ส่องเทรนด์ affiliate ของธุรกิจยักษ์ใหญ่ โอกาส ‘ป้ายยา’ ของแบรนด์ใหญ่ และจับเสือมือเปล่าของครีเอเตอร์

ทุกวันนี้อาชีพนักรีวิวหรือครีเอเตอร์ที่หารายได้จาก ‘affiliate’ สามารถทำรายได้สูงถึงหลักแสนและไม่ได้รีวิวแค่สินค้าจาก Lazada, Shopee, TikTok Shop อีกต่อไป เพราะธุรกิจยักษ์ใหญ่ในไทยหลายเจ้าต่างหันมาให้ความสนใจกับการปั้นครีเอเตอร์เป็น ‘นักป้ายยา’ 

ที่ผ่านมาเมื่อนึกถึง affiliate marketing หรือการตลาดผ่านตัวแทนขายสินค้าในโลกออนไลน์ หลายคนมักนึกถึงธุรกิจมาร์เก็ตเพลสที่มักนิยมทำการตลาดด้วย affiliate program หลักการของระบบเหล่านี้คือการชักชวนให้เหล่าตัวแทนมาทำคอนเทนต์แนะนำสินค้าในช่องทางโซเชียลมีเดีย เมื่อมีคนกดคลิกลิงก์ขายสินค้าที่แปะในคอนเทนต์ไม่ว่าจะกดเข้าไปดู ลงทะเบียน หรือซื้อสินค้า เหล่าตัวแทนก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นกลับไปแล้วแต่รูปแบบของแต่ละแพลตฟอร์ม

ในยุคที่การอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญ affiliate marketing กลายเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ผลสำรวจจากเว็บไซต์ Authority Hacker พบว่ามูลค่าตลาด affiliate ทั่วโลกนั้นสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 10% ต่อปี ซึ่งทำให้ธุรกิจหลายประเภทหันมาใช้กลยุทธ์การขายแบบป้ายยามากขึ้น

ส่วนฟากฝั่งของไทยนั้น ปีนี้จะเห็นธุรกิจใหญ่ที่ไม่เคยมีตัวแทนขายออนไลน์มาก่อน หันมาสร้าง affiliate program ของตัวเองมากขึ้น ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ค่ายเพลง และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งย่อมหมายถึงโอกาสทำเงินแบบจับเสือมือเปล่าที่มากขึ้นของเหล่าครีเอเตอร์ด้วยเช่นกัน Recap ตอนนี้จึงขอชวนไปดูกลยุทธ์การขายของธุรกิจต่างวงการว่าแต่ละแบรนด์นำ affiliate มาช่วยในการขายยังไงในโลกยุคดิจิทัล  

1. การชวนครีเอเตอร์รีวิวคอนโดของอสังหาริมทรัพย์แนวหน้

ในวงการอสังหาริมทรัพย์ แสนสิริเป็นผู้บุกเบิก ‘Sansiri Affiliate Program’ ไปครั้งแรกเมื่อปี 2562 และดูเหมือนว่าจะมีทิศทางการตลาดที่ทำแคมเปญ affiliate marketing เป็นระยะควบคู่กับการทำการตลาดออนไลน์เพราะปีนี้แบรนด์ได้กลับมารับสมัครตัวแทนขายอีกครั้ง 

กฎของการเข้าร่วมคือครีเอเตอร์ต้องสร้างสรรค์วิดีโอคอนเทนต์โดยสามารถเลือกรีวิวคอนโดแสนสิริที่เข้าร่วมโปรแกรม 27 โครงการซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่โครงการใหม่และโครงการพร้อมอยู่ในราคาจับต้องได้ไปถึงระดับลักชูรี ซึ่งหมายความว่าแบรนด์เปิดรับครีเอเตอร์ที่จับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายด้วยเช่นกัน 

ไม่ใช่แค่แสนสิริเท่านั้นที่เล็งเห็นโอกาสจากเทรนด์ affiliate สัมมากรก็เป็นเดเวลอปเปอร์อีกเจ้าหนึ่งที่ริเริ่มโครงการ ‘Affiliate by Sammakorn’ ในปีนี้โดยเปิดให้ครีเอเตอร์เขียนแคปชั่นรีวิวโครงการทุกระดับ ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมจำนวน 8 โครงการ ทั้งนี้เพราะสัมมากรมองว่าการทำการตลาดโดยดึงเหล่าครีเอเตอร์เข้ามาช่วยจะสามารถเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ และปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยขึ้นได้ 

เห็นได้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาทำ affiliate ต่างเป็นธุรกิจที่ให้ความสำคัญด้านการสร้างแบรนด์และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ทั้งแสนสิริที่เคยได้รับรางวัล The Most Powerful Brand in Real Estate 2023 จากกลุ่มเจนฯ Z กับกลุ่มชนชั้นกลาง (รางวัลโดย Terra BKK) และยังเน้นทำการตลาดในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงสัมมากรที่กำลังขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านโลกออนไลน์

2. การผลักดันให้ดาราเป็น ‘นักป้ายยา’ ของ RS 

ในฝั่งธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์อย่าง RS (อาร์เอส กรุ๊ป) ได้เล็งเห็นโอกาสนำจุดแข็งที่มีธุรกิจหลายประเภทมาต่อยอดด้วย affiliate marketing ก่อนหน้านี้ RS พัฒนาสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้กลุ่มธุรกิจ RS LiveWell ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์หลากหลาย เช่น well-u, Vitanature+, CAMU C, และยังมีสินค้ากลุ่มสัตว์เลี้ยงภายใต้ RS Pet All และแบรนด์พาร์ตเนอร์อีกมากมาย รวมแล้วมีสินค้าทั้งหมดกว่า 500 SKUs (รุ่นสินค้า) ซึ่งจำหน่ายที่แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อ RS Mall X (อาร์เอส มอลล์ เอ็กซ์)

RS เลือกใช้ข้อได้เปรียบจากการมีเครือข่ายของศิลปินและดาราในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์มาช่วยในการขายสินค้าเหล่านี้ โดยเรียกกลยุทธ์นี้ว่า star commerce ในโมเดลธุรกิจนี้ศิลปินและดาราซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้วในโลกโซเชียลมีเดียจะเป็นคน ‘ป้ายยา’ สินค้าให้แฟนคลับผ่านการทำ affiliate marketing นอกจากนี้ RS ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ TikTok, Shopee, Lazada, Facebook, Instagram และเชื่อว่ากลยุทธ์การขายตรงนี้จะช่วยสนับสนุนทั้งศิลปินในสังกัดและสร้างการเข้าถึงสินค้าของ RS Mall X ที่ครอบคลุมหลายช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ บริษัทยังคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้ รายได้จากเหล่าศิลปินในสังกัดและคอนเทนต์ครีเอเตอร์จะสูงถึง 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% จากรายได้ทั้งหมด 

3. การเปิดตัว ‘All Online Affiliate’
เพื่อโตตามอีคอมเมิร์ซของ 7-Eleven  

สำหรับ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อเบอร์หนึ่งที่มีแพลตฟอร์มช้อปปิ้ง ‘All Online’ เป็นของตัวเองอยู่แล้วนั้นมีข้อได้เปรียบที่มีฐานสมาชิก All Member สูงถึง 18 ล้านราย โดยมีลูกค้าที่ใช้บริการที่หน้าร้านและออนไลน์เฉลี่ย 13 ล้านคนต่อวัน ในปี 2566 ช่องทางอีคอมเมิร์ซของ 7-Eleven ทั้ง 7Delivery และ All Online เติบโตขึ้นถึง 11% และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

ด้วยยอดการจับจ่ายสินค้าในชีวิตประจำวันที่สูงนี้เองทำให้ 7-Eleven มองเห็นโอกาสและเปิดตัว ‘All Online Affiliate’ ซึ่งมีสินค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมรวมทั้งสิ้นกว่า 1 แสนรายการ โดยแต่ละหมวดจะได้ค่าคอมมิชชั่นไม่เท่ากัน หมวดที่ได้รายได้สูงที่สุดคือ สินค้าสุขภาพ, สินค้าบ้านและสวน, สินค้าความงาม ซึ่งได้ค่าคอมมิชชั่น 5% ส่วนหมวดอื่นๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์ไอที, สินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ จะได้ค่าคอมฯ ลดหลั่นกันลงมา

แม้โมเดลการนำ affiliate มาใช้ในแต่ละธุรกิจจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่สิ่งที่เหมือนกันสำหรับครีเอเตอร์ทุกวงการ คือการขายด้วยวิธี ‘ป้ายยา’ นั้นลงทุนต่ำ แค่ลงทุนสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีคุณภาพและฐานผู้ติดตามที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ต้องปวดหัวด้านการลงทุนพัฒนาสินค้า อีกทั้งยังไม่ต้องแพ็กและจัดส่งสินค้า สามารถเริ่มลงมือทำได้ด้วยตัวคนเดียวและเป็นช่องทาง passive income ที่ทำควบคู่กับงานอื่นได้ ยิ่งธุรกิจใหญ่หันมาเปิดโปรแกรม affiliate กันมากขึ้น เหล่าครีเอเตอร์ก็ย่ิงมีโอกาสเลือกรีวิวสินค้าและบริการที่อยู่ในความสนใจ
.
ทั้งนี้ผลสำรวจจาก Authority Hacker จากทั่วโลกได้ระบุว่าอุตสาหกรรมที่ได้กำไรจากการตลาด affiliate มากที่สุด คือการศึกษาและ e-learning, การท่องเที่ยว, บิวตี้และสกินแคร์ หากสังเกตจะเห็นได้ว่าเป็นวงการที่มีบล็อกเกอร์และอินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลเป็นอันดับแรกๆ และยังเป็นสินค้าและบริการที่ต้องการการรีวิวสูง 

เป็นที่น่าจับตาว่าธุรกิจใดจะหันมาใช้โมเดล affiliate และชักชวนครีเอเตอร์ให้เข้ามาเป็นนายหน้าออนไลน์เป็นรายต่อไป แบรนด์ที่มีฐานแฟนคลับแน่น สินค้ามีคุณภาพจริง และผู้บริโภคมี brand love อยู่แล้วจะได้เปรียบ เมื่อลูกค้าและคนทั่วไปสามารถเป็นนักรีวิวได้ ธุรกิจก็ได้ประโยชน์จากการมี ‘นักขาย’ มากขึ้นและทำให้โอกาสในการขายของธุรกิจเปิดกว้างมากขึ้นตามมา 

อ้างอิง 

TAG Heuer Formula 1 นาฬิกาที่เป็นมากกว่านาฬิการถแข่ง

สนาม : ไมอามี่ กรังด์ปรีซ์
วันที่ : 5 พฤษภาคม 2024

แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ต้องเป็นผู้ผิดหวังอีกครั้ง เมื่อจบด้วยการเป็น ‘P2’ หรือที่ 2 ของการแข่งขันในรายการไมอามี่ กรังด์ปรีซ์ หนึ่งในสนามแข่งที่เร้าใจที่สุด

สนามนี้แชมป์โลกชาวเนเธอร์แลนด์ไม่ได้ดวงแตกรถมีปัญหาเหมือนในรายการที่ออสเตรเลีย แต่โชคชะตาก็มีส่วนช่วยให้ แลนโด นอร์ริส ยอดนักขับชาวอังกฤษจากทีมแม็คลาเรน ได้โชว์ของและคว้าแชมป์สนามแรกในชีวิตได้สำเร็จ แวร์สเตปเพน มีสีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังชื่นชมและแสดงความยินดีกับเพื่อนผู้ชนะ

ในช่วงของการรับรางวัลนั้นเองที่แฟนๆ ได้เห็นเจ้า TAG Heuer Formula 1 ในตำนานบนข้อมือของแวร์สเตปเพนแบบชัดๆ ที่วันนี้ถูกชุบชีวิตให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และเพิ่งเปิดตัวไปที่เมืองไมอามี่แห่งนี้เอง ท่ามกลางความสนใจอย่างมากจากแฟนๆ และนักสะสมทั่วโลก 

ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน นอกจากความดุเดือดเร้าใจ และเหตุการณ์พลิกผันที่สุดจะคาดเดาในแต่ละสนามแล้ว อีกด้านหนึ่งคือ สีสันจากนักขับ ไลฟ์สไตล์สุดลักชูรี และแฟชั่นจัดจ้านของบรรดาเซเลบริตี้ที่มาร่วมชมไม่เคยขาด แบรนด์สปอนเซอร์ต่างๆ จึงไม่พลาดที่จะร่วมฉกฉวยอายบอลจากผู้ชมทั่วโลก ไม่นับรวมโอกาสในการปรากฏภาพบนสื่อชั้นนำมากมาย และแน่นอนว่าหนึ่งในสินค้าที่ใกล้ชิดกับเอฟวัน มาอย่างยาวนานและแนบเนียนที่สุดก็คือนาฬิกา

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลา แม้เพียงเล็กน้อยแค่เสี้ยววินาทีก็มีความหมายยิ่งใหญ่เสมอในโลกของการแข่งรถ นาฬิกาของนักแข่งจึงต้องมาพร้อมกับคุณภาพ มาตรฐานความแม่นยำที่ได้รับการยอมรับ และต้องดูมีระดับในเวลาเดียวกัน ทีนี้ท่ามกลางนาฬิกามากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘เอฟวัน’ มีไอคอนระดับตำนานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลย นั่นก็คือ TAG Heuer Formula 1 

ว่าแต่ทำไมชื่อรุ่นกับชื่อการแข่งขันใช้ชื่อเดียวกัน?

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจเต็มๆ ของ TAG Heuer ในการที่จะตั้งชื่อนาฬิการุ่นนี้ให้ล้อไปกับการแข่งขันรถแข่งอันดับหนึ่งของโลก โดยที่ความตั้งใจนั้นไม่ได้เป็นไปเพียงแค่เรื่องของผลทางการตลาด

แต่มันเกิดจากความหลงใหลและความผูกพันที่มีต่อการแข่งรถอย่างแท้จริง

เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปถึงในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ครับ

ในเวลานั้นเกิดวิกฤตหนักสำหรับผู้ผลิตนาฬิกาในระบบควอตซ์ โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตนาฬิกาเบอร์หนึ่งของโลกอย่างสวิตเซอร์แลนด์ที่ประสบปัญหาจนหลายบริษัทล้มหายตายจากกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะสู้กับกองทัพนาฬิกาจากประเทศญี่ปุ่นที่บุกถล่มแบบกามิกาเซ่ไม่ไหว

หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ Heuer นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1860 แต่ยังดีที่พวกเขาได้ Techniques d’Avant Garde เข้ามาเทคโอเวอร์ทำให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้ ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น TAG Heuer อย่างที่เราคุ้นเคยกัน

แต่ในการเทคโอเวอร์ครั้งนี้มันมีเรื่องน่าสนใจอยู่ตรงที่ Techniques d’Avant Garde นั้นไม่ได้เป็นบริษัทนาฬิกา แต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและรถแข่ง แต่ดันต้องมาจับมือกับ Heuer ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์เก่าแก่

เรียกว่าอยู่กันคนละโลกเลย แล้วจะอยู่รวมกันยังไง?

สิ่งที่ผู้บริหารทั้งสองบริษัททำคือการพยายามหาสิ่งที่อยู่ตรงกลาง อะไรที่จะเชื่อมโยงเข้าถึงกันได้ และอะไรที่จะทำให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

เหลือเชื่อครับที่สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างใจของทั้งสองบริษัทคือ ‘การแข่งรถ’ 

สำหรับ Techniques d’Avant Garde อย่างที่บอกว่าพวกเขาอยู่ในอุตสาหกรรมรถแข่งอยู่แล้วในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น เครื่องเซรามิกเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูล่าวัน

แล้วแบรนด์นาฬิกาอย่าง Heuer ล่ะพวกเขาเกี่ยวอะไรกับการแข่งรถ?

คำตอบคือเกี่ยวครับและเกี่ยวมากด้วย เพราะรถแข่งคือสิ่งที่ แจ็ค ฮอยเออร์ (Jack Heuer) ผู้เป็นหลานชายของ เอดูอาร์ด ฮอยเออร์ (Edouard Heuer) ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Heuer หลงใหลและคลั่งไคล้อย่างมาก

Jack Heuer
Edouard Heuer ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Heuer

หนึ่งในนาฬิการุ่นคลาสสิกที่สุดตลอดกาลของ Heuer คือรุ่น Carrera ก็มาจากชื่อการแข่งขันรถรายการในตำนาน ‘Carrera Panamericana’ ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความระห่ำที่หลายครั้งเกิดความสูญเสียของนักขับ

โดยคนที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังคือสองนักขับพี่น้องตระกูลโรดริเกวซ (Rodríguez) อย่างเปโดร (Pedro) และริคาร์โด (Ricardo) สองนักขับแห่งทีมเฟอร์รารีที่เมื่อได้ฟังแล้วแจ็ค ถึงกับตื่นเต้นหัวใจร้อนแรงตามไปด้วย และเกิดความคิดที่ว่าชื่อ Carrera นั้นฟังแล้วดู ‘สง่า-มีพลัง-ออกเสียงง่ายไม่ว่าจะกับภาษาไหน’ 

เหมาะกับการเอามาตั้งชื่อเป็นรุ่นนาฬิกาเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนครับว่าแจ็คได้มอบนาฬิกาให้กับสองศรีพี่น้องไว้ใส่เดินทางไปแข่งขันทั่วโลกซึ่งก็ได้รับความสนใจจากเพื่อนพ้องนักแข่งและแน่นอนว่ามันลามไปถึงแฟนๆ นักขับที่ได้เห็นแล้วก็อยากจะหล่อจะเท่แบบฮีโร่ในดวงใจบ้าง

แต่คนที่ทำให้ชื่อของ Heuer โด่งดังในวงการรถแข่งจริงๆ คือ โจ ซิฟเฟิร์ต (Jo Siffert) หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า ‘เซ็ปปี’ (Seppi) ที่เซ็นสัญญากับ Heuer ในปี 1969 และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับทีมรถแข่งครั้งแรกของวงการรถแข่งเอฟวัน

Heuer Autavia ‘Jo Siffert’

หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นนักกีฬาเอฟวันคนแรกที่ได้สปอนเซอร์เป็นของตัวเอง

ซิฟเฟิร์ต ไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักแข่งโดยเฉพาะยามขับให้ทีมปอร์เช่ (Porsche) แต่ยังทำให้นาฬิกาของ Heuer ในรุ่น Carrera และอีกรุ่นที่เป็นตำนานตลอดกาลไม่แพ้กันอย่าง Monaco ขึ้นแท่นนาฬิกาอมตะของโลก

ก่อนที่แรงบันดาลใจจากซิฟเฟิร์ตจะถูกส่งต่อไปถึงดาราดังอย่าง สตีฟ แม็คควีน (Steve McQueen) ที่รับบทดารานำในหนังเรื่อง ‘Le Mans’ ซึ่งแม็คควีน (ใช่ครับ…นี่แหละที่มาของ Lightning McQueen!) บอกว่าเขาอยากใส่นาฬิการุ่น Heuer Monaco 

“ผมอยากเท่แบบโจ!” 

เดาได้ไม่ยากนะครับว่าเมื่อหนังออกฉายนาฬิการุ่นนี้ได้รับความนิยมในระดับไหน

ก่อนที่ Heuer จะเดินหน้าต่อด้วยการเซ็นสัญญาเป็น ‘ผู้รักษาเวลา’ (Timekeeper) ให้กับทีมรถแข่งเฟอร์รารี ซึ่งในความรู้สึกของแจ็คแล้วนี่คือชัยชนะครั้งสำคัญของเขา ในการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมรถแข่งที่ดีที่สุดของโลก

เป็น sport marketing ที่มาก่อนกาลเลยก็ว่าได้

โดยที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน TAG Heuer ยังคงให้การสนับสนุนรถแข่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกับทีม Oracle Red Bull Racing ในการแข่งขันรถเอฟวัน ทีม TAG Heuer Porsche ในการแข่งขันรถฟอร์มูล่า อี ไปจนถึงรายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งระดับตำนานที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด

ยิ่งในปีนี้ครบรอบ 30 ปีที่ แอร์ตัน เซนนา (Ayrton Senna) สุดยอดนักขับระดับตำนานตลอดกาลชาวบราซิลจากไปด้วยอุบัติเหตุในการแข่งขันที่อิโมลา เซอร์กิต ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1994 ทำให้จะมีการรำลึกถึงเซนนาที่รายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์เป็นพิเศษเพราะเป็นสนามที่เขาชำนาญและเก่งกาจที่สุด

และที่สำคัญเซนนายังเป็น Legend Ambassador ของ TAG Heuer ด้วย

ทีนี้ด้วยเรื่องราวความรักความผูกพันที่มีต่อรถแข่งคือสิ่งที่ทำให้ทั้ง Techniques d’Avant Garde และ Heuer เห็นตรงกันว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะสร้างและเดินหน้าต่อไปด้วยกันในนามของ TAG Heuer 

สร้างนาฬิการุ่นใหม่ที่จะตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความหรูหราประสานาฬิกาควอตซ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องเข้าถึง ‘ใจ’ ของผู้คนได้ง่ายขึ้นเพื่อสู้กับทั้งนาฬิกาจากญี่ปุ่นรวมถึง Swatch นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ฉีกแนวไปทำนาฬิกาดีราคาถูกจนประสบความสำเร็จอย่างสูง

สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น TAG Heuer Formula 1 ที่สะท้อนถึงความหลงใหลในมอเตอร์สปอร์ตและการแข่งรถเอฟวัน ผ่านการออกแบบที่สะดุดตามีสไตล์แบบ sporty ที่โดดเด่น ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างร้อนแรงเมื่อออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1986 ซึ่งถือเป็นนาฬิการุ่นแรกที่จำหน่ายในนามแบรนด์ TAG Heuer ด้วย

ความสำเร็จของ TAG Heuer Formula 1 นั้นมาจากการออกแบบที่ไม่ได้หรูหราเกินไปแต่ก็แข็งแรงในแบบของนาฬิกาสวิส มีความสปอร์ตโดยเฉพาะกรอบหน้าปัด (เคส) ที่ทำจากเรซิ่นมีลูกเล่นสีสันสดใส สายที่ทำจากยางคุณภาพสูง เท่ครบจบในเรือนเดียว

โดยที่ผู้ออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจาก ‘Heuer Easy Rider’ นาฬิการุ่นดังที่ออกวางจำหน่ายในยุค 70s ในราคาที่ถูกลงเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนักช้อปคนรุ่นใหม่ ที่อยากมีนาฬิกาเท่ๆ และมีสไตล์ไว้ในครอบครอง

Heuer Easy Rider

แต่ในความสีป๊อปสดใสนั้นสิ่งที่ TAG Heuer รักษาไว้คือความแม่นยำของนาฬิกาและความสามารถในการใช้งานได้จริงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักแข่งรถและทีมรถแข่งที่ต้องการความแม่นยำในการ ‘จับเวลา’ ให้ได้ในระดับเสี้ยววินาที ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นนาฬิกาที่นักแข่งรถสวมใส่เสมอ ซึ่งในปัจจุบัน แม็กซ์ เวอร์สเตปเพน แชมป์โลก 3 สมัยชาวเนเธอร์แลนด์จากทีมเรด บูล ก็ยังสวมใส่ลงแข่งขัน

เรียกได้ว่านาฬิการุ่นนี้ทำให้เกิดเส้นทางใหม่ต่อไปสำหรับ TAG Heuer ที่มีการพัฒนาต่อยอดออกมาอีกมากมาย เช่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนสาย เปลี่ยนหน้าปัด และเพิ่มเข็ม chronograph เข้าไปนอกจากจะได้ฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มแล้วยังเท่ขึ้นไปอีก

แต่คุณค่าที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่ TAG Heuer Formula 1 ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของบริษัท TAG Heuer ไปตลอดกาล ทำให้กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยในวงการอีกครั้ง และทำให้เกิดความตื่นตัวในวงการนาฬิกาหรูไปด้วย

นาฬิการุ่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับบอกเวลาธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เป็นนาฬิกาที่มีความสำคัญอย่างมากในเชิงของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

แต่สำหรับผู้คนมากมายแล้ว สิ่งที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้มีความหมายมากกว่าคือเรื่องราว ‘ความทรงจำ’

สำหรับใครหลายคนนี่อาจจะเป็นนาฬิกาเรือนแรก หรือนาฬิกาหรูเล็ก ๆ เรือนแรกในชีวิต 

นาฬิกาที่ต้องเก็บหอมรอมริบกันพอสมควรกว่าที่จะถอยมาครองได้สักเรือน เพื่อจะได้ใส่เหมือนฮีโร่นักแข่งในดวงใจบ้าง

นาฬิกาที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อตามหารุ่นและสีที่ชอบ เพราะหายากหาเย็นเหลือเกิน

นาฬิกาที่ทำให้เราเหมือนเดินทางย้อนเวลากลับไปถึงช่วงเวลาที่คิดถึงอีกครั้ง กับการไปชมรถแข่งที่สนาม การนั่งลุ้นติดตามกับเพื่อน หรือการเปิดอ่านนิตยสารรถแข่งในเวลาว่าง

สิ่งเหล่านี้เป็น ‘คุณค่า’ ที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นไอเทมคลาสสิกที่ทุกคนรักและคิดถึง ซึ่งในช่วงปี 2018-2022 มีข้อมูลที่น่าสนใจว่านาฬิการุ่นวินเทจ (ผลิตในปี 80s) มีการซื้อ-ขายกันบน eBay มากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับตัวเลขรุ่นทั่วไปที่ 17 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ตัวเลขราคาของนาฬิกาแบบวินเทจนั้นเพิ่มขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาปีเดียว (ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2023) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับตลาดนาฬิกาวินเทจที่แม้สนนราคาของ TAG Heuer Formula 1 จะไม่ได้สูงเท่ากับนาฬิกาหรูรุ่นอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเริ่มมีราคาเช่นกัน

ความนิยมที่ไม่มีวันตายนี้ยังทำให้มีการเรียกร้องให้ TAG Heuer ผลิต Formula 1 รุ่นใหม่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ซึ่งทางแบรนด์เองก็รู้ใจ จึงส่งรุ่นและสีที่ชวนให้คิดถึงความทรงจำครั้งเก่าออกมาเรื่อยๆ

รวมถึงในคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่ทำร่วมกับ Kith ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังขวัญใจมหาชนจากนิวยอร์กที่ได้ย้อนเวลานำเอาดีไซน์ในปี 1986 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง กับความร่วมสมัยที่จะพา Formula 1 ไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่ 

โดยเบื้องหลังแล้วเกิดจากความบังเอิญที่ Ronnie Fieg เจ้าของแบรนด์ Kith ได้นั่งเคียงข้างกับ Frédéric Arnault ผู้บริหารระดับสูงของเครือ LVMH ในระหว่างมื้อค่ำ เขาจึงมีโอกาสได้เล่าถึง TAG Heuer Formula 1 Series 1 สีแดงและดำ นาฬิกาเรือนแรกที่เขาหลงรักมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนไป และยังพยายามขุดหารูปถ่ายสมัยวัยรุ่นที่มีนาฬิการุ่นนี้บนข้อมือมาให้อาร์โนลต์ดูอีกด้วย

บทสนทนาที่มาถูกเวลาในค่ำคืนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการจับมือกันที่จะนำความทรงจำจากวันวาน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมและอยู่ในแผนงานของ TAG Heuer พอดิบพอดี ให้กลับมาอีกครั้งในคอลเลกชั่น TAG Heuer Formula 1 Kith 

โดยที่ในรายละเอียดแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องนำแม่พิมพ์ดีไซน์เดิมกลับมาใหม่ และร่วมงานกับซัพพลายเออร์เจ้าเดิม แต่เพิ่มเติมวัสดุสมัยใหม่ที่แข็งแรงขึ้น เช่น การใช้คริสตัลแซฟไฟร์แทนที่ของพลาสติก ส่วนสายมีการเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นสเตนเลส หรือยางแล้วแต่สี 

ขณะที่บนหน้าปัดที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา จะมีคำว่า ‘Just Us’ ซึ่งเป็นสโลแกนของ Kith อยู่ด้วย และที่ด้านหลังจะมีการสลักคำว่า ‘Kith Heuer’ และ ‘Kith & Kin’ ไว้ที่แตกต่างจากรุ่น Formula 1 ทั่วไป 

สุดท้ายก็ทำออกมาได้สำเร็จสวยงาม 10 สี 10 แบบ เพื่อให้เข้าถึงใจของผู้คนที่มีหลากคาแร็กเตอร์ หลายสไตล์ ซึ่งแน่นอนว่าทำออกมาจำนวนจำกัดมากๆ แล้วแต่สี (บางสีมี 250 เรือน บางสีมี 1,350 เรือน) และถูกจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว รวมถึงราคารีเซลที่พุ่งไปไกลเกิน 2 เท่าตัวแล้ว 

นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เรื่องราวของ TAG Heuer Formula 1 จะวนกลับมาเจอกับทุกคนใหม่ ไม่ต่างอะไรจากรถแข่งที่วิ่งกลับมาที่เส้นชัยและธงตราหมากรุก ที่ในเวลาเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ

เพราะความสำเร็จที่สวยงามที่สุดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือการที่นาฬิกาสักเรือนสามารถเป็นตัวแทนความหมายของความรัก ความฝัน และความทรงจำของคนมากมาย และเป็นสิ่งที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 เป็นนาฬิกาที่อยู่เหนือกาลเวลา

  • นาฬิกา TAG Heuer Formula 1 Kith ที่ลิซ่าใส่เป็นเวอร์ชั่น Kith ตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล วงขอบเรือนสีดำมีสเกลเป็นสีแดงและสีขาว รุ่นนี้มีจำหน่ายแค่ 1,350 เรือนเท่านั้น
  • ราคารีเซล TAG Heuer Formula 1 Kith ในตลาดนั้นพุ่งทะยานอย่างน่ากลัว ในบ้านเรามีคนตั้งราคาไว้ตั้งแต่ 79,000 ไปจนถึง 130,000 บาทเลยทีเดียว

อ้างอิง

เส้นทางสู่ขวบปีที่ 70 ของก็อดซิลล่า ราชันสัตว์ประหลาด และผู้ให้กำเนิดนาม ‘โตโฮ สตูดิโอ’

เท่าที่จำความได้ในฐานะอดีตเด็กน้อยยุค 90s เมื่อตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ‘東宝’ ที่อ่านรวมกันว่า ‘โตโฮ’ ปรากฏขึ้น พร้อมกับแสงรัศมีเปล่งประกายเป็นฉากหลังบนจอโทรทัศน์ นั่นเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนว่า อีกไม่กี่อึดใจจะต้องมีเสียงคำรามของราชันแห่งสัตว์ประหลาดอย่าง ‘ก็อดซิลล่า’ (Godzilla) ดังสนั่นกึกก้องตามมาให้ใจเต้นโครมคราม 

จากระบบฉายฟิล์มขาว-ดำสู่ระบบดิจิทัลภาพเสียงคมชัด ชื่อของโตโฮ สตูดิโอ (TOHO STUDIOS) ค่ายหนังเบอร์ต้นของประเทศญี่ปุ่น และแฟรนไชส์คู่บุญอย่างก็อดซิลล่า ได้ผูกโยงข้ามผ่านกาลเวลามายาวนานตลอด 70 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1954 จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่งวงการภาพยนตร์โลก 

อีกนัยหนึ่ง ยังยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์แดนอาทิตย์อุทัยให้เป็นที่รู้จักต่ออารยประเทศ จากเทคนิคการถ่ายทำด้วยชุดยางสุดอลังการ จนกอบโกยรายได้ค่าลิขสิทธิ์มหาศาลจากการออกฉาย และส่งต่อคาแร็กเตอร์ราชันแห่งสัตว์ประหลาดตัวนี้สู่เงื้อมมือการผลิตโดยชาวอเมริกัน

แม้กระทั่งปัจจุบันที่วงการภาพยนตร์รุดหน้าไปไกล ชื่อของโตโฮ สตูดิโอและก็อดซิลล่าได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้เชยล้าสมัย และเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณในทุกๆ เฟรม การันตีผ่านรางวัลเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ในเวทีรางวัลออสการ์ปี 2024 จากเรื่อง Godzilla Minus One

คอลัมน์ Biztory คราวนี้ ขอพาย้อนสำรวจหน้าประวัติศาสตร์ของโตโฮ สตูดิโอ และแฟรนไชส์ก็อดซิลล่า ที่เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศญี่ปุ่นไปตลอดกาล

1. จุดเริ่มต้นของ ‘โตโฮ สตูดิโอ’ รากฐานสำคัญของวงการบันเทิงญี่ปุ่น

ก่อนอื่นต้องเกริ่นว่า ประวัติศาสตร์ของสตูดิโอที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นนี้ มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่จากการเปิดเผยผ่านนิตยสารครบรอบ 78 ปี ของโตโฮ ระบุข้อมูลว่า บริษัท โตโฮ ก่อตั้งขึ้นในปี 1932 โดย อิจิโซ โคบายาชิ (Ichizō Kobayashi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ณ เวลานั้น และผู้ก่อตั้งโรงละครทาคาราซึกะ โตเกียว (Tokyo Takarazuka Theater) 

จุดประสงค์ในการสร้างบริษัทโตโฮนั้น ก็เพื่อสร้างสื่อบันเทิงด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทัดเทียมกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก หลังในปี 1927 ฟากฝั่งสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว The Jazz Singer ภาพยนตร์ขาว-ดำ ที่สามารถบันทึกเสียงเรื่องแรกของโลก นับว่าเป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก จากเดิมที่ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ในการถ่ายทำและต้องใช้เทคนิคพากย์เสียงแยกอีกที

ปรัชญาในการสร้างบริษัทโตโฮมีใจความสั้นๆ คือ ‘เพื่อมอบความบันเทิงที่สร้างแรงบันดาลใจแก่สาธารณชนในวงกว้าง’ ดังนั้น หัวใจสำคัญของบริษัทจึงเป็นลีลาการแสดงในรูปแบบละครเวที ผสมผสานกับเทคโนโลยีการถ่ายทำของบริษัท Photo Chemical Laboratories ซึ่งเป็นสตูดิโอโปรดักชั่นที่ผลิตภาพยนตร์เป็นเจ้าแรกๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งภายหลังทั้งสองบริษัทได้ควบรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ผลงานเรื่องแรกของบริษัทโตโฮ คือ A Musical Comedy: Intoxicated Life (1932) ภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอเมดี้ เกี่ยวกับความรักของหญิงสาวนักขายเบียร์ ที่มีบริษัทผู้ผลิตเบียร์เจ้าดังอย่าง ไดนิปปอนเบียร์ (Dai Nippon Beer) เป็นสปอนเซอร์สนับสนุนการถ่ายทำ ก่อนที่ในทศวรรษดังกล่าวจะมีภาพยนตร์ตามมาอีกกว่า 11 เรื่อง อย่าง Three Sisters with Maiden Hearts (1935), Princess Kaguya (1935), Enoken’s Ten Millions (1936), Tokyo Rhapsody (1936), Humanity and Paper Balloons (1937), Tojuro’s Love (1938) และ Chushingura (1939)

ถ้าพูดถึงสิ่งที่โตโฮแตกต่างจากบริษัทผู้ผลิตและโรงภาพยนตร์เจ้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศญี่ปุ่น นั่นคือวิธีการทำมาร์เก็ตติ้งแบบกระจายผลงานสู่สายตาคนดูอย่างทั่วถึง ผ่านการกว้านซื้อโรงละครน้อย-ใหญ่เพื่อเพิ่มโอกาสฉายผลงานของโตโฮ และนั่นทำให้ผู้คนซึมซับวัฒนธรรมการชมภาพยนตร์ แบบเดียวกับที่เคยมีวัฒนธรรมการชมละครเวทีมาก่อน แน่นอนว่าวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการแบบอาศัย ‘ทุนนิยม’ เข้าว่า แต่อิจิโซ โคบายาชิ มั่นใจว่านี่เป็นทางลัดที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรง   

อิจิโซ โคบายาชิ ผู้ก่อตั้งบริษัท โตโฮ

2. การกำเนิดของ ‘ก็อดซิลล่า’ อสูรนิวเคลียร์ ที่ช่วยพลิกฟื้นโตโฮกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หลังกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น โตโฮได้ดึงดูดคนมีฝีมือเข้าสู่สังกัดมากมาย โดยเฉพาะ โทโมยูกิ ทานากะ (Tomoyuki Tanaka) โปรดิวเซอร์มือทอง และอากิระ คุโรซาวะ (Akira Kurosawa) ผู้กำกับระดับบรมครู ที่เคยฝากผลงานการกำกับไว้ อย่าง Sanshiro Sugata (1943), The Most Beautiful (1944) และ The Men Who Tread on the Tiger’s Tail (1945) 

อย่างไรก็ตาม แม้โตโฮจะผลิตผลงานออกมาไม่ขาดสาย แต่ด้วยผลจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กินระยะเวลาเกือบ 7 ปี (1939-1945) ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ญี่ปุ่นซบเซาถึงขีดสุด ถึงขั้นที่สถานะการเงินของโตโฮ ณ เวลานั้นสั่นคลอนไม่น้อย

เพื่อกอบกู้โตโฮจากช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน โทโมยูกิ ทานากะ จึงผุดไอเดียสร้างหนังสัตว์ประหลาดยักษ์ หรือไคจู (Kaiju) ซึ่งไม่เคยมีค่ายหนังค่ายใดในประเทศญี่ปุ่นทำมาก่อน เพื่อตามรอยฝั่งสหรัฐฯ ที่ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง คิงคอง (King Kong) เมื่อปี 1933 แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ หนังสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ต้องมีความสมจริง น่าสะพรึงกลัว และอิงกับบาดแผลความเจ็บปวดจากระเบิดนิวเคลียร์ อาวุธที่ฝั่งสหรัฐฯ นำมาใช้ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2

โปรเจกต์ดังกล่าว โทโมยูกิ ทานากะ ได้ดึงตัว อิชิโระ ฮอนดะ (Ishirō Honda) มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับ เสริมด้วย เอจิ สึบูรายะ (Eiji Tsuburaya) มาร่วมพัฒนาบทและออกแบบเทคนิคการถ่ายทำ ให้ต่างไปจากหนังสัตว์ประหลาดยักษ์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่ยังใช้เทคนิคสต็อปโมชั่นเพื่อขยับร่างกายทีละเฟรม 

บทสรุปสุดท้าย พวกเขาตั้งชื่อสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวว่า โกจิระ (Gojira) ซึ่งมาจากการผสมคำระหว่าง โกะริระ (Gorira) ที่หมายถึงกอริลล่า และคุจิระ (Kujira) ที่หมายถึงปลาวาฬ โดยหน้าตาของมันถูกดีไซน์ให้มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์กินเนื้อ มีส่วนสูง 50 เมตร ผิวหนังสีดำหยาบกร้านคล้ายกับผิวหนังของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสี ตาขวาง เขี้ยวแหลมคม ครีบหลังคล้ายกับปะการัง และสามารถพ่นลมหายใจปรมาณูทำลายล้าง หรือ Atomic Breath ออกจากปาก  

ด้านเนื้อเรื่องนั้น โปรดิวเซอร์อย่างโทโมยูกิ ทานากะ ตั้งใจให้สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงของลักกี้ดราก้อน หมายเลข 5 (Lucky Dragon No. 5) เรือประมงสัญชาติญี่ปุ่นที่ประสบอุบัติเหตุจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ บริเวณหมู่เกาะบิกินี จนทำให้ลูกเรือทั้ง 23 รายต้องประสบเคราะห์กรรมจากการถูกกัมมันตภาพรังสีแบบเฉียบพลัน (Acute Radiation Syndrome) เจ้าโกจิระเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีจนมีร่างกายผิดเพี้ยนเช่นกัน และตั้งใจขึ้นฝั่งกลับมาล้างบางมนุษย์ด้วยแรงอาฆาตพยาบาท

หน้าตาของก็อดซิลล่า เวอร์ชั่นปี 1954
ฮารุโอะ นากาจิม่า สตันท์แมนผู้สวมชุดก็อดซิลล่าเป็นคนแรก

แน่นอนว่าการที่เจ้าอสูรโกจิระได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกล้นหลาม ไม่ได้แค่มาจากเนื้อเรื่องที่จริงจัง เพราะส่วนของสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ดูแลโดยเอจิ สึบูรายะ ก็ทำได้สมจริงกับการนำเทคนิค ‘ชุดยาง’ หรือที่ภายหลังถูกบัญญัติชื่อเรียกว่า ‘โทคุซัทสึ’ (Tokusatsu) มาใช้ โดยให้สตันท์แมนอย่าง ฮารุโอะ นากาจิม่า (Haruo Nakajima) สวมใส่ชุดเจ้าโกจิระที่มีน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม พลางเดินเหยียบย่ำบ้านเรือนจำลอง ท่ามกลางอุณหภูมิร้อนระอุภายในชุด (ต่อมา สึบูรายะนำเทคนิคชุดยางนี้ไปใช้กับแฟรนไชส์อุลตร้าแมนจนโด่งดัง และยังเป็นรากฐานสำคัญแก่วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นจวบจนปัจจุบัน) 

ขณะที่ดนตรีประกอบและเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของโกจิระนั้นได้ อากิระ อิฟุคุเบะ (Akira Ifukube) ปรมาจารย์นักประพันธ์เพลง ที่เคยฝากผลงานชิ้นโบว์แดงจากภาพยนตร์เรื่อง Snow Trail ในปี 1947 มาเป็นผู้ออกแบบ และกลายเป็นเพลงประกอบคลาสสิกระดับตำนานในเวลาต่อมา

ซาวนด์แทร็กที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ก็อดซิลล่าแทบทุกยุคสมัย โดย อากิระ อิฟุคุเบะ

3. ต่อยอดสู่มหกรรมมวยปล้ำสัตว์ประหลาด 

2 ปีต่อมาหลังออกฉายและประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ฟากฝั่งผู้ผลิตจากอเมริกาอย่าง Jewell Enterprises ได้ยื่นซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่อง โกจิระ ไปออกฉายในสหรัฐฯ ด้วยราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า Godzilla: King of the Monsters! (1956) พร้อมปรับเปลี่ยนเนื้อหาความยาวจากเดิม 96 นาที ให้เหลือเพียง 86 นาที โดยลดทอนฉากสัญญะที่เกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์จนเกือบหมด และเพิ่มฉากของสตีฟ มาร์ติน นักข่าวหนุ่มที่รับบทโดย เรย์มอนด์ เบอร์ (Raymond Burr) เป็นตัวเอกดำเนินเรื่องเข้าไปแทน

ด้วยเทคนิคการถ่ายทำชวนตื่นตาตื่นใจ นั่นทำให้กระแสของ Godzilla: King of the Monsters! ถูกพูดถึงปากต่อปาก ก่อนจะกวาดรายได้ในบอกซ์ออฟฟิศราว 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่โตโฮจะจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ไปออกฉายในอีกหลายประเทศทั่วโลก 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การออกอาละวาดบนจอเงินบนผืนแผ่นดินลุงแซม ทำให้ชื่อเสียงของก็อดซิลล่าฮิตติดลมบน จนฝั่งบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ซื้อลิขสิทธิ์ไปต่อยอดสร้างเป็นสินค้าอื่นๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ของเล่น วิดีโอเกม และแอนิเมชั่นซีรีส์ที่ผลิตโดยสตูดิโอ ฮันนา-บาร์เบรา (Hanna-Barbera) ซึ่งออกฉายจำนวน 26 ตอนทางช่อง NBC ระหว่างปี 1978-1979 

ดังสุภาษิตที่ว่า ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ ในเวลาต่อมาโตโฮเดินหน้าสร้างภาพยนตร์ของอสูรกายนิวเคลียร์ตัวนี้ตามออกมานับสิบๆ เรื่องในยุคโชวะ รวมไปถึงสร้างคาแร็กเตอร์อสูรกายระดับไอคอนิกอีกหลายตัว เช่น แองกิรัส สัตว์ประหลาดเกราะหนาม, คิงกิโดราห์ มังกรสามหัวอวกาศ, มอธร่า ผีเสื้อผู้พิทักษ์, โรแดน นกยักษ์ดึกดำบรรพ์, ไกแกน อสูรจักรกลจากต่างดาว ฯลฯ จนผู้คนขนานนามว่านี่เป็นยุคทองของวงการภาพยนตร์แนวโทคุซัทสึ

ภาพยนตร์ Godzilla: Ghidorah, the Three-Headed Monster
ภาพยนตร์ Godzilla vs. Mothra

อย่างไรก็ตาม ด้วยความตั้งใจของโตโฮที่มุ่งเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายคนดูที่เป็นเด็ก ทำให้เนื้อหาแฟรนไชส์ก็อดซิลล่าต่อจากปี 1954 กลายเป็นมหกรรมมวยปล้ำสัตว์ประหลาด เน้นต่อสู้เพื่อความบันเทิง และลบโทนซีเรียสออกไป ส่วนหน้าตาของก็อดซิลล่าแต่เดิมที่มีความน่ากลัวตามหนังสไตล์แนว terror ก็ถูกปรับแต่งให้ดูเป็นมิตรมากขึ้น ทั้งครีบหลังที่เล็กลง เขี้ยวแหลมคมที่หายไป ดวงตากลมโต และเปลี่ยนสถานะจากผู้รุกรานสู่ฮีโร่ผู้ปกป้องโลก

อิชิโระ ฮอนดะ ผู้ให้กำเนิดเทคนิคโทคุซัทสึ และก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นที่เป็นมิตรมากขึ้น

4. เมื่อถึงคราวขาลงจนนำไปสู่ก็อดซิลล่าเวอร์ชั่นอเมริกัน

ทว่าความนิยมของก็อดซิลล่าและผองเพื่อนสัตว์ประหลาดก็เดินมาถึงทางตัน เมื่อความนิยมในหนังสัตว์ยักษ์ถดถอยลง ชนิดที่ Godzilla: Terror of Mechagodzilla (1975) กวาดรายได้ไปเพียง 330 ล้านเยน หรือราว 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ติดลิสต์ภาพยนตร์ลำดับที่ 15 ที่ทำเงินน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ก็อดซิลล่ายุคโชวะ

ในที่สุดแฟรนไชส์ก็อดซิลล่าจึงห่างหายไปจากจอเงินเกือบ 10 ปี ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปี 1984 ภายใต้ชื่อเรื่องว่า The Return of Godzilla ที่กลับมาดำเนินเรื่องในโทนจริงจังและอิงกับสภาวะตึงเครียดจากสงครามเย็นในขณะนั้น 

The Return of Godzilla นับเป็นการเปิดประตูจักรวาลอสูรนิวเคลียร์ยุคเฮเซอย่างเป็นทางการ โดยผลิตออกมาจำนวนทั้งสิ้น 7 เรื่อง และเป็นครั้งแรกที่จักรวาลก็อดซิลล่ามีการผูกโยงเนื้อเรื่องต่อกัน ซึ่งเรื่องสุดท้ายที่ทางโตโฮตั้งใจให้เป็นการปิดตำนานคือ Godzilla vs. Destoroyah ในปี 1995 ทั้งนี้ ก็เพื่อเปิดทางเจ้าอสูรนิวเคลียร์ไปโลดแล่นสู่โลกฮอลลีวูด ที่อยู่ภายใต้การพัฒนาดูแลโปรเจกต์โดยโซนี่ พิคเจอร์ส (Sony Picture) ก่อนจะคลอดออกมาในปี 1998 ด้วยทุนสร้างราว 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ภาพยนตร์เรื่อง The Return of Godzilla

แม้โปรเจกต์ก็อดซิลล่าฉบับฮอลลีวูดจะสามารถกวาดรายได้ทั่วโลกกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แฟนเดนตายของเจ้าอสูรนิวเคลียร์กลับสาดเสียเทเสีย โซนี่ พิคเจอร์ส และผู้กำกับโรแลนด์ เอมเมอริช ในข้อหาไม่เคารพบทต้นฉบับ เพราะเปลี่ยนปูมหลังอันน่าเกรงขามของก็อดซิลล่าให้กลายเป็นกิ้งก่าอีกัวน่าอาบกัมมันตรังสี รวมไปถึงดีไซน์ที่ต่างออกไปสิ้นเชิง จนมันไม่ถูกนับรวมอยู่ในวงศาคณาญาติของก็อดซิลล่าและถูกเรียกว่าซิลล่า (Zilla) เท่านั้น 

ก็อดซิลล่าเวอร์ชั่นฮอลลีวูดของโซนี่ พิคเจอร์ส

ฟากโตโฮที่เห็นท่าไม่ดีจึงเปลี่ยนแผน จากเดิมที่จะหยุดผลิตภาพยนตร์เกี่ยวกับก็อดซิลล่าไปจนถึงปี 2005 จึงนำกลับมาทำต่อทันที โชโงะ โทมิยามะ (Shōgo Tomiyama) โปรดิวเซอร์ของโตโฮ ณ เวลานั้นได้ดึงตัว ทาคาโอะ โอกาวาระ (Takao Okawara) กลับมาเป็นผู้กำกับ ซึ่งโชโงะได้นำเทคนิคการถ่ายทำแบบโทคุซัทสึมาผสมผสานกับคอมพิวเตอร์กราฟิก (CGI) ที่กำลังมาแรง และได้ ยูจิ ซาไก (Yuji Sakai) ศิลปินชื่อดังมาดีไซน์ยกเครื่องหน้าตาเจ้าก็อดซิลล่า ก่อนจะออกฉายในชื่อเรื่องว่า Godzilla 2000: Millennium (แต่ออกฉายในปี 1999) 

5. รุ่งอรุณแห่งราชันสัตว์ประหลาด ในฐานะโปรดักต์สำคัญที่ทำให้โตโฮยืนหยัดถึงทุกวันนี้

นับตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แฟรนไชส์ก็อดซิลล่ายังคงวนเวียนอยู่บนจอเงินแบบไปๆ มาๆ แต่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างเท่าเดิม โตโฮผลิตภาพยนตร์ Godzilla: Final Wars ในปี 2004 ก่อนจะทิ้งช่วงหายไปอย่างยาวนาน เพื่อหันไปผลักดันในส่วนของขาธุรกิจอื่นๆ ในเครือ

คาแร็กเตอร์ก็อดซิลล่ากลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในปี 2014 ทว่าไม่ใช่ในนามการสร้างของโตโฮ แต่เป็นสตูดิโอเลเจนดารี่ พิคเจอร์ส (Legendary Pictures) ที่อยู่ภายใต้บริษัทวอร์เนอร์บราเธอส์เอ็นเทอร์เทนเมนต์ (Warner Bros. Entertainment Inc.) และสานต่อจนกลายเป็นจักรวาลมอนสเตอร์เวิร์สถึงปัจจุบัน

ในที่สุดปี 2016 โตโฮก็นำก็อดซิลล่าปัดฝุ่นกลับมาทำอีกครั้ง หลังปล่อยให้ฝั่งฮอลลีวูดเดินหน้าสร้างจักรวาลของตัวเอง การกลับมาครั้งนี้มีชื่อเรื่องว่า Shin Godzilla หรือ Godzilla: Resurgence ที่กำกับโดย ฮิเดอากิ อันโนะ (Hideaki Anno) ในเนื้อหาที่ตีความก็อดซิลล่าในฐานะภัยพิบัติทางธรรมชาติ คล้ายกับเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิในปี 2011 ควบคู่กับการจิกกัดวิธีการทำงานของรัฐบาลตลอดทั้งเรื่อง

ภาพยนตร์เรื่อง Shin Godzilla

ในปี 2023 โตโฮก็ได้ปล่อยภาพยนตร์เรื่อง Godzilla Minus One ที่กำกับโดย ทากาชิ ยามาซากิ (Takashi Yamazaki) โดยมีแก่นของเรื่องคล้ายกับก็อดซิลล่าฉบับปี 1954 ที่เล่าถึงความสูญเสียของชาวญี่ปุ่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และตราบาปของมนุษย์จากการใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้าห้ำหั่นกัน 

หนึ่งในฉากที่เป็นภาพจำจาก Godzilla Minus One

การย้อนกลับสู่รากเหง้าต้นกำเนิดของราชันสัตว์ประหลาดครั้งนี้ นอกเสียจากจะเรียกชื่อเสียงของโตโฮกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นครั้งแรกที่แฟรนไชส์ก็อดซิลล่าก้าวไปถึงรางวัลเวทีออสการ์ ในสาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม (Best Visual Effects) ด้วยต้นทุนถ่ายทำเพียง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ตัวก็อดซิลล่าถูกสร้างจากเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิกตลอดทั้งเรื่อง ต่างจากเดิมที่ใช้เทคนิคชุดยางหรือหุ่นเชิด (Animatronics)

นอกจากตัวเลขรายได้จำนวน 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกหนึ่งสถิติที่บ่งชี้ว่า Godzilla Minus One ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก คือการที่เว็บไซต์ TorrentFreak ออกมาเผยสถิติว่า Godzilla Minus One ขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่มีการดาวน์โหลดผิดกฎหมายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกในต้นปี 2024 เพราะทางโตโฮตัดสินใจออกฉายแค่ในประเทศตัวเอง รวมถึงสหรัฐฯ และทวีปยุโรปบางประเทศ 

ส่วนชาวเอเชียได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาคอย ก่อนจะมีการปล่อยฉายทางแพลตฟอร์มสตรีมมิงเน็ตฟลิกซ์เมื่อต้นเดือนมิถุนายน แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไร้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงมีการล็อกโซนฉาย บางกระแสก็ว่าอาจกระทบต่อความรู้สึกของชาติที่ได้รับผลกระทบจากไฟสงครามในอดีต บางเหตุผลก็ว่าเป็นเพราะเหตุผลด้านธุรกิจ แต่สุดท้ายเวลานี้ผู้คนทั่วทั้งโลกก็น่าจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแล้ว

ณ ตอนนี้จึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งรุ่งอรุณของราชันสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างแท้จริง และเป็นบทพิสูจน์ว่า ต่อให้อาณาจักรโตโฮจะยกระดับยิ่งใหญ่เพียงใด แต่หน้าประวัติศาสตร์จะต้องมีชื่อของก็อดซิลล่าเคียงข้างอยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่แค่ในฐานะสินค้าทำเงิน แต่เป็นจิตวิญญาณและป๊อปคัลเจอร์ที่มิอาจประเมินมูลค่าได้

อ้างอิง