การสืบทอด Legacy ของแบรนด์กระเป๋านักเรียน JACOB ให้มีความไอคอนิกและป๊อปนอกรั้วโรงเรียน

ถ้าพูดถึง JACOB ก็จะนึกถึงกระเป๋านักเรียนใบเก่งที่ถือไปโรงเรียนทุกวัน วันนี้โจทย์ของแบรนด์ในความทรงจำเปลี่ยนไปคืออยากเป็นมากกว่ากระเป๋านักเรียนและอยากมีความทรงจำนอกรั้วโรงเรียน
ที่กระเป๋าหนังใบโปรดโตไปตามเรา

หากย้อนประวัติกลับไปตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ก่อนหน้าทำกระเป๋าหนัง คุณสุทิน เทพชาตรี ผู้ก่อตั้ง เริ่มจากทำกางเกงแพรและเนกไทจากไหมญี่ปุ่นขายมาก่อน จนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้เปลี่ยนมาทำกระเป๋า โดยสมัยยังหนุ่มในวัย 19-20 ปีได้เริ่มจากผลิตสินค้าที่วัดในตอนกลางคืนเพื่อหนีระเบิดยุคสงครามโลก ตอนกลางวันก็ขี่จักรยานเร่ขายของตามห้างสรรพสินค้าและขายกระเป๋าหนังนิ่มให้ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงแตกไลน์สินค้าทั้งเสื้อหนัง ถุงมือหนัง ร่ม หมวก รองเท้า เครื่องหนังต่างๆ ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม

ด้วยความที่เรียนโรงอัสสัมชัญซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิกและรักในการเรียนมาก คุณสุทินจึงตั้งชื่อแบรนด์ตามชื่อนักบุญว่า JACOB ภายใต้ชื่อบริษัท ศรีภัณฑ์ยาค้อบ จำกัด โดยมีทายาทผู้สานต่อคือ รัศมีวรรณ ชลาวานิช กรรมการผู้จัดการ, จามรี เบลนี่เดวิสัน ผู้อำนวยการฝ่ายนำเข้าส่งออกและพัฒนาสินค้า, สุวรรณา เทพชาตรี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต เป็นทายาทรุ่น 2 และทายาทรุ่น 3 คือ โนร่า ชลาวานิช และอนณ ชลาวานิช

ในโอกาสแบรนด์เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่คือ Yesterday’s Tomorrow เราจึงชวนรัศมีวรรณ โนร่า และอนณ ย้อนวันวานมานั่งคุยถึงวิวัฒนาการของกระเป๋าที่ร้านแรกของ JACOB ซึ่งในยุคก่อนเป็นร้าน open air โทนสีเขียวในบรรยากาศเหมือนห้างไนติงเกล  มีตู้ไม้ที่อนุรักษ์มาตั้งแต่ยุคแรกและปิดไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมารีโนเวตและห่อหุ้มตึกทรงโบราณด้วยสีสันชวนหัวที่ต้องสะดุดตาเมื่อเดินผ่าน

คอลเลกชั่นล่าสุดครั้งนี้แบรนด์ JACOB ได้ชวน ศรัณย์ เย็นปัญญา ดีไซเนอร์ผู้ถนัดการออกแบบคอนเซปต์ความเป็นไทยในรูปใหม่มาออกแบบการเล่าเรื่องของกระเป๋าโดยมีโจทย์ร่วมกันว่าจะทำยังไงให้กระเป๋า JACOB มีภาพจำเหมือนเมื่อครั้งถือกระเป๋านักเรียน โดยยังอยากคงเอกลักษณ์ craftsmanship และ legacy ของแบรนด์ไว้ ก่อนจะชื่นชมคอลเลกชั่นปัจจุบัน เราขอพาไปย้อนดูคอลเลกชั่นดั้งเดิมของกระเป๋า JACOB ซึ่งจะทำให้เห็นที่มาของคอลเลกชั่น Yesterday’s Tomorrow ไปพร้อมๆ กัน  

The Timeless School Bag, Briefcase & Travel Bag

กระเป๋านักเรียนรุ่นแรกเป็นสีน้ำตาลที่มีความหนากว่ากระเป๋านักเรียน JACOB ในทุกวันนี้ เอกลักษณ์คือการใช้หนังควายที่มีลวดลาย มีความหนาและแข็งแรงทนทานสำหรับรองรับการขนหนังสือที่หนักอึ้งเพื่อมุ่งเรียนเป็นสำคัญ โดยเแบรนด์ปลี่ยนมาใช้หนังเรียบทำกระเป๋านักเรียนราวยุค ’80-90s หากสังเกตรายละเอียดของกระเป๋ารุ่นดั้งเดิมจะเห็นว่ารูปทรงของกุญแจสองดวงนั้นแตกต่างจากรุ่นใหม่

“ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นก็ผลิตกระเป๋านักเรียนกับกระเป๋าเอกสารควบคู่กันไป เด็กนักเรียนสมัยก่อนจะใส่ยูนิฟอร์มเรียบร้อย ถือกระเป๋าไปโรงเรียน ทำให้กระเป๋าเป็นสีดำ หรือน้ำตาล สีอะไรก็ได้ที่เข้มๆ ความนิยมของกระเป๋าก็จะแบ่งไปตามระดับการศึกษา นักเรียนระดับอาชีวะจะใช้ทรงหนึ่ง มหาวิทยาลัยก็จะใช้อีกทรงหนึ่ง” รัศมีวรรณย้อนความหลังให้ฟัง

หากได้มาเยี่ยมเยียนท่ีร้าน JACOB ย่านเมืองเก่าจะได้ชมกระเป๋ารุ่นดั้งเดิมที่เก็บอย่างใหม่เอี่ยม นอกจากกระเป๋านักเรียนแล้วก็มีกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าสตางค์จากหนังควายสีดำที่ประทับตราโลโก้ JACOB สีทองสุดคลาสสิก ทายาทรุ่นสองบอกกับเราว่าปัจจุบันหาหนังที่ใช้ทำกระเป๋ายุคแรกแบบนี้ได้น้อยลงแล้ว เพราะซัพพลายเออร์ของหนังควายในตลาดโลกมีน้อยลง

ทายาทรุ่น 2 ยังชี้ให้ดูทรงกระเป๋าอื่นๆ ที่โดดเด่นในยุคก่อนอย่างกระเป๋าเดินทางทรงสี่เหลี่ยมที่ในปัจจุบันวัยรุ่นอาจเรียกว่าเป็นกระเป๋าเดินทางทรงวินเทจ 

“พวกนี้เป็นกระเป๋า James Bond เป็นทรงที่พระเอก James Bond 007 หิ้ว ในอดีตเราผลิตเยอะมาก ส่งไปให้อังกฤษ ยุโรปเป็นตู้ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ช่างที่ทำไม่อยู่แล้ว”

