Month: October 2024
แม่ไม้ธุรกิจของ ‘ลงนวมบอยส์’ แบรนด์ไทยทำที่เชื่อว่ากีฬาและไลฟ์สไตล์คือเรื่องเดียวกัน
‘เพราะมวยไม่ได้เป็นเพียงแค่กีฬา แต่ยังหมายถึงตัวตน แฟชั่น และความเป็นไทย’
จากความเชื่อดังกล่าวนำไปสู่จุดเริ่มต้นของลงนวมบอยส์ (Long Nuam Boyz) แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทย ที่ต่อยอดมาจากมวย หลัง ‘ธนพล ธนะเชนเลิศ’ พนักงานที่คลุกคลีกับบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์มวยตัดสินใจเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง ด้วยเชื่อว่า กีฬา แฟชั่น และความเป็นไทยอยู่ด้วยกันได้
จากอุปกรณ์และเสื้อผ้ามวยเพียงอย่างเดียว วันนี้ลงนวมบอยส์ต่อยอดเป็นสินค้าหลากหลายชิ้น ทั้งเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อคาวบอย กำไลข้อมือ แม้กระทั่งพระเครื่องก็เคยทำขายมาแล้ว ในหลายๆ คอลเลกชั่นก็ขายหมดสต็อก สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์แฟชั่นไทย ยังมีความต้องการของลูกค้าในตลาดอยู่
น่าสนใจไม่น้อยว่าลงนวมบอยส์มีแผนธุรกิจและวิธีคิดเบื้องหลังแบรนด์ยังไง เพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ Capital จึงนัดธนพลในช่วงบ่าย ที่สนามซ้อมมวยแห่งหนึ่ง ชวนคุยถึงเรื่องราวของลงนวมบอยส์ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันที่ไม่ว่าจะปล่อยสินค้ากี่คอลเลกชั่นก็ได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเสมอ

ความชื่นชอบในกีฬามวยของคุณเริ่มต้นได้ยังไง
ตั้งแต่เด็กเลย สมัยก่อนเวลาเราดูโทรทัศน์ เห็นสมรักษ์ คำสิงห์ ได้เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิก ได้เห็นคนไทยดีใจ เฮกันทั้งประเทศ มันก็เริ่มทำให้เราสนใจแล้ว ว่าทำไมคนไทยถึงชอบมวยขนาดนั้น เราเลยได้เข้ามารู้จักกีฬามวยมากขึ้น
หลังจากนั้นก็อยู่กับมวยยาวเลย เราอยู่กับมันจนถึงขั้นพอเรียนจบก็ตัดสินใจไปทำงานกับบริษัทขายอุปกรณ์มวยของต่างประเทศ จนในที่สุดก็ได้มาทำแบรนด์ของตัวเอง

ตอนไหนที่คุณรู้สึกว่าต้องมีธุรกิจเกี่ยวกับมวยเป็นของตัวเองบ้างแล้ว
ด้วยความที่ทำงานกับกีฬามวยตลอด เราจะเห็นว่าแม้จะเป็นกีฬาประจำประเทศ แต่ไทยกลับมีสินค้าเกี่ยวกับมวยที่เป็นแบรนด์ของไทยน้อยมาก คือการผลิตมันยังอยู่ในไทยนะ และค่อนข้างเยอะด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตให้กับบริษัทของต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
เราเลยรู้สึกว่ามวยไทยมันเป็นของบ้านเราแท้ๆ ทำไมต้องผลิตให้ต่างชาติด้วย แล้วทุกวันนี้ค่ายมวยดังๆ ในต่างจังหวัดก็ยังเป็นของต่างชาติอีก ตอนนั้นก็คิดเอาเองเลยว่า ถ้าต่างชาติเข้ามาบ้านเรา ทำกีฬาของบ้านเราจนดังได้ เราคนไทยเองก็ต้องทำได้สิ เลยตัดสินใจทำลงนวมบอยส์ขึ้นมา แล้วก็ตั้งใจให้เป็นแบรนด์กีฬามวยที่จำหน่ายอุปกรณ์กีฬาและเสื้อผ้าโดยมีความแฟชั่นเข้าไปผสม


ลงนวมบอยส์ในวันแรกเป็นอย่างไร
ไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้เลย เมื่อก่อนเราเริ่มจากการทำวิดีโอในโซเชียลมีเดีย ทำอยู่กับ ธาม (ธามไท แพลงศิลป์) คือก็คุยกันว่าจะไปทำคลิปกัน เอาธามไปต่อยกับคนอื่นๆ ในที่ต่างๆ แล้วจะให้เสื้อหลังจากต่อสู้กันจบ เลยทำให้ลงนวมบอยส์ในตอนนั้นจะมีความกึ่งๆ แบรนด์ธุรกิจและคอนเทนต์ออนไลน์
คือเราก็ไม่ได้ต่อยเขาจริงจังนะ เน้นแบบหยั่งเชิงกันมากกว่าอะไรแบบนี้ พอทำมาสักพักคนก็เห็นเสื้อที่แจก เสื้อที่ใส่ในคลิป เขาก็ทักมาถามว่าเสื้อของแบรนด์อะไร มันเลยต่อยอดมาเป็นเชิงธุรกิจมากขึ้น
ในวันนั้น เป้าหมายด้านธุรกิจของ ลงนวมบอยส์ เป็นอย่างไร
ในช่วงแรก แกนหลักของ ลงนวมบอยส์ คือการทำอุปกรณ์กีฬามวยก่อน แต่พอจุดหนึ่งเราเริ่มจะใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปมากขึ้น ก็เลยเริ่มลุยตลาดเสื้อผ้า มุ่งการทำสินค้าที่เน้นแฟชั่นมากยิ่งขึ้น โดยมีโจทย์สำคัญคือ ต้องมีความเป็นมวยสากล และความเป็นไทย
จึงทำให้เสื้อลายแรกของเรา เป็นลายที่ยักษ์ถูกต่อยด้วยนวมจนหน้าหัน แล้วข้างหน้าก็เป็นชื่อ ลงนวมบอยส์ ภาษาไทย ใส่ลายไฟหน่อยให้ดูเท่ในแบบของเรา หรือต่อมาที่พี่เป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) เขาได้เล่นหนังเรื่อง 4KINGS (2021) เราก็ทำเสื้อช็อปออกมาขาย ซึ่งอาจเพราะด้วยกระแสหนังด้วย หรือคนที่เขาติดตามพี่เป้ด้วย คนเลยมาซื้อเสื้อคอลเลคชั่นนี้กับเราเยอะมาก



