Month: October 2023
จากเคสสตาร์บัง เสือพ่นไฟ สู่ลูกไก่ทอง คุยกับ อาจารย์ดิว เรื่องกฎหมายน่ารู้เกี่ยวกับร้านอาหาร
Sardine แบรนด์ไลฟ์สไตล์ของดีไซเนอร์และนักธุรกิจที่เปิดแค่ 2 เดือนแล้วมีแบรนด์มาชวนคอลแล็บ
Sardine คือแบรนด์ไลฟ์สไตล์น้องใหม่สุดป๊อปที่เพิ่งเปิดตัวในอินสตาแกรมราว 2 เดือนก่อน ท่ามกลางแบรนด์ในอินสตาแกรมที่มีอยู่มากมาย ภาพและสินค้าของ Sardine มีเอกลักษณ์ที่ดึงดูดให้ผู้ชื่นชอบงานดีไซน์กดฟอลโลว์
เบื้องหลังแบรนด์ชื่อน่ารักและมีสัญลักษณ์ของแบรนด์เป็นปลาที่ตั้งให้จำง่ายนี้ เมื่อนัดคุยถึงเพิ่งรู้ว่าแบรนด์นี้ก่อตั้งโดยเพื่อน 2 คนที่กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์กันคือ พิม จงเจริญ ผู้ก่อตั้ง Teaspoon Studio ที่มีผลงานดีไซน์และทำแบรนดิ้งให้แบรนด์ชื่อดังมามากมาย และ ตาล-นพนารี พัวรัตนอรุณกร ทายาทรุ่น 3 ของ บริษัท สมใจบิซกรุ๊ป จำกัด ที่มีประสบการณ์บริหารธุรกิจสินค้าเครื่องเขียนที่ใครก็รู้จักอย่างสมใจมาแล้ว
จุดเริ่มต้นของ Sardine เกิดจากพิมมีภาพแบรนด์ในฝันที่อยากทำเลยชวนตาลมากินข้าวที่บ้านและเปิดพรีเซนเทชั่นโชว์ภาพสไตล์ของแบรนด์ที่อยากทำให้ตาลดู ต้นทุนที่ทำให้ได้เปรียบในการทำแบรนด์จึงเป็นทักษะที่มีติดตัวของทั้งคู่ที่เมื่อมาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันแล้วกลายเป็นองค์ประกอบที่พอเหมาะ นั่นคือฝีมือการดีไซน์ของพิมและทักษะในการทำ merchandise และทำการตลาดของตาล
ทั้งคู่เริ่มทำแบรนด์ใหม่โดยยึดหลัก start small เริ่มจากเล็กๆ ถ้าล้มหรือไม่เวิร์กก็ไม่เจ็บ ทำสินค้าที่เข้าถึงง่ายในราคาที่ผู้ซื้อแฮปปี้ซึ่งทั้งคู่บอกว่าทำสินค้าให้สวยไม่ยากเลยแต่ต้องใส่ใจให้คุณภาพดีจริงและมีช่องว่างที่เหมาะกับตลาดพอดี

Product
Simple Stripe
sardine เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่พิมและตาลให้นิยามว่าคือ homeware and nonsense things in your life ทั้งคู่เปิดตัวแบรนด์ด้วยหมวด kitchenware สำหรับใช้บนโต๊ะอาหารอย่างแก้ว จาน ชาม ถาด ผ้าขนหนู
ในบทบาทดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้ง teaspoon studio ก่อนหน้านี้ผู้คนมักจดจำผลงานของพิมจากผลงานดีไซน์สุดคราฟต์อย่าง paper craft หรือ ลาย illustrator ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและใช้เทคนิคการออกแบบลายกราฟฟิกอันน่าทึ่งมาแล้วมากมาย
วันนี้เมื่อทำสินค้าไลฟ์สไตล์ในนามแบรนด์ของตัวเอง พิมอยากออกแบบลายกราฟฟิกที่มีความ back to basic อย่างลาย stripe ที่มีตัวเลือกไม่กี่ตัวเลือกให้ลูกค้า ชุดจานชามเซรามิกมีคู่สีเบสิคอย่าง black & white, red & blue, beige & orange ให้เลือก ส่วนชุด fabric ก็ออกแบบด้วยชุดพาเลทสีอีกโทนหนึ่ง เช่น beige & red grid หรือ white & green stripe


เป็นดีไซน์ลายทางที่เรียบง่าย ดูไม่คิดเยอะแต่ก็ไม่ใช่ลายที่รู้สึกว่าเคยเห็นซ้ำจากที่ไหน “คนจะชอบคิดว่าลายแพทเทิร์นต้องมีความเยอะแต่พิมอยากทำลายกราฟฟิกง่ายๆ เราอยากทำของเรียบง่ายให้สามารถไปมิกซ์กับของเก่าที่มีอยู่แล้วในบ้านได้ ไม่ได้เขินที่จะเอาจานของเราไปวางกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว เอาของแบรนด์เราไปแต่งบ้านแล้วสนุกยันกล่องแพ็คเกจ”
องค์ประกอบทุกอย่างถูกตั้งใจดีไซน์มาอย่างดีให้มีสไตล์จากเซนส์ความชอบของพิมและควบคุมคุณภาพให้อยู่ในสเปกโดยตาลผู้เป็นแม่ทัพฝ่าย merchandise
วิธีเลือกซัพพลายเออร์ของตาลคือเลือกเฉพาะโรงงานที่มีประสบการณ์ผลิตมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและสามารถผลิตออกมาได้ในต้นทุนที่มีราคาไม่แพงเกินไป และหน้าที่สำคัญของตาลอีกอย่างยังเป็นการบาลานซ์ความต้องการระหว่างดีไซเนอร์และโรงงานให้ได้
“ฝ่าย merchandise เป็นเหมือนเมสเซนเจอร์ที่คอนเน็คระหว่างดีไซเนอร์กับคนผลิตซึ่งมีความยากตรงที่เราต้องรับความต้องการของดีไซเนอร์ไปบอกคนที่ทำเลยต้องเลือกเซลล์ที่คุยง่ายแล้วก็ขอตัวอย่างสินค้าจากแบรนด์เขามาดูว่าผลิตออกมาแล้วเป็นยังไง”


จากของชิ้นเล็กหมวดเครื่องครัว ต่อไปทั้งคู่ตั้งใจจะทำของชิ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ที่คอมพลีทการตกแต่งในห้องอื่นของบ้านด้วยโดยแทรกสินค้า limited edition ที่มีคอนเซปต์สนุกเพราะอยากให้แบรนด์มีของทุกอย่างรวมทั้งสิ่งที่คนคาดไม่ถึง
ตัวอย่างเช่น หมวดที่พิมเรียกว่า nonsense things หรือของติงต๊องที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์แต่คอมพลีทชีวิต เป็นของที่ในตอนแรกอาจไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าอยากได้ของชิ้นนี้แต่พอออกแบบให้แตกต่างก็ทำให้อยากได้มาเพิ่มความสุนทรีย์ในบ้านหรือในการใช้ชีวิต “สมมติวันนึงถือขวดไวน์อยู่แล้วคิดว่าถ้ามีถุงใส่ไวน์เป็นรูปปลาตัวยาวๆ ก็น่าจะน่ารักดี ก็ลองถักถุงใส่ไวน์ขึ้นมาเลยแล้วดูว่าเวิร์กไหม ระหว่างทางเราคิดอะไรได้ เราก็จะทำ บางอย่างอาจจะทำมาแค่ 1-2 ชิ้น”
เรียกได้ว่าไม่ได้ดีไซน์แบบคิดเยอะแต่คิดจากสิ่งที่อยากได้ในชีวิตและทำลายกราฟฟิกง่ายๆ ที่ตรงใจคน