โนร่าบอกว่ากระบวนการทำกระเป๋าทรงนี้นั้นต้องใช้ฝีมือของช่างสองศาสตร์ผสานกัน

การทำกระเป๋า James Bond มันจะมีความยากตรงที่ว่าต้องมีทั้งช่างไม้และช่างหนัง เพราะว่าตัวกรอบของกระเป๋าทำมาจากไม้ หมายความว่าจะเข้าหนังเป็นรูปกระเป๋าได้ต้องมีคนทำโครงไม้ขึ้นมาก่อน”

ทั้งนี้หลายคนอาจไม่รู้ว่าความรุ่งเรืองของแบรนด์ JACOB นั้นไม่ได้ดังอยู่แค่ในไทยและไม่ได้ดังแค่กระเป๋านักเรียนมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มแล้วแถมยังส่งออกไปยังญี่ปุ่น ฮ่องกง อังกฤษ และประเทศในยุโรปอื่นๆ ด้วย สาเหตุที่ส่งออกไปได้หลายที่เพราะมีหมวดสินค้าหลากหลายตั้งแต่ กระเป๋า เข็มขัด ธนบัตร รองเท้า หมวก ถุงมือ และแม้กระเป๋ารุ่นประวัติศาสตร์ช่วงแรกๆ จะไม่ได้ผลิตอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เป็นต้นแบบให้พัฒนากระเป๋ารุ่นหลังในเวลาต่อมา 

Nostalgic School Bag of 90s  

กระเป๋านักเรียนสีดำรุ่นบางน่าจะเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับใครหลายคนมากที่สุด จะเห็นได้ว่าแม้จะบางลงและเทรนด์การถือกระเป๋าของคนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่เหมือนเดิมจากรุ่นแรกคือแพตเทิร์นและลายเส้นการเย็บที่เอียงไปข้างหนึ่ง ไม่ได้อยู่ตรงกลางเป๊ะ 

ทายาทรุ่น 3 อย่างโนร่าและอนณบอกว่าพวกเขายังเรียนรู้การทำกระเป๋ามากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวันเพราะมีความละเอียดอ่อนในการทำมาก “คอนเซปต์การทำกระเป๋ามันต่างจากเสื้อผ้าตรงที่ว่า พอขึ้นรูปกระเป๋าแล้วตัดแพตเทิร์นออกมา คุณจะเย็บเลยไม่ได้ต้องทากาวก่อน เพราะถ้าไม่ทากาวก่อนแล้วใส่เข้าจักรมันจะแยกออกจากกัน ชิ้นหนังจะไม่ติดด้วยกัน ถ้าเป็นเสื้อผ้าจะใช้หมุดตรึงไว้แต่หนังทำไม่ได้ มันจึงมีความละเอียดอ่อนของการผลิตที่อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม และคิดว่ามีอีกเยอะที่ต้องเรียนรู้” 

โนร่ายังบอกว่ากระเป๋านักเรียนบางๆ ยอดฮิตที่เห็นกันต้องผ่านขั้นตอนการฝานหนังให้บางเพื่อให้เย็บได้ง่าย มีเทคนิคเฉพาะในการใช้เครื่องฝานและปอกหนังให้บางลงโดยช่างฝีมือที่ถนัดด้านนี้โดยเฉพาะ แม้รูปลักษณ์และหนังที่ใช้จะเปลี่ยนไปแต่โนร่าบอกว่าความตั้งใจในการสืบทอดเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นยังเหมือนเดิม

“Legacy ที่สืบทอดมาตลอดคิดว่าเป็นการที่เราคำนึงถึงคุณค่าและความซื่อสัตย์กับลูกค้า นั่นก็คือเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า อย่างวัตถุดิบที่คุณแม่บอกว่ากระเป๋านักเรียนยุคแรกต้องเป็นหนังควายเพราะคงทน วิธีคิดนั้นก็ถูกส่งต่อมาตลอด

“ถึงตอนนี้เราจะเปลี่ยนมาทำกระเป๋าที่ไม่ใช่หนังร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากทุกอย่างเปลี่ยน คนอยากได้กระเป๋าหนังเทียมและกระเป๋าผ้า เราก็จะมีแตกไลน์ออกมาเป็นกระเป๋าสไตล์อื่นโดยคิดตลอดเวลาว่าจะทำยังไงให้สิ่งที่เราเลือกมาดีที่สุดสำหรับลูกค้าหรือมีฟังก์ชั่นดีที่สุด”

จากกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าเดินทางรุ่นดั้งเดิมในยุคแรก JACOB จึงพัฒนารุ่นสินค้าทั้งกระเป๋าสตางค์รุ่นที่โมเดิร์นขึ้นและมีฟังก์ชั่นหลายแบบมากขึ้น กระเป๋า crossbody & shoulder bag สำหรับผู้ชายและ handbag สำหรับผู้หญิง

“เจนฯ 1 จะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจที่สร้างทุกอย่างขึ้นมา เจนฯ 2 เป็นการต่อยอดและขยายเข้าห้าง ส่วนเจนฯ 3 เราก็รู้ว่าพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน ก็คือความท้าทายที่กำลังเจอ คนเริ่มหันมาซื้อทางออนไลน์จึงต้องมี online experience เพิ่มเข้ามาด้วย” โนร่าเล่าถึงการปรับตัว

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่เข้าไปดูสินค้าได้หลากหลายเป็นผลงานของทายาทรุ่น 3 อย่างโนร่าและอนณที่มีเรื่องราวหลังบ้านต้องจัดการมากมาย ทั้งการขาย โอเปอเรชั่น การจัดการข้อมูลหลังบ้าน การเพิ่มประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งอนณที่เชี่ยวชาญด้านไอทีโดยเฉพาะได้เข้ามาช่วยดูแล โดยเรื่องราวหลังบ้านเหล่านี้เป็นข้อมูลสำหรับนำไปพัฒนาสินค้าและการขายให้ดีขึ้น ทั้งการหมุนสต็อก พฤติกรรมการซื้อ ความชื่นชอบของลูกค้าไปจนถึงออกแบบคอลเลกชั่นใหม่ 

Yesterday’s Tomorrow Collection 

หนึ่งในอินไซต์ที่โนร่าได้จากคนรอบตัวคือผู้คนยังคิดถึงกระเป๋านักเรียนในความทรงจำอยู่แต่ไม่มีตัวเลือกจาก JACOB ให้ใช้ โจทย์ตั้งต้นของทายาทรุ่น 3 คือการดีไซน์กระเป๋าที่คนรุ่นมิลเลนเนียล หรือเจนฯ Z สามารถกลับมาใช้กระเป๋าของแบรนด์ได้แม้จะไม่ได้ไปโรงเรียน

“ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว เริ่มจากเพื่อนอยากได้กระเป๋านักเรียนที่ย่อมาเป็นกระเป๋าจิ๋วที่สามารถพกพาไปได้นอกรั้วโรงเรียน เราก็เก็บโจทย์นี้ไว้ในใจและพยายามคิดมาตลอดว่าจะทำยังไงให้แบรนด์มี signature bag โดยที่เราลืมไปว่าเรามีกระเป๋านักเรียนอยู่แล้ว”  