หรือในบางกรณีที่เกิดจากความต้องการของพวกเราเอง เช่นกางเกงมวยของลงนวมบอยส์ที่มีกระเป๋า คือมันเริ่มจากพวกเราคุยกันเองว่า ทำไมเวลาใส่กางเกงมวยซ้อมกันปกติ พอเสร็จแล้ว จะออกไปกินข้าวกัน ทำไมถึงต้องถือโทรศัพท์ ถือกระเป๋าตังค์ด้วย เพราะก่อนหน้านี้กางเกงมวยจะไม่มีกระเป๋า เราเลยได้ออกแบบกางเกงมวยที่มีกระเป๋ามาแก้ปัญหาตรงจุดนี้
หรืออย่างเสื้อยืด ที่เราตั้งใจว่าจะใส่ออกกำลังกาย เราเลยทำเป็นแขนปีนนก ทำให้ไหล่กว้างขึ้น สั้นหลง จะได้ขยับไปมา ได้สะดวก ต่อมวยได้ง่ายยิ่งขึ้น


ในเมื่อมีสินค้าขนาดเยอะนี้ เวลาคนถามว่าลงนวมบอยส์ขายอะไรกันแน่ คุณจะตอบพวกเขาอย่างไร
โห เราเจอคำถามนี้ทุกวัน เห้ย สรุปทำแบรนด์อะไรวะ? เจออยู่ตลอด
สำหรับเรา ลงนวมบอยส์คือแบรนด์ที่จำหน่ายความชื่นชอบรอบตัวทั้งเรา พี่เป้ ธาม หรือคนที่ใส่แบรนด์ของเราเองก็ตาม เราจะเอาความชอบของแต่ละคนในช่วงเวลานั้น มาคุยกันว่าเรื่องไหน สิ่งไหน เหมาะที่จะถูกต่อยอดให้กลายเป็นสินค้าของเราบ้าง
อย่างเช่นเสื้อคาวบอย ก็เกิดจากความชอบของธามช่วงหนึ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษ แล้วประกอบกับพี่เป้ก็แต่งตัวสไตล์นี้อยู่แล้ว ก็เลยได้คุยกันว่าถึงเวลาที่ลงนวมบอยส์ต้องมีเสื้อคาวบอยเป็นของตัวเองเสียที


หุ้นส่วนอีกสองคนสำคัญอย่างไรสำหรับการทำธุรกิจ
พอเราทำงานด้วยกันสามคน ซึ่งมีอายุห่างกันชัดเจน พี่เป้แก่กว่าเรา 6 ปี เราแก่กว่าธาม 6 ปี ดังนั้นความชอบของแต่ละคนจะมีหลากหลายและไม่เหมือนกัน ดังนั้นในแต่ละครั้งก็ต้องมานั่งคุยกันอยู่เสมอว่าช่วงนี้อินกับอะไร สนใจเรื่องไหนอยู่
สำหรับเราที่ทำธุรกิจ คิดว่าประสบการณ์ของพวกเขาช่วยเติมเต็มให้ลงนวมบอยส์สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อย่างพี่เป้เอง เขาคือคนที่ช่วยเรื่องประชาสัมพันธ์ให้เราได้เยอะมาก รวมถึงข้อมูลในเรื่องต่างๆ ที่เวลาเขาสนใจเรื่องไหน เขาจะศึกษา จะรู้ลึก รู้จริง ทำให้ทุกคอลเลคชั่นที่ออกมา มันถูกต้อง มันตอบความต้องการของคนกลุ่มนั้นๆ
หรืออย่างธามเอง ที่เป็นคนมีแพชชั่นเรื่องการแต่งตัวสูง ทำให้เขาจะมีเซ้นส์บางอย่างที่มองขาดว่า อะไรที่จะกลายเป็นเทรนด์ อะไรที่คนจะสนใจ อย่างเช่นตอนที่ตุ๊กตาลาบูบู้ (Labubu) กำลังเป็นกระแส เขาเป็นคนเสนอว่า ทำไมไม่ทำเสื้อลงนวมบอยส์ให้ลาบูบู้ใส่ ซึ่งพอทำออกมาจริง ก็ขายดีถล่มทลาย

คอลเลคชั่นต่างๆ ของลงนวมบอยส์วิธีการคัดเลือกอย่างไร
เรื่องนี้เราไปศึกษาเพิ่มเติม คือไปเรียนที่โรงเรียนสอนแฟชั่นเลย ไปแบบเริ่มจากศูนย์เลย ก็ไปเรียนรู้ว่าต้องรู้เรื่องไหน ต้องทำอะไรให้เป็นบ้าง ถึงจะเอามาใช้ในธุรกิจของเราได้
หลังจากนั้นเราก็เอามาปรับใช้กับลงนวมบอยส์ ซึ่งวิธีการก็คือจะมานั่งคุยกัน กับพี่เป้ กับธาม แล้วก็มาลิสต์กันว่าช่วงนี้เราชอบอะไรเป็นพิเศษ ถ้าอันไหนมันผ่าน 2 จากใน 3 คนก็จะถูกพิจารณาให้ทำ หรือถ้าอันไหนมัน 3 ผ่านเลย ก็เริ่มลงมือทำเป็นคอลเลคชั่นหน้าได้



