จาก “ธุรกิจครอบครัว” สู่ “ครอบครัวนักธุรกิจ” ปลุกปั้นแบรนด์สู่ความสำเร็จระดับโลก

ความพิเศษและน่าสนใจของงาน THE WISDOM GALA DINNER โดย เดอะวิสดอมกสิกรไทย คือ เรื่องราวจากรุ่นบุกเบิกสู่การปลุกปั้นต่อยอดธุรกิจ จนกลายเป็น Legacy แบรนด์ธุรกิจระดับตำนานของโลก ซึ่งตลอดเส้นทางล้วนผ่านการบ่มเพาะ สั่งสมประสบการณ์ รวมถึง Passion จากรุ่นสู่รุ่นในหลากหลายมิติ จนตกผลึกเป็น WISDOM ที่ใช้ทั้งในการบริหารธุรกิจ การทำงาน และการใช้ชีวิต และพร้อมที่ส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไปที่จะมารับช่วงในโลกธุรกิจ

เริ่มต้นความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยความสนุกและน่าติดตามอย่างมากคือ Exclusive Talk Show โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เจ้าของรายการ 8 Minute History กับเรื่องเล่าน่าสนใจและแนวคิดล้ำค่าของการสร้างและส่งต่ออาณาจักรธุรกิจครอบครัวที่เป็นแบรนด์ดังและตระกูลดังระดับโลกและไฮไลต์ที่สำคัญคือ คู่พี่น้องจากครอบครัวสุโกศล คือ คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี และ คุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์  กับเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในการบริหารธุรกิจโรงแรมของครอบครัว ผสานกันกับ Passion ของสมาชิกครอบครัวที่มีจุดเด่นแตกต่างกัน เป็น Passion ที่มีเป้าหมายชัดเจน และผ่านวันเวลาของการบ่มเพาะสั่งสมประสบการณ์ หนึ่งบทพิสูจน์ที่สำคัญคือ ความสำเร็จระดับโลกของโรงแรม THE SIAM ที่ได้รับรางวัล 1 ใน 50 โรงแรมที่ดีที่สุดของโลก และรางวัลกุญแจมิชลิน 3 ดอก ซึ่งเป็นรางวัลระดับสูงสุดของมิชลิน ไกด์

คอนเซปต์จากรุ่นสู่รุ่น ได้ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงเพราะๆ ที่เป็นโชว์พิเศษจากศิลปินระดับประเทศ พร้อมกับเมนูอาหารที่เป็นการคิดสร้างสรรค์ร่วมกันของเชฟระดับมิชลินที่เชี่ยวชาญอาหารต่างสไตล์ ต่างรุ่น เพื่อมอบความพิเศษและความประทับใจให้กับแขกคนสำคัญของเดอะวิสดอมกสิกรไทย 

Exclusive Talk: Legacy Beyond Boundaries
ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สู่อาณาจักรธุรกิจแบรนด์ดังระดับโลก โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

วัฒนธรรมตะวันออกมักเน้นการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว แต่ธุรกิจครอบครัว ไม่ได้มีแค่ในเอเชียเท่านั้น ทอล์กโชว์พิเศษของ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ได้ยกตัวอย่างเคสธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่หลายแห่งทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกที่แสดงให้เห็นการเติบโตแผ่กิ่งก้านของธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นอาณาจักรของแบรนด์ใหญ่ระดับโลกเกิดขึ้นทั่วโลก ทุกภูมิภาค โดยมีรูปแบบการบริหารที่แตกต่างกัน

ในเอเชีย Samsung เป็นตัวอย่างธุรกิจครอบครัวจากเกาหลีที่เริ่มต้นจากการทำปลาแห้ง ขยายมาทำอุตสาหกรรมขนส่ง โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ จนเติบโตมาทำอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว ซึ่งถือเป็นการส่งต่อธุรกิจที่มีความไดนามิกสูง ในขณะที่อินเดียก็เป็นประเทศที่ทุกวงการเต็มไปด้วยการส่งต่อและขยายธุรกิจครอบครัวให้เจริญเติบโต โดยท็อป 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียเป็นธุรกิจครอบครัวเกือบทั้งหมดและตระกูล Ambani ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของอินเดียก็ยังคงเป็นธุรกิจครอบครัว

หากพูดถึงตระกูลดังที่ทำธุรกิจครอบครัวในโซนยุโรป ดร. วิทย์ เล่าถึง เครือ LVHM ของ Bernard Arnault มหาเศรษฐีและเป็นเจ้าของอาณาจักรของแบรนด์ลักชูรีระดับโลก ปัจจุบันเขาได้แบ่งบทบาทหน้าที่การบริหารธุรกิจให้กับลูกทั้ง  5 คนอย่างชัดเจน ในขณะที่ธุรกิจบางแห่งทายาทมีความรักและความผูกพันกับธุรกิจที่บรรพบุรุษสร้างตำนานไว้ โดยยังคงเป็นเจ้าของกิจการและสามารถสืบทอดกิจการส่งต่อมาหลายรุ่น ตัวอย่างเด่นชัดคือ ‘Hermès’ เป็นธุรกิจครอบครัวที่ผ่านการบริหารงานจากลูกหลานมาแล้วถึง 6 รุ่น จากจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1837 เป็นธุรกิจผลิตอานม้าและบังเหียน ที่ได้รับความนิยมในหมู่ราชวงศ์และชนชั้นสูงในฝรั่งเศส

ส่วนแบรนด์ CHANEL ยังคงธุรกิจในรูปแบบบริษัทเอกชนที่ไม่ได้อยู่ในเครือแบรนด์แฟชั่นนับตั้งแต่ Coco Chanel ก่อตั้งร่วมกับ Pierre Wertheimer ซึ่งเป็นปู่ของ Gerard Wertheimer ทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัวและเขายังคงสถานะเป็นเจ้าของแบรนด์ CHANEL ในปัจจุบัน ในขณะที่แบรนด์นาฬิกาหรู Panerai ที่มีจุดเริ่มต้นในเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี ผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพเรือ ได้เปลี่ยนผ่านธุรกิจมาอยู่ในการบริหารของกลุ่ม Richemont สวิตเซอร์แลนด์ นอกเหนือจากธุรกิจแฟชั่นแล้วยุโรปยังมีตระกูลดังอย่างครอบครัว Quandt ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BMW แบรนด์รถสัญชาติเยอรมันที่ส่งต่อธุรกิจมาถึง 4 เจเนอเรชั่นแล้ว

ดร.วิทย์ ได้เล่าถึงความน่าสนใจของธุรกิจครอบครัวในอิตาลีว่า ธุรกิจครอบครัวในอิตาลีส่วนใหญ่ มีความรักในธุรกิจที่บรรพบุรุษสร้างและสืบทอดต่อกันมา และไม่ต้องการให้มีผู้ถือหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์หรู Molteni ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่รุ่นคุณปู่ Angelo และ Giuseppina Molteni ในปี ค.ศ. 1934 จนมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 ในปัจจุบันที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์งานฝีมือประณีตของบรรพบุรุษเอาไว้ เช่นเดียวกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์หรู GECCI ซึ่งดำเนินธุรกิจมาถึงรุ่นที่ 3 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานมาสเตอร์พีซของต้นตระกูลผสมผสานกับความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น

ในขณะที่แบรนด์อุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ติดอันดับโลกในปัจจุบัน มีหลายแบรนด์ที่ขยายอาณาจักรธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยฝีมือการบริหารของทายาทรุ่นปัจจุบัน เช่น Roche บริษัทผลิตยา เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยีชีวภาพใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ และมีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก จากผู้ก่อตั้ง Fritz Hoffmann-La Roche มาสู่การบริหารในยุคของทายาทรุ่นที่ 5 ในปัจจุบัน

กลุ่มบริษัท Boehringer Ingelheim เยอรมัน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1885 โดย Albert Boehringer สามารถขยายธุรกิจจนก้าวขึ้นสู่ 1 ใน 20 อันดับของอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ระดับโลก ยืนหยัดธุรกิจมาได้กว่า 130 ปี เป็นธุรกิจเอกชนที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยธุรกิจยังคงอยู่ภายใต้การบริหารของครอบครัว Boehringer Von Baumbach

ส่วนแบรนด์ Tetra Pak ของสวีเดนที่เริ่มต้นธุรกิจโดย Ruben Rausing คิดค้นนวัตกรรมในกระบวนการผลิต การบรรจุ และบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มและขยายธุรกิจจนก้าวสู่เจนเนอเรชันที่ 4  

ดร.วิทย์ ปิดท้ายว่า การส่งต่อธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นจึงมีมิติมากมาย ทั้งการวางแผนส่งต่อให้กับทายาทธุรกิจ ความพยายามมุ่งมั่น เพื่อสานต่อความมั่นคงให้กับธุรกิจ ในขณะเดียวกัน การดำเนินการเหล่านั้นต้องได้รับแรงสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการวางแผนลงทุนเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

PASSION DRIVEN SUCCESSION
ความรักและความภูมิใจในธุรกิจของครอบครัว “สุโกศล” สู่การบริหารโรงแรม ติดอันดับ The World’s 50 Best Hotels 2024

ในไทยครอบครัวสุโกศลเป็นครอบครัวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในการบริหารธุรกิจโรงแรมผสานกันกับ Passion ของสมาชิกครอบครัวที่มีจุดเด่นแตกต่างกันและประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย อีกไฮไลท์สำคัญในงานกาล่าค่ำคืนนี้คือ การเล่าประสบการณ์ในการส่งต่อ legacy ของครอบครัวสุโกศล โดย คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี และคุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์