อนณเสริมโนร่าว่าโจทย์ของแบรนด์ชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชวนดีไซเนอร์มาคุยกัน “ในวันที่เราไปคุยกับคุณศรันย์ โจทย์ของคุณโนร่าคือแค่คิดว่าอยากดีไซน์กระเป๋าเฉยๆ อยากคอลแล็บกันออกมาเป็น Spring/Winter collection พอไปคุยกันแล้ว คุณศรัณย์อยากเล่าเรื่องและเอาดีเอ็นเอของกระเป๋านักเรียนมาใส่ในกระเป๋าทรงใหม่ ซึ่งก็ตอบโจทย์ของแบรนด์ที่ลืมไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน เราไม่ได้ให้โจทย์เขา แค่มีโจทย์ในใจ แต่พอไปคุยกันกลายเป็นว่าทั้ง 2 ฝ่ายตอบโจทย์ในใจของกันและกันโดยไม่รู้มาก่อน”

รัศมีวรรณโชว์กระเป๋าคอลเลกชั่นล่าสุดให้ดูพร้อมบอกว่า “รายละเอียดทุกอย่างของกระเป๋าเล่าเรื่อง ได้หมดเลย บอกได้ว่ากระเป๋ารุ่นนี้เขามีพ่อแม่นะ”

ไอเดียของศรันย์คือฉายไฟฉายย่อส่วนใส่กระเป๋านักเรียน กล่าวคือนำดีเอ็นเอของกระเป๋านักเรียนมาอยู่ในกระเป๋านอกรั้วโรงเรียน 11 ทรง โดยต่อยอดจากทรงกระเป๋ารุ่นปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว ออกมาเป็นกระเป๋า tote bag, handbag, wallet, Crossbody, messenger, slim bag

กระบวนการถ่ายทอดดีเอ็นเอของกระเป๋านักเรียนนั้นคือวิธีที่ศรัณย์เรียกว่า “รื้อ หั่น พลิก ย้าย สลับ ปะ” นำเอกลักษณ์ของ JACOB รุ่นดั้งเดิม เช่น ช่องพ็อกเก็ตที่ใส่ของที่เคยอยู่ข้างในกระเป๋านักเรียนย้ายมาอยู่ข้างนอกทั้งข้างหลังและข้างหน้าของกระเป๋าคอลเลกชั่นใหม่ รักษาสไตล์เส้นสายการต่อตะเข็บที่เอียงและไม่อยู่ตรงกลางเหมือนกระเป๋ารุ่นแรก เอาสายคาดที่เคยอยู่บนกระเป๋านักเรียนมาแปะบนกระเป๋าธนบัตร ปรับทรงของ tote bag ที่มีอยู่แล้วให้เฟี้ยวมากขึ้นโดยอิงโครงสร้างจากกระเป๋านักเรียนที่สุด 

สิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือจากสีดำสุขุมของกระเป๋าถูกแปลงโฉมเป็นสีสันสดใส โดยทำทรงที่ล้อกับเสน่ห์ของกระเป๋านักเรียนที่ศรัณย์มองว่ามีสไตล์ความเป็นยูนิฟอร์มที่มีความญี่ปุ่นและอเมริกันผสมกัน ความพิเศษคือคอลเลกชั่นนี้ยังเป็นครั้งแรกที่แบรนด์เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือก customize ได้ด้วยตัวเองทั้งประเภทและสีสันของหนังซึ่งนับเป็นความท้าทายใหม่เพราะศรัณย์มองว่า JACOB มีเสน่ห์อยู่แล้ว จึงไม่อยากออกแบบเองทั้งหมดแต่อยากให้เหล่าแฟนคลับแบรนด์ได้มีส่วนร่วมในการ customize กระเป๋าด้วยตัวเองจากหนังมากมายในโรงงาน JACOB ที่ศรัณย์ไปเจอแล้วรู้สึกว่ามีความพิเศษทั้งหนังนำเข้า หนังแฟนซี หนังเรียบ หนังขัดลาย หนังปั๊มลาย หนังอัดเม็ดที่มีสีให้เลือกเยอะ หนังรุ่นพิเศษต่างๆ

อนณเล่าถึงงานเบื้องหลังว่าสิ่งสำคัญที่ได้จากการทำแคมเปญนี้คือเก็บข้อมูลเพื่อกำหนดทิศทางแบรนด์ในอนาคตว่ารุ่นไหนในคอลเลกชั่นนี้ที่ขายดีและคนชื่นชอบมากที่สุด

“ฟีดแบ็กที่เราได้จากอินฟลูเอนเซอร์และลูกค้าที่วอล์กอินมานั้นจะเป็นคนละอย่าง อินฟลูเอนเซอร์จะชอบความท้าทายที่เขาได้ customize สนุกกับประสบการณ์ที่ได้คิด สร้างสรรค์ ดีไซน์เอง และแกะสินค้าผ่านกล่อง แต่ลูกค้าที่เดินเข้ามาบางคนจะบอกว่า เลือกไม่ถูกก็มี อยากซื้อแบบที่เห็นแล้วสวย ชอบเลย อย่างรุ่นที่เซอร์ไพรส์ว่าคนสนใจเยอะพอสมควรคือ tote bag”

ผลลัพธ์จากการจัดนิทรรศการครั้งนี้คือรัศมีวรรณรู้สึกได้ถึงความประทับใจในแบรนด์ที่มั่นคงของลูกค้า 

“หลังจากจัดนิทรรศการไป ทุกคนก็บอกยังจำได้และคิดถึงกระเป๋าในสมัยก่อนอยู่เลย ได้ความทรงจำเก่าๆ กลับมา ก็ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนที่รักกระเป๋านักเรียน JACOB อยู่มาก เพราะชีวิตในรั้วโรงเรียนก็มีประสบการณ์ในวัยนั้นอยู่หลายปี ใช้กระเป๋าใบเดียวทุกวันแบบนี้” 

ส่วนสายไอทีอย่างอนณก็ประทับใจศาสตร์การทำงานฝีมือที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“สำหรับผมสิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดแล้วก็สนุกด้วย คือขนาดที่ผมเองก็อยู่กับกระเป๋านักเรียนและกระเป๋าหนังมาทั้งชีวิต ผมเพิ่งมาได้เข้าใจรายละเอียดเรื่องการทำแพตเทิร์นต่างๆ ในปีที่แล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้ผมชื่นชมงานฝีมือมากขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ผมซึ่งเรียนไอทีมาไม่ได้มีมาก่อน ทำให้ได้สัมผัสถึงขั้นตอนต่างๆ ที่ละเอียดมาก อย่างการทำให้มี 2 สีในใบเดียวนั้นก็ไม่ง่ายเลย ต้องมีชั้นเชิง” 

โนร่าสรุปเส้นทางการเรียนรู้ตั้งแต่ทำ JACOB มาว่าความท้าทายใหญ่ๆ ที่เธอเจอมาก็มีหลายแบบ แบบแรกคือเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจที่เจอปัญหาตลอด

“เคยคุยกับคุณแม่ว่าทำไมเวลาเราแก้ปัญหาเสร็จแล้ว ทำไมปัญหายังกลับมาเหมือนเดิม จริงๆ ควรแก้แล้วก็แก้ไปเลย คุณแม่ก็เลยบอกว่าการทำธุรกิจมันก็เป็นแบบนี้  มันก็เหมือนกับฝุ่นที่กลับมาแล้วเราก็ต้องปัดไป”

เป็นปัญหาที่วนกลับมาและต้องหมั่นแก้ ต้องหมั่นทำความสะอาดและปัดฝุ่นทิ้งไปให้แบรนด์ยังมีความสดใหม่อยู่เสมอ เหมือนการเปลี่ยนภาพจำของกระเป๋านักเรียนให้ป๊อปนอกรั้วโรงเรียนอย่างในคอลเลกชั่นนี้นั่นเอง     


ข้อมูลติดต่อ :
Facebook : https://www.facebook.com/sbjacobbag
Instagram : https://www.instagram.com/sb_jacob
Website : https://jacob.co.th

ศิลปะการบาลานซ์ธุรกิจให้กรีนและเก๋ของ sarr.rai เครื่องประดับทางเลือกที่ดีต่อใจและดีต่อโลก

จากภาพต่อไปนี้ คุณคิดว่าเครื่องประดับแวววาวเหล่านี้ทำจากวัสดุอะไร

หลายคนอาจตอบว่าพลอยทั่วไป ไม่เห็นยากตรงไหน บางคนอาจมองว่าคือคริสตัล แต่เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องประดับเหล่านี้ผลิตขึ้นจากขวดไวน์บ้าง บางชิ้นผลิตจากมุกน้ำจืด และบางชิ้นก็ทำขึ้นจากลูกแก้วที่หลายคนเคยเล่นตอนเด็กๆ!

ความแวววาวราวเพชรนิลจินดา ผสมผสานกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ไร้รูปแบบทำให้ sarr.rai หรือที่อ่านว่า ‘สาหร่าย’ แบรนด์เครื่องประดับทางเลือกของเพื่อนสนิทอย่าง กอล์ฟ–อภิสรา ศิริวัฒน์โยธิน และ แจม–ภิญญาพัชญ์ งามพินิจพล เต็มไปด้วยเรื่องราว 

ที่บอกว่าเครื่องประดับทางเลือก หรือ alternative jewelry เพราะทั้งดีไซน์และวัสดุส่วนใหญ่ที่กอล์ฟและแจมเลือกใช้อาจไม่ตรงกับคำว่า ‘เครื่องประดับ’ ที่คนทั่วไปคุ้นเคยเพราะทั้งคู่ต้องการให้ทุกคนสนุกกับการแต่งตัว แต่ยังได้ขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมกับพัฒนาช่างฝีมือไทย

แม้ในวันแรก เพื่อนรักเพื่อนธุรกิจจะเริ่มต้นไอเดียในช่วงโควิด-19 ด้วยภาพกว้างๆ ว่าอยากทำเครื่องประดับแบบซื้อมาขายไป แต่ในวันนี้กอล์ฟและแจมมองไกลกว่านั้น sarr.rai ไม่เพียงเป็นธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง สร้างทางเลือกให้สายแฟและสายกรีนมากขึ้น แต่ยังตั้งใจขยายอาณาบริเวณของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้ที่ไม่ว่าใครก็ตามเข้ามาร่วมสนุกได้

แต่กว่าจะเป็นธุรกิจสายแฟที่แคร์โลกได้ขนาดนี้ สาหร่ายกอนี้ก็เผชิญกับปัจจัยรายล้อมมากมาย บทสนทนาด้านล่างจึงพาเราไปไขคำตอบว่ากอล์ฟและแจมฟูมฟัก sarr.rai ขึ้นมาภายใต้ข้อจำกัดมากมายได้ยังไง

01 Conscious Production

กอล์ฟเรียนจบด้าน Fashion Marketing จากประเทศอังกฤษ ทั้งยังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เครื่องประดับ ในทุกโปรเจกต์ของการเรียน สิ่งที่กอล์ฟได้เรียนรู้คือการแคร์โลกไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นบรรทัดฐานสำคัญของคนทำธุรกิจสายแฟ การคิดทุกอย่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้งจึงค่อยๆ สั่งสมในตัวกอล์ฟ กระทั่งได้ทำธุรกิจของตัวเอง

“เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนว่าแจมเป็นคนลงมือทำเพราะเขาเป็นคนละเอียด ส่วนกอล์ฟเป็นคนคิดคอนเซปต์ คิดภาพต่างๆ แล้วพอเพื่อนเราต้องทำเองเราก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเจอกับเคมีตลอดเวลา เราเลยรีเสิร์ชและลงแรงกันเยอะมากว่าเราจะใช้วัสดุอะไรที่มันดีกับแจมและดีกับโลก

“จากที่อยากทำเล่นๆ ขำๆ ฟีลเดินซื้อของที่สำเพ็งแล้วเอามาร้อยเป็นข้อมือขาย มันเลยขำไม่ได้แล้ว เพราะเราคิดว่าแบรนด์นี้มันจะอยู่ไปยาวๆ ไม่ได้คิดว่าจะทำแล้วเลิก เราเลยอยากทำให้มันคุ้มค่า” กอล์ฟอธิบายพลางหัวเราะ ก่อนค่อยๆ ปูความรู้พื้นฐานด้านเครื่องประดับให้ฟังว่าอุตสาหกรรมเครื่องประดับส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง 

เริ่มจากเพชรพลอยต่างๆ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สุดท้ายแล้วจะหมดไปเพราะโลกผลิตไม่ทันให้มนุษย์ใช้ อีกสิ่งสำคัญคือก่อนจะได้เครื่องประดับมาสะท้อนตัวตน มนุษย์ต้องทำเหมืองเยอะมาก ปัญหาหลักๆ คือการทำเหมืองใช้เคมีมหาศาลเพื่อให้ได้สิ่งที่คนต้องการ เป็นที่มาว่าแต่ละวัสดุที่ sarr.rai เลือกใช้ ถ้าไม่รีไซเคิลได้ ก็ต้องเป็นวัสดุที่ยั่งยืนกับสิ่งแวดล้อม ทั้งวัสดุหลักๆ จะต้องประกอบด้วยเงิน แก้ว และมุก

เริ่มจากตัวเรือนอย่างเงินซึ่งเป็นโลหะที่ราคาจับต้องได้กว่าทองแต่เป็นโลหะกึ่งมีค่าที่เทรดได้ แม้เงินจะต้องทำเหมืองไม่ต่างจากวัสดุอื่นๆ แต่การที่เงินหลอมขึ้นรูปใหม่ได้หรือรีไซเคิลได้ไม่รู้จบ ทำให้เงินเป็นทางออกที่ดีกว่าโรเดียม ทองเหลือง หรือทองแดงที่ส่วนใหญ่แล้วคนนิยมนำไปชุบทองเค ปลายทางของโลหะเหล่านี้จึงไม่ใช่การรีไซเคิล 