พอลงนวมบอยส์มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้นแบบนี้ คนในแวดวงกีฬามวยยังคงเข้าใจแบรนด์ของคุณไหม
เจ้านายเราคนแรกเคยสอนเอาไว้ว่า จะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าหลุดความเป็นตัวเอง ดังนั้นทุกคอลเลคชั่นที่ออกมา ยังต้องเหลือความเป็นมวยเอาไว้ ต้องคิดเสมอว่ามันสามารถใส่เป็นแฟชั่น และต่อยมวยได้อยู่
คนกลุ่มไหนที่เหมาะกับการใส่สินค้าลงนวมบอยส์
ใครก็ได้ เพราะเป้าหมายของเราคือ อยากให้คนใส่ลงนวมบอยส์แล้วมั่นใจมากยิ่งขึ้น เหมือนที่ธาม เหมือนที่พี่เป้ใส่แล้วเขามั่นใจ


คิดว่าปัจจุบันการทำแบรนด์จำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม
ตอบยากมาก เพราะด้วยความที่ลงนวมบอยส์เรามีเป้าหมายแตกต่าง คือพอเราทำแบรนด์เกี่ยวกับมวย เราเลยตั้งใจว่าอยากมีค่ายมวยและจำหน่ายอุปกรณ์ของลงนวมบอยส์อยู่ในนั้นเพราะคิดว่ามันจะเหมาะกับลูกค้ามากกว่า
ดังนั้นหากจะให้ตอบว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม เราว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องตอบให้ได้ว่ามีแล้วจะได้ประโยชน์กว่าการขายออนไลน์อย่างไร ซึ่งของลงนวมบอยส์คำตอบมันคือการเป็นพื้นที่ให้กับคนที่ชื่นชอบมวยเหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่ไม่ชอบกีฬามวยจะเป็นลูกค้าของลงนวมบอยส์ได้ไหม
ได้เลย ที่ผ่านมาเราก็พยายามร่วมงานกับกีฬาประเภทอื่นๆ ล่าสุดก็เพิ่งทำชุดฟุตบอลมา เราเคยทำทีมไปแข่งด้วยนะ เตะกันไม่ค่อยเก่งหรอก แต่พอดีได้พี่โอ้ต (ปราโมทย์ ปาทาน) ช่วยไว้ เลยรอดมาได้ (หัวเราะ)
คือพวกเราเป็นคนประเภทเอาหมด กีฬาไหนก็ได้ชอบลองเล่น เตะฟุตบอล ยูโด ปีนผา เต้น พวกนี้ก็ทำมาตลอด เพียงแต่สิ่งที่มันยึดโยงทุกคนเอาไว้ด้วยกันคือมวยเป็นหลัก

การเป็นแบรนด์กึ่งกีฬากึ่งแฟชั่นมีข้อดีอย่างไรบ้าง
แน่นอนว่ามันเป็นตลาดใหม่ที่ยังไม่เคยเข้ามาทำ ดังนั้นลูกค้าที่เขามีความต้องการที่อยากใส่ชุดกีฬาที่มีความแฟชั่นมากกว่าเดิม ก็จะเข้าหาแบรนด์เราก่อน
ส่วนแบรนด์ที่เขามุ่งไปเรื่องกีฬา หรือแฟชั่นอย่างเดียวเลย สุดท้ายกลุ่มลูกค้ามันต่างกัน เราเลยไม่ได้กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่
ในวันนี้การทำธุรกิจโดยคนไทย และนำเสนอความเป็นไทยมีความท้าทายอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดถึงเรื่องเสื้อผ้าแฟชั่น วันนี้บอกตามตรงว่ายาก ตอนเราเรียนศิลปะ อาจารย์เขายังบอกเลยว่าเราตอนนี้สู้เวียดนามไม่ได้ บ้านเขาไปไกลกว่าเราแล้ว ทั้งที่เมืองไทยเราก็ถือเป็นเมืองแฟชั่นเหมือนกันนะ
ดังนั้นสิ่งที่ลงนวมบอยส์พยายามทำ คือการนำเสนอว่าเราเป็นแบรนด์จากชาติไทย ที่ผ่านมามีคนบอกเราตลอดนะว่าชื่อลงนวมบอยส์ที่ติดอยู่บนเสื้อ ทำไมไม่ทำเป็นภาษาอังกฤษ มันจะได้ขายดีกว่าเดิม แต่เรายืนยันว่าอยากทำแบรนด์นี้ อยากให้ตัวอักษรแบบนี้มันเป็นโผล่ที่ต่างประเทศ ไปโผล่ที่สหรัฐอเมริกา หรือไปโผล่ที่ญี่ปุ่น
คือถามว่ามั่นใจขนาดนั้นไหมว่าทำแล้วจะรอด ก็ไม่หรอก เพียงแต่เรารู้สึกว่าต้องไม่เปลี่ยนตัวตน เพราะถ้ายอมเปลี่ยนเท่ากับเราแพ้ตัวเองแล้ว ลงนวมบอยส์มีสโลแกนคือ Every one can fight ดังนั้นเราก็ต้องสู้ ยืนหยัดในสิ่งที่เป็น