คุณมาริสากล่าวว่าแพสชั่นในการทำธุรกิจโรงแรมไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาผ่านการทุ่มเทกับงาน อุทิศตัวให้ธุรกิจผ่านวิกฤตนับครั้งไม่ถ้วนจนสิ่งที่ลงแรงไปผลิดอกออกผลจนเกิดความภาคภูมิใจที่แปรเปลี่ยน เป็นแพสชั่นได้ในที่สุด

นอกจากความอุตสาหะแล้ว ปรัชญาในการบริหารโรงแรมที่ครอบครัวสุโกศลยึดมั่นตลอดมาคือ ‘We serve from the heart.’ หรือการบริการที่สัมผัสใจลูกค้าให้ได้ มีเซอร์วิสที่แข็งแกร่ง และถ่ายทอดปรัชญานี้ให้พนักงานมีความเชื่อในการบริการลูกค้าแบบเดียวกันจนทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอยู่เสมอ
ตอนนี้โรงแรมเดอะ สยาม กำลังจะเปิดอีกสาขาที่เชียงใหม่ ซึ่งคุณกฤษดาบอกว่าเวลาเริ่มทำสิ่งใหม่แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “Why do you know this is gonna work?” คำตอบง่ายๆ คือประโยคในหนัง The Matrix ที่ตอบว่า “Because it’s never been done before.” หรือ สิ่งนี้จะสำเร็จได้ ก็เพราะสิ่งนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยล่าสุด โรงแรม THE SIAM ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ในโรงแรมที่ดีที่สุด 50 แห่งทั่วโลก ประจำปี 2024 ของ ‘THE WORLD’S 50 BEST HOTELS 2024’ และเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และรางวัลกุญแจมิชลิน 3 ดอก ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของ Michelin Guide เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จระดับโลกจากการบริหารของครอบครัวสุโกศล ตลอด 50 ปีที่ทำธุรกิจมา เครือโรงแรมสุโกศลจึงมีการรีโนเวตตกแต่งโรงแรมตลอด เพื่อให้โรงแรมมีเอกลักษณ์และความเป็นออริจินัลที่ไม่เหมือนใคร

เคล็ดลับในการสานสัมพันธ์ของตระกูลสุโกศล คือ ความเชื่อว่าพื้นฐานของครอบครัวเกิดจากความรัก ธุรกิจที่ครอบครัวรักกัน มีความเข้าใจและยอมรับในกันและกันว่าใครมีจุดอ่อนกับจุดแข็งตรงไหน จะทำให้ธุรกิจเกิดผลงอกงาม เปิดโอกาสให้รุ่นหลานเข้ามาริเริ่มทำโปรเจกต์เล็กๆ แล้วรับฟังคนรุ่นใหม่เยอะๆ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ทายาทรุ่นต่อไปก็จะเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองจากการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง

สิ่งสำคัญคือ ทุกคนควรมี Sense of Purpose ในชีวิตตัวเองและรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจในฐานะธุรกิจครอบครัวหรือสมาชิกครอบครัวเท่านั้น แต่สมาชิกครอบครัวทุกคนควรรู้ถึงคุณค่าของงานและสิ่งที่ให้ความสำคัญในชีวิตในแบบของตัวเอง โดยครอบครัวสุโกศลที่เห็นตรงกันว่า การหาความสุขกับงานที่ทำสำคัญกว่าการเร่งทำธุรกิจให้เติบโตสูง จึงเลือกไม่นำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่สร้างความสำเร็จในแบบของตัวเอง

แง่มุมข้อคิดต่างๆ ของครอบครัว “สุโกศล” ที่ทุกคนบ่มเพาะความสัมพันธ์กันมาชั่วชีวิต จนเกิดเป็นความไว้ใจ สิ่งที่มีอยู่เต็มหัวใจในวันนี้ของครอบครัวสุโกศลคือ ความรักและความภูมิใจในธุรกิจของครอบครัว สวมหัวใจของนักบริหาร ผสานเข้ากับความเป็นศิลปิน เป็น “ครอบครัวนักธุรกิจ” ที่ประสบความสำเร็จ

Exclusive Fine Dining
เมนูอาหารที่รังสรรค์ร่วมกันของเชฟมิชลินสตาร์ จาก Chim by Siam Wisdom และ Le Du

ความพิเศษในงาน THE WISDOM GALA DINNER ครั้งนี้คือการเสิร์ฟเมนูอาหารที่สร้างสรรค์โดย 2 เชฟต่างรุ่น ต่างสไตล์อาหาร ได้แก่ เชฟหนุ่ม–ธนินธร จันทรวรรณ แห่ง Chim by Siam WISDOM เชฟรางวัลมิชลินสตาร์ 7 ปีซ้อนผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยโบราณ และเชฟต้น–ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร แห่ง Le Du เจ้าของรางวัลลำดับที่ 4 Asia’s 50 Best Restaurants และเชฟมิชลินสตาร์ 5 ปีซ้อนผู้ถนัดอาหารไทยสไตล์โมเดิร์น

เมนูเด็ดในค่ำคืนนี้จึงเป็นอาหารไทยโบราณสูตรประยุกต์ที่นำเสนอจานในรูปแบบสร้างสรรค์และรสชาติแปลก ใหม่ สอดแทรกรสจัดจ้าน ซับซ้อนแบบอาหารไทยและปรุงด้วยเทคนิคการทำอาหารแบบใหม่ ตั้งแต่เมนูเรียกน้ำย่อย ได้แก่ แสร้งว่ากุ้งแม่น้ำย่าง อกเป็ดลาบเมือง จานอาหารหลักทั้งแกงปูใบชะพลู ปลาหิมะย่างขมิ้น ข้าวสองแผ่นดิน ต้มส้มขาหมูแบบโบราณ และของหวานไทยคือสาคูมะพร้าวอ่อน และไอศครีมน้ำตาลมะพร้าว เรียกได้ว่าเป็น legend menu ที่ครีเอตสำหรับค่ำคืนงานกาล่าจากสองเชฟโดยเฉพาะ

Exclusive Show
ดื่มด่ำกับบทเพลงไพเราะจากศิลปินระดับประเทศ

งานกาล่าครั้งนี้ได้รับเกียรติจากทั้งคุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี และคุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์ ร่วมขับร้องกับศิลปินชั้นนำของประเทศ ได้แก่ คุณป๊อด–ธนชัย อุชชิน, คุณไอซ์–พาริส อินทรโกมาลย์สุต, คุณน้ำมนต์ ธีรนัยน์ ณ หนองคาย และคุณแก้ม–วิชญาณี เปียกลิ่น ที่มาร่วมแสดงโชว์พิเศษให้เป็นค่ำคืนอันน่าจดจำ

นอกจากทำธุรกิจแล้ว ครอบครัวสุโกศลยังมีบทบาทที่ชื่นชอบส่วนตัวคือการเป็นศิลปินนักร้อง หลายคนจะรู้จักคุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในนาม ‘น้อย วงพรู’ โดยคุณมาริสาเล่าว่า ตัวเธอเองก็เคยมีความฝันอยากเป็นนักร้องและคุณแม่ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโรงแรมก็ใช้ เทคนิคการขายโรงแรมเป็นการร้องเพลงในสมัยที่ยังไม่มีออนไลน์บุ๊กกิ้งช่วยจองโรงแรม จนทุกวันนี้ครอบครัวสุโกศลมีธรรมเนียมจัดคอนเสิร์ตการกุศลทุกปีจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของครอบครัวไปแล้ว

บทเพลงที่ขับขานจากแพสชั่นการร้องเพลงที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น โดย คุณมาริสา สุโกศล และคุณกฤษดา ในค่ำคืนนี้ จุดประกายมุมมองเด่ดชัดว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ทั้งธุรกิจหรืองานอดิเรก สิ่งสำคัญคือ Enjoyment หรือความสนุกในการลงมือทำ ผสานกับ Passion หาจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วลงมือทำต่อเนื่อง 

“อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” 

ปิดท้ายด้วย WISDOM กับบทเพลง Live and Learn ในตำนานของคุณกมลา สุโกศล ที่ส่งพลังเสียงร้องร่วมกันโดย คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี, คุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์, ร่วมขับร้องกับศิลปินชั้นนำของประเทศ ได้แก่ คุณป๊อด–ธนชัย อุชชิน, คุณไอซ์–พาริส อินทรโกมาลย์สุต, คุณน้ำมนต์ ธีรนัยน์ ณ หนองคาย และคุณแก้ม–วิชญาณี เปียกลิ่น

แปลงโฉมสมุดนักเรียนลายไทยให้ไฉไลโดย ‘โรงงานสมุดโกญจนาท’ ที่ขายส่งสมุดกว่า 40 ปี 

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ‘สมุดลายไทย’ ที่คนไทยคุ้นชินกันตั้งแต่สมัยเด็กและพบเห็นได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไปก็มีหน้าตาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

เป็นสินค้าราคาย่อมเยาที่ทุกโรงงานสมุดในไทยต่างกำหนดสเปกการผลิตเหมือนกันหมดทั้งแพตเทิร์นลายไทยที่หน้าปกและตารางสูตรคูณที่ปกหลัง

เป็นสมุดในความทรงจำร่วมของคนหลายเจเนอเรชั่นและคนไทยทุกจังหวัดเพราะเริ่มผลิตมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยที่อุตสาหกรรมการผลิตสมุดในไทยเฟื่องฟูอย่างมากและขายส่งให้ยี่ปั๊วตามต่างจังหวัดทั่วไทย

