Supermama ร้านสินค้าดีไซน์ที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมผ่านนักออกแบบกว่า 100 คนทั่วเอเชีย

หลายคนที่หลงใหลในงานออกแบบท้องถิ่นที่มีสไตล์ร่วมสมัยและวางแผนไปเยือนสิงคโปร์ไม่ควรพลาด Supermama ร้านสินค้าดีไซน์และของที่ระลึกอายุ 15 ปี เบื้องหลังของร้านนี้มีเรื่องราวไม่ธรรมดาเพราะออกแบบสินค้าร่วมกับนักออกแบบชาวสิงคโปร์กว่า 100 คน และผู้ผลิตจากเอเชียกว่า 70-80 ราย อีกทั้งยังถูกเชิญไปแสดงผลงานในเวทีนานาชาติตั้งแต่มิลานจนถึงโตเกียว

Edwin Low ผู้ก่อตั้ง Supermama ชาวสิงคโปร์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้คัดสรรและสร้างสรรค์สินค้าภายในร้านเท่านั้น ล่าสุดเขายังทำหน้าที่เป็นหนึ่งใน Co-curator ของงาน EMERGE @ FIND Design Fair Asia 2025 ที่จัดแสดงผลงานดีไซน์ 166 ชิ้นจาก 12 ประเทศในเอเชีย เพื่อสะท้อนเสน่ห์ของงานคราฟต์ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมของเอเชียเข้ากับความร่วมสมัย

เส้นทางของ Supermama เริ่มต้นจากการเป็นร้านค้าปลีกอิสระเล็กๆ ที่นำเข้าสินค้าญี่ปุ่นเป็นหลัก ก่อนจะขยับมาออกแบบสินค้าของตัวเอง โดยตั้งต้นจากคำถามง่ายๆ จากการอยากเรียนรู้การทำธุรกิจรีเทลว่า ทำไมสินค้าบางอย่างดีไซน์ไม่เด่นและราคาสูง แต่กลับขายดี ขณะที่บางครั้งสินค้าดีไซน์ดี ราคาถูก กลับไม่ค่อยมีคนหยิบ

หลังจากทดลองออกแบบสินค้าดีไซน์สวยทั้งถ้วย จาน เก้าอี้ของตัวเอง เอ็ดวินก็เริ่มเข้าใจจิตวิทยาลูกค้าว่า สิ่งที่ทำให้ของชิ้นหนึ่งมีคุณค่าคือ การเล่าเรื่อง ผู้ซื้อมักมีใครสักคนอยู่ในใจเสมอ ไม่ว่าจะซื้อเป็นของขวัญให้คนอื่นหรือซื้อให้ตัวเอง

เมื่อ Supermama หันมาเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมของสิงคโปร์และเอเชีย ร้านก็ได้รับความสนใจจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยมีคอลเลกชั่นเด่นอย่าง Singapore Blue ที่นำจานลายครามสีน้ำเงิน-ขาวอันเก่าแก่ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมหลักร้อยปีมาต่อยอดด้วยไอคอนของสิงคโปร์นับร้อยชิ้นที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เมอร์ไลอ้อน จนกลายเป็นของที่ระลึกที่เติบโตสู่ตลาด B2B และองค์กรต่างๆ เริ่มอยากให้ Supermama ถ่ายทอดเรื่องราวของบริษัทตัวเองเป็นลวดลายบนจานที่มีความหมายเฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมีคอลเลกชั่นอื่นอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบรุ่นใหม่ออกแบบสินค้าดีไซน์ร่วมสมัย ทั้ง Japan Crafts และ New Nanyang ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างนักออกแบบสิงคโปร์กับผู้ผลิตญี่ปุ่น

จากร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้คิดเรื่องขยายสาขา เมื่อพิพิธภัณฑ์เห็นศักยภาพของผลงาน จึงเกิดการขยายสู่ Supermama สาขาใหม่ในพิพิธภัณฑ์ ทั้งที่ Asian Civilizations Museum และ Peranakan Museum ในสิงคโปร์ กลายเป็นร้านที่เล่าเรื่องราวมรดกทางวัฒนธรรม และแสดงให้เห็นว่างานคราฟต์ของเอเชียสามารถต่อยอดได้ไม่รู้จบ

 Business Wisdom 
    Business Needs Time to Brew

เอ็ดวินเล่าว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นนักธุรกิจ ไม่ได้มีภาพว่าร้าน Supermama จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ตอนแรกคิดว่าธุรกิจจะปิดภายในหนึ่งปีด้วยซ้ำ

“ผมไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ได้เรียนธุรกิจ ผมเป็นนักออกแบบ ก่อนหน้านั้นผมสอน Product Design และ Experience Design อยู่ที่สถาบันการออกแบบในสิงคโปร์ ก่อนหน้านั้นก็เคยทำบริษัทโปรดักชั่นของตัวเอง ทำงานเป็นทั้งช่างถ่ายวิดีโอ ช่างภาพ นักตัดต่อ ผมชอบทำงานสร้างสรรค์ สาเหตุที่เริ่ม Supermama เพราะผมคิดว่าเมื่อล้มเหลว ผมจะกลับไปสอนและบอกนักเรียนเรื่องความล้มเหลวของผมให้พวกเขาได้เรียนรู้”

การเปิดร้าน Supermama เป็นความฝันของเอ็ดวินในฐานะนักออกแบบที่ฝันอยากมีร้านสินค้าดีไซน์เป็นของตัวเอง เพราะอยากออกแบบและขายสิ่งที่ชอบ ช่วงแรก เอ็ดวินกับภรรยาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่ออกแบบ การตลาด การเงิน ไปจนถึงงานขาย และต้องใช้เวลาถึง 4 ปีกว่ากำไรจะงอกเงย

“พอครบปีแรก ร้านเราไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน ผมเลยบอกเพื่อนว่า จะปิด Supermama แต่เพื่อนที่ทำธุรกิจรีเทลบอกว่า ‘ในธุรกิจรีเทล ถ้าคุณไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่ขาดทุนหลังหนึ่งปี นั่นก็ไม่เลว คุณควรทำต่อ’ ผมก็คิดว่า จริงด้วยนะ ก็เลยตัดสินใจทำต่อ”

บทเรียนแรกที่เอ็ดวินเรียนรู้คือ ความสัมพันธ์และการสร้างคุณค่าในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญมาก “ถ้าไม่มีเพื่อนที่คอยบอก ผมคงไม่รู้ว่าการไม่ทำเงินก็โอเค เรามักคิดว่าถ้าไม่ทำเงิน เราควรปิด แต่บางครั้ง business needs time to brew ธุรกิจต้องใช้เวลาในการสร้างกำไร ต้องใช้เวลาในการเล่าเรื่อง”

เอ็ดวินเล่าย้อนถึงสถานการณ์ตอนเริ่มทำ Supermama ว่า ในช่วงนั้นคนสิงคโปร์นิยมสินค้านำเข้าตลาดเต็มไปด้วยงานดีไซน์จากต่างประเทศ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตมาได้ภายหลังคือการสร้างความหมาย (meaning) ในธุรกิจ

“ตอนนั้นประเทศเราไม่ได้สร้างสรรค์งานออกแบบของเราเอง ผมจึงรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่ชาวสิงคโปร์จะต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็น Singapore design หากคุณทำธุรกิจทางวัฒนธรรม ผมคิดว่าการค้นหาความหมายและเหตุผลว่าทำไมธุรกิจคุณถึงควรมีอยู่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากคุณไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อว่าธุรกิจสร้างความหมายได้ คุณก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อในความฝันหรือวิสัยทัศน์เดียวกับที่คุณมีได้”

จุดเปลี่ยนเมื่อธุรกิจได้กำไรคือ การออกคอลเลกชั่นจานเซรามิกลาย HDB flat (Housing & Development Board flat หรือ โครงการบ้านที่อยู่อาศัยสาธารณะของรัฐบาลสิงคโปร์) ที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ในราคาเข้าถึงง่าย ไม่ถึง 50 ดอลลาร์ ซึ่งเอ็ดวินมองว่า เป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์มีผลงานออกแบบเป็นของตัวเองจริงๆ แถมคนสิงคโปร์ยังคุ้นเคยกับ HDB flat เป็นอย่างดีทำให้เล่าเรื่องง่าย 

ประจวบกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงฉลองครบรอบ 50 ปีของวันชาติสิงคโปร์ ทำให้เกิดกระแสความภูมิใจในชาติ เกิดความนิยมในของที่ระลึกและแบรนด์ท้องถิ่น อยากสนับสนุนแบรนด์สิงคโปร์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Supermama อยู่รอดและเติบโตในช่วงเริ่มต้นได้ 

Stories and Meaning Matter

สำหรับนักออกแบบแล้ว การทำการตลาดและการขายย่อมเป็นเรื่องยาก แต่เอ็ดวินเล่าว่าเขามีหลักการอันเรียบง่ายที่ทำให้คนสนใจ 

“ตอนเริ่มต้น ผมมักบอกคนอื่นว่าผม ‘ทำการตลาดโดยไม่ทำการตลาด’ ผมไม่มีเงินทุนแม้แต่จะติดป้ายหน้าร้าน คุณอาจอยู่หน้าร้าน Supermama แต่ไม่กล้าเดินเข้าไป เพราะไม่รู้ว่านี่คือ Supermama หลังจากนั้น คุณก็เดินออกไป แล้วมารู้ทีหลังว่านี่คือประตูของร้านนี้ แต่ครั้งต่อไปที่คุณมา คุณก็จะเดินเข้าไปและใช้เวลามากขึ้นในร้าน”

เอ็ดวินเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบออร์แกนิกเพราะตอนเริ่มต้นเมื่อ 15 ปีที่แล้วเป็นยุคที่ยังไม่มีอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก แม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังเชื่อว่าการบอกต่อ หรือ word-of-mouth เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ดีที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าการซื้อโฆษณาหรือจ้างอินฟลูเอนเซอร์ และสิ่งที่ทำให้เกิดการบอกต่อคือเรื่องราวที่สร้างความประทับใจแก่ผู้คน

เมื่อถามถึงวิธีคิดในการออกแบบของใช้ในชีวิตประจำวันให้ร่วมสมัย เอ็ดวินแนะนำว่ามีสองสิ่งที่ให้ความสำคัญเสมอ สิ่งแรกคือการเล่าเรื่อง (storytelling)

“ตอนนี้คุณสามารถผลิตอะไรก็ได้ในโลก แต่ลองคิดดูว่า โลกต้องการเก้าอี้อีกตัวไหม คุณสามารถหยิบปากกาและกระดาษมาสเกตช์โคมไฟ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าการออกแบบนั้นมีคนผลิตแล้วที่ไหนสักแห่ง คุณสามารถสเกตช์เก้าอี้ที่ดู crazy ได้มากมาย แต่ความจริงคือ มันอาจถูกผลิตแล้วที่ไหนสักแห่ง

“ผมเชื่อว่าโลกไม่ได้ต้องการเก้าอี้อีกตัว โคมไฟอีกอัน หรือวัตถุอีกชิ้น แต่โลกต้องการความหมาย โลกต้องการเรื่องราวที่ถูกเล่า ดังนั้นผมมักถามนักออกแบบของผมเสมอว่า เราต้องการเล่าเรื่องอะไร เราอยากให้คนรู้เรื่องราวชีวิตคนสิงคโปร์ในชีวิตประจำวันมากขึ้นไหม หรืออยากให้คนรู้เรื่องอาหารที่เรากิน เรื่องที่เราอยากเล่ามันเกี่ยวกับอะไร เราไม่ได้ออกแบบแค่ผลิตภัณฑ์ เราออกแบบเรื่องราว และเล่าเรื่องผ่านผลิตภัณฑ์”

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพที่สุดคือ จานเซรามิกลายไอคอนของสิงคโปร์กว่า 100 อย่าง ที่ออกแบบลายใหม่ทุกปีเพราะพื้นที่บนจานมีจำกัด และทุกปีสิงคโปร์ก็มีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือเหรียญทองโอลิมปิกครั้งแรก ทุกลายจึงเป็นเหมือนบันทึกทางวัฒนธรรมที่เติบโตไปพร้อมเมืองและผู้คน

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เอ็ดวินทำคือการรับรู้เทรนด์และเรื่องราวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมองไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ทิ้งมรดกเก่าแก่ ทีม Supermama เดินทางไปสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวในอดีตทั้ง ทั้งพิพิธภัณฑ์ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (National Archives) ก่อนจะออกแบบไอคอนต่างๆ บนจาน

“ตอนเราออกแบบดีไซน์สไตล์มาเลย์ (Malayan design) มันไม่ใช่แค่เป็นดีไซน์น่ารักๆ ที่คาวาอี้ แต่เราศึกษาว่าสัญลักษณ์ของมาเลย์คืออะไร มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งหมดนี้สำคัญมาก บางครั้งเราไม่รู้คำตอบ ดังนั้นเราจะไปที่หน่วยงานรัฐ พิพิธภัณฑ์เหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวของสิงคโปร์ในฐานะเมืองท่า แล้วก็เริ่มออกแบบจากความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรม (heritage) จากตรงนั้น”

สิ่งที่สองที่เอ็ดวินให้ความสำคัญคือความตั้งใจและเจตนารมณ์ในการผลิต เมื่อโลกเต็มไปด้วยการผลิตตลอดเวลา และทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้สินค้าทุกอย่าง การใคร่ครวญถึงคุณค่าและเหตุผลในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จึงสำคัญ 

“ผมคิดว่ามันจะเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ถ้าผมผลิตสินค้าออกมา แล้วพยายามบอกว่า ซื้อสินค้าของผมสิ แล้วจะได้ลดราคา 50% หรือ 10% แบบนั้นผมกำลังขายของหรือแค่เคลียร์สต็อก ดังนั้นในฐานะนักออกแบบและผู้ผลิต เราต้องมีความรับผิดชอบ และต้องตระหนักว่าเราจะขายอะไร ขายให้ใคร เราสามารถทำให้การบริโภคหรือการซื้อสินค้ามีความตระหนักรู้ได้ไหม”

หลังจาก Supermama เปิดมานานถึง 15 ปี ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเอ็ดวินยังเปิดร้านน้องใหม่ในเครือชื่อ ‘We Are Super’ ซึ่งเป็น inclusive design agency ที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานที่ออกแบบร่วมกับคนพิการ เพื่อคนพิการ เป็นพื้นที่เปิดที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ มีทั้งคาเฟ่, สตูดิโอ, แกลเลอรี, ร้านหนังสือเล็กๆ, โรงคั่วกาแฟ, 3D printing lab และมีเป้าหมายอยากจ้างงานคนพิการให้มีส่วนร่วมผ่านเฟรมเวิร์ก 4Ps คือ Programs, Product, Publishing และ Public Platforms โดยเอ็ดวินหวังว่าธุรกิจส่วนนี้จะเป็นหน่วยเพื่อสังคมของธุรกิจที่ทำให้ชีวิตคนพิการดีขึ้นได้จริง

Life Wisdom
Southeast Asia Ecosystem Builder 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Supermama ประสบความสำเร็จคือการร่วมมือกับนักออกแบบและผู้ผลิตจากหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งทำให้เอ็ดวินตกตะกอนสิ่งสำคัญในการออกแบบดีไซน์ร่วมสมัย

“ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากคือ การมองภาพรวมของระบบนิเวศทั้งหมด บ่อยครั้งที่นักออกแบบเมื่อออกแบบก็ออกแบบเฉยๆ ส่วนผู้ผลิตเมื่อผลิต ก็แค่ผลิต พวกเขาไม่เข้าใจการออกแบบ ไม่ได้สื่อสารกับนักออกแบบจริงๆ ส่วนนักออกแบบก็มักจะบอกว่า เฮ้ ผลิตดีไซน์ของฉันให้หน่อยสิ แต่บางครั้งฝั่งผู้ผลิตไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องออกแบบแบบนี้ ทำไมกระบวนการงานผลิตของฉันถึงถูกทำให้ยากขนาดนี้

“ดังนั้นผมมองตัวเองเหมือนเป็นนักแปล ผมเป็นเหมือนกาวที่เชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมผู้ผลิต ผมเริ่มจากเข้าใจผู้ผลิต พูดคุยกับพวกเขาเพื่อดูว่าสิ่งไหนเป็นไปได้ สิ่งไหนเป็นไปไม่ได้ จากนั้นผมก็พยายามพบปะนักออกแบบและเริ่มเข้าใจ design philosophy ของพวกเขา เข้าใจว่าสิ่งไหนสามารถปรับได้ สิ่งไหนไม่สามารถปรับได้ จากตรงนั้น ผมก็เริ่มนำทุกคนมารวมกันโดยการสื่อสารกับทุกฝ่าย

“ผู้ผลิตจึงทำงานกับผมง่ายขึ้น นักออกแบบก็ทำงานกับผมง่ายขึ้น ผลลัพธ์คือเราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไอเดียใหม่ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นระบบนิเวศทั้งหมด ทุกคนเข้าใจกันและกัน ทุกคนได้ประโยชน์จากระบบนี้ และแต่ละคนมีความรู้ลึกซึ้งในสาขาของตัวเอง เมื่อคุณนำทั้งหมดนี้มารวมกันมันก็จะสมบูรณ์แบบ”

แน่นอนว่าการทำงานในฐานะนักแปลที่ต้องเจอคนหลายฝ่าย จากหลายวัฒนธรรมย่อมมีความท้าทาย เอ็ดวินมองว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ การเรียนรู้ที่จะ ‘learn how to unlearn’ ฝึกวางความรู้ที่ติดตัวมาและไม่สันนิษฐานล่วงหน้าจากมุมของตัวเองเท่านั้น

“เรามักคิดว่าการทำงานกับช่างฝีมือญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก เพราะคุณไม่พูดภาษาของพวกเขา คุณคิดว่าพวกเขาอาจไม่อยากทำงานกับคุณ แต่ความจริงคือ ถ้าคุณทำงานกับช่างฝีมือหรือผู้ผลิตและใช้เวลาอยู่กับพวกเขา ความจริงแล้วช่างฝีมือก็อยากทำงานกับคุณ และอยากลองพัฒนาไอเดียใหม่ๆ แต่พวกเขาเองก็กลัว เพราะอยากทำออกมาให้ดีที่สุด เวลาพบว่าทำไม่ได้ดีที่สุด พวกเขาก็พยายามไม่รับปากอะไร ถึงแม้เราจะคิดจากมุมมองของเราว่า ช่างฝีมือต้องภูมิใจมากแน่ๆ ทำไมถึงจะไม่อยากทำงานกับเรา แล้วเราก็อาจคิดสันนิษฐานอะไรหลายอย่างไปเอง”

Put yourself in someone else’s shoes. เข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายมากกว่าการคาดเดา แล้วลืมสมมติฐานหลายอย่างที่เคยมี จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การทำงานกับคนหลายกลุ่มราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสิงคโปร์ที่เป็นพหุวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลจากทั้งญี่ปุ่นและจีน เอ็ดวินจึงบอกว่าเขาไม่ได้นิยามสไตล์การออกแบบหรือสินค้าของ Supermama ว่าเป็นสไตล์ไหน

“คนมักจะพูดว่า ถ้าคุณมาสิงคโปร์ ร้าน Supermama เป็นเหมือน organized chaos ที่เห็น random stuff วางอยู่รอบร้าน แต่เพื่อทำร้านที่สะท้อนความเป็นเอเชียและสิงคโปร์ คุณไม่สามารถนิยามตัวเองได้ ถ้าผมเลือกเอาแต่ของที่ตัวเองชอบมา ร้านนั้นก็จะไม่ใช่ร้านออกแบบของสิงคโปร์ แต่จะเป็นร้านออกแบบของเอ็ดวิน ถ้าจะให้เป็นร้านออกแบบสิงคโปร์ คุณต้องเคารพการออกแบบ เคารพแนวคิดจากคนหลายประเภทและดีไซเนอร์สิงคโปร์หลายสไตล์ให้ได้มากที่สุด

“ดังนั้นตอนนี้ร้านที่ Asian Civilizations Museum ของเรา เราจึงวางโพซิชั่นเป็นร้านออกแบบเอเชียร่วมสมัย (Contemporary Asian design store) เราต้องมีงานออกแบบจากทุกส่วนของเอเชีย ถึงจะสมเหตุสมผล สิ่งที่ผมทำคือออกแบบประสบการณ์ของพื้นที่ (curate space) เพื่อให้เมื่อคุณเดินเข้ามาในร้าน คุณจะเริ่มช้าลง ผ่อนคลาย โดยแต่ละชิ้นงานมีพื้นที่ของมันเองที่จะสื่อสารกับคุณในแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก

“เมื่อคุณเห็นผนังสีขาว ชั้นไม้ที่ Supermama คุณจะรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เริ่มอยากช้าลงและใช้เวลาอยู่ตรงนั้น แม้จะไม่มีสินค้า คุณก็จะอยากยืนอยู่เฉยๆ ผ่อนคลายและมองของต่างๆ ดังนั้นสำหรับผม สิ่งนี้คือการสร้างพื้นที่เพื่อให้ดีไซน์แต่ละชิ้นสามารถสื่อสารเรื่องราวของตัวมันเองได้”

นอกจากการเป็นผู้ก่อตั้ง Supermama แล้ว เอ็ดวินยังเล่าว่าบทบาทการคัดสรรผลงานดีไซน์จากทั่วเอเชียมาจัดแสดงที่ EMERGE @ FIND Design Fair Asia 2025 ยังเปิดโลกและให้ข้อคิดเยอะมาก

“ผมตระหนักว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานออกแบบและงานคราฟต์ของเรามีความรุ่มรวยมาก และดีไซเนอร์จากแต่ละที่ก็มีความถนัดและสไตล์ของตัวเอง สำหรับคนสิงคโปร์ งานคราฟต์เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ใกล้ตัว ส่วนในญี่ปุ่น งานคราฟต์ถูกมองเป็นสิ่งสำคัญที่น่ายกย่องมาก จนบางครั้งรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม ตอนเริ่มคัดเลือกผลงาน ผมเริ่มเข้าใจมุมมองที่แตกต่างเหล่านี้และคิดว่าการผสานทุกวัฒนธรรมมารวมกันในงานเป็นสิ่งสำคัญ

“อีกสิ่งที่ผมเรียนรู้คือ เรามักตามดีไซน์เทรนด์จากประเทศตะวันตก แต่เมื่อผมดูแลงาน Emerge ปีนี้ รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นมากที่งานฝั่งเอเชียมีความหลากหลาย ทั้งงานคราฟต์ งานออกแบบ ศิลปะจากหลายวัสดุและเทคนิค ทั้งแก้ว ไม้ไผ่ งานทอ งาน textile การพิมพ์ 3D printing การออกแบบ lighting และแม้ว่าของทั้งหมดจะต่างกันมากจนดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่เมื่อมารวมกัน มันกลับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน และผมคิดว่านี่คือ ความงดงามของการออกแบบสไตล์เอเชีย

“ผมคิดว่าพวกเราชาวเอเชียจำเป็นต้องมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มั่นใจในปรัชญา มุมมองการออกแบบและมุมมองชีวิตของเรามากขึ้น ผมคิดว่าผู้คนชอบสิ่งเหล่านี้ในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะความจริงแล้ว we have a voice เรามีความคิดเห็นและมุมมองของเราเอง และผมหวังว่า Emerge จะเป็นแพลตฟอร์มให้ดีไซเนอร์ทุกคนได้พูดและแสดงความคิดเห็น ถ้าคุณคิดว่าความยั่งยืนเป็นประเด็นสำคัญ ก็แสดงให้เห็นผ่านผลงานของตัวเองว่าอยากจัดการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งหลายคนที่จัดแสดงผลงานก็ทำได้ดี 

“สำหรับผม งาน Emerge ทำให้รู้สึกว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เราพร้อมแล้ว เราเจริญ เรามีสิ่งที่จะนำเสนอให้โลก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือการออกแบบที่ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ และเราสามารถมีส่วนร่วมทำให้โลกดีขึ้นได้”

 Craftsmanship Mindset 

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือสร้างสรรค์งานออกแบบ ข้อคิดสำคัญอีกหนึ่งอย่างจากเอ็ดวินคือการมี craftsmanship mindset

“ผมจะยกตัวอย่างศัพท์ภาษาญี่ปุ่นคำหนึ่งคือ Temahima หลักการนี้เกี่ยวกับการให้เวลาและใส่ความตั้งใจลงไปในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (time and effort) เหมือนช่างฝีมือแต่ละคนที่ใช้ชีวิตกับการทำสิ่งเดียวซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง แต่นี่คือปรัชญาที่เกินขอบเขตงานฝีมือหรืองานผลิตสินค้า มันคือการตั้งใจทำอย่างมีจุดมุ่งหมาย

“สำหรับผม มันคือการตั้งคำถามว่า มีสิ่งใดบ้างที่เรายินดีจะใช้เวลาในการทำ เราสามารถใช้เวลา ให้คุณค่าและชื่นชมสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ในประเทศอย่างสิงคโปร์หรือกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองใหญ่ เราควรใช้เวลาไตร่ตรองว่างานที่เราทำหรือสิ่งที่เราผลิตนั้นจำเป็นจริงหรือไม่ และเมื่อพบว่าสิ่งนั้นจำเป็น เราก็ค่อยๆ ผลิตอย่างตั้งใจ แทนที่จะเร่งทำเพื่อสร้างกำไรสูงสุดตั้งแต่ต้น”

หากสรุปปรัชญานี้เป็น 3 แนวคิดง่ายๆ คือ ใช้เวลา (take time) ไม่รีบร้อน (don’t rush through things) และใส่ความตั้งใจลงไป (put in effort) 

แต่ระหว่างทางที่มุ่งมั่นใส่ความตั้งใจและให้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมผ่านความล้มเหลวบ้างเป็นธรรมดา เอ็ดวินแนะนำว่า “ผมคิดว่าตอนเรายังอายุน้อย โฟกัสของเราคือ ทำสิ่งที่เราชอบ ตอนนั้นเวลาอยู่ข้างเรา เรายังไม่เสียอะไร และมันขึ้นอยู่กับเฟสของธุรกิจที่คุณอยู่ ถ้าเป็นสตาร์ทอัพ ผมคิดว่า ทำทุกไอเดียที่คุณมีให้เร็วที่สุดและล้มเหลวให้เร็วที่สุด แต่แนวคิดนี้อาจเหมาะกับสตาร์ทอัพเท่านั้น

“เมื่อบริษัทเริ่มโตขึ้น คุณต้องหาเหตุผลว่า ทำไมธุรกิจยังอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ เช่น Supermama อยู่มา 15 ปีแล้ว เพราะเราตอบโจทย์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอ  คุณต้องหาว่าทำไมคนถึงรักเรา ทำไมธุรกิจยังอยู่ ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ คุณก็จะสับสนไปมา กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงคือ ทำธุรกิจหลักให้ดีที่สุด แต่ก็เปิดกว้างให้ความร่วมมือกับคนอื่นๆ leave room for magic to happen”

การเริ่มทำ Supermama ทำให้เอ็ดวินได้มีโอกาสดูแลร้านในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่รักมาก มีคนติดต่อมาให้จัดงานดีไซน์แฟร์ระดับภูมิภาคเอเชีย ไปจนถึงได้พื้นที่สำหรับทำร้านใหม่อย่าง We are Super ซึ่งถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในบางครั้ง แต่ความคิดว่าอยากลองดู ก็ทำให้การลองทำสิ่งใหม่กลายเป็นเรื่องสนุก

ในบทบาทผู้ประกอบการ เอ็ดวินสรุปสามข้อที่ยึดเป็นสิ่งสำคัญตลอดมาในการทำธุรกิจด้านงานออกแบบและวัฒนธรรม  หนึ่ง เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่มี

“ไม่ว่าจะเริ่มด้วยหัวใจ ด้วยความรักหรือความสนใจในสิ่งใด แค่เริ่มต้น แล้วสิ่งต่างๆ จะเริ่มเกิดขึ้นตามมา จากนั้นคุณจะเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือชุมชนรอบข้างหรือไม่ และเมื่อคิดอย่างลึกซึ้ง คุณจะมีทิศทางชัดเจนว่าอยากไปทางไหน”

สอง สร้างความร่วมมืออย่างกว้างขวาง

“พยายามร่วมมือกับคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสุดท้ายมันเหมือนสำนวน it takes a village to raise a child (ต้องใช้ทั้งหมู่บ้านในการเลี้ยงเด็ก) เช่นเดียวกับธุรกิจ ถ้าเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ธุรกิจคุณก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ดังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องถามตัวเองว่า ธุรกิจสามารถให้คุณค่ากลับคืนแก่ชุมชนได้ยังไง”

สาม แบ่งเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นสามส่วน

“ผมมักบอกลูกๆ สามคนของผมว่า คนเรามี 24 ชั่วโมงต่อวัน แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง  ฃ8 ชั่วโมงแรกต้องนอนพักผ่อน 8 ชั่วโมงที่สอง ใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งที่รัก เล่นกีตาร์ วิ่ง หรือความสนใจในศิลปะและดนตรีที่เติมเต็มจิตวิญญานของเรา ส่วน 8 ชั่วโมงสุดท้ายใช้เวลาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

“สำหรับผม นี่คือสิ่งที่ผมอยากสนับสนุนให้ทำ คือทำสิ่งที่เรารัก แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือผู้อื่นในผ่านการทำสิ่งที่รักไปด้วย”

Image courtesy of Supermama

เมื่อเหล่าคาแร็กเตอร์บุกห้าง กับการตลาดเบื้องหลังเทศกาลปลายปี

ช่วงปลายปีไม่เพียงเป็นช่วงที่หลายคนตั้งตารอคอย แต่เหล่าห้างสรรพสินค้าก็ต่างคาดหวังว่าช่วงเวลานี้จะช่วยกอบโกยเม็ดเงินมหาศาล ในปีนี้ยังน่าจับตาเป็นพิเศษ เมื่อห้างในไทยต่างขนทัพ ‘คาแร็กเตอร์’ และ ‘ลิขสิทธิ์ป๊อปคัลเจอร์’ มาเป็นตัวนำในการตกแต่งและจัดกิจกรรมต่างๆ

นับเป็นการสร้าง ‘แม่เหล็ก’ ดึงคนให้แห่มาเที่ยวห้างในช่วงเทศกาล Recap ตอนนี้จึงขอพาไปทำความเข้าใจบรรยากาศแสนเฟสทีฟ และขอชวนไปเช็กอินด้วยกันเลย

ศึกลานคาแร็กเตอร์ที่ไม่มีใครยอมใคร

1. The Mall Group x Monchhichi   

The Mall Group เปิดแคมเปญมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยใช้ Monchhichi คาแร็กเตอร์ญี่ปุ่นในตำนาน มาเป็นหน้าตาของแคมเปญช่วงปลายปี 2025 มีทั้งการตกแต่งคริสต์มาสธีม Monchhichi, สินค้าเอกซ์คลูซีฟ เช่น Monchhichi ใส่ชุดไทย, กิจกรรม Meet & Greet และ Installation เจ้า Monchhichi สูง 12 เมตรที่เดอะมอลล์บางกะปิเป็นจุดไฮไลต์

CMO ของเดอะมอลล์อธิบายว่า ช่วงปลายปีคือ ‘ช่วงสำคัญ’ ของการค้าปลีกและการท่องเที่ยว การสร้างบรรยากาศให้สนุกและมีความสุข ไม่ได้แค่ทำให้คนยิ้มได้เท่านั้น แต่ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย การร่วมงานครั้งนี้จึงคือการผสมผสานซอฟต์พาวเวอร์จากญี่ปุ่นกับบรรยากาศเทศกาลแบบไทยๆ เพื่อทำให้ห้างกลายเป็น ‘จุดหมายปลายทาง’ ทั้งสำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยว

2. Siam Paragon x POP MART

อีกเคสคือ Siam Paragon ที่ร่วมมือกับแบรนด์อาร์ตทอยชื่อดังจากจีน POP MART เพื่อเปิดตัวอีเวนต์พิเศษ  ‘POP LAND’ พื้นที่ป๊อปอัพกว่า 1,000 ตร.ม. ครอบคลุมทั้งสยามพารากอนและสยามเซ็นเตอร์ นับเป็นอีเวนต์เอาต์ดอร์ของ POP MART ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในเต็มไปด้วยคาแร็กเตอร์คอลเลกชั่นต่างๆ ของ POP MART ทั้งอุโมงค์รวมคาแร็กเตอร์ POP MART, ต้นคริสต์มาส POP MART ต้นแรกในไทย, ฟิกเกอร์ยักษ์ของ Molly, Skullpanda ฯลฯ, คาเฟ่ธีม POP MART

ความร่วมมือนี้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ให้ไทยในฐานะฮับระดับโลกของป๊อปคัลเจอร์โดยใช้ความนิยมของอาร์ตทอยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่

3. CentralWorld x Disney

เซ็นทรัลเวิลด์ หนึ่งในห้างที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จับมือกับ Walt Disney เปิดแคมเปญ ‘Disney The Magical Star 2026’ เปลี่ยนพื้นที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์กว่า 3,500 ตร.ม. ให้กลายเป็นอาณาจักรเทพนิยายของดิสนีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ภายในมี 7 โซนธีมต่างกัน ที่เสกให้แฟรนไชส์ดังๆ ของดิสนีย์มีชีวิตจริง  

ไฮไลต์คือต้นคริสต์มาสสูง 35 เมตร ที่สูงที่สุดในอาเซียน พร้อมพาเหรด และพิธีเปิดไฟต้นคริสต์มาสที่มีเซเลบมาร่วมมากมาย เรียกว่าสเกลงานไม่แพ้ประเทศต้นทางของดิสนีย์ 

4. Central Embassy & Sticky Monster Lab

เซ็นทรัลเอมบาสซีได้จับมือกับ Sticky Monster Lab สตูดิโอครีเอทีฟชื่อดังจากเกาหลีใต้ จัดงาน ‘Funny Little Mess: Season of Giving’ ซึ่งมี installation ขนาดใหญ่ครั้งแรกของ SML ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลี่ยนพื้นที่ทั้งห้างให้กลายเป็นดินแดนของ SML โปรเจกต์นี้ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งใจใช้เทศกาลคริสต์มาสช่วยยกระดับภาพลักษณ์กรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม 

แม้คริสต์มาสจะไม่ใช่เทศกาลดั้งเดิมของไทย แต่ห้างกลับมองเป็นฤดูกาลสำคัญของปีในเชิงธุรกิจ ระดับความอลังการของงานเรียกได้ว่าไม่แพ้ หรือบางมุมอาจจะ ‘เกิน’ ห้างในประเทศตะวันตกด้วยซ้ำ

การโฟกัสที่คาแร็กเตอร์และ IP ยังสะท้อนว่าแต่ละห้างเข้าใจดีว่าคาแร็กเตอร์ที่คนรักสามารถสร้างทั้งความผูกพันทางอารมณ์และกระแสบนโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 

ปรากฏการณ์ที่ทั้ง 4 ห้างเต็มไปด้วยลานคาแร็กเตอร์จึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่สะท้อนเทรนด์ในไทยที่หันมาใช้การตลาดขับเคลื่อนด้วยคาแร็กเตอร์ character-driven marketing มากขึ้น และเชื่อมเข้ากับป๊อปคัลเจอร์ระดับโลก 

ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่ใช้เทศกาลเป็นเครื่องมือของร้านค้าปลีก หลายประเทศก็เปลี่ยนห้างและย่านช้อปปิ้งให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางช่วงวันหยุด แต่รูปแบบจะต่างกันไป 

ทำไมห้างถึงทุ่มสุดตัวกับการตลาดช่วงเทศกาล

โดยทั่วไป เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม มักกินสัดส่วนยอดขายค้าปลีกค่อนข้างสูงอยู่แล้ว อย่างในไทย เดอะมอลล์กรุ๊ปก็คาดว่ากลยุทธ์ช่วงเทศกาลปี 2025 จะช่วยรักษายอดขายปลายปีไว้ที่ 55,000 ล้านบาท  

ห้างเชื่อว่าบรรยากาศที่ครึกครื้น สนุกสนาน และน่าตื่นตา จะดึงให้คนออกมานอกบ้านมากขึ้น ใช้เวลาในห้างนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น และถ้าออกแบบมาโดยคำนึงถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้สถานที่น่าถ่าย น่าแชร์ สถานที่ของห้างก็จะกลายเป็น free media และห้างเองก็จะกลายเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางประจำปี  

อีกเหตุผลหนึ่งคือในยุคที่ e-Commerce ในไทยดุเดือด ราคาถูกกว่า สะดวกกว่า ห้างต้องเอาชนะใจลูกค้าให้ได้ด้วยการเป็นสถานที่ที่มากกว่าแค่ขายสินค้า แต่ขายสิ่งที่โลกออนไลน์ให้ไม่ได้ นั่นคือการตกแต่งสถานที่ให้น่าเดินเล่นและถ่ายรูป รวมถึงมีสินค้าพิเศษเฉพาะเทศกาลที่ซื้อได้ที่ห้างเท่านั้น  ทั้งหมดนี้สะท้อนการขยับของวงการค้าปลีกไปสู่การตลาดเชิงประสบการณ์ และแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นในตลาดเข้าใจดีว่าผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจนฯ Z และมิลเลนเนียลส์ให้คุณค่ากับสิ่งที่น่าตื่นเต้น ถ่ายรูปสวย แชร์ต่อได้ง่าย

ในหลายๆ ประเทศก็มีสไตล์การเล่นกับเทศกาลของตัวเองแต่เป้าหมายปลายทางคือสิ่งเดียวกัน คือจุดประกายความสุข ความตื่นเต้น เพื่อให้คนอยากออกจากบ้านมาใช้เวลาและใช้เงินที่บ้าน สร้างความจดจำและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว 

 อ้างอิง

‘Fuggler’ คู่แข่ง Labubu ที่มัดใจพส.จีน ขายความ oddly cute และซื้อได้โดยไม่ต้องจุ่ม

ตากระดุม ฟันแหลม ลิ้นห้อย มือสั้นบ้างยาวบาง มองมุมไหนก็ไม่เห็นความน่ารักในแบบพิมพ์นิยม แต่ไฉนเจ้า ‘Fuggler’ (ฟักเกลอร์) ถึงกลายเป็นตุ๊กตาที่ใครต่างก็อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ โดยเฉพาะในวงการนักล่ากล่องสุ่มที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าของมันต้องมี

ย้อนกลับไป 2-3 เดือนที่แล้วหลายคนยังพลิกฟ้าตามล่าหาตุ๊กตา Labubu (ลาบูบู้) มาครองตามแบบลิซ่าแห่งวง BLACKPINK หรือยังเก็บสะสมอาร์ตทอยจากค่าย POP MART ซึ่งปรากฏการณ์ความนิยมที่เกิดขึ้นดูจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละคอลเลกชั่นล้วนดูน่ารักน่าชัง บ้างก็ออกแบบโดยศิลปินชื่อดัง แต่กับตุ๊กตา Fuggler คงจะต้องทำความเข้าใจมันสักเล็กน้อย ชนิดที่ถามคนสิบคนถึงความน่ารักของมันคงจะได้คำตอบไม่เหมือนกัน 

จากที่ป๊อปปูลาร์ในหมู่พี่สาวพี่ชายชาวจีน ลามมาถึงศิลปิน เซเลบคนดัง จนถึงตอนนี้ที่กำลังเป็นไวรัลในไทย ก่อนที่เจ้าตุ๊กตาน่าเกลียดจะดังไปมากกว่านี้ เราขอชวนมาทำความรู้จักกับเจ้า Fuggler ว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง แล้วทำไมจู่ๆ คนถึงนิยมชมชอบในความน่าเกลียดแบบตั้งใจของมันผ่านคอลัมน์ Recap ตอนนี้ 

ตุ๊กตาที่ประกอบร่างจากฟัน (ปลอม) ของมนุษย์

จุดเริ่มต้นของ Fuggler ต้องย้อนกลับไปในปี 2010 เมื่อศิลปินหญิงชาวอังกฤษนาม ลูอิส แมคเกตทริก (Louise McGettrick) ตั้งใจหาของขวัญให้สามีในเทศกาลคริสต์มาส กระทั่งเธอตัดสินใจพิมพ์คีย์เวิร์ดคำว่า ‘teeth’ หรือที่แปลว่า ‘ฟัน’ ในเว็บไซต์ของ ebay โดยไม่ได้คิดอะไร ก่อนเธอจะเห็นว่ามีคนนำ ‘ฟันปลอม’ มาเร่ขาย พลันบังเกิดปิ๊งไอเดียว่าถ้านำฟันปลอมมาเย็บติดบนหน้าตุ๊กตาคงจะฮาก๊ากไม่น้อย 

ทว่าผลลัพธ์ปลายทางไอเดียตุ๊กตาหน้าประหลาดไม่ได้จบลงแค่การเป็นของขวัญแด่สามี ลูอีสตัดสินใจนำเจ้าตุ๊กตาที่เธอเย็บไปวางขายบน etsy.com เว็บไซต์ขายของแฮนด์เมด แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหน จากที่ตั้งใจให้คนยี้ขนลุกเกรียวกลับกลายเป็นว่ามีคนนิยมชมชอบตุ๊กตาหน้าประหลาดที่เธอเย็บเสียงั้น 

จากหนึ่งตัวเพิ่มมาเป็นสองตัว ก่อนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคอลเลกชั่น ซึ่งตุ๊กตาที่ลูอีสเย็บล้วนหน้าตาผิดไปจากความน่ารักในอุดมคติของเด็กๆ บางตัวฟันหลอ บางตัวยิ้มร่าชวนขนลุก แต่ที่เป็นซิกเนเจอร์นอกจากฟัน คือดวงตากระดุม (Butt-on hole) และใบรับเลี้ยง (Adoption Certificate) ที่พร้อมให้เจ้าของตั้งชื่อตุ๊กตาของตัวเอง ซึ่งด้านหลังใบรับเลี้ยงมีระบุข้อความเป็นกิมมิกไว้ว่า ตุ๊กตาที่คุณรับเลี้ยงพร้อมจะทำแสบ ซ่อนแอบ ขโมยฟันปลอมและถุงเท้า ไปจนถึงจุดไฟและเปลี่ยนบ้านของคุณเป็นสนามประลองได้ทุกเมื่อ

สร้างมาร์เก็ตติ้งด้วยความแปลก = น่ารัก

ลูอิสตั้งชื่อเรียกเหล่าตุ๊กตาน่าชังที่เธอให้กำเนิดว่า ‘Fuggler’ เป็นการเล่นคำกับคำว่า ‘Fugly’ ที่หมายถึงโคตรน่าเกลียดซึ่งเป็นคำหยาบคาย แต่ศิลปินชาวอังกฤษให้เหตุผลว่า Fuggler ดูเป็นคำขี้เล่นเหมือนหยอกล้อกันระหว่างเพื่อน ส่วนนิยามโดยรวมของโปรดักต์คือ ‘Funny Ugly Monster’ หรือตุ๊กตาสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด

แต่ในความน่าเกลียดแบบตั้งใจนี้เองที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบใน Fuggler และมองว่าพวกมันคือ ‘oddly cute’ หรือความน่ารักแบบแปลกๆ ที่มองผิวเผินครั้งเดียวอาจจะยังไม่ตกหลุมรัก และอีกนัยหนึ่งยังเป็นคาแร็กเตอร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ 

และการตลาดแบบแปล๊กแปลกนี้เองที่ไปเข้าตาบริษัทของเล่นเจ้าดังอย่าง Spin Master ก่อนที่ Fuggler จะจับมือเซ็นสัญญากับบริษัทของเล่นดังกล่าว และผลิตคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ มากกว่า 50 คาแร็กเตอร์  ในไซส์ขนาด 9 นิ้วและ 12 นิ้ว ส่งขายไปทั่วโลก ซึ่งในไลน์ผลิตใหม่มีกิมมิกใหม่ๆ เพิ่มเติมคือบางตัวตาเหมือนมนุษย์ บางตัวเรืองแสงได้ และบางตัวสามารถส่งเสียงตดดังปี๊บ! เมื่อบีบตูด 

เกือบหลับแต่กลับมาเป็นเทรนด์เพราะ พส.จีน

ทว่ากราฟแบรนดิ้งของ Fuggler ภายใต้ชายคาบริษัท Spin Master อยู่ในเกณฑ์ทรงๆ มากกว่ารุ่ง ชนิดที่ปี 2020 ถูกสั่งพักการผลิตด้วยซ้ำ ก่อนจะเป็นบริษัท Addo Play ที่เข้ามารับช่วงต่อสัญญาการผลิตในปี 2021

เรียกว่า Fuggler ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเฉพาะกลุ่ม แต่จนแล้วจนรอดก็มาถึงจุด turning point เมื่อปี 2024 จนถึงปัจจุบันยอดขายของ Fuggler พุ่งขึ้นถึง 247% โดยมีตลาดผู้บริโภคหลักอยู่ประเทศจีน

สาเหตุที่ Fuggler ป๊อปปูลาร์ในหมู่ พส.ชาวจีน ที่ชื่นชอบไลฟ์รีวิวพวกมันใน TikTok และ Xiaohongshu (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน) ถึงขั้นยกให้เป็นคู่แข่งของ Labubu ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลความนิยมอาร์ตทอยซึ่งครองตลาดโดยแบรนด์ POP MART ที่ยอดขายโตวันโตคืนจากลูกเล่น ‘กล่องจุ่ม’ เพียงแต่ Fuggler เลือกสวนทางกลยุทธ์แบรนด์อาร์ตทอยอื่นๆ ด้วยการ ‘ขายในราคาถูก’ และ ‘ซื้อได้โดยไม่ต้องสุ่ม’ แต่ผลิตในจำนวนน้อยแทน เพื่อสร้างความลิมิเต็ดและกระตุ้นความอยากซื้อสินค้าแก่นักสะสม 

เมื่อกลยุทธ์ข้างต้นผนวกรวมกับความน่าเกลียดที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวมองทำให้ Fuggler ถูกพูดถึงปากต่อปากจนกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลฯ ชาวจีน ถึงขั้นมีบางรุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อจำหน่ายในจีนเท่านั้น เช่นรุ่น Fuggler Love Fugg by ZURU

มากกว่านั้นคือมีนักสะสมบางกลุ่มที่ตั้งรับซื้อ Fuggler คอลเลกชั่นแรกๆ ที่ผลิตโดย Spin Master ในราคารีเซลแพงหูฉี่ ด้วยเหตุผลว่า Fuggler รุ่นแรกๆ มีความปั่นประสาทแบบ OG (original) เช่นฟันที่ดูเป็นของมนุษย์จริงๆ หรือดวงตาที่ยังเป็นเม็ดกระดุมอยู่  

ประสบปัญหาถูกละเมิดลิขสิทธิ์

หลังได้รับความสนใจตุ๊กตา Fuggler ได้ออกคอลเลกชั่นพิเศษที่คอลแล็บกับตัวการ์ตูนและภาพยนตร์ดัง เช่น  SpongeBob SquarePants, Teenage Mutant Ninja Turtles, Batman, The Lord Of The Rings ฯลฯ 

ถึงกระนั้น Fuggler กลับเผชิญปัญหาโดนละเมิดลิขสิทธิ์สินค้า ในแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์มีพ่อค้าแม่ค้าลักลอบนำสินค้าเลียนแบบ Fuggler มาขายนับไม่ถ้วน บางตัวเลียนแบบได้แนบเนียนชนิดแยกปลอม-แท้ไม่ออก สร้างปัญหาให้นักสะสมมือใหม่ไปตามๆ กัน 

อย่างในไทยเองก็มีการถกประเด็นข้างต้นบ่อยครั้ง เช่นตะเข็บข้างลำตัวต้องเย็บแบบไหน สาเหตุเพราะยังไม่มีผู้จัดจำหน่ายนำเข้าอย่างเป็นทางการ ที่หาได้ตอนนี้ถ้าไม่มาจากพ่อค้าแม่ค้ารับหิ้ว ก็มาจากเว็บไซต์นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่น Ubuy Thailand เป็นต้น

ถึงตรงนี้กระแสความนิยม Fuggler เป็นอีกบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า การสร้าง ‘อัตลักษณ์แบรนด์’ ให้ต่างจากคู่แข่งในตลาดเดียวกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญของคนทำธุรกิจในการนำแบรนด์ไปสู่จุดสนใจ ถึงต่อให้แปลกแต่ถ้าแปลกแบบสร้างสรรค์ก็คงไม่มีใครขัด 

แล้วคุณอยากมี Fuggler ประดับบ้านสักตัวไหมล่ะ?

อ้างอิง  

POPEYE จากนิตยสารหนุ่มญี่ปุ่นยุค ‘70s ที่หลงใหลอเมริกาสู่ไบเบิลชีวิตโตเกียว

ไม่รู้คุณเป็นกันบ้างไหม เมื่อไปเยือนร้านหนังสือในญี่ปุ่น สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากเชลฟ์หนังสือหมวดต่างๆ ก็คือการเดินสำรวจโซน ‘นิตยสาร’ 

แวดวงนิตยสารของญี่ปุ่นนับได้ว่ามีสีสันมาก ทั้งในแง่ของความหลากหลาย เรื่องราว ความคิดสร้างสรรค์ และอิทธิพลต่อ ‘ป๊อปคัลเจอร์’ เอาแค่ว่าเชลฟ์เดียวในร้านหนังสือก็บรรจุนิตยสารแทบจะครบทุกความสนใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสนใจที่เฉพาะกลุ่มแค่ไหนก็มีให้เลือก ตั้งแต่นิตยสารที่พูดถึงห้องน้ำในญี่ปุ่นแบบจริงจัง ไปจนถึงนิตยสารวาบหวิวแบบผู้ใหญ่! 

สิ่งนี้สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นที่ให้คุณค่ากับความลึกของความสนใจและงานอดิเรก จนเกิดเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัว และหนึ่งในนิตยสารที่เรียกได้ว่า ‘เหนือกาลเวลา’ และโดดเด้งออกมาจากเชลฟ์เหล่านั้นก็คือ POPEYE Magazine

POPEYE  Magazine เป็นหนึ่งในนิตยสารสไตล์หนุ่มเมือง (city boy) ที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่น แต่คือไลฟ์สไตล์ที่มีความ ‘คัลต์’ แบบญี่ปุ่นที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกอย่างมีรสนิยมในแบบของตัวเอง 

นับตั้งแต่ฉบับแรกที่ตีพิมพ์ในปี 1976 ผ่านกาลเวลามาเกือบครึ่งศตวรรษ POPEYE Magazine ยังคงสดใหม่ และทำหน้าที่เป็น ‘คู่มือ’ ที่พา ‘หนุ่มๆ’ เดินตามจังหวะของชีวิตที่มีความเท่แบบญี่ปุ่นที่ไม่มีใครเหมือน ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย สิ่งของ ร้านอาหาร สถานที่เที่ยว ไปจนถึงผู้คนที่มีเอกลักษณ์ 

จุดเริ่มต้นของ POPEYE Magazine คืออะไร ทำไมมันจึง ‘เท่’ และมีอิทธิพลจนกลายเป็นนิตยสาร ‘เพื่อนคู่คิด’ ของหนุ่มเมืองได้ คอลัมน์ Biztory รอบนี้จะพาไปสำรวจกัน

แสงอรุณแห่งญี่ปุ่นยุคใหม่

หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงครามเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและการปฏิรูปหลายด้าน 

ภายใต้การยึดครองของสหรัฐฯ ที่นำโดยนายพลดักลาส แมคอาเธอร์ (Douglas MacArthur) ญี่ปุ่นเริ่มการปฏิรูปครั้งใหญ่ มีการวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ จนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทหลายแห่งกลายเป็นองค์กรระดับโลก ขณะที่รัฐบาลก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและวางแผน

นั่นทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค ‘ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ’ ที่นำพาความรุ่งโรจน์มาให้ประเทศ จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

และขณะที่เศรษฐกิจกำลังพุ่งสูง ฝั่งสังคมญี่ปุ่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งเช่นเดียวกัน 

เมื่อล่วงเข้าสู่ปลายทศวรรษ 1950 ต่อไปจนถึง 1960 ผู้คนจากชนบทหลั่งไหลสู่เมืองหลวงอย่างโตเกียว ด้วยความหวังอันผลิบานในการทำงาน จนเกิดเป็นวัฒนธรรม ‘ซาลาริมัง’ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นกลางใหม่ ขณะที่วัฒนธรรม ‘ป๊อป’ ที่สะท้อนจิตวิญญาณของคนเมืองก็เริ่มเกิดขึ้น เช่น ร้านแจ๊สคาเฟ่อย่าง Egle Jazz Cafe ในย่านยตสึยะ (1967) หรือมังงะ 

รวมถึงนิตยสารวัยรุ่น

เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ผู้คนหันมาสนใจการอ่านมากขึ้น นิตยสารก็กลายเป็นคู่มือความรู้และแรงบันดาลใจ นิตยสารรายสัปดาห์หลายเล่มได้รับความนิยมสูงในกลุ่มเยาวชน พร้อมกับนิตยสารเชิงไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ในสังคมเมือง 

กระทั่งแสงอรุณแห่งทศวรรษ 1970 มาถึงพร้อมกับยุคทองของแวดวงนิตยสารญี่ปุ่น นิตยสารไลฟ์สไตล์หลายหัวถือกำเนิดขึ้น โตเกียวถูกสั่นสะเทือนด้วยเสียงเพลงและแนวคิดใหม่ๆ จากอเมริกา เหล่าวัยรุ่นวาดฝันถึงอิสรภาพ และการตั้งคำถามถึงการใช้ชีวิต

วัฒนธรรมฝั่งตะวันตกจึงถูกแปลใหม่ในแบบญี่ปุ่น และสะพานที่เชื่อมความคิดเหล่านั้นก็คือนิตยสาร

ในห้วงเวลานั้นเอง นิตยสารหัวหนึ่งที่ชื่อ POPEYE ก็ถือกำเนิดขึ้น

บรรณาธิการผู้มีวิสัยทัศน์

ในทศวรรษ 1960-1970 โยชิฮิสะ คินาเมริ (Yoshihisa Kinameri) บรรณาธิการอาวุโสแห่งสำนักพิมพ์ Heibon Shuppan (ในเวลาต่อมาคือ Magazine House) ได้รับยกย่องว่าเป็น บ.ก. ที่มีสัญชาตญาณทางวัฒนธรรมสูงมาก คือรู้ว่าคนหนุ่มสาวญี่ปุ่นหลังสงครามกำลังแสวงหาอะไร

วิสัยทัศน์ในเชิงบรรณาธิการของคินาเมริคือ ไม่สร้างนิตยสารจากสิ่งที่อยากพูด แต่สร้างจากสิ่งที่คนหนุ่มสาวกำลังมีชีวิตอยู่จริง เขาไม่ต้องการให้สื่อแค่ ‘ลอกเลียนแบบ’ วัฒนธรรมตะวันตก แต่ต้องแปลมันให้เข้ากับบริบทญี่ปุ่น โดยการนำรายละเอียดที่จับต้องได้ เช่น ร้าน แบรนด์ กิจกรรม มาเสนอเป็น ‘คู่มือ’ การใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่แฟชั่น และเขาเล็งเห็นว่าแฟชั่นกับไลฟ์สไตล์คือภาษาที่คนหนุ่มสาวใช้สร้างตัวตน

ภายใต้การจัดการของคินาเมริ Heibon Shuppan เปิดตัวนิตยสารดังหลายหัว เช่น Heibon Punch (1964) นิตยสารรายสัปดาห์สำหรับผู้ชายที่มีอิทธิพลในการส่งเสริมเทรนด์แฟชั่นอเมริกันให้กับชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และ AnAn (1970) นิตยสารรายสัปดาห์สำหรับผู้หญิงยุคแรกๆ และได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น

สำนักพิมพ์ Heibon Shuppan ในเวลานั้น มีบรรณาธิการหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของคินาเมริอีกทอด นั่นคือจิโร อิชิกาวะ (Jiro Ichikawa) ผู้มีความสนใจอย่างแรงกล้าต่อวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์แบบแคลิฟอร์เนีย (California Lifestyle) อย่างเช่นโลกของสเกตบอร์ด เซิร์ฟ เสื้อยืด ไปจนถึงวิถีชีวิตแบบอิสระของวัยรุ่นอเมริกัน

ช่วงต้นทศวรรษ 1970 คินาเมริและอิชิกาวะ เริ่มคุยกันเรื่องคนหนุ่มญี่ปุ่นยุคใหม่ โดยอิชิกาวะเห็นโอกาสว่า ญี่ปุ่นในยุคนั้นมี ‘หนุ่มเมือง’ ที่กำลังมองหาไลฟ์สไตล์ใหม่ เขาจึงต้องการสื่อที่ ‘พูด’ ถึงชีวิตเมือง การแต่งตัว และการใช้ชีวิตแบบหนุ่มเมือง 

คินาเมริ ในฐานะบรรณาธิการอาวุโสจึงเล็งเห็นว่า อิชิกาวะคือคนที่มีมุมมองเช่นเดียวกับเขา และสามารถสื่อสารวิถีชีวิตแบบที่ทั้งสองเชื่อให้กับคนรุ่นใหม่เข้าใจได้ คินาเมริจึงชวนอิชิกาวะมาร่วมกันทำโครงการนิตยสารแนวใหม่ที่สื่อสารกับหัวใจของคนหนุ่มญี่ปุ่น 

Ski Life และ Made in U.S.A.

ระหว่างทำงานอยู่ Heibon Shuppun ทั้งคู่ได้เป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารสองเล่ม คือ ‘Ski Life’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมสกีอเมริกัน และ ‘Made in U.S.A.’ ที่เป็นเสมือนไบเบิลของสินค้าอุปโภคบริโภคอเมริกัน ซึ่งได้รับความนิยมมาก สำนักพิมพ์จึงมีข้อเสนอหนึ่งให้กับทั้งคู่ นั่นคือการทำนิตยสารของตัวเองขึ้นมา

ข้อเสนอนี้ทำให้ทั้งคินาเมริและอิชิกาวะตื่นเต้นมาก

เมื่อแสงอรุณแห่งปี 1975 มาถึง คินาเมริและอิชิกาวะ พร้อมด้วยทีมงานกลุ่มเล็กๆ จึงบินลัดฟ้าไปยังดินแดนเสรีภาพอย่างสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะสองเมืองใหญ่อย่างลอสแอนเจลิสและซานฟรานซิสโก เพื่อศึกษาวัฒนธรรมเยาวชนอเมริกัน พวกเขาเดินทางไปสนามสเกตบอร์ด ร้านเซิร์ฟ ตระเวนสังเกตชีวิตในมหาวิทยาลัย คาเฟ่ แฟชั่น และโฆษณาในท้องถิ่น

การเดินทางครั้งนั้น ถูกเก็บเกี่ยวมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของทั้งคินาเมริและอิชิกาวะ

และเมื่อล่วงเข้าสู่ฤดูร้อนในปี 1976 นิตยสาร POPEYE  ฉบับแรกก็ถือกำเนิดขึ้น

กำเนิด POPEYE 

เบื้องหลังชื่อของนิตยสารนั้นมีเรื่องเล่าน่าสนใจ

แรกเริ่มอิชิกาวะต้องการตั้งชื่อนิตยสารว่า ‘City Boys’ ซึ่งเป็นคำฮิตติดปากในเวลานั้น อันหมายถึงกลุ่มวัยรุ่นเมืองที่มีความรู้ แต่ฝั่งคินาเมริเห็นชื่อของตัวการ์ตูนป๊อปอายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ (POPEYE) และได้ไอเดียว่าคำคำนี้สามารถอ่านแยกคำเป็น POP กับ EYE ได้ จึงคิดว่าน่าจะเอามาใช้เป็นชื่อนิตยสาร เพราะมันสะท้อนความคิดที่ว่า ‘ดวงตา’ ที่มองเห็นวัฒนธรรม ‘ป๊อป’ และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบเนื้อหานิตยสาร

หลังจากเคาะเรียบร้อย พวกเขาขออนุญาตการใช้ชื่อจาก King Features Syndicate บริษัทจัดจำหน่ายเนื้อหาและสตูดิโอแอนิเมชั่นของสหรัฐอเมริกาผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ก่อนจะได้ชื่อ POPEYE  มาครอบครองในที่สุด

ความน่ารักคือ ภายหลังเครือ Magazine House ก็มีนิตยสารที่ใช้ตัวการ์ตูนเป็นชื่ออย่าง Brutus (1980) นิตยสารสำหรับผู้ชายของญี่ปุ่นที่เน้นในเรื่องวัฒนธรรมป๊อป ไลฟ์สไตล์ และวัฒนธรรม และ Olive (1982) นิตยสารแฟชั่นญี่ปุ่นที่เปิดตัวในฐานะ POPEYE Magazine เวอร์ชั่นเด็กผู้หญิง

กลับมาที่นิตยสาร POPEYE  

ด้วยประการนี้ POPEYE จึงเกิดขึ้นด้วยคอนเซปต์ ‘City Boys’ ที่ไม่ใช่แค่หนุ่มเมืองแต่งตัวดี แต่มี ‘วิถี’ และ ‘จังหวะ’ ชีวิตของเมืองใหญ่ มีรสนิยม และสนใจวัฒนธรรมโลก เป็นนิตยสารที่สร้างพื้นที่ให้ชายหนุ่มได้นิยามตัวเองใหม่ผ่านการแต่งตัว ของใช้ อาหาร ไลฟ์สไตล์ และนำเสนอวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมีชั้นเชิง และผสานให้เข้ากับความละเอียดอ่อนแบบญี่ปุ่น

POPEYE  Magazine ฉบับแรก

ฉบับแรกของ POPEYE วางแผงในเดือนมิถุนายน โดยมีธีมที่ชื่อว่า ‘What’s Happening in L.A.’ พร้อมคำบรรยายใต้ชื่อว่า ‘Magazine for City Boys’ ซึ่งเป็นประโยคอันเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดแห่งนิตยสารนี้

ภายในเล่มมีคอลัมน์หลักที่ชื่อหัวข้อเดียวกับชื่อธีมเล่ม มีเนื้อหาที่พาผู้อ่านไปรู้จักกับลอสแอนเจลิส ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นเมืองของหนุ่มสาวอเมริกัน และมีกลิ่นอายของอิสระแบบวัยรุ่น โดยมีทั้งภาพถ่ายแฟชั่นวัยรุ่นแอลเอ บทสัมภาษณ์นักศึกษา นักสเกต นักเซิร์ฟ แบรนด์ท้องถิ่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในญี่ปุ่น เช่น Levi’s, Nike และ Hang Ten มีแนะนำสถานที่เจ๋งๆ ในแอลเอ อย่างคาเฟ่ ร้านแผ่นเสียง และสนามสเกต รวมถึงเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของชาวอเมริกัน

วิธีที่คินาเมริ อิชิกาวะ และทีมงานบินไปเก็บข้อมูลจากสถานที่จริงเพื่อนำมาใช้ในนิตยสาร นับว่าใหม่มากสำหรับสื่อญี่ปุ่นในเวลานั้น เนื้อหาของ POPEYE  เล่มแรกจึงไม่ใช่แค่บทความท่องเที่ยว แต่มันคือ ‘คู่มือ’ ชีวิตแบบอเมริกันที่สดใหม่และเรียลสำหรับหนุ่มโตเกียวที่ใฝ่ฝันถึงชีวิตอิสระ

POPEYE ฉบับแรกประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และปลุกความสนใจในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นที่มีต่อวัฒนธรรมป๊อปอเมริกันขึ้นมา จนมีข่าวลือแพร่สะพัดในเวลานั้นว่า CIA แอบเป็น ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ ให้กับนิตยสารเลยทีเดียว! 

อย่างไรก็ดี นั่นคือจุดเริ่มต้นของ POPEYE  ที่ไม่ได้แค่เขย่าแวดวงนิตยสาร แต่เปลี่ยนวิธีคิดในเชิงวัฒนธรรมของ ‘ชายหนุ่มในเมืองใหญ่’ เพราะก่อนหน้านั้น นิตยสารผู้ชายมักจะพูดถึงความหรูหราและความสำเร็จ แต่ POPEYE  เลือกจะพูดถึงความอิสระ ความสนุก และการแสวงหาตัวตน มันจึงส่งอิทธิพลต่อตัวเลือกในชีวิต รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของหนุ่มเมืองเรื่อยมา

ซึ่งก็ตรงกับจุดมุ่งหมายของทั้งคินาเมริและอิชิกาวะ ที่ต้องการให้ POPEYE เป็นมากกว่านิตยสารแฟชั่น แต่เป็นคู่มือชีวิตสำหรับหนุ่มเมือง

ความเมืองในแบบป๊อปๆ

สำหรับ POPEYE ความเป็นเมืองไม่ได้หมายถึงแค่สถานที่ แต่คือวิถีความคิด

เมืองในมุมของ POPEYE จึงเป็นพื้นที่ที่ผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมมาบรรจบกัน จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจและสไตล์ใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาผ่านรูปแบบของแฟชั่น ดนตรี อาหาร และศิลปะ ซึ่งบรรจุอยู่ในเนื้อหาของนิตยสาร ตั้งแต่ภาพถ่ายแบบสตรีทที่ไม่เน้นการจัดฉาก ไปจนถึงบทสัมภาษณ์สั้นๆ ของคนธรรมดาแต่มี ‘สไตล์’ ในแบบของตนเอง

นั่นเพราะ POPEYE เชื่อว่า ความเท่ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น แต่มีอยู่ใน ‘ความเรียล’ ของสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นคนจริง ร้านจริง หรือสถานที่จริง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตั้งแต่ยุคแรกทีมบรรณาธิการจะพาลงพื้นที่จริง ตั้งแต่โตเกียว นิวยอร์ก ปารีส หรือแม้แต่ประเทศไทย 

ความเรียลและจริงใจนี่เอง ทำให้ POPEYE แตกต่างจากนิตยสารแฟชั่นอื่นๆ ที่เน้นความเนี้ยบจนอาจดูไกลตัว แต่มีสไตล์ที่โดดเด่นทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอ โดยมีเนื้อหาหลักครอบคลุมทั้งเรื่องแฟชั่นผู้ชาย เสื้อผ้า รองเท้า แอ็กเซสเซอรี ไลฟ์สไตล์ในเมือง ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ รวมถึงความหลงใหลในการเดินทางและการสำรวจเมืองทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘มุมเล็กๆ’ ของเมือง 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องศิลปะ ดนตรี และหนังสือ ที่ไม่ใช่การรีวิวเชิงงานศิลป์ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ ที่มีความพิเศษ เพื่อช่วยให้คนอ่านได้เข้าใจชีวิตเมืองมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความนิยมในกระแส ทั้งหมดนี้ถูกเล่าผ่านสไตล์ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เป็นกันเองและ ‘ชวนคิด’ มากกว่า ‘สั่งสอน’ บนการจัดหน้าเลย์เอาต์และการใช้ฟอนต์ที่มีความเรียบแต่มีจังหวะชวนนึกถึง ‘งานออกแบบญี่ปุ่น’ ที่ชัดเจนและผ่านการคิดอย่างลึกซึ้ง

ดังนั้น แม้ POPEYE จะถูกจัดอยู่ในหมวดนิตยสารผู้ชาย แต่แท้จริงแล้วเนื้อหามันยังครอบคลุมเกือบทุกมิติของวัฒนธรรมเมืองที่ใครก็อ่านได้

ยุคทองของหนุ่มเมืองและความท้าทายในโลกใหม่

นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1976 นิตยสาร POPEYE มีการเปลี่ยนแปลงหลายช่วงเวลาตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

เมื่อเริ่มต้นในทศวรรษ 1970 POPEYE  เปิดตัวด้วยธีมที่เน้นวัฒนธรรมอเมริกัน ก่อนที่จะเริ่มขยายวิสัยทัศน์ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 เมื่อแฟชั่นญี่ปุ่นเติบโตขึ้น และตลาดชายหนุ่มรุ่นใหม่ๆ ในเมืองเริ่มขยายตัว จึงเริ่มผสมผสานแนวตะวันตกกับญี่ปุ่นผ่านการตีความใหม่ 

แฟชั่นในนิตยสารเริ่มให้ความสนใจกับแบรนด์ญี่ปุ่น ดีไซน์แบบญี่ปุ่น รวมถึงแฟชั่นฟากฝั่งยุโรปมากขึ้น ภาพของ POPEYE  จึงไม่ได้เป็นเพียงนิตยสารของชายหนุ่มที่มีแต่วัฒนธรรมต่างประเทศ แต่กลายเป็นคู่มือสื่อวัฒนธรรมเมืองสำหรับชายหนุ่มในญี่ปุ่น

นิตยสาร POPEYE ยุค ’80s

ช่วงทศวรรษนี้มี POPEYE หลายฉบับที่ได้รับความนิยมและเป็นที่พูดถึง เช่น ฉบับ City Boy’s Holiday (1980) ที่พูดเรื่องการใช้ชีวิตในวันหยุดแบบหนุ่มเมือง เป็นฉบับที่นิยามคำว่า city boy อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่หมายถึงทัศนคติการใช้ชีวิต, ฉบับ World Boys Trip (1985) ที่มีธีมเล่มเป็นการท่องโลกของหนุ่มญี่ปุ่นในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู สะท้อนยุคที่หนุ่มสาวญี่ปุ่นเริ่มเดินทางต่างประเทศมากขึ้น 

หรือฉบับ Tokyo Boys in the Bubble (1988) ที่เป็นธีมโตเกียวในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา แฟชั่น และชีวิตกลางคืน เนื้อหาแสดงภาพหนุ่มโตเกียวยุคใหม่ที่ทำงานดี แต่งตัวเนี้ยบ เที่ยวคลับ ขับรถยุโรป ขณะที่ก็สะท้อนความรู้สึกสำเร็จแต่โดดเดี่ยว ว่ากันว่า นี่เป็นเล่มที่ถูกนักสะสมตามหามากที่สุด เพราะเก็บบรรยากาศของโตเกียวปลายยุค ’80s ได้เป็นอย่างดี

ยุคนี้เองที่ POPEYE ได้กลายเป็นนิตยสารไลฟ์สไตล์ที่ทรงอิทธิพลสำหรับหนุ่มญี่ปุ่นและสะท้อนวัฒนธรรม city boy อย่างชัดเจน และถือเป็น ‘ยุคทอง’ ของ POPEYE อย่างแท้จริง

แต่เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2000 ก็เป็นช่วงเวลาที่ POPEYE ต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังยุคฟองสบู่ซบเซา วัฒนธรรมแฟชั่นชายในญี่ปุ่นเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์เริ่มถูกแทนที่ด้วยอินเทอร์เน็ต ผู้บริโภคมีแนวโน้มหันไปสื่อดิจิทัลมากขึ้น POPEYE จึงต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ 

เนื้อหาในช่วงนี้จึงหันกลับมาสำรวจความเป็นเมืองของตนเองมากขึ้น เช่น โตเกียว ร้านเก่าแก่ คาเฟ่ในเมือง และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์และเฉลิมฉลองวัฒนธรรมความเป็นสากลที่มีความยูนีก ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในโตเกียว

ฉบับที่สำคัญในยุคนี้ เช่น Back to the Street (2001) ในธีมของการกลับสู่แฟชั่นสตรีทและวัฒนธรรมวัยรุ่นเมืองโตเกียว, ฉบับ Men’s Everyday Life (2006) ที่เริ่มผสานแนวคิดแบบมินิมัลเข้ามาผ่านเนื้อหาไลฟ์สไตล์เรียบง่ายในชีวิตประจำวันของผู้ชายยุคใหม่ เช่น การแต่งตัวสบายๆ การดื่มกาแฟ ปั่นจักรยาน และห้องพักขนาดเล็กที่มีรสนิยม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาพลักษณ์ใหม่ของนิตยสารที่จะถูกต่อยอดในยุคถัดไป 

หรือฉบับ Tokyo Modern Guide (2009) ที่มีธีมคู่มือของหนุ่มโตเกียวรุ่นใหม่ มีการแนะนำคาเฟ่ ร้านเสื้อผ้า แกลเลอรี ร้านหนังสืออิสระทั่วโตเกียว เป็นฉบับที่เริ่มวางแนวคิดใหม่ว่า POPEYE เป็นนิตยสารที่บันทึกชีวิตของคนเมืองญี่ปุ่น

เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2010 POPEYE ก็กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้ง ภายใต้บรรณาธิการผู้โด่งดังอย่าง ทาคาฮิโระ คิโนชิตะ (Takahiro Kinoshita) ที่เข้ามากุมบังเหียนในปี 2012 และปรับการออกแบบนิตยสารใหม่ทั้งหมดทั้งภาพลักษณ์และเนื้อหา 

เขาทำให้นิยามคำว่า city boy ยุคใหม่ไม่ใช่แค่คนตามเทรนด์ แต่เป็นคนที่เข้าใจโลกและเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง POPEYE  จึงกลายเป็นคู่มือการใช้ชีวิตแบบมีรสนิยมที่ผสมแฟชั่น ศิลปะ วัฒนธรรม และความเรียบง่ายอย่างลงตัว

นิตยสาร POPEYE ฉบับ Thank you, Olive! (2016)

ในยุค 2010 มีฉบับที่น่าสนใจ เช่น Thank you, Olive! (2016) ที่มีธีมเกาะเกี่ยวกับ Olive ตัวละครหญิงในการ์ตูนป๊อปอาย และล้อไปกับชื่อ Olive ที่เป็นนิตยสาร POPEYE ในเวอร์ชันผู้หญิง ซึ่งฉบับนี้ถือเป็นการสะท้อนหญิงสาวในบริบทของ city boy และขยายบริบทจาก ‘หนุ่มเมือง’ ไปสู่ความสัมพันธ์ ‘ชาย-หญิงในเมือง’ แสดงให้เห็นถึงการตีความมุมมองใหม่ของหนุ่มเมืองที่ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่มีสังคม มีความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตร่วมได้

ภายใต้การนำของคิโนชิตะ ยอดจำหน่ายนิตยสารเติบโตจากประมาณ 40,000 เล่ม เป็น 100,000 เล่ม นับเป็นช่วงเวลาสำคัญของการขยายตัวของสิ่งพิมพ์ ทำให้ POPEYE กลับมาสดใหม่และโดดเด่นอีกครั้งในแวดวงนิตยสารญี่ปุ่น รวมถึงขยายฐานผู้อ่านไปต่างประเทศจนได้รับความนิยมในระดับโลก มีผู้อ่านจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ที่ชื่นชอบทั้งสไตล์ภาพและแนวคิดของญี่ปุ่น ก่อนที่เขาจะลาออกในปี 2018 เพื่อร่วมงานกับ fast retailing บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Uniqlo

นิตยสาร POPEYE ฉบับ Special Edition Hello, Tokyo! (2025)

และเมื่อเข้าสู่ทศวรรษใหม่ หลังยุค 2010 จนถึงปัจจุบัน โลกได้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ POPEYE ยังคงตีพิมพ์รายเดือน แต่ก็ปรับรูปแบบให้เข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล ไปพร้อมกับรักษารูปแบบสิ่งพิมพ์ไว้ พร้อมกับปรับรูปแบบร้านค้าออนไลน์ จัดอีเวนต์ และคอลแล็บกับแบรนด์แฟชั่น 

นอกจากนี้ยังพยายามขยายการเข้าถึงตลาดต่างประเทศผ่านการทำนิตยสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ อย่างเช่นฉบับ POPEYE Special Edition Hello, Tokyo! (2025) ที่หลายคนอาจเห็นการแชร์ภาพปกผ่านตาบนโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา 

หรือการคอลแล็บกันระหว่าง POPEYE และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่นอย่าง BEAMS ในปี 2016 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของทั้งคู่ โดยมีสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษอย่างเช่น แก้วน้ำ นาฬิกาข้อมือ หมวกเบสบอล เสื้อยืด และเสื้อฮู้ด

การปรับตัวตามยุคสมัย ทำให้แม้จะอยู่ในยุคที่มีนิตยสารแฟชั่นชายที่ออกใหม่รายเดือนมากกว่า 35 หัว แต่ POPEYE  ก็ยังคงโดดเด่นและรักษาหัวใจหลักในการเป็นนิตยสารหนุ่มเมืองไว้ได้ ขณะที่ตีความความเป็น city boy ต่างกันไปในแต่ละยุคได้อย่างมีสไตล์

คลังแห่งประวัติศาสตร์

นับได้ว่า POPEYE เปรียบเสมือนคลังบันทึกประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญก็ว่าได้ เพราะผ่านกาลเวลามากว่า 50 ปี บันทึกความเป็นยุคสมัยไว้ในทุกฉบับที่ตีพิมพ์ สร้างแรงบันดาลใจให้คนอ่านมากมาย และสร้างนิยามความเป็น ‘หนุ่มเมือง’ ได้อย่างมีสไตล์

อิทธิพลของ POPEYE ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่น แต่ได้รับความสนใจจากในระดับเอเชียและตะวันตกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของนิตยสารที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ไปจนถึงการออกแบบเลย์เอาต์และวิธีเล่าเรื่อง

สิ่งนี้สะท้อนว่า POPEYE ตั้งเป้าขยายแนวคิด ‘city boy’ ให้กลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลก มันคือหลักฐานว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่แฟชั่น แต่คือปรัชญาการใช้ชีวิตในเมืองที่มีอุดมคติแบบสากล

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นจากการนำเสนอความเป็นอเมริกันที่เต็มไปด้วยสีสันให้กับหนุ่มเมืองญี่ปุ่นที่แสวงหาชีวิตรูปแบบใหม่ จนถึงวันนี้ แม้ POPEYE จะเดินทางมาไกลกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ก็ยังไม่เคยทิ้งความเป็นรากเหง้าเพื่อไปสู่จิตวิญญาณแบบตะวันตกเต็มรูปแบบ หากมันคือการมองวัฒนธรรมตะวันตกเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น

ไม่ใช่เพื่อหนีจากตัวตน แต่เพื่อเรียนรู้และจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ และชีวิตที่อิสระกว่าแบบไร้ข้อจำกัด โดยยังคงความเป็นตัวเองไว้อย่างเต็มเปี่ยม

อาจพูดได้ว่า POPEYE  เติบโตเต็มที่จากนิตยสารวัยรุ่น สู่คู่มือแห่งวิถีชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริงแล้ว

อ้างอิง

10 บทเรียนจากปู่ Warren Buffett วัย 95 ในจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนลาตำแหน่ง CEO

Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) ไม่ได้เป็นแค่มหาเศรษฐีสายลงทุนที่โลกยกย่องกันมาครึ่งศตวรรษ แต่เป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการธุรกิจ เขาคือประธานและ CEO ของ Berkshire Hathaway บริษัทลงทุนขนาดยักษ์สัญชาติอเมริกัน ซึ่งถือหุ้นและลงทุนในธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ประกัน ขนส่ง ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค

สิ่งที่น่าสนใจคือบัฟเฟตต์ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในมุมการตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำเท่านั้น แต่ยังมีวิธีคิดที่เฉียบคม และแนวทางการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ในทุกๆ ปี เขาจะเขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Berkshire Hathaway ในวัย 95 ปี และส่งตำแหน่งต่อให้ Greg Abel ในปลายปีนี้

ถ้าใครคิดว่านี่หมายถึงการเกษียณเต็มตัว ก็อาจพลาดประเด็นสำคัญไป เพราะบัฟเฟตต์ชี้แจงว่า “ผมยังไปทำงานที่สำนักงานห้าวันต่อสัปดาห์” เขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เลือกที่จะถอยออกมา และในการถอยครั้งนี้ เขาได้เขียนข้อความที่ไม่เหมือนบันทึกบริษัทหรือจดหมายรายงานผลประกอบการทั่วไปเลย แต่เป็นจดหมายที่สอนบทเรียนและข้อคิดชีวิตอันลึกซึ้งที่สั่งสมจากประสบการณ์เกือบศตวรรษ ตั้งแต่ความสำเร็จระดับตำนาน ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่หล่อหลอมจนกลายมาเป็นบัฟเฟตต์แบบที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักแบบทุกวันนี้

และนี่คือ 10 บทเรียนชีวิตที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับชีวิต โชคชะตา และความสำเร็จ จากข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายของ Warren Buffett

1. กฎทองคำ (The Golden Rule) คือการให้

ความยิ่งใหญ่ไม่ได้มาจากการสะสมเงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่เกิดจากการให้ ความช่วยเหลือผู้อื่นและการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความเมตตา บัฟเฟตต์เริ่มจดหมายด้วยการประกาศการแปลงหุ้น Berkshire Hathaway (BRK.A จำนวน 1,800 หุ้น) เพื่อมอบให้มูลนิธิในครอบครัว ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ในการใช้ความมั่งคั่งเพื่อกุศลและสร้างโอกาสให้ลูกๆ บริหารและทำงานกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่การแบ่งปันและสร้างผลดีให้ผู้อื่น

2. ตระหนักว่าโชคชะตามีผลต่อความสำเร็จ

บัฟเฟตต์เปิดเผยว่าเขาเกิดมาพร้อมโชค โดยยกตัวอย่างทั้งการเป็นคนที่เกิดในอเมริกา สุขภาพที่แข็งแรงและผ่านการรักษาจากคุณหมอมาได้ในช่วงวิกฤต โดยยอมรับว่าโชคเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตสู่ความสำเร็จ การยอมรับความจริงข้อนี้อย่างถ่อมตนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับคนที่ถูกยกให้เป็นบุคคลที่เป็นไอคอนของระบบทุนนิยม เพราะในวัฒนธรรมที่มักยกย่องการสร้างความสำเร็จจากตัวเองล้วนๆ เขากลับเลือกบอกว่าความโชคดีมีส่วนสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตระหนักถึงโชคที่ได้รับจะช่วยทำให้เรารู้จักแบ่งปันและใช้โอกาสที่ได้มาอย่างมีคุณค่าย่างมีคุณค่า

3. ความสำเร็จมีรากฐานมาจากบ้านเกิด และอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองใหญ่อย่างที่คุณคิด

ในยุคที่หลายคนเชื่อว่าความทะเยอทะยานและเงินทุนจะอยู่รวมกันตามนิวยอร์กหรือซิลิคอนแวลลีย์ บัฟเฟตต์กลับยืนยันอย่างชัดเจนว่า เขาและ Berkshire ประสบความสำเร็จมากขึ้นเพราะเลือกอยู่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่เรียบง่าย และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนและพันธมิตรสำคัญหลายคนในเมืองนี้

ไม่ว่าจะเป็น Charlie Munger เพื่อนสนิทที่สุดของบัฟเฟตต์มานานถึง 64 ปี ซึ่งเคยอยู่ห่างเพียงบล็อกเดียวจากบ้านบัฟเฟตต์ในปี 1958, Donald Keough อดีตพนักงานขายกาแฟที่เลี้ยงลูกห้าคนและเคยอยู่ตรงข้ามถนนจากบ้านบัฟเฟตต์ โดยเริ่มต้นมีรายได้เพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต่อมาได้ก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัท Coca-Cola และเป็นกรรมการที่ทุ่มเทของ Berkshire Keough, Stan Lipsey ผู้เติบโตในละแวกบ้านของบัฟเฟตต์เช่นกัน และต่อมาได้ช่วยกู้สถานการณ์ของหนังสือพิมพ์ Buffalo Evening News ทำให้การลงทุน 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ Berkshire สามารถสร้างกำไรในช่วงต้นทศวรรษ 1980

ความสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้บัฟเฟตต์ได้พบกับผู้คนที่มีความสามารถและยึดมั่นในคุณค่าที่กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของ Berkshire ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเป็นชุมชน

4. เลือกฮีโร่ที่ถูกต้อง แล้วเลียนแบบอย่างจริงจัง

บัฟเฟตต์เน้นย้ำว่าเราควรเลือกฮีโร่ของตัวเองอย่างระมัดระวังและเลียนแบบคนเหล่านั้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นดูตัวอย่างจาก Thomas Murphy อดีต CEO และประธานของ Capital Cities/ABC ซึ่งเป็นคนที่บัฟเฟตต์ชื่นชมว่าเก่งที่สุดที่เคยเจอ ส่วนเพื่อนสนิทและครูผู้ยิ่งใหญ่ของเขาอย่าง Charlie Munger ก็เป็นเสมือนพี่ชายคนโตที่คอยปกป้องและมีอิทธิพลต่อชีวิตเขามานานกว่า 60 ปี การเลือกแบบอย่างที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้เราเรียนรู้วิธีคิดและการตัดสินใจ แต่ยังสร้างกรอบมาตรฐานของคุณธรรมและความรับผิดชอบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

5. แม่บ้านก็เป็นมนุษย์เหมือนประธานบริษัท

บัฟเฟตต์ย้ำว่าเราควรให้เกียรติมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน พนักงานทำความสะอาดก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับประธานบริษัท การเคารพซึ่งกันและกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมที่ดีและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในชีวิตและการทำงาน รวมถึงสะท้อนถึงความอ่อนน้อมและคุณธรรมที่แท้จริงของคนเรา

6. หลีกเลี่ยงความริษยาและความละโมบที่มาจากการเปรียบเทียบ

ความริษยาและความโลภเป็นสิ่งที่เดินเคียงกัน บัฟเฟตต์ใช้จดหมายสุดท้ายวิเคราะห์ว่าทำไมค่าตอบแทนผู้บริหารถึงสูงลิ่ว โดยอธิบายว่า มาตรการเปิดเผยค่าตอบแทนของ CEO เพื่อหวังให้เกิดความพอดีแบบพอประมาณกลับสร้างความริษยาและการแข่งขันแทน เพราะ CEO จะกดดันบอร์ดของตนให้เทียบค่าตอบแทนกับคู่แข่ง เกิดเป็นวงจรที่เลื่อนค่าตอบแทนขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าการวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับผู้อื่นมักเป็นกับดัก เราควรเน้นพัฒนาตัวเองและความพึงพอใจในชีวิตของเราเอง และเตือนว่าไม่มีนโยบายใดที่ปลอดภัยจากแรงขับเคลื่อนของธรรมชาติมนุษย์

7. เป็นผู้นำที่กล้าขอโทษ

บัฟเฟตต์แนะนำให้เรียนรู้จาก Donald Keough อดีตประธาน Coca-Cola ในช่วงวิกฤต New Coke ในปี 1985
ซึ่งได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเผชิญกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง Donald Keough ได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณะและยอมรับความผิดพลาดอย่างตรงไปตรงมา การยอมรับความผิดพลาดดังกล่าวไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง การเป็นผู้นำที่กล้าขอโทษจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญของความยิ่งใหญ่

8. ยอมรับความผิดพลาดในอดีต แล้วเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้า

“อย่าตำหนิตัวเองกับความผิดพลาดในอดีตมากเกินไป แต่จงเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นเพียงเล็กน้อยแล้วก้าวต่อไป” นี่คือคำแนะนำจากบัฟเฟตต์ที่ยอมรับว่าตนเองก็เคยทำสิ่งผิดพลาดในช่วงชีวิตที่ยาวนานถึง 95 ปี โดยเน้นย้ำว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะปรับปรุง

9. อย่าพยายามสร้างปาฏิหาริย์ แต่จงตั้งเป้าหมายเพียงแค่การปรับปรุงให้ดีขึ้น

การพัฒนาตัวเองควรมุ่งไปที่ความต่อเนื่องและการปรับปรุง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบหรือทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินไป เขาให้ลูกๆ จัดการมรดกเพื่อการกุศลด้วยเป้าหมายในการให้มากกว่าเดิม ทัศนคติการมุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตส่วนตัว การทำงาน หรือการสร้างความดีให้สังคม โดยเน้นผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าความสมบูรณ์แบบเพียงชั่วข้ามคืน

10. เขียนพินัยกรรมชีวิตของตัวเอง แล้วใช้ชีวิตให้สมกับมัน

บัฟเฟตต์แนะนำให้ใช้ชีวิตด้วยความซื่อตรงและคิดล่วงหน้า เขาเล่าเรื่อง Alfred Nobel ที่ได้อ่านข่าวเสียชีวิตของตัวเองที่ถูกตีพิมพ์ผิดพลาด และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อก่อตั้งรางวัลโนเบล พร้อมบอกว่า “ตัดสินใจว่าคุณอยากให้พินัยกรรมชีวิตของคุณพูดอะไร แล้วใช้ชีวิตให้สมกับสิ่งนั้น” การคิดล่วงหน้าแบบนี้ช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของทุกการกระทำและสร้างแรงกระตุ้นในการสร้างตัวตนที่ดีอย่างต่อเนื่อง

หลักง่ายๆ แต่ทรงคุณค่าเหล่านี้  ไม่ว่าจะเป็น การให้แก่มูลนิธิ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซาบซึ้งในมิตรภาพและผู้คนรอบตัว ไปจนถึงการให้ความสำคัญกับคนตัวเล็กอย่างแม่บ้าน ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของ Warren Buffett อย่างลึกซึ้ง

บัฟเฟตต์คือคนที่วัด ‘ความมั่งคั่ง’ ไม่ใช่จากจำนวนเงินในบัญชี แต่จากคุณธรรมที่เขาเลือกยืนอยู่ ความสัมพันธ์ที่เขาทะนุถนอม และผลลัพธ์ดีๆ ที่เขาทิ้งไว้ให้โลก และนั่นทำให้จดหมายฉบับสุดท้ายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกปิดยุคของ Berkshire แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่ยังส่งต่อคุณค่าได้อีกนานหลังจากอ่านจบลง

สูตรได้ใจลูกค้าโดยไม่ต้องตามเทรนด์แบบ 2P เครื่องสำอางไทยสายครีเอทีฟที่ดังจาก OH MY TINT 

อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นยุคทองของเครื่องสำอางและสกินแคร์ไทยอย่างแท้จริง เพราะปัจจุบัน คนไทยหันมาใช้แบรนด์ไทยมากยิ่งขึ้น เพราะแบรนด์ที่คนไทยทำย่อมเข้าใจความต้องการของคนไทยกว่าชาติไหนๆ

ท่ามกลางทะเลเครื่องสำอางมากมาย ไม่ง่ายเลยที่ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์หนึ่งๆ หากสินค้านั้น ‘เหมือนๆ’ กันไปหมด ความคิดสร้างสรรค์ การรู้จุดยืนของตัวเอง และการจับจังหวะให้ถูกจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ 2P แบรนด์เครื่องสำอางที่เริ่มต้นจากลิปราคา 99 บาทเมื่อกว่า 10 ปีก่อนยังคงเป็นที่พูดถึงจนปัจจุบัน

แก้ม–ปาณิศา แต่มีบุญ เริ่มปั้น 2P ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เธอรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานออฟฟิศ เธอจึงต้องคิดว่าถ้าจะทำธุรกิจจะทำอะไรดี

“เราไม่ได้เริ่มจากว่าอยากทำแบรนด์เครื่องสำอาง แต่เริ่มจากการรีเสิร์ชว่าสินค้ากลุ่มไหนที่เติบโตได้ในทุกยุค แม้เศรษฐกิจไม่ดีและคนยังจำเป็นต้องใช้ จากนั้นจึงค่อยถามตัวเองกลับว่าแล้วอะไรคือสิ่งที่เราอิน”

คำตอบที่เจอคือเครื่องสำอาง กลุ่มสินค้าที่อยู่คู่ชีวิตคนเสมอ และเปิดโอกาสให้เธอได้ใช้ทักษะด้านศิลปะและดีไซน์ที่เรียนมาอย่างเต็มที่ จากความตั้งใจที่จะทำลิปที่ราคาเข้าถึงได้ สีสันเข้ากับคนไทย วันนี้ 2P เดินทางมาสู่ปีที่ 10 พร้อมกับการรู้จุดยืนของตัวเองว่า 2P คือ Creative Cosmetics 

คอลัมน์ Brand Belief ครั้งนี้ จึงขอพาไปสนทนาถึงการสร้างแบรนด์ วิธีทำให้สินค้าเป็นที่จดจำท่ามกลาง red ocean และการทำให้ลูกค้ายังมี 2P อยู่ในใจ แม้ไม่ได้เน้นออกสินค้าตามเทรนด์

“บางอย่างที่มันต้องทำเดี๋ยวนั้น มันต้องทำเลย”

อาจกล่าวได้ว่า 2P เกิดจากการเห็น pain point และช่องว่างในตลาด

“ตอนนั้นเทรนด์เกาหลียังไม่เข้ามาเลย ส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์อเมริกา เช่น NYX แต่เราก็ตั้งคำถามว่าทำไมเราซื้อของพวกนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ก็เพราะราคามันแพง แล้วสีมันไม่ได้เหมาะกับเราขนาดนั้น”

นอกจากราคาที่ทำนักศึกษากระเป๋าสตางค์แฟบได้แล้ว แก้มยังบอกว่าเฉดสีแบบแบรนด์อเมริกันหรือยุโรปที่กำลังฮิตในสมัยนั้นก็มักไม่เข้ากับผิวคนไทยจุดนั้นเอง ที่ทำให้เกิด 2P แบรนด์เครื่องสำอางที่เกิดจากการเชื่อมโยงพฤติกรรมของผู้คน เข้ากับช่องว่างในตลาด และความสามารถของตัวเธอเอง  

สินค้าแรกของ 2P ของทูพีเกิดจากการผสม 2 สิ่งเข้าด้วยกัน คือเทรนด์ลิปเนื้อแมตที่ตลาดกำลังสนใจ และเฉดสีแบบที่ผู้หญิงไทยใช้ได้จริง นั่นเป็นที่มาของ OH MY MATTE ที่แก้มมองว่าเป็นสินค้าที่ถูกที่ ถูกเวลา เพราะแก้มผลิตล็อตแรกมา 20,000 แท่ง และตั้งใจว่าคงขายได้ใน 3-6 เดือน แต่ของกลับหมดภายใน 2 สัปดาห์ 

“มันเป็นสัญญาณว่าสิ่งที่เราคิดมันไปได้” ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่ซับซ้อน ไม่มีการยิงแอด แต่เกิดจากการแชร์จากเพื่อนถึงเพื่อน และอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กที่เพิ่งเริ่มต้น  

แก้มวิเคราะห์ให้ฟังว่าเบื้องหลังความปังตั้งแต่ล็อตแรก น่าจะประกอบขึ้นด้วย 3 ปัจจัย นั่นคือราคาที่เข้าถึงได้ สีที่ถูกต้องกับคนไทย และการทำภาพโฆษณาในเฟซบุ๊กที่แตกต่าง ในยุคที่แบรนด์อื่นๆ ยังให้ความสำคัญกับโฆษณาออฟไลน์

“เราต้องใช้ช่องทางที่ประหยัดที่สุดเพราะเรายังเรียนอยู่ เราไม่ได้มีต้นทุนไปทำโฆษณาแบบคนอื่น เลยให้ value กับการทำภาพแอดให้มันออกมาแตกต่าง แล้วก็ลงในเฟซบุ๊กที่คนยังไม่ค่อยมองว่ามันเป็นช่องทางการตลาดได้เหมือนกัน”

จากขายในเฟซบุ๊กง่ายๆ ลูกค้าทักอินบอกซ์ และเธอก็ตอบเอง ส่งสินค้าเอง 2P เริ่มมีฐานลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนแก้มมั่นใจว่าเธอสามารถขยายแบรนด์เข้าร้านขายเครื่องสำอางได้

“ถ้าพูดถึงบทเรียนในช่วงแรก เรามองว่าบางอย่างที่มันต้องทำเดี๋ยวนั้น มันต้องทำเลย เพราะถ้ารออีก 6 เดือนแล้วค่อยทำ มันอาจจะไม่ปังก็ได้เพราะอาจจะเกิดเทรนด์ใหม่แล้ว OH MY MATTE มันเลยเป็นสินค้าที่มาในจังหวะเวลาที่ทุกอย่างมันพอเหมาะพอเจาะ”

Credit: 2P Original

“โปรดักต์นี้มันดีที่สุดในจังหวะนั้นหรือยัง”

เวลาพูดถึงการพัฒนาสินค้า แก้มมักจะย้ำว่า 2P ไม่ใช่แบรนด์ที่ออกของตามกระแส เธอไม่คิดว่าทุกอย่างต้องวิ่งตามเทรนด์เพื่อจะขายได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณภาพและเวลาที่เหมาะสม

“เราเป็นแบรนด์ที่ไม่สามารถออกโปรดักต์ตามคนอื่นได้ ถ้าเรามีโปรดักต์ที่เราเชื่อมั่นและมันดีแล้ว ณ เวลานั้น มันไม่จำเป็นต้องมีเทรนด์ก็ได้”

สำหรับเธอ เทรนด์เป็นเพียงปัจจัยแวดล้อม แต่จังหวะเวลาเป็นแกนหลักของการตัดสินใจ ไม่ใช่ทุกอย่างจะออกในเวลาที่ตลาดฮิตเสมอไป หากสินค้ายังไม่ ‘สุกงอม’ ดีพอ เธอก็ไม่รีบลงมือ

“จังหวะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่กระแส มันอยู่ที่ว่าโปรดักต์นี้มันดีที่สุดในจังหวะนั้นหรือยัง”

ตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าตลาดกำลังต้องการลิปแมต แต่ในจังหวะเดียวกันมีหลายแบรนด์ออกสินค้าชนิดนี้พร้อมกัน และ 2P ไม่มีอะไรสู้ได้ การลงไปแข่งขันตรงนั้นก็ไม่จำเป็น ขณะเดียวกันสินค้าฮีโร่ของ 2P อย่าง OH MY TINT ก็ “ไม่ได้ออกตามเทรนด์” แต่เกิดจากการฟังลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล และกล้าตัดสินใจสวนกระแส 

ก่อนออก OH MY TINT แก้มตั้งคำถามกับลูกค้าว่า ความนิยมในลิปแมตตอนนั้นมาจาก “ฟินิชที่ชอบจริงๆ” หรือมาจาก “ความไม่มีตัวเลือกอื่น เพราะเทรนด์กำลังเป็นแบบนี้ เพราะคนอื่นทาแบบนี้” เพราะถ้าความนิยมเกิดจากลูกค้าต้องจำใจใช้ ก็แปลว่าตลาดกำลังขาดอะไรบางอย่าง

“ทั้งที่จริงๆ มันไม่ได้สบาย แล้วกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักเรียนนักศึกษาตอนนั้นก็อาจจะต้องการฟินิชที่ไม่ตึงหรือแกลมเกินไปแบบลิปแมตไหม เขาน่าจะอยากได้อะไรที่ทาได้บ่อยๆ”

เมื่อเห็น pain point นี้ เธอจึงพัฒนาเนื้อใหม่ที่ใช้ได้ง่าย สีชัด ติดทน ทาได้ทุกวัน ไม่ต้องส่องกระจก จึงได้เป็นลิปทินต์ที่สวนกระแสลิปแมต ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นทินต์น้ำๆ สีแจ๊ดๆ แบบที่ทินต์สมัยนั้นเป็น จน OH MY TINT กลายเป็นสินค้าที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีกว่า OH MY MATTE เพราะ 2P ไม่ได้เริ่มจากศูนย์อีกต่อไป แบรนด์มีฐานผู้ใช้ที่ชื่นชอบเครื่องสำอางราคาย่อมเยาและเชื่อมั่นในคุณภาพอยู่แล้ว

กระบวนการคิดของแก้มเช่นนี้จึงทำให้ OH MY TINT เป็นสินค้าตัวท็อปตั้งแต่ 9 ปีที่แล้วจนวันนี้ เธอบอกว่า “คนที่ใช้ OH MY TINT คือคนที่ซื้อแบบไม่ต้องคิดแล้วด้วยซ้ำ เป็นลิปอุ่นใจ คือถ้าไม่รู้จะเลือกอะไรก็เลือกอันนี้”

 ที่จริงนอกจาก OH MY TINT ยังมี OH MY BLUSH ที่เป็นที่พูดถึง เดิมที 2P มีบลัชออนฝุ่นอยู่แล้ว แต่แก้มมองว่าสินค้าเวอร์ชั่นแรกไม่ได้สะท้อนตัวตนแบรนด์ชัดเจนพอ จึงตัดสินใจพัฒนาเวอร์ชั่น 2 ที่ทั้งรีแพ็กเกจ ทำภาพลักษณ์ใหม่ และออกแบบให้เข้ากับรสนิยมลูกค้ามากกว่า

สิ่งที่ทำให้ OH MY BLUSH รุ่นใหม่บูมไม่ใช่เพราะมันเป็นแค่บลัชออน แต่เพราะการพยายามแก้ปัญหาสินค้าในตลาดเดิมเพื่อเสนอทางเลือกที่ดีกว่า แก้มเลือกออกบลัชมาทีเดียว 10-15 สี และแก้ pain point ให้ลูกค้าด้วยการทำบลัชออนไร้ฝุ่น 

“ทุกสินค้ามีโอกาสหมด ถ้าคุณตอบโจทย์คนซื้อได้ เราแค่ต้องแก้ pain point ของสินค้าที่เคยเป็นมาให้มันดีขึ้น”

“ต่อให้เอาโลโก้ออก คนต้องรู้ว่านี่คือ 2P”

ในโลกที่ลูกค้าเปลี่ยนแบรนด์ง่ายมาก วันนี้ใช้ลิปยี่ห้อ A พรุ่งนี้ลอง B มะรืนลอง C แก้มรู้ดีว่าความยากไม่ใช่แค่ทำให้ลูกค้าอยากลอง แต่คือทำยังไงให้แบรนด์ยังอยู่ในใจเสมอ 

สำหรับแก้ม สินค้า 2P จึงต้องแตกต่างด้วยความครีเอทีฟ ทั้งความครีเอทีฟในฟอร์มูล่า การใช้งาน แพ็กเกจจิ้ง และธีมของสินค้า

“ต่อให้เอาโลโก้ออก คนต้องรู้ว่านี่คือ 2P มันเป็นความตั้งใจของเราที่อยากให้ลูกค้าได้มากกว่าแค่เครื่องสำอาง 2P เลยพยายามวางตัวเป็น Creative Cosmetics”

OH MY BLUSH DOT เป็นตัวอย่างที่ดีของความครีเอทีฟ แก้มเล่าว่าช่วงนั้นตลาดไทยยังไม่นิยมบลัชออนเนื้อน้ำแบบจริงๆ จังๆ ผู้คนไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับสินค้าประเภทนี้ เพราะบลัชน้ำแบบเดิมๆ เลอะง่าย ต้องมีแปรงยุ่งยาก และใช้งานไม่สะดวก

วิธีแก้ของแก้มคือการเลือกหัวแสตมป์ของบลัชที่ใช้งานง่าย ไม่เลอะ และใส่พัฟแถมไปให้ ช่วงนั้นกระแสการจุ่มสินค้าแล้วลุ้นเอาว่าจะได้สินค้าแบบไหนกำลังมาแรง เธอเลยทำเป็น ‘พัฟจุ่ม’ จนทำให้ OH MY BLUSH DOT กลายเป็นฮีโร่โปรดักต์อีกตัวทันทีที่เปิดตัว

ความครีเอทีฟของ 2P ยังไม่ได้อยู่แค่ในเนื้อผลิตภัณฑ์อย่างเดียวแต่ลามไปถึงแพ็กเกจจิ้ง ที่แก้มไม่ได้มองว่าเป็นแค่ตัวห่อสินค้าแต่เป็น ‘ประสบการณ์’ ที่ผู้ใช้ได้สัมผัสทุกวัน เหมือนเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านที่คนเลือกเพราะมันให้ความรู้สึกบางอย่าง ไม่ใช่เพราะมันทำหน้าที่พื้นฐานได้เท่านั้น

หรือจะเป็นงานสื่อสารที่ 2P ก็ใส่ความคิดสร้างสรรค์แบบจัดเต็ม โดยเฉพาะในยุค ‘ทะเลคอนเทนต์’ วันนี้ แก้มยอมรับว่า 2P ยิ่งต้องแตกต่าง 

“แบรนด์เราเป็นแบรนด์ที่ภาพลักษณ์สามารถปรับตามยุคได้ เพราะเราอยากโตไปพร้อมลูกค้าและอยากได้ลูกค้าใหม่ๆ ด้วย 2P เลยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมทั้งหมด แต่เรายึดติดกับความครีเอทีฟ”

เธอมองว่า art direction หรือสไตล์คอนเทนต์แบบหนึ่ง อยู่ได้เต็มที่สัก 2 ปี หลังจากนั้นลูกค้าจะเริ่มมองว่าเก่า ในมุมนี้ 2P เลยเลือกที่จะให้ ‘แกน’ ของการสื่อสารยังคงเดิม แต่สามารถเปลี่ยน ‘รูปแบบ’ ได้ 

“เราพยายามทำให้สื่อที่ออกไปมันไปพร้อมยุคสมัย ตอนนี้อะไรเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนตาม แต่คอของโปรดักต์และความครีเอทีฟต้องเหมือนเดิม”

ทว่า ในอีกด้านหนึ่ง แก้มก็ซื่อสัตย์กับตัวเองว่าแบรนด์ 2P นั้นถนัดเรื่องโปรดักต์มากกว่าคอนเทนต์ แต่โลกตอนนี้บังคับให้ทีมต้องเก่งทั้งสองด้าน

“ความท้าทายของ 2P คือเราอยากให้ลูกค้ามองว่าเราเป็นแบรนด์ Creative Cosmetics จริงๆ เราเลยพยายามใส่ความสร้างสรรค์ให้ได้ในทุกจุดที่ทำได้ในเครื่องสำอาง อยากให้เวลาคนนึกถึงคำนี้ต้องนึกถึง 2P เหมือนเวลาเรานึกถึงแว่นที่ครีเอทีฟ คนจะนึกถึง GENTLE MONSTER เราอยากให้ 2P เป็นเวอร์ชั่นนั้นของเครื่องสำอาง”

“ไม่ใช่เพราะราคาถูก แต่เพราะคุณภาพ”

ตอนเริ่มต้นจาก OH MY MATTE และ OH MY TINT แก้มบอกว่า จุดยืนคือการทำสินค้าราคาถูกที่คุ้มค่านั่นทำให้สินค้าในยุคแรกไม่มีแม้แต่กล่อง เพื่อให้ราคายังอยู่ในจุดที่นักศึกษาจ่ายไหว คืออยู่ที่ 99 บาท

ในมุมธุรกิจ นี่คือการยอมลดต้นทุนด้านภาพลักษณ์เพื่อรักษาแก่นของแบรนด์ในตอนนั้นคือ ลิปคุณภาพดี ราคานักศึกษา แต่พอแบรนด์เติบโตขึ้น สินค้าบางตัวของ 2P ก็เริ่มมีราคาสูงขึ้นเกือบเท่าตัวจากจุดเริ่มต้น แต่แก้มไม่ได้มองว่านี่คือการขึ้นราคาเฉยๆ กลับเป็นการเพิ่ม value ในหลายมิติ

“ทุกวันนี้สินค้าบางตัวราคาแพงขึ้น แต่แพงขึ้นแล้วมันต้องคุ้ม จาก OH MY TINT ราคา 99 บาทไม่มีกล่อง ลูกค้าโอเค วันนี้ลูกค้าจ่ายแพงขึ้น เขาต้องได้ทั้งฟังก์ชั่นที่ใช้ง่ายขึ้น ความสวยงามของแพ็กเกจจิ้ง หยิบแล้วไม่อาย วางบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเป็นเหมือนไอคอนิกของโต๊ะตัวนั้น มีพัฟแถมให้ คือ value มันต้องถูกเติมเข้าไปด้วยคุณภาพ” 

“เรารู้แล้วว่าจริงๆ สิ่งที่ลูกค้าซื้อไม่ใช่เพราะราคาถูก แต่เพราะคุณภาพ มันเลยทำให้แบรนด์กล้าทำสินค้าในหลายเรนจ์ ตั้งแต่ 99 ไปจนถึงราคาที่แพงที่สุดของแบรนด์ที่ 400 กว่าบาท”

“เราจำเป็นต้องเร็ว แต่คำว่าเร็วไม่ใช่ต้องออกสินค้าใหม่ตลอด”

วันนี้ตลาดเครื่องสำอางในไทยนับว่าเป็น red ocean ที่ไม่เพียงแต่เจ้าของแบรนด์เท่านั้นที่ต้องวิ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะแม้กระทั่งฝั่งโรงงาน เจ้าของโรงงานยังต้องลงมาดูด้วยตนเองเพื่อให้ตามเทรนด์ได้ไว

“มันยังโตได้อีก แต่การแข่งขันสูงมาก คนที่เป็นผู้เล่นใหม่อาจมองว่าเป็นโอกาส แต่ถ้าไม่รู้จักตลาดดี มันก็เสี่ยงตัดสินใจพลาดได้นะ ตอนนี้ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่ใช้แล้วสวย เพราะทุกแบรนด์ก็ใช้แล้วสวยหมด คำถามคือคุณให้อะไรที่มากกว่านั้นได้มั้ย”

ในมุมเจ้าของแบรนด์ การมีคู่แข่งที่เก่งๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แก้มบอกว่านี่เป็นเหมือนโจทย์ที่บังคับให้ทุกคนไม่หยุดพัฒนา “แต่ถ้าเราไม่รู้จุดยืนของตัวเอง มันจะทำให้แบรนด์เสียตัวตนนะ เห็นอะไรฮิตก็อยากจะลงไปทำตามทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด”

ที่จริง 2P เคยลองวิ่งตามเทรนด์ด้วยการออกสินค้าให้ถี่ขึ้นในบางช่วง เพราะแรงกดดันจากการอยู่ใน red ocean ทำให้แก้มรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยอาจตามไม่ทันคนอื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ identity ของแบรนด์เริ่มพร่ามัว และท้ายที่สุดสินค้าที่ออกมาตามกระแสก็ไม่เวิร์ก

เคสที่แก้มยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ Oh My Gloss Stick

“ช่วงนั้นทุกคนนิยมลิปปากกาแบบคลิกๆ แล้วเนื้อจะออกมา จริงๆ เราพัฒนาสูตรไว้อยู่แล้ว เนื้อลิปมีคุณภาพที่ดีจนผ่านการทดสอบของแบรนด์ แต่แค่คุณภาพที่ดีอาจจะยังไม่พอ เพราะคุณภาพที่ดีเป็นเหมือนแค่มาตรฐาน แต่สิ่งที่ลูกค้าอยากได้จากเรา มันมากกว่านั้น”

ในจังหวะนั้น แบรนด์อื่นๆ ก็ออกสินค้าประเภทเดียวกันมากมาย แถมบางแบรนด์อาจตั้งราคาถูกกว่า  2P จึงไม่มีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดเจนเช่นสินค้าอื่นๆ เท่ากับว่าลูกค้าจะซื้อแบรนด์ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อ 2P เพราะสิ่งที่แบรนด์ทำได้ดีในเรื่องครีเอทีฟไม่เด่นชัดพอ

มากไปกว่าเคสนี้ แก้มยังเล่าว่าบางครั้งก็หวั่นไหวด้วยแรงกดดันของตลาด ทำให้จากแต่เดิมที่ออกสินค้าปีละ 1 ชิ้น เธอเลือกออกสินค้าให้ถี่เพื่อตามตลาด แต่นั่นกลับทำให้ตัวตนของแบรนด์หายไป 

“เราได้เรียนรู้ว่าลูกค้าที่ชอบ 2P เขามีธงในใจว่าอยากได้อะไรจากแบรนด์ เขาไม่ได้อยากได้แค่ของใหม่ที่สุดหรือออกตามกระแสตลอดเวลา แต่เขารอสิ่งที่เราคิดค้นแล้วว่าดีที่สุดสำหรับเขามากกว่า ดังนั้นแก้มเลยคิดว่าดีเอ็นเอของเราไม่ใช่ฟาสต์แฟชั่น เราให้คุณค่ากับสินค้าจริงๆ ถ้ามองแล้วรู้สึกว่าสินค้าตัวนี้ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรที่เอาไปสู้คนอื่นได้ ลูกค้าไม่ได้สัมผัสความครีเอทีฟของเรา เราไม่ทำดีกว่า”

แต่คำถามสำคัญคือแล้วต้องเร็วแค่ไหน ถึงจะยังคงตัวตนของแบรนด์ได้พร้อมๆ กับการเท่าทันหรือนำเทรนด์ แก้มตอบว่า ต้องเร็วในการอัพเดตเทรนด์ แต่ไม่จำเป็นต้องเร็วในการปล่อยสินค้าใหม่ตลอดเวลา

“เราจำเป็นต้องเร็ว แต่คำว่าเร็วไม่ใช่ต้องออกสินค้าใหม่ตลอด เร็วในที่นี้คือห้ามล้าหลังเรื่องนวัตกรรม แนวคิด ฟอร์มูล่า ดีไซน์ หรือการรีเสิร์ชลูกค้า เพราะทุกอย่างไปไวมาก”

เธอยกตัวอย่างจากช่วงที่คนฮิตลิปออยล์ ก่อนที่กระแสจะสวิงกลายเป็นลิปกลอสในเวลาไม่นาน

ถ้าแบรนด์ยึดติดกับความคิดที่ว่า 2P พัฒนาลิปออยล์อยู่ คนกำลังฮิต และต้องออกให้ได้ ทั้งที่สัญญาณตลาดเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว สุดท้ายอาจกลายเป็นสินค้าที่ออกไม่ทันใจลูกค้าหรือออกมาในเวลาที่ไม่มีใครรอแล้ว

“ถ้าเรามองว่าลิปออยล์มันไม่ใช่เวลาของมันแล้ว แต่เรายังดื้อดึงยึดติดกับมันมันก็ไม่เวิร์กอยู่ดี ยกเว้นว่าเรามั่นใจมากๆ ว่าลิปออยล์ของเราดีจริงจนสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้”

“ถ้าเราไม่กล้า จะมีคนที่กล้ากว่า”

ในมุมมองของแก้ม ตลาดเครื่องสำอางไทยยังมีโอกาสเสมอ ถ้าแบรนด์รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่

“ธุรกิจที่เกี่ยวกับความงามเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเสมอ ถ้าเรามีความชัดเจนในจุดที่เราทำ” 

และเพราะ 2P มีจุดยืนของตนเองชัดเจน จึงทำให้แบรนด์สามารถขยายไปต่างประเทศได้มากขึ้น ปัจจุบัน 2P มีดิสทริบิวเตอร์ราว 4-5 ประเทศ และดีลเลอร์ราว 15 ประเทศ เช่น ไต้หวัน เวียดนาม สิงคโปร์ อินโด ฮ่องกง แต่ละประเทศต่างมีสินค้าที่เหมาะกับสไตล์การแต่งหน้าของประเทศตนเอง

“ไต้หวันจะชอบงานผิว ชอบลิปมัน แก้มใสๆ เลยจะเน้นบลัชครีม บลัชน้ำ ส่วนเวียดนามแต่งหน้าเต็มหน่อยเขาก็จะชอบบลัชฝุ่น ลิป OH MY TINT คือแต่ละประเทศเราเลือกสินค้าไปขายไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายดีเอ็นเอของแบรนด์ก็ยังอยู่”

แต่ผลงานความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศนี้ แก้มเผยว่าในฐานะผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญคือการทำให้ทั้งทีม ‘เห็นภาพเดียวกัน’ ไม่ใช่แค่ทีมดีไซน์หรือทีมการตลาดเท่านั้น แต่แก้มบอกว่าแม้กระทั่งฝ่ายบัญชีก็ต้องรู้ว่าแบรนด์ให้คุณค่ากับอะไร

“ถ้าภาพที่แต่ละคนเห็นมันเป็นคนละภาพ แบรนด์ก็เดินไปได้แหละ แต่จะไปช้าและไม่ชัด แต่ถ้าทั้งทีมรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร ทุกคนจะรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”

แม้คนทำบัญชีอาจไม่ได้แต่งหน้าหรือไม่ได้ออกแบบแพ็กเกจจิ้ง แต่เขาจะรู้ว่าแบรนด์ต้องลงทุนกับอะไร ทำไมต้องไป visit โรงงานบ่อยๆ ทำไมต้องเสียเงินค่าพัฒนาแพ็กเกจจิ้ง หรือจริงจังกับการถ่ายภาพมากขนาดนี้ เพราะ 2P เป็น Creative Cosmetics 

ท้ายที่สุด แก้มสรุปบทเรียนการทำธุรกิจของเธอในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า “มันไม่มีทางที่เราจะรู้ดีที่สุดได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ความกล้าเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจเครื่องสำอาง เพราะถ้าเราไม่กล้า จะมีคนที่กล้ากว่า แล้วเขาอาจจะไปถึงก่อนเรา”

บางแบรนด์ออกสินค้า 10 ตัวต่อปี อาจสำเร็จ 3 ตัว บางแบรนด์สำเร็จ 5 ตัว แก้มบอกว่าสิ่งเหล่านี้ขึ้นกับแนวทางของแต่ละแบรนด์ แต่สำหรับ 2P เธอเชื่อว่าถ้าไม่ลองทำเลยสักวิธีแบรนด์จะไม่มีวันรู้จักลูกค้าจริงๆ

“ถ้าเราไม่ออก OH MY TINT เราจะไม่รู้เลยว่าเราทำลิปที่ไม่ต้องตรงกับลิปที่คนกำลังพูดถึงในตอนนั้นได้หรือถ้าเราไม่เคยลองทำ OH MY BLUSH DOT ที่ราคา 279 บาท เพราะยึดติดว่า 2P ต้องขายบลัชราคาร้อยต้นๆ เราก็จะไม่รู้ว่าลูกค้าเรายอมซื้อบลัช 279 ถ้าสินค้านั้นมันคุ้มค่าพอ”

ในมุมนี้ ความกล้าไม่ได้แปลว่าต้องทำอะไรหุนหัน แต่กลับคือการเชื่อในจุดแข็งของตัวเอง แล้วทดลองไปด้วยกัน 

และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ 2P ยังยืนอยู่ได้ในสนามที่มีผู้เล่นมากมาย โดยไม่ต้องตะโกนแข่งกับทุกคนตลอดเวลา แต่ค่อยๆ มีภาพ จุดยืน และเสียงที่ชัดเจนในแบบฉบับของ 2P

ออม ‘ทอง’ ยังไงให้รุ่ง ในยุคที่โลกผันผวนแทบทุกวัน? จาก Your Wealth Architect

นอกจากอาบน้ำ แปรงฟัน หรือส่งลูกไปโรงเรียน เชื่อว่ากิจวัตรยามเช้าของมนุษย์วัยทำงานตอนนี้คือการเช็กราคา ‘ทองคำ’ ที่ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าที่ขึ้นสุดลงสุดราวกับนั่งรถไฟเหาะ นั่นทำให้เหล่ากูรูคอยเชียร์อัพให้ช้อนทองเข้าพอร์ตลงทุนในกระเป๋าทุกวี่วัน

อาจกล่าวได้ว่าทองกลายเป็น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (safe haven) ที่หลายคนจับจ้องรองลงมาจากเงินสด และเพลย์เซฟในการลงทุนมากกว่าการซื้อหุ้น, คริปโตฯ หรือแม้กระทั่งอสังหาฯ โดยเฉพาะในบ้านเราที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการซื้อหดตัว นั่นจึงเป็นที่มาของความเชื่อว่าซื้อทองเก็บไว้เฉยๆ ก็คุ้มค่า เพราะไม่ว่าจะยุคไหนสุดท้ายทองก็มีค่าในตัวของมันเองเสมอ

คำถามคือในยุคที่เงินเฟ้อจนต้องเหลียวมองทอง เราจะออมทองยังไงให้รุ่ง เราควรรู้อะไรอีกบ้างเกี่ยวกับธรรมชาติของสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งเราได้สรุปมาจากการฟังเซสชั่นหัวข้อ ‘Gold 2.5: In Gold We Trust  Again ลงทุนในโลกหลังความวุ่นวาย เมื่อคนไม่ไว้ใจเงิน แต่กลับมาไว้ใจทอง’ โดย ‘แอนนาเบล คชนันท์’ สถาปนิกการเงินเจ้าของเพจ Annabel  – You Wealth Architect และ Private Banker ประจำกรุงเจนนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นน่าสนใจจากงาน Work Life Festival 2025 Make Rich Stage

 [1. ทองขึ้นทุกครั้งเมื่อโลกไม่แน่ใจ]

“ทองโตด้วยความกลัวของมนุษย์ไม่ใช่ด้วยความหวัง” คือประโยคแรกที่แอนนาเบลชวนให้คิดตาม

หนึ่งในปัจจัยแรกที่คนคิดจะลงทุนออมทองต้องรู้คือทองเป็นสินทรัพย์ที่ราคาขึ้นทุกครั้งเมื่อทั่วโลกเกิดความ ‘กลัว’ ยกตัวอย่างช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ไปจนถึงสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน เมื่อแรงกดดันถาโถมใส่โลกจนนำพาไปสู่วิกฤต ‘macro uncertainty’ หรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค ดังเช่นภาวะเงินเฟ้อเช่นที่เป็นอยู่ 

นักลงทุนทั่วโลกจึงหันมาจับจ้องทองอีกครั้ง เพราะเป็นทรัพย์สินที่การันตีมูลค่าตัวมันเองได้ เมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจหรือกลัวต่อสถานการณ์โลกที่เป็นอยู่ การมีทองในพอร์ตโฟลิโออาจช่วยทำให้อุ่นใจมากขึ้น เหมือนกับที่เศรษฐีทั่วโลกนิยมเก็บทองไว้ในธนาคารส่วนตัว (private bank) 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ

[2. ถ้าทองตกพร้อมหุ้นอย่าเพิ่งตกใจ]

“ทองมักมีมูลค่าสูงตรงกันข้ามกับสินทรัพย์อื่นๆ ในยามที่หุ้นตก แต่ไม่ใช่กับ 1-2 ปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่หุ้นตกคุณจะเห็นว่าทองก็ตกด้วย” เจ้าของเพจ Your Wealth Architect เปรยถึงประเด็นถัดไป

หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว! ไหงบอกว่าทองเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสถียรมากที่สุด แล้วไหงหุ้นตกทองถึงตกด้วย ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ? 

อย่าเพิ่งตกใจด่วนสรุปไป แอนนาเบลอธิบายให้ฟังว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมาจาก ‘การเทขาย’ ของนักลงทุนเพื่อพยุงตัวเอง เพราะทองเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง สังเกตได้ว่าเมื่อไหร่ที่ทองร่วงหนัก ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาราคาของมันจะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งเป็นเช่นนี้สลับไปสลับมา ซึ่ง Goldman Sachs ผู้ให้คำปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ การซื้อ-ขาย และการระดมทุนข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ได้พบกราฟแพตเทิร์นขึ้น-ลงของมูลค่าทองนี้ครั้งแรกคือตอนที่โลกเผชิญกับวิกฤตการเงิน Hamburger Crisis เมื่อปี 2008 ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อปี 2020 คือช่วงวิกฤตโควิด-19 ก่อนจะถึงปี 2024-2025 ที่เกิดภาวะสงครามและภาวะเศรษฐกิจ 

ดังนั้นจึงอย่าตกใจที่เห็นทองคำราคาตกพร้อมๆ กับหุ้น แต่ให้เข้าใจว่าการเก็บทองไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรแต่เพื่อให้เกิดความสบายใจ สามารถล้มลงบนฟูกได้ยามเกิดวิกฤตโลก ที่ไม่รู้ว่าแต่ละครั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเกิดความสูญเสียมากน้อยแค่ไหน  

[3. ดอกเบี้ยยังสำคัญกับทอง…แต่ทองไม่ฟังอีกต่อไป]

ต่อมาคือเรื่องของ ‘อัตราดอกเบี้ย’ คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คนถือทองต้องรู้ 

เมื่อก่อนเรารู้ดีว่า ‘อัตราดอกเบี้ย’ ที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง คือผู้กำหนดทิศทางว่าราคาทองจะขึ้นหรือลง กล่าวคือเมื่อไหร่ที่ดอกเบี้ยสูงจากการที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนบางอย่างหรือสถานการณ์การเงินโลกกำลังไม่โอเค อัตราดอกเบี้ยจะกดให้ราคาทองต่ำลงเพื่อให้เกิดการนำทองออกมาซื้อ-ขายเพื่อให้เกิดสภาพคล่อง ผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามข่าวสารและสอดส่องอัตราดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ

แต่ความเชื่อดังกล่าวเปลี่ยนไปทันทีที่สหรัฐฯ และกลุ่ม G7 ใช้มาตราการคว่ำบาตรรัสเซียกรณีเปิดฉากบุกยูเครนเมื่อปี 2022 ด้วยวิธีตัดช่องทางการเงินของธนาคารรัสเซียออกจาก ‘SWIFT’ ซึ่งเป็นระบบโอนเงินโลก ผลที่ตามมาคือเกิดแรงซื้อทองครั้งใหญ่จากธนาคารกลางและกองทุน ETF ไม่ใช่แค่จากบุคคลธรรมดา นั่นทำให้แม้ดอกเบี้ยจริง (real yield) พุ่งสูงขึ้น และราคาทองเองก็พุ่งสูงตามด้วยเช่นกัน เพราะการซื้อที่ว่าเป็นการแห่ซื้อโดยไม่สนทิศทางราคาหรืออัตราดอกเบี้ยใดๆ 

ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้ทองขึ้นหรือลงในยุคนี้จึงขึ้นอยู่กับ ‘ความกลัวของคน’ สังเกตได้ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโลก ทองมักราคาพุ่งสูง และจะตกลงเมื่อความกลัวนั้นหายไปจากสถานการณ์ที่คลี่คลาย เราจึงไม่ต้องรีบปล่อยทองในวันที่ราคาขึ้นหากไม่จำเป็น แต่ถือไว้ได้ยาวๆ ไว้เป็นหลักประกันชีวิต

[4. ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไรแต่ซื้อเพื่อความอยู่รอด]

ดังนั้นนิยามการซื้อทองของเศรษฐีในยุคนี้ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรหรือหวังรวยขึ้น แต่ซื้อ ‘เพื่ออยู่รอด’ มันเป็นมากกว่าทรัพย์สินแต่คือระบบป้องกันชีวิตในวันที่โลกไม่แน่นอน วันใดวันหนึ่งสกุลเงินที่ถืออาจตกลง แต่ทองยังเป็นทรัพย์สินที่ไว้ใจได้เสมอ

ขณะเดียวกันในอนาคตทองคำจะไม่ได้ถูกเก็บสะสมอยู่แค่ในตู้เซฟ แต่จะสะสมในระบบดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับ ผ่านระบบที่เรียกว่า ‘Tokenized Gold’ หรือการเปลี่ยนทองแท่งในห้องนิรภัยให้กลายเป็น digital token ที่ซื้อ-ขายได้จริง และมีราคาทองคำจริงๆ รองรับ นั่นหมายความว่าเมื่อนำทองขึ้นมาอยู่บนบล็อกเชน ตลาดการซื้อ-ขายทองจะยิ่งเปิดกว้างและโตขึ้นมากกว่าเดิม

[5. เมื่อระบบการเงินโลกไม่ไว้ใจดอลลาร์ฯ อีกต่อไป]

ดังที่เกริ่นนำข้างต้นว่า ภายหลังเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ตัดช่องทางการเงินของรัสเซีย จนในที่สุดทองไม่ฟังกลไกอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป ดังนั้นธนาคารกลางของหลายประเทศจึงหันมา ‘ลดเงินดอลลาร์ฯ’ และ ‘เพิ่มทอง’ ในคลังมากขึ้น เพราะเกรงว่าการสะสมเงินดอลลาร์ฯ มีความสุ่มเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งอาจถูกพี่ใหญ่สหรัฐฯ ลงดาบเหมือนรัสเซีย 

การหนีไปออมทองซึ่งไม่ได้ขึ้นตรงกับระบบ SWIFT จึงเป็นหนทางสำคัญในการเอาตัวรอด ด้วยเหตุที่ว่าไม่อยากเป็นเหยื่อของเงินดอลลาร์ฯ อีกต่อไป

และเมื่อไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดสงครามหรือวันใดวันหนึ่งจะพลาดไปกระตุกหนวดเสือประเทศมหาอำนาจ จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีเงินสดสำรองในคลัง 12 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งถือสัดส่วน 60% จากสกุลเงินทั้งหมดในคลัง วันนี้ธนาคารกลางเหล่านั้นหันมาสำรองทองในระบบธนาคารมากขึ้น เพื่อสร้าง ‘อธิปไตยทางการเงิน’ (financial solvency)

เห็นได้ชัดจากการที่จีนพยายามสร้างเครือข่าย Gold Corridor เชื่อมโยงตลาดทองคำประเทศพันธมิตรในเอเชียและกลุ่มสมาชิก BRICS เพื่อสร้างระบบการเงินที่ไม่ต้องพึ่งระบบ SWIFT และเงินดอลลาร์ฯ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือหากจีนทำสำเร็จ เครือข่ายดังล่าวจะแลกเปลี่ยนทองเป็นเงินหยวนได้อย่างอิสระ กล่าวคือทำให้คนอยากถือสกุลเงินหยวนมากกว่าเงินดอลลาร์ฯ นั่นเอง

ช่วงท้ายเจ้าของเพจ Your Wealth Architect จึงเน้นย้ำว่า การออมทองในยุคนี้ คือต้องเข้าใจธรรมชาติของทอง เราสามารถซื้อทองสะสมได้แต่ไม่ถึงขั้นทุ่มซื้อหมดพอร์ต และอย่าเก็งกำไรแบบ ‘all in’ ไม่คิดหน้าคิดหลัง เหนือสิ่งอื่นใดให้จับตามองจีนเอาไว้ให้ดี ว่าจะกลายเป็นมหาอำนาจที่ควบคุมทองด้วยเงินหยวนอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นได้หรือไม่ เพราะถ้าได้ นั่นหมายความว่าอนาคตเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินตราที่มีอำนาจมากกว่าดอลลาร์ฯ นั่นเอง

คุยกับพีท ประณิธาน ก่อนไป Wonderfruit ถึงมิติใหม่ทางวัฒนธรรมที่ผสานศิลปะข้ามศาสตร์

หลายคนอาจมีภาพจำว่า Wonderfruit คือเทศกาลดนตรีที่รวมตัวคนเก๋แต่งตัวมีสไตล์มาพบกัน แต่แท้จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของงานนี้เกิดจากความเชื่อว่า วัฒนธรรม ศิลปะ และธรรมชาติ สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้

ไม่ว่าจะเป็นการนำธรรมชาติมาผสานกับธรรมะ สร้างสรรค์เสียง เพื่อเล่าเรื่องของ wellness และศาสนา นำพระ ศิลปิน และนักวิจัยมาร่วมงานกัน สร้างคอนเสิร์ตหมอลำที่สนุกและร่วมสมัย ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่าน chef’s table และสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยความหมาย

ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ Wonderfruit ซึ่งจัดขึ้นทุกเดือนธันวาคมที่ชลบุรี พีท–ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้ง เล่าว่า นับจากนี้ Wonderfruit จะไม่เป็นเพียงเทศกาลที่เกิดขึ้นปีละครั้งอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น ‘แพลตฟอร์มทางวัฒนธรรม’ (Cultural Platform) ที่มีกิจกรรมและโปรเจกต์เกิดขึ้นตลอดทั้งปี โดยถ่ายทอดผ่าน ethos หลักสามแกนคือ Mind, Nature และ Sound

ชวนฟังพีทเล่าถึงกลไกเบื้องหลังการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ ตั้งแต่การพัฒนา The Fields แห่ง Siam Country Club ให้เป็นป่าแห่งการเรียนรู้และพื้นที่ฟื้นฟูธรรมชาติ ไปจนถึงวิสัยทัศน์การสร้างเมืองจำลองที่ทำให้ Wonderfruit แต่ละปีเต็มไปด้วยเวที โรงละคร ป่า หมู่บ้าน และสเปซสร้างสรรค์ที่ขยายขอบเขตจินตนาการอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้เฟสติวัลระดับโลกในต่างประเทศ 

Dhamma + Music + Art สร้างสรรค์ข้ามศาสตร์สู่พรมแดนใหม่

โปรแกรมและกิจกรรมต่างๆ ของ Wonderfruit ยึดหลักการข้ามศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ โปรเจกต์อย่าง Sonic Minds ตั้งใจสร้างเสียงที่สะท้อนสิ่งแวดล้อม ทั้งธรรมชาติ บ้าน อาคาร social space หรือแม้กระทั่งการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแปลงเป็นเสียงและสื่อในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อสำรวจว่าเสียงส่งผลต่อร่างกายและจิตใจเรายังไง

ความสนุกของเทศกาลคือการไม่จำกัดกรอบว่าอยากร่วมงานกับนักสร้างสรรค์ศาสตร์ไหนเป็นพิเศษ เพราะทุกการร่วมมือมักเกิดจากความสนใจร่วมกันโดยธรรมชาติ เช่น Baan Bardo พื้นที่ซึ่งเป็น theatre จากการร่วมมือของกลุ่มที่อยากทำ meditation retreat ให้ร่วมสมัยขึ้น จึงทำงานร่วมกับสถาปนิกที่ทำงานวิจัยด้านเขาวงกบจากวัดต่างๆ กลายเป็นพื้นที่แห่งการทดลองที่เชื่อมโยงศิลปะกับสมาธิเข้าด้วยกัน 

“ประเทศไทยมีวัฒนธรรมเยอะ ทั้งเรื่องศาสนาและ the practice of Buddhism (วิถีปฏิบัติแบบพุทธ) แต่บางครั้งคนรุ่นใหม่อาจรู้สึกว่าเข้าถึงยาก เราเลยอยากหยิบสิ่งเหล่านี้มาเป็นต้นแบบของการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ดนตรี หรือเสียง”

Wonderfruit ยังอยากขยายแนวคิด wellbeing ให้กว้างกว่าสุขภาพเชิงวิทยาศาสตร์ที่จริงจัง ผ่านการสอดแทรกจินตนาการด้วยไอเดียแปลกใหม่อย่าง Music for Rest Rooms ที่ชวนศิลปินและนักวิจัยมาร่วมกันออกแบบเสียงสำหรับห้องน้ำ จากแนวคิดที่ว่า เสียงที่ฟังในห้องน้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้

นอกจากเทศกาลรายปีแล้ว ต่อไปทิศทางของ Wonderfruit จะขยายรูปแบบการเล่าเรื่องผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พ็อดแคสต์ The Pineapple Eyes ค่ายเพลง Field Tapes ไปจนถึงหนังสั้นที่พูดถึงหมอลำและคำสอนของพระพุทธเจ้า

Living Culture คืนความลึกและไม่เฝือให้ศิลปะ

ในแง่ศิลปะ พีทไม่ได้มองศิลปะในเทศกาลเป็นแค่ decorative art เพื่อความสุนทรีเท่านั้น แต่มองศิลปะเป็น discipline หรือ practice (วิถีปฏิบัติ) ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม

“ผมว่า art เป็น culture เหมือนกันนะ แต่พอใช้คำนี้แบบสิ้นเปลือง มันก็เหมือนคำว่า sustainability ที่พอใช้กันเยอะๆ ศรัทธามันก็หายไป” ในอดีต คนไทยมักเข้าใจว่าศิลปะเป็นเพียงภาพวาด แต่วันนี้จะเห็นได้ว่ารูปแบบของศิลปะหลากหลายขึ้น จะเห็นได้จาก Wonderfruit ที่มีทั้ง installation, interactive art, performative art รวมถึง art of food และ music 

“เราก็เลยสนใจ cultural platform ซึ่งคล้ายกับการทำสถาบันศิลปะ เพื่อจะหาวิธีเอาหลายศาสตร์มารวมกัน และคิดว่าจะทำยังไงให้คนเข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้งศิลปะก็เข้าถึงยาก พอมันเกี่ยวข้องกับเงินหรือสเตตัสก็ทำให้ศิลปะดูน่าเบื่อไป เพราะเมื่อคนไม่ได้แตะต้องศิลปะ มันก็อยู่แค่ในสังคมกลุ่มเล็ก ๆ ผมไปดูพวกเทศกาลศิลปะ Biennale ก็ได้ไอเดียว่ารูปแบบงานแบบนี้น่าสนใจ แต่สำหรับคนไทยก็อาจยังเป็นเรื่องใหม่อยู่บ้าง”

Ancestral Forest ป่าแห่งภูมิปัญญาที่สอนเรา

พีทเล่าว่า พื้นที่กว่า 500 ไร่ของ The Fields ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เป็นพื้นที่มีชีวิตที่ไม่เพียงเต็มไปด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังตั้งใจให้เป็นแหล่งเรียนรู้ว่ามนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

ตั้งแต่ปีแรก Wonderfruit วางแนวทาง Zero Landfill 100% และระบบรีไซเคิลครบทุกขั้นตอน พร้อมทำ carbon offset (การชดเชยคาร์บอน) ผ่านการปลูกป่าในโครงการ Ancestral Forest ที่เริ่มต้นจากการศึกษาพันธุ์ไม้กว่า 70 ชนิด และปลูกต้นไม้ไปแล้วเกือบ 30,000 ต้น รวมถึงป่ายางนา 3,000 ต้น และสร้างหมู่บ้านสมุนไพร (Medicinal Plant Village) เพื่อตั้งใจให้เป็นป่าแห่งการเรียนรู้

“ผมเชื่อว่ามันต้องทำสองอย่างพร้อมกัน คือทั้งอนุรักษ์และฟื้นฟู นั่นคือเหตุผลที่เราชอบปลูกป่ามาก และอยากทำให้ป่าเป็นจุดเรียนรู้ ไม่ใช่แค่ป่าที่คนเข้าไปไม่ได้ แต่คนต้องสนุกกับมันได้ ต้องเรียนรู้จากมัน ต้องมีอาหารจากป่า ป่าต้องเป็นยาที่มาบำบัดเรา”

หมู่บ้านสมุนไพรจึงเกิดจากการตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และการอยากอนุรักษ์ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยโบราณ “พอมองไปที่ระบบโรงพยาบาลของบ้านเรา เราเดินตามฝรั่งมากไปนิด เป็นอะไรก็กินยา ฉีดวัคซีน เราเลยอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนลองกลับมาศึกษา มาลองดูว่าวิธีอื่น ๆ มันมีอยู่จริง ทำให้เรื่องพวกนี้ดูสนุก เด็กๆ เข้าถึงง่าย”

‘เมืองจำลอง’ ที่สอนว่าโลกไม่ได้มีแค่ขาวหรือดำ

การพัฒนา The Fields เปรียบเสมือนการสร้าง ‘เมืองจำลอง’ ที่สะท้อนภาพจริงของประเทศ ทำให้เห็นทั้งสิ่งที่มี และสิ่งที่ยังขาดซึ่งควรได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม

แม้ตลอดสิบปีที่ผ่านมาที่ทำเทศกาล เทรนด์เรื่อง wellness และ sustainability จะเป็นกระแสเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่สำหรับ Wonderfruit แล้ว แก่นของสิ่งที่ทำไม่เคยขึ้นอยู่กับเทรนด์ “ผมว่า Wonderfruit ไม่ได้คิดเรื่องเทรนด์ขนาดนั้นนะ ถ้าเราพูดถึงความยั่งยืนจริง ๆ มันต้องยั่งยืนหลายอย่าง ทั้งจิตใจ ร่างกาย สังคม และสิ่งที่เราสัมผัส ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งพวกนี้ไม่ควรเป็นเทรนด์ด้วยซ้ำ มันควรเป็นสิ่งที่เรารู้สึกและคิดอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเข้าใจเทรนด์เพื่อสื่อสารให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น” 

เมื่อพูดถึงแง่คิดจากการบริหาร ecosystem management ของเทศกาล พีทสรุปไว้ชัดเจนว่า “สิ่งที่เรียนรู้ชัดเจนที่สุดคือ เราสร้างหมู่บ้านเองได้ก็จริง แต่ถ้าพยายามอยู่ด้วยตัวเองโดยไม่เชื่อมกับอะไรเลย มันไม่มีทางอยู่ได้ เพราะในความเป็นจริง การเชื่อมกับสังคมและโลกมันสำคัญมาก บ้านเราก็มีหลายภาคส่วน อย่างภาครัฐก็แตกย่อยออกไปอีกเยอะมาก

“มันต้องสร้างสมดุลให้ได้สำหรับทุกส่วน ไม่งั้นจะไม่เกิดความยั่งยืนจริง ๆ และไปค้านกับอะไรบางอย่างตลอด ซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เรายังเรียนรู้อยู่ แต่สิ่งที่ดีคือมันทำให้เราเข้าใจประเทศ เข้าใจสังคมมากขึ้น บางทีคนเราชอบมองคนอื่นเป็นขาวหรือดำ คือดีกับไม่ดี แล้วด่ากัน แต่พอเข้าใจลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ได้ขาวหรือดำขนาดนั้น ผมว่ามันคือการเข้าใจว่า โลกข้างในเราเชื่อมโยงกับโลกข้างนอกอยู่ตลอด”

หากใครอยากเดินทางไปฟังดนตรีจากศิลปินระดับโลก สัมผัสศิลปะและสถาปัตยกรรม ทานอาหารอร่อยๆ เพื่อเปิดโลกทางวัฒนธรรม เทศกาล Wonderfruit 2025 ที่จัดขึ้นตลอด 5 วันในวันที่ 11-15 ธันวาคมนี้ก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ และหากใครอยากเดินทางเพื่อเชื่อมโยงกับโลกภายใน Wonderfruit ก็ทำให้การฮีลใจและดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสนุกเช่นกัน 

10 ปี SOS ร้านมัลติแบรนด์ไทย ที่รวมสินค้าแฟชั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าของสาวๆ กว่า 100 แบรนด์

ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของการทำแบรนด์ออนไลน์แบบไม่มีหน้าร้าน แต่สำหรับการช้อปปิ้งเสื้อผ้ากลับเกิดปัญหาว่าสั่งมาแล้วใส่ไม่ได้ ของไม่ตรงปก หรือดูในรูปก็สวยดีแต่ใส่แล้วกลับไม่เข้ากับเราซะอย่างนั้น

pain point เหล่านี้เป็นที่มาที่ทำให้เกิด SOS ร้านมัลติแบรนด์สัญชาติไทย ที่เวลาใครเสิร์ชหาชุดไปงานแต่ง ไปออกงาน หรือไปดินเนอร์ ก็จะมีชื่อของร้านนี้โผล่มาหน้าฟีดอยู่เสมอ เพราะเป็นร้านมัลติแบรนด์ยุคบุกเบิกที่ให้ลูกค้าได้หยิบจับของจริง ลองได้เต็มที่ หากใส่แล้วไม่พอดีก็มีบริการวัดตัว แก้ไซส์ให้เข้ากับสัดส่วนของลูกค้า

10 ปีผ่านไป SOS ได้ขยายอาณาจักร เพิ่มเสื้อผ้าหลากสไตล์ตั้งแต่ชุดที่ใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ชุดทำงาน ไปจนถึงชุดออกงาน และไม่ว่าจะเป็นรองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ หรือแทบทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้าของสาวๆ ก็มีให้ช้อปปิ้งกันกว่า 100 แบรนด์

ในวาระครบ 10 ปีและวันที่ SOS แปลงโฉมหน้าร้านสาขาสยามและเมกาบางนา เราขอพามาทัวร์​ร้านเวอร์ชั่นใหม่ พร้อมพูดคุยกับตัวแทน Co-founder SOS ทั้งสาม คือ พิม–พิมจิรา เจริญลักษณ์, บิ๊ก–อริยะ จิรวรา และตอย–ปิยะธิดา ชิตอรุณ ถึงเบื้องหลังการปั้นร้านมัลติแบรนด์หลายให้ยืนระยะได้นาน ท่ามกลางยุคที่แบรนด์หันไปทำตลาดออนไลน์และเล่นสงครามราคา ผ่านคอลัมน์ Market Share ในครั้งนี้กันได้เลย

SOS เปิดมานานถึง 10 ปี พวกคุณยังมีความเชื่อในการเปิดร้านนี้เหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

บิ๊ก : เหมือนเราโตขึ้นไปตามกาลเวลา แต่คอนเซปต์และสิ่งที่เราอยากส่งต่อก็ยังเป็นดีเอ็นเอเดิม คือเราอยากเป็นศูนย์รวมที่สาวๆ เดินเข้ามาปุ๊บ แล้วสามารถช้อปปิ้งครบจบในที่เดียวได้ เมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนที่เราเริ่มทำใหม่ก็เป็นแบบนี้ ทุกวันนี้เราก็อยากให้เป็นสเปซแบบนั้นอยู่

พิม : สมมติวันนี้คุณไม่ได้เอาอะไรมาจากบ้านเลย แล้วเข้ามาในร้านแราปุ๊บสวยออกไปได้เลย เพราะเรามีทุกอย่าง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ชุดชั้นใน เคสมือถือ หมวก แว่น เรียกได้ว่าหัวจรดเท้าของผู้หญิงคือเรามีขายหมด

ตอย : พวกเรามีมายด์เซตตั้งแต่แรกว่าเราอยากเติบโตไปพร้อมกับแบรนด์ เราไม่ได้อยากเป็นแค่พื้นที่ให้แบรนด์มาเช่าขายของ เราเลยให้ความสำคัญเรื่อง relationship กับแบรนด์มาก สมมติว่าเรากับแบรนด์เป็นคนสักคนหนึ่งก็คือคนที่เรียนมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันจนเริ่มแต่งงานมีลูก คือเราโตไปพร้อมๆ กัน แบรนด์ที่เมื่อก่อนอยู่กับเราวันนี้แบรนด์เขาอาจจะใหญ่โตขึ้นจนไม่ได้อยู่ในร้านเราแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เจอกันก็ทักทาย แล้วพอเขาแตกแบรนด์ใหม่ก็ยังคิดถึงเรา มาฝากขายกับเราอยู่

เห็นว่าเมื่อก่อนมีแบรนด์ในร้าน 20-30 แบรนด์ คิดว่าอะไรที่ทำให้ทุกวันนี้คุณมีแบรนด์ไทยในร้านกว่า 100 แบรนด์

บิ๊ก : ตอนที่เราเริ่มทำร้านใหม่ ๆ คอนเซปต์ร้านแบบมัลติแบรนด์ยังไม่แพร่หลาย แบรนด์เน้นขายออนไลน์กัน เราก็เลยเริ่มทำร้านเล็กๆ เป็นห้องแถวห้องเดียว รองรับได้ประมาณ 30 แบรนด์ เราก็แชร์มุมมองกับแบรนด์ว่าสมมติคุณมีลูกค้า 1 หมื่นคน พอมาอยู่รวมกันกับแบรนด์ 30 แบรนด์ ก็จะมีลูกค้า 3 หมื่นคนเลยนะ

แล้วด้วยคอนเซปต์ร้านเราที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ เพราะในยุคที่แบรนด์ขายออนไลน์กันหมด แต่ร้านเราเป็นออฟไลน์ลูกค้าสามารถมาจับสินค้าจริง มาลองชุดได้ พอแบรนด์เห็นว่าโมเดลนี้มันเวิร์ก ก็เริ่มมาขายที่ SOS กันมากขึ้น

พิม : บางแบรนด์เขาอยากมีหน้าร้านนะ แต่พอเปิดร้านร้านหนึ่งมันจุกจิกมาก แต่ถ้าแบรนด์ส่งของมาขายที่ SOS เราจัดการทุกอย่างให้หมด 

เราพัฒนาระบบให้แบรนด์ทำงานกับเราได้ง่ายที่สุด สิ้นเดือนเขาก็รอรับเงินได้เลย พอเป็นแบบนี้แบรนด์ก็รู้สึกว่าเข้ามาอยู่กับเราแล้วมันสะดวกมาก และเขาสามารถเปิดโอกาสในการขายนอกจากออนไลน์ และมีแฟนๆ หรือลูกค้าที่ซื้อจากออฟไลน์มาตามแบรนด์เขามากขึ้นด้วย

ที่บอกว่า SOS จัดการทุกอย่างให้หมด คือคุณมีระบบดูแลและขายสินค้าของแบรนด์ยังไงบ้าง

บิ๊ก : สมมติว่ามีแบรนด์เปิดใหม่หรือว่าเปิดมาสักระยะหนึ่งแล้วอยากมีพื้นที่หน้าร้าน ก็ติดต่อเราเข้ามาได้ เราก็จะดูว่าแบรนด์นี้เหมาะกับหน้าร้านสาขาไหนหรือถ้าแบรนด์มีสาขาในใจว่าอยากเปิดที่ไหนก็บอกได้ ถ้ามีพื้นที่ว่างก็นัดเสนอราคาพูดคุยกันต่อ แต่ถ้าไม่ว่างก็ต่อคิวไว้ก่อนได้

พิม : พอเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ขายกันเสร็จแล้ว แบรนด์ก็ส่งของมาให้ได้เลย ถ้าเขาเลือกขายหลายสาขา ก็ส่งมาให้เราที่เดียวได้ เราจะเป็นคนกระจายของให้ทุกสาขาเอง แล้วก็จะมีบอกว่าเอาของขึ้นราวพร้อมขายวันไหน

เรายังมีระบบจัดการสต็อกให้ มีพนักงานคอยดูแล สินค้าไหนหมดหรือสินค้าไหนขายดีพนักงานก็จะแจ้งให้แบรนด์ส่งสินค้ามาเติมสต็อก ทำให้หลายแบรนด์ที่มาขายกับ SOS ก็จะชมตลอดเลยว่าเขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เราจัดการให้ทุกอย่าง

การดูว่าแบรนด์ไหนเหมาะกับหน้าร้านสาขาไหน แปลว่าแต่ละสาขามีเกณฑ์ในการเลือกแบรนด์แตกต่างกันใช่ไหม

พิม : ใช่ค่ะ เราจะดูว่าลูกค้าเราแต่ละพื้นที่มีความชอบแบบไหน จะได้เสิร์ฟสินค้าที่ตรงกับความชอบของเขา อย่างสาขาสยามจะเป็นนักศึกษาและคนวัยทำงานที่แต่งตัวเก่งๆ ชุดในสาขานี้ก็มีความแฟชั่น

ส่วนสาขาลาดพร้าวจะเป็นพนักงานบริษัทหรือว่าคนวัยทำงานที่บ้านอยู่แถวนั้น เลยจะมีชุดทำงานเยอะ

ตอย : สาขาแฟชั่นจะเป็นแนวครอบครัวไปเดินกัน หรือสาขาเมกาบางนาจะเป็นกลุ่มคุณแม่ที่มีลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์

 2 สาขานี้เลยจะเป็นชุดที่เน้นใส่ในชีวิตประจำวันได้มากกว่า

ทำไมคุณถึงทำหน้าร้านสาขาสยามและเมกาบางนาใหม่ และร้านโฉมใหม่นี้แตกต่างจากเดิมยังไงบ้าง

พิม : สาขาสยามเราหมดสัญญาต้องย้ายที่ใหม่ มาอยู่ในสยามสแควร์ ซอย 2 พอมาอยู่ในซอย เรากลัวลูกค้าหาไม่เจอ เลยต้องสร้างร้านใหม่ให้สวยขนาดที่เดินผ่านๆ แล้วมองเห็นจากระยะไกล อีกอย่างคือคนยุคนี้ชอบถ่ายรูป ทำคอนเทนต์ เราอยากให้สาขานี้ถ่ายรูปสวย ก็เลยทำเป็นคอนเซปต์ยูโรเปียน

บิ๊ก : ถือว่าเป็นช่วงเวลาอัพเดตร้านด้วย เพราะร้านเราเป็นคอนเซปต์ simple luxury ใช้โทนมินิมอลมานาน พอตอนนี้ร้านครบ 10 ปีพอดีด้วย ก็อยากทำอะไรใหม่ๆ บ้าง 

พิม : แล้วในช่วงที่เราต้องย้ายร้านก็มีเรื่องดีอยู่นะ เพราะก่อนหน้านี้ร้านเราเปิดทุกวัน ไม่สามารถปิดร้านได้เลย เพราะว่าทุกวันที่ปิดร้านมันเสียยอดขาย แต่พอย้ายร้านมาปุ๊บเราได้แก้ไขในสิ่งที่ลูกค้าเคยฟีดแบ็กมา ถ้าดูร้านเดิมจะเห็นราวชิดๆ กัน มีพื้นที่น้อยเดินไม่สะดวก แต่ร้านใหม่เราจัดราวให้ห่างกัน มีพื้นที่มากขึ้น ย้ายโซนรองเท้ามาอยู่ข้างบน ลูกค้าจะได้ลองได้ง่าย ช้อปปิ้งสะดวกมากขึ้น

ตอย : ส่วนที่สาขาเมกาบางนา เราก็รีโนเวตให้เป็นธีมยูโรเปียนเหมือนที่สยามเลย และหลังจากนี้ก็จะทยอยรีโนเวตสาขาอื่นไปเรื่อยๆ

เวลาเสิร์ชหาชุดไปงานแต่ง ชุดออกงาน หรือชุดไปดินเนอร์จะเจอร้าน SOS ขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ นี่เป็นความตั้งใจของพวกคุณไหม หรืออยากให้คนมีภาพจำเกี่ยวกับร้านยังไง

ตอย : ใช่ค่ะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วแฮชแท็กสาว SOS ดังมาก ถ้าใครอยากหาชุดไปงานแต่ง ชุดไปอีเวนต์ หรือชุดแนวลูกคุณก็เป็นภาพจำเลยว่าชุดประมาณนี้ สาวๆ ที่อยากแต่งตัวคาแร็กเตอร์แบบนี้ต้องมาที่ SOS แต่เราก็มีปรับสไตล์ตามเทรนด์ด้วย เพราะผ่านมา 10 ปีเทรนด์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

บิ๊ก : เทรนด์เสื้อก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนจากลุคลูกคุณไปเป็นแบบแฟนซีเลย เราก็ยังคงคาแร็กเตอร์เดิมของแบรนด์ไว้ ชุดไปดินเนอร์ ชุดไปออกงานที่คนชอบพูดถึงในร้านเราก็ยังคงมีอยู่

และเราก็ทำให้ตอบโจทย์มากขึ้น ด้วยการทำห้องลองชุดแบบพิเศษเป็นห้องขนาดใหญ่ เหมือนห้องลองชุดเจ้าสาว เพื่อให้เหมาะกับการลองชุดออกงานโดยเฉพาะ แล้วถ้าใครมาเดินร้านเราตอนนี้จะเห็นว่าเราเพิ่มเสื้อผ้าที่ใส่ไปเที่ยว ไปทำงานได้ด้วย ก็เป็นเหมือนการเพิ่มคาแร็กเตอร์แบรนด์นิดหนึ่งว่าเรามีชุดที่ใส่ได้ทุกวันแล้วนะ

ข้อดีของการเป็นร้านที่รวมหลากหลายแบรนด์ไว้ในที่เดียวกันคืออะไร

บิ๊ก : ในมุมลูกค้าก็เหมือนว่าครบจบในที่เดียว เพราะว่าถ้าเราไปร้านที่มีแบรนด์เดียวบางทีของเขามีอาจจะไม่ใช่ของที่เราต้องการอยากซื้อในตอนนั้น

ตอย : คิดว่าร้านที่รวมหลายๆ แบรนด์เหมือน one-stop service เลย อย่าง pain point ของตัวเองและที่หลายๆ คนเจอ คือตอนไปออกงานบางทีไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ เข้าร้านเรามาปุ๊บได้ทั้งชุด ได้เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า พร้อมไปออกงานได้เลย

ความยากหรือความท้าทายของการทำหน้าร้านออฟไลน์คืออะไร

บิ๊ก : ถ้าทำแบรนด์ออนไลน์คือการบริหารหลังบ้านอย่างเดียว แล้วก็หน้าบ้านคือทำการตลาด แต่ร้านออฟไลน์มีโอเปอเรชั่นที่เยอะกว่า หน้าบ้านเราต้องมีพนักงานขายมาช่วยดูแลลูกค้า ต้องบริหารสต็อกสินค้า

ตอย : การทำหน้าร้านมีผู้เกี่ยวข้องเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งแบรนด์ ลูกค้า และพนักงาน เลยรู้สึกว่าเราต้องบริหารความคาดหวังของทุกฝ่ายให้ลงตัว

ในโลกออนไลน์ บางทีก็ทำสงครามราคา แข่งกันด้วยโปรโมชั่น แล้วร้านของคุณทำยังไงถึงสามารถสู้ในสนามนี้ได้

บิ๊ก : เรื่องขายตัดราคาเป็นกลไกปกติของการทำธุรกิจ ยิ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์บางทีมีโค้ดลดราคาเยอะ แน่นอนว่ามีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่อยากช้อปของที่ถูกกว่าเป็นธรรมดา แต่ก็ยังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่แฮปปี้กับการได้มาจับ มาลองของจริง แล้วซื้อกลับไปได้เลย

เพราะเสื้อผ้าแต่ละแบบ แต่ละแบรนด์มีสเปกที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกับเวลาเราซื้อมือถือหรือซื้อกล้องที่มีสเปกเป็นมาตรฐาน จะซื้อออนไลน์หรือซื้อที่ไหนก็ได้ แต่เสื้อผ้ามันต้องลองใส่ ต้องมาดูสีจริง มาจับเนื้อผ้าจริงๆ เป็นจุดที่ทำให้ลูกค้ายังมาช้อปปิ้งร้านแบบออฟไลน์อยู่

พิม : อย่างเราเป็นคนไม่ค่อยซื้อของออนไลน์ เพราะเราเป็นคนตัวสูง เอวเล็ก แต่สะโพกใหญ่ เคยซื้อเสื้อผ้าออนไลน์มาแล้วใส่ไม่ได้ หรือบางคนเห็นในออนไลน์แล้วสวย แต่มาลองใส่แล้วไม่เข้าก็มี

แต่ที่ SOS เราให้ลูกค้าลองชุดได้เต็มที่ ถ้ามาลองแล้วใส่ไม่ได้เราก็มีบริการวัดตัว แก้ไซส์ชุดให้เข้ากับสัดส่วนลูกค้า และสมมติสีไหนหรือแบบไหนหมด เราก็พรีออร์เดอร์กับทางแบรนด์ให้ ลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเลย เราจัดการให้หมดทุกอย่าง เราเน้นสู้ด้วย value ที่ลูกค้าจะได้รับ ทำให้สิ่งที่ลูกค้ากับแบรนด์ชมมาตลอด คือมาซื้อของหรือขายของกับเราสะดวกมาก การบริการของพนักงานก็ดูแลดีมาก

ช่วงแรกที่เปิดร้าน SOS ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยมีร้านมัลติแบรนด์สักเท่าไหร่ แต่ในทุกวันนี้ที่มีร้านมัลติแบรนด์มากขึ้นถือเป็นความเสี่ยงหรือโอกาสสำหรับพวกคุณ

บิ๊ก : มีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นช่วงพีคของร้านมัลติแบรนด์ แค่ในสยามก็มีมาเปิดหลายเจ้า แล้วร้านเราเคยมีคนเอาผู้รับเหมาเข้ามาวัดราวในร้านด้วยซ้ำ แล้วเขาก็คุยกับผู้รับเหมาในร้านเราเลยว่าจะเอาแบบนี้ คือเราเคยเจอขนาดนั้นเลย แต่เรามองว่าไม่สามารถไปควบคุมคนอื่นได้ เขาจะทำอะไรก็เป็นส่วนของเขา เราก็ต้องทำส่วนของเราให้ดี ตรงไหนที่เราทำไม่ดี ทำผิดพลาดไปก็ต้องปรับปรุงพัฒนาแก้ไข ตรงไหนที่เราทำดีอยู่แล้ว เราก็ต้องไม่หยุดที่จะพัฒนา

ส่วนตัวไม่ได้มองว่าการที่มีมัลติแบรนด์หลายเจ้าเป็นอุปสรรคอะไร แต่เป็นการบอกว่าตลาดตรงนี้มันยังไปต่อได้  ถ้าเกิดว่ามันไม่มีใครเหลือเลย มีเราทำธุรกิจนี้อยู่แค่เจ้าเดียวคนเดียว แสดงว่าตลาดนี้อาจจะไม่เวิร์กแล้ว

พิม : เมื่อก่อนมัลติแบรนด์หลายร้านก็จะคล้ายๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้แต่ละร้านมีสไตล์ของตัวเองชัดเจน แล้วการที่มีร้านเสื้อผ้ามาอยู่รวมๆ กัน เราแฮปปี้นะ เพราะตรงนี้ก็จะกลายเป็นซอยแฟชั่น ที่ดึงให้ลูกค้ามาช้อปปิ้งได้

ความสุขในการทำร้าน SOS ของพวกคุณคืออะไร

พิม : ความสุขคือการได้เห็นลูกค้าถือถุง SOS ออกจากร้าน เวลาเห็นเราจะถ่ายรูปเก็บไว้เลย เพราะแปลว่าเขามาร้านเราแล้วเจอของถูกใจ ถึงได้ซื้อกลับบ้านไป

ตอย : ความสุขเราคือเห็นแบรนด์ที่มาขายกับเราแล้วยอดขายดี เจ้าของแบรนด์แฮปปี้ เคยมีเจ้าของแบรนด์คนหนึ่งเดินมาบอกว่าเขาเริ่มทำแบรนด์เป็นของตัวเองเพราะ SOS เลยนะ ปัจจุบันปีหนึ่งแบรนด์เขาทำยอดขายเกือบร้อยล้านเลย

และเคยมีน้องคนหนึ่งบอกว่าเขาเข้าร้าน SOS มาตั้งแต่เรียนอยู่ ม.4 ตอนนี้เรียนจบแล้วก็ยังมาร้านเราอยู่ อีกอย่างคือเวลาคนถามว่าทำงานอะไร เราก็จะบอกว่าทำร้าน SOS แล้วแทบจะ 90% คือรู้จักร้านเรา ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ success มากๆ แล้ว

ก้าวต่อไปอยากเห็น SOS เติบโตไปในทิศทางไหน

ตอย : เราอยากให้ SOS เป็น top-of-mind ของร้านแฟชั่นทั้งคนไทยและต่างชาติ เป็นแหล่งรวมความหลากหลายและมีคุณภาพ ทำให้ลูกค้าคิดว่าถ้าอยากช้อปปิ้งเสื้อผ้าอะไรก็ให้นึกถึงเรา เป็น destination การช้อปปิ้งของทุกคน