ในวันนี้การเป็นเจ้าของธุรกิจ มีแบรนด์เป็นของตัวเองมันสอนหรือมอบอะไรให้กับตัวคุณบ้าง
อย่างแรกคือเราได้ใช้แพชชั่นสื่อสารกับคนอื่น ได้นำเสนอตัวตนของเราให้คนเห็น คนรู้จัก คนได้เลือกสวมใส่ แม้มันจะมีคนไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วยบ้าง แต่อย่างน้อยการที่มันมีกลุ่มลูกค้าของลงนวมบอยส์เกิดขึ้นมา มันก็ทำให้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่คล้ายกับเราอยู่
มีข้อแนะนำสำหรับคนที่เอาความชื่นชอบมาทำเป็นธุรกิจบ้างไหม
อย่างแรกเลยคือต้องมีความรู้เยอะ อย่างเราพอเริ่มจากศูนย์ สุดท้ายก็ต้องมาเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมทีหลัง ดังนั้นเป็นไปได้ให้เก็บเกี่ยวความรู้ หรือไปหาประสบการณ์จากบริษัทใหญ่ๆ มาก่อนก็ดี แล้วค่อยนำข้อดีข้อเสียมาปรับใช้กับแบรนด์เรา
ที่สำคัญเลยคือ อย่าหลงไปกับกระแส ต้องยึดมั่นสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ดี นึกว่าไว้เสมอว่าวันแรกเราอยากเอาตัวตนและแพชชั่นแบบไหนมาทำธุรกิจ รักษามันเอาไว้ให้มั่น แล้วเราจะมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจน

จากซิลิคอนแวลลีย์สู่การทำ POJ Studio สตาร์ทอัพที่อนุรักษ์งานคราฟต์ญี่ปุ่นและขายไปทั่วโลก
Pieces of Japan หรือที่รู้จักกันในนาม POJ Studio เป็นร้านที่ฮิกาชิยาม่า ย่านเก่าแก่ของเกียวโต ซึ่งมีคอนเซปต์ว่า ‘From Japan’s Master Artisans to Your Home’
จากการมองเห็นความงามทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเสน่ห์ของงานคราฟต์ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจที่ถ่ายทอด Japanese way of life และเรื่องราวของเหล่าปรมาจารย์ craftsman เบื้องหลังสู่คนทั่วโลก
Tina Koyama ผู้ก่อตั้ง POJ Studio เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-สวิส พ่อของเธอเป็นคนสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนแม่เป็นคนญี่ปุ่น ทีน่าเติบโตและศึกษาเล่าเรียนด้านการออกแบบในคณะ Visual Communication ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยในวัยเด็กเธอมีความหลงใหลด้านเทคโนโลยีและการออกแบบ
เธอเริ่มเขียนโค้ดสร้างเว็บไซต์แรกของตัวเองตั้งแต่อายุ 12 ปีและยังเคยย้ายไปอยู่อเมริกาเพื่อทำงานที่ซิลิคอนแวลลีย์กับบริษัทสตาร์ทอัพและทวิตเตอร์ ที่ซิลิคอนแวลลีย์นี้เองที่ทีน่าเริ่มรู้สึกว่ามีบริษัทมากมายที่ระดมเงินทุนหลายล้านเพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นใหม่ ขณะที่ภูมิปัญญางานคราฟต์ที่สานต่อกันมานับร้อยปีในญี่ปุ่นกำลังเสี่ยงต่อการสูญหาย
จะเกิดอิมแพกต์แค่ไหน หากสามารถเปลี่ยนชีวิตของเหล่าช่างฝีมือด้วยการสร้างธุรกิจที่ผู้คนยินดีอุดหนุนงานคราฟต์ของญี่ปุ่น?
ทีน่าเริ่มต้นไอเดียธุรกิจด้วยการเขียนบล็อกเล่าเรื่องงานคราฟต์มาตั้งแต่ปี 2017 จดทะเบียนเปิดบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 2020 โดยเริ่มจากการทำธุรกิจออนไลน์ก่อนจะเปิดร้านที่เกียวโตในปี 2022 และกำลังมีความฝันอยากเปิดร้านที่ลอสแอนเจลิสในเร็วๆ นี้
ตั้งแต่ชุดอุปกรณ์ DIY Kintsugi Kits ที่ทำให้สามารถเรียนรู้ศิลปะคินสึงิด้วยตัวเอง, ม่าน Noren แบบญี่ปุ่นในเฉดสี Indigo, แจกันแบบวะบิ ซะบิที่สื่อถึงปรัชญาความไม่สมบูรณ์แบบอันลึกซึ้ง, Sudare Screen จากไม้ไผ่, ศิลปะเชือกถัก Warazaiku, โคมไฟกระดาษ CHOCHIN และ One-of-a-kind pieces อีกมากมายจากทั่วญี่ปุ่น
ขอชวนแวะชมข้าวของเครื่องใช้สุดเนี้ยบและฟังเรื่องราวจากทีน่าว่าเธอทำยังไงให้สามารถนำงานคราฟต์จากบ้านเกิดมาทำเป็นสตาร์ทอัพที่มีลูกค้าทั่วโลกและทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วอย่างประสบความสำเร็จ

