สนทนากับ NEPS ธุรกิจติดตั้งโซลาร์กับภารกิจผลักดันพลังงานสะอาดแบบครบวงจรเพื่อคนไทย

“ผมไม่ได้ทำโซลาร์เพราะอยากรวย”

หลายคนที่อ่านประโยคข้างต้นจากปากของ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS ผู้นำธุรกิจติดตั้งโซลาร์ของไทย คงทำใจเชื่อได้ยาก เพราะการที่ใครสักคนจะทำธุรกิจ ปัจจัยเรื่องกำไรขาดทุนต้องอยู่ในสมการเป็นพื้นฐาน 

แต่ตลอดการสนทนา ไม่ใช่เพียงคำพูดที่ว่า “สำหรับผม สังคมมาหนึ่ง เศรษฐกิจมารอง” เท่านั้นที่ทำให้เริ่มเข้าใจเจตนารมณ์ของชายตรงหน้า แต่ยังเป็นเรื่องราวในอดีตที่เขาสร้าง และอนาคตที่เขาเห็นต่างหาก ที่ทำให้จากไม่ปักใจเชื่อในแรกได้ยิน กลับรู้สึกเอาใจช่วยให้ภาพที่เขาวาดไปถึงฝั่งฝัน

หากใครเป็นคนดนตรี อาจรู้จักตรีรัตน์ในนามศิลปินวงเอพริลฟูลส์เดย์ สังกัดอาร์เอส 

หากใครเป็นคนที่สนใจการบ้านการเมือง อาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในฐานะนักการเมืองที่พยายามผลักดันนโยบายพลังงานมาตลอด

และหากใครเป็นหนอนหนังสือ เชื่อไหมว่าเขาคือผู้นำเข้ากระดาษถนอมสายตา ‘Paper Green’ ด้วยต้องการสร้างความแตกต่างให้วงการหนังสือไทย และเพื่อนักอ่านชาวไทยได้อ่านหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษคุณภาพ ทั้งเบา ทั้งหอม และดีต่อสิ่งแวดล้อม 

แม้เขาจะเปลี่ยนมือมาสร้างธุรกิจใหม่อย่างการทำธุรกิจติดตั้งโซลาร์ ความเป็น ‘ตรีรัตน์’ ที่นึกถึงผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง และต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมยังคงฝังแน่นไม่จางหาย วันนี้ NEPS เป็นมากกว่าผู้ติดตั้งโซลาร์ แต่ยังเป็นเบอร์ต้นและเป็นผู้บุกเบิกการให้บริการด้านพลังงานสะอาดแบบครบวงจรด้วย 

เขาสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการ เขาบุกเบิกบางสิ่งที่คนอาจว่าบ้า แต่เขามองว่าถ้าทำได้สังคมจะดีขึ้นอีกโข

บ่ายวันหนึ่งที่แสงแดดจ้า ส่งทั้งความร้อน และความสดใสไปยังทั่วทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ Capital สนทนากับตรีรัตน์ถึงทิศทางพลังงานสะอาด โอกาสของคนไทย และความตั้งใจที่อยากให้คนไทยผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ และความตั้งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยให้ไม่ตกขบวนเทรนด์สำคัญแห่งอนาคต

“ผมมองว่าโซลาร์มันจะกลายเป็น new norm”

“รู้ไหมว่าการที่เราใช้ไฟจากการไฟฟ้าปัจจุบันนี้มันคือหนึ่งในต้นเหตุหลักของโลกร้อน” ตรีรัตน์เปิดบทสนทนาด้วยคำถามที่เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เขาอธิบายขยายความว่าโรงไฟฟ้าปกตินั้นใช้พลังงานฟอสซิลผลิตแก๊ส และนำความร้อนจากแก๊สมาปั่นเป็นไฟฟ้า นั่นคือการเพิ่มความร้อนไปในสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกมันร้อนขึ้นจึงก่อให้เกิดเหตุการณ์เอลนีโญ ปะการังฟอกขาว ฯลฯ 

“ถามว่าทำไมคนไม่อยากมีลูกกัน ก็เพราะเขาไม่รู้ว่ามีลูกแล้ว อนาคตของลูกจะเป็นยังไง” เขากล่าวว่าตนเองก็ยังนึกบทบาทความเป็นพ่อไม่ออกนัก 

การที่ไฟฟ้ากว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ผลิตจากฟอสซิลที่เริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ นี้เอง เมื่อมีสงคราม ราคาแก๊สสูงขึ้น ค่าไฟก็ต้องผันผวนไปตามนั้น เป็นผลให้ค่าไฟแพง ตรงข้ามกับค่าแรงที่ยังคงไม่กระดิกไปไหนและเป็นสาเหตุที่ผู้คนเริ่มค้นหาพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ได้อย่างไม่รู้จบและยังเป็นพลังงานที่ทุกคนเข้าถึงได้

ด้วยเทคโนโลยีสมัยก่อนทำให้โซลาร์หนึ่งแผงผลิตไฟได้เพียง 200 วัตต์ แปลว่ากว่าจะคืนทุนก็อาศัยเวลาหลัก 10-20 ปี แต่วันนี้โซลาร์หนึ่งแผงกลับผลิตไฟได้ปริมาณมากขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ตรีรัตน์เอ่ยว่าไม่เกิน 4-5 ปีก็สามารถคืนทุนให้เจ้าของบ้าน เจ้าของโรงงาน หรือผู้ประกอบการได้แล้ว

แต่อีกเรื่องสำคัญที่ทำให้คนหันมาสนใจโซลาร์กันมากขึ้นมาจากกฎหมายระดับโลก หลังการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP 21 เมื่อปี 2558 ก็ส่งผลให้การเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศต้องคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าเดิม

“รัฐบาลพยายามเจรจาอยากนำ data center มาลงในประเทศไทย ชวน Microsoft มาลงทุน ชวนอะไรมาลงทุน ใครๆ เขาก็บอกว่ามาลงทุนได้อยู่แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าประเทศเราต้องมีสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มากกว่านี้ 

“คำถามคือเพราะอะไร ก็เพราะมันเป็น requirement ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่ต้องมีแพลนเรื่องการรักษ์โลก การลดคาร์บอน” ฉะนั้นแล้วรัฐบาลไทยและหลายๆ ประเทศจึงต้องรณรงค์การเพิ่มสัดส่วน green energy ในประเทศตนเองเพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

“วันนี้ผมเลยมองว่าโซลาร์มันจะกลายเป็น new norm อย่างเราซื้อบ้านจัดสรรสมัยนี้ ผมว่า 80% เขาต้องมีแผงโซลาร์มาให้ลูกบ้าน มันเสมือนสมาร์ตทีวี เสมือนสมาร์ตโฟน เสมือนรถ EV ที่เริ่มเข้ามาเป็น new norm ในไทย”

การมาของรถ EV ยังถือเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ธุรกิจโซลาร์บูม เพราะคนต้องการลดค่าไฟจากการชาร์จรถที่บ้านให้มากที่สุด การใช้โซลาร์ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทั้งฟรีและเป็นพลังงานของทุกคนจึงมีแต่ได้กับได้ 

“เราจ่ายเงินแค่ค่าแผง ค่า inverter และเราก็ดูเรื่อง maintenance ให้มันดี แค่นี้ก็สามารถผลิตไฟให้เราได้แล้ว ฉะนั้นนี่คือพลังงานที่ผมว่ามันยั่งยืนต่อทั้งโลกและต่ออนาคตของพวกเราทุกคน” เขายืนยัน

“ผมไม่ได้ทำโซลาร์เพราะผมอยากจะรวย แต่ผมอยากเชตตัวเองให้เป็นมาตรฐานที่ดี”

“ผมพูดเสมอนะว่าผมไม่ได้ทำโซลาร์เพราะผมอยากจะรวยกับโซลาร์ มันคือมายด์เซตที่ผมว่าผมต่างกับผู้ผลิตเจ้าอื่น”  

จุดตั้งต้นของ NEPS ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ ตรีรัตน์เริ่มธุรกิจโซลาร์จากการซื้อมา-ขายไป ลูกค้ากลุ่มหลักไม่ใช่เจ้าของบ้าน หรือเจ้าของโรงงาน แต่เป็นผู้รับเหมาที่ซื้อโซลาร์จากเขาเพื่อไปติดตั้งอีกทอด

“สิ่งที่ผมเห็นคือเขาเริ่มลดสเปกของกันมากขึ้นเพื่อให้ได้งาน หลายครั้งของไม่ได้มาตรฐานแล้วในอนาคตเกิดบ้านไฟไหม้ แผงโซลาร์ปลิวหลุดจากหลังคาจะทำยังไง ผมเลยตัดสินใจคุยกับหนึ่งในผู้รับเหมาที่เขาทำงานดี มีคุณภาพว่าผมจะมาลุยตลาดเวนเดอร์แล้วนะ 

“ผมอยากเชตตัวเองให้เป็นมาตรฐานที่ดี มาตรฐานที่ต่างประเทศใช้ มาตรฐานที่มีการให้บริการทั้งระหว่างการขายและหลังการขาย”

