กลยุทธ์การปั้นธุรกิจให้รุ่งเป็น No.1 ด้านคอนเทนต์โปรโมชั่นของ ShobShop Media

เพจรีวิวโปรโมชั่นอาจพบเห็นเป็นที่แพร่หลายในทุกวันนี้ แต่การเติบโตจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้านเอนเกจเมนต์ของเพจโปรโมชั่นที่มีผู้ติดตามกว่า 17 ล้านคน อย่าง ‘ชอบโปร’ ‘ชอบกิน’ และ ‘ชอบบิวตี้’ ในเครือ ShobShop Media รวมถึงการต่อยอดสู่ธุรกิจรับหิ้วสินค้าและแอพพลิเคชั่น ‘ชอบโปร’ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ปรีดิ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ShobShop Media (ชอบช้อปมีเดีย) มองว่าบริษัทไม่ได้ทำแค่เพจ แต่เป็น social media company โดยสิ่งที่ทำให้แตกต่างจากหลายบริษัท คือการคิดคอนเทนต์จากลูกค้า ตั้งคำถามว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร มีปัญหาอะไร ซึ่งแตกต่างจากคอนเทนต์ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่ที่มักเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือสนใจ

เบื้องหลังความท้าทายในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ไวรัลอยู่ที่การปั้นเพจให้ขึ้นสู่อันดับท็อปบนหลายแพลตฟอร์มทั้งเฟซบุ๊กและ TikTok ซึ่งมีธรรมชาติและรูปแบบการเข้าถึงผู้ติดตามที่แตกต่างกัน เน้นการติดกระดุมให้ถูกตั้งแต่เม็ดแรกเพื่อหาอินไซต์ที่แม่นยำและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทีมงาน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่

แม้หลายคนจะติดภาพจำว่าคอนเทนต์รีวิวโปรโมชั่นเป็นเพียงการทำตามกระแส แต่ ShobShop Media สร้างธุรกิจคอนเทนต์คอมเมิร์ซที่ยั่งยืนด้วยการมุ่งสร้างคุณค่าที่แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริง จนสามารถสร้างเอนเกจเมนต์สูงสุดและเปิดโอกาสต่อยอดไปสู่โซลูชั่นสำหรับธุรกิจอื่น ๆ ในอนาคต

Business Principles อะไรที่พาเพจ ‘ชอบโปร ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้านเอนเกจเมนต์ของเพจโปรโมชั่น และมีผู้ติดตามกว่า 7 ล้านคน

โดยหลักผมแบ่งออกเป็น 2 เฟรมเวิร์ก คือ ‘การคิดจากลูกค้า’ และ ‘การพัฒนาคนในทีม’ ซึ่งทั้งสองอย่างสำคัญไม่แพ้กัน ขอเริ่มเล่าในส่วนของการคิดจากลูกค้าก่อน

คำถามข้อแรกที่ต้องตอบให้ชัดคือ ลูกค้าเราเป็นใคร เพจโปรโมชั่นเองก็มีหลายหมวด หลายแนว เราจึงต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าคนอ่านแต่ละหัวข้อคือใคร ประเด็นที่สองคือ กลุ่มเป้าหมายของเรามี pain point อะไร เขาอยากรู้อะไร ส่วนข้อสามที่ผมว่าก็สำคัญไม่แพ้กันคือ จะเล่าออกมายังไงให้กระชับ ตอนแรกเราเริ่มจากทำเฟซบุ๊กเพจ ‘ชอบโปร’ ก่อน แล้วขยายเพจและช่องทางต่างๆ ทั้งอินสตาแกรมและ TikTok แต่ทุกช่องทางมีแก่นเดียวกันคือ ภายใน 4-5 วินาทีแรก เราสามารถทำคอนเทนต์ให้หยุดความสนใจเขาได้ไหม ถ้าเราทำได้ ก็มีโอกาสที่คนจะอ่านต่อและเอนเกจกับเรา ซึ่งทั้งหมดมันกลับไปที่ว่าเมสเซจตรงกับ pain point ของลูกค้าและตอบสิ่งที่เขาอยากรู้ไหม  

ผมยกตัวอย่างคอนเทนต์หนึ่งของเพจ ‘ชอบโปร’ ครับ เป็นเคสที่เคยไปโค้ชน้องในทีมช่วงแรกๆ ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราไปออกบูทในงานอีเวนต์ มีสินค้าชิ้นหนึ่งที่คนสนใจมาก คือผ้าเช็ดกระจกหรือผ้าเช็ดแว่นตา คนเข้ามาคอมเมนต์กันเยอะมาก ทีมก็เลยลองทำคอนเทนต์ต่อจากตรงนั้น ไปหาร้านที่ขายผ้าเช็ดแว่นดี ๆ แล้วเอามาลงโพสต์ แต่ผลออกมาคือเอนเกจเมนต์ไม่ดี คนสนใจน้อย

ผมก็เลยบอกทีมว่า ลองกลับมาไล่เฟรมเวิร์กการทำคอนเทนต์ใหม่อีกครั้ง เริ่มจากข้อแรก คนสนใจเรื่องผ้าเช็ดแว่นแน่ๆ แล้วข้อสองคือ เขามี pain point อะไร คอมเมนต์ส่วนใหญ่บอกว่า อยากรู้ว่าเช็ดกับผ้าแล้วสะอาดไหม ใช้แล้วดีจริงหรือเปล่า แต่ภาพที่ลงไปมันไม่ได้สื่อให้เห็นตรงนี้เลย

พอเรามาคิดว่า จะเล่าออกมายังไงให้คนเข้าใจจริงๆ ก็เลยเปลี่ยนแนว จากถ่ายรูปผ้าธรรมดาในตะกร้า มาเป็นภาพ before-after โชว์ให้เห็นชัดๆ ว่า หลังเช็ดแล้วต่างกันยังไง แล้วก็เล่าในมุมประสบการณ์การใช้จริงแทนการขายของตรงๆ ที่เน้นบอกราคา ซึ่งผลลัพธ์ต่างจากเดิมมาก จากคอนเทนต์ที่ได้แชร์แค่หลักร้อย กลายเป็นได้หลายพันแชร์บนเฟซบุ๊ก เพราะมันถูกเล่าจากมุมของลูกค้าจริงๆ ซึ่งเคสนี้มันสะท้อนชัดเลยว่า เฟรมเวิร์กที่ดีจะเวิร์กได้ก็ต่อเมื่อมีคนที่เข้าใจลูกค้าอยู่ในทีมด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว คอนเทนต์ดีๆ มันไม่ได้เริ่มจากเทคนิค แต่เริ่มจากคนที่เข้าใจและใช้เฟรมเวิร์กนั้นเป็นจริงๆ 

เมื่อพูดถึง ‘การคิดจากลูกค้า’ ซึ่งเป็นหัวใจในเฟรมเวิร์กของ ShobShop สำหรับคุณ การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งหมายถึงอะไร

ผมมองว่าแก่นสำคัญคือการเข้าใจลูกค้าแบบลึกจริงๆ ไม่ใช่แค่การเลือกโปรโมชั่นที่ดูดีหรือเหมาะสมกับเขา แต่คือการเข้าใจ ชีวิตของลูกค้าแบบ 360° ว่าเขาใช้ชีวิตยังไง ต้องการอะไร และมีปัญหาอะไรที่เราสามารถแก้ไขหรือช่วยเหลือได้ ซึ่งนี่แหละครับที่สำคัญมาก

เมื่อเราเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง เราจะสามารถแตกคอนเทนต์ได้เยอะมาก ตัวอย่างเช่น หากเราพูดถึงโปรโมชั่น เราอาจเริ่มจากแบรนด์ที่จัดเซล แต่เมื่อเข้าใจชีวิตของกลุ่มเป้าหมายจริงๆ เราจะเห็นว่าพวกเขาสนใจอะไรอื่นๆ ด้วย เช่น ประกันสังคม การปรับค่าทางด่วน แอพฯ วางแผนการออมเงิน หรือแม้แต่เรื่องการศึกษา เช่น คอร์ส Excel หรือภาษาอังกฤษ ที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของเขา

พอเราเข้าใจลูกค้าทั้งหมด เราจะสามารถคิดคอนเทนต์ได้กว้างมาก มันอาจเป็นสิ่งเบสิกอย่าง AI ที่ช่วยให้เขาทำงานง่ายขึ้น หรือใช้ชีวิตง่ายขึ้น ผมเลยรู้สึกว่าการเข้าใจความคิดของลูกค้าได้แบบ 360 องศาเป็นคีย์จริงๆ ในการทำคอนเทนต์ที่ตรงใจและสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วน

ยกตัวอย่างเคล็ดลับการหาสมดุลระหว่าง ‘คอนเทนต์ที่ลูกค้าอยากดู’ กับ ‘คอนเทนต์ที่แบรนด์อยากสื่อ’ ให้ฟังหน่อย

ผมมองว่าหลักการพื้นฐานถ้าอยากให้เอนเกจเมนต์ดี สิ่งที่เราเล่าต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าสนใจจริงๆ  สมัยก่อน เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับอีเวนต์งานเซลสินค้าจากญี่ปุ่น หลายครั้งจะมีการเล่าในมุมผู้บริหารเปิดงาน หรือความร่วมมือระหว่างองค์กรของผู้จัดงาน แต่สิ่งเหล่านี้มักไม่สร้างเอนเกจที่ดี พอไปดูที่งานอีเวนต์จริงๆ ก็พบว่ามีสินค้าจากญี่ปุ่นที่น่าสนใจเยอะมาก ทั้งของกินจากญี่ปุ่น โปรโมชั่นต่างๆ ขนมที่ขาดไม่ได้ในไทย นั่นคือสิ่งที่คนอยากรู้และทำให้คนสนใจ ก็เลยใส่เมสเซจเหล่านี้เข้าไปด้วย ถ้าสิ่งที่เราสื่อคือสิ่งที่เขาอยากฟังอยู่แล้ว ยังไงก็เอนเกจเมนต์ดี 

แล้ว principle ด้านการพัฒนาทีมสำคัญกับการทำให้เพจโตอย่างก้าวกระโดดยังไง

ผมมองว่าการสร้างทีมมีอยู่สองส่วนที่ยาก อย่างแรกคือการเลือกคนที่ใช่ สำหรับผม คนที่ใช่คือคนที่สามารถคิดคอนเทนต์จากมุมของลูกค้าได้จริงๆ ตำแหน่งคอนเทนต์เป็นตำแหน่งที่มีคนสมัครเยอะอยู่แล้ว บริษัทเรามีคนสมัครเป็นพันคน แต่สิ่งที่เราคัดกันหนักคือเขาคิดจากมุมของลูกค้าได้ไหม ตอนสมัคร เราจะมี assignment ให้ลองทำคอนเทนต์ตามโจทย์ของกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ แล้วในการสัมภาษณ์ สิ่งที่เราถามต่อคือ ที่มาของไอเดียนี้มาจากอะไร เพราะคอนเทนต์ดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราจะดูเลยว่าเขามีวิธีคิดยังไง

คนเก่งจริง ๆ ที่เราสัมผัสได้มักจะเริ่มคิดจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เช่น เขามองเห็นเลยว่าคนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตยังไง สนใจอะไร มี pain point อะไร ซึ่งก็มีเด็กหลายคนที่กระบวนการคิดของเขาเซอร์ไพรส์เราเหมือนกัน อีกอย่างที่เรามักทดสอบในห้องสัมภาษณ์คือ ความสามารถในการคิดจากมุมที่ไม่ใช่ตัวเอง ส่วนใหญ่ในทีมจะเป็นผู้หญิง ผมเลยชอบโยนโจทย์ว่า ลองคิดในมุมของผู้ชายได้ไหม หรือคิดจากมุมของกลุ่มคนอีกแบบหนึ่งได้ไหม ซึ่งทำให้เราเห็นแนวคิดและการไล่ลำดับความคิดของคน

ส่วนที่สองคือการดึงศักยภาพของคนออกมา ด้วยการ training and development ซึ่งก็สำคัญ ผมมองว่าการทำงานที่นี่ เรา empower (เปิดพื้นที่ให้แสดงความสามารถ) เด็ก ๆ แต่ละคนสูงมาก ให้เขาสามารถคิดคอนเทนต์ของตัวเองได้เต็มที่ ต่างจากที่อื่นตรงที่ไม่ต้องมีใครมาตรวจคอนเทนต์ให้ แต่ทีมทุกคนต้องสามารถคิดคอนเทนต์ของตัวเองได้ พอทำคอนเทนต์เสร็จ ไม่ว่ายอดเอนเกจเมนต์จะดีหรือไม่ดี เราจะมีเซสชั่น on board กับเด็กเสมอ หัวหน้าหรือ manager ของทีมจะไม่ได้บอกว่าคอนเทนต์นี้ถูกหรือผิด แต่จะช่วยสะท้อนในการทำงานและให้มุมมองเพิ่มว่า ลองคิดในมุมไหนได้บ้าง ถามคำถามว่าทำไมคอนเทนต์นี้ถึงวิ่งหรือไม่วิ่ง ทำไมคิดแบบนี้ เมื่อเด็กเริ่มจับทางตัวเองได้ เราก็จะเริ่มแนะนำเฟรมเวิร์กให้เข้าใจขั้นตอนต่อไปว่าควรคิดและกรองคอนเทนต์ยังไง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราให้อิสระแต่ละคนในการทำงาน แต่ช่วยสอนวิธีคิด ตอนแรกอาจใช้เวลานาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกคนสามารถทำประเด็นได้ดี และไอเดียของแต่ละคนก็ไม่ซ้ำกัน เราพยายามเทรนแต่ละคนให้เป็น the best version ของตัวเอง

คุณมีวิธียังไงในการสนับสนุนให้แต่ละคนได้เป็น the best version ของตัวเอง และสิ่งนี้ส่งผลต่อคุณภาพคอนเทนต์ยังไง

สิ่งสำคัญคือเราให้อิสระกับเด็กเต็มที่ ในตอนแรกน้องๆ ยังไม่ต้องคิดคอนเทนต์ในมุมของเพจเยอะมาก ให้ลองสร้างผลงานขึ้นมาเอง แต่ต้องมีเป้าหมายชัดเจน มีการติดตามผลความคืบหน้ากลางสัปดาห์ และมีเซสชั่นสำหรับ top performance ให้แชร์แนวคิดกัน

ผมเน้นย้ำว่า ทุกเซสชั่นในการเทรนนิ่งไม่มีการสอนแบบบอก แต่ใช้คำถามทั้งหมด เพื่อให้เด็กสามารถหาคำตอบด้วยตัวเอง บางครั้งเด็กอาจมีไอเดียดีอยู่แล้ว แต่สำคัญคือพวกเขาสามารถเล่าไอเดียนั้นออกมาได้หรือไม่ และเข้าใจสิ่งที่ทำอยู่มากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดนี้ ผมมองว่าแก่นของการทำงานคอนเทนต์ที่นี่ คือการตั้งคำถามและให้เด็กค้นหาคำตอบเอง 

ยกตัวอย่างหนึ่งคือ น้องคนหนึ่งในทีมเราเก่งมากด้าน TikTok ทำคอนเทนต์ได้หลายรูปแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อน ตอนเข้ามา 2-3 สัปดาห์แรกเขายังทำยอดคอนเทนต์ได้ไม่ถึงเป้า เราเลยถามเขาว่าเป็นเพราะอะไร  เขาบอกว่า เขากังวลว่าถ้าทำสิ่งที่ต่างจากที่ทีมเคยทำจะโอเคไหม เราก็เลยบอกว่า ไม่ต้องกังวล ทำในสิ่งที่เป็นตัวเองจริงๆ แล้วไม่ต้องกังวลเรื่องยอด จนตอนนี้ น้องคนนี้กลายเป็นหนึ่งในท็อปของทีมเลย 

ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองเก่ง หัวหน้าที่ดีต้องพยายามผลักดันให้ทีมแต่ละคนเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง ซึ่งท้ายที่สุดเอนเกจเมนต์ที่ดีเกิดจากการที่แต่ละคนสามารถคิดคอนเทนต์ตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง 

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนสำคัญ (milestone) อะไรบ้างที่ทำให้ ShobShop เติบโตจากเพจหนึ่ง สู่การเป็นบริษัทคอนเทนต์เต็มรูปแบบในวันนี้

ผมแบ่งออกเป็นสองภาพเพราะบริษัทเรามีหลายธุรกิจ คือฝั่งโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นตัวธุรกิจหลัก และโมบายแอพพลิเคชั่น สำหรับโซเชียลมีเดียที่เป็นเพจโปรโมชั่น ผมแบ่งสเตจการเติบโตออกเป็นสามช่วง คือ ตั้งแต่ 0-100,000 ฟอลโลเวอร์, 100,000-1 ล้าน และ 1-7 ล้านฟอลโลเวอร์ ซึ่งแต่ละสเตจมีลักษณะไม่เหมือนกันเลย

ในสเตจปั้นเพจจากศูนย์ ตอนนั้นคอนเซปต์ของเพจเป็นสิ่งใหม่มาก เป็นยุคที่ทำในเฟซบุ๊กเพจล้วนๆ เลย ผมลงไปทำเอง ถ่ายเอง โพสต์เอง ตอนนั้นก็ตลกดีครับ คนก็สงสัยว่าผมทำอะไรอยู่ สิ่งที่ผมเรียนรู้ในสเตจนี้คือการคิดคอนเทนต์จากมุมของลูกค้า คอนเทนต์ที่ดีต้องตอบ pain point ของลูกค้าได้ ต้องมี single clear message คือมีประเด็นหลักแค่ข้อเดียว เพราะคนไม่สามารถรับหลายเมสเซจพร้อมกันได้ และคอนเทนต์ต้องเข้าถึงง่าย ถ้าเน้นขายของเกินไปจะทำให้ไม่เข้าถึงคนและควรทำคอนเทนต์ที่เหมือนเพื่อนบอกเพื่อน

ต่อมาในสเตจ 100,000-1 ล้านฟอลโลเวอร์ สิ่งที่พบคือทำเองไม่ได้แล้ว ต้องขยายทีม ซึ่งต้องมีโครงสร้างและกระบวนการทำงานชัดเจน มีเฟรมเวิร์กในการคิดคอนเทนต์จากลูกค้า และมี KPI ที่วัดผลได้ เอาเฟรมเวิร์กที่เราคิดมาย่อยแล้วโค้ชน้อง ๆ ให้สามารถคิดตามได้อย่างถูกต้อง โดยให้เวลาแต่ละคนทำงานได้เต็มที่

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การเซ็ต KPI เช่น ยอดเอนเกจเมนต์ หรือ performance ของคอนเทนต์ที่ต้องมีการวัดผลกันชัดเจน เพื่อดูว่าคอนเทนต์ที่ทำออกมาดีและตอบโจทย์ลูกค้าจริง ๆ หรือเปล่า สิ่งสำคัญที่แสดงว่าคนชอบคอนเทนต์จริงๆ คือการกดแชร์ เราจึงเริ่มวัดกันว่าแต่ละสัปดาห์น้องๆ สามารถสร้างยอดแชร์ได้เท่าไหร่ ทำให้เรามีตัวชี้วัดว่าถึงเป้าหรือไม่

พอเข้าสู่สเตจ 1 ล้าน – 7 ล้านฟอลโลเวอร์ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงนี้ สิ่งที่ต้องสเกลเพิ่มคำเดียวเลยคือ เราต้องเป็น No.1 เอนเกจเมนต์ เป้าหมายของเราคือการเป็นที่หนึ่งในเอนเกจเมนต์ของทุกหมวดในทุกสัปดาห์ แม้การเติบโตของฟอลโลเวอร์หรือการทำแบรนดิ้งจะสำคัญ แต่สิ่งที่เรายึดคือเอนเกจเมนต์ต้องเป็น No.1 คอนเทนต์ต้องดีจริงๆ เราจะมีการเปรียบเทียบกับท็อปของเพจในหมวดนั้นๆ หมวดโปรโมชั่นก็จะมีกลุ่มเพจเซตหนึ่ง กลุ่มกินและบิวตี้ก็จะมีอีกเซตหนึ่ง ทำให้เห็นชัดเจนว่าตัวเราเองอยู่ตรงไหนและคู่แข่งอยู่ตรงไหน จุดไหนที่เราเก่ง จุดไหนที่คู่แข่งเก่ง เราต้องปรับปรุงอะไรบ้าง สิ่งที่คู่แข่งเก่ง เราไม่ได้ทำตาม แต่เรียนรู้วิธีคิดของเขา นำมาประยุกต์กับแนวทางของเรา แล้วสร้างคอนเทนต์ในสไตล์ของตัวเอง นี่คือสเตจ 1-7 ล้าน สำหรับเพจโปรโมชั่น ส่วนเพจบิวตี้ก็อยู่ในสเตจนี้เช่นกัน 

คุณต่อยอดจากการทำเพจไปสู่พัฒนาแอพฯ ได้ยังไง 

ตอนแรกเรามีแอพฯ ‘ชอบโปร’ ซึ่งต่อยอดจากเพจเฟซบุ๊กของเรา แต่สิ่งที่เจอคือ การทำแอพฯ โปรโมชั่นในช่วงแรก คนอาจไม่ได้สนใจมากนัก เพราะสามารถอ่านโปรโมชั่นทางออนไลน์ได้อยู่แล้ว แอพฯ เหมือนเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงคอนเทนต์ 

เราเลยปรับแนวทางเป็นทำแอพฯ สำหรับคนเดินห้าง ทุกคนรู้ว่าคนไปเดินห้างจะอยากรู้ว่ามีโปรโมชั่นอะไรบ้าง กินอะไรได้บ้าง เราก็ไปเก็บ directory ของห้างว่ามีอะไร เดินทางยังไง ตอนนั้นคนก็ใช้เยอะนะประมาณเดือนละหมื่นคน ถือว่าโอเค แต่เรารู้สึกว่า พอทำถึงจุดหนึ่งแล้ว มันสเกลได้แค่นี้

สเตปสำคัญที่สุดคือการทำให้เห็นภาพการใช้งานจริง พอเราลงคอนเทนต์ต่างๆ เช่น งานเซลของแบรนด์ Charles & Keith, Adidas, CC Double O เพจเราก็เริ่มไวรัล มีเอนเกจเมนต์สูงมาก ทำให้ลูกเพจทักเข้ามาเยอะมาก บางคนถามว่า “ซื้อแล้วส่งให้ได้ไหม” หรือ “เรารับหิ้วให้ได้หรือเปล่า”

จากการรีเสิร์ช เราพบว่ามีคนจำนวนมาก ทั้งในกรุงเทพฯ และกลุ่มคนต่างจังหวัดที่อยากได้สินค้า แต่ไม่สามารถหาซื้อได้ ก่อนหน้านี้จะมีธุรกิจรับหิ้วของแม่ค้า แต่พบการฉ้อโกงเยอะ เราก็เลยมาจับตลาดตรงนี้เอง ช่วงแรกก็ยากในการเปลี่ยนคอนเซปต์แอพฯ ทั้งหมด แต่สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาดีมาก ตอนนี้ active user ของแอพฯ อยู่ประมาณ 200,000 คนต่อเดือน สิ่งหลักที่คนอยากได้คือสินค้าตามร้านเซลหรืออีเวนต์งานเซล outlet ต่างๆ เราอยากจะเชื่อมทุกอย่างจาก physical store โดยทำเป็น offline to online ซึ่งทั้งหมดนี้เราไม่ได้ระดมทุนเลยในการทำแอพฯ แต่โตจากโซเชียลมีเดียทั้งหมด

ในฐานะที่ดูแลหลายเพจ ทั้ง ‘ชอบโปร (ShobPro)’ ‘ชอบกิน (ShobKin)’ และ ‘ชอบบิวตี้ (ShobBeauty)’  อินไซต์ของแต่ละเพจแตกต่างกันยังไง

ผมมองว่ามันต่างกันพอสมควรในสองแกน หนึ่งคือหมวดที่ต่างกัน สองคือกลุ่มเป้าหมาย (target and segmentation) ไม่เหมือนกัน ถ้าพูดถึงเพจ ‘ชอบโปร’ จะเห็นว่ากลุ่มผู้ติดตามของเพจค่อนข้างแมสมาก เป็นคนทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด กลุ่มนี้ต้องการความเร็วและความคุ้มค่าเป็นหลัก เพราะสุดท้ายโปรโมชั่นคือใครรู้ก่อนก็จะซื้อได้ไว แต่เราก็ต้องเล่าอินไซต์ให้ลูกค้าด้วย เช่น ถ้าเป็นโปรโมชั่นร้านอาหาร เราต้องเล่าการรับสิทธิ์โปรโมชั่นที่ทำได้ง่าย หรือถ้าเป็นโปรโมชั่นของร้านแฟชั่น คนก็จะสนใจสินค้าที่ดีและตอบโจทย์ ซึ่งมันไม่ได้เลือกง่ายๆ เลย

แกนที่สองคือการเลือกของที่ดี ในการคิดคอนเทนต์ เราจะใช้กรอบแบรนด์–ผลิตภัณฑ์–ราคาเป็นตัววิเคราะห์ ถ้าแบรนด์เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ และมีราคาที่ใช่ ยังไงคอนเทนต์ก็ไวรัล แต่ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่เด่น เราก็ต้องทำให้สองในสามองค์ประกอบนี้เด่นขึ้น หรือถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งโดดเด่น แกนนั้นต้องเด่นจริงๆ

กลุ่มผู้ติดตามแต่ละเพจต่างกันแค่ไหน

สำหรับเพจ ‘ชอบกิน’ สิ่งที่ต่างกันคือ ผู้ติดตามในเฟซบุ๊กจะเป็นคนในเมืองเป็นหลักประมาณ 70-80% คนกลุ่มนี้ต้องการรีวิวที่ชัดเจน แนะนำสิ่งที่ดี เห็นภาพได้ชัดเจน ส่วนใน TikTok กลุ่มผู้ติดตามจะมีความแมสขึ้น ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์ม วิธีคิดก็จะต่างกัน สำหรับเฟซบุ๊กเราใช้กรอบแบรนด์, ผลิตภัณฑ์, ราคาเหมือนเดิม แต่ คนเมืองจะให้ความสำคัญกับร้านที่ดีและโลเคชั่นที่เหมาะสมมากกว่าราคา เช่น คอนเทนต์รีวิวอาหารย่านเยาวราช สีลม หรือคาเฟ่เด่นๆ ในย่านดังจะเอนเกจเมนต์สูงมาก ส่วนใน TikTok คนจะมองหาความคุ้มค่า เช่น คอนเทนต์รีวิวบุฟเฟ่ต์โรงแรมจะมีเอนเกจสูงมาก

ส่วนเพจ ‘ชอบบิวตี้’ ก็คล้ายกัน คือเป็นกลุ่มคนเมือง จะให้ข้อมูลสินค้าจริง ๆ เน้นเล่าข้อมูลเป็น fact มากกว่า ในเฟซบุ๊ก ก็จะแนะนำรวมสกินแคร์เป็นชุดๆ ว่ามีตัวไหน ทำหน้าที่อะไรบ้าง ส่วน TikTok จะใช้คนเล่าเรื่องมากขึ้น แต่คอนเซปต์ก็ยังเหมือนกัน

กรอบความคิดแบรนด์, ผลิตภัณฑ์, ราคาก็ยังนำมาใช้ได้เหมือนเดิมกับทุกเพจ แต่คอนเทนต์จะต่างตามกลุ่มผู้ติดตามและหมวดหมู่ สุดท้ายแก่นสำคัญคือ วิธีคิดจากมุมลูกค้า การมองว่าเขาต้องการอะไรจะเป็นตัวกำหนด

เบื้องหลังกระบวนการทำงานแบบ Zero Marketing Budget มีวิธีคิดหรือขั้นตอนยังไง ที่ทำให้คอนเทนต์สามารถสร้างคุณค่าจนคนอยากแชร์เอง

ผมมองว่าการทำการตลาดต้องประกอบด้วยสองฝั่ง คือคอนเซปต์ของเพจกับคอนเทนต์ ถ้าเราสร้างเพจหรือช่องทางใหม่ ผมมองว่าเพจคือโปรดักต์บวกกับคอมมิวนิตี้เสมอ เราต้องสื่อสารว่าเรามีอะไร ของเราดียังไง กลุ่มเป้าหมายของเราสนใจอะไร รวมถึง value proposition ของเราเป็นยังไง สิ่งนี้สำคัญมาก เราต้องแน่ใจว่าโปรดักต์ชัด, positioning ชัด, target audience ชัด เพราะสิ่งที่เราต้องทำคือสื่อสารกับกลุ่มผู้ติดตามอย่างต่อเนื่อง เตรียมให้กลุ่มผู้ติดตามของเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มผู้ติดตามชัด มีเอนเกจเมนต์สูง ระบบของแพลตฟอร์มก็จะเริ่มมองว่าเพจนี้ดี และฟีดคอนเทนต์ให้กับคนที่เหมาะสม ซึ่งถ้าเราทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพจจะเติบโตไปได้ 

ฝั่งที่สองของการตลาดคือเรื่องของคอนเทนต์ คอนเทนต์ต้องทำให้ดีและไวรัล ซึ่งมีหลักคิดอยู่หลายแกน นอกจากเข้าใจลูกค้า อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือความสดใหม่ของประเด็น ผมมีทฤษฎีหนึ่งที่สอนน้องๆ ตลอด คือให้มองคอนเทนต์เป็นวงกลม สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลาคนอ่านคอนเทนต์เรื่องหนึ่งไปแล้ว แชร์แล้ว กดไลก์แล้ว เขาจะไม่ไปกดแชร์ ไลก์ คอมเมนต์ซ้ำอีก เปรียบคอนเทนต์เป็นจุดดำ เหมือนไข่มุกในวงกลมที่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนวงกลมเต็ม เล่นประเด็นซ้ำไม่ได้อีก แปลว่าถ้าเราลงทีหลัง โอกาสสร้างเอนเกจเมนต์จะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะคนเห็นคอนเทนต์ก่อนหน้านี้ไปแล้ว

ดังนั้น ในเกมโซเชียลมีเดีย เรามีสองทางหลัก เราต้องเป็นคนแรกที่ลงเรื่องราวนั้น แต่จะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องแข่งเรื่องความเร็วกับทุกคน แต่ถ้าวงกลมที่เล่นประเด็นนั้นเต็มแล้ว เราสามารถสร้างวงกลมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดิม หรือโยกประเด็นไปในมุมใหม่ได้ สิ่งที่ยั่งยืนกว่าคือเราสร้างประเด็นใหม่ได้หรือเปล่า

เล่าตัวอย่างการใช้ทฎษฎีวงกลมในการพลิกประเด็นคอนเทนต์ได้น่าสนใจให้ฟังหน่อย

ตัวอย่างง่ายๆ คือเทรนด์ Butterbear เต้นใน TikTok เรามองว่าการลงประเด็นหมีเนยเต้นหลังคนอื่น ประเด็นมันเริ่มไปยากแล้ว มองว่าวงกลมนี้เราแข่งไม่ได้แล้ว ทีมเลยพลิกประเด็นไปเล่าว่าร้าน Butterbear มีเมนูอะไรเด่นๆ บ้าง ลงรายละเอียดเพิ่มเติม ผลคือยอดใน TikTok สูงถึง 3 ล้านวิว เพราะเราเจอมุมที่คนอื่นมองข้าม อีกตัวอย่างคือ สุกี้ตี๋น้อย ทุกคนก็จะพูดถึงแต่โปรโมชั่น แต่เราตีประเด็นใหม่ว่าทำยังไงถึงจะได้โปรโมชั่นนี้แบบสรุปขั้นตอนในการได้โปร 1-2-3 เป็นสเตป ผลคือเอนเกจเมนต์ดี

แล้วมันจะมีโปรโมชั่นที่ซ่อนอยู่ตามแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น แอปเป๋าตังค์ เราสามารถหยิบประเด็นเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ซึ่งหลายคนมองข้ามไปมาเล่าได้ ทำได้ไวเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งสําคัญกว่าคือเล่าสิ่งที่คนอยากรู้ นี่คือการสร้างคุณค่าในคอนเทนต์ ผมบอกกับน้องทุกคนว่า ความจริงแล้วคอนเทนต์ที่เอนเกจดี มันอยู่รอบตัวเรา มันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากคือเราสามารถหาเจอได้ไหม นี่คือภาพของ zero marketing ที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจ

หากต้องสรุปวัฒนธรรมองค์กรของ ShobShop จากกระบวนการทำคอนเทนต์ทั้งหมดที่เล่ามา สิ่งนั้นคืออะไร

ผมมองว่าข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่ที่ผมเน้นมากคือวัฒนธรรมองค์กร สำหรับผม วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่กฎระเบียบ แต่เป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกัน สมมติว่ามีคน 100 คนอยู่ในองค์กร แนวทางนี้จะกำหนดสิ่งที่องค์กรควรเป็นและไม่ควรเป็น เพื่อให้ทุกคนเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน

หลักการที่ผมเชื่อคือ หากองค์กรจะประสบความสำเร็จ พนักงานทุกคนก็ต้องประสบความสำเร็จไปด้วย สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าความสำเร็จจะอยู่กับผมหรืออยู่กับผู้จัดการเพียงคนเดียว แต่ต้องเป็นความสำเร็จที่ทีมทั้งหมดรู้สึกว่าเป็นของตนเอง จากภาพใหญ่นี้ ผมตั้ง core value ขององค์กรออกเป็น 5 ข้อ โดย 2 ข้อแรกเกี่ยวกับวิธีการคิดในการทำงาน และอีก 3 ข้อเป็นวัฒนธรรมการทำงาน

ข้อแรกที่รู้สึกว่าสำคัญที่สุดคือ Customer Focus มันไม่มีไอเดียฉัน ไอเดียเธอ มันอยู่ที่ว่าลูกค้าจะชอบไหม ทั้งในมุมของผู้ติดตามเพจ พาร์ตเนอร์ หรือผู้ใช้งานแอพฯ 

ข้อที่สองคือ Creative & Innovative ซึ่งต้องมาพร้อมกับการเข้าใจลูกค้าเสียก่อน เราถึงสามารถเสนอไอเดียหรือโซลูชั่นใหม่ๆ ที่ลูกค้าอาจไม่เคยได้รับมาก่อนได้ โดยที่ความสร้างสรรค์ต้องตอบโจทย์ลูกค้า มันต้องมาด้วยกัน เราถึงต้องให้ทีมมีโอกาสได้คิดเองเพื่อความคิดสร้างสรรค์

อีก 3 ข้อที่เหลือเป็นแกนในการทำงานครับ ข้อที่สามคือ Empowerment ผมให้อิสระทีมในการตัดสินใจว่าจะไปถึงเป้าหมายยังไง หัวหน้าเป็นเพียงผู้กำหนดเรือธงหรือทิศทางใหญ่ ทีมแต่ละคนก็จะมีธงและวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายของตัวเอง empowerment คือการให้อิสระทางความคิด ซึ่งจะทำให้คนเก่งๆ สนุกกับงานและสร้างผลงานที่ดีที่สุด

ข้อที่สี่คือ One Team ที่นี่ไม่มีแชมป์ส่วนตัวหรือเจ้าของความสำเร็จเพียงคนเดียว ทุกคนต้องมององค์กรและเพื่อนร่วมทีมก่อน ทำให้ทีมเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนข้อสุดท้าย จะต่อยอดจาก 4 ข้อแรกครับ Speed คือการลงมือทำและเรียนรู้จากความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว เราอาจไม่รู้เลยว่าคอนเทนต์ที่ทำถูกหรือผิด เราต้องลงมือทำ การเรียนรู้มากที่สุดไม่ใช่การนั่งอ่าน แต่คือการเริ่มทำจริง เรียนรู้ผ่านการดูผลงานของตัวเอง เปรียบเทียบกับคู่แข่ง และสังเกตผลตอบรับจากทีม ผมไม่ได้กังวลเลยหากเด็กทำผิด รู้สึกว่าต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ผิดพลาดแล้วโอเค ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดและรู้ว่าจะเดินหน้าไปยังไงต่อ

นี่แหละครับที่ทำให้ทั้ง Customer Focus และ Creative Innovation สำคัญ เพราะไม่มีใครรู้ความต้องการลูกค้าได้ดีไปกว่าตัวลูกค้าเอง ทั้งหมดนี้ ถ้าถูกเซตไว้ดีจะทำให้เราทำคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10 เทรนด์เทคโนโลยีปี ’69 ที่นักวิเคราะห์มองว่าเทคฯ จะหยุดชะงัก

อีกไม่ถึง 2 เดือนก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2569 นับเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการเริ่มร่างแผนขับเคลื่อนธุรกิจในปีหน้า ซึ่งหนึ่งในเทรนด์ที่ร้อนแรงคงหนีไม่พ้นเรื่องของเทคโนโลยี นวัตกรรม และ AI 

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ยีน อัลวาเรซ (Gene Alvarez) รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำของโลก กล่าวว่าในปี 2569 จะเป็นปีที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก จากนวัตกรรมที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน 

โทริ พอลแมน (Tori Paulman) รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์อีกท่าน กล่าวเสริมว่าแนวโน้มต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยสิ่งที่แตกต่างออกไปในปีหน้านี้คือความเร็วของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็น ดังนั้นธุรกิจที่ลงมือเรื่องนวัตกรรมตั้งแต่ตอนนี้ นอกจากจะรับมือกับความผันผวนได้แล้ว ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมของตนในทศวรรษต่อไป

คอลัมน์ Keynote ในครั้งนี้จึงพามาส่องเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2569 ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวทันในวันที่ AI และนวัตกรรมอัพเดตใหม่แทบทุกวัน

1. AI Supercomputing Platforms

คือการประมวลผลข้อมูลที่รวมเอาหน่วยประมวลผลกลางหรือ CPUs, GPUs, ชิปประมวลผลเฉพาะแอพพลิเคชั่น หรือ AI ASICs, การประมวลผลแบบ Neuromorphic ซึ่งจำลองการประมวลผลในรูปแบบเดียวกับสมองมนุษย์ ช่วยให้ธุรกิจจัดการงานที่ซับซ้อนได้ หรือจัดการกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลต่างๆ

ตัวอย่างเช่น บริษัทด้านการดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพที่คิดค้นยาตัวใหม่ โดยใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์จากแต่เดิมต้องใช้เวลาหลายปี หรือในภาคบริการทางการเงินขององค์กรต่างๆ สามารถจำลองตลาดโลก เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ขณะที่ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคสามารถจำลองสภาพอากาศที่มีความรุนแรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้

2. Multi-agent Systems

คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบไปด้วยเอเจนต์ AI หลายตัว เปรียบเสมือนมีเจ้าหน้าที่ AI หลายคนที่นำความสามารถเฉพาะด้านมารวมกัน เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อน เปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานผิดพลาด โดยการนำวิธีการที่ทดลองใช้แล้วว่าเวิร์กกับการทำงาน มาใช้ซ้ำในเวิร์กโฟลว์ต่างๆ ซึ่งง่ายต่อการทำงานและนำไปปรับใช้ได้รวดเร็วตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละงาน 

3. Domain-Specific Language Models

ในสมัยก่อนคนอาจคุ้นเคยกับโมเดลภาษาทั่วไป ที่สามารถโปรแกรมข้อมูลได้ทุกประเภท ไม่ได้เจาะจงกับอุตสาหกรรมไหนเป็นพิเศษ เหมาะกับการใช้ทำงานที่หลากหลาย แต่ยังขาดความเข้าใจในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ทำให้เกิดโมเดลภาษาเฉพาะโดเมน หรือการฝึก AI ให้อ่านข้อมูลในอุตสาหกรรมเฉพาะทางได้ เช่น การแพทย์ กฎหมาย หรือการเงิน ทำให้โมเดลเข้าใจคำศัพท์ทางเทคนิคได้มากกว่า และสามารถแนะนำหรือตอบคำถามในเรื่องเฉพาะทางได้แม่นยำและมีความน่าเชื่อถือมากกว่าโมเดลภาษาทั่วไป 

ในปัจจุบันโมเดลภาษาเฉพาะโดเมนมีต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ การ์ทเนอร์จึงคาดการณ์ว่าภายในปี 2571 องค์กรมากกว่าครึ่งหนึ่งจะหันไปใช้โมเดลภาษาเฉพาะโดเมนกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

4. AI Security Platforms

คือการใช้ AI ให้เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กร โดยทำหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์ ป้องกัน และจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อปกป้องข้อมูลและเสริมเกาะความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 มากกว่า 50% ขององค์กรจะหันมาใช้แพลตฟอร์มความปลอดภัย AI กันมากขึ้น

5. AI-Native Development Platforms

คือฝังโมเดล AI ไว้ในทุกขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบเรียลไทม์ นำมาใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์และวัฒนธรรมองค์กร เช่น Gen AI เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ AI ก็จะทำหน้าที่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับพนักงานในบริษัทได้ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อองค์กรที่มีทีมเล็กๆ ให้ทำงานคู่กับ AI เพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นได้มากขึ้น 

คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 แพลตฟอร์มการพัฒนาแบบ AI-Native จะส่งผลให้ 80% ขององค์กรต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีม Software Engineering ขนาดใหญ่ให้เป็นทีมที่เล็กลง เพื่อให้คล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น และได้ประสิทธิภาพมากขึ้นจากการที่มี AI ช่วยเสริมการทำงาน

6. Confidential Computing

เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มุ่งเน้นไปที่การปกป้องข้อมูลขณะที่กำลังถูกประมวลผล  ช่วยให้ข้อมูลมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การปฏิบัติตามข้อกำหนด ไปจนถึงการทำงานร่วมกับคู่แข่ง

7. Physical AI

ปัญญาประดิษฐ์เชิงกายภาพ คือการหยิบ AI ที่ดูเหมือนล่องลอยในโลกเทคโนโลยี มาฝังไว้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโลกจริง ช่วยให้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์นั้นๆ สามารถรับรู้ ตัดสินใจ และดำเนินการได้ เช่น หุ่นยนต์ โดรน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับระบบอัตโนมัติ ความสามารถในการปรับตัว และความปลอดภัย

8. Preemptive Cybersecurity

เห็นๆ กันอยู่ว่าหลายบริษัทถูกแฮกเกอร์ล้วงเอาข้อมูลไปและนั่นก็เกิดความเสียหายมหาศาล จึงเริ่มมีการหันมาใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาลดความเสี่ยงนั้น เช่น AI-powered SecOps, Programmatic Denial เครื่องมือเหล่านี้จะหลอกล่อและเบี่ยงเบนความสนใจของแฮ็กเกอร์ไป  

9. Digital Provenance

ในยุคที่มีเนื้อหาที่ถูกสร้างจาก AI มากขึ้นและเสมือนจริงจนบางอย่างแทบแยกไม่ออก การตรวจสอบแหล่งที่มา เจ้าของลิขสิทธิ์ และความสมบูรณ์ของข้อมูล กลายเป็นสิ่งจำเป็นและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย จึงเกิดเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบแหล่งที่มา เช่น Software Bills of Materials (SBoM), Attestation

Database และ Digital Watermarking เพื่อช่วยให้บริษัทไม่ละเมิดลิขสิทธิ์จากการใช้ AI เพราะการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 บริษัทที่ไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้อาจเสี่ยงถูกปรับหลายพันล้านดอลลาร์ 

10. Geopatriation

หมายถึงการย้ายข้อมูลและแอพพลิเคชั่นของบริษัทจากผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะระดับโลกไปสู่การดำเนินงานแบบท้องถิ่น เช่น Sovereign Cloud, Regional Cloud Provider หรือศูนย์ข้อมูลของบริษัทเอง ซึ่งระบบนี้เคยถูกใช้เฉพาะธนาคารและหน่วยงานของรัฐบาล แต่ในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในหลากหลายธุรกิจมากขึ้น ยิ่งในยุคนี้ที่ลูกค้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล การเก็บข้อมูลในพื้นที่ท้องถิ่นหรือพื้นที่ให้บริการ ย่อมสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้ามากกว่า

ทั้งหมดนี้คือ 10 เทรนด์เทคโนโลยีในปี 2569 ที่จำเป็นต่อหลายธุรกิจในการเฝ้าระวังความปลอดภัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมในองค์กรให้พร้อมรับมือสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้นี้

จากวิกฤตโรงงานหงส์ไทย สู่บทเรียนการวางระบบธรรมาภิบาลของธุรกิจไทย

ข่าววิกฤตของแบรนด์ หงส์ไทย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งกรณีจุลินทรีย์ปนเปื้อนในยาดมสมุนไพรและโรงงานไม่ได้รับใบผลิตอนุญาต จนเจ้าของหงส์ไทยต้องออกมาชี้แจงล่าสุด เป็นเหมือนสัญญาณเตือนสำหรับวงการธุรกิจไทยทั้งหมด เพราะนี่คือคำถามถึง ‘โครงสร้างของความยั่งยืน’ ว่าธุรกิจไทยส่วนใหญ่ได้วางกรอบไว้อย่างมั่นคงพอหรือยัง แม้ทุกองค์กรที่ขายดี เห็นลู่ทางกำไรเติบโต ย่อมอยากขยายธุรกิจและโรงงานอย่างก้าวกระโดด แต่คำถามคือ ระบบภายในหลังบ้านของธุรกิจพร้อมรองรับความเติบโตนั้นหรือเปล่า

กรณีของหงส์ไทยอาจคลี่คลายได้ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อจากนี้คือระบบของธุรกิจไทยพร้อมแค่ไหนต่อการตรวจสอบ เพราะถ้าวันนี้แบรนด์ที่คนรักและเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศยังพลาดได้ วันหน้าอาจเป็นธุรกิจของเราก็ได้ แล้วผู้ประกอบการจะป้องกันความเสี่ยงนี้ยังไง 

corporate governance
สร้างระบบเพื่อฉีดวัคซีนทางธุรกิจ

governance mindset คือหลักคิดการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และพร้อมรับผิดชอบทุกขั้นตอน  มันคือรากฐานของความยั่งยืนที่หลายองค์กรซึ่งเร่งวิ่งหานวัตกรรมใหม่หรือกลยุทธ์การสเกลธุรกิจมักมองข้ามไปเพราะลืมว่าความยั่งยืนเริ่มจากหลังบ้านที่แข็งแรง

ระบบที่ตรวจสอบได้เหล่านี้ไม่ได้หมายถึงการจ้างที่ปรึกษามาตรวจปีละครั้ง แต่หมายถึง framework ที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การจดทะเบียนโรงงาน การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการสื่อสารกับหน่วยงานรัฐ

ถึงตรงนี้ผู้ประกอบการหลายคนอาจมองว่าการจัดการโครงสร้างธุรกิจเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและจุกจิก
แต่ความจริงแล้วควรมองว่า กฎหมายไม่ใช่อุปสรรค แต่คือกรอบของความโปร่งใส เปรียบดั่งวัคซีนที่เป็นเครื่องมือสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบทั้งองค์กร  ใบอนุญาตทุกใบคือสัญญาใจที่เรามีกับผู้บริโภค ว่าสินค้าที่ออกจากโรงงานนี้มีมาตรฐานเดียวกันทุกครั้ง ไม่ว่าผลิตกี่ล็อตก็ตาม การเริ่มคิดแบบ governance mindset ทั้งหมดนี้จะสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่ชี้ขาดว่าธุรกิจจะไปรอดหรือร่วง 

ตัวอย่าง 3 เสาหลักที่ธุรกิจควรมีก่อนโต 

1. legal framework ทุกพื้นที่การผลิตต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย

ไม่ว่าธุรกิจจะขยายกี่สาขา จะมีโรงงานใหม่กี่แห่ง ทุกแห่งต้องมีสถานะถูกต้องทางกฎหมายอย่างครบถ้วน การขออนุญาตไม่ใช่เรื่องของใครว่างค่อยยื่น แต่คือระบบที่ต้องอยู่ใน DNA ขององค์กร เอกสารทุกใบที่สะท้อนความจริงของกระบวนการจะช่วยป้องกันไม่ให้ธุรกิจโดนกระแทกจากเรื่องกฎหมายหรือใบอนุญาต

สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– compliance map :
แผนผังที่ระบุว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตหรือบริการ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดบ้าง (เช่น อย., มอก., กรมโรงงาน, สรรพสามิต ฯลฯ) เพื่อให้ทีมรู้ว่าขั้นตอนไหนเสี่ยงที่สุด
– license tracker: ระบบติดตามใบอนุญาตทั้งหมดของบริษัท (ใบอนุญาตผลิต, จำหน่าย, นำเข้า, ส่งออก ฯลฯ) พร้อมวันหมดอายุ แจ้งเตือนล่วงหน้า
audit trail: บันทึกเอกสารการตรวจสอบทุกครั้งไว้ในระบบกลาง เพื่อแสดงความโปร่งใสเมื่อมีการตรวจแบบไม่แจ้งล่วงหน้า

ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ธุรกิจไม่ต้องกลัวคำว่าผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ เพราะรู้ล่วงหน้าเสมอว่าส่วนไหนต้องอัพเดต

2. operational framework ระบบการผลิตที่สม่ำเสมอ

ทุกล็อตผลิตต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะแบรนด์ไม่ได้ขายสินค้า แต่ขายความไว้วางใจ มีหลักประกันคุณภาพที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าทุกสินค้าที่ออกไปจะปลอดภัยเหมือนกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสินค้าประเภทอาหารหรือสุขภาพ

สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– standard operating procedure (SOP) :
คู่มือปฏิบัติงานที่ละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่วัตถุดิบถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้การผลิตทุกแห่งทุกช่วงเวลามีมาตรฐานเดียวกัน
– supplier verification: ตรวจสอบซัพพลายเออร์และวัตถุดิบให้ผ่านมาตรฐานเดียวกับโรงงานเอง ไม่ใช่เอาแค่ราคาถูก
– quality gate : จุดตรวจคุณภาพหลายระดับ เช่น ก่อนผลิต ระหว่างผลิต และก่อนออกตลาด

ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ธุรกิจมี footprint ที่ตรวจสอบได้จริง ทุกล็อตเป็นหลักฐานความโปร่งใส ไม่ใช่แค่คำโฆษณา

3. governance framework ระบบธรรมาภิบาลที่ขับเคลื่อนจากข้างใน

ต้องมีระบบตรวจสอบภายในก่อนมีใครมาตรวจภายนอก เพราะองค์กรที่มีธรรมาภิบาลดีจะมองการตรวจสอบเป็นกระจก ไม่ใช่ดาบ ถ้าองค์กรมีระบบนี้ดี ต่อให้โดนสุ่มตรวจหรือโดนข่าวแรงแค่ไหน ก็ยังยืนได้ด้วยหลักฐาน

สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– internal audit committee:
ทีมตรวจสอบภายในที่ไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายบริหารโดยตรง แต่รายงานตรงต่อคณะกรรมการหรือผู้ถือหุ้น เพื่อความโปร่งใส
public transparency policy: นโยบายเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อสาธารณะ เช่น แหล่งผลิต มาตรฐานการตรวจสอบ หรือรายงานผลตรวจภายในรายปี

ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ความโปร่งใสกลายเป็นทุนทางชื่อเสียงที่สะสมมูลค่าระยะยาวให้แบรนด์ เพราะคนเชื่อในระบบมากกว่าคำพูด

เมื่อทั้งสามเสานี้ตั้งมั่น โครงสร้างธุรกิจก็จะไม่พังแม้ถูกสั่นสะเทือนจากภายนอก และจะเห็นได้ว่าระบบเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มภาระ แต่ช่วยลดต้นทุนความเสียหายในอนาคต เพราะยิ่งธุรกิจโต ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องมาก ทั้งซัพพลายเออร์ พนักงาน และผู้บริโภค ระบบพวกนี้คือหลักประกันว่าธุรกิจจะไม่ล้มจากเรื่องที่ควรป้องกันได้ตั้งแต่ต้น และธุรกิจที่โตช้าแต่ทำครบทุกขั้นตอนจะไปได้ไกลในระยะยาวจากวินัยที่ทำกระบวนการทุกอย่างครบถ้วน 

สุดท้ายนี้ หงส์ไทยไม่ใช่เคสแรก และอาจไม่ใช่รายสุดท้าย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เคสนี้สะท้อนช่องโหว่ใน ecosystem ธุรกิจไทยที่ยังขาดระบบหลังบ้านที่โตทันกับการเติบโต ทั้งการวางระบบเชิงลึก ไม่ว่าจะด้านเอกสาร กฎหมาย หรือการสื่อสารภายใน ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ resilience framework ของบริษัท

ในยุคที่ข้อมูลไปเร็วและข่าวแพร่ไว การไม่จัดการระบบตั้งแต่ต้น เท่ากับปล่อยให้ชื่อเสียงองค์กรไปอยู่ในมือของคนอื่น และการแก้ปัญหาหลังเกิดวิกฤตขึ้นแล้วย่อมยากกว่าการสร้างความเชื่อใจจากลูกค้าให้กลับคืนมา แม้เจ้าของแบรนด์จะพยายามออกมาชี้แจงภายหลังก็ตาม 

บทเรียนนี้จึงไม่ใช่เรื่องของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่มันคือสัญญาณเตือนว่า ธุรกิจที่อยากอยู่ยาว ต้องลงทุนในความถูกต้อง ไม่ใช่แค่ความเร็วในการเติบโต

อ้างอิง 

  • centraleyes.com/compliance-mapping
  • diligent.com/resources/blog/what-is-governance-framework
  • investopedia.com/terms/c/corporategovernance.asp
  • processnavigation.com/glossary/quality-gate
  • pwc.com/th/en/rcs/corporate-governance.html
  • setsustainability.com/page/corporate-governance

Taïrroir ร้านสามดาวมิชลินแรกของไต้หวันที่ดาวไม่สำคัญเท่าการทำให้คนรู้จักไต้หวัน

ไอของแดดร้อนปะทะหน้าของเราพร้อมกับลมโชยอ่อนๆ เสียงรถวิ่งไปมาบนท้องถนน ต้นไม้สองข้างทางถูกตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดีพอจะเป็นที่หลบแดดได้ชั่วคราวสำหรับคนเดิน อากาศร้อนตอนเที่ยงของไทเปไม่ได้น้อยหน้าไทยแลนด์เลย นี่คือความคิดแรกของเราหลังเดินลงมาจากแท็กซี่ที่มุ่งตรงมาจากสนามบิน

เรายืนอยู่หน้าตึกแห่งหนึ่งในเขตจงซานของไทเป ย่านที่คนท้องถิ่นว่ากันว่าเป็นย่านชิคๆ ที่มีทั้งที่ช้อปปิ้ง มีร้านอาหาร มีคาเฟ่เก๋ๆ แทรกตัวอยู่ทั้งในตึกเก่าและตึกใหม่ นอกจากความเก๋ที่ผสมกลมกลืนทั้งความเก่าของอาคารกับความใหม่ของร้านค้าแล้ว ย่านจงซานนี้ยังมีดาวเด่นในแวดวงอาหารแฝงตัวอยู่ นั่นคือ ร้านอาหารสามดาวมิชลินที่ชื่อว่า Taïrroir

เท้าความเล็กน้อยสำหรับคุณผู้อาจจะหลงลืมไปว่าความสำคัญของระบบดาวมิชลินคืออะไร ทำไมเราต้องตื่นเต้นกับคำว่าดาวมิชลินด้วย ชื่อระบบดาวมิชลินมีความเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทผลิตยางรถยนต์มิชลินหรือไม่?

เล่าให้คุณฟังแบบกระชับ ระบบดาวมิชลินถูกก่อตั้งขึ้นโดยบริษัทยางรถยนต์มิชลิน โดยจัดเรตติ้งร้านอาหารว่าร้านไหนได้ 1 ดาวมิชลิน แปลว่าร้านนั้นเป็นร้านอาหารที่ดี อร่อย คุณควรแวะทาน, ร้านไหนได้ 2 ดาวมิชลินแสดงว่าเป็นร้านที่ดีมาก ต่อให้ต้องขับรถออกนอกเส้นทางก็ควรไปให้ถึง

และแน่นอนว่าหากร้านไหนได้สามดาวมิชลิน แสดงว่าร้านนั้นดีเยี่ยมสุดๆ คุณสามารถตั้งไว้ได้เลยว่าหมุดหมายหลักของการเดินทางของคุณคือเพียงเพื่อไปทานอาหารที่ร้านนี้ เพราะร้านไหนได้สามดาวแปลว่า ร้านนั้นคุ้มค่าแก่การเดินทางเพื่อไปเยือนสักครั้ง

ภาพ : ig @tairroir

และเรากำลังยืนอยู่หน้าร้าน Taïrroir ร้านสามดาวมิชลินร้านแรกของไต้หวันและเป็นร้านที่ได้สามดาวมิชลินมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ได้แก่ในปี 2023, 2024 และ 2025

ทีนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราจึงตรงดิ่งจากสนามบินมาที่ร้านนี้เป็นที่แรก 

คำถามสั้น แต่คำตอบนั้นยาว

ไต้หวันมีพื้นที่ประมาณ 36,000 กิโลเมตร เทียบกับไทยแล้วมีขนาดเล็กกว่าประมาณ 14 เท่าตัว

แต่คุณคงทราบดีว่าแม้พื้นที่จะเล็กแต่ที่แห่งนี้แหละที่มีซีนระดับโลกมากมาย ทั้งบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศ การมีอำนาจต่อรองเจรจาทั้งกับจีนและกับสหรัฐฯ การเป็นเจ้าผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ ความโดดเด่นของที่นี่ นอกจากสถานที่อย่างตึกไทเป 101 และทะเลสาบซันมูนเลค ก็ยังมีผู้คนที่เป็นพลังสำคัญที่ทำให้ไต้หวันโดดเด่นในเวทีโลก เช่น อดีตประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวัน อย่าง ไช่ อิงเหวิน, หรือจะเป็น ออเดรย์ ถัง อดีตรัฐมนตรีดิจิทัลซึ่งเป็นรัฐมนตรีข้ามเพศคนแรกและคนเดียวของไต้หวันที่ได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากการควบคุมโรคระบาดอย่างโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยี

หากทั้งหมดที่กล่าวมาคือฝ่ายบู๊อันทรงพลังของไต้หวัน วันนี้เราอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับพลังฝ่ายบุ๋นของที่นี่บ้าง นั่นคือ พลังของอาหารไต้หวัน

คำถามคือ อาหารไต้หวันคืออะไร?

คำถามนี้สั้นแต่คำตอบนั้นมีความยาวและมีความหมายอย่างมากเลยทีเดียวแหละ

ยาวที่ว่า คือยาวในแง่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของพื้นที่แห่งนี้ เพราะการจะอธิบายว่าอาหารของพื้นที่นั้นๆ มีลักษณะยังไง เราคงต้องพิจารณาจากประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นที่ตรงนั้น ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศของที่ตรงนั้น รวมถึงวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่ตรงนั้น

แต่ก่อนที่บทความนี้จะกลายเป็นคลาสประวัติศาสตร์อาหาร เราขอสรุปให้คุณเข้าใจแบบกระชับได้เลยว่า อาหารของไต้หวันคือการหลอมรวมเอาความเป็นมาทั้งหมดของเกาะแห่งนี้ไว้ด้วยกัน โดยหากเรากางแผนที่ออกมา เราจะเห็นว่าไต้หวันคือเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลจีนใต้ อยู่ใกล้จีนแผ่นดินใหญ่ และอยู่ไม่ไกลนักจากญี่ปุ่น

ด้วยยุทธศาสตร์ที่ตั้งนี้เองจึงไม่ต้องแปลกใจที่นอกจากชนเผ่าพื้นเมืองบนเกาะไต้หวันนี้เองแล้ว คนกลุ่มแรกๆ ที่อพยพมาอาศัยบนเกาะนี้คือชาวจีนแผ่นดินใหญ่

ดังนั้นเราตั้งต้นไว้ก่อนได้เลยว่า อาหารของไต้หวันมีรากความเป็นจีนอยู่แน่นอน

ถัดจากนั้นด้วยความเป็นเกาะใหญ่ชัยภูมิดี ไต้หวันจึงโดนรุกรานและยึดครองโดยชาติตะวันตกอยู่หลายต่อหลายครั้งและหลายต่อหลายชาติในยุคล่าอาณานิคม ทั้งจากโปรตุเกสที่เดินทางผ่านมาทางฝั่งตะวันออก สเปนที่ยึดพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะ หรือจะเป็นฮอลันดาที่มาขับชาวสเปนออกจากเกาะเพื่อยึดครองพื้นที่แทนในช่วงปี 1644

ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การผ่านเข้ามาและถอยออกไป แต่ชาวตะวันตกเหล่านี้ยังคงทิ้งร่องรอยต่างๆ ไว้ในวัฒนธรรมอาหารของชาวไต้หวัน ซึ่งแทรกซึมอยู่ทั้งในวัฒนธรรมและวิธีทำอาหาร ซึ่งนวลจนเป็นเนื้อเดียวกันกับชาวจีนและชาวพื้นเมืองเดิม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไต้หวันมาจนทุกวันนี้

ยังไม่หมดเพียงแค่จีนและซีรีส์เหล่าชาวตะวันตกที่มัดรวมกันมาเป็นคอมโบเท่านั้น วัฒนธรรมญี่ปุ่นก็มีอิทธิพลอย่างมากกับอาหารไต้หวัน เพราะไต้หวันเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 1895 จนถึงปี 1943 (ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงต้องคืนไต้หวันให้แก่จีน)

สรุปรวมก็คือ ไต้หวันมีทั้งความเป็นจีนผนวกกับตะวันตก (โปรตุเกส สเปน ดัตช์)  บวกกับญี่ปุ่น รวมทั้งหมดทุกชาตินี้อยู่ในไต้หวัน ดังนั้นวัฒนธรรมอาหารของที่นี่จึงเป็นที่ที่น่าสนใจมาก คุณจะรู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นจีนกับตะวันตกผสมอยู่ ทั้งในไลฟ์สไตล์ของผู้คน การวางตัว มารยาทท่าทาง และอาหารของเขา

ข้าวหน้าด้งต่างๆ แบบญี่ปุ่น การกินหม้อไฟแบบคนจีน และขนมปัง ขนมอบต่างๆ แบบชาวตะวันตก ทั้งหมดนี้คุณพบเห็นได้โดยทั่วไปเป็นปกติที่นี่ ที่ไต้หวัน

และนี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า อาหารไต้หวันคืออะไร

ดาว 3 ดวงแรกของไต้หวัน

เกริ่นมาไกลมากกับความเป็นอาหารไต้หวันก็เพื่ออยากจะให้คุณเห็นภาพเมื่อดิฉันพูดถึงคำว่า อาหารไต้หวัน เพราะว่าร้าน Taïrroir ร้านที่ได้ 3 ดาวมิชลินร้านแรกของไต้หวันซึ่งตั้งอยู่ในไทเปนี้เป็นร้านที่ขายอาหารไต้หวันแบบยุคใหม่ ผสมผสานกับความเป็นฝรั่งเศส

ขอเกริ่นอีกเล็กน้อยว่าเพียงพื้นที่เล็กๆ ของเกาะแห่งนี้ที่เราเปรียบไว้ให้คุณฟังตั้งแต่ต้นแล้วว่าเล็กกว่าประเทศไทยถึง 14 เท่าตัว แต่กลับมีร้านอาหารที่ได้ 3 ดาวมิชลินถึง 3 ร้านรวมตัวอยู่ที่นี่ นั่นคือร้าน JL Studio ที่ขายอาหารสิงคโปร์, Le Palais ที่ขายอาหารจีนกวางตุ้ง และ Taïrroir ที่ขายอาหารไต้หวันแบบประยุกต์

เท่ากับว่าในบรรดาร้านอาหารที่ได้ 3 ดาวมิชลินในไต้หวันมีเพียงร้าน Taïrroir เท่านั้นที่ขายอาหารไต้หวัน

และ Taïrroir เป็นร้านแรกที่คว้าดาว 3 ดวงของมิชลินมาไว้ที่ไต้หวันได้ และวันนี้เราจะพาคุณทัวร์ร้านนี้ไปพร้อมกับเราประหนึ่งว่า คุณได้มาอยู่ที่นี่พร้อมคุยกับเชฟไค โฮ (Kai Ho) ไปพร้อมๆ กับเรา

“ผมไม่อยากได้ดาว ผมแค่อยากเสิร์ฟอาหารที่ดี”

เราคิดเอาเองว่าใครๆ ที่เปิดร้านไฟน์ไดน์ก็ต้องอยากได้ดาวมิชลินกันทั้งนั้น ซึ่งหลังจากได้สนทนากับเชฟไคแล้ว ก็ทำให้ข้อสันนิษฐานของเราได้รับการยืนยันว่าความคิดของเรานั้นผิด

“คุณรู้สึกยังไงบ้างกับการได้เป็นเชฟมิชลิน 3 ดาวคนแรกของไต้หวัน” เราถามเชฟไคด้วยความตื่นเต้นหลังกินอาหารกลางวัน 7 คอร์สจนพุงกางจากเชฟไค

“ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้นเลย ดาวไม่ใช่เป้าหมายของผมตั้งแต่แรก ผมไม่ได้อยากได้ดาว ผมแค่อยากเสิร์ฟอาหารที่ดี”

“คุณไม่ได้อยากได้ดาว แล้วคุณอยากได้อะไร” เราถามตาม

“อย่างที่ผมบอก คือผมอยากเสิร์ฟอาหารที่ดี อยากเสิร์ฟอาหารที่อร่อยให้คนได้กินในทุกๆ วัน ผมอยากให้คนมีความสุข อยากให้ตัวเองมีความสุข อยากให้พนักงานผมมีความสุข อยากให้ลูกค้าที่มากินร้านผมเดินออกไปอย่างมีความสุข” เชฟไคตอบด้วยรอยยิ้ม–มีความสุข

อีกหนึ่งสิ่งที่สงสัยและตัดสินใจถามออกไปคือร้าน Taïrroir ทำไมจึงเลือกใช้คอนเซปต์ความเป็นอาหารไต้หวันผสมผสานกับความเป็นฝรั่งเศส

“ผมคิดว่าอาหารไต้หวันอร่อยมาก ตั้งแต่เด็กจนโตผมได้กินอาหารอร่อยเยอะมากจากที่นี่ ผมอยากให้คนอื่นๆ ได้รู้จักอาหารไต้หวัน อยากให้โลกนี้รู้จักอาหารแบบที่ผมเคยกินมากขึ้น ผมเลยใช้คอนเซปต์นี้ครับ”

“คือคุณอยากให้โลกรู้จักไต้หวันมากขึ้น”

“ใช่ และมันไม่ได้ดีเฉพาะกับผมเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าโลกรู้จักอาหารไต้หวันมากขึ้น มันจะดีกับทั้งระบบนิเวศตรงนี้ คนขายอาหารสตรีทฟู้ดไต้หวัน เกษตรกร คนที่เป็นซัพพลายเออร์ มันดีต่อคนทั้งระบบ ผมอยากให้ทุกคนในอุตสาหกรรมนี้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันทั้งหมด”

บทสนทนาของเรากับเชฟยังคงดำเนินไปแต่ระหว่างนี้ เราอยากตะล่อมให้คุณหิวและเห็นภาพตามเราสักหน่อยว่า อาหาร 7 คอร์สจากเชฟไคเป็นยังไงและทำไมเขาถึงได้ 3 ดาวจากมิชลิน

หลักการสำคัญของการเป็น 3 ดาว

ที่เราจองมาเป็นอาหารกลางวันซึ่งเสิร์ฟมาเป็นอาหาร 7 คอร์ส ประกอบไปด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย สลัด ซุป โจ๊ก ปลา อาหารจานหลัก (เนื้อแกะ) และของหวาน เวลาของการจองอาหารกลางวันมีให้เลือก 3 ช่วงเวลาคือ 12.00 / 12.15 / 12.30

ทั้งร้านมีเพียงแค่ 8 โต๊ะเท่านั้น และร้านนี้มีพนักงานครัว 15 คน

การเรียงให้คนสามารถจองเวลามาแบบเหลื่อมกันทุก 15 นาทีนั้นมีความหมาย โดยหลักใหญ่แล้วคือ การจัดการของเชฟไคซึ่งอยากให้อาหารของทุกโต๊ะได้เสิร์ฟออกมาในตอนที่อุณหภูมิดีที่สุดและลูกค้าที่มานั่งไม่ต้องรออาหารแต่ละจานนานเกินไป หรือก็คือการจัดการเวลาของเชฟไคนั่นแหละที่ให้ความสำคัญกับอุณหภูมิ การเสิร์ฟ ซึ่งสัมพันธ์กับคุณภาพ รสชาติของอาหารและการจัดการภายในครัว

ครัวของร้านนี้เป็นครัวเปิด หมายความว่าเราสามารถมองเห็นทุกการทำงานของเชฟไคและพนักงานครัวทุกคนได้ผ่านกระจกใส ภายในครัวที่ดูสะอาดสะอ้านทุกกระเบียดนิ้ว นอกจากป้ายสามดาวมิชลินสามป้ายที่ติดอยู่ในครัวแล้ว เราสะดุดตากับกระดานไวต์บอร์ดซึ่งมีข้อความเดียวเท่านั้นที่เขียนด้วยปากกาสีแดง 

ข้อความนั้นคือ “Sense of Urgency”

“ทำไมคุณเขียนคำว่า Sense of Urgency ด้วยปากกาแดง” เราถามเชฟไคถึงข้อความที่เหมือนว่ามีนัยสำคัญกับร้านนี้

มันหมายถึง ‘เวลา’ เวลาสำคัญมากในร้านอาหาร คุณต้องรู้ว่าคุณควรมาที่ร้านกี่โมง คุณต้องรู้ว่ามาถึงร้านแล้วคุณต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง คุณต้องรู้ว่าอะไรด่วนที่สุดต้องทำเดี๋ยวนั้น ซึ่งมันจะไปสัมพันธ์กับอาหารและอุณหภูมิของอาหารด้วย ซึ่งผมให้ความสำคัญมาก อาหารเย็นต้องเสิร์ฟตอนที่มันยังเย็นอยู่ อาหารร้อนต้องเสิร์ฟตอนที่มันร้อนอยู่ เวลาจึงสำคัญมาก” เชฟไคอธิบายคลายข้อสงสัย

“แล้วอะไรสำคัญที่สุดในการทำร้านอาหาร” เราถามคำถามสุดท้ายก่อนบอกลาเชฟไค

ผู้คน พนักงานทุกคน พนักงานสำคัญที่สุด อย่างที่คุณเห็นครับ ผมทำทั้งหมดนี้คนเดียวไม่ได้แน่ๆ การทำร้านอาหารพนักงานสำคัญที่สุด”

แม้เชฟไคสรุปว่าผู้คนคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่สำหรับเรา เราคิดว่าการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผูกโยงรวมกันมาจนกลายเป็นภาพใหญ่และสิ่งใหญ่ก็สำคัญไม่แพ้ผู้คนอย่างเชฟว่า

ในห้องน้ำของสุภาพสตรีที่ร้านนี้มีน้ำยาบ้วนปากที่แพ็กเป็นคำๆ มีคอตตอนบัต สำลี สำหรับคุณผู้หญิงใช้ซับเครื่องสำอาง มีผ้าอนามัยแบบต่างๆ ทั้งหนา บาง ให้คุณเลือกมากมาย มีไม้จิ้มฟัน มีไหมขัดฟันแบบต่างๆ ให้คุณลูกค้าเลือกแบบที่ถนัดมือและสะดวกใจ นี่คืออีกหนึ่งรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่ได้คิดแค่ในห้องอาหาร แต่คิดไปถึงประสบการณ์ทั้งหมดโดยรวมที่เกิดขึ้นที่ร้านนี้ ตั้งแต่เดินเข้ามาหน้าประตูร้านไปจนถึงบนโต๊ะอาหารและลามไปในห้องน้ำ

สิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นที่นี่ เป็นทั้งผลประกอบสร้างจากประสบการณ์ส่วนตัวของเชฟไคเองที่มีพื้นเพเป็นคนไต้หวัน และมีความรักในอาหาร ความเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว และความอิ่มเอมทั้งจากรสอาหารและรสชาติความใส่ใจที่ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ของร้าน Taïrroir คือสิ่งที่เชฟไคพูดได้ดังเหลือเกินผ่านอาหารทุกจานของเขา

อย่างน้อยก็ดังพอจนเรานำมาบอกเล่าต่อให้คุณทราบได้ผ่านตัวอักษรทั้งหมดนี้

ในฐานะที่ดิฉันเป็นลูกค้าและเป็นชาวต่างชาติ ดิฉันคงสรุปภาพรวมของร้านนี้ให้คุณผู้อ่านทุกคนได้ฟังแบบสั้นๆ เกี่ยวกับร้านนี้ได้ว่า

อาหารไต้หวันชั้นดีอยู่ที่นี่ ที่ Taïrroir

อ้างอิง