อะไรทำให้คุณเชื่อมั่นว่าไอเดียธุรกิจงานคราฟต์จากญี่ปุ่นของคุณไปไกลได้ทั่วโลก
เราตั้งใจสร้าง POJ Studio ขึ้นมาโดยเล็งกลุ่มลูกค้าทั่วโลกตั้งแต่แรก เพราะความจริงคือทุกวันนี้กำลังซื้อในตลาดญี่ปุ่นไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนงานฝีมือของชุมชนในประเทศ ตอนเราอยู่ที่สหรัฐฯ โดยเฉพาะที่แคลิฟอร์เนีย เรารู้สึกว่าตัวเองล้อมรอบไปด้วยกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูงสำหรับธุรกิจในอนาคตและตลอดสี่ปีที่ทำธุรกิจก็ได้พิสูจน์แล้วว่าที่นี่คือตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับเราจริงๆ
ทุกวันนี้ตลาดใหญ่ที่สุดของเราอยู่ที่อเมริกาซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าคิดเป็นครึ่งหนึ่งของลูกค้าทั้งหมดและยังมีลูกค้าจากทั่วโลก ลูกค้า 15% ของเรามาจากยุโรป อีก 15% มาจากเอเชีย โดยรวมสิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ส่วนที่เหลือกระจายไปหลายประเทศทั่วโลกและยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ในฐานะคนเชื้อสายญี่ปุ่น-สวิสที่เกิดและเติบโตในยุโรป เคยทำงานในสหรัฐฯ มีความถนัดด้านการออกแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการออกแบบเชิงกลยุทธ์ (strategic design) และเคยมีส่วนร่วมในการวางแผน international strategy ในวงการเทคโนโลยี เรารู้สึกว่าทักษะของตัวเองไม่ได้มีประโยชน์แค่ในโลกเทคโนโลยีเท่านั้นแต่ยังเอามาใช้ในโลกของงานฝีมือได้ด้วย สิ่งที่ทำให้เชื่อว่าไอเดียของเราเป็นไปได้คือแบ็กกราวนด์และทักษะของเราทั้งหมดเหล่านี้

แล้วทักษะใดจากการทำงานในซิลิคอนแวลลีย์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์ที่สุดในการทำธุรกิจคราฟต์
คิดว่าแทบทุกทักษะมีประโยชน์หมด การออกแบบก็เป็นทักษะสำคัญในการสร้าง brand aesthetics ไม่ใช่แค่ออกแบบโลโก้และเว็บไซต์ แต่รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่มี look & feel ขนานไปด้วยกัน ซึ่งแบ็กกราวนด์ด้านการออกแบบของเราและหุ้นส่วนก็ช่วยให้สร้างแบรนด์ได้ไม่ยาก
นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในบริษัท เรายังนำพื้นฐานด้าน R&D (การวิจัยและพัฒนา) จากงานในวงการเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เกือบทั้งหมด มันเป็นงานส่วนที่เรามีแพสชั่นและมีส่วนร่วมมากที่สุดในฐานะซีอีโอ เราทำรีเสิร์ชและเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ว่าจะพัฒนาสินค้าแบบไหน รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลหลังการซื้อของลูกค้าเพื่อคาดการณ์การตัดสินใจซื้อในอนาคต
และแม้เราจะไม่ใช่นักการตลาดแต่ก็เคยทำสื่อออนไลน์มาก่อนเลยรู้สึกว่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อเล่าเรื่องเป็นสิ่งที่ไม่ยากนักสำหรับตัวเองแม้ว่าเราจะไม่ใช่นักการตลาดดิจิทัลโดยตรงก็ตาม

คุณทำงานร่วมกับช่างฝีมือในกระบวนการพัฒนาสินค้ายังไง
ด้วยธุรกิจนี้เกี่ยวพันกับช่างฝีมือทั้งหมด สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานคราฟต์ของพวกเขา ก่อนที่เราจะเสนอไอเดียสินค้าใดๆ ก็ตาม สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากคือการถามพวกเขาว่าอะไรคือความท้าทายของคุณ คุณกำลังตั้งใจสร้างสรรค์อะไรอยู่และอยากทำอะไรบ้างในอนาคต โดยคำถามสุดท้ายเป็นคำถามที่เราสนใจมากที่สุด
เราอยากให้ช่างฝีมือบอกเราว่าอยากทำอะไรและอยากพัฒนาผลงานไปในทิศทางไหน จากนั้นเราจะคิดไอเดียที่สามารถสนับสนุนให้เขาไปถึงเป้าหมายหรือช่วยตอบโจทย์เขาได้ จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เข้าหาช่างฝีมือด้วยความคิดว่าอยากให้พวกเขาพัฒนาไอเดียของเราซึ่งคิดว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้สานความสัมพันธ์ร่วมกันอย่างประสบความสำเร็จมาตลอด
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากบริษัทอื่นคือเราไม่คิดค่าที่ปรึกษา ไม่คิดเงินใดๆ จากช่างฝีมือ เพราะเราตั้งใจทำสิ่งนี้เพื่อชุมชนคราฟต์ เราจึงเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ถ้าเราสั่งผลิตหรือต้องทำแม่พิมพ์ เราจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดทำให้ความเสี่ยงในการพัฒนาผลงานร่วมกับเราเป็นศูนย์


คุณเลือก craftsman และ artisan ที่อยากทำงานร่วมกันยังไง
ตอนแรกที่เริ่มบริษัท เราได้คอนเนกชั่นส่วนใหญ่ผ่านทางคุณแม่ของเรา เพราะท่านมีแพสชั่นในงานคราฟต์มาก่อนเลยแนะนำให้เรารู้จักกับช่างฝีมือหลายคน ทุกวันนี้เรามีครอบครัวช่างฝีมือที่ร่วมงานด้วย 50 ครอบครัวและมีหลายช่องทางในการสร้างความสัมพันธ์
นอกจากนี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นทั้งจาก Kyoto City และ Kyoto Prefecture ก็ให้ความสนใจในธุรกิจของเราและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเรามาก เช่น การเปิดโอกาสใหม่ด้วยการแนะนำให้รู้จักกับผู้มีฝีมือที่เราไม่มีคอนเนกชั่นโดยตรงมาก่อน
เรายังมีสินค้าที่ช่างฝีมือที่ติดต่อเข้ามาหาเราเองด้วย ตัวอย่างเช่น ม่าน Noren แบบญี่ปุ่น ช่วงโควิด-19 ช่างทำม่านคนนี้ประสบปัญหาอย่างมาก ไม่มีงานทำเลย เขาเห็นเราในหนังสือพิมพ์จึงติดต่อมาและถามว่าอยากร่วมงานกับเขาไหม จากนั้นเราก็ไปเยี่ยมชมโรงงานของเขา ทำความเข้าใจสิ่งที่เขาทำ แล้วสร้างสรรค์สินค้าจากตรงนั้น