มาตรฐานและคุณภาพที่เขาหมายถึงมีหลายองค์ประกอบด้วยกัน ตั้งแต่การเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ เช่น โซลาร์ที่ต้องมีอายุรับประกันที่ 30 ปี หรือวัสดุติดยึดและสายไฟที่ต้องเป็นเกรดดีเท่านั้น ที่สำคัญ คุณภาพการติดตั้งต้องดีที่สุด

“ถ้าของดีแต่ติดตั้งห่วยมันก็จบ พนักงานของผมจึงเป็นทีมวิศวกรมืออาชีพที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาเกิน 10 ปี และเขายังเป็น in-house อยู่ที่ช็อปเรา ถามว่า in-house มันดียังไง มันดีตรงที่ผมสามารถคุมคุณภาพได้ กลับกัน ถ้าผมจ้างซัพพลายเออร์ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าของที่ได้ ทีมที่มีมันได้มาตรฐาน”

เขาเล่าประสบการร์การขายโซลาร์ก่อนหน้า ว่าผู้รับเหมาส่วนใหญ่มักแนะนำลูกค้าว่าหากมีหลังคาเท่าไหร่ ให้ติดโซลาร์เต็มพิกัด ซึ่งนี่คือการสร้าง norm ที่ไม่ถูกต้องจากความต้องการขายให้ได้จำนวน หรือบางคนก็เลือกลดสเปกวัสดุติดตั้งเพื่อลดต้นทุน และได้กำไรมากขึ้น

“ถ้าเกิดทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันคงไม่ยั่งยืนกับตลาดแน่นอน เชื่อไหมว่าวันนี้มีลูกค้าจำนวนมากมาขอให้ผมแก้งานเก่าที่ทำไว้กับเจ้าอื่นๆ เพราะไม่ได้มาตรฐาน” 

“NEPS ไม่ได้จะขายแล้วจบ แต่มันคือการดูแลระยะยาว”

‘หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมภาระอันใหญ่ยิ่ง’ 

คำพูดนี้คงไม่เกินจริงนัก นับแต่วันที่ตรีรัตน์ตั้งใจผันตัวจากการซื้อมา-ขายไป เป็น new energy solution และนี่เองคืออีกจุดต่างสำคัญที่ทำให้ NEPS ไม่เพียงเป็นหนึ่งในผู้เล่นของตลาดนี้แต่กลับทะยานขึ้นสู่การเป็นผู้นำของบริการด้านโซลาร์ของไทย

“แผงโซลาร์จะผลิตไฟได้ตามโฆษณามันต้องมีการดูแลรักษา เพราะแผงโซลาร์ก็เหมือนกระจกที่รับแสงอาทิตย์ ถ้ามันสกปรก มันก็รับแสงได้น้อย รับแสงได้น้อยก็ผลิตไฟไม่ได้ตามที่คาดหวัง สี่ปีที่โฆษณาว่าคืนทุนก็อาจขยายเป็นห้าปีก็ได้ ผมเลยบอกลูกค้าว่าผมดูแลคุณ 30 ปีเลย”

แพ็กเกจการดูแลแผงโซลาร์แตกต่างกันไปตามเลือกสรร แต่หลังจากจบการขายแล้ว NEPS ทุกๆ 4-5 เดือน จะมีพนักงานโทรสอบถามเรื่องการล้างทำความสะอาดแผง การตรวจเช็กอุณหภูมิของอุปกรณ์ และการดูแลขั้วสายไฟ 

“หลายๆ ครั้งที่ NEPS เข้าไปเปลี่ยนอุปกรณ์ให้ลูกค้าก่อนที่วัสดุอุปกรณ์จะเสียอีก เพราะด้วยประสบการณ์ในการให้บริการของเรา ทำให้ทีมเรามีความชำนาญมาก หรืออาจเป็นเพราะอีกมุมหนึ่ง ผมเป็นตัวแทนโรงงาน เรามีเทรดดิ้ง ฉะนั้นพวกแบรนด์โซลาร์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น LONGi จะเป็น Jinko Solar เราดูแลการเคลมให้เขาหมด” 

NEPS ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายจึงมีของพร้อมเปลี่ยน พร้อมขายและพร้อมส่งตลอดเวลา ไม่ว่าจะเหนือ ใต้ ออก ตก หรือที่ไหนๆ NEPS ก็เคยไปปักหมุดมาแล้ว 

“อาทิตย์ที่แล้ว ผมก็เพิ่งไปส่งของที่เกาะสมุยมา สองเดือนกว่าที่แล้ว ผมไปติดตั้งที่เกาะพงันมา แล้วไม่ว่าจะที่ไหนๆ มันไม่ใช่ว่าซื้อของแล้วจบไป แต่มันคือการดูแลระยะยาว มันคือการสร้างแบรนด์ มันคือการสร้างความเชื่อใจ”

เคสตรวจโรงงานแหลมทอง

“ไม่ได้ขายแบบเหมาเข่ง แต่หาสิ่งที่เหมาะให้ทุกคน”

“ลูกค้าของเราติดตั้งโซลาร์ไม่เหมือนกันสักหลังเลย และนี่แหละมันคือความมัน” เขาขยายความถึงความมันที่ว่าให้ฟังว่าพฤติกรรมการใช้ไฟของแต่ละบ้าน แต่ละบริษัท แต่ละโรงงานไม่เหมือนกันอยู่แล้ว หน้าที่ของ NEPS จึงคือการติดตั้งโซลาร์ตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน 

“เหมือนคุณจะทำกับข้าว คุณไปตลาด คุณก็ต้องเลือกว่าจะใช้หมูกี่กรัม ผักกี่กรัม คุณก็เอาให้มันพอดีจะได้ไม่ต้องทิ้งและทำให้ต้นทุนแพง 

“บางคนขายโซลาร์ให้ลูกค้า 5 กิโลวัตต์ 10 กิโลวัตต์ ผมบอก ไม่ ของคุณคือ 4.1 ของคุณคือ 9.8 ของคุณคือ 6.4 แต่แปลว่า NEPS ต้องใช้ทรัพยากรคนลงไปเยอะ ต้นทุนการดีไซน์แต่ละหลังอาจสูงกว่าชาวบ้าน แต่สุดท้ายปลายทาง เมื่อเราหาของที่มันเหมาะ ออกแบบให้มันเหมาะ ผู้บริโภคจะคืนทุนเร็วกว่า”

คำว่า ‘เหมาะ’ ที่ตรีรัตน์เอ่ยเป็นสารตั้งต้นที่เขาใช้ในทุกธุรกิจที่ถือ โดยเฉพาะกับการคัดเลือกโซลาร์รูปแบบใหม่เข้ามาจำหน่ายเป็นคนแรกๆ ที่แม้ไม่รู้ว่าตลาดต้องการแค่ไหน เขาจะเจ๊งหรือไปได้ไกล เขาก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะนำเข้ามา

Beijing Workers Stadium

อย่างแรกคือการนำนวัตกรรม BIPV (Building-integrated photovoltaics) ของ LONGi ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านโซลาร์เข้ามาในไทย อธิบายง่ายๆ BIPV คือการนำโซลาร์ที่แต่ก่อนต้องติดตั้งบนหลังคามาติดบนกำแพงหรือส่วนต่างๆ ของบ้านได้ ทั้งหน้าต่าง ช่องกระจก หรือผนัง ซึ่งช่วยให้อาคารรับพลังงานแสงอาทิตย์ได้รอบด้านและประสิทธิภาพสูงมาก

จุดตั้งต้นมาจากประเทศแถบยุโรปและญี่ปุ่นที่เมื่อที่ดินแพง ทุกตารางเมตรที่มีอยู่จึงต้องทำให้เกิดประโยชน์ เปลี่ยนจากฟาซาดทึบๆ ที่ร้อนและอาจไม่สร้างคุณค่าให้เป็น BIPV ที่ทั้งสวย ดีต่อโลก และประหยัดพลังงาน ตัว BIPV ยังเหมาะกับการติดตั้งอาคารที่สูงมากกว่า 50 เมตร หรือก็คืออาคารสูงๆ ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ นี่เอง 

ข้อดีของ BIPV จาก LONGi คือสามารถคัสตอมสีตามอาคารได้ ไม่ก่อให้เกิดควัน ความชื้น หรือความร้อน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ ก็ Beijing Workers Stadium ที่สั่งทำสีทองพิเศษ จนกลมกลืนกับตัวอาคาร แถมยังผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้ได้ตลอดวัน

Beijing Workers Stadium

“สิ่งที่ผมทำวันนี้ ผมรู้ว่ามันขายโคตรยากเลย แต่ทำไมผมกล้าทำ เพราะผมไม่อยากให้เราเป็นผู้ตาม ผมอยากบุกเบิก ผมคิดว่าประเทศไทยมีตึกสูงมากขึ้น คนที่ใช้พลังงานเยอะที่สุดในประเทศไทยก็คือคนบนตึกสูง ฉะนั้นแล้ว เรายิ่งต้องทำให้ตึกนี้เป็นตึกที่มันกรีนและรักษ์โลกให้ได้ 

“แล้วรู้ไหมว่าตัว BIPV นี้ LONGi เขาติดต่อมาหาผมนะ ไม่หาคนอื่นเลย ผมถามว่าทำไมเขาถึงมาที่ผม เขาบอกว่าเขาเชื่อในตัวผม เขาเชื่อว่าวิธีการขายของผมมันนำเสนอความตั้งใจในการสร้าง green building ของแบรนด์ได้ ไม่ใช่การนำเสนอว่ามันคืนทุนเร็วเท่าไหร่” 

อีกนวัตกรรมระดับโลกที่ NEPS นำเข้ามา ทั้งยังเป็นตัวแทนรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยของ LONGi คือ Ultra Black Solar รุ่น HI-MO X6 Ultra Black ที่มีดีไซน์สีดำสวยงามช่วยดูดซับแสงได้ดีกว่า มาพร้อมเทคโนโลยี BC เซลล์ประสิทธิภาพสูงกว่าแผงโซลาร์ 25% ทั้งยังรับประกันประสิทธิภาพ 30 ปี รับประกันคุณภาพ 25 ปี ขณะที่แผงทั่วไปรับประกันประสิทธิภาพ 25 ปี และคุณภาพที่ 12 ปี  

“เรียกว่ามันจิ๋วแต่แจ๋ว แล้วเชื่อไหมว่า Ultra Black นี้ ญี่ปุ่นเหมาเกือบหมด ผมเป็นหนึ่งในคนที่ขอแบ่งตลาดญี่ปุ่นมาขายในเมืองไทย ซึ่งตอนเปิดตัวเมื่อเดือน 8 เราเอาเข้ามาหนึ่งตู้เพราะไม่รู้จะขายได้ไหม แต่ไม่เกิน 2 อาทิตย์ผมขายหมด 

“ผลตอบรับตรงนี้ยิ่งทำให้ผมคิดว่าวันนี้โซลาร์ไม่เพียงต้องมีประสิทธิภาพดีเท่านั้น แต่มันต้องมาพร้อมความสวยงาม ยิ่งไปกว่านั้นมันต้องเหมาะกับแต่ละอุตสาหกรรมจริงๆ อย่าง Ultra Black ที่เหมาะกับบ้าน หรือ BIPV ที่เหมาะกับอาคารสูง สิ่งที่ผมทำคือผมไม่ขายแบบเหมาเข่ง แต่ผมหาสิ่งที่เหมาะเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกประเภท”

การเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกครั้งนี้เองที่ยิ่งส่งให้ NEPS เป็นผู้นำเบอร์ต้นของธุรกิจติดตั้งโซลาร์ได้ไม่ยาก

“เราคือโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งหมดเลย”

ยิ่งทำยิ่งลงลึก ยิ่งลงลึกยิ่งได้ยินเสียงของผู้บริโภค วันนี้ NEPS ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายหรือการติดตั้งโซลาร์เท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจย่อยในมืออีกมากเพื่อสร้างให้ NEPS เป็น one-stop service solution ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้แบบครบจบ

ทั้ง Solar Rooftop ที่เกิดจากลูกค้าหลายคนต้องการติดตั้งโซลาร์แต่ติดปัญหาว่าหลังคานั้นเก่าเกินไป ตรีรัตน์เข้าไปอุดช่องว่างนี้ด้วยมีบริการติดโซลาร์พร้อมทำหลังคาใหม่ ที่สำคัญยังเป็นช่างภายใน ไม่ใช้ซัพนอกตามคอนเซปต์ เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการมีคุณภาพ และราคาที่ลูกค้าจ่ายก็ไม่แพงจนเกินไป

“บางทีสร้างโครงสร้างหลังคาให้เลยก็มี เช่นหลายๆ ไซต์เราก็ทำหลังคาลานจอดรถและติดโซลาร์บนหลังคาลานจอดรถให้เขาเลย และไม่บวกกำไรค่าหลังคาด้วย”

นอกจากนั้น ตรีรัตน์ยังลุยอีกธุรกิจที่เกิดจาก pain poin ของลูกค้าคือแบตเตอรีและชาร์จเจอร์ EV เกิดจากว่าลูกค้าในปัจจุบันไม่จำกัดเฉพาะลูกค้าโรงงานที่ใช้ไฟตั้งแต่เช้าถึงเย็นเท่านั้น แต่ยังมีลูกค้าบ้านพักอาศัย หรือผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง อย่างเจ้าของร้านกาแฟ โชว์รูมรถยนต์ โรงเรียนมากขึ้น

เคสตรวจโรงงานในกลุ่มแหลมทองสหการ

“เทรนด์โซลาร์มันมาตอน work from home ข้อดีคือคนไม่ต้องออกไปไหน แต่ค่าไฟ ค่าแอร์ ค่าเน็ต เราต้องจ่ายเอง คนก็เริ่มติดโซลาร์กันมากขึ้น แต่พอกลับไปทำงานตามปกติแล้ว บางวันไม่ได้อยู่บ้านนานขนาดนั้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้มันก็ไม่ถูกใช้ 

“วิธีการคือการใช้เทคโนโลยีแบตเตอรีมาเก็บไฟที่ผลิตได้เพื่อให้คนได้ใช้ไฟในตอนที่เขาอยู่บ้านแล้ว เราเลยเป็นผู้บุกเบิกแบตเตอรีคนแรกๆ เหมือนกัน แบตเตอรียังช่วยเรื่องอะไรอีก มันช่วยเรื่องทำหน้าที่เหมือนระบบกักสำรองไฟยามฉุกเฉิน”

แบตเตอรีที่ NEPS บุกเบิกทำงานภายใน 0.03 วินาที ชนิดที่ไฟดับแล้วแต่เจ้าของบ้านแทบไม่รู้ตัว เพราะไฟที่กักเก็บไว้จะถูกปล่อยออกมาใช้งานทันที ไม่ต้องห่วงว่าของในตู้เย็นจะเสีย ไม่ต้องห่วงว่าเจ้าหมาขนฟูที่เลี้ยงไว้จะร้อน หรือหากมีผู้พิการหรือผู้สูงอายุติดเตียงที่ต้องใช้เครื่องมอนิเตอร์หัวใจ อุปกรณ์เหล่านี้ก็ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

“มันคือความมั่นคงในบ้าน เราถึงบอกว่าวันนี้ NEPS ไม่ได้เน้นแค่ขายโซลาร์ แต่เราคือโซลูชั่นที่คุณอยากได้อะไร คุณมาบอกเราสิ เราตอบโจทย์ได้ทั้งหมดเลย”

“สำหรับผม สังคมมาที่หนึ่ง เศรษฐกิจมารอง”

“ก่อนผมทำโซลาร์ผมทำกระดาษ Paper Green มาก่อนนะ” ตรีรัตน์เอ่ยถึงกระดาษรักษ์โลกถนอมสายตา ที่เข้ามาปฏิวัติวงการหนังสือและสมุดในไทย

“จำได้เลยว่าผมเดินไปหาเจ้าของสำนักพิมพ์ต่างๆ  ผมบอกว่าผมไปเมืองนอกมา ผมเข้าร้านหนังสือในสนามบินที่เมืองนอก แล้วเห็นเขาใช้กระดาษถนอมสายตาที่กลิ่นหอม น้ำหนักเบาด้วย ทำไมประเทศไทยมีแต่กระดาษปอนด์ขาวๆ ที่หนักแล้วก็บาดมือ มันน่าเบื่อนะ ลองใช้กระดาษพวกนี้ไหม

“มันไม่ใช่ของถูกๆ หรอกแต่มันเป็นของที่ยั่งยืนกว่า ช่วยโลกได้มากกว่า สุดท้ายเขาก็ใช้กระดาษผมจนติด แล้วมันก็บูมขึ้นมา สมัยก่อนคนอ่านนิยาย อ่านซีรีส์ก็ไม่อยากพกไปไหนมาไหนเพราะมันหนัก แต่พอเราหาสิ่งที่มันเหมาะมาให้ วันนี้สิ่งที่มันเหมาะก็อยู่เต็มงานสัปดาห์หนังสือไปหมด” มายด์เซตในการผลักดันกระดาษ Paper Green ครั้งนั้น ไม่ต่างไปจากการพยายามผลักดันให้สังคมไทยเกิดการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นในครั้งนี้ 

“99% ของคนขายโซลาร์ประเทศไทยต้องการขายของถูก เพราะมันคืนทุนเร็ว สิ่งที่ผมขาย สิ่งที่ผมทำ บริการทั้งหมดที่ออกแบบขึ้น มันอาจจะคืนทุนช้ากว่าก็จริง แต่ระยะยาวมันคุ้มค่ากว่า ผมเลยคิดว่าการพยายามนำของดีและของที่เหมาะเข้ามาให้คนไทยครั้งนี้คือการที่ผมกำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมโซลาร์”

หากสังเกตวิธีการสื่อสารการตลาดกับลูกค้า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนของ NEPS คือการสื่อสารถึงความคุ้มค่า คุณค่า และความยั่งยืนที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีสักครั้งที่ NEPS จะพูดถึงการคืนทุนหรือการประหยัดสตางค์ในกระเป๋า 

“ผมไม่อยากขายคําว่าเศรษฐกิจมานำหน้า ผมอยากใช้ความฟีลกู๊ดด้านสังคมสิ่งแวดล้อมมานำหน้าก่อน แล้วการคืนทุนเร็ว การลดค่าไฟ หรือประโยชน์อื่นๆ มันคือโบนัส เพราะถ้าวันหนึ่งมีสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า รักษ์โลกมากกว่า แต่คืนทุนช้ากว่าคนก็คงไม่ใช้ 

“สิ่งที่เราทำเสมอมาจึงคือการสื่อสารถึงการพยายามเปลี่ยนสังคมของประเทศไทยสู่สังคมสะอาด เราพยายามเป็นผู้บุกเบิกด้าน new energy solution อยากให้เชื่อใจว่าเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาให้คุณแล้ว แบตเตอรีผมมีหลายยี่ห้อมาก แผงโซลาร์ผมก็มีสองยี่ห้อ เพราะแต่ละยี่ห้อมันเหมาะกับลูกค้าคนละแบบ” 

กฐินโซลาร์ วัดป่าสุขใจ

การพยายามเปลี่ยนสังคมของ NEPS ยังไปไกลกว่าการเฟ้นหาสินค้าใหม่ๆ และผลักดันเรื่องพลังงานสะอาดกับลูกค้า แต่ยังเป็นการทำโครงการ CSR ที่ยั่งยืน อย่างการทำกฐินโซลาร์ เพื่อผลักดันให้วัดนั้นๆ กลายเป็นวัดที่ green energy ในอนาคต เขายังวางแผนติดตั้งโซลาร์เพื่อให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงไฟฟ้าได้ฟรี

“ผมเป็นผู้บุกเบิกตลาด แน่นอนว่าเดี๋ยวคนก็ทำตาม แต่ว่าไม่เป็นไร เราถือว่าเราช่วยเหลือสังคม เราอยากให้โซลาร์มันมีมากกว่าแค่แบบเดิมๆ เพราะสำหรับผม สังคมมาที่หนึ่ง เศรษฐกิจจะตามมาหลังจากนั้น เพราะเมื่อสังคมมันดี มันก็ช่วยเหลือคนในเศรษฐกิจด้วย” ตรีรัตน์ทิ้งท้ายความตั้งใจ

การเดินทางจาก 0-100 ของทัพนักกีฬาพาราลิมปิกทีมชาติไทยที่ประสบความสำเร็จได้ด้วย ‘ความเข้าใจ’

6 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน และ 13 เหรียญทองแดง 

นี่คือจำนวนตัวเลขเหรียญรางวัลที่ทัพนักกีฬาคนพิการสามารถคว้ามาครองจากการแข่งขันทัวร์นาเมนต์พาราลิมปิก 2024 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ คู่ควรแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ เพราะจำนวนเหรียญรางวัลทั้งสิ้น 30 เหรียญ ส่งผลให้นักกีฬาพานักกีฬาคนพิการไทยคว้าอันดับที่ 21 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของเอเชีย นับเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวงการกีฬาคนพิการไทย

นอกจากหยาดเหงื่อแรงกายของนักกีฬาที่ต้องแลกมากับการฝึกซ้อมนับแรมปี ยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีกมากมายที่ช่วยทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหนึ่งในผู้ที่จะไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้คือ ‘ร้อยโท ณัยณพ ภิรมย์ภักดี’ ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกไทย’ ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมนักกีฬาคนพิการไทยให้ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ และสานต่อแนวทางการพัฒนากีฬาพาราลิมปิกอย่างเป็นรูปแบบ ไปจนถึงที่รับหน้าเสื่อดูแลอำนวยความสะดวกสบายแก่นักกีฬา โดยมีเคล็ดความสำเร็จคือ ‘ความเข้าใจ’  

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่กล่าวมาต้องย้อนกลับไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทยยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ‘จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี’ หัวเรือใหญ่ของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ คือคนในแวดวงธุรกิจที่อาสาเข้ามาดูแลนักกีฬาคนพิการ ด้วยความเชื่อที่ว่า นักกีฬาคนพิการเองก็มี ‘คุณค่า’ และ ‘ศักยภาพ’ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่านักกีฬาปกติ 

การเข้ามาบริหารองค์กรที่ดูแลการพัฒนากีฬาคนพิการทุกประเภทกีฬาความพิการของ ‘คุณต่อย’ ร้อยโทณัยณพ ภิรมย์ภักดี ในฐานะประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย เริ่มต้นในปี 2561 ในฐานะนายกสมาคมกีฬาคนพิการทางสมองฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาคมกีฬาที่สร้างความสำเร็จระดับโลกมากมายอย่างกีฬาบอคเซีย นอกจากนั้นคือการได้มีโอกาสช่วยงานคุณพ่อในคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย ทำให้ได้เห็นและเข้าใจวิธีการทำงานหลายๆ อย่าง  ระหว่างนั้นเขามีโอกาสพูดคุยรู้จักกับนักกีฬาคนพิการแต่ละคน ไม่ว่าจะคนที่พิการแต่กำเนิด หรือคนที่พิการจากอุบัติเหตุ บางรายถอดใจในการใช้ชีวิตไปแล้วแต่กลับมาได้เพราะมีกีฬาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และหวังว่าอาชีพนักกีฬาจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ไปจนถึงเป็นแบบอย่างให้กับคนพิการในสังคมให้ออกมาใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย 

 “โดยพื้นฐานของผมและคุณพ่อไม่ได้มองนักกีฬาหรือการสนับสนุนทางกีฬาเป็นกิจกรรมทางการตลาด แต่เรามองว่ากีฬาก็คือกีฬา นักกีฬาไม่ว่านักกีฬาปกติหรือนักกีฬาคนพิการก็ล้วนเป็นนักกีฬาเหมือนกัน มีหัวใจนักกีฬาเหมือนกัน เพียงแต่อยู่ภายใต้ความสมบูรณ์ของร่างกายที่ไม่เท่ากันเท่านั้น

“มากไปกว่านั้นผมเชื่อว่าสิ่งที่เรามองเห็นจากความสำเร็จของนักกีฬาคนพิการก็คือความสำเร็จที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของชัยชนะและเหรียญรางวัล แต่เป็นความสำเร็จในแง่การทำให้สังคมได้มองเห็นความสามารถของพวกเขา ยอมรับพวกเขาในฐานะนักกีฬาคนหนึ่ง มากไปกว่านั้นคือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคมทั้งคนปกติและคนพิการ ให้มองเห็นว่า ถ้ามีความตั้งใจแล้วไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” คุณต่อย เล่าถึงเจตนารมณ์ของตัวเองให้เราฟัง

แน่นอนว่าผลงานโดดเด่นย่อมมาจากการบริหารจัดการที่ดี สิ่งแรกๆ ที่คุณต่อยลงมือทำ คือการจัดการเรื่องพื้นฐานอย่างศูนย์ฝึกและอุปกรณ์ฝึกซ้อมให้ตอบโจทย์ต่อนักกีฬาคนพิการทุกประเภท ทั้งผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ผู้พิการทางสายตา ผู้พิการทางการได้ยิน ผู้พิการทางสมอง และผู้พิการทางปัญญา ยกตัวอย่างรถวีลแชร์ ขาเทียม แขนเทียม ฯลฯ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้นักกีฬาคนพิการทำงานและช่วยเหลือตัวเองได้สะดวก และทำให้พวกเขาทุ่มเทกับการซ้อมได้อย่างเต็มที่

คุณต่อยยังบอกกับเราอีกว่า ความเข้าใจในตัวนักกีฬาพาราลิมปิกมีมากกว่าแค่เรื่องหาอุปกรณ์ฝึกซ้อม การจัดแจงหาที่อยู่อาศัย หรืออาหารการกิน แต่คือเข้าใจในด้านความต้องการทางกายภาพและจิตใจ ที่มีความละเอียดอ่อนมากกว่า ด้วยข้อจำกัดทางร่างกายที่แตกต่าง และทำให้นักกีฬาของเราได้รู้สึกว่า ได้รับการสนับสนุนและยอมรับไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เช่น การจัดโปรแกรมฝึกสอนพิเศษที่ต่างประเทศ อย่างล่าสุดที่มีการส่งนักกีฬาไปฝึกซ้อมที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ก่อนทัวร์นาเมนต์พาราลิมปิกเกมส์ 2024 จะเริ่ม เพื่อให้นักกีฬาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม 

และที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด คือการออกแบบยูนิฟอร์มสำหรับใช้ในพิธีเปิด พาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่มีพื้นฐานการดีไซน์มาจากการสำรวจความต้องการของนักกีฬา ซึ่งได้รับการออกแบบโดย ‘PIPATCHARA’ แบรนด์แฟชั่นไทย ที่สามารถออกแบบชุดได้ตรงกับความต้องการและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของนักกีฬามากที่สุด

“ผมมองว่าการสร้างนักกีฬาให้ประสบความสำเร็จ สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่การตอบแทนความสำเร็จ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือการสร้าง การสร้างก็คือการทำตั้งแต่วันแรก พัฒนาจากการแข่งขันระดับเล็ก ค่อย ๆ ขยายใหญ่ จนสามารถสร้างความสำเร็จในระดับโลก เป็นเจ้าของสถิติโลก เป็นเจ้าของเหรียญทองพาราลิมปิกได้ ทั้งหมดมันต้องเริ่มจากการสร้าง” 

“จริงๆ นักกีฬาเหล่านี้เก่งอยู่แล้ว พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจในการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เราเข้ามาเพื่อช่วยให้พวกเขาทำทุกอย่างได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ซ้อมได้อย่างสบายใจ พร้อมกับทำให้พวกเขารู้สึกว่าถ้ามีคนรับฟังเขา เข้าใจเขา เขาจะสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยความภูมิใจ 

“ความสำเร็จของวงการกีฬา ของการสร้างนักกีฬา คงไม่ใช่การตอบแทนในวันที่นักกีฬาประสบความสำเร็จแล้ว และผมเชื่อว่านักกีฬาทุกคนในใจลึกๆ อยากให้คนทั่วไปมองที่ความสามารถของเขาในฐานะที่เขาเป็นนักกีฬาคนหนึ่ง ไม่อยากให้มองเขาด้วยความรู้สึกที่สงสารในความพิการของเขา เพราะฉะนั้นการดูแลนักกีฬาคนพิการนี้ ผมคิดว่ามันคือการดูแลทั้งร่างกาย การฝึกซ้อม และความรู้สึก จิตใจด้วยความเข้าใจ” คุณต่อย กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณต่อยตั้งใจสนับสนุนวงการนักกีฬาคนพิการ นักกีฬาที่เพิ่มมากขึ้น ที่มีนักกีฬารุ่นเก่าและรุ่นใหม่ กลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ และสามารถส่งต่อความหวังนี้ไปยังผู้คนในสังคม ที่สำคัญคือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า คนในแวดวงธุรกิจก็สามารถช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้หากมีความตั้งใจแน่วแน่ โดยไม่จำต้องสนับสนุนแค่เรื่องเงิน แต่เป็นการใช้ทรัพยากรและกำลังที่มีเพื่อร่วมลงมือทำไปพร้อมๆ กัน จนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว 

ที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาปกติหรือนักกีฬาคนพิการก็คือ ‘ความภาคภูมิใจ’ ของประเทศ และเป็น ‘ฮีโร่’ ที่สามารถส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ไปยังผู้คนในสังคม เพื่อสร้างฮีโร่หน้าใหม่ในอนาคตอีกนับไม่ถ้วน

บุ๊กคลับ คลับการอ่านเขียนจากยุคหนังสือแพง พื้นที่แสวงความรู้ของผู้หญิงสู่โมเดลหลักร้อยล้าน

บุ๊กคลับ คือกิจกรรมที่กลุ่มนักอ่านเลือกอ่านหนังสือเล่มหนึ่งร่วมกัน แล้วมาล้อมวงพูดคุยถึงเนื้อหา แลกเปลี่ยนความคิด มุมมอง การตีความ กระทั่งแชร์ประสบการณ์ต่างๆ จากการอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง กิจกรรมสมาคมหนังสือจึงเป็นกิจกรรมสำคัญที่ทั้งเกี่ยวข้องกับความคิดความรู้ เป็นการสร้างเครือข่ายชุมชน และที่สำคัญคือเกี่ยวข้องกับมิติทางเศรษฐกิจด้วย

สำหรับบ้านเรา กิจกรรมสมาคมหนังสืออาจจะยังไม่เป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายนัก แต่ในยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะที่อเมริกา นี่ถือเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการอ่านและสิ่งพิมพ์ของมนุษยชาติ  

ถ้าเรามองประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลนัก สมาคมหนังสือในยุคสมัยใหม่เป็นต้นมา เรามักมองเห็นภาพของเหล่าสุภาพสตรีที่รวมตัวกันอ่านหนังสือ จากเหล่าผู้หญิงวิคตอเรียนที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกา ถึงเหล่าแม่บ้านในยุคความฝันแบบอเมริกา 

ถ้าเรามองย้อนไป การที่ผู้หญิงก่อตั้งบุ๊กคลับ นับเป็นการรวมตัวกันเพื่อทั้งใช้เวลาว่าง และเป็นการแสวงหาความรู้ร่วมกัน ในช่วงเวลาที่พวกเธอถูกผูกมัดไว้กับบ้าน และถูกกีดกันออกจากโลกของการศึกษาที่ยังคงเป็นพื้นที่ของผู้ชายอยู่

ทุกวันนี้ แม้เราจะเข้าสู่โลกของติ๊กต็อกและโซเชียลมีเดีย ทว่าล่าสุด ในหมู่วัยรุ่นเจนฯ Z และเหล่านักอ่านหญิง กิจกรรมสมาคมหนังสือกลับมาเฟื่องฟู เป็นกิจกรรมที่ทั้งตัวมันเองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และกลับไปส่งผลต่อกิจการสิ่งพิมพ์และกิจกรรมการอ่านเขียนอีกครั้ง

สมาคมการอ่าน รากฐานยาวนานของวัฒนธรรมหนังสือ

กิจกรรมการเอาหนังสือมาอ่านร่วมกัน ค่อนข้างเป็นกิจกรรมทางปัญญาและกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุคสมัยที่หนังสือและตำรามีจำนวนจำกัด การอ่านและการถกเถียงจึงเป็นทั้งกิจกรรมพื้นฐาน และเป็นสิ่งที่ต่อยอดความคิดของมนุษย์ 

ในศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษ หนังสือยังมีราคาสูงและมีจำนวนน้อย การตั้งสมาคมหนังสือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชนชั้นสูงเข้าถึงหนังสือ การเข้าถึงหนังสือก็นำไปสู่การรวมตัวกันเพื่อสร้างเครือข่ายสังคมและสร้างความบันเทิง 

ที่ว่าสร้างความบันเทิง เพราะในยุคแรกสมาคมหนังสือเป็นกิจกรรมที่ปนเปกันระหว่างการถกเถียงเรื่องหนังสือ การพูดคุยสัพเพเหระ การนินทา ส่งต่อข่าวสาร และที่สำคัญคือการกินดื่มโดยเฉพาะการดื่มเหล้า มีการเล่นเกมต่างๆ ประกอบ

สิ่งที่สัมพันธ์กับกิจกรรมสมาคมหนังสือ คือการเปิดห้องสมุดที่ตอนนั้นมักเป็นห้องสมุดส่วนบุคคล เปิดรับสมาชิกแบบมีค่าใช้บริการ ห้องสมุดในยุคนั้นจึงไม่ได้เป็นที่ที่เข้าไปหาหนังสืออย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่ทางสังคมด้วย ห้องสมุดสำคัญๆ มักมีห้องบิลเลียด ห้องจัดนิทรรศการ และห้องที่เกี่ยวกับดนตรี

กิจกรรมของสมาคมหนังสือเองยังล้อไปกับห้องสมุด คือเป็นกิจกรรมส่วนการอ่านที่แรกเริ่มตอบสนองเรื่องการเข้าถึงการอ่าน เป้าหมายแรกของการตั้งสมาคมหนังสือ (ที่มักมีค่าสมาชิก) คือการรวมทรัพยากรเช่นเงินหรือหนังสือ และกระจายหนังสือเรื่องหนึ่งๆ ไปอ่านโดยทั่วกัน 

สิ่งเพิ่มเติมของบุ๊กคลับคือกิจกรรมร่วมกัน ลักษณะกิจกรรมของสมาคมหนังสือมักเป็นการพบปะกันในโรงเตี๊ยม โรงกาแฟ หรืออาคารสาธารณะ โดยสิ่งหนึ่งที่ทำให้บุ๊กคลับต่างกับห้องสมุด คือการรวมตัวกันโดยมีการกินอาหารไปจนถึงการดื่มเหล้าที่มักจะจัดขึ้นเดือนละครั้ง การเข้าสังคมจึงเป็นอีกเงื่อนไขที่พ้นไปกว่ามิติของการเข้าถึงหนังสือ เพราะในยุคนั้นเหล่านักอ่านที่มีห้องสมุดเป็นของตัวเองก็มักจะเป็นสมาชิกสมาคมหนังสือด้วย

สมาคมหนังสือของผู้หญิง จริงจังระดับนำสังคม

กิจกรรมการอ่าน รวมถึงการเขียน เป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ที่ผู้หญิงเข้าไปใช้เวลา และเข้าไปมีบทบาทได้ ห้องสมุด และบุ๊กคลับเองก็เป็นหนึ่งในนั้น  

สมาคมหนังสือของผู้หญิงเป็นหนึ่งในหมุดหมายของการตั้งคลับหนังสือ ซึ่งย้อนกลับไปได้ก่อนศตวรรษที่ 18 กิจกรรมสำคัญของการรวมตัวกันอ่านมักอ้างถึงกิจกรรมของแอนน์ ฮัตชินสัน (Anne Hutchinson) สุภาพสตรีลูกสาวครอบครัวบาทหลวงที่นั่งเรือ 1634 แอนน์เป็นหนึ่งในสุภาพสตรีส่วนน้อยที่ได้รับการศึกษาจากพ่อ และในเส้นทางเดินทางไปสู่ท่าเรือแมสซาชูเซตส์ เธอได้ตั้งกลุ่มเพื่อขบคิดและวิพากษ์วิจารณ์คำเทศน์ประจำสัปดาห์

Anne Hutchinson

กิจกรรมถกเถียงเรื่องตัวบท คำสอน เป็นสิ่งที่เธอถูกประณามตั้งแต่อยู่บนเรือแล้ว เมื่อเรือมาถึงและเธอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อาณานิคม แอนน์เองก็ได้เริ่มตั้งกลุ่ม และจัดกิจกรรมการอ่านและตีความไบเบิลขึ้นที่บ้านเป็นกิจกรรมประจำขึ้น การร่วมกันวิเคราะห์และตีความบทเทศน์ของโบสถ์ ไปจนถึงการอ่านพระคัมภีร์  

ในที่สุดแอนน์ถูกนำขึ้นไต่สวน ถูกเนรเทศออกจากบอสตัน เผชิญความยากลำบาก เจอกับสงครามกับกลุ่มชนพื้นเมือง และเสียชีวิตลงที่โรดไอส์แลนด์ ตัวเธอเองเป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างข้อวิพากษ์ต่อกลุ่มพิวริตัน กลุ่มผู้อพยพอังกฤษที่เน้นความเคร่งครัดและศรัทธา การที่แอนน์ถูกลงโทษจึงเป็นหมุดหมายและเป็นตัวแทนของอิสรภาพทางศาสนา

เรียนไม่ได้ไม่เป็นไร เรียนและคิดกันเองด้วยหนังสือ

หลังศตวรรษที่ 17 บุ๊กคลับในประวัติศาสตร์อเมริกาก็สัมพันธ์กับผู้หญิงและกิจกรรมการเขียนอีกเช่นกัน นั่นคือการตั้งบุ๊กคลับของ Hannah Adams สุภาพสตรีอเมริกันที่ถือเป็นนักเขียนหญิงคนแรกของอเมริกา

เธอทำมาหากินเลี้ยงชีพด้วยการเขียนทั้งประวัติศาสตร์ ศาสนาเปรียบเทียบ ฮันนาห์ได้ตั้งสมาคมหนังสือชื่อ Belle Lettres สมาคมดังกล่าวถือเป็นพื้นที่สำคัญที่ผู้หญิง ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านจะเข้ามาถกเถียงกันเรื่องงานเขียน ตั้งแต่บันเทิงคดี บทกวี และความเรียงต่างๆ

Anne Hutchinson

ความสำคัญของการรวมตัวของสุภาพสตรีเพื่ออ่าน หรือบางครั้งชวนคนมาอ่านงานเขียนของตัวเองส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้หญิงไม่สามารถเข้าสู่พื้นท่ีการศึกษาได้ หัวข้อที่พูดคุยส่วนใหญ่เกิดจากความกระหายความรู้ มีการฝึกฝนการคิด มีการโต้เถียงซึ่งหลายครั้งเป็นการโต้เถียงแย้งกลับไปยังสภาพสังคม ตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์ ความเป็นไปทั้งหลาย

คำถามที่เหล่าผู้หญิงถามย้อนไปกระทั่งว่า ‘ผู้หญิงแบบเราๆ เกิดมาเพื่ออะไร’ ‘จะใช้ชีวิตไปอย่างไร’ จนถึงการถกเถียงถึงศีลธรรม ความถูกต้อง ซึ่งในอเมริกาเกิดกลุ่มสมาคมหนังสือสตรีขึ้นมากมาย คำถามบางครั้งก็ยอกย้อนทบทวนไปถึงสิ่งท่ีบุรุษทำ 

ไม่ว่าจะการสังหารชาวท้องถิ่น สงคราม ความถูกต้องของเหล่าชายผิวขาว สมาคมการอ่านของพวกเธอจึงเป็นชนวนแรกๆ ที่จุดประกายการขบคิดและเป็นพื้นที่ของการคิดอันเป็นรากฐานของการต่อสู้ปลดแอกในเวลาต่อมา

ห้วงเวลาที่พวกเธอถูกกีดกันออกจากพื้นที่การศึกษา สุภาพสตรีทั้งหลายกลับรวมตัวกันและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ในร้านหนังสือ ในห้องนั่งเล่นของใครสักคน รวมตัวกันถกเถียงสิ่งต่างๆ ภายใต้แสงเทียน ในแง่นี้ สมาคมหนังสือและการอ่านร่วมกันจึงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมการอ่านเขียน (literary culture) เป็นพื้นที่ของการหาความรู้ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงยังเป็นชายขอบ 

สิ่งที่น่าสนใจคือบุ๊กคลับในวัฒนธรรมอเมริกันยังเป็นสิ่งที่แพร่กระจายและมีความหลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มการอ่านของผู้ชายคนชั้นกลาง กลุ่มการอ่านของผู้หญิง แน่นอน อีกกลุ่มสุดชายขอบของสังคมในขณะนั้นคือกลุ่มคนผิวดำที่ถูกห้ามการอ่าน 

ในปี 1821 มีการตั้งสมาคมอ่านหนังสือขึ้นอย่าง Coloured Reading Society สมาคมที่มีเฉพาะชายผิวดำ และในช่วงทศวรรษเดียวกันเริ่มเกิดสมาคมการอ่านของผู้หญิงผิวดำเช่น Society of Young Women and the Philadelphia Female Literacy Association 

ความพิเศษของคลับหนังสือเหล่านี้คือการรวมตัวของนักเขียน และเป็นพื้นที่แสวงหาความรู้ทั้งความรู้ทั่วไปและความรู้เกี่ยวกับการเขียน คลับเช่นของผู้หญิงผิวดำมีการเปิดทั้งการถกเถียงเรื่องวรรณกรรม และให้สมาชิกนำงานเขียนของตัวเองเข้ามาสู่การวิจารณ์ด้วย 

ตรงนี้ทำให้เรามองเห็นระบบนิเวศของการเขียน คือการที่ผู้หญิงทั้งอ่าน ทั้งเขียน และสนับสนุนกิจกรรมการเขียนถือเป็นวัฒนธรรมที่เดินร่วมไปกับกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ 

บุ๊กคลับ 900 ล้านดอลลาร์ โมเดลอัจฉริยะสู่อุตสาหกรรมบันเทิง

ความพิศวงของวัฒนธรรมที่ฝังรากเช่นบุ๊กคลับยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน 

ในปี 2015 มีการสำรวจพบว่าชาวอเมริกัน 5 ล้านคนเกี่ยวข้องกับบุ๊กคลับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือในยุค TikTok ครองเมืองและโลกออนไลน์ที่เราคิดว่าจะเปลี่ยนการอ่านและหน้าตาชุมชนไป ในปี 2023 กลับพบว่ากระแส BookTok และ Bookstagram ทำให้เกิดชุมชนหรือสมาคมหนังสือเพิ่มจำนวนขึ้น 

หลังปี 2023 พบอีเวนต์ของบุ๊กคลับเพิ่มขึ้น 24% สิ่งที่น่าสนใจคือ สถิติพบว่า 88% ของบุ๊กคลับ ริเริ่มโดยผู้หญิง ซึ่งจริงๆ ครึ่งหนึ่งของสมาคมเปิดพื้นที่ให้ผู้ชายเข้าร่วมคลับด้วย 

หนึ่งในความน่าพิศวงหนึ่งของบุ๊กคลับและผู้หญิงในโลกปัจจุบันคือการมาของบุ๊กคลับของ Reese Witherspoon ดาราหญิงที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา รีสอยากทำสื่อที่เน้นเรื่องผู้หญิงในวงการสื่อและคอนเทนต์ ซึ่งเธอเองก่อตั้งสื่อ Hello Sunshine ในปี 2016 บริษัทผลิตรายการต่างๆ โดยหนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มบุ๊กคลับ Reese’s Book Club

ความเท่ของ Reese’s Book Club คือการทำงานด้านคอนเทนต์ของรีสที่ผสมผสานกับหนังสือหรือการอ่าน รีสค่อยๆ เปิดบุ๊กคลับผ่านอินสตาแกรม จนในที่สุดก็ค่อยๆ ทำให้บุ๊กคลับกลายเป็นคอนเทนต์หลักของสื่อ Hello Sunshine ปัจจุบัน Reese’s Book Club มีผู้ติดตาม (subscribers) 2.5 ล้านคน 

บุ๊กคลับของเธอไม่ได้หยุดแค่การอ่านและแนะนำหนังสือ แต่บริษัทตั้งใจจับคู่หนังสือหรือนวนิยายใหม่ เข้ากับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ พูดง่ายๆ คือเธอทำทั้งระบบตั้งแต่การเลือกนวนิยาย ซึ่งตัวรีสเองจะติดต่อไปที่สำนักพิมพ์ เพื่อทั้งเจรจาให้หนังสือนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตซึ่งบริษัทของเธอดูแลอยู่ หลังจากนั้นเธอจึงใช้บุ๊กคลับสร้างกระแสตั้งแต่ที่นวนิยายเรื่องนั้นๆ ยังเป็นหนังสือ พอดังแล้วบริษัทก็จะไปจับคู่เข้ากับผู้ผลิตซึ่งก็คือสตรีมมิงเช่นแอปเปิลทีวีหรือเน็ตฟลิกซ์

