ประวัติศาสตร์ของความปลอดภัยของบัสนักเรียน จากเกวียนม้าลาก ถึงสีเหลืองหมายเลข 13432  

รถนักเรียนสีเหลืองสดใส รถบัสขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ขนส่งเด็กๆ ไปเรียนหนังสือในตอนเช้า และรับเด็กๆ กลับในตอนเย็น รถนักเรียนถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมอเมริกันมาจนทุกวันนี้ เรามักเห็นรถนักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของหนังวัยรุ่น เห็นภาพทั้งความเป็นระเบียบหรือความวุ่นวายของเด็กๆ จากเจ้ารถนักเรียนที่สุดจะไอคอนิกนี้

รถนักเรียนนอกจากจะสำคัญกับเด็กๆ แล้ว ตัวรถนักเรียนยังได้รับฉายาว่าเป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดบนถนนของสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับขนส่งมวลชนประเภทอื่นๆ รถนักเรียนถือเป็นยานยนต์ที่ครองถนนของอเมริกามากที่สุด

 ในหนึ่งวันอเมริกามีรถนักเรียนขับรับ-ส่งมากถึง 480,000 คัน มีรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนนบ้าง แต่อัตราการตายโดยเฉพาะผู้ที่โดยสารบนรถนั้นมีสัดส่วนที่ต่ำมาก ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมักเป็นคู่กรณี คนเดินถนน หรือคนขับขี่จักรยาน ไปจนถึงตัวคนขับเอง

ถ้าเรามองย้อนไป รถนักเรียนถือเป็นอีกหนึ่งยานพาหนะ ที่สัมพันธ์กับความจำเป็น เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดโรงเรียน เกิดความต้องการในการขนส่งนักเรียนไปเรียน ยุคแรกสุดของรถนักเรียนคือการดัดแปลงเกวียนเทียมด้วยม้าเวียนรับส่งเด็กๆ ที่บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียน 

ด้วยหลายเงื่อนไข รถนักเรียนจึงนับเป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อยานยนต์ต้องรับผิดชอบชีวิตของเด็กๆ ในฐานะอนาคตของชาติ การออกแบบรถเพื่อให้นั่งได้มากขึ้น มีความปลอดภัยขึ้นจึงเป็นเงื่อนไขที่ร่วมผลักดันการออกแบบและผลิตรถบัสแห่งความปลอดภัยนี้

ในจังหวะที่ประเทศไทยเริ่มมองเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ กับระบบขนส่งเพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำสอง คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์จึงขอชวนย้อนเวลากลับไปยังอเมริกาในยุคปฏิรูปการศึกษา เมื่อเด็กๆ บ้านไกล จนถึงยุคของการประดิษฐ์รถเพื่อรองรับคนจำนวนมากถูกพัฒนาขึ้น

จากบริษัทผลิตรถบัสยุคแรกๆ สู่การประชุมของนักการศึกษาในปี 1939  ที่ทำการวางมาตรฐานรถนักเรียนและให้กำเนิดสีเหลืองรถโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก

การศึกษาบังคับ รถม้าลาก และเด็กเวียนหัว

เวลาเราพูดเรื่องการปฏิวัติการศึกษา การเกิดขึ้นของโรงเรียนและการไปโรงเรียน การลงมือปฏิบัติถือเป็นเรื่องที่แสนซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียด ที่อเมริกาเองเริ่มเกิดโรงเรียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดการกระจายตัวของพื้นที่เมืองและที่อยู่อาศัย มีพื้นที่บ้านเรือนกระจายตัวอยู่ตามชนบท 

ในปี 1852 รัฐแมสซาชูเซตส์ออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ หลังจากนั้นก่อนปี 1900 อีก 31 รัฐที่เหลือก็ออกกฎหมายในทำนองเดียวกัน ทว่าแม้มีการก่อตั้งโรงเรียนแล้ว มีการบังคับการไปโรงเรียนแล้ว แต่เด็กๆ จะไปถึงโรงเรียนได้ยังไง เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางส่วนใหญ่ยังเป็นถนนเละๆ มีโครงข่ายถนนแค่พื้นฐาน เด็กบางคนต้องเดินไปโรงเรียนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ บางคนถ้าโชคดีมีเกวียนของชาวบ้านหรือชาวนาผ่านมาก็จะขอติดรถเพื่อไปให้ถึงโรงเรียนได้

ในยุคแรกโรงเรียนจึงจัดเกวียนที่เทียมด้วยม้าทำหน้าที่วิ่งวนเพื่อรับ-ส่งเด็กๆ ในช่วงเช้าและเย็น รถม้าลากของโรงเรียนเป็นบริการของโรงเรียนมาอย่างยาวนาน แต่จากบทความของ Smithsonian เองก็ระบุว่ารถโรงเรียนม้าลากไม่เป็นที่พอใจของผู้ปกครองเท่าไหร่ เช่นมีรายงานข่าวว่านักเรียนคนหนึ่งรู้สึกป่วย รับประทานอาหารไม่ได้เพราะนั่งรถโรงเรียนที่โคลงเคลง

ในทศวรรษ 1890 จึงได้เกิดอุตสาหกรรมรถบัสนักเรียนขึ้น ในปี 1892 บริษัทยานยนต์ Wayne Works ที่อินเดียน่าพัฒนารถม้าลากที่เรียกว่ารถนักเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการ ตัวรถเป็นห้องโดยสารยาวๆ คล้ายรถบรรทุกมีทางขึ้น-ลงทางเดียว และในปี 1914 บริษัทก็เริ่มผลิตรถนักเรียนแบบเครื่องยนต์ขึ้น บริษัท Wayne Works ขึ้นแท่นผู้ผลิตรถนักเรียนบริษัทหลักของอเมริกาในยุคนั้น

ค่าย Wayne Works และผู้ท้าชิงใหม่

ในจังหวะที่ผู้ผลิตรถยนต์ Wayne Works ขึ้นแท่นเจ้าตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ ความต้องการรถขนนักเรียนยิ่งทะยานสูงขึ้นสัมพันธ์กับบริบทประวัติศาสตร์ของอเมริกาอย่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 1929 

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้จำนวนโรงเรียนแบบห้องเดียว (one-room school) คือโรงเรียนใกล้บ้านปิดตัวลงมหาศาล ตัวเลขรายงานว่าจากช่วงปี 1915 ที่โรงเรียนแบบห้องเดียวมีจำนวนมากถึง 200,000 โรงเรียน ลดเหลือลงเพียง 1,200 แห่ง ด้วยโรงเรียนใกล้บ้านที่ลดลง ทำให้โรงเรียนห่างไกลขึ้น รถโรงเรียนจึงยิ่งเป็นสิ่งจำเป็น ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำบริษัท Wayne Works  ยังรั้งตำแหน่งผู้ผลิตรถโรงเรียนอันดับหนึ่งได้อยู่ แต่ไม่นาน รถโรงเรียนหน้าตาเหมือนรถบรรทุกของ Wayne Works ก็เริ่มถูกท้าทายด้วยนวัตกรรมรถบัส

ก่อนที่เราจะไปสู่ผู้ผลิตยานยนต์เจ้าใหม่ที่จะมาแบ่งตลาดด้วยนวัตกรรม บริษัท Wayne Works ซึ่งดูแลรถนักเรียนเจ้าสำคัญ เป็นบริษัทยานยนต์ที่เริ่มให้ความสำคัญกับความปลอดภัย เนื่องด้วยผู้โดยสารหลักคือเด็กๆ ในทศวรรษ 1930 บริษัท Wayne Works รวมถึงผู้ผลิตรถสำหรับรับ-ส่งนักเรียนเริ่มเพิ่มองค์ประกอบด้านความปลอดภัย เช่น มีการติดตั้งโคมไฟเพื่อเตือนรถอื่นๆ เริ่มมีระเบียบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือเหตุต่างๆ ในการพานักเรียนไปโรงเรียน

จุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งคือการมาถึงของบริษัทที่ชื่อว่า Blue Bird ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Albert Laurence Luce เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ของฟอร์ดในรัฐจอร์เจีย คุณอัลเบิร์ตเริ่มทดลองต่อห้องโดยสารรถนักเรียนเข้ากับโครงของรถฟอร์ด รูปลักษณ์ดูเหมือนรถโดยสารหรือรถบัส 

รถบัสโมเดลแรกๆ เจอกับปัญหาใหญ่คือเมื่อเอาไปวิ่งบนเส้นทางรับ-ส่งนักเรียนที่มักจะกันดารหน่อย รถโครงไม้จะพังออกจากกัน สิ่งที่คุณอัลเบิร์ตทำคือการเสริมโครงเหล็กเข้ากับโครงไม้ที่เชื่อมต่อกับช่วงล่าง กลายเป็นโมเดลสำคัญในปี 1927 แต่ถึงรถโครงเหล็กของคุณอัลเบิร์ตจะวิ่งบนถนนชนบทได้ แต่ประเด็นเรื่องความปลอดภัยยังเป็นปัญหาอยู่

เหตุใหญ่หนึ่งคือการเกิดอุบัติเหตุกับรถนักเรียนของบริษัทหลายครั้ง ในทศวรรษ 1940 บริษัทจึงเริ่มผลิตรถยนต์ที่มีห้องโดยสารเหล็กทั้งคัน ในช่วงนี้เองที่หลายคนถกเถียงกันว่าจริงๆ แล้ว Wayne Works เองก็พัฒนารถนักเรียนที่ใช้โครงเหล็กก่อน แต่หลักฐานหลักเช่นในพิพิธภัณฑ์ของฟอร์ดเองก็มีรถบัสนักเรียนที่ระบุว่าเป็นคันแรกที่หลงเหลืออยู่จัดแสดง 

สำหรับค่าย Wayne Works ตัวบริษัทเป็นผู้เริ่มนวัตกรรมด้านความปลอดภัยของทศวรรษ 1930 รถนักเรียนของ Wayne Works นอกจากได้เครดิตเรื่องโครงสร้างเหล็กทั้งคันแล้ว ยังมีการติดตั้งกระจกนิรภัย มีการออกแบบให้มีประตูด้านข้างที่ทำหน้าที่เป็นทางออกฉุกเฉิน ออกแบบให้เบาะนั่งสบาย ทางเข้ามีเพดานที่สูง มีกระทั่งลิฟต์เล็กๆ สำหรับรถเข็น

ทว่าในทศวรรษ 1940 เอง Wayne Works เลิกกิจการไปแล้ว บริษัท Blue Bird เป็นบริษัทที่ทั้งมีโมเดลรถบัสเหล็ก และยังเปิดกิจการผลิตรถนักเรียนยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ จากปี 1927 บริษัทผลิตรถนักเรียนไปแล้วราว 550,000 คัน 

ด้วยความต้องการรถรับ-ส่งผู้โดยสารจำนวนมาก ต้องการความทนทานและความปลอดภัย รถนักเรียนจึงเป็นอิทธิพลสำคัญที่ย้อนกลับไปสู่พื้นที่ผลิตตัวถังและช่วงล่างของอุตสาหกรรมยานยนต์

Frank Cyr และสีหมายเลข 13432

แม้ว่าผู้ผลิตรถนักเรียนจะมีหลายเจ้า และส่วนใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสะดวก แต่ในสายตาของนักคิดและอาจารย์ที่วิทยาลัยครู มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก (Teachers College, Columbia University) อย่าง Dr. Frank Cyr ที่ศึกษารถโรงเรียนทั่วประเทศกลับพบว่าในความปลอดภัยนั้น รถโรงเรียนกลับไม่มีมาตรฐานกลาง

รถโรงเรียนมีสารพัดสี สารพัดลักษณะ เป็นรถบัส รถบรรทุก บางที่ใช้เกวียนขนธัญพืช บางที่มีสีแดงบ้าง ขาวบ้าง น้ำเงินบ้าง ในปี 1939 ดร.ไคร์จึงจัดการประชุมใหญ่ระดับชาติว่าด้วยรถนักเรียนขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย 

ในการประชุมนั้นจึงได้เกิดการวางมาตรฐานรถนักเรียนระดับชาติร่วมกันเป็นครั้งแรกโดยวางเกณฑ์ 44 เงื่อนไขเพื่อให้รถนักเรียนมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานเดียวกัน หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกสีเหลืองให้เป็นสีหลักของรถนักเรียน (ตัวรถของ Blue Bird ก็ใช้สีเหลืองมาตั้งแต่ช่วงปี 1920) 

ตัวสีได้ชื่อเป็นทางการว่าสีรถนักเรียน (National School Bus Chrome) มีค่าสีหมายเลข Color 13432 สีเหลืองเป็นสีที่หายากในยานพาหนะอื่นๆ โดดเด่นบนท้องถนน สะดุดตา มองเห็นง่าย ภายหลัง ดร.ไคร์ จึงได้ฉายาว่าเป็นบิดาของรถโรงเรียนสีเหลือง

นอกจากสีเหลืองแล้ว หลักเกณฑ์ 44 ข้อยังมีเงื่อนไขของรถโรงเรียนอีกหลายด้านเช่น ต้องมีจำนวนที่นั่งสูงสุดได้ 65 ที่นั่ง ใช้โครงสร้างเหล็กเพื่อความปลอดภัย ต้องมีทางออกฉุกเฉินและมีอุปกรณ์สำหรับการดับเพลิง

การกำหนดองค์ประกอบความปลอดภัยถือเป็นรากฐานสำคัญของหน้าตาและข้อกำหนดรถโรงเรียนในปัจจุบันทั้งของอเมริกาและอีกหลายประเทศที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบรถโรงเรียนจากอเมริกา หน้าตาของรถนักเรียนสีเหลือง ห้องโดยสารที่เน้นทั้งความสบายของนักเรียน การออกแบบประตูฉุกเฉิน ไปจนถึงการเพิ่มองค์ประกอบเพื่อความปลอดภัยทั้งจากแรงกระแทก การรั่วไหลของเชื้อเพลิง ล้วนสัมพันธ์กับบริบทและอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อมวลชนที่มีการรับ-ส่งนักเรียน และการเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาเป็นตัวช่วยพัฒนาปรับปรุง

ปัจจุบันรถนักเรียนของสหรัฐมีผู้ผลิตอยู่จำนวนหนึ่ง สหรัฐฯ เองมีกฎหมายและข้อกำหนดในการผลิตและดูแลรักษารถนักเรียนเพื่อความปลอดภัยที่ค่อนข้างละเอียดและถี่ถ้วนมาก การผลิตและให้บริการรับนักเรียนถือเป็นภารกิจธรรมดาที่แท้จริงแล้วซ่อนหัวใจของการนำพาอนาคตของชาติไปถึงที่หมายและความรู้ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

รถนักเรียนจึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม การวางพื้นฐานความปลอดภัย ความสัมพันธ์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แค่การสร้างผลกำไร แต่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริบทการพัฒนา การให้การศึกษา และพาผู้คนไปสู่ระบบการศึกษาโดยสวัสดิภาพในทุกๆ วัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

กินของอร่อยๆ ช้อปของที่ดีต่อใจ รางวัลปลอบใจคนเก่งที่เจนฯ Z ใช้เยียวยาตัวเอง 

ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลายๆ คนน่าจะหาซื้ออะไรสักอย่างมาปลอบใจตัวเอง เพราะอย่างน้อยในวันที่แย่ การมีลิปสติกสักแท่งก็ทำให้เรายังสวยได้ ในวันที่ทุกอย่างพังทลาย แต่ชาบูปิ้งย่างร้านโปรดก็ทำให้เรายังอิ่มท้อง (แถมอร่อยด้วย) 

ก่อนหน้านี้คำว่า lipstick effect เป็นปรากกฏการณ์ที่ถูกพูดถึงมาตลอด นั่นคือในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ ยอดขายเครื่องสำอาง โดยเฉพาะลิปสติกที่ทำให้เรารู้สึกสวยเริ่ดนั้นมียอดขายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะในช่วงที่เงินในกระเป๋าไม่ค่อยจะมี และถึงมีก็ต้องรัดเข็มขัดมากขึ้น การซื้อลิปสติกสักแท่งดูเมคเซนส์กว่าการซื้อรองเท้าแพงๆ หรือตั๋วเครื่องบินสักใบ

ในยุคนี้สมัยนี้ คำว่า lipstick effect ยังคงอยู่ แต่ได้มีคำใหม่ผุดขึ้นมา นั่นคือ little treat culture ที่ว่ากันว่าเป็นพฤติกรรมที่คนเจนฯ Z หรือมิลเลนเนียลส์ มักหาความสุขจากสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าจะลงทุนกับของราคาแพงก้อนใหญ่ 

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

การศึกษาหนึ่งพบว่า 49% ของวัยรุ่นถึงวัยกลางคนดื่มกาแฟ specialty อย่างน้อยหนึ่งแก้วต่อวัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 อาลีบาบารายงานว่ายอดขายมาสคาร่าเพิ่มขึ้น 150% ส่วน Lupine Skelly ผู้นำการวิจัยที่ Deloitte บริษัทบัญชีระหว่างประเทศขนาดใหญ่พบว่าผู้ชายซื้อขนมทานเล่นมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายเจนฯ Z ซื้อขนมเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

การซื้อสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ช่วยให้คนซื้อรู้สึกดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย แต่ข้อดีคือความเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละที่ทำให้รายจ่ายตรงนั้นไม่กระทบกระเป๋าสตางค์หรือยอดเงินในบัญชีธนาคารมากนัก นอกจากนั้น ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสงคราม เศรษฐกิจก็ตกต่ำ โลกก็แปรปรวน แถมยังมีใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาพร่ำบอกให้วัยรุ่นวัยทำงานต้องผลักดันประเทศด้วยการทำงานอย่างหนัก การได้ตามใจตัวเองวันละนิดวันละหน่อยจึงเป็นการหลีกหนีโลกแห่งความจริงในทางหนึ่ง

นอกจากนั้นลูไพน์ สเกลลี ยังบอกว่ามากกว่าการหนีความจริง มันคือการที่คนยุคนี้มองหาสินค้าที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ ส่วน Geoff Tomaino ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา บอกว่าการซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชุบชูจิตใจในแต่ละวันนี้เป็นการบอกตัวเองว่าแม้ว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวจะดูเต็มไปด้วยเรื่องยาก แต่ฉันสบายดี ฉันทำงานได้ดี และใครก็ตามที่ทำงานได้ดีก็สามารถดื่มด่ำกับ Starbucks ได้อย่างแน่นอน

ผู้ประกอบการฉกฉวยอะไรได้บ้างจากพฤติกรรมนี้

  1. เน้นทำแคมเปญที่บอกผู้บริโภคว่าสินค้าของเราเหมือนเป็นเครื่องมือในการบรรเทาอารมณ์รูปแบบหนึ่ง 
  2. เน้นการสื่อสารที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเมื่อซื้อไปแล้วคือการได้บอกรักตัวเอง 
  3. เน้นการสร้างประสบการณ์มากกว่าฟังก์ชั่นอย่างเดียว 
  4. เน้นการสื่อสารที่สื่อได้ว่าแบรนด์เข้าใจ และเห็นอกเห็นใจผู้บริโภค และสินค้าและบริการที่เราส่งมอบคือการมอบความสะดวกสบายให้กับคุณในวันที่ยากลำบาก

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ Loacker ผู้ผลิตขนมเวเฟอร์ Quadratini ยังสำรวจผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาจำนวน 1,700 คนในปี 2023 และพบว่าเจนฯ Z และมิลเลนเนียลส์ ให้ความสำคัญทั้งต่อรสชาติที่ดีกับส่วนผสมคุณภาพสูง ทั้ง 73% ของ ผู้ตอบแบบสำรวจ ยังบอกว่าคุณภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการเลือกซื้อขนมในปัจจุบัน กลับกัน คนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปให้ความสำคัญกับคุณภาพแค่ 50% นั่นทำให้ Loacker เปิดตัวเวเฟอร์ดาร์กช็อกโกแลตที่ออกแบบมาเพื่อ ‘ให้ความหวานเล็กน้อยทุกโอกาส’

อีกแคมเปญน่าสนใจคือ ‘Raise Your Arches’ ของ McDonald’s ในอังกฤษ ที่สื่อว่า McDonald’s ช่วยให้เราได้หลีกหนีจากความซ้ำซากจำเจ การได้กิน McDonald’s ก็เหมือนกับการทำให้วันที่น่าเบื่อนั้นดีขึ้นได้ 

นี่จึงเป็นโอกาสดีของหลายๆ แบรนด์ที่จะหยิบพฤติกรรมผู้บริโภคนี้มาปรับใช้กับกลยุทธ์การขายหรือการสื่อสาร เปลี่ยนสินค้าและบริการที่ดูเน้นแต่ฟังก์ชั่น ให้เติมเต็มวันแย่ๆ ของทุกคนได้ 

อ้างอิง

สูตรการปั้นธุรกิจให้นุ่มฟูเหมือนครีมชีสของ Nose Tea ร้านที่ปลุกกระแสชาผลไม้ครีมชีสในไทย

“ตอนนั้นรู้สึกว่าชาผลไม้แทบจะยังไม่มีเลยมั้ง เราเลยมองว่าถ้าเราจะเปิดร้านชานม แล้วขายแต่ชานมมันก็ธรรมดาทั่วไป มันเกิดยากแน่ๆ เพราะร้านชาในประเทศไทยเยอะมาก ถ้าเราเล่นต่างไปเลย คิดต่างไปเลย แล้วก็ใส่กิมมิคอะไรให้แตกต่างจากชาวบ้านก็น่าจะโต เราเลยเน้นไปที่ชาผลไม้ครีมชีส ถ้าอยากกินต้องเป็นเราเท่านั้น”

หญิงสาวตรงหน้าเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นในการเปิดร้าน ‘Nose Tea’ ร้านที่ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อนถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่แปลกใหม่ในวันที่ใครๆ ก็ถือแต่แก้วชานมไข่มุก แต่ Nose Tea เลือกชูเมนูซิกเนเจอร์อย่างชาผลไม้ที่ท็อปปิ้งด้วยครีมชีส จนสร้างปรากฏการณ์มีคนมาต่อแถวรอที่หน้าร้านสาขาสยามเซ็นเตอร์ยาวเหยียด แถมทำคอนเทนต์อะไรก็กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ จนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก

ทุกวันนี้ชาผลไม้ครีมชีสของ Nose Tea ไม่ได้เป็นแค่กระแสที่มาแล้วหายไป แต่กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่ยืนระยะจนเป็นชาที่หลายคนเลือกดื่มเป็นประจำ

ส่วนหญิงสาวที่เล่าให้เราฟังข้างต้นคือ ไผ่-กชณิชา ฐิติชนาโชติ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Nose Tea ที่วันนี้พาเรามาเยี่ยมชมสาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นสาขาใหม่ล่าสุด พร้อมชิมเมนูใหม่ถึงหน้าร้าน ก่อนที่เราจะพูดคุยถึงวิธีคิดเบื้องหลังการปั้นธุรกิจให้นุ่มฟูเหมือนครีมชีส ซึ่งบนเส้นทางการทำธุรกิจที่อาจจะมีหวานบ้าง เปรี้ยวบ้างเหมือนกับรสชาติของชาผลไม้ ถ้าพร้อมแล้วยกแก้ว Nose Tea ในมือขึ้นมาดื่ม และมาดื่มด่ำกับเรื่องราวหลากรสกันได้เลย

ธุรกิจเครื่องดื่มในไทยถือว่าเป็น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูงมาก ทำไมคุณถึงยังเลือกทำธุรกิจนี้ 

เราเป็นคนชอบดื่มชาอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะมาทำ Nose Tea เราขายเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์นึงมาก่อน เป็นแบรนด์ของตัวเองนี่แหละ เราก็บินไปต่างประเทศบ่อย ไปดีลกับโรงงานผลิต แล้วที่โน้นก็มีร้านขายชาผลไม้กับชานมเยอะมาก แต่ละร้านก็อร่อย เรากินแล้วก็ติดใจ

พอกลับมาไทยแล้วอยากกินอีก ก็ไม่มีร้านไหนทำรสชาติแบบที่เราชอบเลย แล้วชาผลไม้ตอนนั้นแทบจะไม่มีใครทำเลยมั้ง ส่วนใหญ่มองไปในตลาดจะเป็นชาไข่มุกเกือบทุกแบรนด์ เราก็เลยคิดว่างั้นทำเองดีกว่า เราไปเรียนวิธีทำเลยว่าต้องต้มชายังไง ใช้วัตถุดิบแบบไหน

พอรู้สูตรที่เขาสอนมามันก็ยังไม่ตรงกับที่เราชอบหรอก ก็มาพัฒนาสูตรต่อ สั่งใบชาหลายๆ แบบมาลองชง แล้วเลือกอันที่เราดื่มแล้วอร่อย ตอนนั้นเราทำเป็นเรื่องเป็นราวเลย ไปเรียนเพิ่ม หาข้อมูล ลองผิดลองถูกเอง จนได้มาเป็นชาผลไม้ครีมชีส ที่ต่างจากเจ้าอื่นในตลาด เพราะอยากให้คนรู้สึกว่าถ้าจะดื่มชาผลไม้ครีมชีสต้องมาหาเราเท่านั้น

เห็นว่าเมนูในร้านคุณเป็นคนคิดค้นสูตรเอง ความยากหรืออุปสรรคในช่วงนั้นคืออะไร

ความยากน่าจะเป็นการหารสชาติตรงกลางที่โอเคที่สุด รสชาติที่คนส่วนใหญ่ชอบ  ไม่ใช่ว่าเอาที่ตัวเองชอบคนเดียว เพราะอร่อยเรากับอร่อยของคนอื่นไม่เหมือนกัน เราก็ต้องฟังคนอื่นด้วย ก่อนที่จะออกขายจริง เรามีบริษัทชื่อ Lively Nose ทำสินค้าที่ลอกสิวเสี้ยน ก็จะมีพนักงานจำนวนหนึ่ง ประมาณ 30-40 คน เราก็ให้น้องพนักงานช่วยชิมทดสอบรสชาติให้ แล้วก็ไปให้คนแถวบ้าน ให้พ่อ แม่เราชิม พวกเขาก็ให้ฟีดแบคมา เช่น เค็มไป หวานไป เราก็ฟังหลายๆ ความคิดเห็นแล้วมาปรับหารสชาติตรงกลางที่คนส่วนใหญ่ชอบ และเราก็ชอบด้วย
อีกอย่างคือการควบคุมวัตถุดิบตอนขายจริง ให้ได้คุณภาพตามที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรก แล้วพอขยายสาขาก็ต้องคุมคุณภาพให้เหมือนกันทุกสาขา

ตอนที่เอาโลโก้จมูกเขียวของ Lively Nose มาเป็นโลโก้ของร้าน Nose Tea กังวลไหมว่าลูกค้าจะสับสนหรือไม่เข้าใจ

เอาจริงๆ ไม่กลัวแล้วก็ไม่กังวลเลยว่าคนจะมองไม่ดี หรือจะมองว่าทำไมของกินถึงใช้โลโก้นี้ ต้องบอกว่าเราคิดมาดีแล้ว เพราะถ้ามองในท้องตลาดก็จะเห็นโลโก้เป็นรูปสัตว์น่ารักๆ คล้ายกันหมด พอใช้เป็นรูปจมูกมันชวนให้สงสัยและจดจำง่าย แตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาดแน่นอน

ขนาดคุณยังมาถามเราเลยว่าทำไมถึงใช้โลโก้นี้ ที่หน้าร้านก็เหมือนกัน จะมีคนเห็นแล้วเข้ามาถามพนักงานว่านี่คือร้านอะไร ขายอะไร พอเขาเข้ามาถามแล้วก็ซื้อไปลองชิม พอชิมแล้วชอบเขาก็กลับมาเป็นลูกค้าประจำ เรื่องโลโก้ก็ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเลยว่าอยากให้แบรนด์เราแตกต่าง

อีกอย่างคือที่ลอกสิวเสี้ยน Lively Nose มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว พอเราเอาโลโก้มาทำการตลาดต่อมันก็ง่าย เราก็เอาที่ลอกสิวเสี้ยนไปวางขายหน้าร้านด้วย แล้วก็ทำการตลาดร่วมกัน คือให้เอา Lively Nose มาเป็นส่วนลดเครื่องดื่ม แบบกล่องลดได้ 15 บาทต่อหนึ่งบิล แบบซองลดได้ 10 บาทต่อหนึ่งบิล ทำให้ลูกค้าของ Lively Nose รู้จักกับ Nose Tea ลูกค้าที่มากิน Nose Tea ก็จะรู้ว่าเรามีที่ลอกสิวเสี้ยนขายด้วย

ช่วงแรกก็มีคนเข้าใจผิดว่าเราไปลอกเลียนแบบโลโก้ของ Lively Nose หรือเปล่า เราก็ทำคลิปมาอธิบายว่าไม่ใช่ ทั้ง 2 แบรนด์นี้มีเจ้าของคนเดียวกัน เลยใช้โลโก้เดียวกัน

ร้านเครื่องดื่มหลายๆ ร้านชอบตั้งชื่อเมนูให้ดูแฟนตาซี แต่ทำไม Nose Tea ถึงเลือกตั้งชื่อเมนูตรงตัว

ส่วนใหญ่เราจะเจอแต่ร้านที่ตั้งชื่อเมนูยาวๆ จำยากๆ ตอนเราไปสั่งก็ชอบถามพนักงานว่าเมนูนี้คืออะไร ใส่อะไรบ้าง ถ้ามีสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็จะไม่กิน แล้วถามรายละเอียดเมนูใหม่ ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลา แล้วเราก็เกรงใจพนักงานกับคนที่ต่อแถวรอสั่งจากเรา

พอมาเปิดร้าน Nose Tea ก็ไม่อยากให้ลูกค้าต้องมาเสียเวลาในการสั่งนานๆ เราก็ตั้งชื่อเมนูตรงๆ ตัวไปเลย เข้าใจง่ายดี เช่น ชาพีช ชาส้ม เข้าใจง่ายดี ลูกค้าเห็นชื่อเมนูก็สั่งได้เลย เราก็ปิดการขายได้ง่ายด้วย

พอเมนูหลักเน้นไปที่ชาผลไม้ ที่มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาลและการเก็บรักษา คุณมีวิธีการควบคุมคุณภาพและรสชาติอย่างไรให้ได้มาตรฐานเหมือนเดิม

ตอนที่คิดสูตรเราทดลองกับผลไม้หลายอย่างมากๆ  แล้วตัดสินใจเลือกผลไม้ที่ควบคุมคุณภาพได้ตลอดทั้งปี โดยที่ไม่ต้องมามีปัญหาทีหลังเรื่องวัตถุดิบแล้วเอาเมนูนี้ออก เราก็คอยตรวจสอบคุณภาพตลอดในทุกๆ ล็อตที่เข้ามา อย่างต้นฤดูคุณภาพก็จะดี กลางฤดูนี่มั่นใจได้เลยว่าแซ่บแน่นอน แต่พอปลายฤดูก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียดกว่าเดิม

ผลไม้นอกฤดูกาลส่งผลให้ต้นทุนแพงขึ้นด้วยไหม แล้วจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

ผลไม้ก็จะมีช่วงที่ถูกและช่วงที่แพง แต่เราไม่ได้คิดว่าพอแพงปุ๊บจะขึ้นราคา พอถูกปุ๊บเราก็ขายราคาเดิม มันไม่ใช่ เราขายราคาเท่าเดิมตลอด แล้วเอาตันทุนมาถัวเฉลี่ยกัน ก็จะมีช่วงที่ได้กำไรเยอะและช่วงที่ได้กำไรน้อยมาก แต่คิดแล้วยังไงก็ได้กำไร พอเราขายราคาเดิมก็ง่ายต่อการจัดการด้วย

เครื่องดื่มแก้วนึงของ Nose Tea ราคาหลักร้อยขึ้นไป คุณทำยังไงให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าและยอมจ่าย

เราต้องสื่อสารกับลูกค้า บอกเขาว่าเราใช้ของดีมีคุณภาพ อย่างชาจะมีหลายเกรดเป็นทั้งแบบใบชาและเศษชา แต่ของเราใช้ใบชาคุณภาพดีที่นำเข้ามา ส่วนชีสก็นำเข้าจากนิวซีแลนด์ ไม่ได้ใช้แบบผง ไม่ได้ใช้แบบแผ่น เราใช้ชีสเป็นก้อนเลย แล้วที่เห็นชีสนุ่มฟู บางคนเขาคิดว่าเราใส่ผงฟู แต่ไม่ใช่ เราไม่ได้ผสมอะไรเข้าไป เป็นใช้ชีสแท้ 100% เราตีชีสด้วยมือและตีด้วยเครื่อง ชีสถึงขึ้นฟูสวยแบบนี้ เราทำให้ลูกค้ารู้ว่าหนึ่งแก้วที่เขาซื้อไปมันคืออะไร ใส่อะไรบ้าง เราตั้งใจทำมันจริงๆ แล้วไม่ได้แค่ตั้งใจอย่างเดียว เราใส่ใจในการเลือกวัตถุดิบด้วย

ทำอย่างไรถึงทำให้ชาผลไม้ครีมชีสไม่ได้เป็นแค่กระแสที่มาแล้วหายไป แต่เป็นเครื่องดื่มที่คนเลือกดื่มในชีวิตประจำวัน

เราเน้นเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบ ให้ลูกค้ารับรู้ในทุกครั้งที่มาชิมว่าเขาได้รับของดีจริงๆ ส่วนเรื่องการตลาดก็สำคัญมาก เราต้องทำให้แบรนด์อยู่ในกระแสตลอดเวลา ทำยังไงให้คนเห็นเราเรื่อยๆ แบบเดี๋ยวก็เห็นเราอีกแล้ว สักพักก็เห็นเราอีกละ แล้วเราก็ออกเมนูใหม่ให้ลูกค้าไม่รู้สึกเบื่อที่จะมาหาเรา ต้องสร้างความแตกต่างให้ตัวเอง ให้ลูกค้าแยกเราออกจากเจ้าอื่นได้ ว่าถ้าอยากกินชาผลไม้ชีสต้อง Nose Tea อยากกินชานมปั่นก็ต้อง Nose Tea การทำให้คนจำได้เราคือสิ่งสำคัญมากๆ

ทำไมถึงเลือกทำการตลาดโดยทำคอนเทนต์ผ่านช่อง TikTok ของคุณไผ่เป็นหลัก

เรามองว่ายุคสมัยนี้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้เยอะ มีคนเล่นหลายวัย กลุ่มลูกค้าเราก็น่าจะเข้าถึงง่าย เลยเลือกใช้ช่องทางนี้ แล้วที่เลือกทำคอนเทนต์ในช่องของตัวเอง เพราะเราอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าเข้าถึงง่าย เราเชื่อว่าพอเราทำตัวให้เข้าถึงง่ายแล้ว ลูกค้าจะกล้าฟีดแบคกับเราตรงๆ
ซึ่งเราเป็นคนให้ความสำคัญกับฟีดแบคลูกค้ามาก อย่างเราเคยไปรับบริการร้านนึงแล้วพิมพ์ไปคอมเพลน พอเขาตอบกลับมาและแก้ปัญหาให้ เราก็รู้สึกดีที่เขาให้ความสำคัญกับเรา เราก็อยากให้ลูกค้าเรารู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แม้จะเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ถ้าเราทำให้ได้ เราก็จะทำให้เลย

สมมติเวลามีใครคอมเพลนอะไรมาใน TikTok เราจะรู้เรื่องไม่เกิน 3 วัน หรือรู้ในวันนั้นเลย เพราะเราจะให้เลขากับ CS คอยดูตลอด ถ้ามีเรื่องด่วนหรือคอมเพลนเยอะมากก็ให้รีบรายงานเรา ถ้ามีคอมเพลนไม่มาให้รายงานเราทุกๆ 3 วัน

ทำไมที่ร้านถึงมีบางเมนูที่เปิดขายแค่หน้าร้าน แต่ไม่เปิดให้สั่งในแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่

ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากขายในเดลิเวอรี่ แต่เมนูที่ลงขายในแอปฯ ต่างๆ เราทดลองหมดแล้ว ทั้งแบบแยกน้ำแข็งและแบบใส่น้ำแข็ง ว่ารสชาติไม่ต่างจากหน้าร้านหรือต่างกันแค่นิดเดียว อย่างเมนู Nose Tea Signature ที่เป็นชานมซิกเนเจอร์ปั่น เราทดลองหลายรอบแล้วยังรู้สึกว่าเดลิเวอรี่ไม่ว้าวเท่าหน้าร้าน เพราะเมนูนี้เราใช้เป็นชาร้อน พอเอาไปปั่นกับน้ำแข็ง ของร้อนโดนของเย็นก็ละลายเร็วกว่าปกติ

ซึ่งจะต่างจากเมนูปั่นที่เราขายในเดลิเวอรี่ เช่น ชาลิ้นจี่ปั่น อันนั้นเราใช้ชามะลิแบบเย็นมาปั่นกับน้ำแข็ง พอของเย็นเจอกับของเย็น แล้วใส่ไว้ในถุงเก็บความเย็นอีก เวลาเดลิเวอรี่จะละลายช้า รสชาติก็ไม่ต่างจากหน้าร้านมาก

แต่ชานมซิกเนเจอร์ปั่นเราเคยทดลองใส่ในถุงเก็บความเย็น แล้ววางทิ้งไว้ 30-45 นาที เพราะคิดว่าถ้าส่งเดลิเวอรี่น่าจะใช้เวลาประมาณนี้ พอชิมเทียบรสชาติกันระหว่างชานมที่เพิ่งปั่นกับวางทิ้งไว้ รสชาติมันต่างกันเกินไป แบบที่กินทันทีจะเนื้อเนียนนุ่ม แต่พอกินอันที่ละลายแล้วเหมือนกินชานมธรรมดา

สำหรับคนที่เคยลองเมนูนี้ที่หน้าร้านแล้ว อาจจะรู้สึกว่ารับได้กับรสชาตินี้ แต่สำหรับคนที่เพิ่งลองชิมเป็นครั้งแรก เฟิร์สอิมเพรสชั่นเขาอาจจะรู้สึกว่าไม่อร่อย แล้วไม่ชอบเลยก็ได้ เราก็คุยกับทีมว่าเอามาทำเป็นกิมมิคเลยดีกว่า ว่าใครอยากกินเมนูนี้ให้มาที่หน้าร้านเท่านั้น มันอร่อยแน่ๆ สมกับที่เขายอมเดินทางมาหาเราแน่นอน

Nose Tea ถือว่าเป็นร้านที่มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ในมุมมองของคุณคิดว่าการขยายสาขาเป็นโอกาสหรือความเสี่ยง

มองว่าเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ High Risk, High Return เป็นเรื่องปกติ ถ้าเรากลัวก็จะไม่ได้อะไรกลับมา แต่ถ้าเรามองว่าเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขาย เพิ่มทางรอดให้กับแบรนด์ เวลามีโอกาสเข้ามาเราก็คว้าไว้

อย่างปีนี้ (ปี 2567) ตอนแรกคิดว่าจะหยุดที่สาขาที่ 12 แต่พอลูกค้าเรียกร้องเยอะๆ ว่าอยากให้มาเปิดใกล้บ้าน เราเลยแพลนไปถึงสิ้นปีว่าจะเปิดเพิ่มอีกเดือนละสาขา ปี 2567 ก็น่าจะจบที่ 16-17 สาขา ปีหน้าก็มีแผนขยายสาขาต่อเรื่อยๆ

แล้วการขยายสาขาใหม่ ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่คนไปต่อแถวบางสาขายาวๆ อย่างสาขาสยามช่วงแรกโดนคอมเพลนทุกวัน มีทั้งคอนเพลนจากร้านข้างๆ ว่าลูกค้าเราไปบังหน้าร้านเขา และมีคอมเพลนจากลูกค้าเรื่องรอคิวนาน บางทีพนักงานก็ลืมใส่ครีมชีสไปให้ ตอนแรกเราแก้ปัญหาด้วยการจ้างพนักงานเพิ่ม จนพนักงานเบียดกันเต็มร้าน ต้องแบ่งคนไปรันคิว พอขยายสาขาก็ลดปัญหานี้ได้

อะไรที่คุณให้ความสำคัญเมื่อขยายสาขา 

เราต้องเลือกห้างที่เราจะไป สถานที่ที่เราจะอยู่ให้ดี ทราฟฟิกหรือจำนวนคนที่เดินผ่านมีผลกับเรามาก บางคนอาจจะไม่รู้จักร้านเรา แต่พอเดินผ่านก็มีโอกาสที่จะมาซื้อ อย่างทำเลใกล้บันไดเลื่อนคนเดินผ่านตลอดเวลา แล้วเราก็ดูว่าชั้นไหนมีร้านอะไรเป็น magnet ดึงคนเข้ามา เราดูถึงขนาดนั้นเลย ไม่ใช่แค่เราเอาตัวเองมาอยู่ในห้างนี้ก็พอ แต่เราดูทำเลในห้างด้วย

อย่าลืมว่าวันธรรมดาคนเดินไม่เยอะเท่าวันเสาร์ อาทิตย์ บางชั้นไม่มีคนเดินเลยด้วยซ้ำ เวลาเราไปดูสถานที่ที่ไหน ก็ชอบไปซื้อของร้านข้างๆ แล้วถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง วันธรรมดามีคนไหม เราต้องเก็บข้อมูลไว้ก่อน

อย่างสาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ ตอนแรกเราอยากได้ชั้นล่างสุดที่คนเดินเยอะๆ แต่ขนาดพื้นที่ร้านจะเล็กไปหน่อย พอเรามาเห็นตรงนี้ที่ชั้น 2 มันมีสเปซโล่งๆ ดี พื้นที่ก็กว้าง เราที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่หน้าร้านเหมือนกัน แล้วร้านเราคนต่อแถวเยอะ เลยเลือกที่ตรงนี้แทน อันนี้เราคิดแล้วว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง

แต่สิ่งที่เราจะไม่เอาเลยคือ ถ้าห้างเอาร้านเราไปอยู่หลบมุม เพราะอยากให้เราเรียกคนไปที่มุมนั้น ต่อให้ลดราคา เราก็ไม่เอา เพราะเราไม่ได้อยากได้ที่ถูก แต่อยากได้ที่ที่ดี

พอมีสาขาเยอะขึ้น คุณมีวิธีควบคุมคุณภาพให้เหมือนกันทุกสาขาอย่างไร

ถ้าเป็นเรื่องของคุณภาพเราควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบ ให้ได้มาตรฐานเหมือนกันหมด และมีการเทรนพนักงานอย่างจริงจัง ไม่ว่าพนักงานคนนี้จะไปอยู่สาขาไหน ก็ต้องชงรสชาติให้เหมือนกันทุกสาขา บางทีเราก็ไปสุ่มตรวจแต่ละสาขาด้วย โดยเฉพาะสาขาที่มีคอมเพลนเยอะ เราก็จะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้หาต้นตอของปัญหาถูกและหาทางแก้ไข

แล้วเราไม่ได้ดูคุณภาพแค่เรื่องของรสชาติ แต่หน้าตาของเครื่องดื่มก็สำคัญ เพราะเราเป็นคนชอบถ่ายรูปของกิน อย่างเรื่องที่เราเอาไปทำคอนเทนต์ใน TikTok แล้วกลายเป็น talk of the town คือเมนู Nose Tea Signature มีไข่มุกลอยขึ้นมาไม่ได้อยู่ก้นแก้วทั้งหมด เพราะเวลาพนักงานเทเครื่องดื่มลงแก้วแรงๆ จะดันให้ไข่มุกลอยตัวขึ้นมา ซึ่งจริงๆ เขาต้องค่อยๆ เท คือไข่มุกที่ลอยขึ้นมาก็กินได้ รสชาติอร่อยเหมือนเดิม แต่เวลาถ่ายรูปจะไม่สวย เราก็อยากให้ลูกค้าที่อุตสาห์ต่อแถวมารอได้ถ่ายรูปเครื่องดื่มสวยๆ

ทำไมพอเปิดสาขาใหม่ ถึงเลือกออกเมนูพิเศษที่มีเฉพาะสาขานั้นๆ ออกมา

เราอยากสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า เวลามาหาเราที่ร้าน ว่ามาสาขานี้จะได้เจอกับอันนี้นะ มันไม่น่าเบื่อที่จะมาหา Nose Tea  ถือเป็นกิมมิคการตลาดอย่างหนึ่ง ถ้าอยากกินชานมมะลิครีมชีสงานดำต้องมาที่เมกะบางนา ถ้าอยากกินเมนูที่ Nose Tea X BOOBUN ก็มาที่แฟชั่นไอส์แลนด์

หรืออย่างสาขาเซ็นทรัลชิดลมก็จะพิเศษตรงที่เรามีเมนู Soft Serve รสชานม ซึ่งต่อยอดมาจากเมนู Nose Tea Signature ที่เราชอบกินไปครึ่งแก้ว แล้วเอาไปแช่ช่องช่องฟรีซสัก 2 ชั่วโมง พอเอาออกมากินจะเป็นเหมือนเนื้อไอศกรีม เราทำอย่างนั้นอยู่พักนึงจนคิดว่าทำไอศกรีมรสชานมออกมาเลยดีกว่า ตอนนั้นเราไปศึกษาเรื่องเครื่องทำไอศกรีม แล้วทดลองอยู่นานเหมือนกันกว่าจะได้สูตรนี้ที่เนื้อเนียนยิ่งกว่า Nose Tea Signature และละลายช้า ซึ่งสูตรนี้เราจะต้องทำ Soft Serve สดใหม่ทุกวัน เพราะเคยทดลองทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วรสชาติจะหวานเกินไป

สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์เป็นครั้งแรกที่เปิดตัวเมนูเบเกอรี่ที่คอลแล็บกับ Boobun ทำไมถึงเลือกคอลแล็บกับแบรนด์นี้

เราเป็นคนชอบกินขนมปัง ชอบเบเกอรี่อยู่แล้ว มีวันนึงไถ TikTok เจอร้าน Boobun รู้สึกว่าร้านนี้ดู unique ตั้งแต่การตกแต่งร้าน ไปจนถึงแพคเกจจิ้ง ก็เลยสั่งขนมปังของเขาอันที่เป็นก้อนสีแดงมาชิม คือมันดีมาก มีทั้งความนิ่มและเหนียวนุ่ม อร่อยทั้งที่ไม่มีไส้อะไรเลย วันแรกที่ได้กินเราก็ให้ R&D โทรหา โตน-ณัฐกิตติ์ พุทธยากูล เจ้าของ Boobun ว่าสนใจมาคอลเล็บกับเรามั้ย เพราะเราไม่เคยทำเบเกอรี่มาก่อน ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย

พอได้คุยกับเขาทำให้เรารู้สึกเหมือนคุยกับตัวเองเลย ความคิดเขาคล้ายเรามาก แล้วเขาเป็นคนคิดต่างจากคนอื่นจริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่ามันต้องแบบนี้แหละที่จะมาคอลแล็บกับเรา เพราะถ้าธรรมดาๆ คงไม่เกิด พูดถึงแล้วก็ขนลุก

เขารู้จริงเรื่องเบเกอรี่ รู้หมดเลยว่าต้องใช้เนยอันนี้ ต้องทำขนมปังแบบนี้ แล้วเขาทำเองหมด ไม่ได้จ้าง outsource ตอนที่เราคิดเมนูด้วยกันก็จะให้เขาคิดในส่วนของขนมปังที่เขาถนัด เลยออกมาเป็นขนมปังไส้ชาอัสสัมที่ไม่หวานน้อย แต่อร่อยมาก ส่วนเมนูน้ำเราก็เอาจุดเด่นของเขาคือชาไทย มาท็อปปิ้งด้วยครีมชีสช็อคโก เพื่อให้ลูกค้าเอาขนมปังมาจิ้มกินคู่กัน

ส่วนแก้วน้ำกับกล่องใส่ขนมปัง เราก็ให้กราฟิกออกแบบใหม่ เอาสี CI Boobun มาใช้ให้มันเด่นและเห็นเลยว่าอันนี้แตกต่างจากเมนูอื่นที่เราขายปกติ แล้วทำเป็นหลอดยาวที่เสียบขนมปังลงไปได้ จะได้ดูดน้ำไป กัดชิมขนมปังไป ทั้งหมดนี้ตรงกับภาพที่เราสองคนอยากเห็นเลย

ถ้าให้ย้อนทบทวน อะไรคือบทเรียนสำคัญ 3 ข้อที่ได้จากการปั้นแบรนด์นี้ขึ้นมา

หนึ่งคิดว่าจะเป็นเรี่องความใส่ใจในคุณภาพ วัตถุดิบ และการบริการของเรา สำคัญมากๆ คือทุกสาขาต้องให้ได้มาตรฐานเดียวกัน

สองฟังฟีดแบคจากลูกค้าเยอะๆ มันดีแน่นอนถ้าฟังแล้วเอามาปรับปรุงตามที่เขาบอก อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ยึดหลักตรงกลางระหว่างเรา และระหว่างลูกค้าเยอะๆ ดีหรือไม่ดีรับไปก่อน ไม่ใช่ลูกค้ามาคอมเมนต์แล้วเราเถียงมันก็ไม่ได้

สามน่าจะเป็นความคิดที่แตกต่าง ทำยังไงให้เขาจดจำเราให้ได้ ให้เขาจดจำแบรนด์ให้ได้ ให้เราไปอยู่ในใจเขาให้ได้ ถ้าทุกวันนี้เราเอารูปชาเขียวหรือเอาใบชาใบเดียวมาเป็นโลโก้ คนน่าจะจำเราไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่คิดจะทำ เรามองการณ์ไกลเลยว่าทำไปตามแผนที่วางไว้ อะไรที่ทำไม่ได้ เราเอามาเป็นบทเรียน แก้ไข ปรับปรุงไปตามขั้นตอน ทุกอย่างมันมีอุปสรรคอยู่แล้ว แต่เรามองว่าจะแก้ไขยังไงให้ผ่านมันไปได้ แล้วเราเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่ว่าเจออุปสรรคแล้วเหนื่อยจังเลย มันไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้นเลย ถ้าเรามองว่ามันต้องผ่านไปได้ ปัญหามีไว้ให้แก้นี่ อะไรที่ไม่รู้ก็ลองให้รู้คำตอบไปเลย


ฝึกเสียง บริหารพรสวรรค์ กับ Vocal Academy สถาบันฝึกใช้เสียงที่ดูแลตั้งแต่ศิลปินจนนักธุรกิจ

เรารู้จักเสียงของตัวเองแค่ไหน?

คือคำถามที่เราเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ระหว่างบทสนทนากับ ปิ่น–ศศินี อัศวเจษฎากุล ผู้ก่อตั้ง Vocal Academy by Pin Sasinee 

จากประวัติการศึกษาและการทำงานในแวดวงนักร้องโอเปร่า ใครเห็นชื่อของปิ่นก็เดาว่าที่นี่ต้องเป็นโรงเรียนสอนร้องเพลงแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดนักหรอก ลูกค้าของ Vocal Academy by Pin Sasinee ส่วนใหญ่ก็มาเรียนร้องเพลงกัน และย้อนกลับไปในความตั้งใจแรกของการเปิดโรงเรียน ปิ่นก็อยากสร้างสถาบันที่ซัพพอร์ตกลุ่มคนรักในเสียงร้องและดนตรี 

เธอเชื่อว่าอาชีพนักดนตรีสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้

แต่มากกว่าการร้องเพลงแล้ว แท้จริง Vocal Academy by Pin Sasinee คือโรงเรียนที่จะสอนเรา ‘ใช้เสียง’ ซึ่งประยุกต์ใช้กับคนทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่นักร้องนักดนตรีเท่านั้น 

เสียงของเราที่เราเคยเข้าใจมันว่าเป็นโทนสูง กลาง ต่ำ ปิ่นบอกว่าจริงๆ แล้วเราสามารถปรับมันไปตามสถานการณ์ที่ใช้ และเสียงของเราที่เรารู้จักมันดีอยู่แล้ว จริงๆ แล้ว มันมีพลังในการจูงใจ ต่อรอง สร้างโอกาสมากมาย เพียงเราต้องรู้จักมันอย่างถ่องแท้เสียก่อน

แต่เรารู้จักเสียงของตัวเองแค่ไหน?

หลังจากไปพบกับปิ่นบนเวทีทอล์กในงาน ‘Modern Business Day 2024 : The Uncommon Business Playbook สร้างธุรกิจด้วยวิธีคิดนอกตำรา’ เราขอชวนทุกคนมาตั้งคำถามและหาคำตอบได้พร้อมกันในบรรทัดถัดไป คุยกันตั้งแต่พลังของเสียง ความตั้งใจและหลักการบริหารสถาบันดนตรี ไปจนถึงบทเรียนสำคัญที่เธอได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจ

ทราบมาว่าคุณเป็นนักร้องโอเปร่ามาก่อน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อะไรทำให้คนที่เรียนจบโอเปร่าสนใจเปิดธุรกิจของตัวเอง

ปิ่นเรียนโอเปร่าที่มหิดลมาตั้งแต่ Pre-College (ก่อนมัธยม) ตามเทรนด์สมัยหนังเรื่อง Season Change พอจบปี 4 ก็ได้ทุนไปเรียนด้าน Perform ดนตรีคลาสสิกที่เวียนนา จบมาก็ออดิชั่นอยู่สักพัก แต่มันก็มีจุดที่คิดว่าวงการดนตรีจะมีเทรนด์ที่ค่อนข้างเร็ว ต้องการความแปลกใหม่ตลอดเวลา มากกว่านั้นคือ ช่วงเวลาของการเป็นนักร้องโอเปร่ามีจำกัด ถ้าอายุเกิน 40 จะเริ่มลำบากเพราะต้องไปแข่งกับเด็กๆ 

ปิ่นเลยอยากหาจุดยืนของตัวเอง จะทำยังไงให้กลับมาไทยแล้วจะไม่เป็นครูอีกคนที่จบมาจากเมืองนอก ตอนทำธีสิสจบป.โท ปิ่นมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นหมอเสียงอันดับต้นๆ ของยุโรปที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูแลเส้นเสียงของนักร้อง ปิ่นเลยทำธีสิสด้านภาษาศาสตร์  รีเสิร์ชว่าทำไมคนไทยบางคนจึงไม่สามารถพูดและภาษาอังกฤษให้มีสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาได้ ทำให้เรามีความรู้เรื่องภาษาและการออกเสียงที่แน่นมากๆ

พอเรากลับมาไทย ถ้าปิ่นเลือกเป็นนักดนตรีมันจะมีบางช่วงที่งานจ้างระห่ำ แต่ตอนว่างก็ว่างเลย ปิ่นคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป จึงคิดอยากจะสอน คิดอยู่เป็นเดือนๆ ก่อนจะพบคำตอบว่า ถ้าเรามีความรู้เรื่องภาษาและการออกเสียง ทำไมไม่เป็นโค้ชที่ช่วยดูแลเสียงล่ะ 

สำหรับคนทำงานกับเสียง นิยามของการใช้เสียงที่ดีสำหรับคุณเป็นอย่างไร

สำหรับปิ่น เสียงที่ดีคือเสียงที่ดึงดูดคนฟัง และสนับสนุนให้เขารู้สึกถึงความมั่นใจของตัวเองได้

เสียงที่ดีจะดีต่อธุรกิจด้วย เพราะในธุรกิจต้องการความน่าเชื่อถือ เสียงที่เราพูดจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเรากับคนอื่น เราดูมั่นใจหรือไม่มั่นใจ สิ่งเหล่านี้มาจากเสียงทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น นักธุรกิจเองที่มั่นใจคือคนที่เข้าใจในเสียงของเรา เลือกใช้โทนเสียงที่ถูกต้อง และแตกต่างในสถานการณ์ต่างๆ เพราะมันมีความสำคัญต่อคนฟังอย่างมากโดยที่พวกเขาอาจไม่เคยรู้

คลาสการใช้เสียงต่างจากคลาสการพูดอย่างไร

ปกติเท่าที่เห็นคนไปเรียนคือคลาส Public Speaking เขาสอนเรื่องการมองตา วางมือ ทำยังไงให้ดูน่าเชื่อถือ แต่คลาสของปิ่นไม่ใช่แค่เรื่องนี้ มันคือเรื่องเสียงของคุณ และการใช้มันให้เป็น มันเป็นคนละศาสตร์กัน

ขุดเข้าไปลึกอีกหน่อย มันคือการที่เรารู้จักก่อนว่าเสียงที่ทุกคนบนโลกมีเหมือนกันคืออะไร เช่น เสียงต่ำ เสียงกลาง เสียงสูง ถ้าเกิดเราต้องการความน่าเชื่อถือในการพูดคุย เราอาจต้องพูดเสียงต่ำเพื่อให้ดูหนักแน่น แต่ถ้าเราพูดโทนกลางๆ มันจะดูสดใส มีความรู้ เหมาะกับการอธิบาย และเมื่อไหร่ก็ตามที่พูดเสียงสูง จะทำให้เราดูเด็กขึ้น

ที่ผ่านมา ปิ่นค่อนข้างสอนคนหลากหลายแบบ เด็ก ผู้ใหญ่ ไฮโซ นักธุรกิจ ศิลปินที่เพิ่งเริ่มใหม่ ศิลปินที่เก่งมาก คนที่จะกำลังเตรียมพรีเซนต์ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ‘ก็ฉันเป็นคนแบบนี้นี่’ แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและทำให้เราชินกับการใช้เสียงแบบนั้น จริงๆ เสียงของทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการหมดเลย

ไม่ใช่แค่เรื่องโทนเสียง แต่สิ่งที่ปิ่นสอนเพิ่มเข้าไปคือเรื่องจังหวะการหยุด เวลาเราพูดไปเรื่อยๆ แล้วหยุด คนจะฟังมากขึ้นทุกที แต่หลายคนอาจไม่ค่อยกล้าหยุดเท่าไหร่ มันเป็นทริกที่สำคัญมากที่เราจะเรียนรู้ว่าควรหยุดตรงไหนเพื่อทำให้เราได้เอนเกจจากคนฟังมากขึ้น 

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ เราไม่ได้ฝึกพูดอย่างเดียว แต่ฝึกฟังด้วย ถ้าต้องร้องเพลงก็ต้องฟังให้ละเอียดจนก๊อปได้ ให้รู้ว่าเขาเสียงยังไง  สำหรับปิ่นมันคือสกิล ถ้าคุณฟังละเอียด คุณก็จะเข้าใจตัวเองได้เร็ว

เพนพอยต์และโอกาสทางธุรกิจที่คุณมองเห็นคืออะไร

ตัวปิ่นเองมีปัญหาเรื่องเส้นเสียงด้วย ไปหาหมอมาทุกสถาบัน คิดไปคิดมาก็พบว่า จริงๆ นักร้องที่ใช้เสียงเยอะสุดๆ เขาต้องมาแก้ปัญหาจากต้นตอว่าคุณใช้เสียงอย่างไร เข้าใจร่างกายตัวเองหรือเปล่า

ปิ่นเริ่มจากการสอนคนที่รู้จักส่วนตัวก่อน  ทุกคนที่มาก็บอกว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด พอนักเรียนรู้สึกว่าเขาได้ประโยชน์จากการเรียนกับปิ่นจริงๆ ทุกคนเลยเริ่มบอกต่อกัน ทำให้มีคนมาเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ปิ่นจึงตัดสินใจขยายทีม และ เปิดโรงเรียนที่ชื่อว่า Vocal Academy

ตอนที่เปิด ตลาดโรงเรียนสอนร้องเพลงและใช้เสียงมีการแข่งขันกันสูงไหม และคุณมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นขึ้นมา

สูงมากค่ะ แต่คู่แข่งอื่นๆ เป็นโรงเรียนสอนดนตรีทั่วไป หรือไม่ก็เป็นคุณครูดนตรีสอนตัวต่อตัวโดยไม่ได้เปิดโรงเรียน สิ่งที่ทำให้ Vocal Academy แตกต่างคือการ position ตัวเอง

ปิ่นจบมาจากเมืองนอกที่สอนเรื่องดนตรีอย่างมีคุณภาพมาก ปิ่นพูดได้ 3 ภาษา มีคอนเนกชั่นและความรู้ สำหรับปิ่น คอร์สเรียนที่นี่จะสอนแบบประเทืองปัญญา คือไม่ใช่สอนแล้วอยู่ที่เดิม หรือสอนเพลงง่ายเหลือเกินซ้ำไปซ้ำมา ปิ่นไม่ทำ ปิ่นอยากสอนในสิ่งที่ปิ่นมีและใช้มันกับคนที่อยากเรียนจริงๆ เพราะฉะนั้น เงินที่จ่ายก็แมตช์กับสิ่งที่ปิ่นมี 

กลายเป็นว่าเราไปได้ และถ้าเราไปได้ ทีมปิ่นก็ต้องไปให้ได้เหมือนกัน เพราะปิ่นรู้สึกว่าอาชีพนักดนตรีไม่ควรเป็นอาชีพที่ทำเล่นๆ ขนาดนั้น เสียงของพวกเราก็มีมูลค่าเป็นล้าน

แล้วใครคือลูกค้าของ Vocal Academy บ้าง แค่เฉพาะนักร้องนักดนตรีหรือเปล่า

มีตั้งแต่เด็กที่อยากเรียนเพื่อไปแข่งหรือสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรืออะไรก็ตามที่แข่งหรือสอบเพื่อเก็บพอร์ทฯ ไปจนถึงสอนคนที่ไม่มีทักษะร้องเพลง มาเรียนเพื่อคลายเครียด หรือคนที่กำลังจะแต่งงานแล้วอยากร้องเพลงเซอร์ไพร์ส รวมถึงสอนศิลปินที่เป็นโปรเจกต์ลับกำลังจะเดบิวต์ บางโปรเจกต์เป็นระยะยาว บางโปรเจกต์เป็นระยะสั้น ศิลปินบางทีกำลังจะมีคอนเสิร์ต เราก็ไปช่วยเขาจนถึงหยดสุดท้ายก่อนจะขึ้นเวที 

สอนไปจนถึงคนทำงานทั่วไป และกลุ่มนักธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะใช้เสียงเพื่ออะไร สมมตินักธุรกิจอยากร้องเพลงในงานอีเวนต์ ปิ่นจะทำให้เขาร้องเพลงนี้ได้ใน 5 ชั่วโมง เพราะเข้าใจว่าเวลาของนักธุรกิจมีน้อย โดยจะซ้อมไปเรื่อยๆ เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจ 

หรือถ้าเขาอยากเรียนเพื่อคุยกับลูกค้า อยากรู้จักเสียงตัวเองมากขึ้น ปิ่นก็จะวิเคราะห์ก่อนว่าเขาทำงานอะไร คนที่เขาคุยด้วยเป็นคนประมาณไหน แล้วก็จะให้เขาทำแบบฝึกหัด ให้รู้จักเสียงของตัวเอง พอยต์ของการเรียนของทุกคนก็คือรู้จักเสียงของตัวเองมากขึ้น

เหมือนว่า Vocal Academy ไม่ใช่แค่สอนความรู้ แต่สอนให้เชื่อในตัวเองด้วย

ใช่ ปิ่นเรียกมันว่าการบริหารพรสวรรค์ 

จากที่ปิ่นเคยสอนมา นอกจากจะสอนความรู้ Know-How ให้ศิลปินรู้สึกว่าเขาเก่งขึ้น ปิ่นพบว่าตัวนักเรียนแต่ละคนมีโจทย์ที่ต่างกันหมดเลย หลังจากนั่งคิดวิเคราะห์จริงๆ ว่าธุรกิจของปิ่นทำอะไร งานของปิ่นมันคือการบริหารพรสวรรค์ของคน เป็นการดึงศักยภาพของเขาออกมาให้มากที่สุด ทำให้เขาเก่งขึ้นไปอีก

กรณีที่ปิ่นเจอมีหลายแบบ อย่างแรกคือคนที่เก่งแต่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เขารู้สึกว่าเขาน่าจะไปได้อีก มีสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นอยู่ 2 อย่าง คือโดนด่าจนช้ำจนเสียกำลังใจและสงสัยตัวเอง หรืออาจไม่เคยมีใครบอกตรงๆ ว่าเขาควรพัฒนาต่อตรงจุดไหน ซึ่งการไม่พูดตรงๆ กับคนที่เก่งจะทำให้เขาสูญเสียพรสวรรค์ของเขาไป สิ่งที่เราต้องทำคือสนับสนุนเขาให้ตรงจุด ให้โจทย์เขาแบบค่อยเป็นค่อยไป ง่ายบ้าง ยากบ้าง ทำให้เขามั่นใจมากขึ้น

กรณีที่ 2 คือคนที่ทำเก่งหมดทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเก่ง ทำให้คนรอบข้างคาดหวังและกดดันเขา คนแบบนี้จะมีความรู้สึกหลงทางอยู่ในใจว่าเขาทำทำไม เขาไม่มีเป้าหมาย และเบื่อง่าย เคสนี้หนทางแก้ไขคือจะไม่ยัดความรู้ให้เขา แต่จะเปิดคอร์สการเรียนรู้ใหม่ๆ เช่น การฟังเพลงแบบใหม่ เรียนรายละเอียดการร้องแบบอื่นๆ ที่จะทำให้เขาออกจากกรอบความเก่งของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้เขาเจอความท้าทายใหม่ และจะทำให้เขาเจอเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น เป็นจุดที่ทำให้เขาเปล่งประกาย 

กรณีที่ 3 คือคนที่มีพรสวรรค์แต่มีความมั่นใจมากเกินไป ปิ่นเข้าใจคนที่มีอีโก้ดี (หัวเราะ) เพราะเขาจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรแล้วดี ซึ่งหากเราเจอคนประเภทนี้อาจจะทำให้ทำงานด้วยกันยาก วิธีแก้ไขคือ เราจะไม่มาคุยกันในเรื่องที่เราต่างคนต่างรู้อยู่แล้ว แต่เราจะซัพพอร์ตเขาทางความรู้สึก รับฟัง และให้กำลังใจกับเขา วิธีนี้จะทำให้คนที่เป็นเหมือนน้ำเต็มแก้วเขาลดระดับน้ำของตัวเองลงมา และทำให้เขาที่เก่งอยู่แล้วมีแรงบันดาลใจว่าเขาจะทำให้เก่งขึ้นได้

การจำแนกคนเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการใช้เสียงเท่านั้น แต่ช่วยเป็นหลักคิดในการใช้ชีวิตได้เลย และมันจะแสดงออกมาทางเสียงนั่นแหละว่าเขามีพัฒนาการหรือเปล่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลักการบริหารพรสวรรค์ของปิ่นจะเน้นให้ทุกคน win-win กันทุกฝ่าย ทั้งค่ายเพลง นักเรียน และปิ่นเอง โดยปิ่นเน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุด ค่ายก็จะได้ตามที่หวัง ศิลปินแก้ปัญหาได้และรู้ว่าเขาพัฒนาต่อยังไง  ปิ่นเองก็จะได้รับความไว้วางใจจากค่ายและศิลปินด้วย

คุณดูเป็นนักธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจด้วยแพสชั่น มีจุดไหนที่รู้สึกว่าแพสชั่นหมด เหนื่อยจนไม่อยากสู้ต่อบ้างไหม

เยอะค่ะ จุดที่ท้อบ่อยมากๆ คือโดนดูถูก ด้อยค่าอาชีพ อาจจะไม่มีใครตั้งใจดูถูกด้วยซ้ำ แต่ปิ่นรู้ว่ามันมีไวบ์แบบนั้นอยู่ เช่น การถามว่าเป็นนักร้องโอเปร่าเหรอ ร้องที่ไหนล่ะ หรือถามว่าเป็นครูเหรอ ร้องเพี้ยนสอนได้ไหมอะ เพลงอิ๊ง วรันธร ร้องยากไหม ซึ่งจริงๆ ปิ่นทำมากกว่านั้นเยอะมากๆ 

ปิ่นมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทดสอบจิตใจ ทำให้เราท้อได้ง่าย แต่ถ้าท้อปุ๊บคือร่วงเลย ถ้าเราไม่ท้อ ทำไปเรื่อยๆ แล้วรู้ว่า position และคุณค่าของเราอยู่ตรงไหน สุดท้ายลูกค้าจะรู้ว่าเราทำอะไร ผลงานของเราจะส่งเสริมเขาได้อย่างไร สุดท้ายมันก็จะกลับมาเป็นแง่บวกกับปิ่นอยู่ดี 

ทักษะสำคัญที่คุณใช้ในการบริหารธุรกิจคืออะไร

การพูดคุยและการต่อรอง หนึ่งวันพันเหตุการณ์ ปิ่นดูแลเด็กเป็นร้อย ผู้ปกครองและคนในค่ายอีก ปิ่นทำงานกับคนตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการรู้ position ของตัวเอง และกลับมาแก้ไขปัญหาในสถานกาณณ์ต่างๆ ให้ได้ ปิ่นเรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะปิ่นเคยเห็นหัวหน้าห้องและเด็กกิจกรรม เลยอาจจะสั่งสมมากค่อนข้างเยอะ 

อีกคนที่มีอิทธิพลมากคือคุณพ่อ พ่อของปิ่นเป็นนักธุรกิจ เขาจะสอนเราตลอดไม่ให้เอาเปรียบใคร แต่ก็อย่าให้ใครมาเอาเปรียบเรา เราเลยมีความนักสู้ในตัวตลอด

มีบทเรียนสำคัญอะไรที่คุณได้เรียนรู้จากการเปลี่ยนหมวกศิลปินมาเป็นนักธุรกิจบ้างไหม

จริงๆ ได้มาจากคุณพ่อเหมือนกัน คุณพ่อบอกบ่อยๆ ให้กล้าลองทำอะไรใหม่ๆ และไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ชีวิตของคนเราสั้นมาก บางครั้งถึงจะมีเงิน ก็ไม่สำคัญเท่าโอกาสที่อยู่ตรงหน้า อะไรที่คิดว่าทำไม่ได้ มันเป็นไปได้นะ แค่ลงมือทำ

คุณพ่อชอบบอกว่าถ้าไม่ทำแล้วจะรู้ไหม แค่นั้นเลยจริงๆ เราลองทำออกมาก่อน ลองก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเองก่อน สุดท้ายผลก็จะตอบกลับมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

อย่างปิ่นเองเป็นนักดนตรีมาตลอด พอก้าวออกมาจากคอมฟอร์ตโซนแล้วมันจะมีจุดที่เราดันเพดานตัวเองไปเรื่อยๆ สิ่งที่ได้เรียนรู้คือทำไปเถอะ เพราะถ้าไม่ทำ คนก็จะไม่เห็น ปิ่นว่านี่คือเรื่องสำคัญ