Price
ราคาน่ารักน่าซื้อ
ราคาของ Sardine นั้นน่ารักน่าซื้อ จานชามและแก้วมีช่วงราคาอยู่ที่ราว 290-390 บาท หมวด fabric มีราคาที่ 180 บาท ส่วน gift set จะมีหลายขนาดแต่ยังอยู่ในราคาจับต้องได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงพันกว่าบาท
พิมบอกว่าตัวเองเป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบขาย การมีพาร์ทเนอร์อย่างตาลที่มาช่วยดูแลฝั่งบริหารจัดการธุรกิจทั้งการขาย, ติดต่อซัพพลายเออร์ ไปจนถึงจัดการเรื่องการคำนวณตัวเลขทั้งหมดจึงลงตัวพอดี
“เรื่องตัวเลขพิมไม่เก่งเลย เพราะฉะนั้นจะคิดเองไม่ได้ว่าราคาต้องกี่บาท ต้องขายเท่าไหร่ถึงจะคุ้มทุน แต่จะมีเลขในใจว่าอยากขายกี่บาทและถ้าเป็นเราจะอยากซื้อในราคากี่บาท”
ด้วยความที่เป็นดีไซเนอร์ทำให้มีจุดแข็งคืออยากทำออกมาให้สวยที่สุด คุณภาพดีที่สุด ภาพออกมาดูแพงทั้งสินค้าและแพ็คเกจจิ้ง แต่พิมบอกว่าจุดอ่อนในสมัยที่ลองทำแบรนด์เองด้วยตัวคนเดียวคือไม่มีคนเบรก “พอไม่มีคนเบรก เราก็เคยสั่งผลิตมาพันชิ้น โดยที่ไม่ได้คิดว่าพันชิ้นนี่ค้างไว้ 5 ปียังขายไม่หมดเลยนะ พอทำมาแล้วก็กลายเป็นลดแลกแจกแถมให้เพื่อน เพราะขายไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะต้องขายอย่างไร”


ตาลเข้ามาช่วยตบหลักการตั้งราคาที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงราคาขายจากหลายเกณฑ์นอกจากการเลือกซัพพลายเออร์ที่สามารถผลิตในต้นทุนที่ไม่แพงเกินไปตั้งแต่แรกแล้วยังคำนึงถึงราคาของสินค้าหมวดเดียวกันในตลาด
“สำหรับฝั่งตาลจะกำหนดให้ช่วงราคาของสินค้าสามารถขายในห้างได้ (แม้จะยังไม่มีวางขายในห้างตอนนี้) เวลาโดนหัก % GP แล้วยังเหลือกำไรให้อยู่ได้ แล้วก็จะเปรียบเทียบว่าใน Lazada, Shopee มีสินค้าราคาประมาณไหนบ้าง มันง่ายเพราะด้วยความที่เป็น homeware เราจะรู้ราคาอยู่แล้วว่าเราจะซื้อหรือไม่ซื้อในช่วงราคาเท่าไหร่โดยไม่ต้องถามคนอื่น เรียกว่าดูช่วงราคาว่าไม่ควรเกินนี้นะ”
ฝั่งพิมก็จะช่วยเสริมอินไซต์ราคาที่คนอยากซื้อจากมุมมองของผู้ใช้ของตกแต่งบ้าน “ทุกคนมีเลขในใจอยู่แล้วว่าถ้าราคาเท่านี้จะแพงไปเหมือนกันนะ หรือบางทีก็หันไปถามน้องในทีมที่เด็กกว่าพิม 10 ปี เพราะเขาอาจจะซื้อของพวกนี้น้อยกว่าเรา ลองถามหลายความเห็นก็จะได้หลายมุมมอง”
ในราคาที่พิมและตาลเลือกขาย ทั้งคู่ตั้งใจอยากให้ Sardine เป็นแบรนด์ที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงงานดีไซน์สวยๆ และคุณภาพดีได้ในราคาไม่แพง

Place
Go Everywhere with Collab
Sardine เพิ่งขายมาราว 2 เดือนทางช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ด้วยลวดลายและคอนเทนต์สุดป๊อปก็ทำให้มีคนติดตามอย่างรวดเร็วจนเริ่มมีแบรนด์มาชวนคอลแล็บด้วยกัน
แบรนด์แรกคือ SCOPE Promsi คอนโดที่มีโปรเจ็คเปิดร้านกาแฟชื่อ PPAL Cafe ซึ่งอยากใช้ภาชนะของ Sardine เสิร์ฟให้แขกที่มาเยี่ยมชมห้องรวมถึงมีเชล์ฟขายสินค้าไลฟ์สไตล์ของ Sardine ที่มุมหนึ่งของร้าน เนื่องจากมองว่ากลุ่มลูกค้าของคอนโดเป็นวัยรุ่นถึงวัยกลางคนที่ชอบงานดีไซน์
พิมบอกว่าเร็วๆ นี้กำลังจะมีคอลแล็บอื่นอีกอย่างแก้วรุ่นพิเศษของ Sardine ที่กำลังจะไปอยู่บนโต๊ะของร้านนำเข้าไวน์ชื่อ Cheese & Wine และในอนาคตเหล่าเครื่องครัวของ Sardine จึงอาจมีโอกาสปรากฎตัวที่ร้านอาหารและโรงแรมต่างๆ ต่อเนื่องตามมา
พลังของการคอลแล็บเปิดความเป็นไปได้ใหม่ให้ Sardine ไปอยู่ในที่ที่คาดไม่ถึงในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่การย้ายที่ดิสเพลย์สินค้าแต่เป็นการนำกราฟฟิกของ Sardine ไปตกแต่งอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นป๊อพอัพอีเว้นท์, โต๊ะอาหาร sit down dinner, งานตกแต่งสถานที่ “ต่อไปสินค้าอาจจะไม่ใช่แค่จานแล้ว แต่มันสามารถเป็นทั้งห้องที่เป็นการตกแต่งในสไตล์ของแบรนด์เรา”

การทำคอลแล็บเหล่านี้เป็นความสนุกที่พิมตั้งใจอยากทำตั้งแต่วันแรกที่มีภาพแบรนด์ในฝัน “พิมบอกตาลตั้งแต่วันแรกที่เปิดพรีเซนเทชั่นให้ตาลดูว่าพิมเห็นภาพ Sardine มีของเยอะๆ หลายหมวด สมมติถ้าวันหนึ่งเรามีหมวด bedding และสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นมา เราก็อาจจะสามารถตกแต่งให้ได้ทั้งโรงแรมเลยด้วยดีไซน์แบรนด์ Sardine ของเรา อาจจะมีทั้งเราไปชวนแบรนด์อื่นทำหรือมีคนมาชวนเราทำก็ได้”
“สำหรับพิม ประสบการณ์สำคัญที่สุด ตั้งแต่ไถ IG เห็นภาพแล้วว้าวหรือเอาของแบรนด์เราไปใช้จริงกับของใช้อย่างอื่น พิมมองว่าเดี๋ยวนี้มันจะไม่ใช่แค่ออกแบบภาชนะแต่ต้องออกแบบไปถึงประสบการณ์แล้ว กินน้ำยังไง เสิร์ฟมาแบบไหน มันคือประสบการณ์ของสถานที่ที่เราเดินเข้าไปที่โรงแรมหรือร้านอาหารนี้”

โมเดลของ Sardine ได้รับการพิสูจน์ว่าเวิร์กและลูกค้าก็คิดแบบเดียวกันเมื่อพิมเล่าว่ามีคนซื้อสินค้าไปวางตกแต่งในที่ต่างๆ ที่ไม่คาดคิด
“คนแรกๆ ที่ซื้อแบรนด์เราเป็นสไตลิสต์ เขาเอาจานของเราไปวางตกแต่งกับเฟอร์นิเจอร์ เอากล่องแพ็คเกจของเราไปวางตามชั้นหนังสือ พิมไม่ได้คิดว่าจะมีลูกค้าที่เป็นสไตลิสต์ซื้อของไปเป็นพร็อบ ตอนแรกคิดแค่คนชอบจานก็ซื้อไปใช้เองหรือซื้อเป็นของขวัญ เราก็รู้สึกว่าสิ่งนี้แหละที่อยากให้มันเป็น คือแบรนด์ไปอยู่ตรงไหนก็ได้”
พิมเล่าภาพในอนาคตของ Sardine ที่เป็นหมุดหมายในใจในการทำแบรนด์คืออยากมีคือหน้าร้าน standalone ที่ผู้คนสามารถแวะมาได้ “ปลายทางใหญ่อยากให้เป็น destination ที่ทุกคนมากรุงเทพแล้วต้องแวะ เวลาเราไปเกาหลี ญี่ปุ่น เราจะมีร้านที่ต้องไป คล้ายเป็นการท่องเที่ยวเชิงอินสตาแกรมที่ทุกคนจะต้องตามไปร้านนี้ หลายแบรนด์ที่เราชอบรู้สึกว่าเขาทำ branding visual ดีมากจนพอเราไปก็รู้สึกว่าเรามาแล้วก็ควรจะต้องได้อะไรสักอย่างกลับมาสักนิดสักหน่อย”

Promotion
ให้ภาพช่วยขาย
Sardine เปิดตัวด้วยสินค้าไม่กี่รุ่นและทำให้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายด้วยการการโปรโมทโดยใช้ภาพที่สื่อสารกับคนได้ทำให้คนที่ชื่นชอบงานดีไซน์เห็นภาพแล้วรู้สึกคลิกและเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ขายออกได้ง่าย
“พิมว่าคนรุ่นใหม่เหมือนกันหมดตอนนี้ เราดูในอินสตาแกรมแล้วก็หาอะไรกันง่ายมาก ออนไลน์คือหน้าร้านเรา เพราะฉะนั้นพิมก็จะใส่ความครีเอทีฟหรือไอเดียบ้าๆ บอๆ ในคอนเทนต์ที่อยากทำ”
คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียของ Sardine จึงแฝงความสนุกที่คาดเดาไม่ได้ทำให้ชวนติดตามจากความคิดสร้างสรรค์ทั้งจดหมายรัก dear my beloved plate ที่พูดถึงจานที่แตกและความสัมพันธ์อกหัก, ภาพจาน Sardine ที่ตั้งเรียงเป็นเสา totem หรือไปโผล่ในพิพิธภัณฑ์
“ในแง่ครีเอทีฟ สิ่งที่พิมทำมันเหมือนเป็น expression ที่ไปได้ไกลกับโลกออนไลน์ เราจะทำ stop motion หรือวิดีโอก็ได้ ดังนั้น visual (ภาพ) เลยสำคัญมากในการทำให้คนไถฟีดมาเร็วๆ และพอเห็นภาพแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ เขาอาจไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องชื่อ Sardine ทำไมสัญลักษณ์แบรนด์ต้องเป็นรูปปลา แต่เห็นภาพโดยรวมแล้วชอบ แล้วก็ไปซื้อสักอัน จบ คือพิมว่าร้านยุคใหม่มักจะเป็นแบบนี้”


การใช้ดีไซน์เป็นตัวนำให้แบรนดิ้งแข็งแรง เวลาคิดโปรโมชั่นนำเสนอการขายอย่างแพ็คเกจ gift set ที่รวมเซ็ทสินค้าหลายอย่างไว้ด้วยกันในราคาที่ไม่แพงเกินไปก็ยิ่งทำให้ขายง่าย จากประสบการณ์ของตาลคือการทำการตลาดจะสบายถ้ามั่นใจว่าดีไซน์สามารถเอาชนะใจลูกค้าส่วนใหญ่ได้
“สินค้าบางชิ้นที่ขายไม่ได้เพราะว่าดีไซเนอร์ไม่เข้าใจลูกค้า ไม่สามารถดีไซน์ให้ออกมาเป็นความสวยแบบ universal ได้ แต่ถ้าลูกค้าเห็น 10 คน แล้วบอกว่าสวย 9 คน คือจบแล้ว ทำยังไงก็ขายได้ หน้าที่ของตาลคือแค่เอาภาพนี้ไปทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเห็นและนำเสนอโปรโมชั่นว่าอยากซื้อไหมในราคานี้ คือเป็นโทรโข่งอย่างเดียว
“ตาลแค่ต้องไปหาโทรโข่งที่ดังมากพอให้คนเห็นด้วยในราคาที่เรากำหนด แต่ถ้าสมมติว่าทำแล้วไม่เวิร์ก ข้อเสียคือต้องไปหาซื้อโทรโข่งใหม่ ต้องไปใส่เงินเพิ่มในการขายอีก เหมือนพยายามทำให้ลูกค้าชอบให้ได้ ซึ่งยากมากนะ”
โทรโข่งของตาลหมายถึงการตั้งข้อเสนอในการขายที่ลูกค้าเห็นแล้วอยากซื้อ “อย่างเช่นสมมติว่าเทศกาลที่กำลังจะถึงคือฮาโลวีน สิ่งที่ตาลบอกพิมคืออยากให้มีคอนเทนต์เป็นโต๊ะโทนสีเหลืองๆ ส้มๆ คนจะได้ซื้อเพราะเป็นฮาโลวีน แต่ตาลไม่เคยบอกพิมเลยว่าต้องทำแบบไหน เพราะดีไซเนอร์จะรู้ว่าโทนส้มเหลืองที่สวยคืออะไรซึ่งมันเป็นงานที่ง่ายมากสำหรับเรานะ เพราะเราบอกเขาแล้วเขาก็จะส่งต่อความสวยออกมาให้เราเอง”

(Surprised) Print
Visual หรือลวดลายของแพทเทิร์นที่นำไปปรินต์ลงโปรดักต์คือความโดดเด่นของ Sardine
ที่ออกแบบโดยสะสมฝีมือจากการทำงานดีไซน์และเป็นที่ปรึกษาให้แบรนด์ต่างๆ มาเป็นระยะเวลา 12 ปีที่ teaspoon studio ของพิม
เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบลายปริ้นต์ให้โดดเด่น พิมบอกว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้มีแรงบันดาลใจจากอะไรเลย แต่ใช้เซนส์จากการทำงานทั้งหมดที่สะสมมาทั้งชีวิตมาออกแบบเป็นคู่สีที่สวย เห็นแล้วเป็นลวดลายที่เซอไพรส์ ซึ่งประสบการณ์ในบทบาทดีไซเนอร์อันยาวนานของพิมนี้เองที่กลายมาเป็นต้นทุนในการทำแบรนด์ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จ
“ถ้าถามว่ามีแรงบันดาลใจในการทำงานดีไซน์จากอะไร คิดว่ามันมาจากการใช้ชีวิตของเรา สิ่งที่เราสนใจและสังเกตแล้วเอาสิ่งที่ผสมอยู่ในตัวเรามา connect the dot คือพิมไม่ได้เป็นคนที่เวลาไปเที่ยวทริปอิตาลีแล้วกลับมาอยากวาดเรือ คิดว่าคงมีคนที่ไปเที่ยวแล้วได้แรงบันดาลใจกลับมาจริงๆ แต่ส่วนตัวเราไม่ใช่แบบนั้น แค่ใช้ชีวิตในทุกๆ วัน เห็นอะไรแล้วก็เอาสิ่งนั้นไปแปะกับสิ่งนี้ มันคือสิ่งที่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีเทคนิคในการเลือกสีอะไร
“สำหรับดีไซเนอร์ ไม่ว่าจะวาดรูปยังไง สีแบบไหน ก็ไม่เคยมีถูกหรือผิดเลยในงานดีไซน์ แล้วแต่ว่าเราจะสื่อสารมันยังไงแล้วภาพปลายทางแบบไหนที่จะออกไป เลยคิดว่ามันไม่มีคำตอบตายตัวว่าทำไมต้องเป็นน้ำเงินเฉดนี้ ทำไมไม่ใช่เขียวหรือม่วง”
จากประสบการณ์ทั้งหมดของพิมและตาลทำให้ Sardine เป็นแบรนด์ homeware ที่มีทั้งลวดลายและวิธีการขายแสนเซอไพรส์ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าต่อไปจะออกสินค้าใหม่หมวดไหนในลายปริ้นต์อะไรหรือจะคอลแล็บกับแบรนด์ไหนต่ออีกบ้าง เป็น element of surprise ในการสร้างแบรนด์ที่ดึงดูดให้คนรักงานดีไซน์และแบรนด์ไลฟ์สไตล์อยากติดตามแบรนด์ต่อไป


ข้อมูลติดต่อ :
Instagram : sardine.is.in.yourplace
Oktoberfest เทศกาลที่เกิดจากการเมือง สู่อีเวนต์เบียร์สุดยิ่งใหญ่ที่คนดื่มเบียร์รวมกันราว 7 ล้านลิตร
เดือนตุลาคม นอกจากฮาโลวีนแล้ว ช่วงต้นเดือนแบบนี้เราก็ต้องนึกถึงเทศกาลสำคัญหนึ่งของดินแดนแห่งเบียร์ นั่นก็คือเทศกาล Oktoberfest หนึ่งในสุดยอดงานรื่นเริงกลางแจ้งที่มีศูนย์กลางที่เมืองมิวนิก และเป็นอีกหนึ่งสุดยอดแห่งงานกินดื่มที่ถือได้ว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก โดยทั่วไปจะจัดยาวนานประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับปีนี้งานอ็อกโทเบอร์เฟสต์จัดขึ้นตั้งแต่ 16 กันยายนและจะสิ้นสุดในวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งนับเป็นการกลับมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดโรคระบาดที่ทางงานระงับการจัดงานไปถึง 2 ปี
แล้วอ็อกโทเบอร์เฟสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ด้านหนึ่งต่อให้เราไม่เคยไปเยี่ยมเมืองมิวนิก แถบบาวาเรียหรือประเทศเยอรมนี เราเองก็อาจจะเคยได้ยินร้านเบียร์หรือร้านอาหารเยอรมันจัดกิจกรรมพิเศษและเรียกมันว่าอ็อกโทเฟสต์ พูดง่ายๆ คือเทศกาลนี้กลายเป็นหมุดหมายและการเฉลิมฉลองหนึ่งที่ส่งอิทธิพลในการกินดื่มเบียร์ไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่เยอรมนี ในหลายประเทศทั้งยุโรป อเมริกา หรือเอเชียก็มีการจัดเทศกาลเบียร์เพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของเดือนตุลาคมนี้ด้วย

อ็อกโทเบอร์เฟสต์ถือเป็นสุดยอดงานของเมืองมิวนิก เป็นงานที่เรียกได้ว่าปิดทั้งเมืองเพื่อเลี้ยงฉลอง เป็นการใช้พื้นที่เมืองเพื่อความสนุกสนาน มีรายงานตัวเลขว่าในช่วงเทศกาลเมืองจะมีผู้ร่วมงานราว 6-7 ล้านคน มีตัวเลขการบริโภคเบียร์ราว 7 ล้านลิตร ไก่ 5 แสนตัว ผู้คนถือแก้วเบียร์ขนาด 1 ลิตรกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน กิน ดื่ม เต้นรำ และเล่นสนุกไปจนถึงเที่ยงคืน เป็นหนึ่งในเทศกาลสุดเดือดที่ต้องมีแนวทางออกมาว่าเราจะเอาตัวรอดในความสุดเหวี่ยงที่เมืองหลวงและแคว้นแห่งเบียร์คือบาวาเรียแห่งนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าอ็อกโทเบอร์เฟสต์ถือว่าเป็นหนึ่งในงานอีเวนต์ระดับบิ๊ก เป็นงานที่โด่งดังจากความเป็นเยอรมนีโดยเฉพาะวัฒนธรรมในแถบบาวาเรีย เป็นหนึ่งในงานที่เรียกได้ว่าเป็นงานจัดแสดงและดื่มเบียร์กันเป็นมหกรรม ตัวอ็อกโทเบอร์เฟสต์เองก็นับได้ว่าเป็นงานอีเวนต์ที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด เพื่อเป็นการต้อนรับเดือนตุลาคมและส่งท้ายเทศกาลสำคัญนี้ ทรัพย์คัลเจอร์จะชวนย้อนดูที่มาของสุดยอดเทศกาลรื่นเริงของเดือนตุลาคม จากงานอภิเษกสมรสและการเปิดพื้นที่เมืองขนานใหญ่ที่อันที่จริงมีนัยเกี่ยวข้องกับการเมืองในรัฐบาวาเรีย จนเมืองและผู้ประกอบการเข้าใจพลังของงานเทศกาล และการกลายเป็นพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมที่ผู้คนเข้ามาร่วมรื่นเริงไปกับความเป็นเยอรมันได้

งานอภิเษกสมรสที่มีนัยของความเป็นปึกแผ่น
จุดเริ่มของงานอ็อกโทเบอร์เฟสต์ ทุกประวัติศาสตร์จะพาเราย้อนกลับไปยังปี 1810 ปีที่แคว้นบาวาเรียจัดงานอภิเษกสมรสให้กับมกุฎราชกุมารลุดวิกของบาวาเรีย (Ludwig, the crown prince of Bavaria) และเจ้าหญิงเทเรซ่า (Princess Therese) การเสกสมรสจัดขึ้นในวันที่ 12 ตุลาคม 1810 พร้อมการเฉลิมฉลองเป็นจำนวน 5 วัน 5 คืน เป็นการฉลองใหญ่ด้วยอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงโดยมีไฮไลต์สำคัญคือการแข่งม้าเป็นอีเวนต์หลักสำคัญในวันสุดท้ายในวันที่ 17 ตุลาคม
ก่อนที่จะเข้าสู่เทศกาล งานเสกสมรสอันเป็นงานใหญ่ของรัฐบาวาเรียในครั้งนั้น นอกจะเป็นการแสดงเกียรติยศและเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์ รวมถึงการเป็นงานรื่นเริงโดยทั่วไปแล้ว งานใหญ่ในครั้งนั้นยังมีนัยทางการเมืองและนัยทางประวัติศาสตร์ของรัฐบาวาเรียอย่างสำคัญด้วย
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย คือเป็นช่วงที่เกิดรัฐขึ้นหลังจากแคว้นต่างๆ เริ่มยกระดับอำนาจตัวเองออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ การยกระดับบาวาเรียขึ้นเป็นราชอาณาจักรก็มีการแต่งตั้งราชวงศ์ขึ้นปกครอง ในการขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของบาวาเรียคือพระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 1 (Maximilian I) พระบิดาของเจ้าชายลุดวิกนั้นเถลิงอำนาจ (ในความช่วยเหลือของพระเจ้านโปเลียนของฝรั่งเศส) คือปี 1806 คือเพียงแค่ 4 ปี ก่อนหน้าการเสกสมรสใหญ่เท่านั้น
ทีนี้ เป้าหมายหนึ่งของการเสกสมรส ด้านหนึ่งคือความชอบธรรม เป็นการแสดงและกระชับสายเลือดราชวงศ์ให้ชอบธรรมในการปกครองราชอาณาจักร ซึ่งบาวาเรียนับเป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งรัฐหนึ่งทั้งของเยอรมนีและของยุโรป แต่ทว่าในการรวมรัฐเป็นอันหนึ่งอันเดียวนั้น สำหรับทั้งผู้ปกครองและประชาชนมีความกังวลว่าการรวมรัฐหรือการรวมชาติยังคงมีอิทธิพลภายนอกเช่นความเป็นต่างชาติเจือปนอยู่

การแข่งม้าและการแสดงความเป็นบาวาเรีย
งานใหญ่ที่ถือกันว่าเป็นจุดเริ่มของอ็อกโทเบอร์เฟสต์ในครั้งแรกจัดในทุ่งนอกเมือง ด้วยว่าเป็นแผนที่ฉลาดมากๆ คือการที่ทางรัฐเลือกรจัดงานโดยมีอีเวนต์ปิดเป็นการแข่งม้า ทีนี้ในการฉลอง 5 วันหลังพิธีเสกสมรส เรียกได้ว่าฉลองกันทั้งเมือง มีการประดับตกแต่งบ้านเรือนร้านค้า และชวนผู้คนออกมาเฉลิมฉลองกันกลางแจ้ง จัตุรัสสำคัญของมิวนิกเช่น Marienplatz, Promenadenplatz การแจกและเลี้ยงอาหาร เบียร์ และไวน์ ว่ากันว่าในการฉลองนั้นมีการแจกจ่ายขนมปังกว่า 30,000 ก้อน, สวิสชีส 4,000 ปอนด์, เนื้อแกะ 400 กิโลกรัม ไส้กรอกสารพัดประเภทนับหมื่นอัน ตามถนนหนทางมีนักดนตรีร่วมแสดงกว่า 150 คน โรงละครชั่วคราวอีก 2 แห่ง ไปจนถึงการจัดเลี้ยงอาหารพิเศษให้กับเหล่านักโทษ
ในงานเลี้ยงที่ยอดเยี่ยมที่อันที่จริงแทบจะเป็นการลิ้มรสอาหารและเบียร์ของบาวาเรีย สิ่งที่ทุกคนตั้งตารอคือการจัดแข่งม้าที่จะจัดขึ้นบริเวณทุ่งด้านนอกของเมือง ทุ่งนี้ที่แง่นึงก็เป็นเหมือนเฟสติวัลในยุคปัจจุบัน ที่มีอีเวนต์หลัก มีเตนท์ มีอาหารจำหน่าย และที่สำคัญคือมีกระโจมหลวงหรือเตนท์ของพระราชา ในงานนั้นเองทุกสายตาและผู้คนต่างเดินทางไปเพื่อชมการแข่งม้า ในทุ่งที่ต่อมาได้ชื่อว่าทุ่งของพระนางเทเรซ่า ที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่พระชายาในงานเสกสมรส

ทำไมถึงต้องเป็นการแข่งม้า และถือว่าการแข่งม้าเป็นกลยุทธ์แคมเปญและงานอีเวนต์ที่ฉลาดมากๆ คำว่าการแข่งขันม้าในยุคนั้นคือการที่เหล่านายทหารและชนชั้นสูงของแคว้นและของเมืองต่างๆ จะแต่งกายอย่างเต็มยศ เรียกได้ว่าทั้งตัวตนและกิจกรรมที่เคยเป็นพื้นที่ของชนชั้นสูงได้เผยสู่สาธารณชนหรือชาวเมืองโดยทั่วไปอย่างเป็นทางการ ตรงนี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยตอบความสงสัยเรื่องความเหมาะสม ความเป็นราชวงศ์ที่เหมาะสมในการปกครองได้ด้วย
นอกจากนี้ ในงานแข่งม้ายังมีการเปิดตัวอย่างสำคัญ คือก่อนการแข่งจะมีการแสดงสำคัญเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ในการแสดงคือการเดินขบวนของเด็กหนุ่มและเด็กสาว 16 คู่ โดยเด็กๆ นั้นแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง โดยในชุดต่างๆ ที่เด็กๆ สวมใส่และเดินขบวนนั้นจะแสดงตัวตนที่เชื่อมโยงกับเขตปกครองหรือแคว้นย่อยๆ ของรัฐบาวาเรีย ตรงนี้เองคล้ายกับธรรมเนียมเทศกาลในปัจจุบันที่มีการแสดงตัวตนผ่านการแสดงและเครื่องแต่งกายที่แสดงภายในงาน
สำหรับการแข่งม้าในครั้งนั้นประสบความสำเร็จมาก มีประชาชนเข้าชมการแข่งม้าถึง 40,000 คน

จากงานของรัฐ สู่งานของผู้คน
ทีนี้จากงานเสกสมรสในเดือนตุลาคมที่กลายเป็นที่กล่าวขวัญ กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดงานสำคัญที่ดึงผู้คนและบรรยากาศคึกคักของเมืองขึ้นมา หนึ่งปีนับจากงานใหญ่ครั้งแรกทางสมาคมเกษตรกรแห่งบาวาเรีย (Landwirtschaftlicher Verein in Bayern) ก็เลยรวมกันจัดงานขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจากงานเลี้ยงยิ่งใหญ่เพียงหน่ึงปีหลังจากนั้นเทศกาลใหม่ที่เกิดขึ้นกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการจัดแสดงสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นๆ ของเมืองมิวนิกและของพื้นที่ในรัฐบาวาเรียเอง
การจัดงานอ็อกโทเบอร์เฟสต์มีความพยายามจัดอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการเมืองของยุโรปและเงื่อนไขอื่นๆ งานใหญ่ก็มีการชะงัก ต้องหยุดบ้าง เช่นในปี 1813 มีการจัดตั้งเทศกาลด้วยชื่ออ็อกโทเบอร์เฟสต์ แต่ตอนนั้นบาวาเรียเข้าสู่สงครามนโปเลียนก็เลยต้องหยุดลง จนหลังสงครามก็จัดใหม่แต่เอกชนช่วยกันสนับสนุนจัดงาน จนกระทั่งปี 1819 ที่รัฐประกาศจัดงานอ็อกโทเบอร์เฟสต์เป็นเทศกาลประจำปีย่างเป็นทางการ เป็นจุดที่รัฐมองเห็นประโยชน์ของงานเทศกาลที่มีต่อภาคธุรกิจ รวมถึงบรรยากาศและความเคลื่อนไหวของเมืองเอง
ด้วยความที่เทศกาลอ็อกโทเบอร์เฟสต์มีอายุยาวนานราว 200 ปี ตัวงานเองก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เช่นช่วงแรกยังเป็นความบันเทิงแบบไปดูสัตว์ ดูแข่งม้า มีการประกวดแกะ วัว อันที่จริงความเปลี่ยนแปลงของงานเทศกาลมีความสัมพันธ์กับหลายด้าน ถ้าเรานับจากงานเสกสมรสเช่นจากทศวรรษ 1810 ที่งานเริ่ม พอมาถึงทศวรรษ 1880 มิวนิกกลายเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรพุ่งสูงขึ้น 6 เท่านับจากงานครั้งแรก


ในช่วงเวลาต่อๆ มา ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้น รสนิยมของผู้คนกว้างขึ้น จากงานแข่งม้าประกวดวัวจึงเริ่มมีร้านค้า พ่อค้าและความบันเทิงอื่นๆ ปรากฏขึ้น เช่นช่วงทศวรรษ 1830 เริ่มมีแผงขายเบียร์และขายปลาผุดขึ้นบ้าง แต่พอช่วงปี 1881 ร้านค้าก็เริ่มเยอะขึ้นคือมีบูทการแสดง มีของเล่นเช่นรถไฟหรืออื่นๆ ราว 6 ร้านและมี 12 บูทสำหรับการเล่นเกม การเปลี่ยนแปลงสำคัญอื่นๆ คือการสร้างโครงข่ายรางรถไฟที่ขยายมาถึงบาวาเรียและการรวมชาติเยอรมนีในปี 1871 ทำให้ผู้คนนอกและในเขตบาวาเรียสามารถเดินทางมายังงานได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นในช่วงแรกๆ งานอ็อกโทเบอร์เฟสต์เป็นเรื่องของสินค้าทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นๆ รวมถึงเป็นงานเทศกาลเพื่อความสนุกสนาน ตัวเทศกาลผ่านสงคราม ผ่านโรคระบาดทำให้หยุดบ้าง จัดบ้างหลายครั้ง ความเปลี่ยนแปลงค่อยๆ ปรับเข้าสู่งานเทศกาลเช่นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หมุดหมายสำคัญหนึ่งคือใน 1880 ปีที่ระบบไฟฟ้ามาถึงงานเทศกาล ในปีนั้นมีร้านกว่า 400 ร้าน รอบๆ พื้นที่ที่เคยส่องสว่างจากระบบไฟส่องสว่างจากแก๊ซ คราวนี้สว่างไสวไปด้วยไฟกว่าหมื่นดวงพร้อมด้วยชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ หลังจากนั้นในปี 1881 เริ่มมีบูทขายไส้กรอกที่เป็นเอกลักษณ์ของเทศกาล
จริงๆ กว่างานอ็อกโทเบอร์เฟสต์จะกลายเป็นงานแสดงและดื่มเบียร์ก็ล่วงเลยมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นี่แหละ ในช่วงปี 1887 นี้เองที่เริ่มมีการจัดขบวนพาเรด โดยในขบวนนั้นมีโรงเบียร์ต่างๆ ร่วมเดินด้วย มีการส่งม้าร่วมแข่ง และในช่วงที่ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาท ความบันเทิงสำคัญเช่นดนตรีสดและเครื่องเล่นต่างๆ เริ่มก่อตัวขึ้น รวมไปถึงการเสิร์ฟเบียร์ในแก้วมัคที่เป็นหนึ่งในจุดเด่นของงานที่เริ่มขายเบียร์ใส่แก้วใหญ่ๆ ในช่วงปี 1892
ในมิติทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นของอ็อกโทเบอร์เฟสต์ ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่กินดื่มและแสดงเบียร์ประจำเมืองมิวนิก คือตามธรรมเนียมเบียร์ของอ็อกโทเบอร์เฟสต์จะเป็นเบียร์ที่ผลิตจากมิวนิกเท่านั้น โรงเบียร์ 6 แห่งผลิตเบียร์ป้อนเข้างานราว 7-8 ล้านลิตรตลอดช่วงเทศกาล นอกจากอาหารแล้วในงานก็ยังเป็นตัวแทนวัฒนธรรมแทบทุกด้านของรัฐบาวาเรีย เราจะเห็นผู้คนใส่ชุดพื้นเมือง จุดเล็กๆ เช่นแก้วเบียร์เองที่ก็มีมาเก่าแก่จากการเป็นแก้วใหญ่ทำจากหินเพื่อให้ไม่แตกหักง่ายเวลาชน ปัจจุบันแม้จะเป็นแก้วใสก็จะมีการตกแต่งด้วยลวดลายประจำบาวาเรีย ตราราชวงศ์ลายตารางน้ำเงินขาวประกอบด้วยสิงโตคู่ หรือลวดลายทางศาสนาอื่นๆ ซึ่งแก้วเบียร์ที่ทำจากวัสดุอื่นๆ ก็ยังมีขายและนับเป็นของสะสมจากงานสำคัญนี้ด้วยอีกอย่างหนึ่ง


สำหรับงานอ็อกโทเบอร์เฟสต์ ปัจจุบันย้ายไปจัดกลางเดือน สัมพันธ์ทั้งบริบทภูมิอากาศคือช่วงเดือนตุลาคมในเขตเทือกเขาแอลป์ มีโอกาสเจอกับพายุ ประกอบกับความต้องการเปลี่ยนให้วันสุดท้ายของงานไปตกที่วันที่ 3 ตุลาคมอันเป็นวันรวมชาติเยอรมนี คือเป็นงานที่จัดยาว 3 สัปดาห์ แต่วันสุดท้ายจะต้องไปจบลงที่วันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม แต่ถ้าวันอาทิตย์แรกของเดือนยังไม่ใช่วันที่ 3 ตุลาคม งานก็จะยืดไปจนถึงวันที่ 3 คือให้วันรวมชาติเป็นส่วนหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองด้วย
สุดท้ายการย้อนดูเทศกาลที่เริ่มจากการเป็นพิธีที่เกี่ยวกับรัฐและความมั่นคงของชาติอายุ 200 ปี ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาสู่การเป็นพื้นที่แสดงและจำหน่ายสินค้า เรื่อยมาจนกลายเป็นพื้นที่เฉลิมฉลอง บ้างก็ว่าการฉลองนี้เป็นการหวนคืนสู่วันคืนในสมัยที่ยังเป็นรัฐบาวาเรียที่สนุกสนานในวันคืนเก่าๆ ในทางกลับกันอ็อกโทเบอร์เฟสต์ในปัจจุบันอาจไม่ได้หยุดอยู่ในเชิงพื้นที่เท่านั้น แต่เราเองในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกก็อาจกำลังยกเบียร์เยอรมันจากแคว้นบาวาเรีย กระทั่งเบียร์จากมิวนิกเอง รวมไปถึงยกแก้วขนาด 1 ลิตรที่ตีตราร้านฮอฟบานฮอฟอันโด่งดัง ไปจนถึงบิเพรตเซล หั่นไส้กรอกตัวอ้วนๆ เค็มๆ เพื่อร่วมฉลองเทศกาลสำคัญนี้จากพื้นที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

อ้างอิงข้อมูลจาก
- dw.com/en/oktoberfest-turns-200-a-journey-through-its-history/a-5968160
- dailytelegraph.com.au/news/nsw/oktoberfest-began-in-1810-as-a-royal-wedding-celebration/news-story/cc2128da0de2cfafb1498b2773ded507
- oktoberfest-guide.com/magazine/the-first-oktoberfest-1810
- beerandbrewing.com/dictionary/VHA17nAmIu
- blog.healyconsultants.com/the-oktoberfest-economy
- britannica.com/topic/Oktoberfest
- eater.com/23872728/oktoberfest-guide-munich-germany-beer-food
Mehran’s Steakhouse ร้านสเต๊กทิพย์ที่จำต้องเปิดขายคืนเดียวเพราะเพื่อนแกล้ง แต่มีคิวหลักพัน
คุณเคยได้ชิมรสมือใครสักคนแล้วคิดในใจบ้างไหมว่า
“ฝีมือแบบนี้น่าจะเปิดร้านอาหารให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย”
สำหรับเราเองก็สารภาพว่าไม่บ่อยนักที่จะรู้สึกพิเศษแบบนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันพิเศษแล้ว มันก็พิเศษจนเรารู้สึกว่าหาความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ในอาหารมื้ออื่นทั่วไป
คงเหมือนกับที่เพื่อนกลุ่มหนึ่งจำนวน 16 คนที่อาศัยอยู่ในแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กซิตี้มีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่หนึ่งในเพื่อนร่วมบ้านที่เช่าบ้านอาศัยอยู่ร่วมกันได้ลงมือทำอาหารให้กิน
เพื่อนรักนักปรุงอาหารคนนั้นมีชื่อว่า Mehran Jalali
และเรื่องราวความโกลาหลปนน่ารักทั้งหมดเกิดขึ้นจากตรงนี้
เมห์รันและเพื่อนอีก 16 คนเช่าบ้านอาศัยอยู่ด้วยกันในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ ของนิวยอร์กซึ่งเมห์รันและเพื่อนๆ ส่วนใหญ่มีงานหลักที่ทำประจำคืองานสายไอที บางคนก็ทำบริษัทสตาร์ทอัพไอที บางคนเป็นพนักงานประจำบริษัทไอที
ตามประสาคนชอบทำอาหารอย่างเมห์รัน เขาจะทำอาหารให้เพื่อนๆ ในบ้านกินอยู่บ่อยๆ และทุกๆ สองอาทิตย์จะมีเมนูเด็ดที่ทุกคนในบ้านตั้งตารอ นั่นคือ ‘สเต๊ก’
สเต๊กที่เมห์รันทำก็น่าจะดีและน่าจะเด็ดมากเสียจนเพื่อนในบ้านกันเองรู้สึกว่าอยากจะระบายความอร่อยนี้ออกมาเป็นอะไรสักอย่าง ว่าแล้วชายหนุ่มอายุ 20 กว่าๆ ผู้เป็นเนิร์ดด้านไอทีทั้งหลายก็ตัดสินใจสร้างรีวิวบนกูเกิลแมปส์โดยปักหมุดลงที่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ อัพรูปสเต๊กลงบนกูเกิลแล้วตั้งชื่อโลเคชั่นตรงนี้ว่าเป็น Mehran’s Steakhouse พร้อมให้คะแนนเต็ม 5 ดาว และเขียนรีวิวความอร่อยแบบเลิศเลอว่า ถ้าอยากจะกินสเต๊กชั้นยอดในอัปเปอร์อีสต์ไซด์ก็ต้องมาที่นี่เลย Mehran’s Steakhouse
ทั้งชื่อสถานที่ที่เหมือนร้านอาหารอยู่แล้ว มีรูปประกอบที่หน้าตาน่ายั่วน้ำลาย แถมมีรีวิวเต็ม 5 ดาวอีกนับสิบๆ รีวิว (เพราะเพื่อนร่วมบ้านนับสิบต่างเข้าไปรุมรีวิวและให้คะแนนห้าดาวกันทุกคน) ใครที่ผ่านไปมาในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์แล้วบังเอิญเปิดกูเกิลเพื่อหาร้านสเต๊กอยู่พอดีก็น่าจะตัดสินใจไม่ยากว่า เดินไปกินสเต๊กที่ร้าน Mehran’s Steakhouse กันเถอะ!
แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า ร้าน Mehran’s Steakhouse มันไม่มีจริงนี่สิ
มันเป็นแค่การหยอกล้อสนุกๆ กันของผองเพื่อนเฉยๆ ฉะนั้นคนที่เดินผ่านไปมาแล้วมาเคาะประตู มากดกริ่ง แล้วถามว่าวันนี้ร้านเปิดไหม อยากลองกินสเต๊กที่นี่หน่อย ก็เลยจำเป็นต้องผิดหวังแต่อมยิ้มเมื่อได้ค้นพบว่า นี่มันเป็นเพียงแค่การหยอกล้อกันในหมู่เพื่อนเท่านั้นเอง
แต่ไหนๆ คนก็เดินมาเคาะประตูที่หน้าบ้านกันอย่างไม่ขาดสาย ไหนๆ ก็ไหนๆ เพื่อนคนหนึ่งในบ้านที่เป็นไอทีอยู่แล้วก็นึกครึ้มขึ้นมาในใจว่า ลองมาเก็บสถิติกันดูหน่อยเป็นไรว่าจะมีคนอยากลองมากินสเต๊กของเมห์รันสักกี่คนกันนะ
การเก็บสถิติที่ดูเป็นระบบระเบียบและเข้าทางไอที (แถมยังขี้แกล้ง) อย่างพวกเขามากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการทำเว็บไซต์ให้มันดูเป็นร้านอาหารจริงจังขึ้นมาเสียเลย
นัยหนึ่งคือมันยิ่งทำให้ทุกคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่า Mehran’s Steakhouse คือร้านอาหารจริงๆ แต่อีกนัยหนึ่งมันคือการจัดการที่เป็นระบบมากขึ้น ใครที่อยากจะมาชิมสเต๊กของเมห์รันคุณต้องลงชื่อจองไว้ ไม่สามารถวอล์กอินเข้ามากินเมื่อไหร่ก็ได้ ถือเป็นการป้องกันการเสียเที่ยวของหลายๆ คนที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินมาเคาะประตูบ้านเพื่อที่จะค้นพบว่า ที่นี่ไม่มีสเต๊กเสิร์ฟให้คุณนะ
ปรากฏว่าตั้งแต่เปิดเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2021 จนถึง ปี 2022 มีผู้คนกว่า 2,600 คนมาลงชื่อทิ้งไว้ว่าอยากจะมาเป็นลูกค้าของร้าน Mehran’s Steakhouse
คนเกือบ 3,000 คนเต็มใจจะมาลองชิมสเต๊กที่คนเพียงหยิบมือรีวิวไว้ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วล่ะ ว่าแล้วเมห์รันและกลุ่มเพื่อนอีก 16 คน ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนั้นก็ตัดสินใจว่า เรามาเปิดร้าน Mehran’s Steakhouse จริงๆ กันเลยดีกว่า!
ว่าแล้วกลุ่มเพื่อนของเมห์รันจัดแจงไปเช่าสถานที่ในอัปเปอร์อีสต์ไซด์ ที่มันใหญ่พอจะจุคนได้ 140 ที่นั่ง และไปขอใบอนุญาตในการขายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอายุเพียง 1 วันมาจนได้ จากนั้นพวกเขาทำการติดต่อกลับไปยังลูกค้าที่เคยลงชื่อเป็น waiting list เอาไว้ว่าสามารถมาทานอาหารที่ร้านได้แล้ว
นอกจากลูกค้าที่ลงชื่อเอาไว้ ยังมีสื่อเจ้าดังในนิวยอร์กอย่าง New York Post และคอลัมนิสต์ที่เขียนเรื่องอาหารของ The New York Times มาร่วมเป็นลูกค้าของ Mehran’s Steakhouse ด้วย
จะแกรนด์โอเพนนิงทั้งที จะทำให้เล็กได้ยังไง จริงไหม
ตอนเย็นของวันที่ 23 กันยายน 2023 คือวันที่ Mehran’s Steakhouse เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ (จริงๆ) เสียทีหลังจากที่เป็นร้านอาหารแบบทิพย์ๆ มานานเกือบ 2 ปีบนโลกออนไลน์
ต้องบอกไว้ก่อนว่าเนื่องจากร้าน Mehran’s Steakhouse ไม่เคยเปิดให้บริการมาก่อน และคนที่ทำงานเป็นเชฟใหญ่ของร้านคือ เมห์รัน จาลาลี ไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำงานร้านอาหารมาก่อนเลยเช่นเดียวกับเพื่อนอีก 16 คนของเมห์รันที่ทุกคนเป็นสายไอทีแทบทั้งหมด ทุกคนไม่มีประสบการณ์ด้านร้านอาหารแบบจริงจัง มีแต่ความคิดอยากจะทำร้านอาหารร้านนี้แบบจริงใจเพียงเท่านั้น
แต่คนเพียงแค่ 17 คนไม่น่าพอสำหรับการเปิดร้านอาหารแบบป๊อปอัพที่จะเสิร์ฟลูกค้าหลักร้อย ว่าแล้วเมห์รันและผองเพื่อนลงมือติดต่อเพื่อนๆ ของเพื่อนๆ ออกไปเรื่อยๆ ว่าใครว่างช่วยมาทำงานที่ร้าน Mehran’s Steakhouse เป็นจำนวน 1 วันหน่อย
แล้ว Mehran’s Steakhouse ก็สามารถเปิดกิจการได้โดยมีเพื่อนๆ ของเพื่อนๆ เมห์รันมาช่วยงาน โดยเพื่อนบางคนคือเพื่อนที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เพื่อนบางคนนั่งรถข้ามมาจากรัฐอื่น และเพื่อนอีกหลายต่อหลายคนบินมาจากแคนาดาและเม็กซิโก เพื่อมาช่วยเปิดร้านอาหารที่มีอายุเพียง 1 วันร้านนี้!
ค่าอาหารจานเมนคอร์สที่ชื่อว่า Bovine Circle of Life หรือจะเรียกแบบภาษาบ้านๆ คือ สเต๊กกับมันฝรั่งของร้าน Mehran’s Steakhouse อยู่ที่ 144 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 5,300 บาท)
ส่วนรีวิวร้านอาหารเอาเท่าที่เราพอจะหาข้อมูลได้ ปรากฏว่าทุกคนที่ไปทานอาหารในวันนั้นต่างเขียนรีวิวถึง Mehran’s Steakhouse ว่าเป็นสเต๊กที่ดีมาก รสชาติดี เนื้อสัมผัสดี มีคอมเมนต์หนึ่งในอินเทอร์เน็ตเขียนเอาไว้ว่า
“คำแรกที่กัดเนื้อสเต๊กลงไป ฉันรู้สึกว่าปากของฉันเพิ่งได้สัมผัสกับสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้เลย”
เอาเป็นว่าอร่อยขนาดไหน ก็ให้คนที่เคยไปกินที่ร้าน Mehran’s Steakhouse พูดแทนก็แล้วกัน
แต่ใช่ว่า Mehran’s Steakhouse จะเปิดขายอาหารและเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับร้านอาหารที่เกิดจากอารมณ์ขันของกลุ่มเพื่อนในมหานครนิวยอร์กที่จับพลัดจับผลูต้องมาขายอาหารจริงๆ เพราะเกิดจากการแกล้งหยอกเอินกัน จะเปิดขายอาหารทั้งทีก็ต้องไว้ลายความอารมณ์ดีเป็นกิมมิกของร้านอยู่แล้วเป็นแน่
ความอารมณ์ดีที่ว่าเริ่มจากไวน์ที่เสิร์ฟในร้าน Mehran’s Steakhouse ตัวของเมห์รัน เองในฐานะเชฟใหญ่ของร้านมีการออกมาช่วยลูกค้าเลือกไวน์ตามโต๊ะอาหาร พร้อมแนะนำไวน์ขวดต่างๆ ให้กับลูกค้าพร้อมบรรยายสรรพคุณของไวน์ที่ลูกค้าเลือกมาอย่างอารมณ์ดี อย่างเช่นว่า ไวน์ขวดที่ลูกค้าเลือกมานั้นเป็นไวน์ขวดที่เมห์รันเก็บผลผลิตและขยี้ให้แหลกเองด้วยเท้าของเขา และเขาได้น้ำเจ้าน้ำองุ่นที่ว่าไปบ่มไว้นานกว่า 98 ปี ก่อนเอามาบรรจุขวดขายในวันนี้
หรือการที่เมห์รันให้เพื่อนของเขาเองไปยืนถือโปสเตอร์ของเซเลบริตี้ดังๆ แล้วยืนอยู่หน้าร้าน เพื่อให้คนที่เดินผ่านไปมาในย่านนั้นเข้าใจผิดไปว่า มีศิลปินคนดังกำลังกินข้าวอยู่ในร้าน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนดังคนนั้นไม่ได้อยู่ในร้านสักหน่อย เพื่อนเขาเพียงแค่ยืนถือโปสเตอร์แกล้งคนแถวนั้นให้เข้าใจผิดๆ ไป ก็เท่านั้นเอง
อีกอารมณ์ขันหนึ่งที่ถือเป็นการหยอกเอินอารมณ์ดีที่เมห์รันและเพื่อนๆ ทำคือ นำภาพของเมห์รันที่ตัดต่อกับคนดังระดับโลกใส่กรอบเป็นรูปภาพและประดับไว้ในร้าน ประหนึ่งว่าเมห์รันเคยทำอาหารให้คนดังเหล่านั้นกินมาแล้ว เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, มาริลีน มอนโร, บารัค โอบามา และจอห์น เอฟ. เคเนดี เป็นต้น
วันนี้ถ้าคุณเข้าไปในเว็บไซต์ของร้าน Mehran’s Steakhouse จะพบข้อความที่ว่า ในขณะนี้ร้านเราปิดทำการและจะกลับมาเปิดใหม่อีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า หากคุณสนใจให้ลงชื่อและทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ แล้วเราจะแจ้งให้คุณทราบเมื่อร้านเปิดอีกครั้ง
คนที่รักทั้งอาหารและรักทั้งนิวยอร์กอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปลงชื่อทิ้งไว้ ถ้าเมห์รันติดต่อกลับมาเมื่อไหร่ เราจะมารีวิวให้ฟังอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้าว่า
สเต๊กเนื้อของเมห์รันคือสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้จริงไหม
อ้างอิงข้อมูลจาก
แกะสูตร Real-Time Marketing ฉบับแอดมินเพจ ‘เนื้อแท้’ ที่สร้างไวรัล จนเพจข่าวดังยังต้องแชร์
เชื่อว่าหลายครั้งใครหลายคนน่าจะรู้ข่าวสารต่างๆ ที่เกิดในสังคมจากโพสต์ในเพจเนื้อแท้ก่อนที่จะเห็นจากสำนักข่าวเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีข่าวบุกตรวจค้นบ้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล เช้าตรู่ แล้วเพจเนื้อแท้โพสต์รูปบังโตในชุดนอน ยืนเท้าเอวหน้าบ้าน พร้อมข้อความสั้นๆ “ตื่นมาก็งง ใครสั่งเนื้อแท้มาส่งแต่เช้า” หรือตอนที่ ส.ส.นัดกันโดดสภาแล้วโพสต์ภาพพนักงานในชุดเนื้อแท้ไปส่งอาหารที่สภาพร้อมข้อความว่า “ว้ายย มาแล้วไม่เจอใคร”
โดยแต่ละโพสต์ล้วนมียอดเอนเกจเมนต์ถล่มทลาย และเพจข่าวดังร่วมแชร์จนกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
ปัจจุบันมีกลยุทธ์การสื่อสารที่หลากหลาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคที่ผู้คนใช้สื่อออนไลน์ในชีวิตประจำวัน real-time marketing กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ยอดนิยมของแบรนด์และนักการตลาด ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นหลายแบรนด์หันมาจับกระแสที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์มากมาย ซึ่งเนื้อแท้คือหนึ่งในแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์นี้
สิ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษาคือ อะไรทำให้เนื้อหาสามารถสร้างไวรัลจากคอนเทนต์เรียลไทม์ได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่ในแต่ละวันมีคอนเทนต์ผ่านตาเรามากมาย และคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะถูกลืมไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว
และผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญคือ คิง–อลังการ โสลิกี Digital Marketing Manager และแอดมินเพจเนื้อแท้ ซึ่งเขาได้เผยวิธีคิดในการทำคอนเทนต์ในงาน Digital SME Conference Thailand 2023 หัวข้อ ‘How to Make Great Content Standout’ โดยหลักการที่เขาแบ่งปันบนเวทีมีดังนี้
1. จับกระแสไว เลือกเรื่องที่เหมาะกับตัวเอง
คิงเล่าว่าช่วงแรกของการทำคอนเทนต์เนื้อแท้ เขาเริ่มจากคอนเทนต์ขายของ พูดถึงข้อดีสินค้า คุณภาพและสรรพคุณของวัตถุดิบ ฯลฯ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แย่ แต่ก็ไม่ปังอย่างที่คิด หลังจากนั้นเขาจึงลองเริ่มหันมาทำเรียลไทม์คอนเทนต์ โดยเน้นคอนเทนต์ตลกๆ ที่เป็นกระแสอยู่ตอนนั้น โดยเฉพาะในช่วงโควิดและความร้อนแรงทางการเมือง โดยเหตุผลที่ไม่เน้นสาระหรือฮาร์ดเซลล์มากเกินไปเพราะคนไทยชอบความบันเทิง และคนบนโลกออนไลน์ต้องการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้นๆ
โดยความไวในการลงคอนเทนต์ที่หลายคนทึ่งนั้นมาจากการที่เนื้อแท้มีการคาดการณ์เหตุการณ์ในสังคมล่วงหน้า เมื่อเห็นว่าช่วงเวลาไหนมีกระแสใดที่เหมาะกับแบรนด์และผู้ติดตามก็จะนำมาสร้างคอนเทนต์ทันที
2. ใส่ความเป็นมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้ติดตาม
นอกจากคอนเทนต์ขายสินค้า เรียลไทม์คอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่เนื้อแท้ทำ เป็นคอนเทนต์ที่อยู่ในกระแส หรือเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว ทำให้เรารู้สึกรีเลตกับคอนเทนต์ได้ง่าย จุดเด่นคือเนื้อแท้ใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปเป็นส่วนผสมหลัก ทั้งการทำคอนเทนต์เพื่อพูดคุยกับลูกค้า และการรับฟังความคิดเห็น ทำให้แบรนด์ถูกมองว่าเป็นผู้ทันกระแส ไม่ตกยุค ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทำให้ยอดเอนเกจเมนต์ในเพจเพิ่มขึ้นทันที
3. เตรียมวัตถุดิบให้พร้อมใช้เสมอ เพราะมีเหลือดีกว่าขาด
ว่ากันว่าความไวเป็นเรื่องของปีศาจ การทำเรียลไทม์คอนเทนต์เองก็เช่นกัน เมื่อมีกระแสมาถ้ามัวแต่ถ่ายรูป แต่งรูป หรือปั้นวัตถุดิบใหม่ทั้งหมดอาจไม่ทันการณ์ คิงเล่าว่า วัตถุดิบในการทำคอนเทนต์บางส่วนของเนื้อแท้เป็นการถ่ายสต็อกไว้ก่อน รอเวลาและกระแสที่เหมาะสมจึงจะนำมาใช้ ทั้งภาพพี่โตหรือภาพไรเดอร์ในท่าทางต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ภาพไรเดอร์จากเนื้อแท้ถ่ายรูปที่รัฐสภาในวันที่ไม่มีคนมาทำงาน ซึ่งในตอนนั้นทีมก็ฝากให้ไรเดอร์ถ่ายภาพเก็บไว้ก่อน จะใช้เมื่อไรค่อยว่ากัน เมื่อมีดราม่าเรื่อง ส.ส. และ ส.ว.ไม่เข้าสภาจึงได้นำภาพนี้มาใช้ และเป็นไวรัลทันที ถึงขนาดที่เพจโหนกระแสต้องนำไปแชร์ต่อ นี่คือข้อดีของการเตรียมความพร้อมและเก็บวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า
4. อย่าเพิ่งรีบลง รอสักพักให้คนเข้าใจก่อน
แม้เนื้อแท้จะทันทุกกระแส แต่ก็มีกฎเหล็กสำคัญคือ อย่าเพิ่งรีบลง เพราะถ้าโพสต์คอนเทนต์เร็วเกินไป คนอาจยังไม่เข้าใจ ไม่เก็ตกับมุกของเรา ดังนั้นต้องรอสักพักเพื่อให้คนเข้าใจเรื่องราวก่อนแล้วค่อยลง
เมื่อลงในเวลาที่ถูกต้อง แบรนด์จะเกิด awareness ได้ง่าย และคอนเทนต์ถูกแชร์ต่อไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เรียลไทม์คอนเทนต์มีอายุสั้นกว่าคอนเทนต์ประเภทอื่นๆ หากแบรนด์ต้องการเล่นกับกระแสต้องไม่เกิน 2 วัน เพราะกระแสจะดร็อปลงเรื่อยๆ
5. ให้อิสระทางความคิด ภายใต้กรอบและตัวตนของแบรนด์
นอกจากคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและกำลังเป็นกระแสแล้ว ดีเอ็นเอในการทำคอนเทนต์ของเนื้อแท้อยู่ที่การที่หัวหน้าอย่างบังโตและบังตาลให้อิสระทางความคิด ทำให้แอดมินสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันต้องอยู่ภายใต้กรอบ โดยห้ามหลุดจากตัวตนการเป็นเนื้อแท้ คิงบอกว่าทุกวันนี้ที่เห็นยอดตัวเลขเอนเกจเมนต์มากมายนั้นมาจากออร์แกนิกล้วนๆ ไม่มีการซื้อบูสต์โพสต์แต่อย่างใด
นอกจากเคล็ดลับต่างๆ ที่ว่ามา คิงทิ้งท้ายว่า การสร้างแบรนด์ที่ดีต้องหาคาแร็กเตอร์ให้เจอ เพื่อให้เกิดการจดจำ และคอนเทนต์นั้นจะขายของให้เอง