ในปี 2023 บริษัททำกำไรได้ราว 50-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ Candle Media ซื้อกิจการไปในมูลค่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูตรของการใช้บุ๊กคลับไม่ใช่แค่การสร้างกระแส แต่คือการสร้างกลุ่มผู้อ่านและทิศทางของผู้คน ศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องหรือนวนิยายนั้นๆ ตั้งแต่ยังเป็นขั้นตอนของหนังสือเพื่อทั้งปรับปรุงหรือเลือกแง่มุมที่ถูกต้องต่อไป ช่วยป้องกันการเจ๊งหรือเงียบเหงาของซีรีส์หลังลงทุนได้มากขึ้น

สุดท้าย ความพิเศษของทั้งบุ๊กคลับ และกิจกรรมการเขียนการอ่านคือการที่ผู้หญิงรันวงการการอ่านเขียน จากการเป็นพื้นที่จากข้อจำกัด เป็นพื้นที่ท้าทายความเชื่อและจริยวัตรทางศาสนาตั้งแต่ยุคพิวริตัน มาจนถึงสมัยของการเป็นพื้นที่ความรู้และการทำมาหากินไม่กี่อย่างของผู้หญิง เรื่อยมาจนถึงการกลับมาของพื้นที่บุ๊กคลับที่ผู้หญิงก็ยังคงเป็นหัวใจของวงการการอ่าน และมีโมเดลน่ามหัศจรรย์ถึงขนาดใช้บุ๊กคลับเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตซีรีส์และสื่อบันเทิงหลักร้อยล้าน

อ้างอิงข้อมูลจาก

863textile ร้านขายผ้าของทายาทธุรกิจสิ่งทอที่อยากเป็นพื้นที่ของคนทำงานผ้าอย่างแท้จริง

คนทำงานผ้าทั้งหลายที่คุ้นเคยกับการเดินพาหุรัดหรือสำเพ็ง โปรดลืมภาพการเดินซื้อผ้าในอากาศร้อนๆ เหงื่อหยดติ๋งๆ และอาการเหนื่อยกายใจไปสักพัก เพราะวันนี้ เราอยากชวนทุกคนเดินเข้าร้านผ้าในร่มที่อากาศเย็นสบาย มีผ้าให้เลือกหลากหลาย แถมยังทำงานหรือคุยธุรกิจในนี้ทั้งวันยังได้ 

เรากำลังพูดถึง 863textile ร้านขายผ้าของ เอก–นิรันดร์ อุดมเลิศลักษณ์ และ แพรว–แพรวนภา อุดมเลิศลักษณ์ สองพี่น้องที่เติบโตมากับร้านขายผ้าเก่าแก่ของคุณพ่อ แพสชั่นเรื่องสิ่งทอถูกส่งต่อในครอบครัว แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นไฟแรงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง อยากสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเห็น 12 ปีก่อน พวกเขาจึงลุกขึ้นมาก่อตั้งร้านนี้ขึ้นมา ด้วยความหวังว่าจะเป็นร้านขายผ้าที่ตอบโจทย์คนในแวดวงสิ่งทอได้ 

นอกจากความหลากหลายและคุณภาพสินค้าที่ 863textile ยึดมั่นเสมอมา สองพี่น้องเชื่อเรื่องความจริงใจต่อลูกค้า การเดินเกมธุรกิจให้ไว กล้าทำสิ่งที่หลายคนไม่ทำ มากกว่านั้นคือการสร้างแพสชั่นและแรงบันดาลใจให้กับคนทำงานผ้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้สามารถก้าวเท้าเข้ามาในวงการและอยู่ต่อได้อย่างยั่งยืน

ในบรรทัดต่อจากนี้ เราขอชวนทุกคนไปทัวร์ร้าน นั่งฟังเอกกับแพรวเล่าไอเดียเบื้องหลังการทำร้านขายผ้าแบบฉบับสองพี่น้อง ท่ามกลางไวบ์ผ่อนคลายและคนทำงานผ้าที่เดินผ่านไปมา

ร้านขายผ้าของพ่อ

ครอบครัวของเอกและแพรวเข้าสู่วงการสิ่งทอตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม 

ราว 40 ปีก่อนที่อุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศไทยกำลังบูม เอกเล่าให้ฟังว่ามีโรงงานฟอก ย้อม ปั่น เกิดขึ้นมากมาย จะหยิบจับอะไรก็ถือเป็นโอกาสทองหมด

Italian Textile ธุรกิจของคุณพ่อสมบูรณ์ อุดมเลิศลักษณ์ ก็เหมือนกัน ท่านนำเข้าผ้าเดดสต็อกจากญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังมีขาที่ผลิตสิ่งทอเองตลอดทั้งปี ลูกค้าหลักในยุคนั้นคือช่างตัดผ้าที่รับตัดเสื้อผ้าเป็นตัวและกลุ่มดีไซเนอร์คนไทย ประสบความสำเร็จมากจนทำมาได้ยาวนานกว่า 40 ปี

จนกระทั่งเข้าสู่ยุคที่การซื้อ-ขายสินค้าเข้าสู่ออนไลน์ คนในแวดวงสิ่งทอจึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี มีคู่แข่งจากต่างประเทศมากขึ้น และพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้โรงงานและร้านผ้าหลายร้านต้องปิดตัวลง 

Italian Textile ก็เช่นกัน 

โชคดีที่ก่อนจะปิด ทายาททั้งสองได้เปิดแบรนด์จำหน่ายสิ่งทอของตัวเองชื่อ 863textile ขึ้นมาก่อน

แข่งกันด้วยระบบ สินค้า และราคา

“เราสองคนรู้เรื่องผ้าอยู่แล้ว เพราะโตมากับผ้า แต่ตอนที่เราเริ่มทำร้านนี้ เรายังวัยรุ่นอยู่ เราไม่อยากทำร้านแบบที่พ่อทำ” แพรวเล่าถึงความตั้งใจแรกในการเปิดร้าน

เรื่องแรกที่พวกเขาอยากปรับเปลี่ยนให้ไม่เหมือนกับร้านของพ่อคือ ระบบ

ในรุ่นคุณพ่อยังไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ การเช็กสต็อกสินค้าว่าขายมาหรือรับไปเท่าไหร่ก็จะใช้การจดมือ ทำให้มีบางครั้งที่เกิดความผิดพลาดในการนับบ้าง เมื่อธุรกิจดำเนินมาถึงรุ่นลูก 863textile จึงตั้งใจแก้ไขปัญหานี้ด้วยเทคโนโลยี

เรื่องที่สองคือ สินค้า

Italian Textile นั้นขายผ้าวูเว่นเป็นหลัก แต่ 863textile มีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นตามยุคสมัย 

ย้อนกลับไปยังตอนที่เปิดร้านใหม่ๆ บ้านเลขที่ 86/3 แห่งนี้ตั้งอยู่กลางวงล้อมของร้านขายผ้ายืดมากมาย คล้ายเป็นตลาดผ้ายืดที่คนทำเสื้อยืดจะต้องมาช็อปเป็นประจำ สองพี่น้องจึงเริ่มต้นด้วยการขายผ้ายืดไปโดยปริยาย ก่อนจะขยับขยายไปขายผ้าวูเว่น ผ้าเชิ้ต และผ้าอีกสารพัดประเภทในเวลาต่อมา

เรื่องที่สามคือ การตั้งราคา 

“ราคาผ้าเราสูงกว่าผ้าทั่วไป ทำให้สินค้าเราขายได้ช้า” เอกเล่าปัญหาแรกๆ ที่ต้องเจอในช่วงเปิดร้านให้เราฟัง ซึ่งสำหรับพวกเขา มันเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเจอ 

“เพราะเราพยายามทำสินค้าที่มีคุณภาพ ไม่แข่งกับคนอื่นเรื่องราคา แต่ช่วงแรกๆ คนไม่เข้าใจ เขาเห็นว่าราคาของเราแพงกว่าเท่าตัวจากร้านอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วในรายละเอียดด้านคุณภาพของวัสดุและกระบวนการผลิต รวมไปถึงความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมนั้นต่างกัน เราผ่านช่วงนั้นมาได้ด้วยความอดทน ทำไปเรื่อยๆ จนคนเห็น”

ผ้าที่หลากหลายและยั่งยืน

ปัจจุบัน ร้านของพวกเขาแบ่งประเภทผ้าเป็นผ้าผลิตเองที่ขายได้ตลอดปี กับอีกประเภทคือผ้าเดดสต็อกที่ขายหมดแล้วหมดเลย ซึ่งส่วนมากคัดสรรมาจากผ้าเดดสต็อกในประเทศญี่ปุ่น เกณฑ์ในการคัดเลือกสินค้านั้นก็เรียบง่าย พวกเขาเลือกจากความชอบ ความรู้สึกว่าผ้าผืนนั้นสวยและใช่ ที่สำคัญคือเนื้อผ้าต้องเป็นเนื้อที่ดี 

นอกจากนี้ ในยุคที่หลายแบรนด์หันมาให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน 863textile ก็มีการผลิตผ้าที่ไม่ผ่านการฟอกย้อมออกมาเป็นทางเลือกให้แบรนด์ต่างๆ ได้หยิบไปใช้ พวกเขายังจับมือกับ SC Grand โรงงานผลิตสิ่งทอสีเขียวเพื่อผลิตผ้ายืดรีไซเคิลร่วมกัน และนำสินค้าของพวกเขามาตั้งขายที่ร้านด้วย

“เราคิดว่าหลังจากนี้ สินค้าในร้านจะเป็นสินค้าที่รีไซเคิลและ sustainable มากขึ้น เพราะเราอยากทำให้มันเป็นเหมือนเรื่องปกติ” แพรวบอก 

“จริงๆ ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยชอบผ้ารีไซเคิลนะ เพราะมันทอแล้วไม่ได้สวยเหมือนผ้าปกติที่ขายอยู่ มีตำหนิเยอะ แต่หลังๆ มีการพัฒนามากขึ้น ไปผสมกับวัสดุอื่นที่ทำให้เนื้อผ้าแข็งแรงขึ้น อยู่ได้นานขึ้น เราก็อยากให้สินค้าเหล่านี้กลายเป็นสินค้าปกติ เป็นตัวเลือกให้ลูกค้าซึ่งเขาจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่เราก็จะพยายามทำ”

พื้นที่ของคนทำงานผ้า

แม้ในยุคที่ธุรกิจหลายแบรนด์พยายามโกออนไลน์ แต่ 863textile ก็ยังเห็นความสำคัญของการมีหน้าร้าน

เพราะไม่เพียงแค่ลูกค้าจะได้เห็นและสัมผัสผ้าด้วยตัวเองเท่านั้น เอกบอกว่า การเข้ามาในร้านจะทำให้ลูกค้ามี store experience ที่เป็นมากกว่าการซื้อ-ขาย

“ลูกค้าไม่ได้เข้ามาแค่ซื้อแล้วจบ แต่การที่คุณมาแล้วได้สัมผัส คุณเดินเลือก คุณเห็นผ้าอื่นๆ คุณก็ได้ไอเดียใหม่อีก แทนที่จะจบอยู่แค่ชุดของคุณ คุณจะได้แรงบันดาลใจต่อไปอีก” ชายหนุ่มย้ำ ก่อนที่ผู้เป็นน้องสาวจะเสริมต่อ

“ความตั้งใจแรกของเราคืออยากทำร้านที่ไม่เหมือนร้านผ้าทั่วไป เราอยากเป็นร้านผ้าที่สามารถให้แรงบันดาลใจผู้คนได้ ในร้านจึงมีพื้นที่ไว้ให้นั่ง มีตัวอย่างผ้าให้ดู เป็นที่ที่คุณสามารถมานั่งทำงานกับเพื่อนได้ เพราะปกติเวลาเขาทำธุรกิจกัน เขาต้องมานั่งคุยกันก่อน บางทีเราก็เห็นลูกค้านัดโรงงานมานั่งคุยที่นี่แล้วจบ ไม่ต้องหยิบผ้าตัวอย่างแล้วค่อยไปที่โรงงาน หรือกลุ่มเพื่อนมานั่งคุยกันว่าเอาแบบนั้นแบบนี้สิ เราอยากทำสเปซแบบนี้ให้ลูกค้า” 

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมร้าน 863textile ถึงกว้างขวางกว่าร้านขายผ้าทั่วไปที่เราเคยเยี่ยมเยือน แถมยังแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ทั้งจุดดูตัวอย่างผ้า มีหุ่นโชว์เคสชุดที่ตัดเสร็จแล้ว และโต๊ะกว้างขวางที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ เรียกได้ว่าเป็น one-stop service ของคนทำงานผ้าได้อย่างไม่ขัดเขิน

เดินเกมไว อยู่ต่อได้ด้วยการไม่หยุดทำ

ในมุมมองของทายาทที่คลุกคลีกับผ้ามาตลอด เอกและแพรวมองว่าตลาดผ้าไม่ได้โตขึ้น

“แต่ในโลกของแฟชั่น ตราบใดที่มีคนแต่งตัวอยู่ ธุรกิจสิ่งทอก็ยังไปได้ เพียงแต่เราจะนำพาให้มันไปรอดโดยวิธีไหน” เอกวิเคราะห์ เท่าที่พวกเขาสังเกตมาหลายปี วงการสิ่งทอมีคนสายแฟฯ หน้าใหม่เข้ามาหมุนเวียนเปลี่ยนตลอด แต่การจะอยู่รอดในวงการนี้อย่างยั่งยืน 

“มันยากนะ ไม่ง่ายเลย” แพรวบอก “แบรนด์ที่อยู่รอดได้ เราคิดว่าต้องมีเงินทุน และทำไปเรื่อยๆ ไม่หยุดทำ เพื่อให้อยู่ในกระแสตลอด”

แล้วในมุมของ 863textile เองล่ะ จุดแข็งที่ทำให้พวกเขายังอยู่รอดได้ในทุกวันนี้คืออะไร–เราวกกลับมาถามทั้งคู่

‘สินค้า’ และ ‘ออนไลน์’ คือคำตอบจากปากสองพี่น้อง

“เราคิดว่าคุณภาพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยความชอบในตัวผ้า เราก็จะทำมันด้วยความตั้งใจ” แพรวอธิบาย

“ส่วนออนไลน์ เราเป็นร้านแรกๆ ที่ขายทางออนไลน์ เมื่อ 10 กว่าปีแล้ว ก่อนจะมีโควิดอีก เราทำทั้งเว็บไซต์ พอมาถึงยุคที่มี LINE Official Shop เราก็ทำไลน์ ทุกวันนี้ลูกค้าจะมาหน้าร้านรอบหนึ่ง ตัดตัวอย่างผ้าไป แล้วหลังจากนั้นเราก็แอดไลน์คุยกัน ทำให้เราสามารถปิดการขายทางออนไลน์ได้ แม้แต่ช่วงโควิดเราก็ผ่านมาได้ ขายดีมาก เพราะคนเปลี่ยนไปเป็นออนไลน์หมด

“อย่างไรก็ดี ในอนาคตเรายังต้องทำอะไรอีกเยอะ ทำเรื่อยๆ โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลภายในร้าน อย่างการทำสต็อกหลังบ้าน เราจะทำยังไงให้มันตรง ไม่มีข้อผิดพลาด เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิด”

เด็กวันนี้คือลูกค้าในวันหน้า

หากจะสรุปว่า 863textile ดำเนินธุรกิจได้ด้วยความเชื่อแบบไหน คำตอบอาจเป็นคำหนึ่งคำที่เราได้ยินในบทสนทนานี้บ่อยครั้ง 

คำคำนั้นคือ ‘แพสชั่น’ 

863textile มีแพสชั่นในการผลิตและเลือกผ้าที่ดีที่สุดมานำเสนอให้ลูกค้า ขณะเดียวกัน พวกเขาก็มองว่าลูกค้าคือพาร์ตเนอร์คนสำคัญที่มีแพสชั่นในการทำเสื้อผ้าไม่ต่างกัน

ไม่เพียงแค่ดีไซเนอร์อิสระหรือคนทำงานให้แบรนด์ต่างๆ เท่านั้น แต่ 863textile ยังทำแคมเปญ Partner in Passion ทำงานร่วมกับนักเรียนนักศึกษาในสถาบันต่างๆ โดยเปิดร้านให้น้องๆ มัธยมและวัยมหา’ลัยเข้ามาศึกษาดูงานเรื่องสิ่งทอที่ร้านเป็นประจำ นอกจากนี้ 863textile ยังบริจาคสิ่งทอในร้านไปประกอบการเรียนการสอนวิชาตัดเย็บอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนอกจากจะรู้สึกดีที่ได้แบ่งปันแล้ว ยังเป็นการระบายผ้าดีแต่มีตำหนิที่ไม่ได้ถูกวางขายหน้าร้าน ซึ่งเข้าทางกับโครงการ Zero Project ที่พวกเขาตั้งใจจะลดจำนวนผ้าที่จะกลายเป็นขยะในระบบของร้านอีกด้วย

“เราทำแคมเปญ Partner is Passion เพราะเรามองว่าเด็กๆ ก็คือลูกค้าในอนาคตของเรา การที่พวกเขาเข้ามาในร้านมันเหมือนปูทางให้คนที่เรียนแฟชั่น สุดท้ายพอเขาจบออกมาอยู่ในวงการนี้ เขาก็น่าจะนึกถึงเราว่าเป็นที่ที่สบายใจจะมาต่อยอด หาแรงบันดาลใจอีกในอนาคต” แพรวทิ้งท้ายด้วยแววตาเป็นประกาย

Do & Don’t ของคนทำธุรกิจสิ่งทอ
จากเจ้าของร้าน 863textile

Do: “ต้องมีความจริงใจในการขายของ เมื่อลูกค้ารู้ว่าเราจริงใจกับเขา เขาก็จะเชื่อมั่นและเชื่อถือเรา”

Don’t: “ตอบคำถามไม่ได้ว่าเราจะขายอะไร ขายใคร ชอบมันไหม อยากทำจริงหรือเปล่า แต่เราว่าบางทีไม่ชอบก็เข้ามาทำได้นะ แต่เราต้องศึกษามันอย่างลงลึก”