ถอดบทเรียนการรวมพลังแก้ปัญหาสังคมของภาคธุรกิจจากงาน Good Society Thailand 2024 

คุณเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่าเราตัวคนเดียวหรือองค์กรแห่งเดียวจะสามารถแก้ปัญหาสังคมและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้มากน้อยแค่ไหน งาน Good Society Day ในปีนี้ได้ชวนหลายภาคส่วนในสังคมมาแชร์ประสบการณ์ร่วมกันว่าการมีพาร์ทเนอร์จากคนละวงการ คนละบทบาทมาทำงานร่วมกันจะช่วยต่อจุดและต่อยอดการผลักดันในสังคมให้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง  

จากเซสชั่น ‘จุดร้อยพลัง Collaboration for Good Society’ เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา หลายองค์กรเพื่อสังคมจากหลากวงการได้แชร์อินไซต์ว่าปัญหาสังคมมักมีสเกลใหญ่ที่แก้คนเดียวไม่ได้แต่จะทำงานง่ายขึ้นเมื่อรวมพลังกัน 

คุณเปิ้ล-จริญญา แจ่มแจ้ง จาก Learn Education กิจการเพื่อสังคมด้านการศึกษามองว่าปัญหาการศึกษาต้องแก้ไปถึงระดับนโยบายซึ่งจะทำได้ดีกว่าเมื่อร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ส่วนคุณบิ๊ก-สุภอรรถ โบสุวรรณ จาก HAND SE วิสาหกิจที่ทำระบบธรรมาภิบาลและต่อต้านคอร์รัปชันก็ได้พยายามร้อยเรียงกลุ่มภาคีและสร้างระบบที่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสเพื่อให้การตื่นตัวเรื่องคอร์รัปชันเป็นเรื่องของทุกคน ในขณะที่คุณสุนิตย์ เชรษฐา จาก Change Fusion ที่รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมก็มองว่าหากผู้ที่เป็นทั้งกองหนุน กองหน้าในการรณรงค์รวมถึงประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาก็จะทำให้การแก้เรื่องสิ่งแวดล้อมราบรื่นยิ่งขึ้น 

แต่ไม่ใช่แค่ภาคสังคมเท่านั้นที่สามารถผลักดันประเด็นต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการหรือคนทั่วไปที่อยากผลักดันอะไรบางอย่างจากภายในองค์กรของตัวเอง ตลอดทั้งงานจาก Good Society Day ได้แสดงให้เห็นเรื่องราวน่าประทับใจว่าคนตัวเล็กๆ ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้และจะมีพลังยิ่งขึ้นเมื่อแต่ละคนใช้ความเชี่ยวชาญและต้นทุนของตัวเองมาสนับสนุนกันและกัน 

นอกจากเซสชั่นข้างต้นแล้ว เราขอชวนทุกคนอ่านสรุปจากสองเสวนาของภาคธุรกิจที่สรุปเคล็ดลับการผลักดันการแก้ปัญหาสังคมให้สำเร็จ ทั้งเรื่องราวการร่วมมือของภาคธุรกิจกับภาคสังคมจากสามเคสของธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และผู้ผลิตแบรนด์ถุงขยะแชมเปี้ยนในเซสชั่น ‘จุดต่อยอด : Social x Businesses: Collaborative Sustainability’ และการทำแคมเปญเพื่อสังคมที่สร้างอิมแพ็กของ LINE MAN Wongnai และ SATI app ผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาจากเซสชั่น ‘จุดก้าวกระโดด : Decoding Successful Social Campaigns’

แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่องค์กรต่างรูปแบบจะทำงานร่วมกัน แต่เรื่องราวของธุรกิจเหล่านี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนเชื่อและมีความหวังได้มากขึ้นว่าเมื่อ Good Dots มาอยู่ร่วมกันจะสามารถรวมพลังเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างให้สังคมได้ 

1. การแก้ปัญหาการศึกษาอย่างต่อเนื่องของธนาคารยูโอบี ประเทศไทยที่สำเร็จเพราะพันธมิตร

ปัญหาการศึกษาตั้งแต่เด็กหลุดออกจากระบบไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยมาเป็นเวลานาน หลายคนอาจมองว่าธนาคารน่าจะช่วยสนับสนุนปัญหานี้ได้ในด้านการเงินเท่านั้นแต่คุณเอ๋-ธรรัตน โอฬารหาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่จากธนาคารยูโอบี ประเทศไทยบอกว่าภาคธุรกิจอย่างธนาคารยูโอบีมองถึงการสร้างอิมแพ็กที่มากกว่านั้นและอยากเป็นจุดหนึ่งที่คอนเน็กกับภาคสังคมและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการศึกษาที่มีคุณภาพ

หลักสูตรการศึกษาโดยธนาคารยูโอบี ประเทศไทยมีตั้งแต่หลักสูตรการเงิน ‘UOB Money 101’ ที่สอนตั้งแต่วิชาการเงินพื้นฐานไปจนถึงเรื่องการเงินที่ไม่ค่อยได้สอนในห้องเรียนและยังขยายผลการสร้างห้องเรียนอื่นๆ ในวิชาพื้นฐานทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ ไปจนถึงชวนครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากองค์กร Teach for Thailand และกิจกรรมแนะแนวจากโครงการ a-chieve มาให้คำแนะนำเพื่อให้เด็กๆ มองเห็นโอกาสในทางเดินชีวิตมากขึ้น

คุณเอ๋ยังเล่าว่าความตั้งใจในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมของธนาคารยูโอบีนั้นเน้นในสามแกนคือ เยาวชน การศึกษา ศิลปะ โดยมีหลักว่าในแต่ละโครงการอยากเชื่อมกับภาคีต่างๆ เพื่อขยายผล อยากสร้างการมีส่วนร่วมและมีการบริจาค ตัวอย่างเช่น ‘UOB Heartbeat Run/Walk’ โครงการวิ่งระดมทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนที่ชวนพนักงานในองค์กรและองค์กรพันธมิตรมาวิ่งร่วมกัน โดยมีเสื้อวิ่งในงานจากโรงงานผู้ผลิตเสื้อที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และยังมีองค์กรเพื่อสังคมมาช่วยจัดการด้านการแยกขยะและรับบริจาคในงานอีกด้วย 

สาเหตุที่ธนาคารยูโอบีสามารถทำโครงการเพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายปีแบบนี้ได้เพราะชวนพันธมิตรจากหลายภาคส่วนมามีส่วนร่วมในโครงการด้วยกันและมีความหวังอยู่เสมอว่าปัญหาการศึกษาสามารถแก้ให้ดีขึ้นได้ซึ่งนับเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน

2. การแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กด้วยความเชี่ยวชาญด้านดาต้าของธนาคารกรุงศรีฯ  

หลายครั้งการแก้ปัญหาสังคมก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในภาคธุรกิจมาเป็นกำลังสำคัญ
เช่น ความร่วมมือของธนาคารกรุงศรีอยุธยากับ FOOD FOR GOOD ซึ่งเป็นโครงการเพื่อสังคมที่สนับสนุนการแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กซึ่งมีที่มาความร่วมมือครั้งนี้จากทีมนวัตกรรมของธนาคารกำลังมองหาโจทย์ที่ภาคธุรกิจสามารถช่วยสังคมได้มากกว่าแค่ให้ทุนทรัพย์

เมื่อทีมธนาคารกรุงศรีอยุธยาค้นพบว่าหลายโรงเรียนมีปัญหาที่เด็กๆ ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนจึงตั้งคำถามว่า “ในมุมนวัตกร มีอะไรที่ทีมสามารถตอบแทนสังคมในรูปแบบที่ต่างออกไปได้บ้าง ที่ผ่านมาธนาคารดึงความรู้ของทีมมาช่วยกันแก้ปัญหาในมุมธุรกิจมาตลอด วันนี้เรากำลังมองไปที่สังคมแล้วทำแบบเดียวกัน”

คุณโจ้-ประมุข แจ่มจันทึก พ่อทัพฝ่ายนวัตกรรมของธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้เล่าเบื้องหลังการทำงานไว้ว่า “เราไม่สามารถแก้ทุกปัญหาพร้อมกันได้ เลยเลือกปัญหาการแทร็คข้อมูลขึ้นมาแก้ ฟังดูเป็นเรื่องไม่ใหญ่ แต่ที่ผ่านมาไม่มีเครื่องมือที่เก็บและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างบันทึกน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กให้หน่วยงานเหล่านี้” 

ทีมธนาคารทำงานร่วมกับ FOOD FOR GOOD ในการเลือกโรงเรียนที่พร้อมนำเครื่องมือและกระบวนการเก็บข้อมูลไปใช้พร้อมพัฒนาปรับปรุงตามฟีดแบ็คจากโรงเรียน ผลลัพธ์คือหน่วยงานทีี่เกี่ยวข้องด้านการดูแลโภชนาการเด็กไปจนถึงผู้ปกครองสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น โดยมีจำนวนโรงเรียนที่ใช้งานเครื่องมือนี้ไปแล้ว 50 โรงเรียนและกำลังมีแผนขยายถึงหลักร้อยโรงเรียน ส่วนในมุมของธนาคารเองนอกจากได้ช่วยสังคมแล้ว ยังได้สร้างแรงบันดาลใจและจิตสำนึกที่ดีให้พนักงานในทีมมองเห็นโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคม ซึ่งคุณโจ้มองว่าแม้จะเร่ิมจากการแก้ปัญหาจุดหนึ่งเล็กๆ แต่ถ้าทำอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถขยายผลให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นการแก้ปัญหาสังคมที่ยั่งยืนได้ 

3. การรณรงค์ลดขยะของผู้ผลิต ‘ถุงขยะแชมเปี้ยน’ ที่ตั้งใจรับผิดชอบต่อสังคม

บริษัท ดนุเดช อุตสาหกรรม จำกัดเป็นผู้ผลิตแบรนด์ ‘ถุงขยะแชมเปี้ยน’ และนั่นเป็นเหตุผลให้ คุณตุ๋ย-รัชฎา อินทรชลิต รองกรรมการผู้จัดการเล่าว่าบริษัทของเธออยากมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสินค้าที่ผลิตขึ้นมา

หลายคนอาจจะเคยเห็นถุงขยะสีสดใสของแบรนด์ที่แยกออกเป็นหลายสีเพื่อคให้แยกขยะได้ง่ายขึ้นมาบ้างแล้ว คุณตุ๋ยบอกว่า “เราพยายามบอกทุกคนให้แยกขยะเพราะมันจะช่วยลดขยะจนในที่สุดการใช้พลาสติกจะลดลง” ที่ผ่านมาบริษัทชวนองค์กรจากหลากหลายอุตสาหกรรมมามีส่วนร่วมในการแยกขยะอย่างจริงจัง ทั้งการไปสอนแยกขยะให้นักเรียนในโรงเรียนต่างๆ, การร่วมมือกับร้านอาหารชื่อดังเช่น สมบูรณ์ภัตตาคารเพื่อให้ความรู้ในการแยกขยะ, ร่วมมือกับ gourmet และกทม. ในการแยกเศษอาหาร ไปจนถึงสนับสนุนชุมชนต่างๆ ในการแยกขยะอย่างชุมชนวัดจันแดง  ชุมชนหนองแขม เพื่อให้แต่ละชุมชนแยกขยะอย่างสม่ำเสมอกันมากขึ้น

นอกจากโครงการเหล่านี้บริษัทยังสนับสนุนโครงการรักษ์ทะเล, โครงการหนึ่งคนว่าย หลายคนช่วย (One man and the sea) และ หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ (One man and the river) ที่ระดมทุนให้ศูนย์รักษาพันธุ์สัตว์ทะเลหายากและช่วยเหลือโรงพยาบาลทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง โดยตั้งใจใช้สินค้าถุงขยะที่ผลิตเองไปสนับสนุนในโครงการต่างๆ เช่น ใช้ถุงขยะแชมเปี้ยนในโครงการรักษ์ทะเลในการเก็บขยะที่ชายหาด

ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาสังคมด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ และทำให้บริษัทไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้รณรงค์ที่สามารถสร้างอิมแพ็กได้จากสินค้าของตัวเอง  

4. การสร้างแคมเปญของ LINE MAN Wongnai ที่อิมแพ็กเพราะรู้จุดแข็งของตัวเองและพาร์ทเนอร์

LINE MAN Wongnai คือบริษัทเทคโนโลยีด้าน platform on-demand ของคนไทยที่เกิดจากการควบรวมบริษัทของ LINE MAN ที่ใช้สั่งอาหาร เรียก Messenger หรือ เรียกรถ และ Wongnai แพลตฟอร์มรีวิวอาหาร จุดแข็งของแอปคือการมีผู้ใช้เป็น active user จำนวนมากเฉลี่ยประมาณเดือนละมากกว่า 10 ล้านคน

ด้วยจุดแข็งที่เข้าถึงคนได้มากนี้เองที่ทำให้ Mastercard มาชวน LINE MAN Wongnai ทำโครงการเพื่อสังคมด้วยกัน ดร.มาลียา โชติสกุลรัตน์ ผู้จัดการอาวุโสด้านนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์เล่ากิมมิคของแคมเปญ ‘สั่งมื้อนี้ ส่งมื้อดีให้น้อง’ ที่อยากให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมให้ฟังว่า ทุกๆ การสั่งอาหารถ้าสั่งผ่าน LINE MAN ทาง Line Pay แล้วจ่ายด้วย Mastercard จะมีการสมทบทุน 10 บาทให้โครงการ FOOD FOR GOOD ที่ทำงานด้านโภชนาการ” โดย LINE MAN เป็นผู้ทำประชาสัมพันธ์ออกไปให้ผู้ใช้แอปที่กำลังจะสั่งอาหารหรือกำลังจะจ่ายเงินรับรู้ทางเลือกในการบริจาคเมื่อจ่ายด้วย Mastercard ผลลัพธ์คือเมื่อผ่านไปเพียง 1 เดือนครึ่งเท่านั้นก็ได้เงินบริจาคมาทั้งหมด 1,760,000 บาท

ดร.มาลียาให้คำแนะนำในการทำแคมเปญเพื่อสังคมว่า “คีย์ของความสำเร็จคือการมีพาร์ทเนอร์ที่ถูกต้อง เพราะเราไม่รู้บางเรื่อง เราทำได้แค่บางเรื่อง เพราะฉะนั้นเราต้องหาคนที่รู้และเป็นตัวจริงมาช่วยทำแทนเรา” ซึ่ง FOOD FOR GOOD ก็เป็นมูลนิธิที่เลือกมาเพราะเป็นตัวจริงในวงการและลงลึกในการแก้ปัญหาด้านโภชนาการในเด็ก โดยมูลนิธิไม่ได้แค่นำอาหารไปมอบให้โรงเรียนเป็นมื้อๆ แล้วจบไปแต่มีการให้ความรู้แก่คุณครูผู้เตรียมอาหารและนักเรียนที่เป็นผู้ทานด้วย 

ในการทำงานร่วมกันดร.มาลียายังบอกว่าสิ่งสำคัญคือความจริงใจ “ถ้าจับมือว่าเราจะทำงานร่วมกัน เราก็ต้องแชร์ทุกอย่างอย่างจริงใจ ไม่พยายามบิดเพื่อภาพพจน์แล้วสุดท้ายสิ่งที่ตกลงกันไว้แล้วมันไม่ได้เป็นตามนั้น เพราะมันจะทำให้การทำงานร่วมกันต่อไปมีปัญหา ถ้าเรามีข้อจำกัดบางอย่างก็ต้องบอกอย่างจริงใจไปเลยว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้เพื่อจะมาหาทางแก้ร่วมกันแล้วปฏิบัติต่อกันหรือสื่อสารต่อกันอย่างเคารพในฐานะที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญด้านนั้น”  

นอกจากอิมแพ็กที่สร้างให้สังคมแล้ว พนักงานในองค์กร LINE MAN Wongnai ที่ได้มีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นรีเสิร์ชในการทำแคมเปญจนถึงติดตามมูลนิธิเข้าไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนก็ยังได้ความรู้เรื่องโภชนาการเพิ่มมากขึ้นและแรงบันดาลใจในการสร้างอิมแพ็กให้สังคมตามไปด้วย  

5. การขยายผลการแก้ปัญหาสุขภาพจิตของ Sati App ด้วยแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง

Sati App เป็น on-demand listening service ที่ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพจิต จุดเริ่มต้นคือคุณซันจู-อมรเทพ สัจจะมุณิวงศ์เคยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนและพบว่ามีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงไปจนถึงรู้สึกว่าหาคนรับฟังความรู้สึกในเวลาย่ำแย่ได้ยาก จึงศึกษาโมเดลจากประเทศที่มีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาไม่เพียงพอและพบว่าทางแก้คือชวนคนทั่วไปมาเป็นอาสาสมัครในการรับฟังและสอนการฟังเชิงลึกให้คนเหล่านั้น แอป Sati ที่มีเพื่อนรับฟังเป็นคนทั่วไปจึงเกิดขึ้น

แม้ Sati App จะเริ่มจากทีมเล็กๆ แต่ก็ได้ร่วมทำแคมเปญสื่อสารกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Maybelline New York ที่สนใจด้านการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตอยู่แล้ว คุณซันจูได้มีโอกาสเข้าไป pitch กับแบรนด์ดังโดยสื่อสารว่า Sati จริงจังกับการแก้ปัญหาถึงขั้นผลักดันในระดับนโยบายจนได้ทำวิดิโอโปรโมทแอปในชื่อ ‘Brave together’ ร่วมกับแบรนด์ที่เข้าถึงคนหลายล้านคนและทำให้แอปเติบโตจากมีผู้ใช้ที่มาขอคำปรึกษาในแอปหลักพันสายต่อสัปดาห์เป็นหลักหมื่นต่อสัปดาห์ 

อีกแคมเปญหนึ่งของ Sati ที่สร้างแรงกระเพื่อมไม่แพ้กันคือ ‘Better Mind, Better Bangkok’ เกิดจากการเห็นปัญหาว่าเวลาพูดถึงสุขภาพจิตในสังคมไทย มักมีการพูดถึงในมิติเดียวในมุมเกี่ยวกับโรคเท่านั้นและมักไม่ค่อยมีใครพูดถึงว่าสภาพแวดล้อมก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาทางใจได้เช่นกัน แคมเปญนี้จึงสื่อสารเรื่องสุขภาพจิตในหลายมิติไปยังคนหลายกลุ่มมากขึ้นทั้งเยาวชน สตรี กลุ่ม LGBTQI คนเมือง คนชนบท 

ในแคมเปญนี้คุณซันจูได้ติดต่อขอความร่วมมือกับทางกทม. ว่าอยากผลักดันเรื่องสุขภาพจิตให้เป็นหนึ่งในนโยบายของกทม. โดยได้เริ่มแคมเปญจากกรุงเทพฯ ก่อนและตั้งใจขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ในหลายภาคของไทย ซึ่งการชวนพาร์ทเนอร์ใหญ่อย่างกทม. มาเป็นพันธมิตรได้กลายเป็นจิ๊กซอสำคัญที่ทำให้การติดต่อพาร์ทเนอร์เจ้าอื่นเป็นเรื่องง่ายขึ้น ที่ผ่านมา Sati ยังได้ออกสื่อแมสต่างๆ ทั้งไลฟ์ทาง Youtube และ Tiktok ไปจนถึงชวนดาราและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาที่กิจกรรมของ Sati เช่น สมาชิกวง BNK, อุ๋ย Buddha Bless, อแมนด้า, จอมขวัญ พิธีกรชื่อดัง

Sati ทำให้สุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้นและเข้าถึงคนทั่วไปได้มากขึ้นด้วยการกล้าเข้าหาพาร์ทเนอร์ต่างๆ หาจุดเชื่อมโยงที่พาร์ทเนอร์แต่ละฝ่ายต่างอินด้วยกันทั้งคู่ไปจนถึงหาจุด win-win ในการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์ ภาคเอกชน และภาคสังคม  ในฐานะผู้ทำองค์กรเพื่อสังคม คุณซันจูบอกว่า KPI หรือเป้าหมายขององค์กรเพื่อสังคมอาจมีภาพคนละแบบกับทางฝั่งแบรนด์แต่เคล็ดลับในการทำงานร่วมกันให้ราบรื่นคือการหาจุดตรงกลางว่าจะทำให้มุม Human กับ Brand ในการทำแคมเปญเชื่อมโยงกันได้ยังไงบ้าง

Lesson learned

1. Multi-Stakeholders Collaboration : การร่วมมือจากหลายภาคส่วน 

ปัญหาสังคมเป็นปัญหาสเกลใหญ่ที่มีหลายมิติ แทบทุกประเด็นอาศัยการมีส่วนร่วมจากคนหลายภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ภาคการศึกษา ประชาชนทั่วไป ฯลฯ เมื่อแต่ละหน่วยในสังคมมารวมพลังกันและมีการ ‘put the right man on the right job’ หรือจัดสรรให้แต่ละคนช่วยแก้ปัญหาในส่วนที่ตัวเองถนัด การแก้ปัญหาก็จะมีโอกาสสำเร็จลุล่วงมากยิ่งขึ้น

2. Find Compability : หาสิ่งที่ตรงกันและเข้ากันได้

การทำแคมเปญหรือโครงการเพื่อสังคมให้สำเร็จคล้ายกับการหาคู่เดท นั่นคือสามารถเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการหาพาร์ทเนอร์ที่ใช่ก่อน พาร์ทเนอร์ที่ใช่คือองค์กรหรือผู้ที่ให้คุณค่าตรงกันกับเรา มีวิสัยทัศน์ สิ่งที่ให้คุณค่าและความสำคัญในทิศทางที่ใกล้กัน 

3. Sprint Testing : รับฟีดแบ็คและปรับตัวร่วมกับพาร์ทเนอร์

ในการเริ่มต้นทำโครงการอาจไม่จำเป็นต้องหวังการร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระยะยาวตั้งแต่แรกเสมอไป อาจเริ่มได้ง่ายๆ ในสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ด้วยแคมเปญระยะสั้นก่อน จากนั้นสามารถนำผลลัพธ์มาประเมินแล้วหาพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมไปจนถึงขยายผลต่อไปได้เรื่อยๆ 

ฟัง GroundControl เล่าวิธีสมดุลระหว่างธุรกิจและการเป็นสื่อที่เชื่อมศิลปะและคนในสังคม

นำเสนอทุกความเคลื่อนไหวในโลกศิลปะ

ถ้าเข้าไปในเพจ GroundControl ในเฟซบุ๊ก สิ่งแรกที่คุณจะได้เห็นคือประโยคอินโทรประโยคนี้

สกรอลล์ลงมาสักหน่อย โพสต์ที่คุณเห็นอาจเป็นการชวนไปงานนิทรรศการสักที่ บทสัมภาษณ์ศิลปินน่าจับตา อัลบั้มภาพถ่ายที่น่าแชร์ ข่าวในแวดวงคนทำงานอาร์ต เลื่อนลงมาสักหน่อยอาจเจอคอนเทนต์ที่เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์สนุกๆ ผ่านหนัง แม้กระทั่งโพสต์ชวนไปงานดนตรีที่ชาวเก๋มักไปกัน

ที่มีคอนเทนต์กว้างขวางขนาดนี้ เพราะคำว่า ‘ศิลปะ’ ในสายตาของ คริสซี่–ศิขรินทร์ ลางคุลเสน และ ผ้าป่าน–สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ สองสาวผู้ร่วมก่อตั้งนั้นไม่มีกรอบจำกัด สำหรับพวกเขา ศิลปะเป็นได้ทั้งงานศิลป์ที่เราเดินดูและกำซาบได้ในแกลเลอรี มันยังสอดแทรกในภาพเคลื่อนไหวบนจอเงิน วัฒนธรรมป๊อป และไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่เราเพิ่งรู้เมื่อได้นั่งคุยกับสองสาวคือ GroundControl เริ่มตั้งไข่ในปีแรกที่โควิด-19 เข้ามาทักทายชาวโลก และในทีแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำแค่สื่อศิลปะอย่างที่ทุกคนรู้จักด้วยซ้ำ พวกเขาตั้งใจจะจับงานหลายแขนง ทั้งการเป็นเอเจนซีที่ทำแคมเปญที่เชื่อมโยงกับศิลปะ รวมถึงงาน On Ground ที่พาศิลปะไปปะทะกับผู้คน ซึ่งเมื่อโควิดซา GroundControl ก็เติบโตขึ้นและได้จับงานเหล่านั้นสมความตั้งใจ

มากกว่านั้น เป้าหมายที่ทั้งสองและทีม GroundControl มีร่วมกันคือการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินไทยหน้าใหม่ได้เฉิดฉาย อย่างโครงการ Artists on Our Radar ที่เปิดรับงานจากศิลปินนับร้อย คัดเหลือ 12 คน ซึ่งไม่เพียงแค่มอบพื้นที่จัดแสดงงาน แต่ยังพาพวกเขาพัฒนาตัวเองผ่านการเทรนนิ่ง รวมถึงพาไปเชื่อมโยงกับแบรนด์ต่างๆ เผื่อว่าจะมีโอกาสในการทำงานร่วมกัน

ใน MMAD Gallery ที่เงียบสงบวันนี้กำลังจัดแสดงงานของศิลปิน 12 คนนั้นอยู่ดี เราจึงถือโอกาสเดินชม และชวนคริสซี่กับผ้าป่าน สองสาวผู้ก่อตั้งมาเล่าแนวคิดและความเชื่อเบื้องหลัง GroundControl ไปพร้อมกัน

ความตั้งใจของ GroundControl ในวันแรกมีหน้าตาแบบไหน

ผ้าป่าน : ตอนแรกตั้งใจว่าอยากทำบริษัทออร์แกไนซ์อีเวนต์ศิลปะ เพราะเราเคยทำงานสายแกลเลอรีและทำอีเวนต์มาก่อน เรามีโอกาสทำงานกับศิลปะรุ่นใหม่หลายคน รวมถึงแบรนด์ชั้นนำ  ที่เขาสนใจจะทำงานกับศิลปินที่เป็นคนในท้องที่ จึงเห็นว่าในวงการศิลปะยังมีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เติบโต

จุดเริ่มต้นคือเราเดินทางไปฝรั่งเศสกับคริสซี่ ด้วยบรรยากาศของเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม เราก็มองเห็นความเป็นไปได้ในประเทศเรา ประเทศไทยมีคนมีพรสวรรค์เยอะ มีราก วัฒนธรรม เรื่องเล่า และมีคนเล่าเรื่องที่เก่ง แต่สิ่งที่ขาดไปคือตัวเชื่อมตรงกลางให้ศิลปินสามารถทำอาชีพศิลปินได้ในประเทศของเรา มันไม่ได้เกี่ยวกับระบบนิเวศอย่างเดียว แต่มันคือความรู้ ความเข้าใจ ความต้องการ ไลฟ์สไตล์ของคนในสังคมที่จะชื่นชมความสวยงามด้วย

ตอนแรกเราตั้งใจจะทำอีเวนต์เพราะเป็นสิ่งที่เราสองคนถนัด เรามีคอนเนกชั่นกับศิลปินหลายคนที่เติบโตมาด้วยกันและอยากสนับสนุนเขาต่อ แต่พอโควิดมาเราก็ต้องปรับแผน แต่เราจะไปต่อทางไหนดี สิ่งเดียวที่คิดได้คือโซเชียลมีเดีย 

จริงๆ สื่อเป็นสิ่งที่พวกเรารู้ว่าจะทำอยู่แล้ว เพราะคริสซี่เขาก็ถนัดด้านนี้ เคยทำงานสื่อสารให้กับค่ายหนัง GDH มาก่อน บวกกับเราก็เคยเป็นบรรณาธิการของแม็กกาซีน The Jam Factory มาก่อนด้วย ณ ตอนนั้นคือคลำหาทางกัน

ทิศทางคอนเทนต์ของเพจในยุคแรกเป็นยังไง

ผ้าป่าน : โปรเจกต์แรกของเพจ GroundControl ก็ไม่ได้เป็นคอนเทนต์นะ ตอนนั้นเราเปิดตัวด้วยโปรเจกต์ Cowith-19 ที่เราชวนคอมมิวนิตี้นักดนตรี 19 วง กับนักวาดภาพประกอบ 19 คนมาคอลแล็บกัน เพื่อทำลายหน้ากากขายและนำรายได้จากการบริจาคทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย 

คริสซี่ : โปรเจกต์ถัดมาคือ Self-Quarantour ซึ่งเกิดจาก pain point ของพวกเราเองที่อยากไปเที่ยวช่วงโควิดแต่ทำไม่ได้ เรานั่งบ่นกันไปมาผ่าน Zoom แล้วตอนนั้นมันมีทัวร์เสมือนจริงผุดขึ้นมาเยอะมาก เราก็คิดว่าหวือหวาดี แต่มันจืดมากเลย เรานึกถึงวันที่พวกเราไปเที่ยวกันกับเพื่อนแล้วเขาเล่าสนุกมาก เช่นตอนที่ไปกับนักรบ มูลมานัส ไม่ว่าจะประเทศไทยหรือฝรั่งเศส เขาเล่าได้หมด เลยชวนนักรบกับคนอื่นๆ เช่น พี่ฟาโรส ครูทอมคำไทย ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์สนุกมาช่วยกันทำไลฟ์ 

ผ้าป่าน : ตอนนั้นมีคนดูเยอะมาก ไม่ออกเลยตลอด 3 ชั่วโมง อาจเพราะวิธีการของเราที่พยายามจะใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย นอกจากการคัดสรรเรียบเรียงเนื้อหา เราดีไซน์มันแบบครบลูป คือมีพิธีกรบนจอ และมีพิธีกรภาคสนามในช่องคอมเมนต์ เตรียมทุกอย่างให้เล่นไปกับไลฟ์ เพราะเราหวังว่าคอนเทนต์ของเราเป็น edutainment คือ education บวก entertainment

ทำไมอยากให้ศิลปะเป็น edutainment

ผ้าป่าน : เราสองคนเชื่อเรื่องการศึกษา แต่การศึกษาศิลปะแบบไหนที่จะไม่ทำให้คนอื่นวิ่งหนีออกไป บางคนอาจรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว เราจึงอยากทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้น ซึ่งถามว่าใกล้ตัวต้องทำยังไง มันอาจจะต้องสนุกก่อนคนถึงจะจำและเล่าต่อได้ 

จริงๆ ศิลปะจะสนุกเมื่อเข้าใจประวัติศาสตร์ด้วย หากเราดูในเชิง วิชวลจะสวย อ่านคอนเซปต์ก็เข้าใจ แต่การจะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งมันต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของเรื่องต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้น GroundControl เราจะไม่ใช่นำเสนอศิลปะอย่างเดียว แต่มันเป็นทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์

คริสซี่ : ถึงวันนี้เราจะมีทีมมากขึ้น และทิศทางคอนเทนต์จะไม่ได้ถ่ายทอดจากมุมส่วนตัวแบบเมื่อก่อน แต่ทิศทางของเรายังเหมือนกัน นั่นคือการทำให้ศิลปะเป็นเรื่องสนุกและเข้าถึงได้ คุยกับคนเสพด้วยท่าทีว่าไม่รู้ไม่เป็นไร เรามารู้ไปด้วยกันนะ เพราะบางครั้งฉันเองก็เพิ่งรู้สิ่งนี้เหมือนกัน

คุณหาจุดสมดุลระหว่างการนำเสนอคอนเทนต์ศิลปะสำหรับสายอาร์ตจ๋าๆ กับคอนเทนต์ศิลปะที่คนทั่วไปยังเสพและบันเทิงกับมันได้ยังไง

คริสซี่ : คำว่าศิลปะจะมองว่าแคบมันก็แคบ จะมองว่ากว้างมันก็กว้าง อะไรคือศิลปะ ภาพยนตร์ ดนตรี ไลฟ์สไตล์ ทุกอย่างอยู่ในร่มของศิลปะหมด สำหรับงานบางอย่างที่อาจจะเข้าใจยาก  เช่น ประวัติศิลปะหรือศิลปะ เราอาจจะลองย่อยให้เข้าใจง่ายขึ้น นั่นคือก้อนหนึ่ง อีกก้อนคือเราอาจจะพาไปเที่ยว ดูนิทรรศการ และเล่าเรื่องวัฒนธรรมป๊อปไปเลย ทำให้คนที่ชอบทั้งประวัติศาสตร์และชอบไลฟ์สไตล์ได้สนุกเหมือนกัน

นอกจากการทำคอนเทนต์ให้น่าเสพ สิ่งที่คนทำสื่อศิลปะยุคนี้ต้องคิดมีเรื่องอะไรอีก

คริสซี่ : เราใส่ใจเรื่องจรรยาบรรณ เราจะไม่ไปเหยียบเท้าใครหรือทำให้ใครต้องเจ็บปวดเพราะคอนเทนต์ของเรา บางครั้งมันมีดราม่าในวงการศิลปะ มีประเด็นที่หลายคนคุยกัน เราก็ยกขึ้นมาเพื่อเปิดพื้นที่ในการพูดคุยแบบไม่ตัดสิน ในฐานะสื่อเรามองว่าเราต้องเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันมากกว่า

วิธีการทำงานของ GroundControl เรายึดตามน้องๆ ในทีม เพราะเราทำงานกับคนที่รักและอยู่กับวงการศิลปะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราทรีตว่าทุกคนคือผู้รับสารเหมือนกัน เราจะบอกกับน้องในช่วงวางแนวทางคอนเทนต์ว่า ก่อนจะทำคอนเทนต์ไหนให้กลับมาถามตัวเองว่าคุณอยากรู้อยากพูดเรื่องอะไร ซื่อตรงกับมันถ้าคุณรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเล่าจงเล่ามันออกมาในมุมมองของตัวเองภายใต้ทิศทางที่เรามีร่วมกัน

ความท้าทายของการทำสื่อศิลปะในวันนี้คืออะไร

คริสซี่ : อัลกอริทึมคือสิ่งที่ทำให้เราถอนหายใจมากที่สุด เราท้อ พยายามทำความเข้าใจ และเราก็ต้องสู้ต่อไป อีกความท้าทายคือตอนนี้มีหลายสิ่งมากที่คนยังถกเถียงกันและยังไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น การมีอยู่ของ AI เป็นเรื่องดีหรือเปล่า การเขียนคอนเทนต์ยังไงให้เราไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ยังถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น

ผ้าป่าน : จริงๆ บริษัท GroundControl ไม่ได้มีแค่สื่อศิลปะเพียงอย่างเดียวที่เราอยากนำเสนอหรือใช้เป็นช่องทางเชื่อมต่อกับคนอื่น เพราะฉะนั้นในวันที่สื่อมีความไม่แน่นอนเรื่องอัลกอริทึม เราเข้าใจและยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ แบบ แต่สิ่งที่เราทำเพิ่มขึ้นมาคือมียูนิตอื่นๆ เพื่อสนับสนุนพื้นที่ของเราให้กว้างมากขึ้นนอกจากการเป็นพื้นที่สื่อออนไลน์อย่างเดียว

เราคิดว่าการปรับตัวไม่ใช่แค่ปรับในออนไลน์เท่านั้น แต่มีวิธีการอีกมากที่จะพัฒนามันไปพร้อมกันหรือเสริมให้แข็งแรงมากขึ้น เราจึงมีเอเจนซีที่ทำงานกับลูกค้าหลากหลาย ทำแคมเปญเกี่ยวกับศิลปะ มีพื้นที่ออฟไลน์ และอีกหลายยูนิตในอนาคตที่จะตั้งขึ้นเพื่อกระจายความรู้และความเชื่อของเรา

ในแง่ธุรกิจ คุณบริหารงานยังไงให้ทุกยูนิตสามารถอยู่รอด

ผ้าป่าน : เวลาเราทำธุรกิจ เรามองว่าแต่ละยูนิตจะสร้างผลประโยชน์ให้กับบริษัทต่างกัน เราไม่ได้มองว่าตัวเงินคือผลประโยชน์อย่างเดียวที่จะเกิดขึ้นกับ GroundControl ได้ เราไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน แต่วัดที่มูลค่าของมัน ซึ่งคำว่าคุณค่าขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความแบบไหน เราคิดว่าคุณค่าของสื่อ นอกจากเม็ดเงิน มันคือการเป็นกระบอกเสียงและตัวตนของ GroundControl ที่ทุกคนจะรู้จัก เราคือใคร เรามีความเชื่อแบบไหน เราได้ส่งต่อความเชื่อของเราออกไปทางสื่อศิลปะ

ส่วนงานฝั่งเอเจนซี มันมีคุณค่าของมันอยู่แล้ว เราได้ทำงานกับลูกค้าที่หลากหลายซึ่งล้วนอยากทำแคมเปญเกี่ยวกับศิลปะ เป็นลูกค้าที่ให้คุณค่าในศิลปะ ให้คุณค่ากับงานของศิลปินไทย และให้คุณค่ากับความคิดสร้างสรรค์ เราต่างทุ่มกันสุดตัวเพื่อจะทำให้คนทำงานศิลปะนั้นมีชีวิตรอดได้ในวงการนี้เหมือนกัน เราเลยรู้สึกขอบคุณแบรนด์ทุกแบรนด์ที่เคยร่วมงานกันเสมอ

เราเห็น GroundControl ไปร่วมโปรเจกต์สนุกๆ หลายอย่างในปีที่ผ่านมา อย่างล่าสุดก็ได้เป็นมีเดียพาร์ตเนอร์หลักของ Thailand Biennale การได้ทำโปรเจกต์เหล่านี้ส่งผลกับคุณยังไง

ผ้าป่าน : เรามีโอกาสได้ร่วมงานกับคิวเรเตอร์ที่เก่งมากๆ และได้ทำงานกับสื่อเมืองนอก นอกเหนือจากนั้น สิ่งเหล่านี้อยู่ในทิศทางของ GroundControl ที่เราคิดว่าเราอาจยังไม่ได้เป็นสื่อที่ใหญ่โตมากนัก แต่เราก็เป็นที่รู้จักในแวดวงคนรักศิลปะ งานสร้างสรรค์ สนใจในไลฟ์สไตล์ที่สวยงามและให้คุณค่ากับมัน เราจึงพยายามเต็มที่กับการเป็นมีเดียพาร์ตเนอร์ของทุกงานศิลปะและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์  เพราะเราไม่ได้จำกัดความว่า GroundControl คือสื่อศิลปะออนไลน์และครีเอทีฟเอเจนซี สิ่งที่เราทำคือเรารวบรวมเพื่อนๆ และคนที่มีความคิด ความเชื่อ ความสนใจแบบเดียวกันเข้ามาอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเปิดพื้นที่ให้กว้างมากที่สุดให้กับทุกคน

ครั้งหนึ่งคำว่าศิลปะเคยกันคนอื่นออกไปเพราะเขาไม่ได้รู้มากหรือรู้ลึก เราจะทำยังไงให้คนที่รู้สึกว่าเขาไม่รู้สึกแบบนั้น เราว่านี่เป็นความท้าทายของพวกเรา

คริสซี่ : เหมือนการเป็นมีเดียพาร์ตเนอร์มันเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งของเราด้วย เราจะไปอยู่ในพื้นที่ที่หลากหลายอย่างเทศกาลดนตรี เฟสติวัล แอนิเมชั่น หรือครั้งหนึ่งกรุงเทพฯ ก็ชวนเราไปทำ Colorful Bangkok แคมเปญเหล่านี้เป็นสิ่งที่บอกว่าเราอยู่ที่นี่ ถ้านึกถึงศิลปะ อยากให้นึกถึงเรา 

นอกจากการเป็นมีเดียพาร์ตเนอร์ในงานต่างๆ GroundControl ยังโดดเด่นเรื่องการแนะนำศิลปินไทยหน้าใหม่ให้เป็นที่รู้จัก อย่างโปรเจกต์ Artists on Our Radar ที่ชวนให้เราได้รู้จักศิลปินที่คัดสรรมา 12 คน ทำไมจึงมองว่าการผลักดันศิลปินรุ่นใหม่เป็นเรื่องสำคัญ

ผ้าป่าน : จริงๆ GroundControl ร่วมกับศิลปินหลายกลุ่ม หลายแขนง เราตั้งใจเป็นพื้นที่สนับสนุนศิลปินทุกคน เราพยายามทำสิ่งนั้น ซึ่งนอกจากการซัพพอร์ตในภาพรวมของวงการ สิ่งที่เราจะโฟกัสคือการ emerging local artist หรือสนับสนุนศิลปินไทยรุ่นใหม่จนเกิดเป็นโปรเจกต์ Artists on Our Radar ซึ่งก่อนหน้าที่เรามีการให้พื้นที่ศิลปินเหล่านี้ผ่านโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว สเตปต่อมาคือการปรับมาสู่โลกออฟไลน์บ้างผ่านงาน Ground Play 

เราคิดว่าเราสามารถส่งมอบอะไรให้กับกลุ่มศิลปินเหล่านี้ได้บ้าง เพราะพวกเขาต้องการพื้นที่มากขึ้น ไม่ใช่พื้นที่ในเชิงแกลเลอรี แต่เป็นพื้นที่ในโลกการทำงาน พื้นที่ในการคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ เราจึงเปิดรับสมัครช่วงปลายปี 2023 แล้วคัดเหลือ 12 คนจาก 300 กว่าคนที่ส่งผลงานมา โดยคำนึงถึงความหลากหลาย และนี่จะเป็นศิลปินที่ GroundControl จะโฟกัสตลอดปี 2024 สิ่งที่เราจะทำให้เขาเริ่มจากการจัดงานนิทรรศการเปิดตัว หลังจากนั้นคือการสร้างพื้นที่ให้พวกเขาได้ทำงานกับแบรนด์ที่เราเคยทำงานด้วย อย่างที่สามคือการเทรนนิ่งรายเดือนให้กับศิลปิน 12 คนนี้ในหัวข้อที่หลากหลาย เพราะเราเชื่อว่าศิลปินคนหนึ่งจะอยู่รอดในสังคมไทยได้เขาต้องมีทักษะหลากหลายด้านมากๆ ไม่ใช่แค่ทักษะการทำงาน แต่เป็นทักษะการจัดการ การคัดสรรผลงาน การทำสินค้า เราพยายามจะคราฟต์แต่ละคนไปตามเส้นทางที่เขาเติบโต

แต่คนที่ไม่ติดไม่ต้องน้อยใจนะ เพราะเราตั้งใจว่าจะทำ open call ทุกปี ปีถัดไปก็ยังสามารถส่งผลงานมาได้ และเราจะพยายามสนับสนุนศิลปินไทยรุ่นใหม่เสมอ

ในวันที่ GroundControl เปิดมาได้หลายปีและเป็นที่รู้จักในแวดวงศิลปะแล้ว สิ่งที่ทำให้คุณอยากทำงานต่อทุกวันคืออะไร

ผ้าป่าน : ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีสื่อเกี่ยวกับศิลปะหรืออีเวนต์ศิลปะเท่าทุกวันนี้ เราเคยคิดหาเหตุผลว่าทำไมคนทำสื่อถึงไม่ทำสื่อที่เจาะจงเรื่องศิลปะอย่างเดียว เพราะหลายคนอาจคิดว่าตลาดมันเล็ก แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยากทำธุรกิจนี้คือความเชื่อของเราทั้งสองคน

เราเชื่อว่าศิลปะสามารถขับเคลื่อนผู้คน สังคม และประเทศได้ เราอยากเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ประเทศของเราขาดไป 

เราเชื่อในสิ่งนี้ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ไร้เดียงสา เราทำธุรกิจจริงๆ และมองเห็นว่าพื้นที่นี้สามารถขยายได้ต่อ มันมีอนาคตของมัน ด้วยแนวทางของโลกที่กำลังพัฒนา เทคโนโลยี การที่ผู้คนมีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชมศิลปะมากขึ้น 

คริสซี่ : เราคิดว่าอย่างนี้ พอเราทำงานโดยตั้งต้นจากความเชื่อ นั่นแปลว่าไม่มีงานไหนที่จะเหมาะสมกับเราไปมากกว่านี้แล้ว GroundControl สร้างขึ้นมาจากความฝันของพวกเรา แน่นอนว่าระหว่างทางมันก็มีอุปสรรคมาตลอดทาง เพราะตอนที่เราทำมันยังเป็นสิ่งใหม่มากๆ แต่ที่มาไกลได้ขนาดนี้เราก็ภูมิใจกับมันมาก ไม่ใช่แค่สำหรับเราสองคน แต่กับทีมที่ช่วยสร้างให้แบรนด์แข็งแรงด้วย

จากเป้าหมายในวันแรกที่อยากเป็นตัวเชื่อมระหว่างศิลปะกับผู้คนในสังคม ตอนนี้คุณคิดว่า GroundControl ประสบความสำเร็จหรือยัง

ผ้าป่าน : เรายังอยู่ระหว่างทาง หมายถึงมีสิ่งที่ทำสำเร็จ เห็นผล ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อ อย่างงาน Ground Play ที่จัดที่บ้านตรอกถั่วงอก เราจัดงาน 2 วันมีคนไป 4,000 คน ซึ่งถือว่าเยอะสำหรับป่าน แต่ถามว่ามันทำให้เรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จในการเชื่อมต่อคนกับศิลปะแล้วไหม ไม่ เพราะเป้าหมายเรามันไกลและใหญ่มาก เราถือว่ามันเป็นเป้าหมายของเราที่เรากำลังตามเช็กอยู่

คริสซี่ : ซึ่งจากวันแรกที่เราถูกขัดขาด้วยโควิด-19 แต่เรายังมาได้ขนาดนี้ สำหรับเราถือว่ามันอัศจรรย์มากนะ

ฮามากมั้ย? การตลาดวัน April Fools’ Day ทำไมบางแบรนด์ดันรอด แต่บางแบรนด์กลับร่วง

โรลออนกลิ่นทุเรียน, คาปิบาร่าทงคัตสึ, ไอศครีมรสแซลมอน, ยาดมสมุนไพร 11 ชนิดสูตร KFC!

ถ้าติดตามโลกโซเชียลอยู่ตลอด หลายคนน่าจะเคยเห็นแคมเปญการตลาดเหล่านี้อยู่บ้าง บางคนอาจเชื่อตั้งแต่แรกอ่าน แต่บางคนก็ถูกหลอกมาเยอะจนภูมิคุ้มกันแข็งแรง อ่านแล้วร้องอ๋อว่าอย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก นี่มันการตลาดวัน April Fools’ Day ชัดๆ

แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางแบรนด์ปล่อยคอนเทนต์วันเมษาหน้าโง่ออกมาแล้วปัง แต่บางแบรนด์ก็แป้ก และอีกหลายๆ แบรนด์ก็เสียความน่าเชื่อถือไปเลยด้วยซ้ำ ปัจจัยอะไรที่ทำให้การเล่นตลกเหล่านี้ถูกแบ่งแยกกัน ถ้าเราในฐานะเจ้าของธุรกิจอยากจะฮากับเขาบ้าง มันคุ้มเสี่ยงหรือเปล่า?  

การตลาด April Fools’ Day ทำไมถึงชอบเล่นกันจัง

แบรนด์ที่ ‘ทำถึง’ ย่อมได้สปอตไลต์ในโลกออนไลน์ไปเต็มๆ ถือเป็นการดึงความสนใจมาที่แบรนด์ได้โดยแทบจะไม่ต้องเสียเงินมากนัก เพียงแต่ต้องอาศัยมุกตลกที่ชาญฉลาดและน่าขำพอให้คนแชร์ออกไป 

จากมุมมองของวิทยาศาสตร์พฤติกรรมพบว่า มนุษย์เราให้ความสำคัญกับเรื่องที่มีอารมณ์ขันมากกว่าเรื่องที่ไม่มีอารมณ์ขัน แปลว่าถ้าแบรนด์ไหนทำถึงในช่วงนี้ ก็จะทำให้ผู้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายกว่า แต่ก็ใช่ว่าทุกแบรนด์จะเล่นมุกในวันเมษาหน้าโง่แล้วรุ่ง แล้วถ้ามุกที่คิดมันแป้กล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? 

5 ข้อที่ต้องจดจำและถามตัวเองซ้ำๆ
หากอยากให้คนสรรเสริญว่า ‘ทำถึงเกินคุณน้า’

1. ถ้าภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นดูสบายๆ เล่นมุกตลกเป็นปกติอยู่แล้ว การร่วมจอยกับแคมเปญนี้ก็เป็นอีกโอกาสสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภคด้วยมุกฮาๆ อย่าง Bar B Q Plaza ที่แม้ไม่ได้ยิงมุกตลอดเวลา แต่มีภาพลักษณ์ขี้เล่นก็ปล่อยมุกในวันนี้เสมอและได้รับยอดกดไลก์กดแชร์จำนวนมาก เช่น ในปี 2558 Bar B Q Plaza ประกาศให้ลูกค้ากินฟรีทั่วประเทศ จนได้ยอดไลก์ไป 1,500 ไลก์ แต่ก็ต้องกินแห้วไปเพราะนั่นเป็นเพียงมุก

หรืออย่าง KFC ที่ไม่ได้มีดีแค่ไก่ แต่ยังขยันปล่อยมุกไม่เว้นแต่ละวันยังเคยทำคอนเทนต์ April Fools’ Day ในปี 2565 ว่าจะเปิดขาย KFC หนังไก่กรอบ ในวันที่ 31 เมษายน นอกจากจะได้ยอดไลก์กว่า 12,000 ไลก์ ยอดแชร์ 2,800 แชร์ และคอมเมนต์กว่า 3,100 คอมเมนต์แล้ว ยังได้สำรวจตลาดไปในตัว และในปีต่อมา KFC ก็ได้เปิดตัว KFC หนังไก่กรอบจริงๆ ไม่จ้อจี้!

2. มุกต้องสดใหม่ ตลกจริง เชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ แต่ถ้าไม่ตลกพอก็อย่าเล่นเลย! ถ้ายังหามุกตลกดีๆ ไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดคือการไม่เล่นมันออกไป เพราะนั่นไม่ได้หมายถึงความแป้กอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ผู้คนที่ติดตามแบรนด์ผิดหวังไปเลยก็ได้  

ถ้าอิงจากคำพูดของ Pilaar Terry จาก MC Brand Communications เราอาจสรุปได้ว่าที่จริงแล้วถ้าอยากสื่อสารกับผู้บริโภคหรือสื่อตัวตนของแบรนด์ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวันเมษาหน้าโง่เสมอไปเพราะนับวัน April Fools’ Day นั้นเริ่มสำคัญน้อยลง แบรนด์สามารถสื่อสารตัวตนของตัวเองโดยตรงผ่านโซเชียลมีเดียได้ตลอดปี 

3. ถูกที่ ถูกเวลา การเล่นมุกตลกในวันที่ 1 เมษายน เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การเล่นก่อนวันจริงจึงอาจทำให้มุกไม่ตลกมากพอ นอกจากนั้น ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองระส่ำระสาย การเล่นมุกตลกอาจส่งผลร้ายได้ เช่น ในช่วงโควิด-19 ที่เชื้อกำลังระบาดรุนแรง แทบไม่เห็นแบรนด์หรือบริษัทใดๆ เล่นมุก April Fools’ Day เลย 

นอกจากนั้น ถ้าต้องการเปิดตัวสินค้าใหม่ ช่วงเวลาคาบเกี่ยวและวันที่ 1 มหาภัยเป็นเรื่องไม่ควร เพราะนั่นอาจทำให้หลายคนสับสนว่าการเปิดตัวครั้งนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เช่น Amazon ที่เปิดตัวปุ่มสั่งของ Dash (ก่อนเวอร์ชั่นเสมือนจริง) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 ซึ่งคาบเกี่ยวกับวันที่ 1 เมษายน เลยทำให้หลายคนคิดว่า Amazon กำลังจ้อจี้อยู่ ทั้งที่เป็นนวัตกรรมที่คิดมาเพื่อลูกค้าแท้ๆ

ส่วนเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 Volkswagen ประกาศว่าบริษัทจะเปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen ก่อนปล่อยรถ EV ออกมา หลายคนเข้าใจว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องจริง และทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 10% แต่แล้วก็ต้องตกไป 4% ทั้งยังเสี่ยงโดนเอาผิดทางกฎหมายข้อหาปั่นหุ้นให้นักลงทุนเข้าใจผิด 

4. ตลกอย่างสร้างสรรค์ ไม่งั้นมหันตภัยร้ายอาจโจมตีแบบไม่ทันคิด! Google เป็นเจ้าแห่งการเล่นมุกแต่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ในปี 2559 ความติดตลกของ Google นั้นเกินเลยจนส่งผลต่อหลายภาคส่วน เพราะ Google ได้เพิ่มปุ่มส่ง GIF มินเนี่ยนวางไมโครโฟนไว้ที่ท้ายอีเมล ทำให้หลายคนส่งอีเมลออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจจะแทรกเจ้า GIF นี้ไปด้วย ผู้คนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมากว่าการเล่นแผลงๆ นี้ส่งผลเสียต่อการเจรจาทางธุรกิจ บางคนแจ้งว่าเจ้าปุ่มนี้ทำให้พวกเขาตกงาน 

5. ถึงจะเดาออก แต่ก็อย่าลืมเฉลย เพราะคอนเทนต์ออนไลน์นั้นอยู่ยั้งยืนยง เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดในอนาคต การเฉลยว่าคอนเทนต์ที่ปล่อยออกไปนั้นก็เพื่อวันแห่งการโกหกเป็นสิ่งสำคัญมาก จะโพสต์ก่อนจบวัน หรือโพสต์เฉลยในวันที่ 2 ก็ได้

สรุปแล้วแคมเปญในวันที่ 1 เมษายนของทุกปีนั้นสามารถสร้าง brand awareness ให้หลายแบรนด์ที่ตีโจทย์แตก แต่ความยากของงานนี้คือมุกของคุณตลกพอไหม และมันเหมาะสมและสร้างสรรค์พอให้คนหัวเราะตามหรือเปล่า ไม่อย่างนั้น แทนที่จะได้ยอดไลก์ยอดแชร์กระหน่ำ ก็อาจเสียภาพลักษณ์แบรนด์ได้

สุขสันต์วันเมษาหน้าโง่!

อ้างอิง: