ส่องเทรนด์เมืองรอง กรณีศึกษานครพนม เมืองที่โตจากแรงศรัทธา อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยสมัยก่อนพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาศักยภาพของเมืองหลวงและปลดล็อกศักยภาพเมืองท่องเที่ยวหลัก แต่ในปัจจุบันที่ ‘เทรนด์เมืองรองกำลังโต’ (High Growth City) ทั้งในแง่ของศักยภาพทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

ถึงขนาดมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 41.4% และโตขึ้นกว่า 32.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 หรือช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เพราะผู้คนต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต คนเริ่มคิดมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปจนถึงนิยมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกันมากขึ้น

หลายธุรกิจเริ่มหันมาเจาะตลาดเมืองรอง เพื่อครองใจคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวกันมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีสัญชาติไทยอย่าง LINE MAN ที่ในช่วง 3 ปีให้หลังเริ่มหันมาขยายบริการในระดับอำเภอของเมืองรองมากยิ่งขึ้น ซึ่งจังหวัดที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ ‘นครพนม’ มีอัตราการเติบโตของยอดขายรวมหรือ GMV สูงถึง 16% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอีสานอยู่ที่ 14 โดยจำนวนออร์เดอร์ทั่วประเทศเติบโต 12% ในขณะที่อีสานเติบโตเฉลี่ยกว่า 10%

Recap ตอนนี้จึงพาบินลัดฟ้ามาแลนดิ้งที่นครพนม ส่องปัจจัยที่ทำให้เมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขง ที่มีประชากรเพียง 7 แสนคนกลับโตวันโตคืน เพื่อเป็นกรณีศึกษาในการผลักดันเมืองรองให้ไม่เป็นสองรองใคร

เมืองสายมูชูให้นครพนม เปลี่ยนจากเมืองผ่านสู่เมืองพัก

ชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce หรือกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่) ของจังหวัดนครพนม เล่าถึงปัจจัยที่ทำให้นครพนมมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดนสูงมาก จากที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3

ปัจจุบันมูลค่าการค้าชายแดนของนครพนมสูงกว่า 120,000 ล้านบาท แต่นั่นก็ยังทำให้นครพนมถูกมองเป็นเมืองผ่านมากกว่าเมืองที่คนจะมาแวะพัก เพราะนักท่องเที่ยวมักมาไหว้พระธาตุพนม แล้วเลือกปักหมุดไปพักในจังหวัดใกล้เคียงอย่างมุกดาหารและสกลนครมากกว่า

จวบจนปี 2559 ได้เกิดแลนด์มาร์กแห่งใหม่คือพญาศรีสัตตนาคราชและถ้ำนาคีนาคา ทำให้นครพนมขึ้นแท่นเป็น ‘เมืองสายมู’ ผ่านการชูจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวริมโขงด้วยแลนด์มาร์กใหม่ล่าสุดอย่างชิงช้าสวรรค์ Mekong River Eye สูง 50 เมตร ที่กำลังจะเปิดให้บริการปีนี้

เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเกิดเทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรงในนครพนม คือธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น งานไหลเรือไฟ หรือวันหยุดยาว ที่มียอดจองเยอะจนห้องพักไม่เพียงพอ

ชูของดีท้องถิ่น กินอาหารแซ่บ ดันฟู้ดเดลิเวอรีให้โตในเมืองรอง

วิศรุต สร้อยคำ เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham ได้เล่าเสริมอีกว่าผู้ประกอบการท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและเศรษฐกิจของจังหวัด ด้วยการนำ ‘ของดีท้องถิ่น’ มาต่อยอดให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น เช่น การนำกาละแม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของนครพนม มาครีเอตเป็นเมนูเครื่องดื่มอย่างสมูทตี้ กาแฟ และไอศครีมกาละแม ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมสร้างการรับรู้เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับไปซื้อต้นตำรับกาละแมเป็นของฝาก เกิดการหมุนเวียนรายได้กลับคืนสู่ชุมชน

ในแง่พฤติกรรมผู้บริโภค อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai ได้เปิดเผยอินไซต์ว่าเมนูยอดนิยมของคนอีสานที่สั่งบนแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีของ LINE MAN มากที่สุด ได้แก่ ส้มตำ โดยเฉพาะตำป่าและตำปูปลาร้า ส่วนประเภทอาหารที่เติบโตเร็วในปีนี้ ได้แก่ เพียวมัทฉะ สตรอว์เบอร์รีซันเดย์ พรีเมียมมัทฉะลาเต้ รามยอนเผ็ดเกาหลี x ไก่เกาหลี และขนมปังเกลือหรือ Shio Pan ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในภูมิภาคนี้เริ่มเปิดรับเมนูใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

นอกจากนี้ยังพบว่า เมืองรองในภาคอีสานเติบโตได้ดีมาก โดย Top 5 เมืองรองที่มีการเติบโตสูงสุดบน LINE MAN ได้แก่ สุรินทร์ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร รวมถึงอำเภอขนาดเล็กที่แพลตฟอร์มเข้าไปให้บริการแล้ว เช่น ด่านซ้าย จังหวัดเลย, ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ, บรบือ จังหวัดมหาสารคาม และธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด

ก้าวสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวของนครพนมในปัจจุบัน ยังคงมีความกระจุกตัวอยู่เฉพาะช่วงเทศกาลใหญ่ๆ เช่น งานไหลเรือไฟ และช่วงวันหยุดยาว ถึงแม้จะสร้างรายได้จำนวนมาก แต่ก็มาพร้อมกับปัญหาความแออัดและการบริหารจัดการที่ยากลำบาก ส่งผลต่อประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

ดังนั้นแนวทางการกระจายนักท่องเที่ยวให้มาเยือนตลอดทั้งปี ผ่านการสร้างอีเวนต์ย่อยหรือกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในแต่ละช่วง เช่น งานเทศกาลริมโขง กิจกรรมวิ่งมาราธอน งานศิลปะร่วมสมัย ไปจนถึงการโปรโมตจุดขายของนครพนมในมุมที่แตกต่าง เช่น ความสงบ วิถีชีวิตเรียบง่าย และเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนเชิงคุณภาพมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเร่งรีบในช่วงเทศกาล

พร้อมผลักดันการเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือ Wellness Tourism สามารถต่อยอดจากบรรยากาศสงบและธรรมชาติที่สมบูรณ์ของเมือง รวมถึงสมุนไพรและภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งแผนงานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคเอกชน แต่ยังเป็นแรงส่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

นครพนมถือเป็นตัวอย่างของเมืองรองที่รู้จักต่อยอดจากจุดเด่นของตัวเอง จากเดิมที่คนนิยมมาไหว้พระธาตุพนม แต่ไม่แวะพัก จึงสร้างแลนด์มาร์กใหม่เอาใจสายมู พร้อมยกระดับอาหารท้องถิ่นด้วยการครีเอตเป็นเมนูต่างๆ และทำให้คนมาเที่ยวอยู่ได้นานขึ้นด้วยการวางแผนจัดอีเวนต์และเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเมืองรองอื่นๆ ก็สามารถนำไปปรับใช้และดึงจุดเด่นตัวเองมาดันเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตขึ้นได้เช่นกัน

#Capital #Recap #LINEMAN #ไลน์แมน #เศรษฐกิจเมืองรอง #นครพนม

ย้อนเรื่องราวของยานแม่ ที่ทำให้สาวๆ อยาก Wear POEM แบรนด์ที่เข้าใจสรีระและภาษากายมนุษย์

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ขณะนี้ หลังจาก ฌอน–ชวนล ไคสิริ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ POEM ได้โพสต์คลิปเล่าถึงเรื่องราวของคุณหมออินฟลูเอนเซอร์สาวที่มาลองชุดในร้าน POEM แล้วเล่าว่าไม่ประทับใจในบริการ ถึงแม้เรื่องราวนี้ยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากทั้งสองฝ่าย แต่นั่นก็ทำให้ POEM ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง

Recap ในตอนนี้จึงขอพามาขึ้นยานแม่ ย้อนเรื่องราวว่าอะไรที่ทำให้สาวๆ อยาก Wear POEM นอกจากเอกลักษณ์การออกแบบที่ช่วยเน้นสรีระให้ใส่แล้วเอวสับ กับดีไซน์ที่อยู่เหนือกาลเวลาแล้ว ยังแฝงไปด้วยอุดมการณ์ที่ณอนมองว่าหากแวะเวียนมาหน้าร้านสักครั้งจะสัมผัสสิ่งที่เขาอยากสื่อสารเพียงแค่ลองสวมใส่

จากลูกช่างตัดเสื้อที่ฝันอยากสร้างแบรนด์ สู่หนี้หลักแสนในวัย 22 ปี

ฌอนจับพลัดจับผลูเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ และได้ค้นพบความสนใจเฉพาะทาง นั่นคือการทำเสื้อผ้าสำหรับละครเวทีสถาปัตย์ ด้วยความที่สนใจเสื้อผ้าเป็นทุนเดิม มีแม่เป็นช่างตัดเสื้อ จึงได้รับโอกาสให้ทำเสื้อผ้าทุกปี และในช่วงปิดเทอม ฌอนจะนำเสื้อผ้า ชุดคอร์เซตกลับบ้านเพื่อนำไปศึกษากับแม่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบองค์ประกอบคู่ตรงข้ามอย่างหนึ่งในชีวิต คือแม้จะเติบโตมาในร้านตัดเสื้อของแม่ แต่ฌอนกลับไม่ชอบผลงานของแม่เท่าไหร่นัก

ฌอนตัดสินใจสานฝันสร้างแบรนด์ของตัวเองในวัย 22 และยังเป็นยุคฟองสบู่แตกที่ผู้คนไปนิยมตัดเสื้อผ้าใส่เอง นั่นทำให้เขามีค่าใช้จ่ายก้อนโต 120,000 บาทต่อเดือน จากการคิดเร็วทำเร็ว ตัดสินใจเช่าหน้าร้านที่สยาม

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฌอนได้นำเสื้อผ้าที่ตนเองออกแบบ โดยมีแม่รับหน้าที่ทำแพตเทิร์นไปฝากขายในร้านผลตอบรับก็ค่อนข้างดี และมักจะได้รับคำถามว่า “น้องหาช่างจากที่ไหน นี่ฝีมือดีระดับแบรนด์เนมเลยนะ” นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฌอนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะสร้างแบรนด์ POEM และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นคุณค่าของงานที่แม่ทำ

แบรนด์มีเอกลักษณ์และตัวตนที่ชัดเจน

ฌอนเล่าว่า POEM มีภาพชัดเจนว่าผู้หญิงของเราเป็นยังไง ซึ่งแทบจะไม่ใช่กระแสหลักในเวลานั้น เนื่องจากเทรนด์แฟชั่นที่เห็นส่วนใหญ่จะมาแนวสดใส ผู้หญิงทุกคนแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา ขณะที่ผู้หญิงของ POEM ไม่ใช่แบบนั้น เขาจึงใช้เวลากว่า 6 ปีในการบาลานซ์ความเป็น POEM ให้เข้ากับเทรนด์แฟชั่น โดยไม่ลืมว่ากำลังทำธุรกิจ สินค้าต้องถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์ และที่สำคัญคือต้องขายได้

เมื่อเวลาผ่านไป POEM เริ่มเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับมากขึ้น ก็มาถึงความท้าทายใหม่ ด้วยความที่ภาพจำของ POEM คือ ผู้หญิงแบบสุดโต่ง คำถามจากสังคมที่ส่งผ่านมาถึงฌอนจึงเป็นคำถามที่ว่า ‘คุณจะสร้าง empowering ให้ผู้หญิงยังไง’

ในฐานะแฟชั่นดีไซเนอร์ ฌอนพยายามปลูกฝังการทำคอร์เซตให้คนเจเนอเรชั่นต่อไป ถือเป็นคุณค่าเชิงวัฒนธรรมที่ต้องการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งคุณค่าเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงสามารถแต่งตัวยังไงก็ได้ ตราบใดที่รู้จักตัวเอง รู้กาลเทศะ และรู้เรื่องการบริหารการเงิน

เคารพความหลากหลายและทำให้สังคมดีขึ้น

POEM สื่อสารเรื่องความงามของผู้หญิงในอุดมคติผ่านเสื้อผ้าแบบคอร์เซตมาตลอด จึงนำไปสู่การสร้างสรรค์เสื้อผ้า Collection Autumn-Winter ปี 2022 โดยแบรนด์ได้เลือกใช้ ‘น้ำตาล ชลิตา’ พรีเซนต์เสื้อผ้า และในส่วนของรันเวย์ แบรนด์เลือกนางแบบ plus size ที่สวมใส่ชุดเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องกายภาพในเชิงความหลากหลาย 

เพราะความหลากหลายในมุมมองของ POEM ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ ไซส์ สีผิว หรือเชื้อชาติ แต่ยังรวมถึงความหลากหลายเรื่องนามธรรมอย่างการอยู่ร่วมกันในสังคมของคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

ณอนมองว่าการบาลานซ์ระหว่างความหลากหลายและอุดมการณ์คือสิ่งที่ดีไซเนอร์ต้องทำตลอดชีวิต ผ่านการส่งต่อข้อมูลบางอย่างและสร้างความเคลื่อนไหวให้สังคม เพราะงานแฟชั่นที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แค่การสร้างมูลค่าให้ชีวิต แต่เป็นการสร้างความเคลื่อนไหวให้สังคมเปลี่ยนไปในทางที่ดี และในอนาคตต้องการให้งานของ POEM อยู่ในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย

การออกแบบที่มีเอกลักษณ์จากความเข้าใจเรื่องสรีระ 

ณอนได้เล่าผ่านช่องยูทูบของตัวเองที่ชื่อ ‘ศูนย์บัญชาการยานแม่’ ว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีในการเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ POEM เขาหยิบแนวคิด ‘การใช้เหตุผลกับความงาม’ ที่ได้มาจากการเรียนสถาปัตย์มาปรับใช้ในการออกแบบแฟชั่น ทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องสรีระและบุคลิกของคนใส่เป็นสิ่งที่ทำให้การออกแบบแฟชั่นมีหลักการแห่งความงามที่สมเหตุสมผล มากไปกว่านั้นการเข้าใจเรื่องสัจจะแห่งสรีระที่หลากหลาย ยังต่อยอดจุดประกายสร้างแนวทางแห่งสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อีกด้วย

การศึกษาเรื่อง ‘Body Typing System’ หรือระบบการจำแนกประเภทรูปร่างและสรีระของมนุษย์ และเรื่อง ‘Language of Body Types’ หรือภาษากายที่สื่อสารด้วยการแสดงออกทางร่างกาย ทำให้เขาเข้าใจสัจจะแห่งสรีระ และรับมือกับคลื่นพลังงานที่แต่ละคนแผ่ออกมาในช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน  

ทั้งหมดนี้ณอนนำมาปรับใช้กับการออกแบบ POEM ให้เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ไม่เพียงแต่เข้าใจสรีระของคน แต่ยังเข้าถึงอารมณ์และสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม POEM ถึงขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ในฝันของสาวๆ หลายคน จนเกิดวลีเด็ดที่ว่า ‘อยากขึ้นยานแม่ต้อง Wear POEM‘

 วิธีปั้น AIMER ให้เป็นแบรนด์แฟชั่นสไตล์สาวปารีเซียงที่ฮอตฮิตทั่วเมือง   

ท่ามกลางตลาดแบรนด์แฟชั่นที่แข่งกันดุเดือดในปีนี้ หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นไทยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น AIMER (อะ-แมร์) แบรนด์ที่เหล่าแฟชั่นนิสต้านิยมใส่กันทั่วเมือง โดยเฉพาะเสื้อยืดสกรีนชื่อแบรนด์ที่เรียบง่ายและกลายเป็นลุคสุดชิดของคนมีสไตล์

ชื่อ AIMER มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ‘รัก’ คำเรียบง่ายที่สะท้อนแนวคิดของ บั๊บ–วีรวรรธน์ ชินพิลาศ ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ ซึ่งเคยทำธุรกิจร้านเสื้อผ้ามัลติแบรนด์และเดินทางไปปารีสทุกซีซั่นเพื่อเลือกคอลเลกชั่นเสื้อผ้า ทำให้บั๊บหลงใหลในเสน่ห์การแต่งตัวแบบสาวชาวปารีเซียงที่ดูคลาสสิกและเรียบหรู แต่ยังคงความเท่ในทุกดีเทล

จากแรงบันดาลใจนั้น บั๊บจึงตั้งใจปั้น AIMER ให้เป็นแบรนด์ local to global แบรนด์ไทยที่มีรากของความเป็นไทย แต่ผสานกลิ่นอายแฟชั่นแบบสาวปารีเซียง เป้าหมายคือการสร้าง house brand ที่ใครๆ ก็นึกถึงเมื่อต้องการเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใส่ได้บ่อย ใช้ได้นาน

และนี่คือเรื่องราวเบื้องหลังของการออกแบบ everyday essential ที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา การตีความความเป็นผู้หญิง (femininity) ในแบบของ AIMER ที่ผสานความบอย ความเท่ ไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นลุคใหม่ในนิยามแฟชั่นของผู้หญิงไทย 

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ AIMER ติดตลาด และเกิดกระแสความนิยม คุณมองว่ามาจากอะไร

น่าจะเริ่มช่วงกลางปีที่แล้ว ตอนที่เราเริ่มปล่อยโปรดักส์ที่มีโลโก้ เช่น เสื้อยืดโลโก้ AIMER หรือช่วงที่เราทำ baggy jeans ก็เกิดกระแสที่ดี พอเราได้ทำโปรดักต์เหล่านี้ที่เข้าถึงคนได้กว้างขึ้นเลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้แบรนด์เริ่มติดตลาด จากที่เราปูทางแบรนด์มาก่อนหน้านั้นอยู่แล้วว่าคาแร็กเตอร์แบรนด์เป็นแบบไหน สไตล์ประมาณไหน

ก่อนหน้านี้เรายังไม่ได้ทำเสื้อยืด สินค้าหลักเป็นพวก essential wear ที่เป็นแนวชุดกึ่งทำงาน ชุดสไตล์ออฟฟิศหน่อย เช่น สูท กางเกงสแล็ก เชิ้ต ยีนส์ทรงบอยเฟรนด์ หรือกระบอกตรงที่เป็นทรง loose fit มันเป็นทรงคลาสสิกที่ไม่ได้มีความเทรนดี้หรือแฟชั่นมาก พอแบรนด์เริ่มมีกระแส เราก็เลยคิดว่า ลองทำทีเชิ้ตดูมั้ย เพราะอยากรู้ว่ากลุ่มลูกค้าของเราจะอยากใส่เสื้อโลโก้ AIMER ที่พูดถึงแบรนด์เรามากขึ้นไหม

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนรักแบรนด์จนอยากใส่เสื้อสกรีนชื่อ AIMER

ผมว่าปัจจัยแรกเลยคือคุณภาพสินค้า เราเชื่อมาตลอดว่าควรทำโปรดักต์ที่คุณภาพดี ใช้งานได้จริง ตัดเย็บดี และใช้ได้นาน อย่างที่สองคือการตลาดที่ทำให้มีความดึงดูดและน่าสนใจ พอลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกอยากใส่ อยากลองใช้ อยากสัมผัส

และอย่างที่สาม ผมว่ามาจากคนที่ใส่เสื้อผ้าพรีเซนต์แบรนด์ให้เรา ไม่ว่าจะเป็น KOL ต่างๆ หรือในโฆษณาที่เราทำออกไป มันสะท้อนคาแร็กเตอร์บางอย่างของแบรนด์ได้ชัด ทำให้คนสนใจอยากลองใส่ อยากเข้าใจและเข้าถึงแบรนด์เรามากขึ้น ทั้งกับคนที่เคยใส่ของเราตั้งแต่แรก หรือเพิ่งลองใส่ครั้งแรก เพราะถ้าย้อนกลับไป เราน่าจะเป็นหนึ่งในแบรนด์แรก ๆ ที่นำเสนอแนว essential wear ในรูปแบบใหม่ ที่มีความ contemporary ขึ้น

ในตลาดแฟชั่น everyday essential ที่มีแบรนด์หลายเจ้าอยู่แล้ว คุณเห็นช่องว่างทางตลาดตรงไหนที่ AIMER เข้าไปเติมเต็มได้

เราเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากซื้อ essential wear ที่มีคุณภาพดี ถ้าพูดถึงตอนเริ่มทำแบรนด์ในตลาดจะมีแค่แบรนด์ต่างประเทศ อย่างพวกแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นหรือแบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่งคุณภาพก็มีความหลากหลายมาก แต่การทำสไตลิ่งหรือสินค้าก็อาจจะยังไม่ได้ตอบโจทย์คนไทยขนาดนั้น เรารู้สึกว่าสินค้าบางอย่างดูใช้งานได้ไม่นาน

สิ่งที่เรานำเสนอคือการเข้ามาตอบโจทย์ในจุดนี้ เราทำ essential wear ที่ seasonless คือคุณใส่ได้ยาวหลายปี แล้วก็นำมามิกซ์แอนด์แมตช์ได้ง่าย เข้าถึงง่ายในแง่ที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แต่งตัวจัดก็ใส่ได้ เพราะสินค้าของเราไม่ได้ trendy มากหรือแฟชั่นจ๋าเกินไป มันเป็นสินค้าที่ผมรู้สึกว่าทุกคนรู้สึกเชื่อมโยงได้ เป็นแบบเสื้อผ้าที่เคยเห็นแล้ว แต่เรามานำเสนอใหม่ ใส่ดีเทลใหม่แล้วก็อัพเกรดคุณภาพให้ดีขึ้น ในราคาที่จับต้องได้

สำหรับคุณ ‘คุณภาพดี’ เป็นยังไง คุณออกแบบ everyday essential ยังไงให้ ‘ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา’

ผมว่าความธรรมดาที่ไม่ธรรมดามันอยู่ในดีเทลที่มองไม่เห็น ด้วยน้ำหนักและฟีลลิ่งของผ้าว่าทำมาจากอะไร เช่น ผ้าวัสดุธรรมชาติอย่างคอตตอน 100% หรือเป็นผ้าวูลผสมแคชเมียร์ หรือผ้าเส้นใยสังเคราะห์ซึ่งทั้งหมดนี้คือรายละเอียดที่คนทำแบรนด์จะสังเกต แต่ก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่รู้และเข้าใจสิ่งนี้เหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสายแฟชั่นโดยตรง แต่พอเขาใส่แล้วจะรู้เลยว่าสบายไหม ชอบไหม ดีต่อผิวรึเปล่า

อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของงานเย็บและคัตติ้ง ที่บางทีพอเห็นเผินๆ อาจดูเหมือนไม่มีดีเทลอะไร แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องตะเข็บและสัดส่วนต่างๆ ที่พออยู่บนตัวแล้วมันพอดี ไม่สั้นไป ไม่ยาวไป ไม่กระเดิด นี่แหละคือดีเทลที่อาจมองผ่านๆ ไม่เจอ แต่พอลงรายละเอียดจะเห็นคุณภาพที่ซ่อนอยู่ในนั้น 

การพัฒนาสินค้าใหม่ที่เน้นความคลาสสิก เรียบง่าย มีความท้าทายยังไง 

ผมว่ามันอยู่ที่ว่า เราเอาทรงเดิมไปใช้กับวัสดุใหม่ ทำด้วยเทคนิคใหม่ หรือแม้แต่ทำสีใหม่ มันก็กลายเป็นโปรดักต์ใหม่ได้ เพราะอย่างเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต มันคงไม่มีนวัตกรรมอะไรที่พลิกไปมากกว่านี้แล้ว มันอยู่ที่ในฐานะแบรนด์ เราเลือกใช้วัสดุแบบไหน และจะนำเสนอออกมายังไง สิ่งเหล่านี้คือการรีเฟรชให้มันดูใหม่อยู่เสมอ อย่างกางเกงยีนส์เองก็อยู่มาเป็นร้อยปีแล้วแต่มันยังอยู่ เพราะมีการอัพเดต ปรับดีเทล หรือนำนวัตกรรมมาปรับใช้ให้เข้ากับยุค

สำหรับ classic piece หรือ essential piece จริงๆ มันอยู่ที่ว่าเราจะทำให้มันดูเฟรช ดูน่าสนใจได้ยังไง ทุก consumer product ก็จะมีอายุขัยของมัน บางอย่างก็ยังอยู่ในหมวดคลาสสิก แต่บางอย่างก็ต้องปรับไปตามกาลเวลา

sense of fashion ของคุณมาจากอะไร

เซนส์เรื่องแฟชั่นของผมมาจากความสงสัยหรือ curiosity ผมมองว่าแฟชั่นมันอยู่ทุกที่รอบตัวเราอยู่แล้ว เห็นได้จากสื่อต่างๆ จากการเดินทาง หรือแม้แต่บนโลกออนไลน์ ถ้าเราตามสื่อแฟชั่นหรือคอนเทนต์แนวนี้ เราก็จะได้แรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวตลอดเวลา

มันคือการทำทุกอย่างให้เรียบง่ายแต่ต้องทำให้ดี (simple but refined) ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก  สิ่งที่ผมพยายามใส่เข้าไปในคาแร็กเตอร์ของแบรนด์คือการเน้นความเรียบง่ายและฟังก์ชั่น ไม่ได้มีแฟชั่นจัดจ้าน ใช้ได้นาน แน่นอนว่าเราก็มีบางช่วงที่เพิ่มความสนุกเข้าไป เช่น มีสีสันสดใสขึ้น หรือใช้ผ้าที่มีเทกซ์เจอร์วิบวับมากขึ้น 

คุณมองว่าแบรนด์ AIMER ต้องตามกระแสแฟชั่นแค่ไหน

ผมเชื่อว่าการทำแบรนด์แฟชั่นมันต้องมีความเคลื่อนไหว ต้องมีอะไรใหม่ๆ คอยกระตุ้นอยู่เสมอ ยิ่งเราขายของที่เป็น essential บางทีลูกค้าซื้อชิ้นเดียวก็ใช้ได้นาน กว่าจะกลับมาซื้อใหม่ก็อีกพักใหญ่ ถ้ามองในเชิงธุรกิจมันก็เป็นแบบนั้น
ในฐานะคนทำแบรนด์ เราเองก็ต้องมีหลายโปรดักต์ อย่าง AIMER ก็มียีนส์ที่ผ่านการฟอกพิเศษ ซึ่งถือเป็นซีซั่นที่มีความสดใส สนุกขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ยังมีไลน์คลาสสิกด้วย ผมมองว่าจริงๆ แล้วมันคือการเอาสินค้า essential wear มาต่อยอดให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ เพิ่มทางเลือกที่สนุกขึ้น โดยที่ไม่ทิ้งดีเอ็นเอเดิมของสิ่งที่เราทำ

เพราะสุดท้ายมันจะเป็น baseline ที่ไม่ว่าคุณจะไปซื้ออะไรอย่างอื่นก็ตามแล้วกลับมา มันก็ยังอยู่เสมอ แต่ในฐานะแบรนด์เราก็ต้องมีสิ่งที่ช่วยเซตเทรนด์ใหม่ด้วย ต้องมีช่วงเวลาที่เราออกมานำเสนอโปรดักต์ในแต่ละซีซั่นให้กับลูกค้าหรือคนที่ติดตามเรา ในการทำแฟชั่น มันต้องมีทั้งการตามเทรนด์และปรับเทรนด์ต่างๆ ให้เข้ากับแบรนด์ด้วย ต้องดูว่าเทรนด์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เหมาะกับเราไหม และเหมาะกับกลุ่มลูกค้าของเราหรือเปล่า

เบื้องหลังการพัฒนาสินค้า มีอะไรที่เคยทำแล้วไม่เวิร์กบ้างไหม

เยอะแยะ มีหลายสิ่งที่เราได้ทดลองแล้วไม่เวิร์ก อย่างเช่นเราเคยทำชุดราตรี เดรสซาติน ที่มีความเฟมินีนมาก ซึ่งก็ไม่ได้ออกมาดี เพราะถ้ามองย้อนกลับไป จริงๆ แล้วมันไม่ใช่คาแร็กเตอร์ของแบรนด์เรา แต่เราก็แค่อยากดูว่า AIMER จะขยายขอบเขตของสไตล์แบรนด์ (push boundary) ไปได้ถึงขนาดไหน แต่ตอนนี้พอเรามีลูกค้ากว้างขึ้น เราก็ลองทำกางเกงซาติน ซึ่งก็เริ่มมีผลตอบรับที่ดีบ้างแล้ว

ในการทำธุรกิจมันก็ต้องมีโปรดักต์ที่เป็นตัวแทนของเรา ต้องหาฮีโร่โปรดักต์ตลอด ซึ่งไม่ได้หาได้ภายในสองวีคหรือสองเดือน AIMER ทำมา 2-3 ปีแล้วก็เพิ่งเจอฮีโร่โปรดักต์ได้ไม่กี่ตัว มันเป็นการลองผิดลองถูก เราก็วางแผนการทำ merchandising ให้เหมาะสม สิ่งที่เราวางขาย ต้องมั่นใจว่าจะเวิร์ก และต้องลงทุนอย่างชาญฉลาด ไม่ลงทุนเยอะเกินจนมีความเสี่ยงสูง เพราะถ้ามันเฟลก็จะกระทบต่อแบรนด์มากเกินไป

ต่อไปจะมีการออกคอลเลกชั่นสไตล์เฟมินีนอีกไหม 

มีครับ ผมมองว่าเราก็อาจจะนำเสนอ feminity ในอีกแบบ ผมมองว่าคำว่า feminine กับคำว่า masculine เป็นสเปกตรัมที่กว้าง femininity มีหลายแบบ ผสมความบอย ความเท่ แต่ก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ด้วย ด้วย shape และ silhouette ต่างๆ เราก็อาจจะมีการนำเสนอเดรสแบบใหม่ (reinterpent) ที่คาแร็กเตอร์เท่ขึ้นในอนาคต
เราอยากลองอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ คือการนำเสนอมุมมองใหม่ กับสินค้าเดิมในมุมมองของเรา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกางเกงยีนส์ก็ตาม เป็นเสื้อเชิ้ต เสื้อยืดที่ทุกคนเห็นกันมาหมดแล้ว แต่ว่าเราแค่มานำเสนอในแบบของเรา 

เห็นว่าแบรนด์คุณได้แรงบันดาลใจจากการแต่งตัวของสาวปารีเซียง สไตล์ ‘สาวปารีเซียงเวอร์ชั่นสาวไทย’ ในแบบ AIMER เป็นยังไง

พอปรับมาเป็นสาวปารีเซียงสไตล์ไทยมันก็มีบางอย่างที่ต้องปรับ มันคือการเอา philosophy การแต่งตัวของฝรั่งเศสมาใช้ มีชิ้นหนึ่งในตัวที่โดดเด่น อาจเป็นรองเท้า เสื้อ หรือแอ็กเซสซอรีแมตช์กับอีกชิ้นที่เรียบง่าย อย่างกางเกงยีนส์ สูท แจ็กเก็ต มันคือการเอาฟีลลิ่งและสไตลิ่งของสาวปารีเซียงมาลองปรับให้เข้ากับคนไทย ลูกค้าหรือ KOL ที่เราทำงานด้วยก็จะเนรมิตสไตล์การแต่งตัวออกมาในแบบของเขา ส่วนเราที่ทำแบรนด์ก็จะมีภาพที่อยากเซตไว้อยู่ เช่น สไตลิ่งแบบนี้ เวลาคุณใส่ควรออกมาประมาณนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นธรรมชาติของแบรนด์แฟชั่นที่ต้องปรับสไตล์ไปตามเทรนด์

ในมุมมองคุณ สไตล์การแต่งตัวคลาสสิกของชาวปารีสต่างกับประเทศอื่นยังไง

ผมว่าคนปารีสมีความ effortless ซึ่งจะแตกต่างกับสาวสแกนดิเนเวียนที่มีความเท่ มันเป็น effortless ที่มีความเท่แบบ femininity ไม่ได้ทิ้งความเป็นผู้หญิงไป มีลุคที่ดูไม่ซีเรียสดีในเชิงที่ไม่ได้แต่งหน้า ทาปากแดง ใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดเก่าๆ สักตัว สะพายกระเป๋าใบหนึ่ง มีแอ็กเซสซอรีหรือแจ็กเก็ต ผมมองว่ามันมีความ classy และเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์มาก เราคิดว่าไม่ค่อยเห็นสไตล์นี้ในไทย เลยอยากนำเสนอแบบผู้หญิงคาแร็กเตอร์นี้ในไทยผ่านมุมมองเรา

สไตล์ของสาวปารีเซียงเป็นเหตุผลให้ AIMER ออกคอลเลกชั่นกระเป๋าและแอ็กเซสซอรีต่างๆ ด้วยใช่ไหม

ใช่ เรารู้สึกว่าโดยธรรมชาติของแบรนด์เรา นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ผู้หญิงเองก็ต้องมีของใช้ทั้งส่วนบนและล่างร่างกาย อย่างเครื่องประดับ กระเป๋า หรือรองเท้า เลยมองว่าจริงๆ แล้วมันก็มีโอกาสที่จะสำรวจสินค้ากลุ่มนี้

ที่ผ่านมาเราเคยลองทำกระเป๋าหนังกลับออกมาหนึ่งคอลเลกชั่น ซึ่งมีผลตอบรับดี แล้วก็เคยทำกระเป๋าแคนวาสที่ใช้ได้ทุกวัน ลูกค้าก็บอกว่าใช้ทน ใช้นาน ใช้งานได้จริง ใส่ของได้เยอะ ส่วนล่าสุดเราทำกระเป๋ากระจูด ร่วมกับหมู่บ้าน OTOP ซึ่งก็มีกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจ เรามีแผนที่จะขยายไลน์สินค้ากลุ่มนี้ต่อไปแน่นอน

ที่ผ่านมาการทำการตลาดแบบไหนที่ทำให้แบรนด์โตเร็ว

ผมว่าหนึ่งเลยคือเรื่อง image design ของ AIMER ตอนเริ่มต้นเรานำเสนอสิ่งที่ค่อนข้างใหม่ เราจึงต้องมีองค์ประกอบทางภาพหรือโฆษณาที่ทำให้คนเห็นแล้วจำได้ ถึงแม้มันอาจไม่ติดตาตั้งแต่ครั้งแรก แต่เมื่อเราทำซ้ำและนำเสนอภาพลักษณ์นั้นไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มจดจำได้ว่าคาแร็กเตอร์ของเราเป็นแบบไหน 

อย่างที่สองคือคนที่ใส่แบรนด์เราต้องนำเสนอคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ได้ ทั้ง KOL (Key Opinion Leader) และ KLC (Key Opinion Consumer) คือตัวแทนในการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ออกไป ทำให้คนรู้สึกว่าแบรนด์นี้เข้าถึงได้ และรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเอง

แบรนด์มีกลยุทธ์การทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ยังไง

เราทำงานร่วมกับหลายกลุ่ม มีทั้ง friends of brand คนที่ร่วมงานกับเรามานานจากการทำ seeding หรือโปรเจกต์ต่างๆ ผมมองว่าในฐานะแบรนด์ เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้ง KOL (Key Opinion Leader) และ KLC (Key Opinion Consumer) รวมถึงลูกค้าด้วย เพราะทุกคนล้วนเป็นกระบอกเสียงให้เรา ลูกค้าของเราก็บอกต่อแบรนด์กับเพื่อน ชวนเพื่อนมาลอง ผมมองว่าทุกกลุ่มเหล่านี้มีความสำคัญเหมือนกัน

ในเชิงกลยุทธ์ หลักการเลือก KOL หรือ KLC หนึ่งคือต้องเป็นคนที่เข้าใจดีเอ็นเอของแบรนด์ว่าเราพยายามจะขายอะไร สอง ต้องมีคาแร็กเตอร์ที่เข้ากับแบรนด์เพื่อสื่อสารออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

ถ้าสังเกตทั่วไป เวลา KOL หรือดารามารีวิว บางครั้งมันดูเหมือนโดนบังคับ ซึ่งพอไม่เป็นธรรมชาติ ภาพที่ออกมาก็ดูไม่เรียล ไม่ authentic เราเลยอยากเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ชอบสินค้าของเราจริงๆ และสะท้อนตัวตนแบรนด์เราได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

คาแร็กเตอร์ของสาวๆ ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์และลูกค้าของ AIMER มักมีลุค บุคลิก และความชอบแบบไหน

ผมว่าสาว AIMER เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีความมั่นใจ กล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆ เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์หรือในโปรดักต์ที่ใช้ และเป็นคนที่อยากแต่งตัวในแบบที่เหมาะกับตัวเอง กล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่บ้าง แต่ก็รู้ว่าอะไรเหมาะกับวัยของตัวเองและใส่ใจคุณภาพของสินค้า

เท่าที่เราทราบ ลูกค้าเราค่อนข้างสนใจดีเทลของวัสดุ คัตติ้ง และความยั่งยืนของสินค้า ด้วยโปรดักต์ขอแบรนด์เราที่ค่อนข้างหลากหลาย เราก็สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่น้องมหาวิทยาลัย first jobber ไปจนถึงรุ่นพ่อแม่ แต่กลุ่มลูกค้าหลักของเราน่าจะอยู่ที่อายุราว 26-34 ปี เป็นคนที่ทำงานมาสักพัก แต่งตัวค่อนข้างเนี้ยบ เป็นกลุ่มที่โตหน่อย

นอกจากความยั่งยืนด้านธุรกิจ แบรนด์คำนึงถึงความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมยังไงในยุคที่กระแสฟาสต์แฟชั่นเป็นที่พูดถึงมากขึ้น 

AIMER ค่อนข้างสโลว์ เราอยากเป็นสโลว์แฟชั่น เราไม่ได้ออกสินค้าถี่เท่าไหร่ เดือนหนึ่งหรือสองเดือนถึงจะออกสินค้าใหม่ ทำสินค้าให้มี shelf life อยู่ในตู้เสื้อผ้าลูกค้าได้นาน โดยที่ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าใส่ครั้งเดียวแล้วต้องขายต่อหรือทิ้ง ใช้ได้นาน ใช้ได้ทน สามารถเปลี่ยนมือได้หลายมือ เราพยายามทำทุกอย่างให้เป็น essential wear ที่ไม่มี out of trend ไม่มี out of style  อยู่ในตู้เสื้อผ้าได้นานที่สุด และพยายามใช้วัสดุธรรมชาติที่มี certified ต่างๆ เช่น ลด CO2 หรือใช้ แพ็กเกจ ถุงซิปล็อก ป้าย จากวัสดุรีไซเคิล

เห็นคุณเคยทำร้านมัลติแบรนด์นำเข้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศมาก่อน คุณมองว่าการทำแบรนด์แฟชั่นของตัวเองกับนำเข้าแบรนด์ต่างประเทศต่างกันยังไง 

ผมว่าความแตกต่างหลักน่าจะอยู่ที่ฤดูกาล ถ้าเรามองยุโรปหรือญี่ปุ่น เขาจะมีฤดูชัดเจน ทั้งหน้าร้อน หน้าหนาว ดังนั้นสินค้าที่เขาดีไซน์ในแต่ละครึ่งปี มันอาจจะไม่ตอบโจทย์กับเมืองไทยเท่าไหร่ เพราะเสื้อผ้าฤดูหนาวของเขาจะค่อนข้างหนา มีแจ็กเก็ต มีเลเยอร์เยอะ ซึ่งไม่เหมาะกับอากาศบ้านเรา

อย่างที่สอง ผมมองว่าเทรนด์การแต่งตัวของยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเอง บางทีมันก็ไม่ได้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในไทย มันมีหลายปัจจัยและหลายตัวแปรด้านต้นทุน ทั้งราคานำเข้า ภาษี ซึ่งก็เป็นความท้าทายอีกรูปแบบหนึ่ง เราต้องทำให้ลูกค้าเชื่อให้ได้ว่าแบรนด์ที่เราเลือกมานั้นเหมาะกับเขาจริงๆ

ดังนั้นมัลติแบรนด์สโตร์ที่นำเข้าสินค้าก็มีความเสี่ยงอยู่พอสมควร เพราะเราต้องมองล่วงหน้า 6 เดือน จากการที่วงการแฟชั่นจะมีการซื้อคอลเลกชั่นต่างๆ ล่วงหน้า เช่น คอลเลกชั่น spring จะซื้อตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยการคาดการณ์เยอะมาก และบางทีก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเลือกมาจะปังไหม

ถ้าเทียบกับการทำแบรนด์ของตัวเอง เราจะมีอิสระมากกว่า ทั้งในการออกสินค้า การทำการตลาด หรือการจัดโครงสร้างต้นทุนให้รันธุรกิจได้อย่างสมเหตุสมผล ผมเลยมองว่ามันเป็นโมเดลธุรกิจคนละแบบ มีทั้งข้อดี-ข้อเสียของมันเอง แต่การทำแบรนด์ของตัวเองก็ให้อิสระมากกว่าในแง่ของการขับเคลื่อนธุรกิจ

ความท้าทายที่สุดในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร และจัดการกับมันยังไง

ผมว่าความท้าทายอย่างแรกเลยคือการทำให้ลูกค้าเข้าใจและยอมจ่ายในสิ่งที่เราทำ เพราะแบรนด์เราจัดอยู่ในเซกเมนต์ที่ค่อนข้างพรีเมียม ราคาก็จะสูงกว่าตลาดทั่วไป เราต้องสื่อสารคุณค่าของสินค้าเราให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้มากกว่าราคาที่ซื้อ ก็เป็นความท้าทายในเชิงการทำการตลาด

อีกอย่างคือการทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะในวงการแฟชั่นมีหลายแบรนด์ที่เกิดจากกระแส แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว เราเลยพยายามสร้างการเติบโตที่มั่นคง ทำสินค้าให้ครอบคลุมลูกค้าหลากหลายกลุ่มมากขึ้น โดยไม่ทิ้งดีเอ็นเอของแบรนด์ วงการแฟชั่นก็เป็นตลาดที่แข่งขันสูงทั้งในและนอกประเทศ ตอนนี้พอเจอกลุ่มลูกค้าของเราแล้ว ความท้าทายต่อไปคือทำยังไงให้ฐานลูกค้านั้นขยายขึ้น เติบโตต่อได้อย่างมั่นคงและกว้างกว่าเดิม

คุณมองการขยายในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ยังไงในตอนนี้

ตอนนี้ถ้าพูดถึงออฟไลน์ เราขยายจนถึงจุดที่พอแล้ว เรามีสาขาอยู่ในโลเคชั่นที่ค่อนข้างดี สเตปต่อไปก็คงเป็นการขยายไปหัวเมืองรองต่างๆ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะไป 

ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการขยายในฝั่งออนไลน์ เราจะเริ่มขยายไปต่างประเทศและมีพาร์ตเนอร์ในต่างประเทศมากขึ้น  ซึ่งมันก็มีโอกาสตรงนี้อยู่ โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่เรามองว่า AIMER เองก็มีศักยภาพที่จะไปได้

คุณมองการขยายกลุ่มลูกค้าในตลาดไทยและต่างประเทศยังไงบ้าง

ตอนเริ่มเราโฟกัสกับตลาดไทยก่อน ด้วยธรรมชาติของโซเชียลมีเดียในตอนนี้ รวมถึงกรุงเทพฯ เองที่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวจากหลายทวีป มันเลยมีโอกาสที่คนต่างชาติมาเจอแบรนด์เราเวลาเดินทาง แล้วเกิดความสนใจในเสื้อผ้าของแบรนด์ ก็เริ่มมีลูกค้าต่างชาติซื้อไปใส่ แล้วลงแท็กในอินสตาแกรมหรือเฟซบุ๊ก พอมีคนเห็นมากขึ้น สื่อจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในสิงคโปร์หรือฮ่องกงก็เริ่มหยิบไปรีวิว ผมว่ามันค่อยๆ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

พอเริ่มมีกระแส เราก็ทำเว็บไซต์ ส่งของไปต่างประเทศ ทำ seeding และ PR กับ KOL ในเอเชีย ซึ่งตลาดหลักที่เราเห็นว่ามีศักยภาพก็คือกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะสินค้าของเราตอบโจทย์สไตล์การแต่งตัวของลูกค้าภูมิภาคนี้ ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน หรือมาเลเซีย กลุ่มลูกค้าหลักของเราตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ส่วนตลาดยุโรปยังมีไม่มากนัก อาจเพราะสัดส่วนและ silhouette ของเสื้อผ้าที่เราทำ มันเข้ากับรูปร่างและสไตล์ของสาวเอเชียมากกว่า

สุดท้ายนี้ปรัชญาในการทำธุรกิจของคุณเป็นยังไง

ผมว่าหนึ่งเลยคือต้อง honest กับสิ่งที่เราทำ ทั้งซื่อสัตย์กับลูกค้า และซื่อสัตย์กับตัวเองว่าสิ่งที่เรานำเสนอไม่ได้ลดทอนคุณภาพของสินค้า ต้องทำให้ลูกค้าได้มากกว่าที่จ่ายไป

ข้อสอง การทำธุรกิจต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ที่มาของสินค้าเป็นยังไง 

ข้อสามคือเรื่องความสัมพันธ์ ในการทำธุรกิจเรามี stakeholder หลายกลุ่ม ทั้งลูกค้า คู่ค้า ห้าง หรือซัพพลายเออร์ เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย 

ข้อสี่คือการสร้างทีม ไม่ว่าจะเป็นน้องใหม่ ซีเนียร์ หรือผู้จัดการ เราต้องสร้างทีมที่มีความเชื่อใจ สามารถตัดสินใจและนำเสนอไอเดียได้ 

สรุปหลักสำคัญสี่ข้อคือ ทำของดี ขายของดี ซื่อสัตย์ โปร่งใส สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และสร้างทีมที่แข็งแรงและเชื่อถือได้ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้แบรนด์เรายั่งยืน 

เดนมาร์กมอบ Lego ให้อียิปต์ จีนมอบ Xiaomi ให้เกาหลีใต้ เมื่อแบรนด์ถูกใช้เป็นภาษาการทูต

ใครที่ไถฟีดติดตามข่าวสารบ้านเมืองโลกเป็นประจำน่าจะพอเห็นว่า ช่วงระยะที่ผ่านมาผู้นำของแต่ละชาติเริ่มมีการเจรจาหรือพบปะทางการทูต ยกตัวอย่างกรณีที่ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บินไปเยือนประเทศเกาหลีใต้ก่อนจะสร้างไวรัลเรียกเสียงฮือฮาด้วยการมอบ Xiaomi แก่ผู้นำแดนโสมขาว

ความจริงเรื่องการทูตนั้นมีมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยุโรป ก่อนจะเป็นกิจลักษณะมากขึ้นจากการร่างอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ค.ศ. 1961 ที่วางกรอบแนวทางปฏิบัติการทูตเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ถือเป็นอันรู้กันทั่วโลก และทำให้การเจรจาระหว่างประเทศง่ายขึ้น

ทว่าความน่าสนใจที่แอบซ่อนอยู่บนโต๊ะเจรจาการทูตมีมากกว่าการใช้สกิลสาริกาลิ้นทอง แต่ยังหยิบยืม ‘พลังแห่งแบรนดิ้ง’ เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ‘อัตลักษณ์’ และ ‘ภาพลักษณ์’ ของประเทศ ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีนิยามว่าอะไร และสามารถถ่ายทอดออกมาในลักษณะใดได้นั้น เราขอชวนหาคำตอบไปพร้อมกันได้ในคอลัมน์ Recap ตอนนี้

nation branding เครื่องมือแสดงอัตลักษณ์ของชาติที่ไม่ต้องเอ่ยปากพรีเซนต์

ก่อนอื่นเราชวนทำความเข้าใจก่อนว่า ‘แบรนด์’ นั้นไฉนจึงสำคัญต่อการทูตระหว่างประเทศได้ ซึ่งเว็บไซต์ moderndiplomacy.eu เคยวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า บทบาทของแบรนด์เชิงพาณิชย์ทุกวันนี้ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นแค่สินค้าอุปโภคและบริโภค แต่เป็นดังตัวแทน ‘ภาพลักษณ์’ ของประเทศ (nation image) ในการสื่อสารต่อนานาชาติ หรือที่เราเรียกติดปากจนคุ้นหูว่าซอฟต์พาวเวอร์  

แล้วเหตุผลใดถึงต้องเป็นสินค้าจากแบรนด์ด้วยล่ะ ทั้งที่จบบทบนโต๊ะเจรจาด้วยการมอบช่อดอกไม้หรือรับประทานอาหารสักมื้อก็ได้?

ถ้างั้นขอชวนนึกตามไปพร้อมกัน สมมติเราพูดถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ดีๆ สักแบรนด์ ในหัวเรามักนึกถึง ‘อิเกีย’ (Ikea) เป็นลำดับแรก เมื่อพูดถึงอิเกียเราสามารถรู้ได้ทันทีว่านี่คือแบรนด์จากสวีเดน และหากลงลึกไปกว่านั้นสักเล็กน้อยจะพบว่าสัดส่วน GDP 1 ใน 3 ของประเทศสวีเดนมาจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์จำพวกเฟอร์นิเจอร์ 

ทีนี้หากทูตจากประเทศสวีเดนมอบเฟอร์นิเจอร์จากอิเกียให้ทูตจากประเทศ A นั่นหมายความว่าทูตจากสวีเดนแทบไม่ต้องปริปากอธิบายอะไรให้มากความว่าประเทศตนเองมีสินค้าส่งออกขึ้นชื่อเป็นอะไร ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังทูตจากประเทศ A ว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของประเทศสวีเดนนั้นมีคุณภาพมากพอจะส่งสารไปยังภาครัฐหรือนักลงทุนจากภาคเอกชนในประเทศตน ที่กำลังมองหาประเทศที่เหมาะสมในการทำการค้าด้านอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์

จากตัวอย่างที่ยกมา อาจกล่าวได้ว่านี่คือหลักการทำงานระหว่างภาครัฐกับแบรนด์เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘nation branding’ หรือการสร้างแบรนด์ของประเทศผ่านสินค้าที่สะท้อนตัวตนและศักยภาพของชาตินั่นเอง

บรรณาการเครื่องเคลือบ Wedgwood แด่จักรพรรดิเฉียนหลง

กรณีที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องของการสร้าง nation branding นั้นมีการลงมือทำมายาวนาน คงต้อนย้อนกลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยเอกสารจากองค์กรการกุศลของราชวงศ์อังกฤษอย่าง Royal Collection Trust ระบุไว้ว่า 

ในยุคสมัยที่จักรพรรดิเฉียนหลง (Qianlong Emperor) ทรงปกครองราชวงศ์ชิง มีคณะทูตจอร์จ แมคคาร์ตนีย์ (George Macartney) เดินทางมายังผืนแผ่นดินประเทศจีน เพื่อเจรจาแผ่ขยายอำนาจทางการค้า หนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ถูกคัดเลือกมีเครื่องเคลือบเซรามิกจากแบรนด์ ‘Wedgwood’ รวมอยู่ด้วย

แม้บทสรุปจะเป็นดังที่ทราบดีว่าการทูตครั้งนั้นจบไม่สวยสักเท่าไหร่นัก ทั้งยังนำไปสู่เหตุการณ์สงครามฝิ่นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราชวงศ์ชิงล่มสลาย แต่นัยหนึ่งการเลือกเครื่องบรรณาการจาก Wedgwood ถือเป็นตัวอย่างแรกๆ ในการสร้าง ‘nation branding’ ผ่าน ‘craftsmanship’ ที่ทำให้ทั่วโลกเห็นว่า ชาวอังกฤษมีความสามารถในอุตสาหกรรมด้านเครื่องปั้นดินเผาและศิลปะยังไงบ้าง 

ถึงขั้นที่ต่อมาเครื่องปั้นดินเผาของ Wedgwood ถูกยกให้เป็นภาพจำเคียงคู่กับราชวงศ์อังกฤษ, กลายเป็นค่านิยมในการดีไซน์เครื่องปั้นเซรามิกไปทั่วโลก และเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศผู้ดี (ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงมาตามกาลเวลา) ถึงกระนั้นรัฐบาลอังกฤษก็ยังคงให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมเซรามิกซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของประเทศอยู่ในปัจจุบัน อย่างสายการบินดัง อาทิ Qatar Airways ก็นิยมใช้เครื่องเซรามิกของ Wedgwood ในการต้อนรับแขกระดับเฟิสต์คลาส

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กับ Xiaomi ที่กลายเป็นไวรัลทั่วโซเชียลฯ

สดๆ ร้อนๆ ที่เกริ่นนำไปช่วงต้น นั่นคือกรณีที่ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีประเทศจีนมอบสมาร์ตโฟนของแบรนด์ Xiaomi แก่ อี แจ-มย็อง (Lee Jae-myung) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เพื่อเป็นเกียรติในการเยือนแดนโสมขาว จนเกิดประโยคไวรัล “Is the line secure?” มุกตลกร้ายจากปากของผู้นำเกาหลีใต้ ที่ถามประธานาธิบดีสี ว่าสมาร์ตโฟนที่ให้มี backdoor หรือการแอบส่องสมาร์ตโฟนของผู้ใช้งานโดยหลีกเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัย ตามที่เคยมีคำครหาจากผู้ใช้งานบางส่วน แม้กระทั่งบ้านเราที่พบว่ามีการแอบติดตั้งแอพฯ เงินกู้ผิดกฎหมายเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ทว่านัยสำคัญของการมอบสมาร์ตโฟน Xiaomi ในการทูตครั้งนี้ ไม่ใช่การเหยียบจมูกเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งทวีปเอเชีย ที่มี Samsung คอยเชิดหน้าชูตา แต่เป็นการโฆษณาอย่างแนบเนียนว่าเทคโนโลยีสินค้าจากจีนปลอดภัยและมีคุณภาพ ดังที่ประธานาธิบดีสีตอบกลับผู้นำเกาหลีใต้ว่า สามารถตรวจสอบได้เลยว่าสมาร์ตโฟนที่มอบมีการ backdoor จริงไหม 

อีกส่วนหนึ่งคือการโชว์ให้ทั่วโลกเห็นว่า จีนพร้อมปรับภาพลักษณ์ตนเองจาก ‘ผู้ผลิต’ เป็น ‘ผู้นำด้านเทคโนโลยี’ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับล่าสุด หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นการเตะตัดขาคู่แข่งคนสำคัญอย่างสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญคำครหาว่า NVIDIA ผู้พัฒนาชิปยักษใหญ่มีการ backdoor ในชิปคุณภาพสูงก็เป็นได้

LEGO จากรัฐมนตรีฯ เดนมาร์กที่ใครเห็นก็ต้องอมยิ้ม

ขอปรับบริบทให้เบาลงสักเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่ลาร์ส เลิกเกอ รัสมุสเซิน (Lars Løkke Rasmussen) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก ได้มอบตัวต่อแบรนด์ ‘LEGO’ รูปทรงจำลองมหาพีระมิดคูฟู (Great Pyramid of Khufu) แก่บาดร์ อับเดลัตตี (Badr Abdel Aty) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอียิปต์ เนื่องในโอกาสการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian Museum ชนิดที่ฝ่ายรับยิ้มแป้นถูกใจ

อย่างที่รู้กันดีว่า LEGO คือแบรนด์ของเล่นจากเดนมาร์กที่เป็น nostalgia ในความทรงจำของใครหลายคน แต่ที่ชาญฉลาดกว่านั้นคือรัฐมนตรีฯ เดนมาร์กเลือกมอบ LEGO ที่จำลองแลนด์มาร์กของประเทศอียิปต์ นับเป็นการหาอัตลักษณ์ร่วมของทั้งสองประเทศโดยใช้แบรนด์เป็นกาวใจ ถึงต่อให้ไม่ใช่คนของทั้งสองประเทศยังเผลอยิ้มให้กับโมเมนต์สุดน่ารักนี้

ถึงตรงนี้น่าสนใจเหลือเกินว่าในอนาคตแต่ละชาติจะหยิบสินค้าจากแบรนด์ใดมาเป็นหน้าเป็นตาในเวทีการทูต  

เอาเข้าจริงประเทศไทยเองก็มีการใช้สินค้าเป็นตัวแทนเชื่อมความสัมพันธ์แก่ประเทศอื่นๆ ยกตัวอย่างทุกครั้งที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ก็มักจะคัดสรรสินค้า OTOP จำพวกหัตถกรรมมอบเป็นของที่ระลึกแด่ชาติที่เข้าร่วมประชุม 

ถึงกระนั้นหากมีการผลักดันสนับสนุนแต่ละแบรนด์อย่างจริงจัง แบรนด์ OTOP เหล่านั้นอาจมีศักยภาพมากพอสู่การเป็น nation branding ไทย ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกในอนาคต และสามารถยืนหยัดได้ด้วยชื่อแบรนด์โดยไม่ต้องเกาะกระแสความดังของศิลปิน หรือรอให้เกิดเหตุการณ์โชคช่วยคงจะดีกว่า

ที่มา  

เศรษฐกิจ 20 บาทในไลฟ์ ‘ลุงเอ’  สตรีมเมอร์ที่สร้างรายได้จากยอดโดเนตระดับวินาที

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา หากพูดถึงหนึ่งในสตรีมเมอร์ที่มาแรงที่สุดในไทย ชื่อของ ‘Lung-A ลุงเอ’ คงต้องติดอยู่ในลิสต์แน่ๆ เพราะนอกจากการเติบโตของช่องที่รวดเร็วอย่างก้าวกระโดดแล้ว ลุงเอยังขยับขยายเส้นทางสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการคอลแล็บกับ CK Fastwork หรือการได้รับเชิญขึ้นพูดบนเวที Bitkub Summit ทั้งหมดนี้คือหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนว่าชายคนนี้กำลังพาตัวเองจากสตรีมเมอร์ในจอ สู่ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการคอนเทนต์ไทย!

แต่ความสำเร็จนี้เอง ที่เราพบว่าน่าเอามาตั้งคำถามอยู่เหมือนกัน ว่าอะไรกันนะ ที่ทำให้ช่องลุงเอเติบโตไวขนาดนี้? และถ้ามองผ่าน ‘แว่น’ ของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เราจะได้เรียนรู้อะไรจากปรากฏการณ์ ‘หัวแถว vs หัวกรวย’ ที่เจ้าตัวชอบพูดเล่นแต่กลับกลายเป็นไวรัลได้บ้าง?

เมื่อเราตามรอยตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็กๆ จนถึงวันนี้ คำตอบปรากฏชัดว่า เส้นทางของลุงเอไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันแบบไทยๆ กับความเข้าใจในคนดูที่เฉียบขาดอย่างน่าทึ่ง ทำให้จากคลิปเล่นๆ กลายเป็น ‘อาณาจักรแห่งความสนุก’ และโมเดลการหารายได้ด้วย micro-donation ที่กลายเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจของวงการครีเอเตอร์

จุดเริ่มต้น Lung-A ลุงเอ จากคลิปเล่นๆ สู่สตรีมเมอร์มืออาชีพ

ก่อนจะกลายเป็นสตรีมเมอร์ชื่อดัง ‘ปรีชา วัฒนา’ หรือที่คนรู้จักในชื่อ ‘ลุงเอ’ เคยเป็นเพียงคนธรรมดาที่ชอบถ่ายคลิปเก็บช่วงเวลาสนุกๆ ของชีวิตไว้ในโทรศัพท์เท่านั้น

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อเขาไปดูคอนเสิร์ตของ ‘มีนตรา อินทิรา’ แล้วถ่ายคลิปลงใน TikTok แบบไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ข้ามคืนคลิปนั้นกลับมียอดวิวพุ่งทะลุแสนอย่างน่าตกใจ TikTok จึงขึ้นแจ้งเตือนแนะนำว่า ‘คุณสนใจจะ Live ไหม?’ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในเส้นทางสตรีมเมอร์ โดยที่เจ้าตัวแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

เพราะเมื่อเริ่มจากการไม่มีข้อมูลและไม่ได้วางแผนไว้ สิ่งที่ลุงเอเลือกทำใน Live จึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เป็นพื้นฐานที่สุดอย่างความสนุก โดยเป็นไปอย่างไม่มีแรงกดดันและไม่ได้คาดหวังอะไรทั้งนั้น ลุงเอ “ปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่” บนไลฟ์ครั้งแรกๆ โดยเขาเริ่มจากการสตรีมเกมฟุตบอล (เพราะเคยเห็นคนอื่นเขาทำกัน) และพูดจาไม่เก๊ก ไม่มีฟอร์ม เล่นมุกตามประสา อย่างการพากย์เสียงเลียนแบบ ‘น้าหัง’ ด้วยสำเนียงเฉพาะตัว แต่กลายเป็นว่าทั้งหมดนี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ สนุก และมีชีวิตชีวา จนเมื่อมีจังหวะโดนๆ ใน Live ที่เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ ผู้ชมก็เริ่มแชร์คลิปสั้นจากไลฟ์ของเขาใน TikTok อย่างแพร่หลาย โดยที่เจ้าตัวยังงงอยู่เลยว่าคนดูที่เพิ่มเข้ามานี่คือใครนะ?

แต่กลายเป็นว่าจุดนั้นเองที่เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน เพราะพอคนเริ่มเข้ามาดูมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่ได้วางสคริปต์ไว้ก่อนหลังจากนั้น กลับกลายเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญที่กลายเป็น DNA ของช่อง นั่นคือ ‘การสู้มือ’ กับแชตและผู้ชมแบบถึงพริกถึงขิง

จากยุคยอดวิว สู่ยุคของการมีส่วนร่วม

หากมองภาพรวมในรอบสิบปีที่ผ่านมา โลกของสตรีมเมอร์และครีเอเตอร์ไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก จากยุคแรกที่รายได้ขึ้นอยู่กับ ‘ยอดวิว’ และ ‘สปอนเซอร์’ ซึ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่า ‘ยอดซับล้าน’ คือเป้าหมายสูงสุดของความสำเร็จ แต่เมื่อผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้น การแข่งขันด้านยอดวิวก็รุนแรงตามไปด้วย ช่องเล็กๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่จึงแทบไม่มีพื้นที่หายใจ ขณะเดียวกันเนื้อหาก็เริ่มซ้ำจนคนดูอิ่มตัว แต่จุดนี้เองที่ทำให้สิ่งที่ ‘ลุงเอ’ ทำกลายเป็นการเดินออกจากเส้นทางเดิมๆ เพราะเจ้าตัวเลือกเน้นสิ่งที่คนมองข้าม นั่นคือ ‘ยอดการโดเนต’ หรือการสนับสนุนโดยตรงจากผู้ชม 

ในมุมของหลายคน กลไกการ ‘โดเนต’ เป็นเหมือนแค่แค่กล่องบริจาคเล็กๆ สำหรับแฟนคลับที่อยากสนับสนุน จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นอาจมีคนที่ได้รับโดเนตครั้งละมากๆ อยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีสตรีมเมอร์ตัวเล็กคนไหนที่ยึดถือยอดโดเนตเป็นแกนหลักในการดำรงชีพขนาดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับลุงเออาจบอกว่าเป็นเพราะโชคชะตานำพาก็ว่าได้ 

ในแรกเริ่มในยุคที่ลุงเอตั้งโดเนทขั้นต่ำไว้เพียง 5 บาท เกิดเหตุการณ์ที่คนดูจำนวนมากเริ่มโดเนตเข้ามาแซวเจ้าตัว ทั้งชม ทั้งด่า ทั้งเล่นมุกเพื่อให้ Siri อ่านออกอากาศแบบเรียบไทม์ ซึ่งแทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือเก็บมาหัวร้อนอย่างเป็นจริงเป็นจัง ลุงเอกลับเลือกรับมุกแล้วสวนกลับในเลเวลที่เท่ากับคนดู การสู้มือแบบเอ็งแซวมา-ข้าด่ากลับแบบนี้เอง ที่เริ่มสร้างให้เกิด ‘จังหวะทอง’ ที่ทำให้คนหัวเราะกันทั้งไลฟ์

กลายเป็นว่าพอมีคนทำได้ และลุงเอสู้กลับแบบไม่ย่อท้อ คนที่ดูอยู่ก็เริ่ม ‘อยากมีส่วนร่วมแบบนั้นบ้าง’ เมื่อนั้นเองที่อยู่ดีๆ การโดเนตในช่องลุงเอเริ่มเกิดขึ้นบ่อยในระดับ ‘ทุกวินาที’ กล่าวคือแทบไม่มีช่องว่างเลย ทุกคนต่อคิวโดเนตมาแซว ล้อ หรือแม้กระท่ังด่าลุงเอแบบแกมหยอก เพื่อให้เจ้าตัวสู้กลับ 

ความสัมพันธ์แบบนี้เองที่เริ่มกลายเป็นหัวใจของช่องมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนดูรู้สึกว่าตัวเองสนิทกับคนตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วมาก และยิ่งเมื่อมีคนตัดคลิปจังหวะตลกเหล่านี้ไปลง TikTok คลิปไวรัลก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รู้ตัวอีกที ปัจจุบันฐานผู้ติดตามบนยูทูบของลุงเอก็พุ่งทะลุเกือบเก้าแสนแล้ว

ความสุขราคา 20 บาท

ทุกวันนี้ ระบบโดเนตของลุงเอกำหนดขั้นต่ำไว้เพียง 20 บาท กล่าวคือถ้าใครอยากให้ Siri อ่านข้อความของตนเองขึ้นบนหน้าจอและให้ลุงเอฟัง คุณเสียเพียง 20 บาทเท่านั้นก็สื่อสารกับสตรีมเมอร์โดยตรงได้แบบสดๆ เช่น ถ้าอยากด่า ก็รังสรรค์คำด่าได้เลยเพื่อดูรีแอ็กชั่นของลุงเอแบบเรียลไทม์ ซึ่งตัวเลขเล็กน้อยนี้ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ เพราะถ้ามองในมุมจิตวิทยาผู้บริโภค นี่คือราคาที่ทำให้เกิด ‘จุดตัดสินใจที่ง่ายดาย’ ที่ทำให้แฟนคลับรู้สึกว่ามีส่วนร่วมได้โดยไม่ต้องคิดเยอะ

ความสุขที่ราคา 20 บาทนี้เอง ที่ทำให้ในหนึ่งการไลฟ์ที่มียอดคนดูในระดับหลายหมื่นคน ยอดโดเนตเล็กๆ จากคนจำนวนมากจึงรวมกันเป็นรายได้ที่มากพอ หรืออย่างหลายคนที่ชอบดูลุงเอและผูกพันมากๆ ยอดโดเนตบางยอดทะลุไปถึงหลักร้อยหรือหลักพันไปเลยก็มี ซึ่งกลไกนี้เปรียบได้กับแนวคิด micro-transaction economy ในวงการเกมอย่างไรอย่างนั้น กล่าวคือเป็นการเลือกหารายได้ส่วนใหญ่ โดยไม่ได้เน้นที่เม็ดเงินก้อนใหญ่จากผู้จ่ายหนักไม่กี่คน แต่เลือกเน้นจากผู้สนับสนุนเล็กๆ ที่จ่ายบ่อยและมีส่วนร่วมจริงดีกว่า

“เอาจริงนะน้องๆ เอ็งโดเนตกันเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญเลย โดเนตเป็นพันไม่ได้สำคัญมากกว่าโดเนต 20 บาทเสมอไป เพราะสำหรับพี่ โดเนตของคนที่มาเล่นมุกแล้วทำให้คนที่ดูอยู่ด้วยกันตอนนี้ยิ้มได้ อันนี้คือดีที่สุด” 

ครั้งหนึ่งของการ Live ลุงเอเคยหล่นวาจาเป็นคำพูดสั้นๆ ไว้ตามข้างต้น ประโยคเหล่านี้สะท้อนแนวคิดหลักของเขาได้อย่างชัดเจน เพราะสำหรับลุงเอ ‘มูลค่าของคอนเทนต์’ ไม่ได้อยู่ที่ยอดเงิน แต่อยู่ที่ความสุขที่คนดูรู้สึกพร้อมกัน (ถึงแม้เจ้าตัวจะยิ้มมีเลศนัยและออกอาการสุดๆ เวลามีคนโดเนตเยอะๆ ก็เถอะ)

อารมณ์ขันแบบไทย กับครีเอทีฟที่เข้าถึงใจคนดู

ถ้าลองถอยออกมามอง ว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีกไหมที่ทำให้ลุงเอเดินทางมาเร็วขนาดนี้ เราพบว่านอกจากระบบการมีส่วนร่วมที่เข้าถึงง่ายแล้ว คอนเทนต์ของลุงเอยังตอบโจทย์ธรรมชาติของ ‘คนไทย’ อย่างมากเสียด้วย

อย่างที่เรารู้กัน ว่าด้วยตัวตนแล้ว คนไทยเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ชอบสนุก และชอบความตลก สังเกตได้จากไม่ว่าจะมีเหตุการณ์บ้างเมืองใดๆ คนไทยเราหยิบองค์ประกอบบางอย่างจากเหตุการณ์นั้นๆ มาทำให้ตลกหรือเป็นมุกได้เสมอ จะบอกว่าเราคือชาติที่สุดยอดจะครีเอทีฟในเรื่องขำขันก็คงไม่เกินไปนัก และนั่นเองคือสิ่งที่ลุงเอมอบให้คนดูทุกคนได้ทุกครั้งที่เปิดไลฟ์

เพราะพอลุงเอสร้างบรรยากาศให้ทุกคนแซวแกมหยอกได้แล้ว ที่แห่งนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงที่ของสตรีมเมอร์เพียงเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่คนจะได้มาประลองฝีมือการครีเอตมุกกันแบบสุดๆ เพราะในทุกไลฟ์เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ชมต่างร่วมสนุกในการสร้างมุกของตัวเองขึ้นมาเพื่อแซวลุงเอ โดยถ้ามุกไหนที่เจ๋งมากๆ ลุงเอจะเรียกแนวมุกนั้นว่า ‘เมต้าใหม่’ โดยเมื่อเกิดเมต้าใหม่ขึ้น การโดเนตต่อยอดมุกก็จะเกิดตามมาอีกมากมาย เพื่อโชว์ไอเดียความขำขันที่คนดูมี

ดังนั้นคลิปไวรัลหลายคลิปจากช่องของลุงเอ ถ้าพินิจดูแล้วนั่นไม่ใช่เพียงแค่คอนเทนต์ตลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ว่าต่อให้ในสถานการณ์ตึงเครียดแค่ไหน เราก็ยังหาทางหัวเราะได้เสมอ 

หรือนี่จะเป็นการหารายได้ใหม่ของสตรีมเมอร์

สรุปแล้วสิ่งที่ช่องลุงเอสร้างขึ้นจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องบันเทิง แต่เราสามารถมองความเป็นไปนี้ในฐานะอีกหนึ่งโมเดลการหารายได้ใหม่ของสตรีมเมอร์ได้อยู่เหมือนกัน เพราะนี่คือการผสมผสานกันระหว่างการทำ personal branding และ community engagement โดยใช้ micro-donation ได้อย่างลงตัว

ดังนั้น สำหรับเราแล้ว ลุงเอจึงไม่ใช่หัวแถวของใคร และก็ไม่ใช่ผู้นำในการตั้งแถวใหม่ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาเลือกทำคือการสร้างพื้นที่ให้ผู้คนมารวมตัวอยู่กัน เพื่อสร้างเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และร่วมใช้พลังเล็กๆ ของแต่ละคนในการสร้างความสุขที่หลายครั้งประเมินค่าไม่ได้ ความสุขที่ในบางวันมันก็ช่างหาได้ยากเสียเหลือเกิน

เพราะอย่างที่ลุงเอเคยพูดไว้อย่างซื่อๆ แต่กินใจนั่นแหละว่า “คนที่สำคัญที่สุดในช่องนี้ไม่ใช่ลุงเอหรอก แต่เป็นพวกคุณคนดูทุกคนที่ทำให้ที่นี่มีเสียงหัวเราะได้มากมายขนาดนี้”

ว่าแล้วก็ขอจบบทความในแบบของลุงซะหน่อยนะ เดี๋ยวจะซึ้งเกิน

🤪ปะปะโป้ยโต้ย ปะปะโป้ยโต้ย ปะปะโป้ยโต้ย ปะ ปะ โป้ย โต้ย โป้ย โต้ย 🤪

Labotte แบรนด์รองเท้าน่ารักแบบลูกคุณหนู โดยชายผู้ได้ไอเดียธุรกิจจากการเดินสยามกับเพื่อน

ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นลูกค้าของแบรนด์รองเท้าผู้หญิงสายหวานอย่าง Labotte มาก่อนหรือไม่ เราเชื่อว่าข้อมูลสั้นๆ 3 ข้อต่อไปนี้จะทำให้คุณเริ่มสนใจในเส้นทางการเติบโตของ Labotte ไม่มากก็น้อย

หนึ่ง–Labotte ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 จากแพสชั่นของผู้บริหารหนุ่มอย่าง ‘โต้ง–กัลป์ เตชะศรินทร์’ ในขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้น ม.6 และมีอายุได้เพียง 18 ปี

สอง–หลังวิกฤตโควิดผ่านพ้น Labotte ก็ยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว นับแค่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา องค์กรมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว ในขณะที่ยอดขายพุ่งทะยานจาก 10 ล้านบาท สู่ 70 ล้านบาท

สาม–ณ วันแรกของ Labotte โต้งมีเงินทุนตั้งต้นเพียงแค่ 40,000 บาทเท่านั้นเอง

“เราเริ่มด้วยเงิน 40,000 บาท เป็นค่าของไปแล้ว 35,000 อีก 1,500 เป็นค่าจ้างช่างภาพที่เป็นเพื่อนกัน เหลือเงินอีก 3,000 กว่าบาทเอาไปซื้ออุปกรณ์ เหลือเงินติดตัวแค่ประมาณ 2-3 พันสำหรับหมุนธุรกิจ” โต้งเริ่มแจกแจงถึงงบประมาณในช่วงตั้งไข่

ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงทุนทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยม และไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าเสี่ยงเพื่อให้แบรนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับที่โต้งทำ เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้ยึดโยงกับความเชื่อของ Labotte ที่แข็งแกร่งเสมอมาตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ 

และเป็นความเชื่อที่จะพาให้รองเท้า Labotte คู่นี้เดินไปสู่จุดหมายต่อไปได้อย่างมั่นคง

ช่องว่างในตลาดรองเท้าสยาม

“Labotte เริ่มขึ้นตอนผมอยู่ ม.4 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคิดอยากทำธุรกิจ พยายามมองหาโอกาสไปเรื่อยๆ วันหนึ่งผมไปเดินเล่นกับเพื่อนที่สยาม มีเหตุให้ต้องไปซื้อรองเท้ากับเพื่อนผู้หญิงที่ร้านมัลติแบรนด์สโตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งพอเทียบกับร้านรองเท้าทั่วไปในสยามที่เขาวางขายแบบกองทับๆ กัน ปรากฏว่าดีไซน์ของรองเท้าตรงนั้นกับในร้านมัลติแบรนด์มันเหมือนกันหมดเลย แต่ราคาต่างกันมากคือข้างนอกขายคู่ละ 200 แต่ในร้านกระโดดไปประมาณ 1,000 บาท”

จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้โต้งได้ข้อสังเกตเกี่ยวกับธุรกิจรองเท้าแฟชั่นผู้หญิงเอาไว้ในใจทั้งหมด 3 ข้อด้วยกันคือ

1. ขาดความหลากหลายของดีไซน์

2. ขาดตัวเลือกรองเท้าราคากลางๆ ในช่วง 500-600 บาท 

3. มีช่องว่างที่น่าจะพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้นกว่านั้นได้อีก

ข้อสังเกตทั้ง 3 นี้เองที่กลายเป็นทั้งกับดักและแรงขับเคลื่อนของ Labotte ในเวลาต่อมา

2 ปีผ่านไป โต้งในวัย 18 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จและเริ่มมีเวลาว่างสำหรับการลงมือทำธุรกิจ แม้ว่าในใจของเขามีไอเดียธุรกิจหลายอย่าง แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับโรงงานรองเท้าแห่งหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ประจวบเหมาะกับไอเดียแบรนด์รองเท้าผู้หญิงที่เคยทดเอาไว้ในอดีตก็ยังน่าสนใจไม่น้อย 

Labotte เปิดตัวรองเท้าทรงสลิปออน (slip-on) รุ่นแรกด้วยราคา 490-590 บาทต่อคู่ เป็นรองเท้าที่ดีไซน์แตกต่างจากตลาดรองเท้าส่วนใหญ่ในขณะนั้น ราคาสมเหตุสมผลและจับต้องได้ และสุดท้ายคือคุณภาพรองเท้าเหมาะสมกับราคา ตามความตั้งใจแรกของโต้งที่อยากตอบโจทย์ pain point ทั้ง 3 ข้อที่เขาเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้

“แต่ความท้าทายอย่างแรกก็คือรองเท้าเป็นสินค้าที่มีไซส์เยอะมาก พอเราขายไป บางไซส์มันหมดไปแล้ว เราก็ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเพื่อจะไปสั่งล็อตใหม่ ต้องหมุนเงินแบบสุดๆ เพราะทุนเรามีไม่เยอะ อย่างที่สองก็คือเรื่องพนักงาน พอเราไม่มีทุนก็ไม่สามารถจ้างใครได้เลย ทุกอย่างผมต้องคิดเองหมด และในตอนนั้นผมก็ยังเป็นเด็กนักศึกษา เวลาเราก็มีจำกัดเพราะต้องเรียนไปทำงานไปตลอด 3-4 ปีในมหาวิทยาลัย”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแปลกใจก็คือ Labotte ไม่ใช่ธุรกิจเพียงอย่างเดียวของโต้งในขณะนั้น เขาเล่าย้อนไปถึงช่วงวัยที่ยังรับสอนพิเศษ เปิดร้านเครื่องประดับเล็กๆ แบบซื้อมาขายไป ทั้งยังหุ้นกับเพื่อนทำบริการรับจัดอีเวนต์ เป็นช่วงเวลาที่ได้ทดลองทำงานและธุรกิจมากมาย แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องตัดสินใจเลือก

“เรารู้ว่าเรามีเวลาไม่พอ ก็เลยต้องเลือกว่าจะตัดอะไร ผมมองว่ารองเท้าที่เราสั่งทำจากโรงงานมานี้ดูเป็นสิ่งที่จะเป็นแบรนด์ของเรามากที่สุดแล้ว ลูกค้าก็เริ่มมีเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เราจึงมองเห็นโอกาสได้ค่อนข้างชัดเจน” ตอนนั้นเองที่โต้งตัดสินใจหันมาทุ่มเทเวลาให้กับ Labotte อย่างเต็มตัว

กับดักรองเท้าสลิปออน

แม้ฉากหลังในการสัมภาษณ์วันนี้คือห้องสำหรับไลฟ์สดของ Labotte ที่อัดแน่นไปด้วยรองเท้าผู้หญิงหลากสไตล์หลายสิบคู่ แต่ใครจะเชื่อว่าช่วง 2 ปีแรกของแบรนด์นั้นดำเนินมาด้วยรองเท้าสลิปออนเพียงทรงเดียว โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยายไลน์สินค้าไปสู่รองเท้าผู้หญิงทรงอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย

“เราทำแต่ทรงสลิปออนอยู่ 2 ปี เพราะความคิดตั้งต้นของเราในตอนนั้นคืออยากทำรองเท้าที่ดีไซน์แตกต่างจากในตลาด พอเขาเริ่มทำรองเท้าแตะกันเราก็ไม่ทำรองเท้าแตะเลยเพราะรู้สึกว่าคนทำกันเยอะแล้ว” โต้งเล่าย้อนกลับไปถึงความคิดในอดีตก่อนจะยอมรับ 

“ซึ่งมันคือสิ่งที่เราคิดผิดนะครับ การที่เราเลือกทำแต่สลิปออนมาตลอด พอเราอยู่ไปได้สัก 2 ปีก็ค้นพบทางตันว่ามันไม่โต เพราะลูกค้าคนหนึ่งเขาไม่ได้มีสลิปออนเยอะมากขนาดนั้น บางคนมีคู่เดียวด้วยซ้ำ มันก็เลยทำให้เราปรับมุมคิดว่าเรามีรองเท้าหลายทรงได้ แต่จะดีไซน์ยังไงให้มันเป็น Labotte ต่างหาก” 

จุดเปลี่ยนในครั้งนั้นเองที่ทำให้เราได้เห็นรองเท้าทรงใหม่ๆ จาก Labotte เป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากจะดึงให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำได้แล้ว ยังสามารถเปลี่ยนผู้ติดตามให้กลายเป็นลูกค้าได้อีกด้วย

“ตอนนั้นแบรนด์เราอยู่มา 2 ปี อาจจะมีบางคนที่เคยเห็นเรา แต่ก่อนหน้านี้เขายังไม่สนใจสินค้าที่เรามี เขาอาจจะแค่กดฟอลโลว์เราเอาไว้เฉยๆ แต่พอเราออกรองเท้าแตะของ Labotte รุ่นแรก เราก็เห็นเลยว่าคนให้การตอบรับที่ดี ทำให้ปีนั้นเราตัดสินใจออกส้นสูงมาเพิ่มอีกคู่หนึ่ง เป็นส้นสูงที่ใส่แล้วดูน่ารัก พยายามรักษาสไตล์ของแบรนด์เอาไว้อยู่”

Jovial คือชื่อรองเท้าส้นสูงรุ่นแรกของ Labotte ที่มีทรงหัวแหลมเรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยไข่มุกประดับสายรัดส้น ซึ่งโต้งเล่าว่าเขาเป็นคนออกแบบด้วยตนเอง

“ผมคิดว่าทรงรองเท้าประมาณนี้มันสวยอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเราแค่ทำรองเท้าเรียบๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากส้นสูงคู่อื่นๆ ในตลาดที่มีอยู่แล้ว สุดท้าย Jovial จึงกลายมาเป็นหนึ่งใน hero product ของเราตั้งแต่ช่วงปี 2021-2022 ครับ” เขาสรุป 

รองเท้าที่น่ารักแบบลูกคุณหนู

เมื่อแบรนด์หนึ่งประสบความสำเร็จ ก็ไม่แปลกที่จะเกิดแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาร่วมแข่งขันกันในตลาดรองเท้าแฟชั่นอันดุเดือด ซึ่งโต้งยอมรับว่าผู้เล่นหน้าใหม่หลายคนทำได้ดี แต่ก็มีบางรายที่ตั้งใจเข้ามาตัดราคากันแบบซึ่งหน้า

“สิ่งหนึ่งที่เรายึดมั่น และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การปรับตัวของเราก็คือความชัดเจนในแบรนด์ ผมคิดว่าเราควรต้องชัดว่าเราจะเจาะลูกค้ากลุ่มไหนกันแน่ เราต้องชัดว่าเราทำรองเท้ามาให้ลูกค้าใส่แล้วน่ารัก เพราะไม่อย่างนั้นถึงวันหนึ่งที่คู่แข่งเริ่มเยอะขึ้นมาเราก็จะถูกกลืนหายไปกับคู่แข่งในตลาด”

จุดยืนของ Labotte ก็คือแท็กไลน์ ‘น่ารักแบบลูกคุณหนู’ ที่ลูกค้าของแบรนด์เป็นคนให้คำนิยามขึ้นมา

“ช่วงปีที่ 5-6 ของแบรนด์ เราประชุมทีมกันอยู่นานเพื่อที่จะทำ brand book ออกมา พยายามตามหาคำนิยามว่าเราคือใครกันแน่ จนสุดท้ายถึงได้ข้อสรุปจากรีวิวของลูกค้า Labotte ที่ชอบบอกว่าใส่แล้วน่ารักมาก ลูกคุณมาก จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘น่ารักแบบลูกคุณหนู’ ครับ”

แต่ความชัดเจนอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งตัดราคาอันดุเดือด โต้งอธิบายว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้ Labotte เติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคงคือการปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด 

“ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เรามีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาตัดราคา เขาอาจจะมีดีไซน์หรือราคาที่ใกล้เคียงกัน เราก็ปรับตัวโดยการปรับดีไซน์ให้สินค้าของเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการขึ้นราคา ซึ่งจะช่วยกรองให้เราเจอลูกค้าที่ซื้อ Labotte เพราะเราเป็นเรา และทำให้ภาพลักษณ์และแบรนดิ้งไปต่อได้อีกขั้นหนึ่ง 

“เหมือนเราดึงตัวเองออกมาจากตลาดที่แข่งขันกันด้วยราคาเป็นหลัก จากพื้นที่ที่เราเคยเข้าไปในวันแรก วันนี้มีคนทำแทนเราแล้ว เลยเป็นจุดที่เราคิดว่าคำว่าจุดยืนด้านราคาของเราอาจต้องถูกตีความใหม่ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นภาพมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตลาดนี้มีเราได้ ยังไงมันก็จะมีคนอื่นเข้ามาตรงนี้ได้เหมือนกัน ก็เลยเป็นการตัดสินใจที่เรารู้ตัวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามันน่าจะต้องขยับมาเป็นประมาณนี้”

ในแง่ของการตัดสินใจไม่ได้ยากมาก แต่เขาเผยว่าตอนทำให้เกิดขึ้นจริงอย่างการขยับแบรนด์ขึ้นไปสู่อีกระดับจริงๆ คือสิ่งที่ยากกว่า 

รองเท้าที่ใส่สบายขึ้นเรื่อยๆ

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดของคนทำรองเท้าคือการออกแบบรองเท้าให้สวยและใส่สบายไปพร้อมกัน เพราะอย่างที่ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่า รองเท้าที่ใส่แล้วสวยมักจะกัด ส่วนรองเท้าที่ใส่แล้วกัดก็มักจะไม่สวย

Labotte เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และยังไม่หยุดที่จะพัฒนารองเท้าให้สวยและใส่สบายขึ้นในทุกวัน

“วัสดุและคุณภาพมีผลต่อธุรกิจของเราโดยตรงแน่นอน เพราะถ้าลูกค้าซื้อไปแล้วมันไม่ดี โอกาสซื้อซ้ำก็น้อย มันเลยเป็นเหตุผลที่เรายังต้องพัฒนาสินค้าอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ หลายรุ่นที่ขายดีก็ยังเตรียมมีการอัพเกรดครั้งใหญ่ 

“อย่างรุ่น Jovial ก็กำลังจะมีการอัพเกรดใหม่ที่คุณภาพจะดีขึ้นตั้งแต่ส้น พื้นรองเท้าที่หนึบขึ้น อินโซลด้านในที่จะซัพพอร์ตเท้าได้ดีขึ้น พื้นนิ่มขึ้น หรือหนังข้างๆ ที่จะยับได้ยากขึ้น หัวไม่บุบ” โต้งอธิบายถึงรายละเอียดเล็กๆ ในรองเท้าแต่ละคู่ที่ต้องใส่ใจ หมั่นเก็บฟีดแบ็กที่จะเป็นประโยชน์ทั้งการอัพเกรดสินค้าเดิม และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ

ถึงอย่างนั้น ด้วยจุดยืนการเป็นแบรนด์รองเท้าแฟชั่นก็ทำให้ Labotte มีเวลา เรนจ์ราคา และข้อจำกัดในการพัฒนาสินค้าหลายรุ่น จึงเป็นที่มาของการแตกแบรนด์ย่อยอย่าง Labotte Classic

“เราตัดสินใจปล่อย Labotte Classic ช่วงต้นปี 2025 เพื่อรีไฟน์ดีไซน์ไปสู่ความเรียบหรูขึ้น ใส่สบายขึ้น และพัฒนาคุณภาพในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่การเลือกวัสดุ ไปจนถึงการเก็บรายละเอียดงานคราฟต์ของรองเท้าแต่ละคู่

“ตอนแรกที่แยกซับแบรนด์ออกมาเราพบว่ามันยังใกล้กันเกินไป เพราะเราพยายามซอยฐานลูกค้าเดิมของ Labotte ออกเป็น 2 กลุ่ม จากกลุ่มลูกค้าเดิมเราคือผู้หญิงอายุ 18-30 ปี พอเราพยายามตัดที่อายุ 25 มันเลยทำให้เราแยกเซกเมนต์ได้ลำบาก ดีไซน์ที่ออกแบบมาก็ดูจะอยู่ได้ทั้งสองแบรนด์ 

“ตอนนี้เราเลยต้องมากำหนดกันใหม่ว่า Labotte ทาร์เก็ตตั้งแต่ 16-30 ในขณะที่ Labotte Classic คือ 25-40 คือเราพยายามฉีกให้มันห่างกันมากขึ้น ทั้งเรื่องเซกเมนต์ คุณภาพ ภาพลักษณ์ ราคา” 

แต่ไม่ว่าจะเป็น Labotte หรือ Labotte Classic สิ่งหนึ่งที่โต้งและทีมยังคงยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลงก็คือการแก้ pain point ที่เขาพบตั้งแต่วันแรก ด้วยดีไซน์ไม่ซ้ำใคร ราคาเข้าถึงได้ และมีคุณภาพเหมาะสม

รองเท้าฮีโร่โปรดักต์คู่ใหม่

“นอกจากดีไซน์ ราคา และคุณภาพ มีอะไรที่คุณมองว่าสำคัญกับธุรกิจอีกบ้าง” เราถาม

“การบริหาร” โต้งตอบโดยแทบจะไม่ต้องคิด 

“เพราะพอบริษัทเริ่มใหญ่ขึ้น ทีมใหญ่ขึ้น คำถามคือเราจะบริหารยังไงให้เรายังเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงในธุรกิจแฟชั่นที่ค่อนข้างผันผวน ถ้าเราไม่สามารถนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้เรื่อยๆ สม่ำเสมอ วันหนึ่งเราก็อาจจะสูญเสียจุดยืนในตลาด และอาจจะขาดทุนในที่สุด ดังนั้นการทำให้เราเติบโตไปได้เรื่อยๆ อย่างมั่นคงก็ถือเป็นความท้าทายที่ใหญ่พอสมควร”

เมื่อพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Labotte เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดก็คงหนีไม่พ้นความสำเร็จในขวบปีที่ 4 ของแบรนด์ หลังจากที่ปล่อยรองเท้า Mary Jane รุ่น The Classic Jane ออกมาได้อย่างถูกจังหวะเวลาจนกลายเป็นกระแส 

“สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการตัดสินใจที่จะสเกลบริษัทในช่วงนั้นทันที เราขยับจากทีม 5 คนกลายเป็น 25 คนภายในหนึ่งปี และกลายเป็น 40-50 คนภายในสองปี เพราะเราเห็นแล้วว่ารุ่นนี้เป็นกระแสและได้รับความนิยม แต่กระแสที่มันมาไวแบบนี้มันจะไปไวเช่นกัน 

“ดังนั้นเราจึงมองว่าถ้าไม่รีบสเกลบริษัทตอนนี้เพื่อตามหา the next hero product ภายใน 2-3 ปีเราตายแน่นอน เรารู้ว่าถ้าไม่ยอมเสี่ยงตอนนี้ วันหนึ่งมันก็จะไป” 

ผลลัพธ์ของความเสี่ยงในวันนั้นก็ออกมาในรูปแบบของรองเท้ารุ่น Rookie ที่กลายมาเป็นฮีโร่โปรดักต์ตัวใหม่ได้สำเร็จ ด้วยการพารองเท้าทรงแมรี่เจนไปเจอกับความเป็นรองเท้าสนีกเกอร์ โดยคงชิ้นอะไหล่อันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ พร้อมเติมลวดลายโลโก้ของแบรนด์เข้าไปที่ด้านข้างของตัวรองเท้า แน่นอนว่าสิ่งที่เติบโตขึ้นตามขนาดบริษัทก็คือยอดขายที่พุ่งทะยานขึ้นถึง 7 เท่าตัวในระยะเวลาสองปี

“อีกข้อที่สำคัญคือการพัฒนาคน เราอยากทำให้คนคนนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเขา การมีรองเท้าที่สวยๆ อาจทำให้คนใส่ได้กลายเป็นเขาในเวอร์ชั่นที่ดูสวยขึ้น น่ารักขึ้น เป็นเวอร์ชั่นที่เขาชอบที่สุด ย้อนกลับมาที่พนักงานของเรา เราก็อยากให้พนักงานของเราได้เติบโตเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องช่วยไกด์ให้เขาเก่งขึ้นในทุกวัน ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้คือเราต้องมีไฟที่จะเรียนรู้ ต้องผลักดันตัวเองให้เก่งขึ้นก่อน เพราะถ้าเราไม่เก่งขึ้นทีมก็จะไม่เก่งขึ้นเหมือนกัน”

รองเท้าที่จะพาแบรนด์ไทยไปบุกต่างประเทศ

โต้งเล่าว่าความฝันก้าวต่อไปของ Labotte คือการก้าวไปเป็น house of brand และเป็นแบรนด์ไทยที่เติบโตไปสู่ระดับโลก ซึ่งการขยายซับแบรนด์อย่าง Labotte Classic ถือเป็นก้าวแรกของความฝันดังกล่าว

“เรารู้สึกว่าแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาในไทยเยอะ แต่แบรนด์ไทยที่ได้ไปต่างประเทศอาจจะยังไม่เยอะมากนัก ในอนาคตเราอาจทำแบรนด์เสื้อผ้า หรือแบรนด์อื่นๆ ที่คนไทยภูมิใจ และทำให้เราเติบโตขึ้นไประดับโลกได้ 

“ซึ่งจากเป้าหมายนี้ มันทำให้มุมมองของเราเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เราเคยคิดว่าจะไปโกลบอลได้เราต้องชนะคู่แข่งในไทย แต่การทำแบรนด์มาถึงจุดหนึ่งทำให้เราพบว่ามันไม่ใช่ winner takes all ไม่ใช่ว่าลูกค้าซื้อเราแล้วเขาจะไม่ซื้อคนอื่น เขาซื้อเราเพราะเราเป็นเรา เพราะเราน่ารัก และเขาอาจจะซื้อคู่แข่งเพราะมันถูกต้องในสไตล์อื่น

“ความสัมพันธ์ของแบรนด์ในตลาดตอนนี้ไม่ใช่การฆ่ากันให้ตาย แต่เป็นการที่เราก็ทำให้เขาเก่งขึ้น และเขาก็ทำให้เราเก่งขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งเราทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เราดูดี เขาก็จะทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เขาดูดี ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้แบรนด์ไทยเก่งและแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เราจะเติบโตไปด้วยกัน และหลังจากนี้เราก็จะได้พากันไปบุกต่างประเทศได้” เขาทิ้งท้าย

 

What I’ve Learned

  1. Passion ต้องหาแพสชั่นให้เจอ เพราะการทำแบรนด์คือการทำไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้นคนทำต้องสนุกกับสิ่งที่ทำก่อน ถ้าทำแล้วไม่ชอบ ต่อให้แบรนด์มันประสบความสำเร็จมันก็จะไม่เติมเต็ม
  2. Opportunity การจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่งก็ต้องดูเรื่องโอกาสด้วย แค่แพสชั่นคงไม่พอ คุณชอบอย่างเดียวแต่ไม่มีโอกาสก็คงไม่ประสบความสำเร็จ
  3. Never Give Up สุดท้ายคือคุณต้องอย่ายอมแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเนื้อหา

หลักธุรกิจที่ทำให้ ‘ดุสิตธานี กรุงเทพ’ ติดอันดับที่ 60 โรงแรมยอดเยี่ยมของโลก

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ เพิ่งติดอันดับ 60 ใน 100 โรงแรมยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และคว้ามิชลินคีย์เป็นครั้งแรก ขณะที่การออกแบบโรงแรมก็มีเรื่องสนุกๆ อย่างการจัดวางทิศอาคารให้เบี้ยวกับถนนเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงวิวไฟจราจร และการให้ทีมออกแบบไปอ่านไตรภูมิพระร่วงเพื่อเลือกต้นไม้ไทยสำหรับสวนดุสิตอรุณ ขนาด 7 ไร่ กลางโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

ไม่บ่อยนักที่ ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ รักษาการประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) จะเปิดใจเล่าเรื่องราวเบื้องหลังโครงการใหญ่ครั้งนี้ หลังจากหลายปีที่ตัดสินใจปิดโรงแรมเดิมและทุ่มเทเวลากว่า 5 ปีกับการลงทุนครั้งสำคัญ ทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ในการสร้างประสบการณ์ร่วมสมัยที่ยังคงหัวใจบริการแบบไทย

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังจิตวิญญาณของความเป็นดุสิตธานี และโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่หัวใจของการบริการอันอบอุ่นแบบไทยยังคงสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

ชูสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย ที่สำคัญ ทิศทางแดด ลม เลขมงคล ต้องเป๊ะ

สถาปัตยกรรมไทยดั้งเดิมคือหัวใจของ ‘โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ’ ในห้องพักจะเห็นทั้งตั่งไทย ลายเบญจรงค์ปักดิ้นทอง โต๊ะหินอ่อน และประตูบานเฟี้ยมสั่งทำพิเศษเป็นสีเขียวศิลาดล ซึ่งเป็นสีประจำของดุสิตธานี มีการปรับเพดานให้สูงขึ้นและตกแต่งภายในให้ร่วมสมัยเพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้เป็นตัวแทนโรงแรมไทยบนเวทีโลก

ชนินทธ์ยังเล่าว่าการสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจสถานที่อย่างลึกซึ้ง ด้วยการเติบโตและคุ้นเคยกับย่านนี้ ทำให้รู้ทิศทางแดด ลม และเสียงรบกวนจากถนนสีลมเป็นอย่างดี การออกแบบจึงละเอียดและใส่ใจในทุกองค์ประกอบ 

อาคารออฟฟิศถูกจัดวางเพื่อบังแดดให้อาคารส่วนอื่นๆ ได้รับแสงอย่างเหมาะสม ได้รับคำปรึกษาจากซินแสทั้งจากฮ่องกงและไทยเพื่อกำหนดทิศทางการหันทิศของอาคาร ใช้กระจกสามชั้นกันเสียง และระบบแอร์พร้อมไส้กรอง PM2.5 ในโรงแรมทำให้ได้อากาศบริสุทธิ์ ไร้เสียงรบกวนแม้อยู่ใจกลางเมือง  ภายในห้องพักนับได้ว่าแทบจะเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่มองเห็นทั้งสวนลุมพินีกับสวนเบญจสิริ 

ความตั้งใจอีกประการคือการรักษาเอกลักษณ์เดิมตั้งแต่สมัยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง ออกแบบโรงแรมดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด ทั้งการผสานศาสตร์ตัวเลขมงคล 3 6 8 9 ในการออกแบบ เช่น ระยะทางเดินรอบสวน และน้ำตก 9 ชั้นซึ่งเลียนแบบน้ำตกเดิมที่สร้างเมื่อ 60 ปีก่อน ทุกองค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนความต่อเนื่องและจิตวิญญาณของดุสิตอย่างครบถ้วน

อย่าตั้งโจทย์จากกำไรสูงสุดเป็นสิ่งแรก หนึ่งในเหตุผลที่ปรับอาคารให้ตั้งเบี้ยวเล็กน้อยจากแนวถนน

ช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปีก่อน อาคารต่างๆ ของโครงการดุสิตธานีไม่สั่นไหว ชนินทร์ชี้ว่าสิ่งนี้มาจากหลักการทำธุรกิจที่ยึดถือมาตลอด คือการออกแบบต้องดี ไม่ตัดงบ และสร้างรากฐานให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชื่อเสียงของดุสิตคือความเชื่อใจและความไว้วางใจว่าโรงแรมจะไม่เอาเปรียบลูกค้า

ชนินทร์ยังบอกว่า หากโจทย์คือทำกำไรให้ได้มากที่สุด โรงแรมคงไม่ออกมาในรูปแบบนี้ หลายอย่างจึงไม่ใช่สิ่งที่ธุรกิจโรงแรมทั่วไปทำ เช่น การปรับอาคารให้ตั้งเบี้ยวเล็กน้อยจากแนวถนน เพียงเพื่อให้ผู้เข้าพักไม่เห็นไฟจราจรและรถติดจากห้องพัก

แม้ช่วงโควิด-19 หลายคนแนะนำให้ชะลอหรือประหยัดค่าใช้จ่าย ดุสิตยังคงลงทุนขยายโครงการเรสซิเดนซ์ ซึ่งขายห้องพักได้แม้ในช่วงวิกฤตด้วยความโดดเด่นและความน่าเชื่อถือจากเครือโรงแรม ชนินทร์สรุปว่าไม่ใช่เพราะเราเก่งเพียงอย่างเดียว แต่หากทำสิ่งที่ดีและสร้างความมั่นใจให้คน ผู้คนก็พร้อมที่จะซื้อ

เลือกต้นไม้ไทยจากไตรภูมิพระร่วง สร้างสวนลอยฟ้าให้ชุมชน

ความตั้งใจในการทำสวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค คือไม่อยากให้กรุงเทพฯ เป็นเพียงเมืองคอนกรีต และอยากสร้างพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงกับชุมชน ด้วยเป็นบริษัทไทย ชนินทร์จึงตั้งโจทย์นอกกรอบให้ทีมออกแบบไปอ่านหนังสือโบราณ เช่น ไตรภูมิพระร่วง เพื่อหาว่าหนังสือเก่าแก่ที่สุดของไทยมีต้นไม้ไทยชนิดใดบ้าง พร้อมคัดสรรต้นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศ ลดฝุ่น และเลือกต้นไม้ไทยชื่อมงคล เพื่อให้สวนลอยฟ้าแห่งนี้มีทั้งความสวยงาม ความยั่งยืน และคุณค่าทางจิตวิญญาณ

สวนดุสิตอรุณจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่พักผ่อน แต่อยากเป็นแรงบันดาลใจให้โครงการอื่นๆ ในเมืองเห็นความสำคัญของการคืนประโยชน์สู่ชุมชน แม้การลงทุนและค่าดูแลสวนจะสูง ตั้งแต่การเลือกใช้ไม้สักทองทนแดดทนฝน ชนินทร์ยังยึดหลักเดิมคือไม่เริ่มต้นจากการคิดกำไรสูงสุด แต่หวังว่าเมื่อสวนได้รับการตอบรับที่ดี จะดึงดูดผู้คนมาเยี่ยมชมศูนย์การค้า เซ็นทรัล พาร์ค ได้อย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพและเข้าถึงชุมชนได้จริง

ปั้นโรงแรมไทยให้ติดอันดับโลก

สุดท้ายนี้ ชนินทร์มองว่า โรงแรมยอดเยี่ยมที่ติดอันดับโลกไม่ควรมีเพียงชื่อโรงแรมต่างชาติ แต่ควรมีโรงแรมไทยที่แข่งขันกับมาตรฐานระดับโลกด้วย โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่จึงชูความเป็นไทย พร้อมหวังให้ทุกส่วนของโครงการ ทั้งศูนย์การค้า ออฟฟิศ เรสซิเดนซ์ โรงแรม บริการด้าน wellness และร้านอาหารของโรงแรม สะท้อนความร่วมสมัยและมาตรฐานการบริการระดับสากลได้อย่างแท้จริง และเคล็ดลับเหล่านี้คือหลักการบริหารของ ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ ที่มาจากความผูกพันในดุสิตธานีอย่างแท้จริง