไม่ได้มีทรัพยากรสำหรับกลุ่มคนที่บริโภคเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้น เราอยากสื่อสารเรื่องการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า ไม่ได้แปลว่าเราต้องรีไซเคิลอย่างเดียวแต่หมายถึงการใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นกับชีวิต

พี่ไม่ได้บอกว่าคนที่ใช้เกินความจำเป็นไม่ถูก มันเป็นวิธีคิดของคนคนนั้น แต่พี่อยากสื่อสารว่าเราอยู่ในจุดที่โลกของเรามีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกใช้ไปและหวนคืนไม่ได้แล้ว เราเรียกมันว่าจุด tipping point ยกตัวอย่างป่าแอมะซอน ต่อให้เราฟื้นฟูยังไงมันก็กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ หรือน้ำแข็งในกรีนแลนด์ที่ละลายทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 

เรียกว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่ระบบนิเวศของโลกหลายจุดสำคัญกำลังเปราะบาง เพราะเราไม่ดูแลมัน ถ้าถึงจุดที่ล่มสลายแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อคนทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ พี่เลยอยากทำ TARA เพื่อเอากำไรส่วนหนึ่งมาทำคอนเทนต์ที่อธิบายเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งมันต้องใช้ทรัพยากรเยอะ เพราะบางครั้งเราต้องเดินทางไปยังจุดต่างๆ ในโลกเพื่อได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ 

สอง–TARA จะเป็นเครื่องมือในการอธิบายกับคนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผ้าเดดสต็อกคืออะไร กำไรที่ได้จากการทำแบรนด์ก็จะนำมาทำคอนเทนต์เหล่านี้ด้วย

คุณหยิบความชอบเรื่องสไตล์ของตัวเองมาใส่ในโปรดักต์ของ TARA บ้างไหม

พี่ชอบอะไรง่ายๆ แต่ใช้งานจริง simple but practical ชอบของที่เรียบแต่เรียบไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไร จริงๆ แล้วความเรียบง่ายทำยากมาก ดูอย่างญี่ปุ่น เวลาเราเห็น MUJI เรารู้เลยว่าเป็นมูจิ แต่มันทำไม่ง่ายนะ หรือเฟอร์นิเจอร์ของสแกนดิเนเวีย มันเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ พี่ก็อยากให้ของตัวเองเป็นแบบนั้น

เสื้อของเราทำจากผ้าเดดสต็อกทุกตัว ซึ่งเราทำงานกับ Moreloop ที่ช่วยเรื่องดีไซน์ลายเสื้อผ้า นอกจากเสื้อ TARA ก็จะมีแชมพู สบู่ พวกของใช้ในชีวิตประจำวันที่เราร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่มีแนวคิดตรงกัน ธีมของมันคือรบกวนธรรมชาติให้น้อยที่สุด สินค้าเหล่านี้เลยไม่มีสารที่จะทำลายปะการังหรือน้ำ เราไม่ได้ตั้งราคาสูงมากด้วย เพราะเราไม่ได้อยากได้กำไรเยอะแยะ 

เป้าหมายของ TARA นอกจากเอากำไรไปทำคอนเทนต์ เรายังอยากทำให้เกิดการสนทนากันว่าทำไมสารบางตัวถึงทำลายสิ่งแวดล้อม ทำไมผ้าเดดสต็อกถึงโดนคนทิ้งขนาดนี้ ทำไมน้ำที่ใช้ปลูกฝ้ายมีปริมาณเทียบกับน้ำที่เรากิน 2 ปี ทำไมเราต้องรีไซเคิล พี่อยากสร้างวงถกเถียงเรื่องเหล่านี้

นักข่าวกับคนทำธุรกิจดูเป็นการสวมหมวกคนละใบ สำหรับคุณสองบทบาทนี้มีความท้าทายต่างกันยังไง

ไม่ต่าง เพราะพี่จะไม่ทำอะไรที่ทำแล้วรู้สึกขัดแย้งกับตัวเอง เวลาเราพูดถึงการทำธุรกิจ พี่จะเลือกทำอะไรที่พี่สบายใจและไม่อิหลักอิเหลื่อที่จะทำมัน ถ้าให้พี่ไปนั่งขายอะไรที่พี่ไม่เชื่อ พี่ก็จะอะไรดีวะ (เสียงอ่อน) แต่ถ้าเป็นผ้าเดดสต็อก มันเป็นสิ่งที่เราคุยได้เป็นวันๆ เพราะมันไม่ได้ขัดกับตัวตนและสิ่งที่เราเชื่อ

พี่มองว่าท้ายที่สุด ทุกอย่างมันคือธุรกิจนั่นแหละ การทำคอนเทนต์ก็คือธุรกิจเพราะเราขายข้อมูล แต่เราไม่อิหลักอิเหลื่อเพราะข้อมูลที่เราทำเป็นสิ่งที่เราเชื่อ แค่รูปแบบสินค้าไม่เหมือนกัน

กับการทำธุรกิจอย่าง TARA กำไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณหรือเปล่า

ปรัชญาสำคัญที่สุด เราต้องไม่ทิ้ง พี่ไม่ได้บอกว่าเรากรีน 100% นะเพราะตอนนี้ยังทำไม่ได้ ยากมาก เพราะสเกลการผลิตมันเล็กมากถ้าเทียบกับเจ้าใหญ่ กำไรน้อยแต่พี่ก็ไม่ได้คิดกำไรสูงสุด พี่อยากได้กำไรแค่จ่ายเงินคนทำงานได้และนำกำไรส่วนหนึ่งกลับมาทำคอนเทนต์ เพราะฉะนั้นปรัชญาของมันสำคัญที่สุด

ผลตอบรับหลังจากปล่อยสินค้าออกไปเป็นยังไงบ้าง

ก็ดีนะ คนชอบ แต่พี่ก็รู้สึกว่ามันเป็นอาณาเขตใหม่สำหรับพี่ สิ่งที่เราทำคือเราเต็มที่ล่ะ พยายามมอบสิ่งของที่มีคุณภาพออกไป ฟีดแบ็กที่รับมาก็พยายามเอามาอุดรอยรั่ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ not bad นะ 

การได้ทำแบรนด์ TARA ที่อยากสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม และอยากสนับสนุนนักข่าวรุ่นต่อไปในอนาคตให้สื่อสารเรื่องนี้ต่อ สิ่งเหล่านี้มีความหมายกับคุณยังไง

พูดเหมือนนางเอกนะ แต่พี่ไม่ได้อยากได้อะไรในชีวิตแล้ว สมมติพี่ไม่ได้ทำตรงนี้ พี่คงนั่งอยู่บ้าน อ่านหนังสือ เล่นกับหมา ปลูกต้นไม้ แต่พอมานั่งดูชีวิตตัวเองแบบนั้น พี่รู้สึกว่ามันน่าจะว่างเปล่าจนเกินไป 

พี่ยังอยากใช้เวลาที่เหลือส่วนหนึ่งทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เคยทำมาก่อน และรู้ว่าถ้าทำสำเร็จมันจะทำให้คนในทีมหรือน้องๆ ที่สนใจเรื่องนี้ได้ประโยชน์จากมันในอนาคต ตอนนี้พี่อยู่ในสภาพที่อยู่ก็ได้ ตายก็ดี ตายพรุ่งนี้ก็ไม่เสียดายเพราะรู้สึกว่ายังไม่มีอะไรค้างคา และไม่ได้อยากทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว

Youniform – Karuna Buakamsri

ชื่อ : กรุณา บัวคำศรี
ตำแหน่ง : นักข่าว
ที่ทำงาน : อิสระ

แอบส่องเสื้อผ้าลุคทำงานในโอกาสต่างๆ ที่กรุณา บัวคำศรี บอกว่าเป็นตัวของตัวเองที่สุด

ลุคแรกคือชุดทำงานสำหรับการทำข่าวนอกสนาม วันนี้กรุณาใส่เสื้อยืดที่ทำจากผ้าเดดสต็อกของ TARA และกางเกงคาร์โก้ multi-purpose ผ้าคอตตอนใส่สบาย แห้งเร็ว เหมาะสำหรับการใส่ลุยทุกพื้นที่ 

“นี่คือลุคที่พี่แต่งสบายๆ เป็นลุคที่พร้อมที่จะเจอใครก็ได้ที่ไม่เป็นทางการมาก พี่ไม่มีชุดทำงาน เนี่ย ส่วนใหญ่ก็ใส่เป็นเสื้อยืด กางเกงแบบนี้ แต่กางเกงต้องมีกระเป๋าเยอะ เพราะพี่มีของเยอะ กางเกงจะต้องสามารถล้วงได้ง่ายๆ”

ลุคที่สอง อัพเกรดให้ดูทางการขึ้นมาอีกหน่อย

“สมมติไปเจอชาวบ้าน พี่อาจจะใส่เสื้อยืดธรรมดา แต่ถ้าไปเจอ maire หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พี่ก็จะใส่แจ็กเก็ตให้ดูเรียบร้อยขึ้น ซึ่งเป็นแจ็กเก็ตผ้าร่มที่ไม่ยับ น้ำหนักเบา กันน้ำได้ มีฮู้ดที่ใส่สำหรับตอนแดดแรง และทุกตัวจะมีกระเป๋าเยอะ”

ลุคที่สาม คือลุคทางการสำหรับใส่ออกงานสังคม 

“เวลาไปงานก็จะมีสูทเบลเซอร์ รองเท้าส้นสูง และกางเกงที่ดูเรียบร้อย”

ชำแหละวิธี Muketing ยังไงให้ปัง ในยุคที่ใครๆ ก็สนแต่เรื่องมู จาก AdPeople Awards 2024

ผ้ายันต์ผืนใหญ่ สีเสื้อมงคล หินนำโชค ตัวเลขเบอร์โทรศัพท์ วอลเปเปอร์หนุนดวงชะตา ฯลฯ ไม่ว่าจะหันซ้ายหรือหันขวา ก็ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งรอบตัวล้วนขับเคลื่อนด้วยศาสตร์ ‘มูเตลู’ หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘สายมู’ 

ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นัก ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะพยายามใช้เรื่องมูๆ ผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ในเมื่อแต่ละปีอุตสาหกรรมดังกล่าวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศปีละไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้านบาท

หากย้อนไปสมัยก่อนมูลค่าความมูล้วนขึ้นอยู่กับว่า วัตถุมงคลชิ้นนั้นปลุกเสกผ่านเกจิอาจารย์สำนักใด ตัดภาพมาที่ยุคสมัยใหม่ การจะวัดว่าความมูนั้นปังหรือไม่ปัง ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ที่ความขลัง แต่ต้องสอดแทรก ‘ความครีเอทีฟ’ ลงไปด้วย ฉะนั้นคำถามสำคัญคือผู้ประกอบการที่คิดจะเริ่มมูต้องวางแผนยังไงให้โดนใจผู้บริโภค ในเมื่ออุตสาหกรรมสายมูตอนนี้มีผู้เล่นเต็มไปหมด 

ภายในงาน AdPeople Awards & Symposium 2024 มีเซสชั่นทอล์กที่บรรยายโดย ‘แอ๊ม–ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต’ ผู้ก่อตั้งบริษัท Uppercuz Creative และเจ้าของแชนแนลการตลาดการเตลิด ซึ่งหยิบยกประเด็นข้างต้นมาพูดคุยภายใต้หัวข้อ ‘ADMU มูยังไง ให้ไทยมุง KPI พุ่งดวงไม่เสี่ยง’ โดยศรัณย์ยกกรณีศึกษาของ ‘HoroWall’ หรือวอลเปเปอร์เสริมดวงมงคลบนสมาร์ตโฟนที่เจ้าตัวทำร่วมกับ ‘แมน การิน’ นักพยากรณ์ชื่อดัง ซึ่งมีผู้ใช้งานจำนวนมาก และเป็นตัวอย่างของโปรดักต์สายมูที่จับทางผู้บริโภคได้ถูกจุด 

#ก่อนจะมูต้องสำรวจว่าฐานตลาดเราเป็นยังไง

ศรัณย์เริ่มแนะนำว่าก่อนเริ่มต้นโปรเจกต์เราต้องรู้ก่อนว่า เรามีคู่แข่งจำนวนเท่าไหร่ และเขานำหน้าเราไปเท่าไหร่แล้ว ซึ่งจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2562 มีบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม Muketing ปีละไม่ต่ำกว่า 11 บริษัท โดยมากที่สุดคือเมื่อปี 2023 ที่มีการจดทะเบียนมากถึง 33 บริษัท ขณะเดียวกันรายได้รวมในอุตสาหกรรมนี้มีจำนวนไม่ต่ำกว่าปีละ 24 ล้านบาท โดยมากสุดอยู่ที่ปี 2022 ซึ่งมีรายได้รวมกันถึง 148.99 ล้านบาท (เป็นข้อมูลเฉพาะที่อยู่ในฐานระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

ด้วยจำนวนมูลค่าที่มีแต่เพิ่มในทุกๆ ปีนี้เอง จึงเป็นตัวบ่งชี้ประการแรกที่บอกว่าการลงทุนในสาย Muketing เป็นสิ่งที่ทำได้ และยังมีโอกาสคว้าส่วนแบ่งมูลค่าทางการตลาด

ศรัณย์ยังพบว่า แม้ประชากรในไทยส่วนใหญ่จะเข้าวัดทำบุญน้อยลง แต่กลับให้ความสนใจกราบไหว้เทวดาและวิญญาณ เช่น ท้าวเวสสุวรรณ หรือแปะโรงสี ไปจนถึงขอพรเทพต่างศาสนา โดยเฉพาะเทพจากศาสนาฮินดู เช่น พระแม่ลักษมี พระแม่อุมา พระพิฆเนศ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้คุณแตกต่างกันไป 

ทั้งนี้สิ่งที่ผู้คนขอเรื่องมูมากที่สุด คือเรื่องของการเงิน ตามมาด้วยโชคลาภ ความรัก การงาน ค้าขาย และสุดท้ายคือเรื่องของเสน่ห์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคที่สนใจเรื่องมูนั้นเป็นเหมือน ‘สเปกตรัม’ ที่มีเฉดสีไล่เรียงกันไป และนั่นหมายความว่า โปรดักต์ที่กำลังลงมือทำจะต้องซัพพอร์ตคำขอพรได้ครอบคลุม ผู้บริโภคเห็นแล้วต้องรู้ทันทีว่าถ้ามูแล้วจะช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

#มูที่เข้าถึงได้กับทุกคน

ก่อนที่จะมี HoroWall ศรัณย์เริ่มคิดโปรดักต์จากโจทย์ที่ว่า ทำยังไงก็ได้ให้แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ก็ซื้อสินค้าชิ้นนี้ได้โดยง่าย

คำถามแรกที่เขาถามตนเองจึงคือโปรดักต์ที่ใช้งานง่ายและคนใช้เป็นประจำคืออะไร? สิ่งที่ศรัณย์นึกถึงคือสมาร์ตโฟน ที่ไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหน ทำอาชีพอะไรก็ต้องมีติดตัว และสิ่งที่อยู่บนสมาร์ตโฟนซึ่งเปลี่ยนไปมาได้ ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยาก ก็คือ ‘วอลเปเปอร์’ นั่นเอง 

ศรัณย์บอกว่าการพกวอลเปเปอร์มงคลก็ไม่ต่างอะไรกับการพกตะกรุด ที่ผู้พกพกติดตัวตลอดเวลาแต่เมื่อแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุย่อมคิดถึงตะกรุดเป็นสิ่งแรก สิ่งนี้คือหลักการที่เรียกว่า ‘Synchronicity’ หรือเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นมากกว่าเรื่องบังเอิญ แต่เป็นความบังเอิญที่ไม่สามารถอธิบายได้ มนุษย์ก็จะหาหลักเชื่อมโยงบางอย่างเพื่อใช้เป็นข้อพิสูจน์นั่นเอง

คำถามต่อมาคือจะทำยังไงให้คนใช้งานง่าย? หลักการของ HoroWall ไม่ต่างจากการหาหมอดู เพียงแค่กรอกข้อมูลสำคัญ เช่น วัน เดือน ปีเกิด และเบอร์โทรศัพท์มือถือก็สร้างวอลเปเปอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งาน การซื้อก็ง่ายดายผ่านช่องทาง Line@ หรือ Shopee ที่ในยุคสมัยนี้ใครก็กดซื้อเป็น

#ร่วมมือกับอาจารย์สายมูตัวจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศรัณย์แนะนำต่อว่า การจะทำโปรดักต์หรือโปรเจกต์ใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมู ถ้าไม่อยากเหนื่อย จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งก็คือหมอดูหรือนักพยากรณ์ในศาสตร์ต่างๆ เพื่อช่วยให้ HoroWall มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นนักพยากรณ์ที่มีผู้ติดตามและมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งหมายความว่า โปรดักต์นี้มีกระบวนการผลิตผ่านมือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ซึ่งเป็นความเชื่อเดียวกันกับที่เมื่อก่อนเรานิยมบูชาของขลังจากเกจิชื่อดัง

HoroWall ใช้ศาสตร์ความถนัดจากนักพยากรณ์จำนวน 4 ราย เพื่อช่วยออกแบบวอลเปเปอร์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน เริ่มจากอาจารย์แมน การิน ซึ่งเชี่ยวชาญศาสตร์เรื่องตัวเลข ที่นำข้อมูลวันเกิดหรือตัวเลขที่ตรงกับคุณลักษณะของผู้ใช้มาปรับเป็นตัวเลขที่ปรากฏในวอลเปเปอร์เพื่อเสริมดวงชะตา

บุคลที่ 2 คือ อาจารย์ต๊อกแต๊ก A4 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสีประจำวันเกิดที่ช่วยดูสีของวอลเปเปอร์ที่เป็นมงคลต่อผู้ใช้งานครบทั้ง 7 วัน เพื่อดึงดูดพลังงานด้านดี และหนุนนำให้เรื่องที่ต้องการสามารถเกิดขึ้นได้จริง 

ต่อมาคือหมอวั๊ง–วรางคณา อัชชะกิจ ซึ่งถนัดการดูดวงด้วยไพ่ยิปซี ช่วยดูไพ่ยิปซีทั้ง 4 ใบ ซึ่งถูกคัดสรรมาเพื่อสร้างพลังงานที่ดีแก่บุคคลนั้นโดยเฉพาะ และสุดท้ายคืออาจารย์ คฑา ชินบัญชร หมอดูชื่อดังที่ดูองค์ประกอบความมงคลของภาพทั้งหมด 

หมอดูทั้ง 4 ราย เป็น 1 ใน 7 หมอดูชื่อดังระดับประเทศที่มีชื่อเสียง ในแง่ของธุรกิจนั่นหมายความว่า นี่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ HoroWall และเป็นการตัดโอกาสคู่แข่งที่จะเข้ามาท้าชนด้วยโปรดักต์คล้ายๆ กันในอนาคต ในขณะเดียวกันการ ‘custom’ คืออีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมซื้อโปรดักต์ด้วยเหตุผลที่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกคราฟต์มาเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ จึงไม่เหมือนใคร และมีชิ้นเดียวบนโลกเท่านั้น  

#ลดความมูเพิ่มความมินิมอล 

สิ่งสุดท้ายที่ศรัณย์แนะนำผู้ที่กำลังเข้าสู่อุตสาหกรรม Muketing คือการลดความมูแต่เพิ่มความ ‘มินิมอล’ ให้มากขึ้น ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการลดความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการลดทอนบางอย่างเพื่อให้เหมาะกับยุคสมัย

ยกตัวอย่างรูปปั้นบูชาของพระพิฆเนศที่ปัจจุบันมีการดีไซน์ในแบบ minimal art หน้าตามีความโมเดิร์น วางแล้วกลมกลืนไปกับทัศนียภาพภายในบ้าน แต่วัตถุประสงค์ในการบูชาและความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และด้วยภาพลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเปลี่ยนแปลงก็เป็นการทลายขีดจำกัดการออกแบบโปรดักต์สายมู โดยสามารถนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไปแปลงเป็นเครื่องประดับ เสื้อผ้า น้ำหอม ฯลฯ เพื่อเพิ่มมูลค่า มากกว่าจะอยู่แค่บนหิ้งเฉยๆ

สรุปสูตร Muketing ในแบบของ HoroWall คือ ทำยังไงก็ได้ให้ใช้งานง่าย เหมาะกับคนหลายประเภท รวมศาสตร์การพยากรณ์เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีหัวใจเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ อีกนัยหนึ่ง HoroWall คือกรณีศึกษาที่สะท้อนมูลค่าของตลาด Muketing ที่นับวันจะมีแต่ขาขึ้น ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ผู้คนต่างหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ 

เรื่องของสายมูจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหายไปจากสังคมไทย เพียงแต่ผู้ที่กำลังจะกระโจนลงในตลาดนี้ จะตีความเชื่อนี้ออกมายังไงให้สดใหม่และเข้ากับบริบทสังคม เพราะยิ่งคิดได้เร็ว คิดได้ไว ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จก่อน

‘น้ำผึ้งของปารีส’ จุดเริ่มต้นบนชั้น 7 โรงละครโอเปร่า สู่การเลี้ยงผึ้งบนหลังคาทั่วปารีส 

หากเรามองทะลุไปถึงหลังคาหรือดาดฟ้าของตึกสำคัญๆ ในปารีส ไม่ว่าจะมหาวิหารนอเทรอดาม พิพิธภัณฑ์ออแซร์ (Musée d’Orsay) โรงละครโอเปร่า กระทั่งบนหลังคาอพาร์ตเมนต์ เชื่อไหมว่าบนพื้นที่นั้นอาจมีกล่องเลี้ยงผึ้งตั้งอยู่ 

ใครจะไปคิดว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่างปารีสมีการเลี้ยงผึ้งกันอย่างจริงจัง ทั้งยังเป็นการเลี้ยงผึ้งที่แทรกไปกับพื้นที่เมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่ ปัจจุบันมีรายงานตัวเลขรังผึ้งที่ขึ้นทะเบียนหลักร้อยรัง บางรายงานระบุว่าปารีสมีรังผึ้งเลี้ยงมากถึง 700 รัง แถมความจริงจังในการเลี้ยงผึ้งของชาวปารีสยังทำให้มี ‘น้ำผึ้งของปารีส’ ที่ซื้อหาได้ในร้านค้าหรือร้านอาหารแนวหน้า ไปจนถึงในร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ที่มีผึ้งเลี้ยงของตัวเอง–กระซิบว่าน้ำผึ้งปารีสเป็นอีกหนึ่งน้ำผึ้งราคาสูงชนิดหนึ่ง 

กิจการเลี้ยงผึ้ง หรือโลกของผึ้งซึ่งซ้อนอยู่อย่างเงียบงันและไม่น่าเชื่อของปารีสสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของสวนและพืชพรรณ รสและกลิ่นของน้ำผึ้งปารีสอบอวลไปด้วยประวัติศาสตร์และภูมิทัศน์ สวนสำคัญที่มีทั้งดอกไม้และพืชผลที่บานสลับกันทำให้น้ำผึ้งของเมืองสดใหม่ ทั้งกลายเป็นว่าสภาพของเมืองปารีสกลับดีกับผึ้งเป็นพิเศษ การเลี้ยงผึ้งนอกจากจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นแล้ว การมีอยู่ของกิจการและน้ำผึ้งเมืองไม่ใช่แค่การผลิตน้ำผึ้ง แต่คือความพยายามในการรักษาและทำให้เมืองเป็นมิตรกับผึ้ง 

คำถามคือแล้วปารีสเริ่มเลี้ยงผึ้งกันอีท่าไหน? ทรัพย์คัลเจอร์ตอนนี้มีคำตอบ

ผึ้งเมือง กับการอพยพย้ายถิ่น 

ประเด็นเรื่องผึ้งของเมือง เกี่ยวกับข่าวสำคัญที่ล่าสุดมหาวิหารนอเทรอดามน์ ซ่อมเสร็จและเตรียมเปิดสู่สาธารณชนในต้นเดือนธันวาคม 2024 

ย้อนกลับไปในวันที่ไฟไหม้ มีข่าวแปลกประหลาดว่า ‘ผึ้งที่มหาวิหารปลอดภัยจากไฟและควันอย่างมหัศจรรย์’ ทั้งยังพบว่าผึ้งบนมหาวิหารเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเลี้ยงผึ้งที่ผู้เลี้ยงผึ้งนำไปฝากไว้บนหลังคาในอาคารสำคัญของโลก เป็นหนึ่งในกลุ่มรังผึ้งที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองปารีส 

ที่จริงการเลี้ยงผึ้งของปารีส เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเก่าแก่ที่แทรกอยู่ในเมือง อยู่ในสวนสำคัญ และอยู่คู่กับคนปารีสตั้งแต่ยุคอพยพเข้าเมือง ร่องรอยอย่างเป็นทางการที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานคือปี 1856 ได้มีการตั้งสมาคมเลี้ยงผึ้งกลาง (Société Centrale d’Apiculture) ขึ้นที่สวน Jardin Du Luxembourg สมาคมเป็นทั้งการรวมตัวและเป็นโรงเรียนสอนการเลี้ยงผึ้งซึ่งโรงเรียนจากร้อยปีก่อนยังดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ 

นอกจากโรงเรียนเลี้ยงผึ้งแล้ว ในช่วงที่ปารีสขยายตัว ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานหางานทำในศตวรรษที่ 19 บางส่วนก็พาเอารังผึ้งจากพื้นที่ชนบทเข้ามาอยู่ในเมืองด้วย การพารังผึ้งเข้ามาอยู่ในเมืองปารีสไม่ใช่กิจกรรมที่ทำกันน้อยๆ มีการประเมินว่าช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 บนหลังคาของเมืองปารีสมีรังผึ้งกว่า 1,000 รัง ก่อนรังผึ้งที่อยู่คู่เมืองจะหายไปในช่วงสงคราม

ผึ้งในโรงละคร เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ในที่ทำงานที่มาก่อนกาล

หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 การกลับมาของกระแสการเลี้ยงผึ้งเริ่มจากชายหนุ่มที่ชื่อว่า Jean Paucton ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ช่วงนั้นคุณฌอง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพร็อพของโรงโอเปร่าได้ไปเรียนเลี้ยงผึ้งกับสมาคมเลี้ยงผึ้งของปารีสซึ่งอยู่คู่ปารีสมาอย่างยาวนาน 

หลังร่ำเรียนมา แกสั่งรังผึ้งมาเลี้ยงเอง ช่วงหนึ่งได้เอาผึ้งไปเลี้ยงไว้ที่ระเบียงอพาร์ตเมนต์แต่เพื่อนบ้านไม่สบายใจ Jean Paucton จึงตั้งใจว่าจะเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านนอกทางตอนเหนือ รังผึ้งถูกส่งจากสมาคมมาที่โรงละครโอเปร่าเพื่อเตรียมย้าย 

แต่จุดที่ผึ้งมาที่โรงละครคือจุดเปลี่ยนสำคัญ

พนักงานดับเพลิงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของแกที่โรงละครเห็นผึ้งที่ถูกห่อไว้และเตรียมขนย้ายของคุณฌอง เพื่อนร่วมงานคนนั้นจึงแชร์กับ Jean ว่าตัวแกเองก็เลี้ยงปลาเทราต์ไว้ในถังน้ำของถังเก็บน้ำใต้อาคารเหมือนกัน งั้นทำไมไม่เอารังผึ้งไปเลี้ยงบนหลังคาชั้นที่ 7 ด้านหลังของโรงละครล่ะ–เรียกว่าเป็นกระแสการนำสัตว์เลี้ยงมาฮีลใจกันตั้งแต่หลายสิบปีก่อน

โชคชะตาที่เล่นตลกซ้ำคือนอกจากจะมีคนแอบเลี้ยงสัตว์ถึงสองคน สองประเภทแล้ว คุณฌอง นักเลี้ยงผึ้ง ดันมีเพื่อนของเพื่อนชื่อ Yann Arthus-Bertrand เดินทางมาถ่ายรูปแกกับรังผึ้งของแก ภายหลังแกถึงพบว่าช่างภาพคนนั้นเป็นช่างภาพชื่อดังและเอาภาพรังผึ้งในโรงละครไปตีพิมพ์ในนิตยสาร Paris Match ซึ่งดังมากๆ

แทนที่จะโดนบทลงโทษ โทษฐานแอบเลี้ยงสัตว์ ชาวปารีสกลับเกิดความฉงนว่า เมืองใหญ่อย่างบ้านเราเลี้ยงผึ้งได้ด้วยหรือ ทั้งยังเกิดกระแสกลับมาเลี้ยงผึ้งกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะอีกครั้ง ส่วนคุณฌองในฐานะเจ้าของรังผึ้งแรกก็เป็นที่รู้จัก กลายเป็นผู้เลี้ยงผึ้งอาชีพ ตัวผึ้ง และน้ำผึ้งของโรงละครกลายเป็นสินค้าของฝากขายคู่กับของที่ระลึกอื่นๆ ภายหลังคุณฌองยังร่วมมือกับ Nicolas Geant ก่อเกิดเป็นธุรกิจเลี้ยงผึ้งและผู้ผลิตน้ำผึ้งเมืองปารีส 

หลังจากที่การเลี้ยงผึ้งเริ่มบูมก็เริ่มมีการเสนอความร่วมมือกับอาคารสำคัญๆ เช่น ขอตั้งจุดเลี้ยงผึ้งที่อาคาร Grand Palais สุดยอดอาคารโดมกระจกที่เป็นตัวแทนของฝรั่งเศสสมัยใหม่ ไปจนถึงวิหารนอเทรอดามน์ กลุ่มเกษตรกรเริ่มรวมตัวกัน มีการสนับสนุนการเลี้ยงผึ้ง เพื่อจำหน่าย ผลักดันทั้งในแง่ผลิตผลทางการเกษตร และการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม เป็นกิจกรรมพิเศษที่โรแมนติก

อย่างรังผึ้งและน้ำผึ้งที่อาคาร Grand Palais จะติดตรา Grand Palais Honey การเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งครั้งแรกมีการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ นึกภาพร้านค้าของเหล่าพิพิธภัณฑ์ อาคารต่างๆ ที่มีน้ำผึ้งของตัวเอง อธิบายว่าสวนซึ่งเป็นมรดกสำคัญทั้งของอาคาร ของย่าน และของเมืองอุดมไปด้วยดอกไม้และไม้ผลอะไร น้ำผึ้งที่พิเศษจริงๆ มีราคาค่อนข้างสูงจึงเป็นอีกหนึ่งสุดยอดของที่ระลึก 

พิพิธภัณฑ์และอาคารสำคัญที่ร่วมมือเลี้ยงผึ้งกับเกษตรกร มักถือว่ามีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ผึ้ง ทั้งยังได้สินค้าและความสนใจพิเศษจากผลผลิตน้ำผึ้งของตัวเอง ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่อาคารและหน่วยงานสำคัญร่วมผลักดันคือการปรับเปลี่ยนเมืองที่เป็นมิตรและการอนุรักษ์ผึ้งในพื้นที่เมืองของมนุษย์

ตัวอย่างสำคัญเช่นการเริ่มกลับมาสร้างกระแสการเลี้ยงผึ้งของ Jean Paucton และ Nicolas Géant เล่าย้อนว่าในช่วงแรกพอเกิดกระแส ผู้คนก็เอารังผึ้งจากชนบทเข้ามาเลี้ยงกันในเมือง ก่อนจะพบว่าผึ้งในเมืองนั้นมักจะตายไปราว 30% 

แต่กระแสการเลี้ยงผึ้งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน สิบปีให้หลัง ปารีสกลายเป็นเมืองที่แบนการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงในพื้นที่ธรรมชาติและพื้นที่สวนของเมือง

ผึ้งเมืองที่เฟื่องฟู

ความเข้าใจทั่วไปของเราคือผึ้งไม่น่าเติบโตในเมืองได้ดี แต่สิ่งมหัศจรรย์คือคุณฌองบอกว่ากรุงปารีสกลับเป็นเมืองที่เหมาะกับผึ้งมาก 

เขาให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ‘อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 13 องศา และปารีสมีสวนที่ดีมากมายเช่น สวนตุยเลอรี (Tuileries), สวนลุกซ็องบูร์ (Luxembourg Garden), อ่างเก็บน้ำบาสแซ็ง เดอ ลา วิแยตต์ (Bassin de la Villette)’ รวมถึงไม้ยืนต้นที่ทั้งให้ดอกและผลอีกมากมาย 