เล่าเรื่องราวความประทับใจถึงผู้คนที่คุณร่วมงานด้วยได้ไหม
เรื่องของช่างทำม่าน Noren เป็นจุดเริ่มต้นของหนึ่งในไลน์สินค้าขายดีที่สุดของเรา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการย้อมสีธรรมชาติและการมัดย้อม แม้จะมีอายุ 80 ปีแล้วแต่ก็ยังทำงานอย่างกระตือรือร้น หลังจากร่วมงานกัน ตอนนี้ม่านแขวนผนังแบบญี่ปุ่นกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของเขาและมีผู้สนใจเยอะมากจนต้องให้ลูกชายเข้ามาช่วยซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ได้เห็นความสำเร็จแบบนี้
อีกเรื่องหนึ่งที่เราพูดถึงบ่อยในสื่อคือชาม Oryoki ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะนำมาพัฒนา ชามนี้เป็นสินค้าที่ขายไม่ได้มากนัก แค่เราทวิสต์การดีไซน์เล็กน้อยด้วยการครีเอตพื้นผิวแบบแมตต์เพิ่มขึ้นมา สินค้าชิ้นนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้สามารถสนับสนุนช่างฝีมือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้จากที่ก่อนหน้านี้แค่พอประคับประคองชีพไปได้
เรายังมีเรื่องเล่าแบบนี้อีกมากมายจากการทำงานกับช่างฝีมือหลายคนซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ

งานคราฟต์หมวดไหนของ POJ Studio ที่ป๊อปปูลาร์มากที่สุด
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคินสึงิ (ศิลปะการซ่อมแซมภาชนะที่แตกด้วยทองคำ) คือสิ่งที่ฮิตมากที่สุด เพราะเราสร้างแบรนด์ที่ทำให้คนจดจำคินสึงิได้ ดังนั้นสินค้าทุกอย่างของเราที่เกี่ยวกับคินสึงิจึงเป็นที่นิยมมาก นอกจากนี้หมวด tableware รุ่น Shigaraki dinnerware, ของตกแต่งผนังบ้าน และธูปหอมก็เป็นสินค้าที่ขายดี
สินค้าหมวดคินสึงิมีความพิเศษยังไง
สินค้าแรกของเราคือ Kintsugi kit (ชุดอุปกรณ์คินสึงิ) ที่เปิดตัวตอนกำลังเกิดความนิยมในศิลปะประเภทนี้ ตอนนั้นสิ่งที่เป็นกระแสขึ้นมาที่วอชิงตันคือคินสึงิเวอร์ชั่นที่ใช้กาว epoxy มาเชื่อมรอยแตกซึ่งแตกต่างจากกระบวนการทำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่างมาก
เราเลยรู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่จะแนะนำ super slow craft ของญี่ปุ่นอย่างคินสึงิที่ความจริงแล้วใช้เวลาในการทำนานมากตั้งแต่หนึ่งถึงสองเดือนผ่านชุดอุปกรณ์ของเรา เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะไม่สามารถทำคินสึงิให้เสร็จในครั้งเดียวได้ คุณต้องทำมันที่บ้านอย่างต่อเนื่อง
เหตุผลที่เราทำชุดอุปกรณ์คินสึงิก่อนสินค้าอื่นๆ ในตอนนั้นคือเพื่อบอกว่าเราไม่ได้สนใจแค่การซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ยังใส่ใจเรื่องการซ่อมแซมและการใช้สินค้าอย่างยืนยาวด้วย เพราะเมื่อคุณทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขายเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร สุดท้ายแล้วสินค้าเหล่านี้ก็อาจแตกในสักวัน เราจึงอยากนำเสนอวิธีการซ่อมแซมมันด้วย
แต่ชุดอุปกรณ์นี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะ เรารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะหลงใหลในการทำงานคราฟต์ ดังนั้น Kintsugi apprentice program จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างคอมมูนิตี้ให้ความรู้สำหรับผู้ที่สนใจเรียนศาสตร์คินสึงิจากทั่วโลก โดยผู้ที่สนใจจะเข้ามาเรียนที่เกียวโตเป็นเวลาสองเดือนซึ่งเป็นเวลาที่ใช้ในการซ่อมงานหนึ่งชิ้นและยังสามารถซ่อมภาชนะเพิ่มกี่ชิ้นก็ได้ตามใจชอบในช่วงเวลาสองเดือนนั้น
การสร้างคอมมูนิตี้แบบนี้ช่วยให้ลูกค้าของเราจากทั่วโลกสามารถซ่อมแซมจานชามที่แตกได้เองโดยไม่ต้องส่งมาซ่อมที่ญี่ปุ่นและส่งกลับไปยังประเทศของตัวเองอีกทีซึ่งไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนนัก


การเปิดหน้าร้านที่เกียวโตช่วยส่งเสริมธุรกิจของคุณยังไง
คิดว่าส่งผลดีมาก ตอนเริ่มธุรกิจก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน การจะได้รับความสนใจจากสื่อนั้นไม่ง่าย อาจจะเพราะเราเริ่มจากทำอีคอมเมิร์ซออนไลน์อย่างเดียว การสร้างสเปซในแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกียวโตช่วยให้เราได้รับการประชาสัมพันธ์จากสื่อมากขึ้น จากสตอรี่งานฝีมือของเราที่มีคุณค่าและน่าสนใจอยู่แล้ว พอมีหน้าร้านก็เกิดอิมแพ็กในการเล่าเรื่องมากขึ้นไปอีก และจากมุมมองของ R&D ในการพัฒนาสินค้า การขายออนไลน์ทำให้เราได้เจอลูกค้าแบบหนึ่ง แต่การได้พบปะลูกค้าโดยตรงถือเป็นโอกาสสำคัญอย่างมากในการได้ฟีดแบ็ก
การเปิดร้านยังทำให้เราได้จัดเวิร์กช็อปที่สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในพื้นที่จริงที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวงานคราฟต์อย่างลึกซึ้ง ทำให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถซื้อทั้งสินค้าและประสบการณ์กลับไปโดยเรามีทั้งการการสอนแบบครั้งเดียวจบและการเรียนรู้ระยะยาวควบคู่กันไป



