วิธีคิดแบบนวัตกรของ Sweepy ไม้กวาดดอกหญ้าสมาร์ตดีไซน์จากภูมิปัญญาที่ลานวัด 

หากพูดถึง smart living ในยุคนี้ คนส่วนใหญ่อาจนึกภาพสินค้าเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าหรือหมวดสินค้าไอทีอย่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ Sweepy by SAJ คือแบรนด์ไม้กวาดของ บริษัท สะอาดใจ จำกัด ที่แสดงให้เห็นว่าไม้กวาดดอกหญ้าธรรมดาๆ จากวัสดุธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นก็เป็นสินค้าในยุค smart living ได้เหมือนกัน

แก่นสำคัญของนวัตกรรมคือการออกแบบสิ่งใหม่ที่แก้ปัญหาให้ผู้ใช้และเบลนด์เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ หากลบภาพจำจากเปลือกภายนอกของไม้กวาดที่เป็นของใช้งานคราฟต์แสนธรรมดาในชีวิตประจำวันออกไป จะพบว่าไม้กวาด Sweepy เป็นนวัตกรรมสุดสมาร์ตที่ทำให้การกวาดบ้านเป็นเรื่องสมูทขึ้นและยังวางประดับในบ้านได้อย่างไม่เคอะเขิน

ตูน–นนทัช ขันธรูป แปลงร่างไม้กวาดที่ลานวัดเป็น broom (ไม้กวาด) และ dustpan (ที่โกยผง) โดยปรับดีไซน์ให้โมเดิร์นขึ้นและเสริมฟีเจอร์สำคัญ เช่น ทรงที่คำนึงถึงสรีรศาสตร์ การออกแบบประสบการณ์กวาดบ้านโดยคำนึงถึง noise control และยังตามเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนด้วยคอลเลกชั่นไม้กวาดที่สามารถรีฟีลดอกหญ้าใหม่ได้

ในยุคที่ช้อปปิ้งออนไลน์บูมและเกิดสงครามราคาที่แข่งขันกันขายของราคาถูกใน e-Marketplace ตูนเลือกขายไม้กวาดราคาแพงกว่าราคาตลาด 4-5 เท่าและอยากเล่าเรื่องไม้กวาดแบรนด์ไทยให้คนต่างชาติรับรู้ถึงของใช้จากความครีเอทีฟของภูมิปัญญาพื้นบ้าน 

Product
Innovative Wisdom from Temple

ย้อนกลับไปราว 5 ปีที่แล้ว โมเมนต์ยูเรก้า! ที่ตูนปิ๊งไอเดียออกแบบไม้กวาด Sweepy เป็นครั้งแรกมาจากช่วงที่บวชเป็นพระ 

“เราเรียนรู้วิชาการทำไม้กวาดจากหลวงลุงที่วัด ตอนนั้นได้ไปบวชที่วัดป่า วังน้ำเขียว ส่วนใหญ่ที่วัดพระจะเป็นคนทำไม้กวาดเองทั้งไม้กวาดทางมะพร้าวและไม้กวาดดอกหญ้า”

ด้วยความที่ตูนมีอีกหนึ่งบทบาทเป็นสถาปนิก วิชาชีพนักออกแบบทำให้เขาชอบตั้งคำถามว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีพอแล้วหรือยัง สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ไหม    

“เราตั้งคำถามว่าไม้กวาดที่มีอยู่ยังเหมาะกับสมัยนี้ไหม เหมาะกับคนใช้หรือเปล่า แล้วถ้ามันไม่เหมาะ เราจะสามารถแก้ปัญหาทั้งเรื่องการใช้งาน ความสวยงาม และดีเทลต่างๆ ของกระบวนการทำได้มากกว่านี้หรือเปล่า” 

ก่อนจะตรัสรู้ทางธรรมต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจความทุกข์ทางโลกอย่างลึกซึ้งเสียก่อนจึงจะพบหนทางดับทุกข์ได้ เช่นเดียวกัน การรู้แจ้งของดีไซเนอร์ก็ต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจความทุกข์ หรือ pain point ของผู้ใช้เสียก่อนถึงจะนำเสนอทางดับทุกข์ให้ผู้ใช้ได้

ตูนสังเกตพบ ‘ความทุกข์’ ของคนใช้ไม้กวาด เช่น ดอกหญ้าร่วงบ่อยทำให้ไม้กวาดมีอายุการใช้งานสั้น, ไม้กวาดกวาดได้ไม่ถึงทุกซอกทุกมุม, จับไม้กวาดไม่ถนัดมือ และยังเกิดไอเดียสร้างประสบการณ์การใช้ไม้กวาดให้แฮปปี้ขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ตระหนักถึง 

ในขณะที่หลายคนใช้ไม้กวาดและที่โกยผงเพื่อทำงานบ้านให้เสร็จตามฟังก์ชั่นที่มี ภาพโอกาสที่ตูนมองเห็นคือ ไม้กวาดและที่โกยผงที่มีสมาร์ตดีไซน์ แม้จะไม่ใช่สินค้าเทคโนโลยี เป็นงานคราฟต์ทำมือจากวัสดุธรรมชาติก็สามารถออกแบบให้เป็นอุปกรณ์สุดสมาร์ตสำหรับผู้ใช้ได้

“เราเอากระบวนการทำไม้กวาดจากวัดมาพัฒนาดีไซน์ให้ทันสมัยและเหมาะกับคนใช้งาน มาเบรกดาวน์ว่าการทำไม้กวาดจะตอบโจทย์การกวาดบ้านทั้งในเรื่องของคุณภาพและการใช้ในบ้านยังไง จะทำยังไงให้ไม้กวาดเป็นสินค้าซิกเนเจอร์อันใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 

“เราอยากทำให้ไม้กวาดเป็น extension ของคนที่เวลาหยิบมาใช้งานแล้วรู้สึกถนัดที่สุด เลยคำนึงถึงเรื่อง angle และ human scale ของคนและมีน้ำหนักที่ดีที่สุดที่เหมาะแก่การใช้งาน ถ้าสังเกตคือตัวปลายไม้กวาดจะใช้ดอกหญ้าที่เล็กกว่าตัวท้ายเพื่อให้เก็บกวาดทุกซอกมุมได้หมด คัดเฉพาะดอกหญ้าก้านอ่อนที่มีความนุ่ม อันที่ไม่สวยหรือก้านแข็งเกินไปก็จะคัดออก เอามาคัดไซส์แล้วมัดเป็นช่อๆ ให้อยู่ด้วยกัน พอมัดเรียบร้อยก็เอามาเรียงรวมกันโดยไล่ระดับ แล้วเย็บให้เข้ากับตัวโมเดล”

ดอกหญ้าของไม้กวาด sweepy จึงเรียงไล่ระดับเป็นทรงโค้ง ตอบโจทย์ด้านสรีรศาสตร์และคุณภาพของไม้กวาด และยังมีดีไซน์มินิมอลที่ทำให้การกวาดบ้านรื่นรมย์ขึ้น 

Design Sound & Touch in Sweeping Experience

ตูนขยายความว่าสิ่งที่ทำให้ออกแบบ Sweepy ได้ไม่เหมือนใครและตอบโจทย์ผู้ใช้คือการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มองไม่เห็นถ้าไม่ตั้งใจสังเกต อย่างเสียงที่กระทบพื้นเวลากวาดบ้าน ฝุ่นที่ติดมากับดอกหญ้า ความนุ่ม-แข็งของดอกหญ้า

เวลาพูดถึงการออกแบบสินค้าให้มีฟีเจอร์ noise control หลายคนอาจนึกภาพสินค้าเทคโนโลยีอย่างหูฟัง แต่อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านทั่วไปก็สามารถออกแบบโดยคำนึงถึงมลภาวะทางเสียงได้ด้วยเช่นกัน เหมือนที่ตูนออกแบบที่โกยผงให้คู่กับไม้กวาดโดยเลือกใช้วัสดุที่ลดการเกิดเสียง

“การกวาดบ้านคือประสบการณ์ ถ้าสมมติว่าเราเอาพลาสติกหรือเหล็กคุณภาพไม่ดีไปเจอกับพื้นโดยตรงมันก็จะมีเสียงก๊องแก๊ง ผมไม่อยากใช้พลาสติกเพราะว่ามันจะมีเสียงแบบพลาสติก อยากใช้เหล็กที่บางแต่ก็ไม่ได้คมเพื่อไม่ทำให้เกิดเสียงและสื่อถึงความใส่ใจในการทำโปรดักต์ตัวนี้” 

นอกจากการคำนึงถึงมลภาวะทางเสียงแล้วก็ยังคำนึงถึงความสะอาดที่ไร้ฝุ่น อย่างการนำดอกหญ้าไปตากให้แห้งเพื่อเอาผงฝุ่นที่ติดมากับดอกหญ้าออกให้หมด

“สิ่งสำคัญคือไม้กวาดของเราเป็นโปรดักต์ที่ใช้ในอินทีเรียร์ เราจึงใช้วัสดุธรรมชาติโดยเอามาใช้ให้คลีนและน่าใช้ที่สุด เคลือบไม้เพื่อเวลาจับหรือสัมผัสจะไม่มีฝุ่นผง เช็ดไม้ทุกด้ามให้ไม่มีตำหนิและรอยแตก” 

ไม้กวาด Sweepy ยังแยกออกเป็นหลายรุ่นเพื่อประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานให้เหมาะกับวัสดุแต่ละประเภท รุ่นสแตนดาร์ดคือไม้กวาดดอกหญ้าขนนุ่มสำหรับใช้กวาดอินดอร์ แบ่งเป็นไม้กวาดขนาดปกติทั่วไปและขนาดเล็ก อีกแบบคือไม้กวาดเสี้ยนตาลที่มีขนแข็งเหมาะสำหรับใช้กวาดเอาต์ดอร์ 

“ตัวเสี้ยนตาลจะมีความความแข็งและยืดหยุ่นมากกว่า จะกวาดพื้นหญ้า พื้นปูน หรือส่วนที่มีน้ำขัง แอ่งน้ำช่วงหน้าฝนได้ดี อยากแนะนำไม้กวาดเสี้ยนตาลเวลากวาดทรายหรือกวาดฝุ่นที่อยู่ข้างนอก” 

พอใช้ดอกหญ้า 2 ประเภทในการทำไม้กวาด ที่โกยผงก็ทำจากวัสดุ 2 แบบด้วยเช่นกันสำหรับแยกใช้อินดอร์และเอาต์ดอร์ เน้นดีไซน์โค้งและขนาดใหญ่เพื่อให้กวาดได้เยอะ หากใช้คู่กันจะสามารถวางเก็บด้วยกันได้เพราะตูนตั้งใจเจาะรูที่ด้ามและทำที่ยึดให้ทั้งไม้กวาดและที่โกยผงสามารถเก็บเข้าคู่กัน

Price
Design to Last 

ไม้กวาดดอกหญ้า Sweepy มีราคาอยู่ที่ 380 บาท หากเป็นไม้กวาดเสี้ยนตาลจะราคาสูงขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 390 บาท นับว่าราคาสูงกว่าไม้กวาดทั่วไปราว 4-5 เท่า ส่วนที่โกยผงมีราคาอยู่ในระดับใกล้เคียงกันที่ 420 บาท 

ตูนมองว่าสำหรับไม้กวาดทั่วไปที่ดอกหญ้าร่วงง่ายจะทำให้สินค้ามีอายุการใช้งานสั้นราว 2-3 เดือน การออกแบบให้ดอกหญ้าของไม้กวาด Sweepy ติดทนก็เพื่อยืดระยะเวลาการใช้ให้นานขึ้นถึง 1-2 ปี ซึ่งหากมองในระยะยาว การซื้อสินค้าราคาแพงหนึ่งครั้งแล้วใช้เนิ่นนานอย่างคงทนจะถูกกว่าการซื้อสินค้าราคาถูกแต่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ

วิธีคิดนี้เป็นแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ที่สนับสนุนสินค้าซึ่งมีอายุการใช้งาน (product lifespan) นานเพื่อลดคาร์บอนฟุตปรินต์จากการทิ้งของไม่ใช้แล้วให้กลายเป็นขยะ โดยสามารถสนับสนุนตั้งแต่ต้นน้ำให้ธุรกิจผลิตสินค้าที่มีคุณภาพไปจนถึงเผยแพร่ให้ลูกค้าตระหนักรู้ถึงการช้อปปิ้งที่คำนึงถึงความยั่งยืน และตูนก็อยากส่งต่อแนวคิดนี้ให้คนใช้ไม้กวาด Sweepy 

“เราเน้นเรื่องของคุณภาพและความคุ้มค่า ออกแบบของใช้ที่ใช้งานได้นานให้คุ้มกับคนใช้ให้ได้มากที่สุด ไม่ต้องทิ้งบ่อย ราคาที่เราตั้งออกมาก็คำนึงถึงวัสดุและต้นทุนการผลิตที่มีกระบวนการซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน สำหรับให้คนที่ชอบงานดีไซน์ คนที่ทำความสะอาดบ้านเองและคนที่อยากแต่งบ้านให้สวย ได้สิ่งที่ดีที่สุด”

เสน่ห์ของไม้กวาดดอกหญ้าที่ใช้งานไปนานนับปีคือสีของดอกหญ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากการแก่ตัวลง “ประทับใจภาพที่ลูกค้าส่งมาให้ดูมาก จากตอนซื้อใหม่ที่ดอกหญ้าเป็นสีเขียวสดแล้วเขาใช้นานเป็นระยะเวลาปีกว่าจนดอกหญ้ากลายเป็นสีเหลือง เขาก็ยังใช้งานได้อยู่และใช้ไม้กวาดได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เหมือนเวลาเราออกแบบบ้านไม้ ที่พอเริ่มแก่มันก็ยิ่งสวย ยิ่งมีคุณค่า”

Place & Promotion
Stories That Sell

แต่เพราะการขายราคาสูงกว่าไม้กวาดเจ้าอื่นๆ ในตลาดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ Sweepy มีความท้าทายในการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจว่าทำไมสินค้าในราคานี้ถึงคุ้มค่าเมื่อซื้อไป 

ปัจจุบัน Sweepy ขายผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งช่องทางออนไลน์ของแบรนด์, e-Marketplace และยังวางขายที่ห้างสรรพสินค้าอย่างร้านโฮมโปร บุญถาวร รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งตูนบอกว่ากว่าจะขยายช่องทางการขายอย่างมั่นคงได้จนถึงทุกวันนี้ การเริ่มขายไม้กวาดมีดีไซน์เป็นเจ้าแรกๆ นั้นไม่ง่ายเลย

“มันยากมากในตอนแรก ลองเอาไปขายที่ตลาดตามคอมมิวนิตี้มอลล์และตลาดงานคราฟต์ต่างๆ ช่วงแรกก็ยังไม่มีใครสนใจ ถ้าขายออนไลน์ เวลาลูกค้าเห็นแค่ราคาและรูปแล้วต้องตัดสินใจซื้อเลย มันก็ท้าทายในการขาย

“หรือเวลาไปซื้อที่โฮมโปร ลูกค้าอาจจะเห็นแค่สินค้าแต่ไม่เห็นกระบวนการทำที่มัดดอกหญ้า หรือไม่เห็นเรื่องราวว่าทำไมถึงออกแบบมาเป็นแบบนี้ ทำให้เวลาไปแขวนกับไม้กวาดที่ราคา 80 บาท การจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในราคาที่เราขายก็จะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากที่สุด”  

สิ่งที่ตูนทำเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าสินค้ามีคุณภาพและเปิดใจอยากใช้คือการเล่าเรื่องราวกระบวนการผลิตและทำให้คนเห็นภาพคอนเซปต์ของแบรนด์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งแม้จะเน้นเล่าเรื่องทางโซเชียลมีเดีย แต่ก็เป็นการสร้างแบรนด์ที่ทำให้การขายในทุกช่องทางเป็นไปด้วยดีตามไปด้วย

 “คอนเซปต์แรกที่อยากสื่อสารคืออยากให้สินค้าเราเป็นของขวัญได้ อยากสร้างภาพลักษณ์ให้ไม้กวาดไม่ใช่สิ่งที่สกปรก ให้ลูกค้ามองเห็นว่าการใช้ไม้กวาดเป็นการ cleaning your soul เห็นภาพไม้กวาดของเราอยู่ที่บ้านของเขาให้ได้มากที่สุดว่าจะอยู่มุมไหนของบ้าน มองไม้กวาดเป็นเหมือนงานศิลปะที่วางตั้งโชว์ไว้ในบ้านมากกว่าเป็นสิ่งของที่แอบอยู่ในตู้และไม่สามารถโชว์ได้ สิ่งนี้สำคัญในการสื่อสารทั้งกับลูกค้าใหม่และกับคนที่เคยใช้แล้วให้กลับมาซื้ออีกเพราะเขาสามารถซื้อให้เพื่อนเพื่อเป็นของขวัญได้”  

ในอนาคตตูนอยากพาไม้กวาด Sweepy โกอินเตอร์ให้ไปไกลกว่าเดิม “อยากพาไม้กวาดของเราให้ไปไกลกว่าประเทศไทยและไปได้ไกลที่สุด ให้คนรู้จักมากขึ้นในหลายประเทศและเข้าใจว่ามันดียังไง เราเลยพยายามที่จะคุมคุณภาพของการทำไม้กวาดนี้ให้ดีมากกว่าการพัฒนาสินค้าอื่น ถ้าเรามีสินค้าที่เราถนัด ก็อยากทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด”

Planet 
Refill Broom to Declutter the Planet 

ตูนแย้มว่าในอนาคตอันใกล้นี้มีแพลนที่จะเปิดตัวไม้กวาดรุ่นใหม่ที่สามารถรีฟิลดอกหญ้าได้ ความพิเศษของรุ่นนี้คือจะมีชิ้นส่วนไม้กวาดสำหรับให้ลูกค้านำไปประกอบเองได้ที่บ้าน มีทั้งส่วนด้ามและดอกหญ้า ซึ่งหากดอกหญ้าหมดเมื่อไหร่ก็สามารถซื้อรีฟิลใหม่เฉพาะดอกหญ้าได้ 

นอกจากจะช่วยสนับสนุนด้านความยั่งยืนแล้วยังช่วยอำนวยสะดวกด้านโลจิสติกส์เวลาส่งไม้กวาดไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งไม้กวาดรุ่นรีฟิลของแบรนด์รุ่นนี้ได้เริ่มขายล่วงหน้าไปก่อนแล้วที่อเมริกาและกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก

“สำหรับรุ่นรีฟิลเราทำเพราะอยากลดการทิ้งให้น้อยลงและทำมาให้คนที่ไม่อยากทิ้งไม้กวาดบ่อยๆ หรือสนใจเรื่องโลกร้อนเหมือนกัน ส่วนใหญ่ไม้กวาดจะทำมาจากพลาสติก แบรนด์ Sweepy ก็อยากสนับสนุนความยั่งยืนให้ได้มากที่สุดด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติเพื่อทำโลกให้สะอาดขึ้นและน่าอยู่ขึ้น”  

ภาพในฝันของ Sweepy ไม่ใช่ความฝันยิ่งใหญ่ระยะยาวแต่เป็นการ clean planet ในทุกๆ วันทั้งการทำความสะอาดในบ้านและโลกนอกบ้าน ไปจนถึงทำความสะอาดใจ  

คอนเซปต์ของ Sweepy มาจาก motto ที่ว่า เวลาเรากวาดบ้านให้สะอาด ใจก็สะอาดขึ้นด้วย หรือในทางกลับกันถ้าเริ่มจากใจเราสะอาดและมีสินค้าที่เราเห็นแล้วสบายใจ ก็จะอยากมีบ้านและห้องที่สะอาดสำหรับต้อนรับเพื่อนมากินข้าวหรือว่ามานั่งเล่น จัดบ้านได้อย่างสบายใจ” 

ความภาคภูมิใจของตูนคือการเป็นดีไซเนอร์ไทยที่ทำไม้กวาดแบรนด์ไทย สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการทำบริษัท สะอาดใจ จำกัด ก็คือ “ถ้าเรามีไอเดียอะไรที่ดีต่อโลกก็ให้ทำออกมาเลยโดยไม่ต้องกลัวมัน มันไม่มีอะไรที่เป็นสูตรสำเร็จแล้วตลอดไป อย่างไม้กวาดเราก็ยังสามารถเอามาทำให้มันดีขึ้นได้ เอาไอเดียครีเอทีฟของเราออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดแล้วมันก็แก้ปัญหาให้โลกนี้ได้

“ถ้าเราช่วยกัน clean โลกใบนี้ ก็จะช่วยสร้างการตระหนักรู้ที่ดีต่อโลกได้”   

ข้อมูลติดต่อ
Facebook : Sweepy by SAJ

Salomon แบรนด์สินค้าเอาต์ดอร์และรองเท้าแอดเวนเจอร์ที่ทำให้ผู้คนตกหลุมรักด้วยฟังก์ชั่นและนวัตกรรม

ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งจะหันมาทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ เอาต์ดอร์ หรือคนที่รักกิจกรรมการเล่นสกี เดินป่า หรือวิ่งเทรลเป็นชีวิตจิตใจ หรือใครที่ตามเทรนด์สนีกเกอร์อย่างสม่ำเสมอ คงแทบไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ที่มีชื่อว่า ‘Salomon’

Salomon คือแบรนด์ที่เป็นผู้นำในตลาด outdoor sport มีวางจำหน่ายไปกว่า 91 ประเทศทั่วโลกทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย และเพิ่งฉลองครบรอบ 75 ปีไปเมื่อปีที่ผ่านมา

เหตุผลที่ใครบางคนจะตกหลุมรักแบรนด์มีหลากหลาย

บ้างตกหลุมรักด้วยสตอรีหรือประวัติศาสตร์แบรนด์ บ้างตกหลุมรักสีสันอันสวยงามของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ บ้างตกหลุมรักนวัฒนกรรมที่ถูกคิดค้นมาอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน

ย้อนกลับไปในปี 1947 ที่เมืองอานน์ซี (Annecy) ประเทศฝรั่งเศส เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส’ เมืองนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตใบเลื่อยของ François Salomon โดยเขาเริ่มธุรกิจหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ก่อนที่เขาจะเห็นโอกาสจากที่ผู้คนเริ่มหันกลับมาเล่นสกี และปีนเขากันมากขึ้น เขาจึงใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เปลี่ยนมาผลิตอุปกรณ์กีฬาอย่างสกีขึ้น

แบรนด์ Salomon จะไม่ได้มาไกลอย่างทุกวันนี้ถ้าไม่มีลูกชายคนเดียวของเขาที่ชื่อว่า Georges Salomon

ในวัยนั้นจอร์ฌเลือกที่จะปฏิเสธและไม่ทำตามความต้องการของพ่ออย่างการไปทำอาชีพครู แต่เขาสนใจที่จะกลับมาสานต่อและพัฒนากิจการของพ่อ ทำอุปกรณ์กีฬาเกี่ยวกับสกีจนเติบโตอย่างก้าวกระโดดในรุ่นของเขา 

1957 คือปีที่เขาทำอุปกรณ์สกีออกมาวางขายเป็นครั้งแรก โดยเขาเลือกทำ ski binding หรือตัวยึดเท้ากับแผ่นสกีในรูปแบบใหม่ ที่หยิบเอา pain point จาก ski binding แบบดั้งเดิมที่เป็นเพียงแค่สายหนังรัดเท้าอย่างเดียว ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเท้าพลิกได้ง่าย ตัวยึดเท้ากับแผ่นสกีในรูปแบบใหม่ของเขาที่เขาใช้ชื่อว่า ‘le lift’ นี้สามารถยึดกับปลายเท้าและรองเท้าได้อย่างแน่นหนา และเมื่อเกิดการกระแทกอย่างรุนแรงตัว binding จะคลายและหลุดออกจากรองเท้า

นวัตกรรมที่เขาคิดนี้ในปี 1972 ทำให้ Salomon กลายมาเป็นเบอร์ 1 ของแบรนด์อุปกรณ์ binding โดยสามารถขายได้ 1 ล้านชิ้นต่อปี และดีไซน์ที่เขาคิดขึ้นถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของการทำ ski binding จนถึงทุกวันนี้

Salomon เป็นที่รู้จักในวงการกิจกรรมแอดเวนเจอร์มากขึ้นในปี 1992 เพราะเป็นปีแรกที่จอร์ฌแตกไลน์สินค้ามาจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยการออกแบบและวางขาย ‘รองเท้าสำหรับเดินป่า’ ทำให้ในช่วงยุค 90s เรียกว่า salomon มีอุปกรณ์สำหรับกีฬาแอดแวนเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าบูท สกี สโนว์บอร์ด และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ 

จากความโดดเด่นและน่าสนใจของอุปกรณ์กีฬาสกีอย่าง Salomon ทำให้ Adidas เข้ามาซื้อกิจการในช่วงปี 1997 และบุกตลาดกีฬาสำหรับหน้าหนาวเต็มตัว ก่อนที่จะตัดสินใจขายให้กับ Amer Sports ในปี 2005 และเริ่มมาโฟกัสกับอุปกรณ์แอดเวนเจอร์เต็มตัวโดยเฉพาะรองเท้า ที่เป็นขวัญใจของใครหลายคน และขึ้นมาเป็น top-of-mind ของคนที่ผู้คนจะนึกถึงเวลาเลือกซื้อรองเท้าเดินป่า รองเท้าวิ่งเทรล และเลือก Salomon เป็นแบรนด์แรกๆ

Salomon ใช้เวลาไม่นานในการขึ้นเป็นแบรนด์ระดับท็อป หนึ่งในคีย์ที่ทำให้เป็นที่รู้จักคือ Kilian Jornet Burgada นักวิ่งเทรลชาวสเปนที่คว้าแชมป์การแข่งขัน Skyrunner World Series 6 ปีซ้อน และชนะการแข่งขัน Ultramarathon มาหลายเวที ที่ต้องการรองเท้าวิ่งที่เบาและทนทาน เพื่อให้เท้าสัมผัสของพื้นผิวดินในระหว่างวิ่งได้มากที่สุด เป็นนักวิ่งคนสำคัญที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาจจะไม่ได้นุ่มสบายที่สุด แต่มีน้ำหนักเบาที่ช่วยให้สามารถทำเวลาวิ่งได้ดี

นวัตกรรมและเทคโนโลยีของรองเท้า Salomon หลายๆ รุ่นถูกคิดมาดีตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะทุกไลน์ผลิตสินค้าพวกเขาทั้งใช้ทีมวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากที่สุด 

ยกตัวอย่างเช่น Quicklace System ระบบร้อยเชือกที่ถูกดีไซน์มาให้สามารถถอดและใส่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แถมยังเป็นระบบที่แข็งแรงเชือกไม่มีหลุดและปรับระดับความแน่นความหลวมได้อย่างอิสระ

Agile Chassis System (ACS) พื้นชั้นกลางที่มีอยู่ในรองเท้าเกือบทุกรุ่น ประกอบไปด้วย AC Skeleton โครงจากวัสดุเทอร์โมพลาสติกที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวและมั่นคง ถัดมายัง AC Muscle โฟมที่บุอยู่ในส่วนส้นเท้าลากยาวมาถึงกลางเท้า เพื่อเพิ่มความนุ่ม แถมยังเบามากกว่าโฟมทั่วไป และ AC Tendon พื้นชั้นนอกที่สามารถส่งคืนพลังงานให้กับทุกย่างก้าว และไม่ทำให้ปวดเท้านั่นเอง

เทคโนโลยี Anatomic Decoupling หรือการออกแบบพื้นรองเท้าตามสรีระเท้าของนักวิ่ง เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยลดอาการบาดเจ็บหัวเข่าของนักวิ่ง ช่วยให้รองเท้าสามารถปรับเปลี่ยนไปตามรูปเท้าของคุณในขณะที่เคลื่อนไหว

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ การเข้าสู่วงการสตรีทแฟชั่นของ Salomon และได้ปรากฏตัวบนรันเวย์แฟชั่นของ Paris Men’s Fashion Week พร้อมกับคอลแล็บกับแบรนด์แฟชั่นมากมาย จากเรื่องราวที่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่มีลูกค้าเข้าไปตามหารองเท้า Salomon Snowcross ในร้านบูทีกแนวสตรีทชื่อดังอย่าง The Broken Arm ซึ่งจากการตามหานี้เองทำให้ทั้ง Salomon และร้านบูทีกชื่อดังนี้เห็นความเป็นไปได้ที่แบรนด์ Salomon น่าจะขยับเข้าสู่วงการแฟชั่น เป็นสนีกเกอร์แนวไลฟ์สไตล์ได้ 

หลังจากนั้น Salomon ก็เริ่มหันมาจริงจังความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ถึงขั้นรับสมัครตำแหน่งผู้จัดการด้านแฟชั่นมาโดยเฉพาะ 

Jean-Philippe Lalonde เจ้าของตำแหน่ง Special Projects Manager ของ Salomon คนปัจจุบันเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า โปรเจกต์แรกที่ทำให้เขารู้จัก Salomon ในโลกแฟชั่น และเป็นโปรเจกต์ไลฟ์สไตล์ที่แท้จริง คือการคอลแล็บกับร้านบูทีกแฟชั่นชื่อดังอย่าง The Broken Arm ก่อนที่ตัวเขาเองจะได้เข้ามาเป็นทีมของ Salomon และรันโปรเจกต์นี้ต่อจนจบ

การคอลแล็บของทั้งสองแบรนด์เกิดเป็นรองเท้า Salomon Snowcross รุ่นเอกซ์คลูซีฟสีดำที่ได้รับกระแสความนิยมตอนเปิดตัวอย่างมาก หลังจากนั้น Salomon ก็เปิดตัว Black Edition ในรองเท้าทุกรุ่นที่มี 

ทำให้จากไลน์ผลิตรองเท้าเดินป่า วิ่งเทรล รองเท้าสกี ที่เฉพาะกลุ่มและเป็น niche market อย่างเดียว Salomon ก็ได้เปิดตัวไลน์การผลิตใหม่ที่ชื่อว่า ‘Salomon Sport Style’ ปรับดีไซน์ให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น แต่ยังคงคุณภาพและประสิทธิภาพของรองเท้าไว้เหมือนเดิม

อย่างเช่นรองเท้า Salomon รุ่น XT-6 ที่เป็นรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ โดยก่อนที่จะมีสีสันสวยงามให้เลือกมากมายอย่างทุกวันนี้ Salomon เปิดตัว S/Lab XT-6 ครั้งแรกในปี 2012 โดยตั้งใจให้เป็นรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นท็อปประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อสภาวะที่รุนแรงของการวิ่งอัลตร้ามาราธอนแบบวิ่งผ่านภูเขาในระยะทาง 100 ไมล์

แม้จะสร้างกระแสในหมู่ผู้ที่วิ่งเทรลโดยเฉพาะ แต่ช่วงแรกก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ทำให้ช่วงหนึ่ง XT-6 หายออกจากตลาดไปราว 2 ปี ก่อนที่ Jean-Philippe Lalonde จะกลับมาค้นพบเพชรเม็ดงามนี้ของแบรนด์ โดยเขาบอกว่า XT-6 คือขุมทรัพย์ คือทองคำ ความโค้งดูที่โฉบเฉี่ยวของ XT-6 คือผืนผ้าใบที่สมบูรณ์แบบสำหรับการออกแบบสีสันที่หลากหลาย เขาจึงเริ่มดีไซน์ แต่งแต้มให้ XT-6 เป็นสนีกเกอร์ที่สมบูรณ์ที่สุดทั้งในแง่คุณภาพและความสวยงาม และกลับมาวางขายอีกครั้งในปี 2018 วางขายในฐานะสนีกเกอร์ไลฟ์สไตล์ในร้านแฟชั่นระดับไฮเอนด์อย่าง Dover Street Market

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรฉุดรั้งอยู่ Salomon กลายเป็นไอเทมแฟชั่นที่เหล่าบรรดาคนดังเลือกสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็น Kanye West ศิลปินที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในโลกสตรีทแฟชั่น หรือ Rihana ที่เลือกสวมใส่ขึ้นเวที Super Bowl นอกจากนั้นยังเป็นรองเท้าที่ Bella Hadid, Hailey Bieber และเซเลบระดับโลกอีกหลายคนมีในครอบครอง

จากวันแรกที่ François Salomon เริ่มต้นธุรกิจ วันนี้ Salomon มาไกลจากจุดเริ่มต้นเหลือเกิน

Salomon ค่อยๆ กลายมาเป็นแบรนด์ที่สามารถสวมใส่เป็นไลฟ์สไตล์แฟชั่นที่สามารถหยิบจับมาใส่ได้ในทุกวันไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม โดยมีดีทั้งฟังก์ชั่นและดีไซน์จนสามารถครองใจเหล่าสนีกเกอร์เฮดและเติบโตในวงการแฟชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างทุกวันนี้

น่าสนใจว่าก้าวต่อไปของแบรนด์จะทำยังไงให้ Salomon ไม่เป็นเพียงกระแสที่พัดมาแล้วผ่านไปเหมือนกับหลายๆ แบรนด์

ภาพจาก salomon

อ้างอิง