เช่นเดียวกัน ลูกแก้วเป็นอีกหนึ่งวัสดุที่รีไซเคิลได้ไม่รู้จบ ความน่าสนใจคือในช่วงแรกทั้งสองคิดอยากทำลูกแก้วขึ้นใหม่เพื่อให้คัสตอมสีตามความต้องการได้ แต่นั่นหมายความว่า sarr.rai จะต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นอีก การคัดสรรลูกแก้วในท้องตลาดตามจังหวัดต่างๆ มาสร้างสรรค์เป็นเครื่องประดับจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

อีกวัสดุที่ขายดิบขายดีไม่แพ้กันคือมุกน้ำจืดที่ราคาเข้าถึงได้กว่ามุกน้ำเค็ม ทั้งยังเป็น green gem ที่ไม่ได้เก็บจากธรรมชาติ แต่มาจากฟาร์มเพาะเลี้ยง ตัวเปลือกหอยเองยังมีฤทธิ์เป็นด่างที่ช่วยบำบัดของเสียได้เช่นกัน ที่สำคัญ มุกน้ำจืดยังย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 

ทั้งคู่ยังผลิตจิวเวลรีที่อัพไซเคิลจากขวดเครื่องดื่มที่ได้จาก theCOMMONS ทองหล่อ ผ่านการเจียรโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นการเปลี่ยนสิ่งของที่คนไม่เห็นค่าให้ได้ผลลัพธ์ที่งดงามจนแทบดูไม่ออกว่าวัสดุต้นทางคืออะไร 

“ถามว่าฟังก์ชั่นของเครื่องประดับคืออะไร มันคือเครื่องแสดงตัวตนและสะท้อนจิตวิญญาณของเราว่าเราชอบอะไร สนใจอะไร อีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนคือมันทำหน้าที่แสดงฐานะทางสังคมว่าฉันมีเงินมากพอที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้ 

“แต่ในฐานะชนชั้นกลาง เราคิดว่าคำว่า ‘ร่ำรวย’ มันควรจะเปลี่ยนไป คำนี้มันไม่ใช่แค่การครอบครองอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งในเมื่อเราทุกคนอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเก็บสิ่งนี้ไว้จำนวนมากมันสมควรแค่ไหน 

“เราเลยอยากทำเครื่องประดับทางเลือกที่ถ้าใครสักคนยังอยากให้มันแสดงถึงความสวยงาม ความชอบหรือว่าตัวตน ก็ยังสวมใส่มันได้และยังลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เคมี หรือแรงงานคนในทางที่ไม่เป็นมิตรลงไป”

02 Conscious Design

แรกเห็น sarr.rai เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะสนใจที่รูปทรงของเครื่องประดับเหล่านี้ ด้วยความไร้ฟอร์มที่แตกต่างจากเครื่องประดับทั่วไป ทั้งภาพรวมของเครื่องประดับทุกชิ้นยังสะท้อนถึงตัวตนที่เป็นอิสระ ทำเอาเราแทบไม่ได้โฟกัสว่าแท้จริงแล้วจิวเวลรีที่เป็นตัวเอกของต่างหู สร้อยคอ หรือสร้อยข้อมือแต่ละชิ้นเคยเป็นวัสดุที่คนอาจไม่เคยให้ค่า

ภาพเหล่านี้แตกออกจากหลักสำคัญในการออกแบบ 3 อย่าง อย่างแรกคือการเน้นออกแบบรูปทรงให้เป็น organic form เพื่อยังคงความคราฟต์ของผลงานที่ดูแล้วรู้ว่านี่คืองานฝีมือจริงๆ ไม่ได้ถอดแบบมาจากโรงงาน 

สอง–บางคอลเลกชั่นที่อัพไซเคิลจากขยะ ทั้งสองคนต้องการให้วัสดุเหล่านั้นสวยงามในตัวเอง ชนิดที่มองไม่ออกว่าเคยเป็นขยะมาก่อน เช่น คอลเลกชั่น Mine ที่นำขวดไวน์มาเจียรให้คล้ายพลอย เพื่อให้สวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน  

สาม–เครื่องประดับจาก sarr.rai จะต้องใส่ได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพราะสำหรับทั้งคู่ sarr.rai ไม่ได้ขายเครื่องประดับเท่านั้นแต่กำลังกระจายความคิดความเชื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม ดีไซน์ที่ยิ่งเอาชนะใจคนหมู่มากได้เท่าไหร่ ความเชื่อของแบรนด์ก็ยิ่งไปได้ไกลกว่าเดิม 

“เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหญ่ๆ มันไม่ได้เกิดจากคนหนึ่งคน หรือไม่ได้เกิดจากการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่คนเดียว แต่มันคือคนหลายคนได้ทำสิ่งเล็กๆ ที่ไม่ได้ยากเกินไปแต่ทำได้อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ไม่มีใครจำเป็นต้องแบกรับสิ่งนี้ไว้คนเดียว เพราะทุกคนยังต้องการมีชีวิตปกติ เวลาลูกค้าเดินกลับมาบอกเราว่าวันนี้ใส่สร้อยของเราแล้วเขาไม่รับหลอดพลาสติกเลย เพราะเขานึกถึงสิ่งที่เราพูด แค่นี้เราก็ดีใจมากแล้ว” กอล์ฟอธิบายคอนเซปต์การออกแบบ 

“เพราะเราเองไม่ได้เริ่มจากการเป็นคนที่กรีน 100% เรามาจากคนธรรมดา บ้านเราทำโรงงานเสื้อผ้า ที่ผลิตออกไปเยอะมาก เราโตมากับการผลิตแบบเน้นจำนวน ไม่ต้องเน้นคุณภาพมาก จะเห็นว่าแค่รุ่นพ่อแม่กับรุ่นเราซึ่งห่างกันรุ่นเดียว ความคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมมันก็เปลี่ยนแปลงชัดเจนแล้วนะ เราเลยคิดว่ามันน่าจะต้องดีขึ้นอีกเรื่อยๆ” แจมเสริม

03 Being a Social Movement

“ตอนแรกเราทำราคาให้คนทั่วไป อย่างน้อยก็ชนชั้นกลางเข้าถึงได้ ไม่ได้อยากขายราคาหลักหมื่นแต่พอมาทำจริงๆ ด้วยขั้นตอนต่างๆ มันทำมือทั้งหมด ระยะเวลาที่ใช้ก็นาน เรายังต้องใช้ช่างที่มีทักษะด้วย ราคาเลยขึ้นสูงกว่าที่คิดไว้มาก” กอล์ฟเกริ่นถึงช่างเงินและช่างพลอยเบื้องหลังที่สร้างสรรค์ sarr.rai ไปพร้อมกับทั้งคู่ 