ความเข้าใจอีกข้อคือประชากรผึ้งค่อนข้างมีอยู่อย่างหนาแน่นในเขตเมือง เนื่องด้วยดอกไม้ในพื้นที่ชนบทมักมีแนวโน้มปนเปื้อนจากสารเคมีทั้งยาฆ่าแมลงและสารฆ่าเชื้อราและสัตว์รำคาญอื่นๆ เกษตรกรเลี้ยงผึ้งในชนบทอาจได้น้ำผึ้งราว 10-15 กิโลกรัม ส่วนการเก็บผลผลิตของผึ้งในเมืองอาจเก็บได้มากถึง 50 กิโลกรัม สูงกว่าถึง 3-4 เท่า

ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Mile Factory บริษัทและร้านน้ำผึ้งสำคัญ ระบุในลักษณะเดียวกันว่าด้วยพืช ดอกไม้ สวน และพื้นที่สีเขียวที่หลากหลายและกระจายตัว รวมถึงการเป็นเขตเมืองปลอดสารฆ่าแมลง ภูมิอากาศเมืองปารีสยังทำให้ดอกไม้ในเมืองมีแนวโน้มบานยาวนานกว่า ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดนี้ทำให้ผึ้งในเมืองมีชีวิตที่ปลอดภัย หาอาหารและผลิตน้ำผึ้งได้มากกว่า ทางบริษัทระบุว่าผึ้งในเมืองให้น้ำผึ้งมากกว่าราว 3-5 เท่า

จากการค้นพบว่าปารีสก็เลี้ยงผึ้งได้ กลายเป็นว่าร้านอาหารหรูๆ ในปารีสยังเสิร์ฟน้ำผึ้งราคาแพงที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวของเมือง ร้านค้าของที่ระลึกก็ชวนให้เราเก็บเอาน้ำผึ้งซึ่งถือเป็นผลผลิตจากบางส่วนของสวน ที่เหล่าผึ้งเก็บน้ำหวานมา

ในที่สุด กิจกรรมการเลี้ยงผึ้งของเมืองพาเราไปมองเห็นประวัติศาสตร์การก่อตัวของผู้คนในปารีส ที่มองเห็นความสำคัญของสวน มองเห็นเงื่อนไขและการมีชีวิตของเหล่าผึ้งซึ่งสำคัญและสัมพันธ์กับเมืองเท่าๆ กับเรา นำไปสู่การอนุรักษ์ ปรับเปลี่ยนเมืองให้ดีกับทุกสิ่งมีชีวิต

อ้างอิง 

เสน่ห์ของแสงเงาในไพรเวตสตูดิโอของ Tantai Tattooer ที่อยู่ด้วยความต่างและความเป็นตัวเอง

แรกเดินทางถึงสถานที่ตรงหน้า เราไม่คาดคิดว่าหลังกำแพงปิดทึบนี้จะมีอาคารทรงโปร่งที่ให้ความรู้สึกสบายตา สบายใจ ตัวอาคารเน้นโชว์โครงสร้าง ระหว่างกลางของพื้นที่ด้านนอกและด้านในกั้นด้วยกระจกใสเปิดให้แสงแดดส่องลอดเข้ามาอย่างอิสระ แต่กลับไม่รู้สึกถึงไอร้อนนักด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่

หากจินตนาการตามคำกล่าว หลายคนอาจคิดว่าเรากำลังพูดถึงแกเลอรีหรือคาเฟ่สักแห่ง แต่ความจริงแล้วอาคารตรงหน้านี้คือ ‘ไพรเวตสตูดิโอสัก’ ของ แทนไท ชีวโศภิษฐ หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ Tantai Tattooer ช่างสักที่เคยสักให้กับแบมแบมและมาร์ก ต้วน 2 สมาชิกแห่งวง GOT7

ถ้าใครได้เข้าไปดูผลงานของแทนไทในช่องทางโซเชียลมีเดีย จะเห็นว่าผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นสีขาว ดำที่ดูมินิมอล มีการไล่เฉดสีอย่างเป็นธรรมชาติและเล่นกับแสงเงาบนรอยสัก ไม่ต่างจากสตูดิโอของเขาที่เล่นกับแสงเงาของธรรมชาติอย่างลงตัว

ช่วงบ่ายคล้อยวันหนึ่งที่ฝนตกพรำๆ แบบไม่ทันตั้งตัว เรานัดกับแทนไทเพื่อสนทนาถึงการทำร้านสักที่แตกต่างไม่เหมือนใคร บทสนทนาระหว่างเราชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าทั้งเวลาที่ฝนตก และช่วงเวลาฟ้าหลังฝนที่มีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามานั้นคล้ายกับการทำธุรกิจของแทนไทไม่น้อย

เป็นการทำธุรกิจที่หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไปที่จะขยาย แต่เขากลับวิ่งเข้าหาช่วงเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ซึ่งแม้จะมีทั้งแง่มุมที่สว่างและมืดมัวแต่กลับมีเสน่ห์ของตนเอง

แทนที่จะรอโอกาส ให้สร้างโอกาสของตัวเอง

แทนไทคลุกคลีในวงการสักมานานกว่า 9 ปี จากการเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ก่อนค้นพบว่าตนเองไม่ชอบทำงานโปรเจกต์ใหญ่ๆ และไม่ถนัดการทำงานเป็นทีม แต่ชอบทำงานที่จบเป็นชิ้นๆ ไป และเป็นงานที่ทำคนเดียวได้ ด้วยสไตล์การทำงานเช่นนี้ เขาจึงคิดว่าการเป็นช่างสักอาชีพน่าจะเหมาะกับเขาที่สุด

“ก่อนที่จะมาเปิดไพรเวตสตูดิโอ เราทำงานควบ 2 ที่ มีทั้งสักแบบไพรเวตที่บ้านของตัวเอง และมีร้านที่เราไปเปิดอยู่ชั้นบนของแกเลอรีแถวเจริญกรุง เราก็ชอบถามลูกค้าว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน หลายคนบอกชอบสักแบบไพรเวตที่บ้านมากกว่า เพราะดูสงบ เป็นส่วนตัว และคุยกับช่างสักได้แบบไม่เกร็ง ส่วนตัวเราก็ชอบสักแบบไพรเวตมากกว่า ทำให้มีสมาธิทำงาน และกล้าคุยกับลูกค้ามากกว่าด้วย”

ถึงแม้การสักแบบไพรเวตที่บ้านของแทนไทจะดูไปได้สวย แต่ในช่วงสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ไม่สามารถเปิดร้านสักได้ เพราะไม่อยากให้ทั้งลูกค้าและสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในบ้าน ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อ แทนไทจึงตัดสินใจเปิดไพรเวตสตูดิโอแห่งนี้ขึ้น สวนทางกับคนทำธุรกิจหลายคนที่เลือกไม่เสี่ยงขยายธุรกิจหรือทำสิ่งใหม่ๆ ในช่วงที่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน 

