TAG Heuer Formula 1

TAG Heuer Formula 1 นาฬิกาที่เป็นมากกว่านาฬิการถแข่ง

สนาม : ไมอามี่ กรังด์ปรีซ์
วันที่ : 5 พฤษภาคม 2024

แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ต้องเป็นผู้ผิดหวังอีกครั้ง เมื่อจบด้วยการเป็น ‘P2’ หรือที่ 2 ของการแข่งขันในรายการไมอามี่ กรังด์ปรีซ์ หนึ่งในสนามแข่งที่เร้าใจที่สุด

สนามนี้แชมป์โลกชาวเนเธอร์แลนด์ไม่ได้ดวงแตกรถมีปัญหาเหมือนในรายการที่ออสเตรเลีย แต่โชคชะตาก็มีส่วนช่วยให้ แลนโด นอร์ริส ยอดนักขับชาวอังกฤษจากทีมแม็คลาเรน ได้โชว์ของและคว้าแชมป์สนามแรกในชีวิตได้สำเร็จ แวร์สเตปเพน มีสีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังชื่นชมและแสดงความยินดีกับเพื่อนผู้ชนะ

ในช่วงของการรับรางวัลนั้นเองที่แฟนๆ ได้เห็นเจ้า TAG Heuer Formula 1 ในตำนานบนข้อมือของแวร์สเตปเพนแบบชัดๆ ที่วันนี้ถูกชุบชีวิตให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และเพิ่งเปิดตัวไปที่เมืองไมอามี่แห่งนี้เอง ท่ามกลางความสนใจอย่างมากจากแฟนๆ และนักสะสมทั่วโลก 

ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน นอกจากความดุเดือดเร้าใจ และเหตุการณ์พลิกผันที่สุดจะคาดเดาในแต่ละสนามแล้ว อีกด้านหนึ่งคือ สีสันจากนักขับ ไลฟ์สไตล์สุดลักชูรี และแฟชั่นจัดจ้านของบรรดาเซเลบริตี้ที่มาร่วมชมไม่เคยขาด แบรนด์สปอนเซอร์ต่างๆ จึงไม่พลาดที่จะร่วมฉกฉวยอายบอลจากผู้ชมทั่วโลก ไม่นับรวมโอกาสในการปรากฏภาพบนสื่อชั้นนำมากมาย และแน่นอนว่าหนึ่งในสินค้าที่ใกล้ชิดกับเอฟวัน มาอย่างยาวนานและแนบเนียนที่สุดก็คือนาฬิกา

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลา แม้เพียงเล็กน้อยแค่เสี้ยววินาทีก็มีความหมายยิ่งใหญ่เสมอในโลกของการแข่งรถ นาฬิกาของนักแข่งจึงต้องมาพร้อมกับคุณภาพ มาตรฐานความแม่นยำที่ได้รับการยอมรับ และต้องดูมีระดับในเวลาเดียวกัน ทีนี้ท่ามกลางนาฬิกามากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘เอฟวัน’ มีไอคอนระดับตำนานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลย นั่นก็คือ TAG Heuer Formula 1 

ว่าแต่ทำไมชื่อรุ่นกับชื่อการแข่งขันใช้ชื่อเดียวกัน?

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจเต็มๆ ของ TAG Heuer ในการที่จะตั้งชื่อนาฬิการุ่นนี้ให้ล้อไปกับการแข่งขันรถแข่งอันดับหนึ่งของโลก โดยที่ความตั้งใจนั้นไม่ได้เป็นไปเพียงแค่เรื่องของผลทางการตลาด

แต่มันเกิดจากความหลงใหลและความผูกพันที่มีต่อการแข่งรถอย่างแท้จริง

เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปถึงในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ครับ

ในเวลานั้นเกิดวิกฤตหนักสำหรับผู้ผลิตนาฬิกาในระบบควอตซ์ โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตนาฬิกาเบอร์หนึ่งของโลกอย่างสวิตเซอร์แลนด์ที่ประสบปัญหาจนหลายบริษัทล้มหายตายจากกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะสู้กับกองทัพนาฬิกาจากประเทศญี่ปุ่นที่บุกถล่มแบบกามิกาเซ่ไม่ไหว

หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ Heuer นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1860 แต่ยังดีที่พวกเขาได้ Techniques d’Avant Garde เข้ามาเทคโอเวอร์ทำให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้ ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น TAG Heuer อย่างที่เราคุ้นเคยกัน

แต่ในการเทคโอเวอร์ครั้งนี้มันมีเรื่องน่าสนใจอยู่ตรงที่ Techniques d’Avant Garde นั้นไม่ได้เป็นบริษัทนาฬิกา แต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและรถแข่ง แต่ดันต้องมาจับมือกับ Heuer ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์เก่าแก่

เรียกว่าอยู่กันคนละโลกเลย แล้วจะอยู่รวมกันยังไง?

สิ่งที่ผู้บริหารทั้งสองบริษัททำคือการพยายามหาสิ่งที่อยู่ตรงกลาง อะไรที่จะเชื่อมโยงเข้าถึงกันได้ และอะไรที่จะทำให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

เหลือเชื่อครับที่สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างใจของทั้งสองบริษัทคือ ‘การแข่งรถ’ 

สำหรับ Techniques d’Avant Garde อย่างที่บอกว่าพวกเขาอยู่ในอุตสาหกรรมรถแข่งอยู่แล้วในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น เครื่องเซรามิกเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูล่าวัน

แล้วแบรนด์นาฬิกาอย่าง Heuer ล่ะพวกเขาเกี่ยวอะไรกับการแข่งรถ?

คำตอบคือเกี่ยวครับและเกี่ยวมากด้วย เพราะรถแข่งคือสิ่งที่ แจ็ค ฮอยเออร์ (Jack Heuer) ผู้เป็นหลานชายของ เอดูอาร์ด ฮอยเออร์ (Edouard Heuer) ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Heuer หลงใหลและคลั่งไคล้อย่างมาก

Jack Heuer
Edouard Heuer ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Heuer

หนึ่งในนาฬิการุ่นคลาสสิกที่สุดตลอดกาลของ Heuer คือรุ่น Carrera ก็มาจากชื่อการแข่งขันรถรายการในตำนาน ‘Carrera Panamericana’ ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความระห่ำที่หลายครั้งเกิดความสูญเสียของนักขับ

โดยคนที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังคือสองนักขับพี่น้องตระกูลโรดริเกวซ (Rodríguez) อย่างเปโดร (Pedro) และริคาร์โด (Ricardo) สองนักขับแห่งทีมเฟอร์รารีที่เมื่อได้ฟังแล้วแจ็ค ถึงกับตื่นเต้นหัวใจร้อนแรงตามไปด้วย และเกิดความคิดที่ว่าชื่อ Carrera นั้นฟังแล้วดู ‘สง่า-มีพลัง-ออกเสียงง่ายไม่ว่าจะกับภาษาไหน’ 

เหมาะกับการเอามาตั้งชื่อเป็นรุ่นนาฬิกาเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนครับว่าแจ็คได้มอบนาฬิกาให้กับสองศรีพี่น้องไว้ใส่เดินทางไปแข่งขันทั่วโลกซึ่งก็ได้รับความสนใจจากเพื่อนพ้องนักแข่งและแน่นอนว่ามันลามไปถึงแฟนๆ นักขับที่ได้เห็นแล้วก็อยากจะหล่อจะเท่แบบฮีโร่ในดวงใจบ้าง

แต่คนที่ทำให้ชื่อของ Heuer โด่งดังในวงการรถแข่งจริงๆ คือ โจ ซิฟเฟิร์ต (Jo Siffert) หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า ‘เซ็ปปี’ (Seppi) ที่เซ็นสัญญากับ Heuer ในปี 1969 และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับทีมรถแข่งครั้งแรกของวงการรถแข่งเอฟวัน

Heuer Autavia ‘Jo Siffert’

หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นนักกีฬาเอฟวันคนแรกที่ได้สปอนเซอร์เป็นของตัวเอง

ซิฟเฟิร์ต ไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักแข่งโดยเฉพาะยามขับให้ทีมปอร์เช่ (Porsche) แต่ยังทำให้นาฬิกาของ Heuer ในรุ่น Carrera และอีกรุ่นที่เป็นตำนานตลอดกาลไม่แพ้กันอย่าง Monaco ขึ้นแท่นนาฬิกาอมตะของโลก

ก่อนที่แรงบันดาลใจจากซิฟเฟิร์ตจะถูกส่งต่อไปถึงดาราดังอย่าง สตีฟ แม็คควีน (Steve McQueen) ที่รับบทดารานำในหนังเรื่อง ‘Le Mans’ ซึ่งแม็คควีน (ใช่ครับ…นี่แหละที่มาของ Lightning McQueen!) บอกว่าเขาอยากใส่นาฬิการุ่น Heuer Monaco 

“ผมอยากเท่แบบโจ!” 

เดาได้ไม่ยากนะครับว่าเมื่อหนังออกฉายนาฬิการุ่นนี้ได้รับความนิยมในระดับไหน

ก่อนที่ Heuer จะเดินหน้าต่อด้วยการเซ็นสัญญาเป็น ‘ผู้รักษาเวลา’ (Timekeeper) ให้กับทีมรถแข่งเฟอร์รารี ซึ่งในความรู้สึกของแจ็คแล้วนี่คือชัยชนะครั้งสำคัญของเขา ในการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมรถแข่งที่ดีที่สุดของโลก

เป็น sport marketing ที่มาก่อนกาลเลยก็ว่าได้

โดยที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน TAG Heuer ยังคงให้การสนับสนุนรถแข่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกับทีม Oracle Red Bull Racing ในการแข่งขันรถเอฟวัน ทีม TAG Heuer Porsche ในการแข่งขันรถฟอร์มูล่า อี ไปจนถึงรายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งระดับตำนานที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด

ยิ่งในปีนี้ครบรอบ 30 ปีที่ แอร์ตัน เซนนา (Ayrton Senna) สุดยอดนักขับระดับตำนานตลอดกาลชาวบราซิลจากไปด้วยอุบัติเหตุในการแข่งขันที่อิโมลา เซอร์กิต ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1994 ทำให้จะมีการรำลึกถึงเซนนาที่รายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์เป็นพิเศษเพราะเป็นสนามที่เขาชำนาญและเก่งกาจที่สุด

และที่สำคัญเซนนายังเป็น Legend Ambassador ของ TAG Heuer ด้วย

ทีนี้ด้วยเรื่องราวความรักความผูกพันที่มีต่อรถแข่งคือสิ่งที่ทำให้ทั้ง Techniques d’Avant Garde และ Heuer เห็นตรงกันว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะสร้างและเดินหน้าต่อไปด้วยกันในนามของ TAG Heuer 

สร้างนาฬิการุ่นใหม่ที่จะตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความหรูหราประสานาฬิกาควอตซ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องเข้าถึง ‘ใจ’ ของผู้คนได้ง่ายขึ้นเพื่อสู้กับทั้งนาฬิกาจากญี่ปุ่นรวมถึง Swatch นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ฉีกแนวไปทำนาฬิกาดีราคาถูกจนประสบความสำเร็จอย่างสูง

สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น TAG Heuer Formula 1 ที่สะท้อนถึงความหลงใหลในมอเตอร์สปอร์ตและการแข่งรถเอฟวัน ผ่านการออกแบบที่สะดุดตามีสไตล์แบบ sporty ที่โดดเด่น ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างร้อนแรงเมื่อออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1986 ซึ่งถือเป็นนาฬิการุ่นแรกที่จำหน่ายในนามแบรนด์ TAG Heuer ด้วย

ความสำเร็จของ TAG Heuer Formula 1 นั้นมาจากการออกแบบที่ไม่ได้หรูหราเกินไปแต่ก็แข็งแรงในแบบของนาฬิกาสวิส มีความสปอร์ตโดยเฉพาะกรอบหน้าปัด (เคส) ที่ทำจากเรซิ่นมีลูกเล่นสีสันสดใส สายที่ทำจากยางคุณภาพสูง เท่ครบจบในเรือนเดียว

โดยที่ผู้ออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจาก ‘Heuer Easy Rider’ นาฬิการุ่นดังที่ออกวางจำหน่ายในยุค 70s ในราคาที่ถูกลงเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนักช้อปคนรุ่นใหม่ ที่อยากมีนาฬิกาเท่ๆ และมีสไตล์ไว้ในครอบครอง

Heuer Easy Rider

แต่ในความสีป๊อปสดใสนั้นสิ่งที่ TAG Heuer รักษาไว้คือความแม่นยำของนาฬิกาและความสามารถในการใช้งานได้จริงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักแข่งรถและทีมรถแข่งที่ต้องการความแม่นยำในการ ‘จับเวลา’ ให้ได้ในระดับเสี้ยววินาที ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นนาฬิกาที่นักแข่งรถสวมใส่เสมอ ซึ่งในปัจจุบัน แม็กซ์ เวอร์สเตปเพน แชมป์โลก 3 สมัยชาวเนเธอร์แลนด์จากทีมเรด บูล ก็ยังสวมใส่ลงแข่งขัน

เรียกได้ว่านาฬิการุ่นนี้ทำให้เกิดเส้นทางใหม่ต่อไปสำหรับ TAG Heuer ที่มีการพัฒนาต่อยอดออกมาอีกมากมาย เช่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนสาย เปลี่ยนหน้าปัด และเพิ่มเข็ม chronograph เข้าไปนอกจากจะได้ฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มแล้วยังเท่ขึ้นไปอีก

แต่คุณค่าที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่ TAG Heuer Formula 1 ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของบริษัท TAG Heuer ไปตลอดกาล ทำให้กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยในวงการอีกครั้ง และทำให้เกิดความตื่นตัวในวงการนาฬิกาหรูไปด้วย

นาฬิการุ่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับบอกเวลาธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เป็นนาฬิกาที่มีความสำคัญอย่างมากในเชิงของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

แต่สำหรับผู้คนมากมายแล้ว สิ่งที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้มีความหมายมากกว่าคือเรื่องราว ‘ความทรงจำ’

สำหรับใครหลายคนนี่อาจจะเป็นนาฬิกาเรือนแรก หรือนาฬิกาหรูเล็ก ๆ เรือนแรกในชีวิต 

นาฬิกาที่ต้องเก็บหอมรอมริบกันพอสมควรกว่าที่จะถอยมาครองได้สักเรือน เพื่อจะได้ใส่เหมือนฮีโร่นักแข่งในดวงใจบ้าง

นาฬิกาที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อตามหารุ่นและสีที่ชอบ เพราะหายากหาเย็นเหลือเกิน

นาฬิกาที่ทำให้เราเหมือนเดินทางย้อนเวลากลับไปถึงช่วงเวลาที่คิดถึงอีกครั้ง กับการไปชมรถแข่งที่สนาม การนั่งลุ้นติดตามกับเพื่อน หรือการเปิดอ่านนิตยสารรถแข่งในเวลาว่าง

สิ่งเหล่านี้เป็น ‘คุณค่า’ ที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นไอเทมคลาสสิกที่ทุกคนรักและคิดถึง ซึ่งในช่วงปี 2018-2022 มีข้อมูลที่น่าสนใจว่านาฬิการุ่นวินเทจ (ผลิตในปี 80s) มีการซื้อ-ขายกันบน eBay มากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับตัวเลขรุ่นทั่วไปที่ 17 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ตัวเลขราคาของนาฬิกาแบบวินเทจนั้นเพิ่มขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาปีเดียว (ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2023) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับตลาดนาฬิกาวินเทจที่แม้สนนราคาของ TAG Heuer Formula 1 จะไม่ได้สูงเท่ากับนาฬิกาหรูรุ่นอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเริ่มมีราคาเช่นกัน

ความนิยมที่ไม่มีวันตายนี้ยังทำให้มีการเรียกร้องให้ TAG Heuer ผลิต Formula 1 รุ่นใหม่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ซึ่งทางแบรนด์เองก็รู้ใจ จึงส่งรุ่นและสีที่ชวนให้คิดถึงความทรงจำครั้งเก่าออกมาเรื่อยๆ

รวมถึงในคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่ทำร่วมกับ Kith ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังขวัญใจมหาชนจากนิวยอร์กที่ได้ย้อนเวลานำเอาดีไซน์ในปี 1986 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง กับความร่วมสมัยที่จะพา Formula 1 ไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่ 

โดยเบื้องหลังแล้วเกิดจากความบังเอิญที่ Ronnie Fieg เจ้าของแบรนด์ Kith ได้นั่งเคียงข้างกับ Frédéric Arnault ผู้บริหารระดับสูงของเครือ LVMH ในระหว่างมื้อค่ำ เขาจึงมีโอกาสได้เล่าถึง TAG Heuer Formula 1 Series 1 สีแดงและดำ นาฬิกาเรือนแรกที่เขาหลงรักมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนไป และยังพยายามขุดหารูปถ่ายสมัยวัยรุ่นที่มีนาฬิการุ่นนี้บนข้อมือมาให้อาร์โนลต์ดูอีกด้วย

บทสนทนาที่มาถูกเวลาในค่ำคืนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการจับมือกันที่จะนำความทรงจำจากวันวาน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมและอยู่ในแผนงานของ TAG Heuer พอดิบพอดี ให้กลับมาอีกครั้งในคอลเลกชั่น TAG Heuer Formula 1 Kith 

โดยที่ในรายละเอียดแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องนำแม่พิมพ์ดีไซน์เดิมกลับมาใหม่ และร่วมงานกับซัพพลายเออร์เจ้าเดิม แต่เพิ่มเติมวัสดุสมัยใหม่ที่แข็งแรงขึ้น เช่น การใช้คริสตัลแซฟไฟร์แทนที่ของพลาสติก ส่วนสายมีการเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นสเตนเลส หรือยางแล้วแต่สี 

ขณะที่บนหน้าปัดที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา จะมีคำว่า ‘Just Us’ ซึ่งเป็นสโลแกนของ Kith อยู่ด้วย และที่ด้านหลังจะมีการสลักคำว่า ‘Kith Heuer’ และ ‘Kith & Kin’ ไว้ที่แตกต่างจากรุ่น Formula 1 ทั่วไป 

สุดท้ายก็ทำออกมาได้สำเร็จสวยงาม 10 สี 10 แบบ เพื่อให้เข้าถึงใจของผู้คนที่มีหลากคาแร็กเตอร์ หลายสไตล์ ซึ่งแน่นอนว่าทำออกมาจำนวนจำกัดมากๆ แล้วแต่สี (บางสีมี 250 เรือน บางสีมี 1,350 เรือน) และถูกจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว รวมถึงราคารีเซลที่พุ่งไปไกลเกิน 2 เท่าตัวแล้ว 

นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เรื่องราวของ TAG Heuer Formula 1 จะวนกลับมาเจอกับทุกคนใหม่ ไม่ต่างอะไรจากรถแข่งที่วิ่งกลับมาที่เส้นชัยและธงตราหมากรุก ที่ในเวลาเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ

เพราะความสำเร็จที่สวยงามที่สุดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือการที่นาฬิกาสักเรือนสามารถเป็นตัวแทนความหมายของความรัก ความฝัน และความทรงจำของคนมากมาย และเป็นสิ่งที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 เป็นนาฬิกาที่อยู่เหนือกาลเวลา

  • นาฬิกา TAG Heuer Formula 1 Kith ที่ลิซ่าใส่เป็นเวอร์ชั่น Kith ตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล วงขอบเรือนสีดำมีสเกลเป็นสีแดงและสีขาว รุ่นนี้มีจำหน่ายแค่ 1,350 เรือนเท่านั้น
  • ราคารีเซล TAG Heuer Formula 1 Kith ในตลาดนั้นพุ่งทะยานอย่างน่ากลัว ในบ้านเรามีคนตั้งราคาไว้ตั้งแต่ 79,000 ไปจนถึง 130,000 บาทเลยทีเดียว

อ้างอิง

Writer

นักเตะสมัครเล่นที่พอเขียนหนังสือได้นิดหน่อย เชื่อในพลังของตัวหนังสือที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้ มีเพจเล็กๆของตัวเองชื่อ Sockr และเคยแปลหนังสือ เมสซี vs. โรนัลโด: คู่ปรับฟ้าประทาน

Illustrator

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like