คุณมีแผนขยายร้านออฟไลน์ยังไงบ้าง
ตอนนี้เรากำลังวางแผนที่จะเปิดร้านป๊อปอัพที่ Echo Park ลอสแอนเจลิส ซึ่งอยู่ใกล้ downtown เป็นระยะเวลาสามเดือนตั้งแต่พฤศจิกายนถึงมกราคมซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการการทดสอบตลาด ที่สหรัฐอเมริกา รัฐที่มีลูกค้าของเราอยู่มากที่สุดคือแคลิฟอร์เนีย
การเลือกขยายร้านไปลอสแองเจลิสเลยเป็นทางเลือกที่เมกเซนส์เพราะที่นั่นมี retail landscape ที่ดีกว่าซานฟรานซิสโกและซานดิเอโก เราคิดว่าสามเดือนอาจไม่ใช่ระยะเวลานานมากนักที่จะทำให้รู้ผลจริงๆ แต่คิดว่าก็นานพอที่จะแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่ามีความสนใจจากลูกค้าเพียงพอไหมที่เราจะพัฒนาสู่การเปิดร้านถาวรที่ลอสแอนเจลิสในอนาคต
ที่ผ่านมาอะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำธุรกิจสำหรับคุณ
ตอนเริ่มต้นเราไม่ได้เจอปัญหาใหญ่มากมายนักและรู้สึกว่าการเริ่มธุรกิจออนไลน์ไม่ได้ยากเกินไป ตัวเราเองก็โชคดีที่มีคนอยากร่วมทางในมิสชั่นที่เราอยากมุ่งหน้าไปเสมอ แต่สิ่งที่ท้าทายมาตลอดคือการเงินซึ่งเป็นด้านการลงทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพ
เราค่อนข้างมีความทะเยอทะยานในการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างเร็วมากสำหรับธุรกิจรีเทลเล็กๆ ที่ขายงานคราฟต์ การอยากสร้างอิมแพ็กยิ่งใหญ่ให้ในวงการคราฟต์ญี่ปุ่นทำให้เราต้องหาเงินลงทุนให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้โตเร็ว นั่นหมายความว่าเราต้องเบิร์นเงินลงทุนจำนวนมากอยู่เสมอเพื่อการลงทุนในอนาคต
แต่เนื่องจากเราไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีที่สามารถสัญญาว่าจะได้กำไรกลับมา 10-20 เท่าและเราก็ไม่ได้วางแผนที่จะขายกิจการในภายภาคหน้าด้วยเพราะอยากให้ธุรกิจนี้เป็นงานในชีวิตเรา การหาเงินลงทุนเลยเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องทีม เมื่อปีที่แล้ว co-founder ของเราลาออกไป ถึงแม้ว่าธุรกิจนี้จะเป็นสิ่งที่เราฝันและลงแรงกับมันมาตลอดแต่การที่หุ้นส่วนจากไปก็เป็นเรื่องยากเสมอ ความจริงแล้วเรื่องคนเป็นเรื่องที่น่าเครียดมากกว่าการเงินด้วยซ้ำ แต่ทั้งสองมุมนี้ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ผู้ประกอบการมักต้องเจอ

คุณ pitch แผนธุรกิจกับนักลงทุนยังไงให้เขาเชื่อมั่นในการลงทุนกับไอเดียของคุณ
ต้องเล่าว่าเราได้รับเงินทุนสนับสนุนจากธนาคารเป็นส่วนใหญ่และโชคดีมากที่ธนาคารท้องถิ่นให้ความสนใจธุรกิจของเรา ในช่วงสามปีแรกการสนับสนุนทางการเงินมาจากสถาบันการเงินในเกียวโตเป็นหลักซึ่งช่วยเราได้มากจริงๆ ปีที่แล้วเราเริ่มหันไปหาเงินลงทุนจาก angel investors เพราะถ้ากู้เงินจากธนาคารก็จะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่วิธีการขอเงินลงทุนทั้งสองประเภทก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เราเน้นที่การเล่าเรื่องว่าทำไมถึงทำธุรกิจนี้และเล่าว่าเรากำลังมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำประสบความสำเร็จมาก่อน
ด้วยความที่เป็นนักออกแบบและเคยมีส่วนร่วมระดับวางกลยุทธ์ในบริษัทเทคโนโลยีมาก่อนจึงคุ้นเคยกับการ pitch ต่อองค์กรใหญ่ๆ เพื่อขอทุนสนับสนุนและรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยาก เราคิดว่านักลงทุนที่สนใจในธุรกิจของเราเป็นคนที่ใส่ใจในการอนุรักษ์วัฒนธรรมก็เลยพยายามเน้นสื่อสารความตั้งใจนี้ให้ชัดเพื่อไม่ให้ได้นักลงทุนที่สนใจแค่ผลตอบแทนทางการเงินเท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่อเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพและเริ่มมีตัวเลขผลประกอบการที่น่าสนใจ องค์ประกอบเหล่านี้ก็ช่วยได้มาก เพราะแม้แต่สถาบันการเงินก็ต้องการเห็นแผนการเงินและข้อมูลของธุรกิจ ดังนั้นนอกจากการ pitch คุณยังต้องมีทักษะทางการเงินที่ดีด้วยซึ่งเป็นสิ่งได้เรียนรู้มาตลอดสี่ปีที่ผ่านมาจากที่แทบไม่มีทักษะทางการเงินเลย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้การ pitch ของเรามีความน่าเชื่อถือ