แต่เขาคิดว่านี่แหละเป็นโอกาสที่เหมาะสม 

“ช่วงโควิดร้านสักก็เปิดไม่ได้ เราเลยคิดว่างั้นใช้เวลานี้มาสร้างสตูดิโอดีกว่านอนรอเวลาอยู่เฉยๆ เพราะกว่าจะเปลี่ยนพื้นที่โล่งตรงนี้ที่เคยเป็นแค่สนามหญ้าให้กลายเป็นสตูดิโอสักได้ก็ใช้เวลานาน กว่าจะสร้างเสร็จพร้อมใช้งาน โควิด-19 ก็คงเริ่มซาลงแล้ว และลูกค้าจะได้มาใช้บริการที่นี่แทน”

แทนที่จะทำตามใคร ให้ทำตามสไตล์ของตัวเอง

แทนไทอยากให้ไพรเวตสตูดิโอสักยังให้ฟีลเหมือนบ้าน แต่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น และที่สำคัญคือสะท้อนความเป็น Tantai Tattooer มากที่สุด

“เราคิดว่าไพรเวตสตูดิโอนี้ไม่ลิงก์กับผลงานที่เราทำ แต่ลิงก์กับความเป็นตัวเรามากกว่า ที่เป็นคนอินโทรเวิร์ตระดับหนึ่ง พูดน้อย มีสเปซของตัวเอง เวลาให้คนเข้ามาที่นี่ก็เหมือนให้คนมาเรียนรู้ตัวเราด้วย มันเลยมีกำแพงจากข้างนอกที่มองมาจะไม่รู้เลยว่าข้างในเป็นอะไร

“แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาด้านในกลับเจอความดิบ ความเงียบ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดรับภายนอกอยู่บ้าง จากการที่มีกระจกให้ได้ดูวิว เปิดรับแสงภายนอก บางทีแดดออกก็มีแสงสวยๆ ส่องเข้ามา ฝนตกก็จะได้ฟีลสงบร่มเย็นไปอีกแบบ เมื่อตกกลางคืนก็จะมีแสงจากไฟที่แต่งสวน ส่วนต้นไม้ก็มาจากที่เราอยากดูธรรมชาติ เห็นอะไรเขียวๆ บ้าง ถ้าไม่มีกระจกกับต้นไม้เราว่ามันก็จะดูทึบไปหน่อย”

“ส่วนวัสดุกับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในร้านไม่ได้มีเกณฑ์การเลือกเป็นพิเศษ แค่คิดว่าอันไหนเราชอบก็เอาอันนั้น แต่เราจะใส่ใจดีเทลเล็กๆ น้อยๆ เช่น texture และการ skim แสง ซึ่งมาจากงานสักของเราเองที่จะเน้นโทนสีขาว-ดำ เป็นงานแนวแบล็กแอนด์เกรย์ งานคลีน งานเล็กๆ ที่ใส่ใจเรื่องดีเทลเป็นพิเศษ และเน้นบิลต์อินให้เห็นโครงสร้างไปเลย ไม่มีการทาสีเพิ่ม เวลาคนเข้ามาที่นี่ ถ้าไม่บอกว่าเป็นของใคร เขาก็จะรู้ทันทีว่านี่เป็นไพรเวตสตูดิโอของ Tantai Tattooer เพราะดูเป็นตัวตนเรามากที่สุด”

แทนไทยังเล่าให้เราฟังอีกว่า คนที่สนใจมาสักมักไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยคาแร็กเตอร์ของงานอย่างเดียว แต่ถูกดึงดูดจากคาแร็กเตอร์ของช่างสักด้วย เพราะการสักคือการใช้เวลาอยู่กับช่าง ไปดูว่าช่างทำงานยังไง ไวบ์เป็นยังไง จะได้ไม่อึดอัดเวลามาสักแล้วพูดคุยกัน

“คนที่เขามาหาเราเขาก็ชอบคาแร็กเตอร์​เรา อย่างแบมแบมกับมาร์ก ต้วน GOT7 เขาเลือกไปสักกับใครก็ได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกมาสักกับเรา น่าจะเพราะคาแร็กเตอร์เรามันดันไปคลิกกับเขาด้วย แต่ก็มีคนที่มาสักกับเราแล้วไม่ชอบเรานะ เราก็ไม่ได้หวังให้ใครมาชอบเรา 100% แค่ชอบผลงานเราก็โอเค เราเข้าใจว่าทุกคนก็แตกต่างกันออกไป แค่ต้องหาช่างที่สไตล์เหมาะกับตัวเองและชอบผลงานของเขา”

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกไม่ทำสตูดิโอสักเหมือนคนอื่นที่มักทำเป็นแทตทูช็อปที่มีบรรยากาศร้านแบบปิดทึบ มีแสงไฟสลัว นอกจากนี้แทนไทยังบอกอีกว่าลูกค้าของเขากว่า 80% ล้วนเป็นลูกค้าที่ไม่เคยสักมาก่อน แต่เลือกมาสักกับเขาเป็นครั้งแรก ด้วยบรรยากาศร้านที่ดูสบายๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด ก็ทำให้ถึงแม้ตอนแรกที่ลูกค้ามาจะยังกลัวการสัก แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายจะทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอีก และรู้สึกเหมือนได้มา take a break ถือว่าเป็นการ therapy แบบหนึ่งก็ว่าได้

รวมถึงการที่แทนไทเลือกเป็นช่างสักคนเดียวของร้าน โดยที่ไม่มีช่างสักคนเหมือนในแทตทูช็อปที่มีช่างสักหลายคน นั่นก็มาจากสไตล์การทำงานของเขาที่ชอบทำงานคนเดียว อยากให้ทั้งเขาและลูกค้ามีความเป็นส่วนตัว กล้าพูด กล้าคุยกันแบบไม่รู้สึกเกร็ง

“การที่มีช่างสักหลายคนก็มีข้อดี คือช่างจะได้โตไปด้วยกัน จากการเรียนรู้เทคนิคของกันและกัน แล้วพอมีช่างหลายคนร้านก็จะรับงานได้มากขึ้น กระจายงานได้มากขึ้น ธุรกิจก็จะโตไวขึ้น แต่ด้วยสไตล์เราเป็นแบบนี้ เลยขอเลือกทำเป็นไพรเวตสตูดิโอดีกว่า อาจโตช้าหน่อย แต่เรามีความสุขและสบายใจกว่า”

แม้แต่โลเคชั่นของร้านที่อยู่แถวฉิมพลี ก็ยังมาจากไลฟ์สไตล์ของแทนไทเอง ที่ไม่ชอบเข้าไปในเมืองที่รถติด ทั้งที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านและร้านสักเดิมที่เคยเปิดมากนัก จึงคิดว่าลูกค้าน่าจะเดินทางมาหาได้ไม่ยาก ประกอบกับแถวนี้ไม่ค่อยมีตึกสูงสักเท่าไหร่ ทำให้เขาสามารถดูวิว ชมท้องฟ้าแบบที่เขาชอบได้อย่างสบายตาและสบายใจ

แทนที่จะทำแค่ร้านสัก ให้มองถึงโอกาสในการต่อยอด

สไตล์ร้านที่ไม่เหมือนร้านสักแห่งไหนที่เคยมีมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่แทนไทอยากลบภาพจําความเป็นร้านสักในเชิงธุรกิจ แต่อยากให้เป็นสถานที่ที่ได้ปลดปล่อยจินตนาการ ให้ทั้งผู้ออกแบบและผู้ต้องการงานศิลปะได้ประสบการณ์และงานที่ชอบเกินความคาดหมายกลับไป

มากกว่าการทำไพรเวตสตูดิโอ เขาจึงอยากผลักดันสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสเปซที่ต่อยอดได้ 

“สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น อย่างแรกคือไม่น่าจะมีใครซื้อที่ขนาดนี้เพื่อทำร้านสัก ส่วนใหญ่ก็เช่าหรือทำร้านสักในบ้านของตัวเอง แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างของร้าน แต่เป็นเรื่องของการต่อยอดด้วย อย่างเรามีไพรเวตสตูดิโอของตัวเอง เราก็ทำเวิร์กช็อปได้ ทำอีเวนต์ได้ อยากทำโปรเจกต์อะไรบ้าๆ ก็ทำได้ พอมันต่อยอดได้ก็ไม่เหมือนแทตทูช็อปที่มาสักไปวันๆ แล้วก็จบไป”

แทนไทยังยกตัวอย่างโปรเจกต์ที่เพิ่งทำอย่างการสักตามลายสะบัดของกิ่งไม้ จากที่เขาเห็น Reel ในไอจีคลิปหนึ่ง ที่มีศิลปินสร้างงานศิลปะผ่านการเอากิ่งไม้มาตีที่ผ้าใบวาดภาพ  

“ในอนาคตเราคิดว่าอยากคอลแล็บกับแบรนด์น้ำหอม สร้างกลิ่นสตูของเรา แล้วเราก็สักบนแพ็กเกจ หรือเอาเซรามิกมาปั้นที่นี่ก็ได้

นอกจากนี้แทนไทอยากทลายกรอบที่คนนิยามเกี่ยวกับงานศิลปะ เพราะเขาเชื่อว่างานศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด และไม่ควรไปสร้างกรอบให้กับมัน บางคนอาจคิดว่างานศิลปะต้องเกิดจากการใช้พู่กันกับสีโปสเตอร์ สีอะคริลิกเท่านั้น แต่ความจริงยังมีหลายอย่างที่น่าลอง เขากล่าวว่าต่อให้เอาไม้กวาดไปวาดรูปก็เป็นงานศิลปะได้ หรือต่อให้ลายกนกจะเบี้ยวก็สวยงามได้ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทาง

“เรานึกถึงตอนที่หลานเราเคยวาดรูปลอยกระทง แล้วระบายสีท้องฟ้าเป็นสีดำ แล้วครูกับเพื่อนก็ถามว่าทำไมถึงระบายท้องฟ้าสีดำ มันมืด มันดูไม่สวย เขาก็ให้เหตุผลว่าเราต้องลอยกระทงตอนกลางคืน ท้องฟ้าถึงเป็นสีนี้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าศิลปะทุกวันนี้ยังมีกรอบอยู่บ้าง

“แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน อย่างงานสักสมัยก่อนจะมีแต่งานใหญ่ๆ งานสีดำ งานแนวญี่ปุ่น งานแนวชนเผ่า ผู้ใหญ่ก็จะมองว่าอย่าไปสักนะ มันดูเละเทะ แต่เดี๋ยวนี้มีลายสักเล็ก ดูน่ารักๆ มีสีสันมากขึ้น คนก็อคติกับการสักน้อยลง มองว่างานสักก็สวยนี่ เครื่องสักเมื่อก่อนจะเสียงดังๆ เดี๋ยวนี้ก็ดูเงียบลง ทำให้ช่างสักสมัยนี้ก็มีเยอะขึ้น ไม่แน่ว่าอีกหน่อยอาจมีคณะที่เปิดสอนเรื่องการสักเลยก็ได้”

แทนที่จะทุ่มทำการตลาด ให้สร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรงก่อน

สิ่งที่ทำให้ Tantai Tattooer ยืนระยะมาได้ถึง 9 ปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาจากที่แทนไทให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนดิ้งและสร้างความแตกต่างแบบไม่ทิ้งตัวตน 

“พอเราเป็นตัวของเราเอง ทำอะไรที่มันต่าง ลูกค้าก็เข้ามาหาเราเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่เคยยิงแอดด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ลูกค้ามาหาเราจากการบอกกันปากต่อปาก บางคนเห็นผลงานหรือคาแร็กเตอร์เราแล้วชอบก็มี 

“เราว่ายุคนี้มันต้องแตกต่าง แต่เราต้องชอบมันด้วย ไม่ใช่แตกต่างแล้วฝืน ก็ดูพยายามเกินไป แล้วเราจะทำมันได้ไม่นาน ต้องหาอะไรที่น่าทำ แต่ยังไม่มีคนทำ คนถึงจะรู้สึกว่าน่าตื่นเต้น”

แทนไทยังเน้นย้ำกับเราอีกว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่องของ process เขาจะให้ลูกค้ามาช่วยกัน work งานไปด้วย เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะมีลายที่ชอบมาหรือมีแค่ไอเดีย แทนไทจะช่วยคิดว่างานนี้เหมาะกับดีเทลยังไง และควรวางรอยสักในตำแหน่งไหนถึงดูน่าสนใจและสวย

“เราเน้นไปที่การ consult และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในงาน การมาสักกับเราจึงเน้นไปที่ process ระหว่างทางมากๆ เพราะรอยสักนี้จะอยู่บนตัวลูกค้าไปตลอด เราก็อยากให้เขาได้ลายที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา และเป็นลายที่เขาชอบมันจริงๆ แล้วเราค่อยมาทำให้ดูดี พอทำงานแบบนี้เราแฮปปี้ ลูกค้าก็แฮปปี้ไปด้วย”