กอล์ฟและแจมยังเล่าให้ฟังถึงช่วงตั้งไข่ ว่ากว่าจะหาทีมช่างที่ยอมสร้างแบรนด์ไปกับพวกเธอนั้นยากแสนยาก ด้วยปริมาณงานที่ sarr.rai มีนั้นน้อยกว่าเจ้าอื่นๆ ด้วยรูปทรงของงานที่ต่างจากงานทั่วไปที่ช่างเคยทำ ที่สำคัญ ด้วยทั้งคู่ไม่ได้มีองค์ความรู้ในการทำเครื่องประดับจึงทำให้ต้องค่อยๆ ปรับไอเดียให้ลงตัวและเข้ามือกันกับที่คิดไว้ในช่วงแรก 

“ยากมากๆ ที่จะหาช่างที่เข้าใจตรงกัน ยอมทำให้แบบที่เราต้องการ ยอมที่จะลองผิดลองถูกไปกับเราโชคดีที่หัวหน้าช่างเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจงานออกแบบ และบางทีช่างก็อยากทำงานใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ล็อตใหญ่บ้าง sarr.rai เลยออกมาได้

“หรืออย่างช่างเจียรพลอยที่เขาเจียรขวดเครื่องดื่มในคอลเลกชั่น Mine ให้เราก็เป็นอาจารย์ที่เขาสอนเจียรพลอยให้คนในชุมชนเยอะ ต้องเล่าก่อนว่าก่อนหน้านั้น เราพยายามจะคิดเอาขวดไปหลอมขึ้นรูปใหม่แต่มันยากเพราะแก้วที่ทำขวดมันไม่ได้บริสุทธิ์ขนาดนั้น จนกระทั่งเรามาเจออาจารย์คนนี้โดยบังเอิญในยูทูบ” อาจารย์ที่แจมเล่าถึงคืออาจารย์สุรเดช หวังเจริญ ที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนชมรมบ้านเจียระไนพลอย ที่มีชื่อเสียงด้านการอัพไซเคิลขวดไร้ค่าให้กลายร่างเสมือนพลอยมีค่า

ไม่เพียงคิดธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น สองเพื่อนซี้ยังตั้งใจให้ sarr.rai เป็นอีกแรงขับเคลื่อนในวงการช่างฝีมือไทย เพราะกอล์ฟและแจมให้ค่าแรงช่างฝีมือสูงกว่าท้องตลาด ทั้งสองยังใส่ใจถึงสภาพแวดล้อมการทำงานของช่างเสมอ ตั้งแต่เข้าไปพูดคุยถึงงานที่ทำตลอดปีว่าค่าแรงที่ได้รับเพียงพอแค่ไหน ติดปัญหาอะไรในการทำงานบ้างหรือเปล่า รวมถึงจัดหาไฟเพื่อให้แสงสว่างเพียงพอกับการทำงาน

“เราไปแชร์ให้เขาฟังว่างานเราเป็นอย่างนี้นะ ขายให้ใครไปแล้วบ้าง แล้วคนที่เขาได้รับเขารู้สึกยังไง เราอยากให้เขาเห็นภาพว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าภูมิใจแค่ไหน เราไม่อยากให้เขากลายเป็นเครื่องจักรที่แค่ทำงานไปเรื่อยๆ” แจมอธิบายถึงงานประจำปีที่ทั้งคู่ไม่เคยปล่อยผ่าน

“เราคิดว่าเรื่องค่าแรงมันเป็นเรื่องโครงสร้าง เราเองคงไม่สามารถทำให้ทุกคนมาจ่ายค่าแรงช่างในราคาที่สูงกว่าเดิมได้ แล้วเราก็เข้าใจธุรกิจ การที่จะแก้ไขปัญหาค่าแรงช่างฝีมือไทยให้สอดคล้องกับราคาเครื่องประดับที่คนกลางได้ไป มันต้องแก้กฎหมาย

 “สิ่งที่เราทำได้คือเราจะดูแลเขาให้ดีที่สุด เราจะเป็นกระบอกเสียงให้เขา ทั้งเวลามีคนมาสัมภาษณ์ หรือเวลาออกร้านขายของ เราจะสื่อสารและเล่าเรื่องราวของช่างให้กับลูกค้าฟังเสมอ” กอล์ฟเสริมถึงความตั้งใจในการทำแบรนด์ที่ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป แต่ต้องการสร้างธุรกิจที่ดีต่อสังคมจริงๆ

04 Commitment to Sustainability

“จริงๆ เราไม่เคยพูดว่ามันกรีนนะ เราจะพูดว่ามันยั่งยืนมากกว่า” แจมตอบทันที เมื่อเราเอ่ยถามถึงความยากในการบาลานซ์ธุรกิจและความกรีนให้ไปด้วยกัน ในวันที่ใครๆ ก็กระโดดเข้ามาทำธุรกิจสุดอีโค่แต่เป็นได้แค่ greenwashing หรือการฟอกเขียว

“เราไม่ได้กรีน 100% แค่เราต้องรู้ว่าเรากำลังใช้อะไรอยู่ เราจะส่งต่อมันไปยังไง แล้วบอกคนอื่นด้วยว่าสิ่งที่เราใช้มันมีอะไรบ้าง เช่น ซัพพลายเออร์เรายังใช้พลาสติกอยู่นะ เราว่าความโปร่งใสมันเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจนี้” แจมเสริม

“ธุรกิจที่ยั่งยืน อย่าลืมว่ามันก็ยังเป็นธุรกิจ ถ้าเราไม่ได้กำไรเลย ธุรกิจเราอยู่ไม่ได้ ลูกน้องเราก็อยู่ไม่ได้ การกระจายรายได้ไปที่ช่างมันก็คงไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความยั่งยืน อย่างนั้นเราคงไม่ใช่ธุรกิจแต่เป็นองค์กรการกุศล สิ่งสำคัญจึงคือการหาตรงกลาง 

“อย่างจุดที่เราคิดว่าจะเอาร้านเข้าอีคอมเมิร์ซดีไหม เราก็มาคิดนะว่าอีคอมเมิร์ซมันก่อมลพิษเยอะมาก มันสร้างนิสัยให้เราซื้อโดยไม่จำเป็น แต่ในอีกทาง ถ้าเราไม่เข้าร่วมมันคือการลดช่องทางการเข้าถึงลูกค้าของเรา อีกอย่าง ถ้าเราไม่อยู่ในช่องทางเหล่านี้เขาก็ยิ่งไม่มีตัวเลือกหรือเปล่า 

“อย่างนั้นเราเลือกได้ไหม เลือกที่จะไม่ทำทุกแคมเปญ เลือกที่จะไม่ลดแลกแจกแถมทุกเดือน  เราก็ลดแค่ตอนที่เรารู้สึกว่ามันเป็นของขวัญให้กับลูกค้า มายด์เซตนี้แหละที่ทำให้เราพยายามพาตัวเองออกไปในที่ต่างๆ เพื่อให้คนได้มีทางเลือกมากขึ้น” กอล์ฟอธิบายให้เห็นภาพการทำธุรกิจที่หลายคนเรียกว่ากรีนซึ่งตามมาด้วยความยากอีกรูปแบบที่บางธุรกิจอาจไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง

“หลายคนคิดว่าเราคงได้กำไรแบบก้าวกระโดด แต่ทุกวันนี้แจมยังเป็นครูสอนโยคะฟลาย กอล์ฟยังทำงานบริษัท แล้วจริงๆ ถ้าเราคาดหวังกำไรแบบก้าวกระโดด เราคงเฉาตายไปแล้ว” แจมเล่าขำๆ เมื่อเอ่ยถึงความอยู่รอดของธุรกิจเล็กๆ ธุรกิจนี้ 

“คนถามเยอะมากว่าทำไมเราไม่สเกล ทำไมเราไม่ไปคอลแล็บกับแบรนด์ใหญ่ๆ ทำไมเราไม่ไปขอขวดจากแบรนด์ที่เขามี visibility ในตลาดเยอะๆ แต่เรากลับรู้สึกว่าเราไม่รีบ เราอยากทำอย่างยั่งยืน เวลาเราคอลแล็บ เราก็เลือกทำกับคนที่มีมายด์เซตเดียวกัน มายด์เซตที่เชื่อว่าเขาเองก็สามารถกระจายความเชื่อเหล่านี้ให้กับลูกค้าหรือคนรอบตัวเขาได้”

ที่ผ่านมา sarr.rai ร่วมคอลแล็บกับแบรนด์ SKIN & TONIC เพื่อจัดเวิร์กช็อปคราฟต์จิวเวลรีเงิน พร้อมๆ กับการค้นหากลิ่นที่ชอบ ถือเป็นการคอลแล็บข้ามธุรกิจที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า พร้อมกับการกระจายความเชื่อในการทำธุรกิจ

“เจ้าของ theCOMMONS พูดกับเราว่าเขาไม่ได้คาดหวังที่จะทำ  theCOMMONS แค่ 5 ปี เขามองไกลกว่านั้น เพราะเขากำลังทำสิ่งที่เรียกว่าความยั่งยืน การสร้างความยั่งยืนมันไม่สามารถคาดหวังกำไรแบบก้าวกระโดดได้ คำพูดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้กลับมาสำรวจตัวเองว่า sarr.rai กำลังทำสิ่งที่มันค่อยๆ เติบโตทั้งในแง่ของธุรกิจ ขนาด ยอดขาย รวมถึงการส่งต่อความคิดนี้ให้มันโตขึ้นเรื่อยๆ” กอล์ฟยืนยันความตั้งใจ

เส้นทางต่อจากนี้ของสาหร่าย จึงไม่ใช่แค่การเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่อยากให้ทุกคนมีทางเลือกและทางออกเชิงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังตั้งใจเป็นคอมมิวนิตี้ที่พร้อมเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้แชร์เรื่องราวการขยับสู่ความยั่งยืนมากขึ้น เชื่อมโยงผู้คนถึงกัน และเป็นเหมือนเพื่อนที่สัญญาว่าจะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

ข้อมูลติดต่อ
Website : sarr.rai
Facebook : sarr.rai
Instagram : sarr.rai

MarTech ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด สรุปประเด็นสำคัญจาก Thailand’s MarTech Report 2024

ถ้าพูดถึง MarTech บางคนที่ไม่คุ้นอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ฟังดูยุ่งยาก แต่ถ้าเราบอกว่า Line, Google Forms, Tello หรือ Canva ที่ใช้กันอยู่ทุกวัน ในภาษาการตลาดเราเรียกสิ่งนี้ว่า MarTech คุณอาจรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว MarTech ไม่ได้ไกลตัวเราขนาดนั้น

ก่อนอื่นเรามาไขความกระจ่างกันก่อนดีกว่าว่า MarTech คืออะไร

MarTech เป็นการรวมระหว่างคำว่า marketing และ technology เข้าด้วยกัน ซึ่งหมายถึงเครื่องมือเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมศักยภาพในการทำตลาด วิเคราะห์และติดตามผลการตลาด ปัจจุบัน MarTech มีทั้งที่เป็นแบบแพลตฟอร์ม โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์ ซึ่งสามารถแบ่งได้ 6 ประเภทหลักๆ คือ

  1. Advertising & Promotion (การโฆษณาและโปรโมต) เช่น Google Ads, Meta Ads Manager และ Line Ads
  2. Content & Experience (คอนเทนต์และประสบการณ์) เช่น ChatGPT, Google Forms และ Canva
  3. Social & Relationship (โซเชียลและความสัมพันธ์) เช่น Zoom, Hootsuite, Eventpop และ Tellscore
  4. Commerce & Sale (การพาณิชย์และการขาย) เช่น LINE My Shop, Lazada Affiliate และ 2C2P
  5. Data (ข้อมูล) เช่น Google Analytisc, Goolge Search Console และ Microsoft Power BI
  6. Collaboration & Management (การทำงานร่วมกันและการจัดการ) เช่น LINE, Google Workspace และ Microsoft 365

‘ถ้าคิดว่าจักรวาล Marvel กว้างแล้ว จักรวาล MarTech กว้างกว่า’

จริงๆ แล้วเครื่องมือที่แนะนำไปข้างต้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของจักรวาล MarTech ทั่วโลกมีเครื่องมือให้เลือกใช้กว่าหมื่นชิ้น แต่ถ้าโฟกัสแค่บริการของไทยแม้จะมีไม่เยอะเท่า แต่ก็หลากหลายและครอบคลุมการใช้งานพอสมควร

เครื่องมือ MarTech ที่พัฒนาโดยคนไทย (อัปเดตปี 2023)

สำหรับของไทยเองก็มี solution ดีๆ ให้เลือกใช้เยอะ เนื่องจากผู้ผลิตหรือทีมงานเป็นคนไทยที่เข้าใจพฤติกรรมการใช้งาน และความต้องการของคนไทยด้วยกัน จึงพัฒนาฟีเจอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน และเมื่อเวลามีปัญหาก็สามารถติดต่อกับผู้พัฒนาด้วยภาษาที่คุ้นเคย

ตัวอย่างเช่นในกลุ่ม Content Management เครื่องมือ MarTech ในกลุ่มนี้จะช่วยองค์กรบริหารจัดการคอนเทนต์ต่างๆ รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า หนึ่งในเครื่องมือที่มีผู้ใช้จำนวนมากคือ MakeWebEasy เป็นระบบสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูป ที่ช่วยให้องค์กรมีเว็บไซต์ของตัวเอง

หรือในกลุ่ม CRM for B2C ก็มี ChocoCRM เป็นระบบจัดการสมาชิกเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ ที่เปลี่ยนลูกค้าขาจรให้เป็นลูกค้าประจำให้มากขึ้น