จากประสบการณ์ทั้งหมด คุณอยากให้คำแนะนำอะไรให้กับคนที่สนใจทำธุรกิจคราฟต์แบบเดียวกับคุณ
สิ่งที่เราอยากบอกกับคนที่สนใจเริ่มธุรกิจแบบนี้คือการวางแผนทางการเงิน เราคิดว่ามีช่างฝีมือจำนวนมากที่เราทำงานด้วยที่พยายามสร้างสรรค์ผลงานหลายอย่างโดยไม่ได้คำนวณตัวเลขก่อน การวางแผนทางการเงินเป็นทักษะที่จะช่วยให้รู้ตั้งแต่แรกว่าโมเดลธุรกิจจะใช้ได้จริงหรือไม่ มันอาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่การวางแผนรายได้ ต้นทุน และค่าใช้จ่ายล่วงหน้า รวมถึงการกำหนดเป้าหมายและ margin กำไรที่ได้จะช่วยให้คุณรู้ว่าธุรกิจนี้คุ้มค่าที่จะลงมือทำไหมก่อนที่จะเริ่มลงทุนจริงๆ
ส่วนสิ่งสำคัญในการทำงานกับผู้คนคือการเชื่อ gut feeling ของตัวเองในการจ้างงาน ที่ผ่านมาเคยมีบางครั้งที่เราเลือกทีมโดยพิจารณาจากประวัติการทำงานมากกว่าความรู้สึก ทั้งที่รู้สึกค้านสัญชาตญานบางอย่างแต่เรากลับไม่ฟังใจตัวเอง สุดท้ายก็ทำให้เกิดปัญหาการทำงานร่วมกันในทีม ส่วนสมาชิกทีมที่ใจรู้สึกว่าใช่ตั้งแต่แรกก็ยังคงอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้และก็เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีมากในระยะยาว

เมื่อมองย้อนกลับไป มีอะไรที่คุณอยากทำแตกต่างออกไปจากเดิมไหม
อาจเร็วเกินไปที่จะบอกได้เพราะเราเพิ่งก่อตั้งธุรกิจมาได้แค่สี่ปีเอง ทั้งเพิ่งได้ทุนจาก angel investor เมื่อปีที่แล้วและตอนนี้ก็กำลังระดมทุนต่ออยู่เลยยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่บางครั้งเราก็ตั้งคำถามว่าถ้าเราขยายธุรกิจให้ช้าลงกว่านี้อีกหน่อยจะดีกว่าหรือเปล่า
โลกทุกวันนี้หมุนไปเร็วมากจนทำให้รู้สึกว่าต้องรีบโต แต่บางครั้งก็คิดว่าการช้าลงไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระดมทุนก็อาจเป็นประโยชน์ในหลายด้าน เช่น รอให้ตัวเลขผลประกอบการดูดีขึ้นก่อนจะรีบหาเงินลงทุนครั้งต่อไป ก็เลยกำลังบอกตัวเองว่าปีหน้าเราอาจจะโตช้าลงกว่านี้ซักหน่อย

มองอนาคตของ POJ Studio เป็นยังไง
เราอยากทำให้อุตสาหกรรมงานคราฟต์แข็งแรงขึ้นและช่วยแก้ปัญหาที่ช่างฝีมือเผชิญอยู่ซึ่งมองว่าความท้าทายใหญ่ที่สุดไม่ใช่การหาผู้สานต่อ แต่เป็นการรักษาคนรุ่นใหม่ให้อยู่กับบริษัทเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นผู้สานต่อในอนาคต
ถ้าหันมามองเจนฯ Z ในปัจจุบัน เราไม่คิดว่าองค์กรดั้งเดิมที่สร้างสรรค์งานคราฟต์จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้อยากมาทำงานด้วยได้ เราเลยอยากชวนช่างฝีมือที่มีความสามารถให้เข้ามาทำงานกับเรา ทั้งสร้างพื้นที่ชุมชนในชนบท เปิดเวิร์กช็อป โดยต่อไปจะเปิดโครงการ apprentice programs เพิ่มเติมที่ไม่ได้มีแค่โปรแกรมสอนคินสึงิเท่านั้นแต่ยังสอนศาสตร์งานคราฟต์อื่นๆ ด้วย ไปจนถึงสร้างศูนย์ผลิตงานคราฟต์ที่จ้างช่างฝีมือหลากหลายสาขามาทำงานร่วมกันได้
ตามชนบทในญี่ปุ่นมักมีโครงการพัฒนาชุมชนอยู่แล้วแต่บ่อยครั้งที่โครงการเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอ เมื่อธุรกิจของเราเติบโตขึ้น เราจะนำรายได้มาสนับสนุนชุมชน ฟื้นฟูกิจกรรมและโครงการต่างๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจพำนักระยะยาวจากทั่วโลกซึ่งจะสร้างแหล่งรายได้อีกทางหนึ่ง
เราตั้งใจจะสร้าง hub ศูนย์ผลิตงานคราฟต์เหล่านี้ทั่วญี่ปุ่นโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท เพราะงานฝีมือมักผูกติดกับภูมิภาคดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างแค่ที่เดียวได้ ทั้งหมดนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่น่าสนใจสำหรับเจนฯ Z ให้อยากมาพัฒนางานคราฟต์กับเราในระยะยาว
สิ่งสำคัญคือเราอยากให้ช่างฝีมือมีงานที่ดี ได้รับเงินเดือนที่ดี และได้แสดงผลงานต่อทั่วโลก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของเราคือการสร้างอุตสาหกรรมคราฟต์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ขอบคุณภาพจาก POJ Studio