วันนี้มีโรงงานไทยเจ้าแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาแปลงโฉมหน้าตาสมุดลายไทยเจ้าเก่านี้คือ ‘โรงงานสมุดโกญจนาท’ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวโดย ออย–ชาติพร หวังไพสิฐ ผู้ก่อตั้งโรงงาน, ดวง–นพธาร หวังไพสิฐ ทายาทรุ่น 2 ผู้รับหน้าที่เป็นผู้บริหารโรงงาน, มิน–ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ ทายาทรุ่น 3 ผู้ควบตำแหน่ง Art director, Product designer, Marketing manager และแปลงโฉมสมุดลายไทยให้ไฉไล  

เบื้องหลังการพลิกภาพจำสินค้านี้ ทั้งสามคนจะมาเล่าให้ฟังว่าส่งต่อธุรกิจที่เก่าแก่จากรุ่นสู่รุ่นอย่างไร ออกแบบสมุดยังไงให้คงความเป็นไทยและโดนใจคนรุ่นใหม่ และทำไมถึงยังคงตั้งใจชูสินค้าของคนไทยและคงเอกลักษณ์ไทยแม้จะเผชิญการดิสรัปต์ในธุรกิจไม่ต่างจากโรงงานในอุตสาหกรรมอื่นเลยก็ตาม

Life Wisdom
ตำราสร้างโรงงานสมุด

โรงงานสมุดโกญจนาทก่อตั้งขึ้นช่วง พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นยุคที่ธุรกิจขายส่งสมุดราคาถูกกำลังรุ่งเรืองและได้รับความนิยมอย่างมาก ออมทำงานอยู่ในวงการสมุดมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการทำงานโดยก่อนที่จะสร้างโรงงานของตัวเอง เธอเคยรับจ้างทำงานในโรงงานสมุดของบริษัทอื่นมาก่อนเป็นเวลาสิบปี ซึ่งในช่วงนั้นได้ฝึกทักษะต่างๆ เช่น การนำกระดาษสมุดเข้าเครื่อง การขีดเส้นสมุดด้วยหมึก  

ออยเล่าว่าสามีของเธอก็รับหลายหน้าที่ในโรงงานสมุดเช่นกัน ตั้งแต่ดูแลการผลิต การขาย ขนส่ง ทำให้เชี่ยวชาญการดูแลโรงงานสมุดตั้งแต่ต้นจนจบ “พอเราเห็นกระบวนการผลิตเหล่านี้ ก็อยากทำให้เป็น ตอนพักเที่ยงก็มักจะรีบกินข้าวและไปหัดทำ”

ความใฝ่รู้ทำให้ออยศึกษาศาสตร์การผลิตสมุดจนกลายเป็นต้นทุนวิชาความรู้ในการทำธุรกิจ เมื่อถึงวันที่สร้างครอบครัวและมีลูก เธอรู้สึกว่าเงินเดือนไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่าย จึงตัดสินใจออกมาตั้งโรงงานเล็กๆ ของตัวเองร่วมกับสามี

Page 1 ของเส้นทางผู้ประกอบการที่สร้างโรงงานด้วยตัวเองจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยประการนี้ “ตอนนั้นเป็นตึกแถว 2 ชั้นห้องเดียว มีพนักงานอยู่แค่ 2-3 คน ซื้อเครื่องจักรมือสองเก่าๆ มาอย่างละตัวสองตัว เครื่องตัดกระดาษตัวหนึ่งและเครื่องขีดกระดาษอีกตัวหนึ่ง ตัวเราเองก็ลงไปช่วยพนักงานทำงานทุกอย่าง ช่วยนับกระดาษ เข้าเล่ม เย็บสมุด ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทีละนิด” 

ทั้งเธอและสามีลงมือทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต ขายของ ส่งของ ไปจนถึงสอนพนักงานให้ใช้เครื่องจักรจนชำนาญ ปัจจุบันโรงงานมีพนักงานที่ทำงานมาเกิน 20 ปีแล้ว และค่อยๆ ขยับขยายกำลังการผลิตทั้งในแง่ของพนักงานและเครื่องจักร

ดวงผู้รับช่วงการบริหารโรงงานจากคุณแม่เล่าต่อว่าโรงงานสมุดโกญจนาทเป็นโรงงานขนาดเล็กที่ยึดกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมมาตลอด กล่าวได้ว่า 40 ปีที่แล้วเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็ยังผลิตแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย โดยใช้คนกำกับเครื่องจักรและผสมผสานกับขั้นตอนการทำด้วยมือ

ในแต่ละขั้นตอนมีช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ตั้งแต่ช่างนับกระดาษ ซึ่งต้องฝึกทักษะการนับจำนวนกระดาษด้วยมือมาหลายสิบปี โดยจำนวนกระดาษในสมุดแต่ละรุ่นจะมีตั้งแต่รุ่นบางสุด 8 แผ่น ไปจนถึงรุ่นหนาสุดที่ 80 แผ่น ช่างเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญและไม่ใช่ทุกคนที่จะทำหน้าที่นี้แทนได้

“แม้กระทั่งเครื่องขีดเส้น ก็ต้องใช้ฝีมือ” ดวงกล่าว “ทุกเส้นต้องใช้ทักษะของช่างในการตั้งเข็มเพื่อขีดเส้นให้เรียบร้อย” กระบวนการผลิตจึงต้องมีช่างเฉพาะทางประจำที่เครื่องจักรแต่ละประเภทตั้งแต่เครื่องตัด เครื่องขีด เครื่องเย็บ หลังจากใช้เครื่องจักรขีดเส้นตามประเภทของสมุดแต่ละรุ่น ทั้งสมุดพก สมุดกราฟ สมุดนักเรียน ก็จะเข้าสู่กระบวนการเข้าเล่มโดยเย็บแบบมุงหลังคาด้วยมือ  

เนื่องจากโรงงานสมุดโกญจนาทไม่ใช่โรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดจึงยังคงรักษาขั้นตอนการผลิตโดยพนักงานไว้เพื่อให้ส่งต่องานได้ง่ายและเหมาะสมกับรูปแบบการทำงานของโรงงาน ความเชี่ยวชาญของโรงงานจึงเป็นการเข้าเล่มและส่งหน้าปกสมุดให้โรงพิมพ์ผลิตตามแบบอีกต่อ

สมุดลายไทยโดยคนไทย 

สมุดลายไทยสำหรับใช้ในโรงเรียนถือเป็นสินค้าซิกเนเจอร์ของโรงงานสมุดโกญจนาทที่ผลิตมาต่อเนื่องกว่า 40 ปี โดยโรงงานทุกเจ้าจะผลิตสมุดลายไทยนี้ในรูปแบบเดียวกันหมด คือปกหน้าเป็นลายไทย ส่วนปกหลังเป็นสูตรคูณ

นอกเหนือจากสมุดนักเรียนแล้ว โรงงานยังผลิตสมุด 8 แผ่นสำหรับการทำบุญในงานผ้าป่าและพิธีกรรมต่างๆ อีกทั้งยังเพิ่มหมวดสินค้าทั้งสมุดจดบันทึก สมุดพก และสมุดวาดเขียนในเวลาต่อมา โดยเน้นการขายในราคาย่อมเยาที่ราคา 2-20 บาทตั้งแต่ยุคก่อตั้งโรงงาน และปัจจุบันราคาก็ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 3-24 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ราคาขายส่งจะปรับไปตามปริมาณออร์เดอร์ที่สั่งผลิตของลูกค้าแต่ละรายเล็กน้อย

โมเดลธุรกิจของโรงงานสมุดที่ราคาถูกแสนถูกเช่นนี้เน้นการขายส่งในกรุงเทพฯ ผ่านยี่ปั๊ว ซึ่งจะนำสมุดไปขายต่อในต่างจังหวัดอีกทีและหาลูกค้าของโรงงานจากคอนเนกชั่นที่สั่งสมจากประสบการณ์ในวงการโรงงานสมุดมาก่อนหน้านี้ ออยได้แชร์ประสบการณ์การสร้างโรงงานของตนเองว่าเป็นงานที่ยากและท้าทายมาก

“มันเหนื่อยมากและต้องใช้ความอดทนสูง สมัยก่อนทำงานกันถึง 3 ทุ่ม มีโอทีทุกวันเลย ไม่เคยหยุดเพราะยุคก่อนลูกค้าสั่งเยอะและชอบซื้อสต็อกไว้ครั้งละเยอะๆ” เธอกล่าวเสริมว่าโรงงานขายดีจนต้องใช้รถสิบล้อในการขนส่งสมุดเป็นประจำ มินแชร์ว่าพอถึงยุคของทายาทรุ่นที่ 3 ก็พบกับอุปสรรคที่เกิดจากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดตามยุคสมัยอย่างชัดเจน

“จากวันที่เคยขายดีมาก มาถึงวันนี้เรากลับอยู่ในจุดที่ขายแย่มาก รายได้จากการขายส่งลดลงอย่างมาก เพราะคนใช้สมุดน้อยลงกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว อีกทั้งเราเป็นโรงงานที่ยังคงใช้การผลิตด้วยมือแบบดั้งเดิมในขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีต้นทุนที่ถูกกว่า ทำให้สามารถขายส่งได้ในราคาที่ต่ำกว่าเรา การแข่งขันจึงยากขึ้นไปอีก แถมยังมีสมุดราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาขายแข่งในไทยตั้งนานแล้ว”

“ในวงการผลิตสมุดก็มีการตั้งคำถามกันอยู่เสมอว่าธุรกิจนี้จะไปรอดไหม ทำไมเราไม่เลือกซื้อสมุดจากจีนแล้วนำมาขายต่อแทนที่จะผลิตเอง แต่เราก็ยังยืนหยัดที่จะผลิตเองต่อไป เพราะถามว่าคนจีนจะสามารถผลิตสมุดลายไทยแบบนี้ได้ไหม ก็คงไม่ เราเข้าใจการใช้สมุดของคนไทยมากที่สุด เพราะตัวเราเองก็เคยเรียนหนังสือในประเทศนี้มาก่อน” 

“แม้สมุดจะเป็นสินค้าที่มีต้นทุนต่ำและดูเหมือนจะไม่มีมูลค่าเพราะสินค้าจากจีนเข้ามาทดแทนได้ง่ายมาก โรงงานที่ผลิตสมุดแบบนี้ก็เหลือน้อยลงทุกที แต่สิ่งหนึ่งที่เรายังคงยึดมั่นเป็นจุดขายของเรา คือสมุดของเราผลิตด้วยมือของคนไทยจริงๆ และพนักงานทุกคนของเราก็เป็นคนไทย”

Business Wisdom
ออกแบบลายไทยร่วมสมัย

จุดเปลี่ยนของธุรกิจคือวันที่มินตั้งคำถามกับสมุดที่มีลายเดิม ผลิตรูปแบบเดิมมาตลอด 

“เราโตมากับโรงงานนี้ตั้งแต่เด็ก อยู่กับสมุดมาทั้งชีวิตแต่ไม่เคยอยากใช้สมุดของโรงงานตัวเองเลย เป็นสิ่งที่เราคิดมาตลอดว่าเวลาใช้สมุด เรายังไปซื้อสมุดจากที่อื่น ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยน”

ความตั้งใจของมินคืออยากทำให้สมุดลายไทยดูมีความมินิมอลมากขึ้นเพื่อให้โดนใจคนรุ่นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังซื้อใจคนรุ่นเก่าได้ จึงนำลายไทยโบราณมาใช้เป็นต้นแบบในการออกแบบทั้งลายโคมพวงแก้ว พิกุลกรอง เหลี่ยมเพชร ดาวกระจาย ราชวัตรดอกกลม เฉลวเพชร กุหลาบดอกจอก

“ตอนออกแบบเราไปค้นหา reference จากลายไทยที่มีอยู่แล้วในตำราแล้วก็ขึ้นโครงจากลายนั้น ทีนี้จะทำยังไงให้ดูโมเดิร์นขึ้น อย่างแรกคือพอลายดั้งเดิมมีขนาดเล็กเลยทำให้รู้สึกว่ามีดีเทลเยอะ ขัดกับความมินิมอล เราเลยขยายลายให้ใหญ่ขึ้นแล้วลดทอนให้เรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

“ศาสตร์ของลายไทยดั้งเดิมมีการขึ้นโครงสร้างจากเรขาคณิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น ลายสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน เราก็ยึดจากเรขาคณิตเหล่านี้ ตัดดีเทลดั้งเดิมบางอย่างออกและใส่ดีเทลใหม่เพิ่มเข้าไป อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยได้เยอะคือเรื่องสี เราพยายามจับคู่สีให้ถูกต้องตามสัดส่วนการใช้สีทำให้มองแล้วดูไปด้วยกันได้และใช้สีที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในงานลายไทยมาก่อนทำให้ดูมีความสมัยใหม่แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นไทย” 

จากปกหลังของสมุดที่แต่เดิมเป็นแม่สูตรคูณก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเป็น 8 วิชาที่ไม่เหมือนกัน เช่น ตาราง Tense ในวิชาภาษาอังกฤษ การใช้คำและวรรณยุกต์ในวิชาภาษาไทย สูตรทางคณิตศาสตร์ แผนที่ทางภูมิศาสตร์ในวิชาสังคม สัญลักษณ์การดูแลเสื้อผ้าในวิชาการงานอาชีพ สัญลักษณ์การอ่านโน้ตในวิชาดนตรี เป็นต้น 

ทั้งนี้เพราะมินรู้สึกว่า “สมุดที่มีสูตรคูณมันไม่เข้ากับสิ่งที่เราเรียนในโรงเรียน จึงอยากพลิกคอนเซปต์ใหม่ให้แตกต่างจากตลาด”

เคล็ดลับในการออกแบบแพตเทิร์นลายไทยให้ร่วมสมัยของมินคือเข้าใจผู้ใช้ “ความจริงการทำกราฟิกมันขึ้นอยู่กับรสนิยมเยอะพอสมควร เราต้องเข้าใจว่ามาตรฐานของงานประเภทนี้อยู่ที่ไหน รสนิยมและความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้สร้างงานกับคนเสพอยู่ตรงไหน เมื่องานที่เราสื่อสารออกไปถูกมองเห็นตรงกับสิ่งที่เราต้องการ งานนั้นก็จะเข้าถึงผู้คนได้

“มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ต้องเสพงานเยอะๆ ต้องเข้าใจคนและเห็นว่าเทรนด์ไปทางไหน มองเห็นว่าคนสนใจอะไรชอบอะไร เราฝึกทำกราฟิกมานานมากตั้งแต่ก่อนจะมาทำโรงงานนี้อีก พวกนี้มันเป็นหลายศาสตร์ผสมกันถึงจะออกมาเป็นแบบนี้ได้”

นอกจากลายหน้าปกแล้วมินยังปรับคุณภาพการผลิตให้เป๊ะมากขึ้น “เมื่อก่อนโรงงานเราใช้กระดาษเป็นเกรดที่ค่อนข้างถูก มันจะมีความสาก ตอนนี้เราเปลี่ยนให้เป็นกระดาษรุ่นที่แพงขึ้นมาซึ่งมีความนุ่มลื่นมากขึ้น เมื่อก่อนเส้นบรรทัดเราก็ไม่ได้ลงมาคุมคุณภาพขนาดนั้น ทำให้อาจจะมีเบี้ยวบ้าง ขาดช่วงบ้างนิดๆ หน่อยๆ เราก็ลงมาคุมคุณภาพใหม่ให้มีความสม่ำเสมอและสีเท่ากัน คุมการตัดให้มีความคมชัดและสวยงาม”  

จากขายส่งสู่ค้าปลีก 

สมุดลายไทยที่ออกแบบใหม่กลายเป็นสินค้าไวรัลในโลกโซเชียลทันทีหลังจากมินทวิตถึงคอนเซปต์การออกแบบใน Twitter โดยติดอันดับสินค้าขายดีใน Shopee และหลังจากนั้นโรงงานสมุดโกญจนาทก็หันมาค้าปลีกอย่างจริงจังมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้ง Lazada และ TikTok รวมถึงเปิดเพจเฟซบุ๊กเพื่อหาลูกค้าขายส่งเพิ่มเติมควบคู่กันไป  

มินบอกว่าการเพิ่มโมเดลธุรกิจจากขายส่งเท่านั้นตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีมาเป็นค้าปลีกนับเป็นการก้าวออกนอกคอมฟอร์ตโซนครั้งใหญ่สำหรับทุกคนในครอบครัว  

“สมัยก่อนหลักการของโรงงานเราคือการต่อต้านการขายปลีก เป็น motto ว่า ถ้าเราเป็นโรงงานผลิต เราก็จะขายส่งเท่านั้น เพื่อไม่ไปแย่งลูกค้ากับผู้ที่เอาสินค้าของเราไปขายต่อ” 

แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลที่ตัดสินใจเปลี่ยนเพราะเชื่อว่าวิธีใหม่จะช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ และถ้าไม่เปลี่ยนธุรกิจอาจอยู่ไม่ได้

“เราเชื่อว่ายังมีคนที่ต้องการสินค้าของเรา เราเพียงแค่ต้องไปตามหาเขาให้เจอ ซึ่งการขายปลีกของเราก็ไม่ใช่ช่องทางขายเดียวกับที่ลูกค้าขายส่งของเราวิ่งขายตามต่างจังหวัดหรือส่งผ่านสายส่ง เราเน้นขายออนไลน์ซึ่งเป็นตลาดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้สมุดลายไทยจะไวรัลในโซเชียล แต่ลูกค้าในโมเดลธุรกิจขายส่งยังคงสนใจสมุดลายไทยรุ่นเก่ารุ่นเดิม แม้โรงงานจะนำตัวอย่างไปเสนอถึงที่แล้วก็ตาม ทำให้เห็นได้ชัดว่าความชอบของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้ โรงงานจึงแยกการขายออกเป็น 2 แบบ คือการขายส่งและขายปลีก เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกัน ดวงกล่าวเสริมว่าการที่ได้พบกับลูกค้าปลายทางทำให้โรงงานได้ฟังคอมเมนต์และข้อเสนอแนะของผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ต่างจากสมัยขายส่งที่ไม่เคยได้รับฟีดแบ็กแบบนี้มาก่อน

นอกจากสมุดลายไทยแล้ว มินยังวางแผนขยายสินค้ากลุ่มใหม่อีกหลายรุ่น เช่น สมุดสำหรับคนทำงาน สมุด A5 และยังปรับดีไซน์สมุดในรุ่นอื่นๆ เช่น สมุดนักเรียนสีพาสเทลที่ออกแบบสีด้วยตัวเอง ทั้งนี้สำหรับสมุดลายการ์ตูนทั่วไปจะไม่ใช่ทุกรุ่นที่ออกแบบหน้าปกเอง เนื่องจากโรงงานมีปริมาณการผลิตเยอะมาก เพื่อให้สามารถผลิตทันรอบการผลิต สมุดบางรุ่นจะใช้วิธีเปลี่ยนดีไซน์ด้วยการซื้อภาพลิขสิทธิ์มาแล้วปรับแต่งอีกทีเพื่อนำเสนอลุคที่ทันสมัยและมินิมอลขึ้น

แม้การขายปลีกจะทำให้สมุดมีราคาสูงขึ้นเล็กน้อยแต่มินก็ทิ้งท้ายว่ายังคงความตั้งใจเดิมของโรงงานสมุดโกญจนาทตลอดมา 

“เราไม่ต้องการให้แบรนด์ของเราดูเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเกินไป เรายังชอบคอนเซปต์เดิมของโรงงาน คือการขายสินค้าที่ราคาถูกและเข้าถึงได้ ทุนในการผลิตสมุดก็ยังอยู่ในหลักสิบบาท เราจึงยังสามารถขายในราคาที่จับต้องได้ เพื่อให้คนอื่นสามารถซื้อได้เหมือนเดิม”

Editor’s Note : Wisdom from Conversation

เคล็ดลับการทำสมุดลายไทยให้โมเดิร์นในแบบของโรงงานสมุดโกญจนาทคือการกล้าฉีก legacy จากหน้ากระดาษแผ่นเก่าทิ้งและเขียนไอเดียใหม่ทับเข้าไป ทั้งการวางภาพจำว่าสมุดลายไทยต้องมีหน้าตาแบบนี้เท่านั้น ลายไทยต้องคงแพตเทิร์นแบบเดิมเท่านั้น และโมเดลธุรกิจต้องเป็นขายส่งเท่านั้น

Life Wisdom ของธุรกิจครอบครัวคือการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงโดยบาลานซ์ทั้งสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ไว้ ออกจากคอมฟอร์ตโซนในการค้าปลีกซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ แต่ก็ยังคงสานสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าในการขายส่ง ยึดแก่นคุณค่าที่ธุรกิจสร้างไว้ตั้งแต่ต้นคือการคงรากความเป็นแบรนด์ไทยและการเป็นโรงงานสมุดไทยที่ผลิตสินค้าราคาย่อมเยาตลอดมา 

ผู้บริโภคตัดสินใจได้เองจริงไหม ทำไมบางครั้งพ่ายให้การตลาดคนดัง แล้วผู้ประกอบการเรียนรู้อะไรได้บ้าง?

ข่าวสารบ้านเมืองที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจในช่วงนี้ คงหนีประเด็น The iCon Group ไปไม่ได้ เพราะนี่คือมหากาพย์ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนหลักหลายล้านบาท

ถ้าอ้างอิงตามเว็บไซต์ของบริษัทแล้ว The iCon Group คือบริษัทธุรกิจออนไลน์ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2561 เน้นขายของกลุ่มอาหารเสริมและความงาม โมเดลธุรกิจเน้นการจำหน่ายผ่านตัวแทน ที่เป็นประเด็นดังคือการดึงผู้บริโภคมากมายมาร่วมเป็นตัวแทน แต่หลายรายกลับขายของไม่ได้ และบางคนก็พบว่ารายได้ที่แม่ข่ายบอกว่าจะได้นั้นมาจากการชักชวนคนมากกว่า

อีกประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ยังคือการที่ The iCon Group เลือกใช้ดาราเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมาเป็นพรีเซนเตอร์ หรือที่เรียกกันว่า ‘บอส’ จนทำให้มีผู้บริโภคหลายรายตกเป็นเหยื่อของฝันที่จะรวยหลักล้าน เพราะเชื่อว่าสิ่งที่คนดังเหล่านี้กล่าวน่าจะกรองมาแล้วและเชื่อถือได้ สิ่งที่ผู้คนถกเถียงกันคือความเสียหายครั้งนี้จะโทษดาราอย่างเดียวไม่ได้ เพราะขึ้นกับวิจารณญาณของผู้ซื้อมากกว่า แต่บ้างก็ว่านี่เป็นความผิดของคนดังที่ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อนรับงานพรีเซนเตอร์ใดๆ  

นี่คือ Celebrity Marketing ที่เลือกใช้คนดังเป็นตัวดึงความสนใจและสร้างความรับรู้ให้กับแบรนด์ ที่ผ่านมามีงานวิจัยมากมายว่าคนดังเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์ไม่น้อย

คนดังกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ คนดังถูกมองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนทั่วไป การจ้างคนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์จึงเป็นการสร้างความเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ทางหนึ่ง เพราะคนหลายกลุ่มเชื่อมั่นว่าคนเหล่านี้น่าจะคัดกรองมาอย่างดีแล้ว จากสถิติหนึ่งพบว่า 37% ของผู้บริโภคไว้วางใจในคำแนะนำของคนดังบนโลกโซเชียลมีเดีย และรู้จักสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ผ่านทางภาพ วิดีโอ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่คนดังเหล่านั้นแชร์ 

คนดังและฐานแฟนคลับ การซื้อตัวคนดังมาประชาสัมพันธ์แบรนด์ยังเหมือนการซื้อฐานแฟนคลับไปโดยปริยาย เพราะไม่มากก็น้อยแฟนคลับของดารานักแสดงนักร้องทั้งหลายที่ได้รับการว่าจ้างก็ต้องช่วยกันสนับสนุนแบรนด์นั้นๆ เพื่อให้คนที่ตนเองรักมีโอกาสได้รับการว่าจ้างต่อไปในอนาคต นอกจากจะแสดงพลังการสนับสนุนของแฟนคลับแล้ว ยังแสดงพลังซื้อของฐานแฟนคลับได้อีกด้วย

ที่เห็นได้ชัดเจนก็การที่แบรนด์ระดับโลกหลายแบรนด์หันมาเลือกไอดอลเกาหลีเป็น brand ambassador กันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไอดอลเกาหลีเลือกสวมใส่อะไร ยอดขายของสินค้านั้นๆ ก็พุ่งไม่หยุด 

เช่น เมื่อชูก้า แรปเปอร์วง BTS สวมเชิ้ตลายตารางที่ออกแบบโดย Virgil Abloh ในแอพ LYST ก็มีการค้นหาเชิ้ตตัวนี้เพิ่มขึ้น 120% หรือฝั่งจีซู Blackpink ที่โชว์กิ๊บติดผมแบรนด์ Chunks ในคอนเทนต์ ‘What’s in My Bag’ ที่ผลิตโดย Vogue Korea เจ้ากิ๊บนี้ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 3,000%

หรือไม่ต้องมองไปไหนไกล ที่ผ่านมาเจ้าลาบูบู้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมื่อลิซ่าถือลาบูบู้ถ่ายรูปหน้ากระจก หรือตอนโควิด-19 เมื่อณเดชน์ คูกิมิยะ และญาญ่า อุรัสยา ถือต้นไม้ด่าง ราคาต้นไม้ด่างก็พุ่งทะยานจนเกือบกู่ไม่กลับ กับ 2 กรณีนี้อาจเรียกได้ว่าราคาที่ขึ้นไม่หยุดมาจากการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อเพื่อเก็งราคา  

คนดังกับการเข้าถึงผู้บริโภค คนดังยังเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่าแบรนด์เอง โดยเฉพาะปัจจุบันที่คนเหล่านี้สามารถสื่อสารกับแฟนคลับได้โดยตรงผ่านโลกโซเชียลมีเดีย การที่ผู้คนเข้าถึงคนดังได้ง่ายขึ้นและใกล้ชิดขึ้น แม้จะเป็นโลกออนไลน์แต่นั่นก็สร้างอิทธิพลของคนดังได้มากกว่าแต่ก่อน

คนดังมีอิทธิพลกับคนในแต่ละกลุ่มต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว คนดังมักมีผลต่อกลุ่มผู้บริโภคเจนฯ Z มากที่สุด และมีอิทธิพลน้อยลงกับกลุ่มเจนฯ X หรือเบบี้บูมเมอร์ เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังพยายามค้นหาตัวตนของตนเอง ชีวิตของคนดังจึงมีผลต่อคนเจนฯ Z ไม่น้อย แต่สำหรับกรณี The iCon Group ถือเป็นกรณีที่แตกต่างออกไป ด้วยกลุ่มที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการสร้างรายได้ 

การเลือกใช้คนดังในแบบฉบับของ The iCon Group ที่สถาปนาชื่อเรียกว่า ‘บอส’ เน้นย้ำถึงการเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของแบรนด์ จึงสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ไม่น้อย ถือเป็นเคสการใช้ Celebrity Marketing ที่ประสบความสำเร็จในเชิงภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีทีเดียว

ผู้ประกอบการจะยังเลือกใช้คนดังเพื่อโฆษณาสินค้าได้อยู่ไหม?

หนึ่งในเทรนด์ที่น่าสนใจคือการมาถึงของ micro-influencer ที่อาจจะไม่ได้ดังล้นฟ้าแต่เป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มต่างๆ เพราะคนดังในลักษณะนี้จะเชื่อมต่อและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่า หลายคนเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ชื่นชอบหรือหลงใหลสิ่งนั้นจริงๆ ยิ่งทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าการรีวิวหรือการพูดถึงสินค้าและบริการต่างๆ ยิ่งน่าเชื่อถือ 

อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่า กลุ่มผู้บริโภคเจนฯ Z รู้สึกถูกดึงดูดด้วยการรีวิวหรือการโฆษณาโดยคนธรรมดาทั่วไปมากกว่า สะท้อนถึงแนวโน้มทางการตลาดที่เริ่มเปลี่ยนไป  

เลือกใช้คนดังยังไงให้ดีและปังต่อทุกฝ่าย

สิ่งสำคัญคือการเลือกคนที่มีความคิด ความเชื่อ หรือพฤติกรรมการบริโภคที่สอดคล้องกับแบรนด์ เพื่อให้ภาพลักษณ์ที่สื่อสารออกไปนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น หากขายอาหารสุขภาพ แต่จ้างคนดังที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกันข้าม ก็อาจทำให้คนไม่เชื่อถือได้ 

อีกเรื่องคือการเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสม เพราะแต่ละแพลตฟอร์มนั้นมีกลุ่มผู้รับชมแตกต่างกัน และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการทำทุกอย่างอย่างโปร่งใส เพื่อซื้อความไว้ใจของผู้บริโภค เช่น หลายๆ แบรนด์ในต่างประเทศที่จ้างคนดังก็นิยมเปิดเผยกันตรงๆ ว่านี่คือการจ้างงาน และเน้นการเปิดโอกาสให้คนดังเหล่านั้นรีวิวและพูดถึงแบรนด์จากใจจริง

อ้างอิง 

หรือนี่จะเป็นดาวดวงใหม่? มาสคอตน้องนากขี้โวยวายจาก Otteri ที่มากกว่าความคิวต์ยังพูดได้ด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมีเนยจากแบรนด์ Butterbear ถือเป็นเคสที่จุดกระแสให้หลายๆ แบรนด์หันมาทำมาสคอตอีกมาก ซึ่งแม้กระแสอาจจางหายไปบ้างในหมู่คนทั่วไป แต่ในด้อมมัมหมีก็ยังมีแฟนคลับคอยซัพพอร์ตแบรนด์เสมอๆ ดูจากกระแสที่มาแรงและไปเร็วนี้เอง ที่อาจกล่าวได้ว่าแบรนด์ที่ทำมาสคอตออกมาหลังจากนี้ไม่ได้การันตีว่าจะสำเร็จทุกแบรนด์ไป แต่ต้องเป็นแบรนด์ที่จับจุดบางอย่างได้ และสินค้าต้องดีจริงด้วย

หนึ่งในนั้นคือมาสคอตของ Otteri น้องนากขี้โวยวายที่ตอนนี้กำลังเป็นกระแสในแพลตฟอร์ม TikTok เพราะมากกว่าเป็นมาสคอตที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนเหมือนมาสคอตตัวอื่นๆ แล้ว สิ่งที่น้องนากของ Otteri มีเหนือชั้นกว่าคนอื่น นั่นคือการที่น้องพูดได้!

ก่อนที่น้องนากจะเริ่มทำคอนเทนต์นากพูดได้ น้องนากก็ทำคอนเทนต์คล้ายๆ กับมาสคอตตัวอื่นๆ เช่น เต้นตามเพลง มีเสียงพากย์ด้วยน้ำเสียงปกติ ทำคอนเทนต์ที่ดูน่ารัก แต่หลังจากน้องนากเริ่มแผดเสียงของตัวเองออกมาซึ่งเป็นเอกลักษณ์และมีความคล้ายเสียงของสัตว์จริงๆ แม้จะฟังยากสักหน่อย แต่เสียงแสบแก้วหูของน้องที่เข้ากับหน้าตาซึ่งดูโมโหตลอดเวลา ก็เรียกความสนใจจากผู้บริโภคได้ไม่น้อย

ปัจจุบันคลิปวิดีโอของนากโวยวายมียอดวิวสูงสุดที่ 3.9 ล้าน อีกคลิปที่ยอดวิวไล่เลี่ยกันอยู่ที่ 2.5 ล้านและ 1.1 ล้านตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม) ลักษณะคอนเทนต์ที่นากโวยวายเน้นทำคือการพูดคุยกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา สลับกับการแสดงที่ใส่อารมณ์ ดูเหวี่ยงวีน แต่คนที่เดินผ่านกลับรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู 

สถานที่ที่นากไปยังไม่จำกัดเพียงในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ประชุม เพราะมีทั้งตลาดนัด ห้องน้ำ คอนเสิร์ตกลางแจ้ง เรียกว่าที่ไหนที่มีสาขาของ Otteri น้องนากก็ไปทำคอนเทนต์ได้หมด อาจด้วยข้อได้เปรียบของ Otteri ที่มีสาขามากและหลากหลายสถานที่ ทำให้น้องนากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากกว่าใครเพื่อน

คำถามคือทำไมมาสคอตส่วนใหญ่ถึงพูดไม่ได้ หรือเลือกที่จะไม่พูด?

หัวใจหลักๆ คือเมื่อพูดไม่ได้ นั่นจะทำให้มาสคอตตัวนั้นมีความเป็นสากลและสื่อสารกับคนในวงกว้างและหลายกลุ่มมากกว่า นอกจากนั้น การที่มาสคอตพูดไม่ได้ยังทำให้ผู้คนจินตนาการและสร้างเรื่องราวของมาสคอตตัวนั้นๆ ได้ และความพูดไม่ได้นี้เองก็ยังอาจทำให้มาสคอตดูน่ารักและเป็นมิตรมากกว่าด้วย

แล้วถ้ามาสคอตพูดได้แบบนากโวยวายจะส่งผลดียังไงบ้างไหม?

ท่ามกลางมาสคอตที่ผุดขึ้นมากมาย จะมีอะไรดีไปกว่าการสร้างความแตกต่าง ดังนั้น เมื่อมาสคอตนากโวยวายพูดได้ จึงทำให้ผู้คนจดจำนากและแบรนด์ได้ว่านี่แหละคือมาสคอตตัวแรกๆ ที่เราเห็นว่านอกจากจะเต้นได้แล้ว ยังสนทนากับเราได้ด้วย สิ่งนี้เองที่สร้าง emotional connection กับผู้บริโภคจนทำให้คนเกิดความผูกพันกับมาสคอตและแบรนด์

มาสคอตมีเสียงนั้นใช้เสียงอะไรก็ได้หรือเปล่า?

น่าตั้งข้อสังเกตต่อไปว่าที่นากโวยวายนั้นได้รับความสนใจก็ไม่ใช่เพราะมันมีเสียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพราะเสียงนี้ยังถูกคิดมาแล้วภายใต้คอนเซปต์ของแบรนด์และสอดคล้องกับความเป็นนากจริงๆ ด้วยว่าหากนากร้องก็น่าจะมีเสียงแบบนี้ และเสียงของนากโวยวายยังอู้อี้ ไม่ได้ชัดถ้อยชัดคำแบบที่เราๆ พูดกัน 

หากนากโวยวายพูดด้วยน้ำเสียงแบบมนุษย์ทั่วไป ผู้คนก็อาจไม่ได้รู้สึกถึงความเป็น ‘มาสคอต’ ที่จะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ แต่เป็นสัตว์ก็ไม่เชิง ดังนั้นความก้ำกึ่งตรงนี้เองที่ทำให้นากยังคงน่ารักแม้จะยังพูดได้เหมือนคน 

ดังนั้นในยุคที่หลายคนหันมาจับการตลาดรูปแบบเดียวกันอย่างการทำมาสคอต หากผู้ประกอบการต้องการสร้างมาสคอตเป็นของตัวเอง นากโวยวายของ Otteri ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีในการสร้างความแตกต่าง แต่ยังคงความน่ารักได้ จนทำให้ brand awareness ของ Otteri ไปไกลมากขึ้น ที่สำคัญยังสะท้อนว่าการจะทำอะไรตามกระแสนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ต้องคิดมาอย่างดีให้สอดคล้องกับ brand identity จริงๆ

ส่วนใครอยากชมความน่ารักของน้องนากขี้โวยวาย ไปติดตามชมได้ที่ช่อง https://www.tiktok.com/@otteriwashdryofficial และถ้าใครอยากรู้จัก Otteri มากกว่านี้ก็เข้าไปอ่านบทสัมภาษณ์ของแบรนด์ได้ที่ capitalread.co/otteri

เปิดจักรวาลมาสคอตหมีที่ใช้ความน่ารักมาตกคนเข้าด้อมมัมหมี

ไม่ว่าจะไถฟีดในโซเชียลมีเดีย ไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า หรือไปร่วมงานอีเวนต์ เชื่อว่าหลายคนคงเจอมาสคอตประจำร้านอาหาร คาเฟ่ หรือแม้แต่สินค้าและบริการต่างๆ ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าถามว่าในบรรดามาสคอตที่คุณรู้จักหรือหลงรัก มีคาแร็กเตอร์ที่เป็นหมีไปแล้วกี่ตัว อาจจะนับนิ้วไม่พอเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะว่าหมีเป็นหนึ่งในคาแร็กเตอร์ยอดฮิตที่ถูกหยิบมาใช้เป็นมาสคอตอยู่บ่อยครั้ง จนเรียกว่าเป็นการใช้ ‘ความน่ารัก’ มาเล่นกับ ‘ใจคน’ ก็ว่าได้

อิทธิพลของด้อมมัมหมีมาจากเจ้าตุ๊กตาหมี ‘Teddy Bear’ ที่เคยได้รับการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์และมีงานวิจัยออกมาจริงจังเลยว่า ลักษณะของหมีเท็ดดี้ที่มีแขนและขายาวคล้ายกับคน รวมถึงหน้าตาที่ดูเป็นมิตร ทำให้คนรู้สึกหลงรักได้ง่าย ตามกลไกตามธรรมชาติของคน ที่จะรักในสิ่งที่น่ารักแบบอัตโนมัติ Teddy Bear จึงสร้างภาพจำของหมีในทางที่ดีมาร่วม 121 ปี และกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดของเด็กๆ ที่ต่อให้โตมาเป็นผู้ใหญ่ก็ยังรู้สึกผูกพัน อบอุ่นหัวใจ และปลอดภัยทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับคาแร็กเตอร์หมีน่ารักๆ

ประกอบกับหลายแบรนด์ชอบใช้ ‘mascot marketing’ การตลาดที่ใช้มาสคอตมากระตุ้นยอดขาย ขยายฐานลูกค้า และสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย เพราะผลวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพการโฆษณาที่มีตัวละครมาสคอตของ The Moving Picture Company พบว่ามาสคอตเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ได้ 40.9% และแคมเปญระยะยาวที่มีมาสคอตเพิ่มผลกำไรให้กับแบรนด์ได้ถึง 34.1%

ถึงแม้หลายแบรนด์จะเลือกใช้มาสคอตหมี แต่จะมาเป็นหมีเหมือนกันไม่ได้ โดยเฉพาะมาสคอตหมียอดฮิตจากหลากหลายประเทศ ต่างก็งัดไม้เด็ดและใช้ความน่ารักมาสร้างแบรนดิ้งให้แตกต่าง จนตกคนเข้าด้อมมัมหมีได้อยู่หมั

คอลัมน์ Capital List ครั้งนี้จึงพาทุกคนมาเปิดจักรวาลมาสคอตหมีที่หลายคนหลงรัก ว่าภายใต้ความน่าเอ็นดูนี้มีกลยุทธ์อะไรซ่อนอยู่ แล้วจะน่ารักมั้ยไม่รู้ แต่รอให้มาอ่านอยู่นะรู้ไหม

1. Butterbear ไอดอลสาวแห่งยุค

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Butterbear’ หรือ ‘หมีเนย’ มาสคอตสุดฮอตของ Butterbear Café ร้านขนมหวานในเครือ Coffee Beans by Dao ที่เดบิวต์มาเป็นไอดอลสาวแห่งยุค น้องหมีเนยทั้งโชว์ตัว ออกเพลงของตัวเอง โชว์ความสามารถพิเศษอย่างการเต้นเพลง K-pop และ T-pop จนมีโอกาสได้เยี่ยมชมนิทรรศการ Gucci Visions และคอลเล็บร่วมกับแบรนด์ดังอย่าง Pipatchara 

แม้แต่ช่องทางโซเชียลมีเดียของน้องหมีเนย ยังมีพี่เลี้ยงคอยอัพเดตความเคลื่อนไหว เช่น ทำการบ้าน ฝึกโพสต์ท่าถ่ายรูป ล้วนเป็นกิจกรรมที่ไอดอลทำกันจริงๆ บวกกับอินเนอร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีชีวิตจริงๆ จนสร้างปรากฏการณ์มีเหล่าแฟนคลับทั้งไทยและจีนที่เรียกตัวเองว่า ‘มัมหมี’ ไปต่อแถวรอเจอน้องหมีเนยที่หน้าร้าน และมียอดผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดียถึงหลักแสนในทุกช่องทาง

ถือเป็นการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งสร้างการรับรู้ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า นำไปสู่การซื้อขนมภายในร้าน ต่อยอดสู่การทำ merchandise เช่น เสื้อ กระเป๋า พวงกุญแจ และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ด้วยการไปคอลแล็บร่วมกับแบรนด์อื่นๆ

2. 13DE MARZO หมีอวกาศที่โอบกอดและให้ความรักกับผู้คน

ใครที่เป็นสายคาเฟ่หรือสายเที่ยวน่าจะเคยเห็นร้านที่มีหมีตัวสีครีม แขนขายาว หน้าตาจิ้มลิ้มโผล่มาจากหน้าต่าง และมีกิมมิกเป็นแก้วเครื่องดื่มที่มีตุ๊กตาหมีเกาะมาด้วย นั่นก็คือร้าน 13DE MARZO Cafe ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่ต่อยอดมาจากแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสัญชาติจีนในชื่อเดียวกันว่า ’13DE MARZO’

13DE MARZO ปู storytelling ด้วยเรื่องราวที่ตรึงใจว่าน้องเป็นหมีที่มาจากอวกาศ เคยอาศัยอยู่บนดวงดาวที่ชื่อ MARZO ซึ่งอยู่ห่างออกจากโลกไป 13 ปีแสง แล้วเดินข้ามระบบสุริยะจักรวาลมาเพื่อทำภารกิจโอบกอดและมอบความรักให้กับผู้คน ภายใต้คติประจำตัวที่ว่า ‘Love Is All Around’

แบรนด์เลือกหยิบหมี 13DE MARZO มาเกาะตามเสื้อผ้าในคอลเลกชั่นต่างๆ ต่อยอดสู่การทำเป็นคาเฟ่แล้วให้หมีไปเกาะที่ร้าน และเกาะอยู่บนแก้วเครื่องดื่ม เพื่อให้คนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากการโอบกอด จนรู้ตัวอีกทีก็อาจหลงรักหมีอวกาศและแบรนด์ 13DE MARZO ไปแล้วก็เป็นได้

3. คุมะมง พรีเซนเตอร์ประจำจังหวัด

‘คุมะมง’ (Kumamon) มาสคอตหมีสีดำ แก้มแดง ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพรีเซนเตอร์ประจำจังหวัดคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น ที่คุมะมงทำถึงกว่ามาสคอตตัวอื่นๆ คือการมี storytelling ทั้งแต่งตั้งให้คุมะมงเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย เล่นใหญ่ขนาดที่มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง พร้อมโปรโมตให้คนรู้จักด้วยการไปทักทายชาวเมือง และแจกนามบัตรไปทั่วญี่ปุ่นถึง 10,000 ใบ 

ส่วนเหตุการณ์ที่ได้ใจผู้คนไปเต็มๆ คือตอนที่คุมะมงไปให้กำลังใจผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหว ช่วยฮีลใจจนทำให้คนมองว่าคุมะมงเป็นตัวแทนแห่งความเมตตา ในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางจังหวัดก็อนุญาตให้ผู้ประกอบการ นำคุมะมงไปใช้โปรโมตสินค้าได้ฟรี แต่ต้องใช้วัตถุดิบจากจังหวัดคุมาโมโตะเป็นส่วนประกอบ

หลังจากคุมะมงอายุได้ 2 ขวบ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นก็รายงานว่าคุมะมงสร้างรายได้มากถึง 123.2 พันล้านเยน และยังเคยถูกโหวตให้เป็นมาสคอตที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 280,000 โหวต จากมาสคอตกว่า 1,700 ตัวเลยทีเดียว

4. บราวน์ ตัวแทนหนุ่มออฟฟิศและพ่อบ้านใจกล้า

คาแร็กเตอร์ที่ถูกแซวว่าทำงานหนักที่สุดและถูกยกให้เป็นพนักงานดีเด่นมาหลายปีซ้อนอย่าง ‘หมีบราวน์’ มักจะถูกจดจำในฐานะสติ๊กเกอร์ไลน์หมีสีน้ำตาล ที่ทำท่าก้มหัวโค้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย พนักงานออฟฟิศหลายคนจึงนำไปใช้ส่งแทนคำขอบคุณ ขอโทษ ขอร้อง และใช้ส่งปิดบทสนทนาด้วยความนอบน้อม ซึ่งถือว่าเป็นการใช้งานตรงตามคาแร็กเตอร์ที่นักออกแบบชาวเกาหลีตั้งใจไว้ ผ่านการวางบทบาทให้บราวน์มีอาชีพเป็นหนุ่มออฟฟิศที่แต่งงานแล้ว และมีจิตวิญญาณความเป็นพ่อบ้านใจกล้าอยู่หน่อยๆ

ด้วยเรื่องราวที่เข้าใจง่ายและเชื่อมโยงกับผู้คนที่ทำงานออฟฟิศได้ดี ทำให้บราวน์เป็นมากกว่าคาแร็กเตอร์ที่อยู่ในไลน์ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนสัมผัสได้ในชีวิตจริง ต่อยอดสู่การเป็นมาสคอตหมีบราวน์ที่ไปทำกิจกรรมเหมือนกับคนจริงๆ เช่น จัดงานวันเกิดหมีบราวน์ซึ่งตรงกับวันที่ 8 สิงหาคมของทุกปี อย่างในปี 2567 นี้ ที่ไทยก็ได้มีการจัดงาน Happy Brown Day ที่ให้มาสคอตหมีบราวน์มาเป่าเค้กวันเกิด และแจกดอกไม้ให้กับแฟนๆ ณ สยามพารากอน

นอกจากนี้ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์วางขายใน LINE FRIENDS Store ซึ่งปัจจุบันมีสาขากว่า 39 สาขาในหัวเมืองใหญ่ทั่วโลก ถึงขนาดเคยสร้างปรากฏการณ์มีลูกค้ากว่า 15,000 คนต่อแถวเพื่อเข้า LINE FRIENDS Store สาขาฮาราจุกุในวันแรกที่เปิดตัว ไปจนถึงการมีเกม แอนิเมชั่น คาเฟ่ และโรงแรมที่หยิบคาแร็กเตอร์บราวน์และผองเพื่อนไปเติมสีสันให้มีชีวิตชีวาและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น

5. Care Bears หมีที่ส่งพลังบวกและความห่วงใย

แท้ที่จริงแล้วมีอายุกว่า 43 ปี และเกิดจากการเป็นคาแร็กเตอร์ในการ์ดอวยพรของบริษัท American Greetings ในสหรัฐอเมริกามาก่อน แต่ด้วยความที่หมีแต่ละสีสื่อถึงอารมณ์แต่ละแบบ ทำให้คนรู้สึกว่าแคร์แบร์เป็นตัวแทนของการแสดงความรู้สึกที่หลากหลาย  

เอกลักษณ์นั้นเองต่อยอดสู่การออกแบบเป็นตุ๊กตา มีซีรีส์การ์ตูนเป็นของตัวเอง ไปจนถึงการนำแคร์แบร์ไปคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ จนมีการประเมินว่าตั้งแต่เปิดตัวแคร์แบร์มาสามารถสร้างรายได้ไปมากกว่า 1.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

6. Duffy มาสคอตหมีประจำดิสนีย์แลนด์

หนึ่งในดาวเด่นประจำโตเกียวดิสนีย์แลนด์ คงหนีไม่พ้น ‘Duffy’ ที่ช่วงแรกได้เดบิวต์ในร้านขายของเล่น ที่ Walt Disney World ในอเมริกา เพื่อหวังให้เป็นเพื่อนเที่ยวเวลามีคนมาทัวร์ดิสนีย์แลนด์ แต่กลับไม่มีใครสนใจ จนขายไม่ออก 

ก่อนที่จะถูกนำกลับมาอีกครั้งที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ เพราะเห็นว่าคนญี่ปุ่นชื่นชอบคาแร็กเตอร์หมีมาก แถมคราวนี้ยังทำให้ Duffy ดูมีชีวิตจิตใจและเข้าถึงง่ายมากขึ้น อย่างการเชื่อมโยงเรื่องราวกับคาแร็กเตอร์ที่คนรัก ด้วยการเล่าว่า Duffy เป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรดของมิกกี้เมาส์ ที่มินนี่ได้ตัดเย็บขึ้นมาให้เป็นของขวัญ เพราะกลัวมิกกี้จะเหงาตอนที่ไปล่องเรือท่องโลกเป็นเวลานาน

พร้อมเติมกิมมิกด้วยการปรับรูปทรงหน้าของ Duffy ให้มีลักษณะคล้ายกับหน้าและหูของมิกกี้เมาส์ ส่วนตรงอุ้งเท้าและตรงก้นก็มีการใช้สัญลักษณ์ของมิกกี้เมาส์อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมาสคอตที่ทำให้เห็นว่าถ้าสตอรีดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง

7. Rooty ของ A&W ตัวแทนความสนุกและนอสทัลเจีย 

ถึงแม้ A&W จะปิดตัวลงทุกสาขาในไทย แต่ในต่างประเทศ A&W ถือว่ากำลังไปได้สวย โดยเฉพาะในแคนาดาที่ขึ้นแท่นเป็นร้านเบอร์เกอร์และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่กว่าจะมีวันนี้ A&W สาขาในแคนาดา ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันกับเจ้าใหญ่ในตลาด

จึงได้ออกแบบมาสคอตหมีสีน้ำตาล ใส่เสื้อสีส้ม ที่ในมือถือ Root Beer ของ A&W และใช้ชื่อว่า ‘Rooty’ มาเปิดตัวครั้งแรกในแคมเปญโฆษณา A&W The Great Root Bear และวางบทบาทให้ Rooty เป็นตัวแทนของความสนุกสนานและความคิดถึงที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ จนแฟนๆ ทุกช่วงวัยหลงรัก ทำให้เครือร้านอาหาร A&W ของสหรัฐอเมริกานำมาสคอตหมีตัวนี้ไปใช้ และ Rooty ก็ได้กลายมาเป็นภาพจำที่ทำให้ A&W พลิกเกมมาเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดได้

จะเห็นว่ามาสคอตนั้นใครๆ ก็ทำได้ แต่การจะทำมาสคอตให้ตรึงใจผู้คน นั้นต้องพ่วงมาด้วยการสร้างแบรนดิ้งที่แข็งแรง การสร้างเอกลักษณ์ให้มาสคอต รวมถึงการสร้างเรื่องราวให้มาสคอตตัวนั้นเข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้คนได้

อ้างอิง

เตรียมพร้อมสู่โลกการทำงานยังไงให้รอด ไขคำตอบผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิตไปกับมหาวิทยาลัยรามคําแหง

ในห้วงเวลาที่โลกของการทำงานเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่อง AI ที่ทำให้หลายคนกังวลใจว่าจะมาแทนที่คนหรือไม่ และอีกหลายๆ ความเสี่ยงที่คนทำงานต้องเผชิญ แล้วอะไรที่จะทำให้อยู่รอดและรุ่งในวันที่โลกของการทำงานหมุนเปลี่ยนผ่านไปทุกวัน

หนึ่งในทางออกที่สามารถเริ่มต้นทำได้ทันทีคือการ ‘อัพสกิล’ เพื่อยกระดับทักษะที่เรามีให้ดีกว่าเดิม และ ‘รีสกิล’ เพื่อสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน แต่ก็เกิดคำถามต่อว่า คนวัยทำงานที่วันๆ นึงก็หมดเวลาและหมดแรงไปกับการทำงานแล้ว จะอัพสกิล รีสกิลได้ยังไง รวมถึงน้องๆ นักเรียนที่กำลังเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่แค่ได้ความรู้ แต่เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคตได้จากที่ไหน

ทางเลือกที่น่าสนใจคือการก้าวสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือ Lifelong Learning ไปกับ ‘มหาวิทยาลัยรามคำแหง’ มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดั่งตลาดวิชามอบโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนคนไทยอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค มาตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษ

โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เล่าความน่าสนใจที่ทำให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงเหมาะกับการมาเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเปิดรับนักศึกษาในปีการศึกษา 2567 ซึ่ง Recap ในครั้งนี้จะมาสรุปให้ฟัง

1. เรียนไป ทำงานไป ได้ความรู้แบบจัดเต็ม

มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีระบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ให้นักศึกษาเลือกเรียนตามไลฟ์สไตล์ที่ใช่ ในรูปแบบการเรียนที่ชอบ ทั้งเรียนในชั้นเรียนแบบเต็มเวลาและเรียนผ่านระบบออนไลน์ ที่มหาวิทยาลัยได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่การเป็น Digital University เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าถึงการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่เข้าถึงการศึกษาจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถได้รับความรู้อย่างเต็มที่ และสามารถทำงานไปเรียนไปได้อีกด้วย

2. มากกว่าความรู้ แต่คือการเพิ่มพูนทักษะที่ใช้ทำงานได้จริง

มหาวิทยาลัยรามคำแหงยึดมั่นปณิธานในการผลิตบัณฑิตให้งอกงามทั้งด้านความรู้และคุณธรรม ดังคำกล่าวว่า ‘รามคำแหงร่วมสร้างคน ร่วมสร้างประเทศ’ ภายใต้ความเชื่อว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์ย่อมเป็นกำลังอันเข้มแข็งที่จะช่วยสร้างชาติได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน หลักสูตรต่างๆ จึงเน้นการฝึกทักษะที่จำเป็นในศาสตร์สาขานั้นๆ และเสริมทักษะความรู้ด้านดิจิทัลอย่างเต็มที่ เพื่อรีสกิลและอัพสกิลให้พร้อมสู่การทำงานในยุคปัจจุบัน

3. เปิดโอกาสให้ทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง

นอกจากจะมีสถานศึกษาในกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีการขยายสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ

ไปยัง 23 จังหวัดทั่วประเทศ และสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติต่างประเทศอีก 32 แห่งทั่วโลก รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยการเปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอายุ ทุกสายอาชีพ และทุกระดับการศึกษา สามารถมาสมัครเรียนได้โดยมีค่าหน่วยกิตละ 25 บาท หากสมัครเรียนล่วงหน้าระบบ Pre-degree หน่วยกิตละ 50 บาท และสมัครเรียนครั้งแรกไม่เกิน 4,000 บาท ในกรณีที่ไม่เทียบโอนหน่วยกิต

4. เปิดสอนหลักสูตรที่หลากหลาย ให้เลือกเรียนได้ตามใจชอบ

ไม่เพียงแต่มีระบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย แต่ยังจัดเต็มหลักสูตรการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐานจำนวน 9 คณะที่เปิดรับสมัครอยู่ขณะนี้   ได้แก่ คณะนิติศาสตร์, คณะบริหารธุรกิจ, คณะมนุษยศาสตร์, คณะศึกษาศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะสื่อสารมวลชน และคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และอีก 5 คณะที่เปิดสอนเป็นโครงการพิเศษ ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะทัศนมาตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ 

ผู้สนใจสมัครเรียน เพื่อสร้างตน สร้างอนาคต  ไม่ว่าจะเป็น

  • นักเรียนกำลังศึกษาชั้น ม.ปลายหรือเทียบเท่า สามารถเรียนปริญญาตรีล่วงหน้า ในระบบ Pre-degree เมื่อเรียนจบ นำหน่วยกิตมาเทียบโอนเรียนต่อได้เลย ไม่ต้องเริ่มใหม่
  • นักศึกษาใช้วุฒิอนุปริญญา (ปวส.) สามารถเทียบโอนหน่วยกิต ศึกษาต่อ 1-2 ปี และจบปริญญาตรีได้
  • ผู้ที่กำลังศึกษาชั้นปริญญาตรี สามารถสมัครเพื่อเรียนพร้อมกัน 2 สถาบันได้
  • คนทำงานที่มีวุฒิปริญญาตรี สามารถสมัครเรียนปริญญาใบที่ 2 และเทียบโอนหน่วยกิตได้

เปิดรับสมัครรับนักศึกษาใหม่ ผ่านวิธีการสมัคร ดังนี้

  • สมัครระบบออนไลน์ วันนี้ – 17 พฤศจิกายน 2567
  • สมัครทางไปรษณีย์ วันนี้ – 8 พฤศจิกายน 2567
  • สมัครด้วยตนเอง 14-17 พฤศจิกายน 2567 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก)

สอบถามรายละเอียดที่ งานประชาสัมพันธ์ หรือฝ่ายรับสมัคร สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล โทร. 02-310-8614-15, 02-310-8623-24, www.ru.ac.th, Facebook : PR Ramkhamhaeng University, Line @rutoday