หากถามว่าใน 6 ประเภทนี้ ประเภทไหนของ MarTech ที่ผู้คนใช้งานมากที่สุด มีด้วยกัน 3 ประเภทคือ ข้อมูล, โซเชียลและความสัมพันธ์ และพาณิชย์และการขาย จากผลสำรวจใน Thailand’s MarTech Report 2024 ที่จัดทำโดย Content Shifu และ Hummingbirds ระบุว่า 95% ของผู้ตอบแบบสำรวจต้องการใช้ MarTech ประเภทดาต้า เพื่อเพิ่มยอดขาย และมอบประสบการณ์ให้ลูกค้า อาทิ เครื่องมือ Social Listening อย่าง Wisesight เป็นระบบเก็บข้อมูล และวิเคราะห์เสียงหรือกระแสที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ของไทย

‘MarTech ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด’

สิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ CEO และเจ้าของ Content Shifu ได้เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Thailand’s MarTech Report 2024 และความสำคัญของ MarTech ว่า ปัจจุบันเทรนด์การใช้ MarTech ในไทยมีจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดเวลา และลดต้นทุน เห็นได้จากผลสำรวจที่บอกว่า 46% ขององค์กรในประเทศไทยลงทุนในเครื่องมือ MarTech ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า MarTech มีความสำคัญต่อธุรกิจในยุคนี้อย่างมาก

โดยเป้าหมายส่วนใหญ่ที่องค์กรเลือกใช้ MarTech อันดับหนึ่งคือ เพื่อยอดขาย ขยายฐานผู้บริโภค เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า และสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ ต่อมาเป็นเป้าหมายเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดการทำงานซ้ำซ้อน และลดเวลาในการทำงาน ตามด้วยการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และลดต้นทุนต่างๆ

จากข้อมูลข้างต้นคงพอจะทราบแล้วว่า MarTech มีประโยชน์ที่หลากหลายและครอบคลุมในมิติต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น และปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดียิ่งขึ้น จึงนำมาสู่การเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรจะเลือกใช้ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมนั้นๆ ยังไง นอกจากนี้สิทธินันท์ยังได้แนะนำ 5 เคล็ดลับในการใช้ MarTech 

1. Ease of use. ต้องใช้งานง่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำเทคโนโลยีการตลาดเหล่านี้ไปใช้ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในมุมของผู้ใช้งานการจะเปิดรับเครื่องมือใหม่ๆ หากรู้สึกว่าใช้งานยากตั้งแต่เริ่ม ผู้ใช้อาจเกิดความรู้สึกท้อจนไม่อยากใช้ต่อ ดังนั้นผู้พัฒนาจึงต้องทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจและอยากใช้งานต่อไป 

ทั้งนี้ ผู้ใช้ก็อาจเลือกเครื่องมือที่พัฒนาโดยคนไทย และทำเพื่อคนไทย เพราะผู้พัฒนาออกแบบและดีไซน์เครื่องมือโดยคำนึงถึงภาษา วัฒนธรรม พฤติกรรม และความสามารถในการเข้าใจบริบทของผู้ใช้งานคนไทย

2. Familiarity over functionality. ความเคยชินในการใช้งาน เพราะหากผู้ใช้คุ้นชินกับแพลตฟอร์มแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ

3. There in no dominate play. ในธุรกิจ MarTech ไม่มีใครเป็นเจ้าตลาด หากใครมีเทคโนโลยีที่ดีก็สามารถสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองได้

4. Generative AI is exploding. หมายถึงการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และพัฒนาไปอย่างแพร่หลายในขณะนี้ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวและใช้งาน AI ให้มากขึ้น ซึ่งในจักรวาล MarTech มีซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI มากมาย ที่ช่วยวิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก คาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า เพิ่มศักยภาพการทำตลาด เช่น Google Analytics, Google Optimize หรือ Bookola ระบบ AI Chatbot ที่สร้างมาเพื่อธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะ ดังนั้นองค์กรจึงต้องหาเครื่องมือที่เหมาะสมมาปรับใช้กับการทำธุรกิจ

5. Local providers strike back. การพัฒนา MarTech ของไทยจะมีความน่าสนใจและแผ่ขยายมากขึ้น ผู้พัฒนาจึงต้องมีความเข้าใจในภาษา หรือ local context จึงจะชนะใจผู้ใช้

‘ใช้ MarTech ยังไงให้มีประสิทธิภาพ’

บังอร สุวรรณมงคล CEO และผู้ก่อตั้ง Hummingbirds Consulting ให้คำแนะนำสำหรับองค์กรที่ต้องการใช้ MarTech ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดว่า กลยุทธ์การใช้ MarTech ให้เวิร์กมีด้วยกัน 5P ประกอบด้วย

  • Planning & Strategy ที่หมายถึงการวางแผน แต่ก่อนจะลงมือจริง สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ การรู้จักตัวเอง รู้จักคู่แข่ง รู้จักกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนดีแล้วก็จะสร้างโอกาสที่แตกต่างจากคู่แข่ง
  • People บุคลากรต้องพร้อมลุย เพราะเครื่องมือไม่สามารถทำงานเองได้ ทีมผู้ใช้จริงต้องมีทักษะ ความรู้ และทัศนคติที่ดีในการเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • Process เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการ เพราะการนำเครื่องมือ MarTech มาใช้ถือเป็นการเพิ่มขั้นตอน ซึ่งทุกคนต้องคุยกันว่าเครื่องมือจะเข้ามาอยู่ในขั้นตอนไหน และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
  • Platform ซึ่งในที่นี้หมายถึงเครื่องมือ MarTech ที่ผู้ใช้ต้องเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
  • Pioneer หรือทีมนักสำรวจผู้เชี่ยวชาญ องค์กรต้องมีที่ปรึกษาที่ช่วยกำหนดทิศทางองค์กร มองเห็นเทรนด์และเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค และการศึกษาเครื่องมือใหม่ๆ ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

อย่างไรก็ตาม MarTech ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ที่จะเสกอะไรก็ได้ หรือการันตีความสำเร็จของธุรกิจ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรมีกลยุทธ์ และเทคนิคในการเอาชนะใจลูกค้า และนำหน้าคู่แข่ง 

สำหรับผู้ที่สนใจและอยากลงลึกกับโลกของ MarTech มากขึ้น ทาง Content Shifu และ Hummingbirds ได้ร่วมกันจัดทำ Thailand’s MarTech Report 2024 ที่รวบรวมอินไซต์เกี่ยวกับ MarTech สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ ดาวน์โหลดได้ฟรีที่ bit.ly/MTR_Download_PressRelease

คุยกับ ‘ลุงอ้วน กินกะเที่ยว’ จากครีเอเตอร์ยุคบุกเบิก สู่เจ้าของเพจคนตามเกือบล้าน

ลุงอ้วน กินกะเที่ยว

ลุงอ้วน กินกะเที่ยว Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด