เมืองใต้ดินโตเกียว เมืองฟองน้ำอู่ฮั่น โปรเจกต์รับมืออุทกภัยเมืองเศรษฐกิจ ยุควิกฤตสภาพอากาศ 

แม้สถานการณ์มหาอุทกภัยทางใต้ตอนนี้จะเริ่มคลี่คลายลงบางพื้นที่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เหลือไว้หลังน้ำลด คือความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชน และที่น่ากังวลกว่านั้นคือวิกฤตนี้ส่งผลกระทบไปถึงภาคการท่องเที่ยว ยกตัวอย่างอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปไม่น้อย 

แม้จะเป็นมหาอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปีของภาคใต้ที่ต้นตอเกิดจากสภาพภูมิอากาศแปรปวน และอาจจะพอมองในแง่ดีได้บ้างที่วิกฤตนี้ไม่ยืดยาวไปถึง 1 เดือน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน GDP ราว 0.13% ตามการประเมินโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมหลายพื้นที่เศรษฐกิจทางภาคใต้ถึงเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนมือรัฐบาลกี่มือต่อกี่มือก็ตาม 

ในขณะที่หลายคนกำลังสงสัยต่อมาตรการการจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลไทย เราอยากชวนสังเกตว่าในต่างประเทศมีวิธีการจัดการออกแบบระบบสาธารณูปโภคทางน้ำยังไงให้พื้นที่เศรษฐกิจรอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบพร้อมกันด้านล่างนี้

[G-Cans: มหาวิหารป้องกันน้ำท่วมแห่งกรุงโตเกียว]

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะ ‘กรุงโตเกียว’ (Tokyo) เมืองหลวงที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศราว 14.09 ล้านคน และเป็นเขตเศรษฐกิจมหานครใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก สาเหตุมาจากพื้นที่กายภาพลักษณะราบลุ่มคล้าย ‘แอ่ง’ กอปรกับการเป็นประเทศที่เผชิญฝนตกสูงเป็นดับต้นๆ ของโลกทั้งจากฝนตามฤดูกาลและพายุไต้ฝุ่น บ่อยครั้งเมืองหลวงแห่งแดนอาทิตย์อุทัยจึงจมอยู่ใต้น้ำ 

นับตั้งแต่เกิดอุทกภัยกรุงโตเกียวครั้งใหญ่ในปี 1959 ที่คร่าชีวิตผู้คนถึง 4,000 ชีวิต รัฐบาลญี่ปุ่นได้หาวิธีป้องกันอุทกภัยที่อาจเกิดซ้ำ หนึ่งในนั้นคือการสร้าง ‘Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel’ หรือ ‘G-Cans’ อุโมงค์ใต้ดินขนาดยักษ์ที่กักเก็บน้ำได้มหาศาลถึง 670,000 ลูกบาศก์เมตร และด้วยขนาดความสูงวัดจากพื้นดิน 18 เมตร กับขนาดความยาวของระยะทาง 6.3-6.4 เมตร โดยมีเสาหลายต้นคอยค้ำยันทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่า ‘มหาวิหาร’ ใต้กรุงโตเกียว 

โปรเจกต์ G-Cans ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1992 ก่อนจะถูกเปิดใช้งานจริงในปี 2006 วิศวกรรมการระบายน้ำของมันขับเคลื่อนในฐานะ ‘buffer’ เบี่ยงน้ำล้นจากลำคลองสายย่อยสู่อุโมงค์ไม่ให้ท่วมถนนและเขตชุมชนด้วยเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 78 เครื่อง โดยปลายทางของอุโมงค์จะมีกระบอกขนาดความสูง 65 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตรจำนวน 5 กระบอกคอยกักเก็บน้ำ และเมื่อปริมาณน้ำภายนอกลดลงน้ำที่ถูกกักเก็บไว้จะถูกระบายลงสู่แม่น้ำเอโดะและแม่น้ำอารากาวะ

ทั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่าตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ G-Cans ถูกเปิดใช้งานสามารถเซฟมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงของการถูกชัตดาวน์ระบบคมนาคมได้มากถึง 148.4 พันล้านเยน (ราว 4 หมื่นล้านบาทไทย) ผลงานที่เด่นชัดที่สุดคือในปี 2019 ที่สามารถลดความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนจากพายุไต้ฝุ่นฮากิบิส (Typhoon Hagibis) ถึง 90% เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต 

ที่น่าสนใจคือในยามสภาวะปกติ G-Cans ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสถาปัตยกรรม โดยมีไกด์นำเที่ยวให้ความรู้ เรียกว่าเป็นการลงทุนลงแรงในครั้งเดียวแต่ได้ผลระยะยาว อีกทั้งทำให้การช่วยเหลือยามเกิดอุทกภัยง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น

[Sponge City: เมืองฟองน้ำที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส]

มหาอำนาจอย่างจีนเองก็ครุ่นคิดถึงปัญหาอุทกภัยที่เป็นตัวการฉุดรั้งความเจริญทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาจีนประสบปัญหาน้ำท่วมเขตเมืองบ่อยครั้ง เหตุนี้ในปี 2013 รัฐบาลจีนจึงคิดค้นโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Sponge City’ หรือ ‘เมืองแห่งฟองน้ำ’ เพื่อให้คน ‘อยู่’ และ ‘ใช้ประโยชน์’ จากน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

อู่ฮั่น (Wuhan) คือเมืองแห่งเทคโนโลยีและเมืองท่าที่จีนเลือกเป็นต้นแบบนำร่องในโครงการ Sponge City ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า ‘เมืองพันทะเลสาบ’ จากการมีแหล่งทะเลสาบธรรมชาติรายล้อมพื้นที่นับพัน กระทั่งเกิดการถมทะเลสาบเพื่อสร้างตึกและเขตเมือง ส่งผลให้อู่ฮั่นเกิดน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้งจากน้ำที่หลากมาทางแม่น้ำแยงซีเกียง ซ้ำร้ายน้ำที่ระบายไม่ทันยังขังกลายเป็นน้ำเสีย สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ 

รัฐบาลจีนเริ่มปฏิบัติการโปรเจกต์ Sponge City ด้วยการฟื้นฟูทะเลสาบเดิมที่หลงเหลืออยู่และทะเลสาบที่ถูกถมสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในเมืองอู่ฮั่นให้กลายเป็น ‘พื้นที่สีเขียว’ เช่นการสร้างพื้นที่ ‘สวนฝน’ (rain garden) ที่เน้นปลูกหญ้าแฝกและพรรณไม้ที่มีความสามารถโอบอุ้มน้ำ และมีข้อดีอื่นอีกคือพรรณไม้เหล่านั้นช่วยกรองอากาศให้บริสุทธิ์, ลดอุณหภูมิเมือง และทำให้ทัศนียภาพภายในเมืองร่มรื่นขึ้นในฐานะพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ 

อย่างไรก็ดี Sponge City ไม่ได้พึ่งพาแค่พลังจากธรรมชาติ แต่รัฐบาลจีนดำเนินการปรับปรุงระบบผังระบายน้ำใต้ดิน ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนสิ่งปลูกสร้างให้ซึมซับน้ำได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่ผนังคอนกรีตบ้านเรือนจนถึงตึกสำนักงาน, พื้นถนนฟองน้ำที่สามารถช่วยซึมซับปริมาณน้ำขัง และรางพื้นซับน้ำ (infiltration trenches) ที่ระบายน้ำจากพื้นลงสู่ใต้ดินในจุดที่กักเก็บน้ำอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลจีนยังทำแพลตฟอร์มสำหรับติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อปรับปรุงข้อผิดพลาดและจัดทำคู่มือสำหรับทำ Sponge City ในเมืองอื่นๆ ทั้งนี้ในปี 2020 มีรายงานว่า Sponge City เมืองอู่ฮั่น สามารถลดปัญหาน้ำท่วมขังได้ราวๆ 20-30%  โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าเฟสต่อไปคือต้องลดปริมาณน้ำให้ได้ 60-85%

[Climate Ready Boston: แผนกำแพงจาก ‘ธรรมชาติ’ พิทักษ์เมืองบอสตัน]

มหานครด้านการเงินและการค้าอย่างบอสตันก็ประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง จากต้องประสบปัญหาน้ำทะเลไหลบ่าจนท่วมขังเป็นทุนเดิมในฐานะเมืองชายฝั่ง เมื่อสภาพอากาศแปรปรวนหนักหน่วงขึ้นทุกวันผลพวงที่ตามมาคือคลื่นลมแรง, พายุไซโคลน ไปจนถึงพายุหิมะและพายุลูกเห็บ

กระทั่งปี 2016 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มโปรเจกต์ ‘Climate Ready Boston’ (CRB) เพื่อรับมือกับปัญหาสาธารณูปโภคทางน้ำที่เกิดจากสภาพอากาศแปรปรวน เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, น้ำท่วมชายฝั่ง, พายุและคลื่นสูง ไปจนถึงการระบายน้ำท่วมขัง 

ความน่าสนใจของโปรเจกต์ CRB คือการสร้างแนวธรรมชาติ (nature-based) เช่นสวนสาธารณะริมชายฝั่ง (waterfront parks) เพื่อใช้ต้นไม้เป็นตัวดูดซับคลื่นและน้ำที่ไหลบ่า ซึ่งในยามปกติจะกลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนและทำกิจกรรมสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยสวนนี้จะทอดยาวไปตลอดแนวชายฝั่งของบอสตันที่มีระยะทาง 75 กิโลเมตร 

ขณะเดียวกันเมืองบอสตันได้ร่วมกับ FloodMapp บริษัทเอกชนสัญชาติออสเตรเลียที่ออกแบบระบบพยากรณ์น้ำท่วมแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างระบบ ‘real-time flood monitoring’ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งก่อนและหลังเกิดน้ำท่วม ไปจนถึงการปรับกฎหมายผังเมืองให้คำนึงถึงความเสี่ยงอุทกภัย เช่นการยกระดับอาคารใหม่ หรือการตั้งแบร์ริเออร์ชั่วคราวตามความจำเป็น

เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการจัดการระบบสาธารณูปโภคเพื่อป้องกันอุทกภัยที่ประสบความสำเร็จ อีกนัยหนึ่งคือตัวอย่างที่กล่าวมาล้วนเป็นวิธีการที่ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน แต่เหนือสิ่งอื่นใดวินาทีนี้ทั่วทั้งโลกจำเป็นต้องหันมาสนใจปัญหา climate change อย่างจริงจังและร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะภัยที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำลายทรัพย์สิน แต่ยังพรากชีวิตของ ‘มนุษย์’ ที่อาจเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคนรักแบบไม่มีวันหวนคืน 

ที่มา :

Safe-fu House Healing Space ที่ดีไซน์โต๊ะให้กลายเป็นสายน้ำผสานแนวคิดเซนจนเป็นไวรัล

โต๊ะทรงโค้งขนาดใหญ่ที่มีสวนสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมสายน้ำไหลผ่านไปกระทบหินและทราย ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ริมลำธารขนาดย่อม พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสงบ ในพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘Safe-fu House’

ภาพที่ว่ามักถูกแชร์ลงในโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นไวรัล และถูกพูดถึงในฐานะ ‘คาเฟ่มัทฉะสเปเชียลตี้ ที่เสิร์ฟมัทฉะบนสายน้ำ’ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้ถูกคิดมาให้เป็นดั่งหลุมหลบภัยพักใจจากความวุ่นวายรอบตัวในคอนเซปต์ ‘healing space’ โดยใช้หลักการออกแบบที่ตอบโจทย์สัมผัสทั้ง 5 ผ่านสิ่งที่ตาเห็น รสชาติมัทฉะที่ได้สัมผัส กลิ่นมัทฉะอ่อนๆ เสียงของสายน้ำ และการได้สัมผัสพื้นทราย มาใช้ในการออกแบบ

อีกทั้งยังผสมผสานแนวคิดของญี่ปุ่น ทั้งวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ การเปิดร้านในบ้านของตัวเองแบบที่คนญี่ปุ่นชอบทำ การออกแบบสวนหินที่อิงแนวคิดมาจากนิกายเซน โดยจำลองธรรมชาติ หิน และทราย ทำให้สัมผัสถึงความสงบและเรียบง่าย

ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของ ป๋อมแป๋ม–แทนรัก อัศวเลิศลักษณ์ และ พีท–โกศล เอกวิริยะกิจ สอง Co-founder ของ Safe-fu House ที่เปลี่ยนความชอบทำกิจกรรมแนว mindfulness และ wellness รวมถึงการเวิร์กช็อปงานศิลปะ มาสร้างสเปซเพื่อฮีลใจผู้คน

จากความสนใจในโต๊ะตัวนั้น ดีไซน์ของร้าน และไอเดียการทำธุรกิจของป๋อมแป๋มและพีท ทำให้เราตีรถไปถึงฝั่งธนฯ วนเข้าไปในหมู่บ้านเพชรเกษม 3 ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนร้านจะเปิดเพื่อใช้เวลานี้สัมผัสถึงแนวคิดการทำ Safe-fu House ให้เป็นเซฟโซนของผู้คน พร้อมสัมผัสความรู้สึก peaceful ที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้

ในวันที่เริ่มก่อร่างสร้างหลุมหลบภัยและสถานที่ฮีลใจเป็นของตัวเอง

ภายในบ้านสีขาวที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนบ้านพักอาศัยทั่วไปหลังนี้ แรกเริ่มเดิมทีพีทได้หยิบความชอบเรื่องงานศิลปะและการทำเวิร์กช็อป มาต่อยอดเป็นสถานที่จัดเวิร์กช็อป ที่ต้องจองมาก่อนเท่านั้น 

“เรามีตั้งแต่การทำศิลปะบนผิวน้ำที่ให้หยดสีลงบนผิวน้ำเจล แล้ววาดสร้างลวดลายตามที่ต้องการ ส่วนมากจะเป็นลวดลายหินอ่อน และนำผลิตภัณฑ์ที่เลือก เช่น หมวก แก้วมาจุ่มทำลวดลายที่วาด มีงานเรซิ่นที่นำภาพถ่ายจากโฟโต้บูทมาทำเป็นเคสโทรศัพท์และกริปต็อก”

พีทเล่าพร้อมพาเราเดินดูสถานที่ทำเวิร์กช็อปทั้งหมด ก่อนจะเดินทะลุไปถึงโซนที่มีโต๊ะยาวสีขาวสะดุดตา ภายในโต๊ะมีสายน้ำไหลผ่านและสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดย่อมรายล้อมอยู่ พร้อมตัวหนังสือสไตล์มินิมอลที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เรามาถึง ‘Safe-fu House’ เป็นที่เรียบร้อย

“เราเห็นว่าคนที่มาทำเวิร์กช็อปเขารอนานกว่าสินค้าจะแห้ง เลยอยากสร้างพื้นที่ตรงนี้มาให้ลูกค้าได้จิบมัทฉะและพักผ่อน เพราะเราเป็นสายทำกิจกรรมแนว mindfulness (การฝึกสติเพื่อจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทำให้เกิดการยอมรับประสบการณ์ ความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่ตัดสินหรือควบคุม) และ wellness อยู่แล้ว ทำให้รู้ว่าหัวใจหลักของการทำกิจกรรมพวกนี้ คือความรู้สึก peaceful ความรู้สึกนิ่งสงบแล้วก็รู้สึกโล่งสบาย”

ป๋อมแป๋มเล่าให้เราฟังและเน้นย้ำว่าเธอไม่ได้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเป็น ‘คาเฟ่’ แต่เธอมีความตั้งใจตั้งแต่ day 1 ว่าอยากให้เป็น ‘healing space’ ที่เหมือนทุกคนได้มาพักในหลุมหลบภัยหลีกหนีจากความวุ่นวาย มาอยู่ในสถานที่สงบ ผ่อนคลาย และช่วยฮีลใจทุกคนได้

healing space ที่ยึดหลักการของเซนและวิถีสโลว์ไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่น

“ชื่อร้านเริ่มมาจากคำว่า Safe House คือเราอยากเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย แล้วเราเอาคำว่า fu เข้ามาเป็นกิมมิกเล็กๆ ให้ดูเป็นญี่ปุ่น ซึ่งคำว่า fu มีความหมายแปลว่าลม ด้วยความที่ร้านเราตกแต่งธีมธรรมชาติ พอมีคำว่าลมเข้ามาก็เลยเชื่อมโยงกัน แม้แต่โลโก้ร้านก็เป็นคลื่นน้ำ ทำให้เห็นว่าทั้งชื่อร้านและโลโก้เราสื่อถึงความเป็นธรรมชาติหมดเลย” พีทกล่าว

ไม่เพียงแต่ชื่อร้านที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น หากสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในร้านก็ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย ป๋อมแป๋มเล่าถึงความตั้งใจให้ฟังว่าไม่ได้อยากให้พื้นที่แห่งนี้ดูเป็นญี่ปุ่นแบบต้นตำรับมากเกินไป เพราะเธอเคยเห็นหลายๆ ที่แต่งร้านในโทนนั้นแล้ว เธอจึงเลือกทำเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบประยุกต์ที่ดูทันสมัย มินิมอล และเข้าถึงง่าย

“เราชอบความเป็นญี่ปุ่น ด้วยวัฒนธรรมเขาที่มีความสโลว์ไลฟ์ ใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบและเรียบง่าย แม้แต่การเปิดร้านที่นั่นเรายังเห็นหลายธุรกิจในญี่ปุ่นเอาบ้านตัวเองมาทำเป็นร้าน พอลูกค้าไปทีไรก็เจอเจ้าของทุกที เป็นอะไรที่น่ารักและมีความ peaceful” พีทกล่าว

ก่อนที่ป๋อมแป๋มจะขยายความเพิ่มเติมว่า “อีกเหตุผลหลักๆ ที่เราใช้บ้านมาเปิดเป็นสถานที่จัดเวิร์กช็อปและทำ healing space ด้วยความที่โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์แรกของพวกเรา เลยรู้สึกว่ามันเซฟกว่าถ้าใช้บ้านมาเป็นโลเคชั่นทำร้าน เพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน แล้วถ้ามันเวิร์กยังไงก็คิดว่าจะมีสาขาอื่นตามมา”

นอกจากนี้ ส่วนของเวิร์กช็อปยังหยิบปรัชญาและสุนทรียภาพของญี่ปุ่นอย่างวาบิ-ซาบิ (wabi-sabi) ที่เน้นการยอมรับและชื่นชมความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติและกาลเวลา มาเล่นกับวัสดุที่คนรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์แล้ว อย่างเปลือกไข่และใบไม้ เพื่อมาทำเป็นงานศิลปะ

“ส่วนไอเดียการเสิร์ฟมัทฉะบนสายน้ำและมีแท่งเหล็กให้เขี่ยทรายเล่น ก็ต่อยอดมาจากเวิร์กช็อปเราที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะและเป็นงานคราฟต์ ก็เลยรู้สึกว่าการใช้อุปกรณ์เดียวกันกับที่ทำเวิร์กช็อป ให้คนได้ลองมาวาดทรายเล่นในช่วงที่จิบมัทฉะ เพื่อสัมผัสถึงความสงบจากศิลปะได้ตลอดเวลา และเข้าถึงความรู้สึกแบบเซน (Zen) ของญี่ปุ่น”

พีทเล่าให้เราฟัง แล้วชี้ให้ดูสวนหินคาเรซันซุย (Karesansui) ที่อยู่บนโต๊ะกลางร้านและถูกจัดวางอยู่ในหลายๆ มุมของร้าน ซึ่งเป็นสวนหินสไตล์ญี่ปุ่นที่อิงแนวคิดมาจากนิกายเซน โดยจำลองธรรมชาติ หิน และทราย ทำให้สัมผัสถึงความสงบและเรียบง่าย ตามปรัชญาของเซนที่สอนให้ฝึกสติและทำสมาธิ เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของจิตใจ ธรรมชาติ และโลก โดยไม่ยึดติดกับสิ่งใด

“คอนเซปต์นี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลย ถ้าวันไหนมีลูกค้ามานั่งเยอะๆ ทุกคนก็จะคุยกันไป แล้วใช้แท่งเหล็กนี้วาดบนทราย เขาไม่ได้วาดเป็นรูปด้วยนะ เหมือนขีดไปเรื่อยๆ แล้วมันเพลิน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและนั่งพักที่นี่ได้นานแบบไม่ต้องรีบร้อน” ป๋อมแป๋มกล่าว

จากชอล์ก 1 แท่งสู่งานดีไซน์ที่อาจจะไม่เป๊ะแต่ใส่ใจทุกดีเทลแม้แต่น้ำแข็ง 1 ก้อน

“ทุกอย่างที่เห็นในร้านนี้เกิดจากชอล์กเพียง 1 แท่ง ที่เราเอาไปวาดแบบกับพื้น วาดบนผนัง วาดบนกระจก แล้วก็บอกช่างให้เจาะเข้าไปเลย เรา DIY กันสุดๆ เพราะเราเป็นสายอาร์ตทั้งคู่ด้วย ที่นี่เราไม่ได้ใช้อินทีเรียร์เลยไม่ได้ถูกต้องเป๊ะๆ ตามหลักการออกแบบ” ป๋อมแป๋มเล่าด้วยรอยยิ้ม

ก่อนที่พีทจะขยายความว่าการออกแบบร้านให้ยูนีกถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก Safe-fu House โดยพวกเขาไม่ได้รีเสิร์ชการออกแบบร้านมาก่อน เพราะกลัวว่าหากทำอย่างนั้นอาจปิดกั้นอิสระทางความคิดและทำให้ออกแบบร้านเหมือนกับคาเฟอื่นๆ

“ทุกวันนี้ลูกค้าให้ความสำคัญกับประสบการณ์ กว่าเขาจะได้ชิมได้ดื่ม ก็ต้องเห็นดีไซน์ร้านและสัมผัสบรรยากาศก่อน หลักการออกแบบของที่นี่จึงเล่นกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคน ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส การดีไซน์ทุกอย่างในร้านจึงสำคัญหมด

“ตั้งแต่ไฮไลต์อย่างโต๊ะตรงกลางร้าน พวกเขาอยากให้เป็นเหมือนลำธาร ที่มีต้นตอมาจากน้ำตก แล้วมีน้ำไหลเรื่อยๆ ไปกระทบทรายและหิน ได้ยินเสียงน้ำแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ รูปทรงของโต๊ะก็ทำเป็นทรงโค้งเพื่อทำให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวและผ่อนคลายเมื่อได้เห็น”

“ตอนที่ออกแบบโต๊ะตัวนี้เราคิดว่าถ้าร้านไม่มีคนก็ถือว่าเรามีโต๊ะสวยๆ ไว้นั่งกินข้าว“ ป๋อมแป๋มหัวเราะ ก่อนเล่าไอเดียต่อว่า “แล้วที่โต๊ะเป็นเหมือนบาร์ให้คนมานั่งด้วยกัน ต่างจากร้านอื่นๆ ที่ชอบทำเป็นโต๊ะเล็กๆ ให้ลูกค้านั่งแยกกัน เพราะคอนเซปต์ที่นี่คือเซฟเฮาส์ ดังนั้นเราเลยคิดว่าโต๊ะที่เราทำมันต้องไปเป็นอย่างอื่นได้

“เช่นในอนาคตอาจให้คนมาทำเวิร์กช็อปในน้ำ เพราะถึงแม้วันนี้คนจะจำ Safe-fu House ในฐานะคาเฟ่ แต่เราไม่ได้จำกัดพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแค่คาเฟ่ เราอยากให้มันเป็นสเปซที่คนเข้ามาแล้วได้เอ็นจอย ได้ผ่อนคลายจริงๆ”  

พวกเขายังวางมู้ดบอร์ดเฟอร์นิเจอร์ไว้ตั้งแต่ต้นว่าต้องการคุมโทนสีประมาณไหน ถ้าเจอเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่ก็เลือกซื้อทันที แม้แต่เรื่องสีที่ใช้ ลายที่เพนต์บนผนัง และรูปทุกรูปที่วางในร้าน ทั้งคู่ก็วาดกันเองและเลือกทำให้เป็นไปตามมู้ดแอนด์โทนของร้าน

“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นจุดขายขนาดนั้น แต่กลายเป็นว่าลูกค้าชอบ คือเรื่องแก้วและน้ำแข็งที่เราใช้ ที่เราเลือกใช้แก้วแบบนี้ เพราะส่วนตัวเราคิดว่าเป็นแก้วใสแล้วมันสวยดี อีกอย่างคือขอบปากแก้วมันบาง ทำให้รู้สึกว่าลิ้มรสตัวชาได้ดีขึ้น

“ส่วนน้ำแข็งมาจากคอนเซปต์ว่าอยากให้ลูกค้านั่งสบายชิลๆ ก็เลยหาน้ำแข็งที่ละลายช้า ไม่ได้ต้องการให้เป็นน้ำแข็งเล็กๆ และละลายเร็ว ก็เลยมาจบที่น้ำแข็งทรงกลมก้อนใหญ่ ซึ่งตามหลักทรงกลมมีเนื้อโค้งเยอะ ทำให้คนรู้สึกสบายตาและผ่อนคลาย แต่ถ้าไปใช้น้ำแข็งเป็นสี่เหลี่ยมก็กลายเป็นว่ามีมุมแหลม ทำให้รู้สึกโดนโจมตีและรู้สึกอึดอัด กลายเป็นว่าลูกค้าชอบรีเควสต์ว่าขอแก้วกับน้ำแข็งแบบนี้นะ บางคนดื่มเครื่องดื่มหมดแล้วน้ำแข็งยังไม่ละลาย เขาก็ขอน้ำแข็งกลับบ้านด้วยก็มี” พีทเล่าแบบติดตลกให้เราฟัง แต่ก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจที่อยากให้ทุกดีเทลเป็นไปตามคอนเซปต์ร้านที่ตั้งไว้

บทเรียนสำคัญที่ทำให้บ้านหลังนี้เติบโต

ป๋อมแป๋มยอมรับว่าในช่วงที่เปิดร้านแรกๆ พวกเขาเจอปัญหาเยอะมาก เพราะไม่คิดว่าร้านจะแมสและมีคนมาเยอะขนาดนี้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่ได้เตรียมการจัดการร้านให้ดีพอ ทั้งเรื่องที่จอดรถ เพราะปกติเวลาลูกค้ามาเวิร์กช็อปจะขับรถไม่กี่คันและจอดหน้าร้านได้ แต่พอลูกค้ามาเยอะกว่าที่คาดไว้ จึงแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกค้าไปจอดบริเวณหมู่บ้าน ที่อนุญาตให้จอด แล้วใช้รถกอล์ฟรับ-ส่งมายังที่ร้านแทน

“เรื่องการทำเครื่องดื่มก็ยังไม่ลงตัวขนาดนั้น ก็มีปัญหา เช่น ทำนาน ทำผิดพลาด แก้วไม่พอ น้ำแข็งไม่พอ วิธีแก้ปัญหาของเราในช่วงนั้นอย่างเรื่องน้ำแข็งก็ต้องหาอันที่ดีที่สุดแล้วไวที่สุดในช่วงนั้นมาใช้ก่อน ส่วนเรื่องแก้วเราก็ต้องหามาวนให้ได้ หมายถึงว่าถ้าลูกค้าคนไหนดื่มหมดแล้วเราก็ต้องขออนุญาตเก็บก่อน” พีทเล่าเสริม

ช่วงแรกที่เปิดร้านป๋อมแป๋มถึงกลับทำคลิปลงในโซเชียลมีเดียของตัวเองว่าธีมหลักของพื้นที่แห่งนี้คือความสงบ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสงครามส่งด่วนซะอย่างนั้น และเล่าให้เราฟังว่ามีปัญหาให้ต้องจัดการเยอะไปหมด พนักงานไม่พออยู่ดีๆ พีทก็กลายเป็นเด็กเสิร์ฟ ป๋อมแป๋มก็ไปตีมัทฉะ คุณแม่ต้องมาช่วยล้างจาน แม้แต่เพื่อนๆ ที่มาแสดงความยินดีที่เปิดร้านใหม่ก็ต้องมาช่วยกันหมด

“บางปัญหาก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บางคนก็คาดหวังว่าเราเป็นร้านมัทฉะสเปเชียลตี้ แต่เราไม่ได้ตั้งให้ตัวเองเป็นมัทฉะสเปเชียลตี้ เราแค่ชอบดื่มมัทฉะ เลยเลือกเสิร์ฟเป็นมัทฉะก่อน แต่พอคนคาดหวังแบบนั้น เราก็ต้องพัฒนาสูตร เลือกใช้ผงมัทฉะเป็น ceremonial grade (มัทฉะคุณภาพสูงสุด ที่ใช้ในพิธีชงชาญี่ปุ่น) เป็นรสชาติที่เราและคนรอบตัวชอบ นำมาพัฒนาจนลูกค้าชมว่าอร่อยและรสชาติแตกต่างจากร้านอื่น” ป๋อมแป๋มกล่าว

ในอนาคตพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเสิร์ฟมัทฉะตลอดไป อาจจะเปลี่ยนเป็นเมนูเครื่องดื่มตามเทรนด์ในอนาคต พร้อมจัดกิจกรรมฮีลใจ เช่น มี sound healing ที่ใช้คลื่นเสียงบำบัด ไปพร้อมๆ กับการจิบมัทฉะไปในเวลาเดียวกัน

เพื่อเปลี่ยนภาพจำของ Safe-fu House ที่หลายคนคิดว่าเป็นเพียงคาเฟ่และร้านมัทฉะสเปเชียลตี้ ให้เป็น healing space ที่ฮีลใจผู้คนอย่างที่ป๋อมแป๋มและพีทตั้งใจไว้

เมื่อโรงงาน ห้างร้านจมบาดาลภาครัฐและสถาบันการเงินออกมาตรการช่วยเหลือยังไง

เหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสงขลา และพื้นที่หาดใหญ่ไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตของผู้คน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ SME และภาคเกษตรกรรม

โรงงานในหลายอำเภอได้รับผลกระทบกว่า 715 โรงงาน มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,282 ล้านบาท ส่วนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม แม้ระดับน้ำจะยังไม่ท่วมเข้าไปโดยตรง แต่ก็ไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้ เพราะเส้นทางเข้า-ออกถูกน้ำล้อมรอบ ทั้งวัตถุดิบและสินค้าก็ไม่สามารถขนส่งได้

รูป : เทศบาลนครหาดใหญ่

โรงงานที่เสียหายมีทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร แปรรูปไม้ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยางพารา พลาสติก ผลิตภัณฑ์โลหะ ธุรกิจขุดตักดินและดูดทราย รวมถึงกลุ่มธุรกิจบริการ ทำให้การผลิตหยุดชะงักจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ยังมีโรงไฟฟ้าทั้งรัฐและเอกชน 17 แห่ง ที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ยังไม่นับรวมร้านค้าหรือผู้ประกอบการรายย่อยๆ ที่ร้านค้าหรือโรงงานย่อยๆ อยู่ใต้บาดาลที่ยังประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้

คำถามสำคัญตอนนี้จึงคือภาครัฐจะเยียวยาและช่วยเหลือภาคธุรกิจได้ยังไง Recap ตอนนี้ขอพาไปสรุปมาตรการที่ทั้งภาครัฐอย่างกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเดินหน้าและมาตรการจากสถาบันการเงินต่างๆ 

1. มาตรการจากกระทรวงอุตสาหกรรม และ SME D Bank ช่วยพยุง SME

กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ SME D Bank ออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SME ในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยมาตรการครอบคลุมหลายจังหวัดที่มีความเสียหายหนัก

ธนาคารจึงเริ่มจากการลดภาระหนี้ ให้ลูกค้าปัจจุบันพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้นานสูงสุด 12 เดือนสำหรับสินเชื่อประเภทเงินกู้ ส่วนสินเชื่อหมุนเวียน เช่น ตั๋ว P/N หรือแฟคตอริ่ง ขยายเวลาชำระได้อีก 180 วัน พร้อมสิทธิพักดอกเบี้ยเพิ่มเติม

ถัดมาคือมาตรการเติมทุนฉุกเฉินที่ช่วยให้ธุรกิจซ่อมแซมและเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น ลูกค้าเดิมที่อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติสามารถกู้ได้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท สูงสุด 200,000 บาท โดยบุคคลธรรมดากู้ได้ไม่เกิน 100,000 บาท และนิติบุคคลไม่เกิน 200,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตรา MLR ระยะเวลากู้ 3 ปี และให้ปลอดเงินต้น 12 เดือน พร้อมผ่อนผันเรื่องเอกสารและหลักประกันเพื่อให้เข้าถึงเงินได้ไวกว่าเดิม

SME D Bank ยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3% คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลงทุน หรือยกระดับธุรกิจ ผ่านโครงการอย่าง SME Green Productivity, ปลุกพลัง SME และ Beyond ติดปีก SME 

2. ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนปรนกฎ ช่วยลูกหนี้ทุกกลุ่ม

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอให้สถาบันการเงินทุกแห่งช่วยเหลือลูกหนี้ โดยผ่อนปรนเกณฑ์ต่างๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคในช่วงฉุกเฉิน เช่น กรณีบัตรเครดิต ธปท.อนุญาตให้ธนาคารลดค่างวดผ่อนขั้นต่ำ ลงต่ำกว่าเกณฑ์ปกติได้ นานไม่เกิน 12 เดือนหลังพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ 

ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล ธนาคารสามารถเพิ่มวงเงินฉุกเฉินชั่วคราวได้มากกว่าเพดานเดิม เพื่อให้ลูกหนี้มีทุนเร่งด่วนซ่อมบ้าน ซ่อมทรัพย์สิน หรือฟื้นอาชีพ ทั้งหมดนี้ต้องอนุมัติภายใน 12 เดือนหลังประกาศเขตภัยพิบัติ

สำหรับสินเชื่อทุกประเภท ธปท.เปิดทางให้ธนาคารใช้วิธีที่ช่วยลดภาระลูกหนี้ เช่น ลดดอกเบี้ย ยกเว้นค่าธรรมเนียม ขยายเวลาชำระ หรือปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ โดยระหว่างช่วงให้ความช่วยเหลือ ธปท.อนุญาตให้ ‘คงชั้นลูกหนี้เดิม’ เหมือนก่อนเกิดภัย เพื่อไม่ให้ลูกหนี้เสียประวัติเครดิตโดยไม่จำเป็น

3. บสย. ผ่อนค่าธรรมเนียม–พักค่างวด ช่วยผู้ประกอบการที่มีการค้ำประกัน

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ออกมาตรการช่วย SME ที่ใช้บริการค้ำประกันและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเริ่มจากการให้ลูกค้าที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกัน เลื่อนจ่ายไปได้อีก 6 เดือน สำหรับค่าธรรมเนียมที่ครบกำหนดระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 – 15 ธันวาคม 2568

สำหรับลูกหนี้ที่ บสย.เคยจ่ายเคลมแล้วและกำลังผ่อนหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ หากสถานที่ประกอบการได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม สามารถพักค่างวดได้อีก 6 เดือน ทั้งนี้ต้องเป็นลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้อยู่ก่อนแล้ว เพื่อให้การพักชำระไม่กระทบต่อระบบหนี้เดิม

4. กรุงไทยลดค่างวด-ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยลูกหนี้บ้าน, บุคคล, SME

กรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเน้นการลดภาระที่เห็นผลทันที ลูกค้าสินเชื่อบ้านและธุรกิจ sSME จะได้รับสิทธิ์ลดค่างวดถึง 75% ของค่างวดเดิมนาน 1 ปี พร้อมดอกเบี้ย 0% ในช่วง 3 เดือนแรก และดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ต่อปีอีก 33 เดือน รวมสิทธิพิเศษด้านดอกเบี้ยยาวรวม 3 ปี

ในส่วนของสินเชื่อบุคคล ลูกค้าจะได้รับสิทธิ์ลดค่างวดแบบเดียวกัน พร้อมดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปีนาน 3 ปี ส่วนลูกค้า SME ธนาคารจะพิจารณาปรับเงื่อนไขเป็นรายกรณี เช่น ลดดอกเบี้ย ขยายสัญญา พักเงินต้น หรือพักดอกบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงในช่วงน้ำท่วม

หากต้องซ่อมบ้านหรือกู้เพิ่มเพื่อฟื้นฟูกิจการ ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่สามารถขอสินเชื่อพิเศษที่ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน และหลังจากนั้นดอกเบี้ยคงที่ 2.5% สำหรับสินเชื่อบ้านและ sSME รวมถึงสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อ SME ระยะยาวดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% เพื่อช่วยให้ผู้เสียหายสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น

5. ธอส. เน้นช่วยลูกค้าบ้าน พักหนี้ ลดงวด สินเชื่อซ่อมแซม

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกมาตรการช่วยลูกค้าบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เน้นช่วยให้คนยังรักษาบ้านไว้ได้ โดยมาตรการแรกคือการให้ลูกค้าปัจจุบันพักชำระหนี้ 3 เดือน พร้อมดอกเบี้ย 0% หลังจากนั้นเดือนที่ 4-12 คิดดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี และลดเงินงวดลงครึ่งหนึ่งจากยอดที่เคยผ่อน เมื่อครบกำหนดช่วยเหลือ ลูกค้าจะกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม

สำหรับผู้ที่ต้องซ่อมหรือปรับปรุงบ้าน ธอส.มีสินเชื่อ ‘ซ่อม-แต่ง’ และ ‘ซ่อม-แต่ง Plus’ วงเงินรวมสูงสุด 300,000 บาท โดย 100,000 บาทแรกคิดดอกเบี้ย 1% ต่อปีคงที่ 3 ปี ส่วนอีก 200,000 บาทคิดดอกเบี้ย 1.99% และไม่ต้องจดจำนองเพิ่ม ช่วยลดต้นทุนแฝงของลูกค้า

หากบ้านเสียหายหนักจนต้องปลูกสร้างใหม่ ลูกค้าสามารถกู้เพิ่มได้สูงสุด 2 ล้านบาท โดยดอกเบี้ย 0% ใน 3 เดือนแรก และผ่อนยาวได้ถึง 40 ปี ผ่อนเริ่มต้นประมาณ 3,100 บาทต่อเดือนสำหรับวงเงิน 1 ล้านบาท พร้อมส่วนลดค่าธรรมเนียมประเมินและค่าจดจำนองบางส่วน

ด้านลูกหนี้ NPL ธอส.มีมาตรการประนอมหนี้ เช่น ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน ให้ผ่อนงวดต่ำหรือตัดเงินต้นก่อน และค่อยกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิมเมื่อรายได้เริ่มฟื้น ส่วนกรณีบ้านเสียหายทั้งหลัง ธอส.อาจพิจารณาปลดหนี้เฉพาะส่วนราคาอาคาร และให้ผ่อนต่อเฉพาะส่วนของที่ดินเท่านั้น รวมถึงมีระบบเคลมประกันบ้านแบบ fast track ใช้ภาพถ่ายในการพิจารณา เพื่อให้ลูกค้าได้เงินซ่อมบ้านเร็วขึ้น

6. ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อฉุกเฉินดอกเบี้ย 0%

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดกรอบช่วยเหลือรวม 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อฉุกเฉินรายละไม่เกิน 50,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก และสินเชื่อฟื้นฟูรายละไม่เกิน 500,000 บาท เพื่อนำไปซ่อมเครื่องมือ ซ่อมโรงเรือน และทำการผลิตใหม่ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR-2 

เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ธ.ก.ส.จะลงพื้นที่สำรวจความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อวางมาตรการระยะยาวให้สอดคล้องกับความจำเป็นจริงของเกษตรกรในแต่ละหมู่บ้านและแต่ละอาชีพ

7. ธนาคารออมสิน พักหนี้อัตโนมัติ 3 เดือน ไม่คิดดอกเบี้ย  

ธนาคารออมสินประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุด คือพักชำระหนี้อัตโนมัติเป็นเวลา 3 เดือน โดยไม่คิดดอกเบี้ยในช่วงพักหนี้ มาตรการนี้ครอบคลุมลูกค้ากว่า 100,000 ราย ในพื้นที่เขตภัยพิบัติตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

ออมสินยังออกมาตรการเฉพาะสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการผ่อนปรนตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) เพื่อให้ธุรกิจที่ต้องหมุนเงินรายวันยังเดินต่อได้ ไม่ขาดสภาพคล่องในช่วงเวลาที่เข้าถึงรายได้ไม่ได้เหมือนเดิม

รูป : เทศบาลนครหาดใหญ่

นอกจากมาตรการทางการเงินเหล่านี้ คณะรัฐมนตรียังอนุมัติวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2568 เพิ่มอีก 3,818.88 ล้านบาท จากงบกลาง ปีงบประมาณ 2569 เพื่อช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม โดยยังคงหลักเกณฑ์เดิม คือช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับบ้านที่ถูกน้ำท่วมและทรัพย์สินเสียหาย รวมถึงกรณีบ้านถูกน้ำล้อมจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เกิน 7 วัน พร้อมเพิ่มเงินช่วยเหลือพิเศษตามจำนวนวันที่น้ำท่วมขัง ตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หากท่วมติดต่อกันเกิน 31 วันขึ้นไป 

เมื่อดูรวมทุกมาตรการ จะเห็นว่าภาครัฐและสถาบันการเงินต่างพยายามลดภาระหนี้ เพิ่มเงินทุน และปรับเงื่อนไขให้ชีวิตของคนที่เดือดร้อนไม่หนักเกินไป แต่บททดสอบจริงคือ เมื่อสายน้ำลดลง ผู้ประกอบการและประชาชนจะกลับมายืนได้เร็วแค่ไหน

เงินกู้และมาตรการผ่อนปรนช่วยประคองได้ แต่การฟื้นฟูจริงๆ ต้องอาศัยเวลา โครงสร้างพื้นฐาน และระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรงพอรองรับวิกฤตในอนาคต

อ้างอิง

ในวันที่ 58% ของนักสื่อสารพร้อมให้ AI เป็นผู้ช่วย แต่การใช้งานในองค์กรยังต่ำ

หน้าฟีดโซเชียลทุกวันนี้มีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลมากมาย ในฐานะผู้เสพข่าวคงไม่สามารถจดจำทุกอย่างได้ ส่วนในฐานะผู้ส่งสารไม่ว่าจะเป็นฝั่งแบรนด์ คนทำสื่อ หรือเอเจนซี แม้จะตั้งใจทำคอนเทนต์ดีแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าคอนเทนต์นั้นจะถูกดันหน้าฟีดเสมอไป อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างการถูกข่าวปลอมโจมตีบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งทำลายชื่อเสียงองค์กรได้เพียงชั่วข้ามคืน

จากความท้าทายนี้เองทำให้ AI เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่หลายประเทศทั่วโลกเลือกนำมาปรับใช้ในการสื่อสาร แต่ที่ผ่านมารายงานเกี่ยวกับ AI ส่วนใหญ่มาจากฝั่งตะวันตก ไม่ได้สะท้อนความจริงของเอเชียอย่างครบถ้วน 

ทาง One Asia Communications หรือ OAC เครือข่ายเอเจนซีประชาสัมพันธ์ชั้นนำระดับภูมิภาคเอเชีย ที่ครอบคลุม 12 ประเทศ และมีเอเจนซีกว่า 300-400 แห่งทั่วภูมิภาคจึงได้จัดทำรายงานวิจัย ‘AI Adoption Among PR Professionals in Asia 2025’ การศึกษาเชิงลึกโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรด้าน In-house PR, Corporate Communications และ Marketing Communications จากหลากหลายอุตสาหกรรม เกือบ 300 คน จาก 12 ประเทศ เพื่อให้นักสื่อสารและนักธุรกิจทั้งหลายเข้าใจว่า AI กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การสื่อสารในเอเชียยังไง และนำไปประยุกต์ใช้กับงานสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่เหมาะกับบริบทเอเชียได้

Keynote ในตอนนี้จึงพามาเปิดมิติใหม่ของวงการสื่อสารยุค AI และไกด์ไลน์ที่แบรนด์สามารถนำ AI ไปปรับใช้ในการสื่อสารองค์กรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  

PR ในเอเชียส่วนใหญ่มอง AI เป็น ‘เครื่องมือเสริม’ มากกว่าเป็นภัยคุกคาม

ผลสำรวจพบว่า ภาพรวมของนักประชาสัมพันธ์ในเอเชียมีทัศนคติที่เป็นบวกต่อ AI โดย 58% มองว่า AI จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการวิเคราะห์ซึ่งแตกต่างจากหลายรายงานในตะวันตกที่มักกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงาน แต่ PR ในเอเชียส่วนใหญ่มอง AI เป็น ‘เครื่องมือเสริม’ มากกว่าเป็นภัยคุกคาม สะท้อนถึงทัศนคติที่เปิดกว้างและพร้อมปรับตัว

คนใช้ AI กับเรื่องส่วนตัวบ่อยกว่าใช้พัฒนากลยุทธ์องค์กร

นักประชาสัมพันธ์กว่าครึ่งยอมรับว่าใช้ AI เป็นและใช้ประจำ แต่ส่วนใหญ่ยังใช้เป็นรายบุคคลหรือใช้ในทีมมากกว่า เรียกได้ว่าเป็นการใช้ AI ไปกับเรื่องส่วนตัวหรือการทำงานเฉพาะเจาะจงของตัวเอง มากกว่านำมาใช้พัฒนากลยุทธ์องค์กร

เพราะแต่ละบริษัทยังไม่มีการวาง framework หรือแนวทางการปฏิบัติงานอย่างชัดเจนว่า AI จะถูกบูรณาการเข้ากับการวางกลยุทธ์ การบริหารจัดการ และการกำกับดูแลได้ยังไง ซึ่งแต่ละองค์กรจะมีการนำ AI ไปใช้ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความพร้อมขององค์กร งบประมาณ และการสนับสนุนจากผู้บริหาร

ความท้าทายของการใช้ AI 

แม้งานวิจัยนี้จะเห็นว่านักประชาสัมพันธ์เปิดกว้างรับ AI แต่เมื่อถามถึงความท้าทายที่น่ากังวลที่สุดที่คาดว่าจะต้องเผชิญในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่กว่า 60% มีความเห็นตรงกันว่า การนำ AI และเทคโนโลยีใหม่มาใช้ท้าทายมากที่สุด รองลงมา 42% คือการวัดผลความสำเร็จของการสื่อสาร ในบริบทใหม่ที่ข้อมูลถูกประมวลผลผ่านระบบ AI มากขึ้น และอีก 41% มองว่าการรับมือกับข้อมูลเท็จและข่าวปลอม ยังเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องจัดการ

คนใช้ AI เป็นแต่ยังขาดการคิดเชิงกลยุทธ์

จากงานวิจัยนี้สะท้อนว่านักประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่ต้องการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ ‘กรอบการทำงานที่ชัดเจน’ ทั้งในด้านเครื่องมือ นโยบายบริษัท และมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งประเภทงานที่นิยมนำ AI มาใช้มากที่สุด ได้แก่ การเขียนคอนเทนต์และปรับปรุงเนื้อหา การวิเคราะห์แนวโน้มและอารมณ์ความรู้สึกสาธารณะ และการประเมินผลแคมเปญ ในการทำงานจึงต้องวาง framework การใช้ AI ที่ชัดเจน

A robotic hand interacts with an AI circuit board.

แม้นักประชาสัมพันธ์จะเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้น แต่ผลวิจัยชี้ว่า ‘ทักษะเชิงกลยุทธ์’ ยังเป็นช่องว่างสำคัญที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม การฝึกอบรมส่วนใหญ่ยังเน้นเพียงวิธีใช้เครื่องมือ ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการทำงานอัตโนมัติ แต่ยังไม่ตอบโจทย์ว่า AI จะอยู่ในกระบวนการวางแผนสื่อสารทั้งระบบยังไง

นักประชาสัมพันธ์จำนวนมากจึงยังขาดแนวทางในการใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก AI มาช่วยกำหนดทิศทางการออกแบบแคมเปญ การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย การจัดกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการจัดการประเด็นสื่อสาร ซึ่งกำลังกลายเป็นหัวใจของงาน PR ยุคใหม่

ถ้าอยากไปได้ไกล องค์กรต้องพัฒนาทักษะการ prompt 

ดังนั้นทักษะที่องค์กรต้องการเร่งพัฒนาในการสื่อสารคือการสร้าง prompt อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางกลยุทธ์ และการวัดผลที่แม่นยำ เพื่อให้ AI เป็นมากกว่าเทคโนโลยีช่วยงาน แต่ช่วยยกระดับคุณภาพงานสื่อสาร 

รวมถึงการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ ทุกคอนเทนต์หรือข้อมูลเชิงลึกที่ใช้ AI ต้องเปิดเผยและตรวจสอบได้ ต้องมีการปกป้องข้อมูลขององค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเข้มงวด และยังต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมนุษย์ ทั้งเป็นผู้ตรวจสอบ ตีความ และอนุมัติเนื้อหาที่สร้างโดย AI เพื่อรักษาความถูกต้องและบริบทที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนชัดว่าจริยธรรมและธรรมาภิบาลต้องพัฒนาควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

จะเห็นได้ว่าการสื่อสารในยุคนี้จึงต้องสร้างทั้งความไว้วางใจและความจริง เพื่อให้องค์กรอยู่รอดและเติบโตในยุค AI-First นอกจากนี้การที่ AI เข้ามาช่วยทำงานซ้ำๆ แทนมนุษย์ได้ ตั้งแต่การติดตามข้อมูล การเก็บสถิติ ไปจนถึงการร่างเนื้อหา ทำให้นักประชาสัมพันธ์ยุคใหม่ต้องขยับบทบาทไปสู่การเป็น ‘ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์’ ที่ต้องใช้ข้อมูล วิจารณญาณ และจริยธรรมในการตัดสินใจมากขึ้น

ปัจจุบันองค์กรชั้นนำในเอเชียเริ่มนำ AI มาใช้ในงานสื่อสารอย่างจริงจังแล้วทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบประสบการณ์เฉพาะบุคคล การบริหารชื่อเสียง ไปจนถึงการคาดการณ์ประเด็นล่วงหน้า ซึ่งการปรับตัวเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นกติกาใหม่ในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า แน่นอนว่าใครปรับตัวได้ก่อนก็ย่อมได้เปรียบในสนามนี้

‘ไม่มีใครยิ้มในภาพวาด’ แต่กล้อง Kodak ทำให้การยิ้มกว้างกลายเป็นวัฒนธรรม

การยิ้มกว้างๆ ให้กับกล้อง เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราจะทำ เมื่อเรายกกล้องขึ้นถ่ายรูป โดยทั่วไป การถ่ายภาพส่วนใหญ่ เรามักตั้งใจที่จะเก็บ ‘บรรยากาศความสุข’ หรือช่วงเวลาดีๆ 

แต่ก่อนที่การ ‘ยิ้มกว้าง’ ให้กับกล้องจะกลายมาเป็นเรื่องธรรมดา และกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของการถ่ายภาพ นวัตกรรม ‘กล้องถ่ายรูป’ โดยเฉพาะ ‘กล้อง Kodak’ ที่มีฟิล์มในตัว พร้อมบริการล้างอัดและส่งคืนภาพให้ผู้ซื้อนี่แหละที่ทำให้เกิดวัฒนธรรม ‘การแชะภาพ’ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนวิธีการบันทึก ‘โลก’ หรือมุมมองของเราไปตลอดกาล 

ด้วยความสะดวกรวดเร็ว และการใช้กล้องของชนชั้นกลาง ทำให้วัฒนธรรม ‘ภาพบุคคล’ และการบันทึกภาพในฐานการบันทึกชีวิต กลายเป็นเรื่องของ ‘ความสุข’ และ ‘สีสันของชีวิต’ เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมในภาพวาดบุคคลไม่มีใครยิ้มในภาพวาด ซึ่งขนบภาพบุคคลในยุคแรก ในศิลปะและเงื่อนไขของการถ่ายภาพในยุคแรกที่ยังมีราคาแพง ใช้เวลานาน ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมภาพบุคคลให้มีความเคร่งขรึม 

จากนั้นก็ยังไม่มีใครยิ้มในภาพถ่าย จนกระทั่งเรามี ‘กล้องราคาเข้าถึงได้’ นี่แหละ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คือการมาถึงของผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน ทำให้ผู้คนยิ้มกว้างให้กล้องมานานจนถึงในศตวรรษของเราในทุกวันนี้ 

แม้แต่รอยยิ้มในกล้องที่ดูเป็นเรื่องธรรมดา ก็สัมพันธ์กับกิจการและเทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่ กระทั่งกิจการของกล้องทั้ง Kodak และ Leica ก็อาจสะท้อนทั้งปรัชญาในการทำให้กล้องซึ่งคือของใหม่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมของสองชาติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ไม่มีใครยิ้มกว้างในภาพวาด

ความสนุกของการเขียนทรัพย์คัลเจอร์คือการค้นคว้าและค้นพบว่าพฤติกรรมธรรมดาๆ หลายๆ อย่างของเราในทุกวันนี้เกี่ยวข้องกับกิจการและนวัตกรรม เปลี่ยนวัฒนธรรม พฤติกรรมกระทั่งการมองโลก

กรณีนี้คือ ‘รอยยิ้ม’ ของเรา

ข้อสังเกตที่เรียบง่ายที่สุดคือ ‘วัฒนธรรมการยิ้ม’ ในภาพประเภทบุคคล คือภาพบุคคล (portrait) เรามีการบันทึกภาพของบุคคลที่เป็นการวาดภาพบุคคลหนึ่งๆ แบบสมจริง ซึ่งภาพวาดบุคคลไม่ได้มีแค่การบันทึกภาพใบหน้าคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นไปอย่างตาเห็น แต่ยังมีขนบและทัศนคติสะท้อนอยู่ในภาพด้วย

รูป : kodak.com

ภาพบุคคลแต่เดิม เรามักไม่พบการยิ้ม–หมายถึงการยิ้มกว้างหรือการแสดงสีหน้ามีความสุขในภาพวาดบุคคลเลย กระทั่งภาพบุคคลในตำนานเช่นโมนาลิซา รอยยิ้มอันลึกลับของโมนาลิซาก็สะท้อนการแสดงอารมณ์อย่างคลุมเครือ ส่วนภาพวาดอื่นๆ ซึ่งมักเป็นภาพบุคคลชนช้ันสูง ไม่ว่าจะเป็นภาพกษัตริย์ ราชินี ราชวงศ์ หรือขุนนาง ล้วนไม่มีใครฉีกยิ้มในภาพเหมือนของตน

ขนบตรงนี้เกี่ยวข้องทั้งกับเรื่องทางเทคนิค ค่านิยมทางสังคม และสุนทรียภาพทางศิลปะ ภาพวาดในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในยุควิคตอเรียน อันที่จริง บุคคลที่มักวาดภาพที่มักเป็นการบันทึกความมั่งคั่งและเป็นหนึ่งในสมบัติของครอบครัวก็อยากจะดูมีความสุขในทรัพย์สินและความร่ำรวยของตัวเอง

แต่ในธรรมเนียมทางศิลปะ บุคคลในภาพที่มักจะยิ้มหรือฉีกยิ้ม มักเชื่อมโยงกับชนชั้นล่าง หรืออาจเป็นภาพของตัวตลก ชาวนา คนเมา เด็ก ไปจนถึงคนพิการ การฉีกยิ้มในภาพวาดมักสะท้อนถึงความไม่เต็มเต็ง กระทั่งความเจ้าเล่ห์เพทุบาย การฉีกยิ้มในยุควิคตอเรียนมักสะท้อนถึงความด้อยสติปัญญา ไม่มีเกียรติ ไม่มีการศึกษา

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ธรรมเนียมหรือภาพแทนของชนชั้นสูง ย่อมแสดงออกมาในภาพบุคคลที่มีความเคร่งขรึม ยิ่งในยุควิคตอเรียนที่ให้ความสำคัญกับการดำรงตน การอดทนอดกลั้น การไม่แสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป รวมถึงความคิดที่ว่าผู้ที่มีจริยวัตรคือผู้ที่ควบคุมริมฝีปากของตัวเองได้ ริมฝีปากและรูปปากที่เล็กยังคือความงาม ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การยิ้มและวัฒนธรรมการยิ้มเป็นของหายาก

จาก ‘พรุน’ ถึง ‘ชีส’ เรื่องทางเทคนิคของรอยยิ้ม

ในยุควิคตอเรียน นอกจากการวาดภาพเหมือนบุคคล ในสมัยนั้นเริ่มมีการใช้กล้องถ่ายภาพกันแพร่หลายมากขึ้นแล้ว ทว่าการถ่ายภาพยังยุ่งยากและมีราคาแพง 

นอกจากเงื่อนไขที่ว่า ธรรมเนียมหรือความเชื่อของบุคคลที่ผู้ดีมีอันจะกินจะต้องแสดงท่าทีเคร่งขรึมให้สมฐานะแล้ว การไม่ยิ้มยังเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของเทคโนโลยีการถ่ายภาพ รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ 

นึกภาพว่าสมัยก่อน การถ่ายภาพครั้งหนึ่งต้องใช้เงินมาก ภาพถ่ายแต่ละใบกว่าจะได้มาถือเป็นมหกรรมการลงทุนของครอบครัว การถ่ายภาพแต่ละครั้งต้องเรียกทั้งครอบครัวมารวมตัวกัน เซตฉาก กำหนดท่าทาง คนที่เข้ากล้องจะทำตัวเละเทะก็ไม่ได้ เดี๋ยวภาพจะพังก็จะเป็นปัญหา 

ในการถ่ายภาพในยุคแรก แบบที่ถ่ายต้องอยู่นิ่งๆ เป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งนาทีถึงหลายนาที นึกภาพว่าสมาชิกในครอบครัวจะถูกจัดท่าอย่างระมัดระวัง และทุกคนจะถูกบังคับจนเกือบจะถูกทรมานให้อยู่ในท่าทีที่ดูผิดธรรมชาตินั้นจนกว่ากล้องและกระบวนการทางเคมีจะทำงานเสร็จ คนที่ถ่ายรูป ซึ่งเป็นของใหม่มากๆ ในยุคนั้นจะทั้งหวั่นใจ และต้องทำตามช่างภาพอย่างเคร่งครัดด้วยกลัวว่าภาพจะเสีย หรือเบลอ 

รูป : kodak.com

ถ้าเราต้องยิ้มค้างเป็นครึ่งนาที คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เรียกได้ว่าเราไม่อาจเกร็งใบหน้า ยิ้มในท่วงท่าเดียวกันโดยไม่ไหวติงเป็นเวลาหนึ่งนาทีได้ ดังนั้นการทำหน้าเรียบเฉยจึงเป็นวิธีการที่เป็นจริงได้มากกว่า

นอกจากเรื่องเทคโนโลยีการถ่ายภาพรวมกับค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเคร่งขรึม หรือทำให้การยิ้มเป็นเรื่องยาก ‘สุขภาพฟัน’ ยังเป็นอีกปัญหาสำคัญของการยิ้มในสมัยวิคตอเรียน กล่าวคือคนสมัยนั้นมักจะมีปัญหาในช่องปาก ทั้งฟันไม่สวย สุขภาพฟันไม่ดี ฟันหลอบ้าง บิดเบี้ยวบ้าง เพราะความก้าวหน้าด้านทันตกรรมยังน้อย การดูแลช่องปากด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ กระทั่งการจัดฟันยังไม่พัฒนา ดังน้ันการไม่ยิ้มก็จะง่ายกว่า 

การยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ จะมาเกี่ยวกับกระแสและการโฆษณาสินค้าของการดูแลช่องปากในยุคหลังด้วย

สิ่งที่น่าสนใจคือ  ก่อนที่เราจะพูดคำว่า ‘ชีส’ ซึ่งแสดงถึงความสุขสนุกสนานในการถ่ายภาพยุคปัจจุบัน ร้านถ่ายรูปร้านแรกของอังกฤษที่กรุงลอนดอน หลังจากเปิดร้านในปี 1841 ได้คิดให้ลูกค้าพูดคำว่า ‘พรุน’ (say prunes) เพื่อให้ลูกค้ามีรูปปากที่เล็ก ปิดปากลงและอยู่ในท่าทีที่เคร่งขรึมตามค่านิยม

สายลม แสงแดด และกล้อง Kodak

ในระดับนวัตกรรมและระดับวัฒนธรรม Kodak โดย จอร์จ อีสต์แมน (George Eastman) ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ขับเคลื่อนกิจการกล้องถ่ายรูป ซึ่ง Kodak ไม่ได้ขับเคลื่อนแค่การขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวัฒนธรรมการถ่ายภาพให้กลายเป็นวัฒนธรรมการของการบริโภค โดยเฉพาะการบริโภคความสุข และช่วงเวลาของความสุข

รูป : smithsonianmag.com

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดคือการวางจำหน่ายกล้อง Kodak ในปี 1888 กล้อง Kodak ยุคแรกคือสินค้าที่มาพร้อมบริการ ด้วยนวัตกรรมของอีสต์แมน ตัวกล้อง Kodak มาพร้อมกับภาพ 100 ช็อต ติดมากับตัวกล้อง สิ่งที่ผู้ซื้อต้องทำคือเอากล้องไปถ่ายอะไรก็ได้ตามใจ ถ่ายครบแล้วก็ส่งกล้องคืนไปที่บริษัทในเมืองนิวยอร์ก บริษัทอีสต์แมน Kodak ก็จะล้างภาพ และบรรจุช็อตเข้าไปใหม่อีกร้อยรูปส่งคืนมาให้

กล้อง Kodak ที่ออกขายในตอนนั้นวางจำหน่ายในราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินปัจจุบันก็ราคาเหมือนเราซื้อไอแพดแพงๆ สักเครื่อง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่นวัตกรรมกล้องที่ทำให้กล้องมีขนาดกะทัดรัดลง–คือยังใหญ่อยู่นะ ขนาดเท่ากล่อง แต่อย่างน้อยก็พกพาได้ มีจำนวนการถ่ายที่กดเล่นได้หายห่วง ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับสุดยอดสโลแกนของ Kodak คือ ‘คุณแค่กดปุ่ม ที่เหลือเป็นหน้าที่เรา’–You press the button, we do the rest.

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกล้องและบริการของ Kodak คือ การถ่ายภาพไม่ใช่กิจกรรมที่ถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่สตูดิโอ หรือในห้องที่ต้องมีการบังคับกะเกณฑ์อีกต่อไป ภาพถ่ายแต่ละภาพไม่ได้มีราคาสูง ต้องเคร่งขรึม ผิดพลาดไม่ได้ การถ่ายภาพกลายเป็นการ ‘จับ’ จังหวะหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ช่วงเวลาที่ว่านั้นมักกลายเป็นภาพของความสนุกสนาน ผู้คนต่างพากันหยิบกล้องออกไปทดลองในมุมถ่ายภาพแปลกๆ ออกไปกลางแจ้ง ไป ‘สแนป’ จังหวะหรือความเคลื่อนไหวของชีวิตประจำวัน ด้วยพลังของกล้องพกพานี้เองทำให้เราเกิดวัฒนธรรมการ ‘snapshot’ ขึ้น 

การสแนปภาพนั้นมักมีนัยของความผิดพลาด ความตลกขบขัน จังหวะชีวิตที่อาจจะผิดแปลกไปจากเดิม การถ่ายภาพในมุมประหลาดๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากกล้องที่มีราคาถูกลง ถ่ายภาพได้ง่ายและสนุกขึ้น การถ่ายภาพค่อยๆ กลายเป็นเรื่อง ‘เล่นๆ’ เป็นภาพที่ชนชั้นกลางบันทึกชีวิต มุมมองที่เต็มไปด้วยความสุขหรือ joy ซึ่งเป็นบรรยากาศหรือ ‘โมเมนต์’ ของคนในยุคสมัยใหม่

ไม่ใช่แค่กล้อง แต่คือวัฒนธรรม

สำหรับความอัจฉริยะของ Kodak ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาตัวกล้องให้พกพาง่าย ทำงานง่าย หรือการออกแบบกล้องร่วมกับการบริการ ทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่าย ทว่า Kodak เองมีการขยายความคิด ทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับความสบายและความสนุก กิจกรรมของการถ่ายภาพยังกลายเป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น 

 Kodak ลงทุนในนิตยสาร เปิดพื้นที่ไปสู่งานศิลปะ ออกหนังสือแนะนำแนวทางในการถ่ายภาพสำหรับผู้ใช้งานทุกรูปแบบ ทำให้ผู้คนเข้าใจได้ว่าการถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องธรรมดา

รูป : heritage-posters.co.uk

ที่สำคัญคือ ด้วยหลักการของความสะดวก การให้ภาพกิจการการถ่ายภาพของ Kodak เชื่อมโยงกับความสุขและความ ‘ชิลล์’ รวมถึงเชื่อมโยงกับการพกกล้องไปใช้ในสายลมแสงแดด เช่นไอคอนของแบรนด์คือ Kodak Girl โปสเตอร์โฆษณาที่ให้ภาพหญิงสาวกำลังปล่อยใจไปกับสายลม พร้อมคำโฆษณา ‘for Happy Moments’ การถ่ายภาพในนิยามของ Kodak คืออิสรภาพ ความเบาสบายและการเก็บภาพความสุข

ถ้าเรามองย้อนไป การถ่ายภาพหลายครั้งถูกเชื่อมโยงกับมุมมองในแง่ลบ คำของการถ่ายภาพเป็นอุปมาที่สัมพันธ์กับการล่า เช่น ‘shoot’ หรือ ‘capture’ ในหลายแง่มุม การถ่ายภาพถูกนิยามว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ผู้ถ่ายภาพมีอำนาจผ่านเลนส์กล้องและผู้ถูกถ่ายภาพกำลังถูกจ้องมอง

แต่การให้นิยามใหม่กับการถ่ายภาพ และการนำเสนอศิลปะรวมถึงนัยของการถ่ายภาพและภาพถ่ายของ Kodak กำลังเปลี่ยนความหมายของการถ่ายภาพ อันที่จริงบริษัท Kodak เคยคิดจะทำโปรโมตเกี่ยวกับภาพถ่ายงานศพ แต่ท้ายที่สุด Kodak ก็ตัดสินใจยืนยันให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องของสีสัน Kodak ไม่เคยเชื่อมโยงกิจกรรมการถ่ายภาพกับความเศร้า ความตายจนมีสโลแกนว่า Kodak ไม่เคยมีวันมืดหม่น (Kodak knows no dark days)

นึกภาพย้อนไป เราจะเคยชินกับกล้อง Kodak ที่แน่นอนเชื่อมโยงกับต้นไม้ใบหญ้า เป็นกล้องและการถ่ายภาพในฤดูใบไม้ผลิ เห็นภาพของสายลม แสงแดด โดยเฉพาะภาพของการพักผ่อนที่ชายหาด ภาพของเกลียวคลื่น และเรื่องราวความสนุกสนานของชีวิต

การมาถึงของกล้อง Kodak และอีกสารพัดกล้องลูกหลาน กลายเป็นว่าเรามองโลกโดยมีเลนส์ของกล้องเป็นตัวอ้างอิงมากขึ้น เราเรียนรู้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นกล้อง รวมถึงเมื่อตัวของเราอาจกลายเป็นภาพ กลายเป็นถาวรวัตถุขึ้นมาได้ เราก็เรียนรู้ที่จะ ‘ดูดี’ กระทั่งพยายามท่ีจะดูดีในภาพถ่าย เราเริ่มคิด หรือทำสิ่งต่างๆ โดยมี ‘ภาพ’ ของเราเป็นปลายทาง 

ยุคหลังกล้อง Kodak ผู้คนจึงเริ่มให้ความสำคัญกับผลของห้วงเวลาต่างๆ โดยมีภาพถ่ายของเหตุการณ์นั้นๆ เป็นเป้าหมายหนึ่ง เราเริ่มเกิดงานวันเกิด เกิดการจัดวาง จัดภาพต่างๆ เพื่อให้ภาพของเราดูดีแน่นอนว่ากล้องและการที่เราหมกมุ่นกับการถ่ายภาพนำมาสู่ข้อวิจารณ์ที่เราก็น่าจะคุ้นเคยกันดี 

เรายุ่งอยู่แต่กับกล้องในมือ ทำให้พลาดเวลาที่แท้จริง นอกจากข้อกังวลแล้ว ในพื้นที่ของกิจการถ่ายภาพก็มีการพัฒนาต่อเนื่องมากมาย

Leica กับอีกฝั่งทวีปที่การถ่ายภาพยากก็ดี

จากวัฒนธรรมสะดวกถ่ายจากสหรัฐฯ ของ Kodak วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การพัฒนากล้องถ่ายภาพเองก็มีผู้ผลิตใหม่ๆ ซึ่งมีบริบทและวิธีการนำเสนอสินค้าของตัวเอง ในยุโรปก็มีการเกิดขึ้นของกล้องไลก้า (Leica) กล้องถ่ายรูปจากบริษัทกล้องจุลทรรศน์ Leitz กล้องไลก้าจิ๋ว (miniature Leica) รุ่นแรกถูกผลิตขึ้นในปี 1924 

ไลก้าและวัฒนธรรมเยอรมัน ไม่มีการนำเสนอเรื่องความสะดวกถ่าย และไม่มีแนวคิดเรื่องการยิ้มให้กล้อง ไม่ขายการเก็บความสุข แต่บริษัทขายไลก้าด้วยวิธีการที่เรียบง่าย วางขายครั้งแรกในงานแฟร์สำคัญของเยอรมันของเมืองไลพ์ซิก (Leipzig Fair) งานจัดแสดงสินค้าที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ ใช้จัดแสดงนวัตกรรมและสินค้า หลังจากนั้นใช้วิธีส่งตัวแทนการขายไปกระจายกล้องไลก้าให้กับตัวแทน ตัวแทนก็จะเอากล้องไลก้าไปให้ผู้สนใจเช่า

สิ่งที่เกิดขึ้นในการขายของไลก้าคือเกิดชุมชนคนเล่นกล้องขึ้น วิธีการสร้างวัฒนธรรมหรือทำให้คนคุ้นเคยกับภาพถ่ายของไลก้าจึงค่อนไปทางการสร้างชุมชน รวมถึงสร้างความเป็นสถาบันให้กับศิลปะของการถ่ายภาพ สิ่งที่ไลก้าทำคือการจ้างช่างภาพมืออาชีพ และเริ่มจัดตั้งสถาบันด้านภาพถ่ายของไลก้าขึ้น 

รูป : kodak.com

กิจกรรมการโปรโมตของไลก้าจึงเป็นเรื่องวัฒนธรรมและการสร้างความเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างยิ่งยวด มีการเดินสายบรรยาย ออกหนังสือ กล้องไลก้ากลายเป็นอุปกรณ์ของมืออาชีพและวิชาชีพในสาขาต่างๆ เป็นเครื่องมือของการแสวงหาและถ่ายทอดความรู้ กล้องไลก้ากลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ นักสำรวจติดมือไปเพื่อสำรวจป่าห่างไกล 

กล้องไลก้า รวมถึงศิลปะของภาพถ่ายจากไลก้าทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องของการอุทิศตนไปยังทุกแง่มุมของความสนใจ จากนักเคมี ถึงนักเดินทาง กระทั่งนักกีฬาอาชีพ นักดนตรีก็ล้วนมีนิทรรศการหรือการบอกเล่าเนื้องานตลอดชีวิตอันล้ำค่าผ่านกล้องไลก้าของแต่ละคน

วัฒนธรรมการถ่ายภาพ รวมถึงวัฒนธรรมการถ่ายภาพจากไลก้าในเยอรมัน จึงไม่มีการพิมพ์นิตยสาร ไม่มีภาพการไปพักผ่อนหย่อนใจ และมีรอยยิ้มน้อยมากที่ปรากฏในโฆษณาและภาพถ่ายของไลก้าในยุคร่วมสมัยกับ Kodak

จริงๆ ไลก้าเองก็มีคู่แข่ง เช่นมีความพยายามนำเอาวิธีคิดจากบริษัทอเมริกัน เช่นนำความสะดวกสบายมาใช้ เอาการบริโภคความสุขและการเก็บเวลาแห่งความสุข ความแสนสบายไปตีตลาดเยอรมัน แต่ด้วยวัฒนธรรมเยอรมัน รวมถึงวัฒนธรรมการถ่ายภาพที่ก่อตัวขึ้นบนการงานและความประณีต การลงแรงและงานศิลปะ การทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายจึงไม่เกิดขึ้นและขายไม่ได้ในดินแดนที่วัฒนธรรมการถ่ายภาพเคร่งขรึม ไม่ใช่การถ่ายภาพเพื่อความสนุก

การเปรียบเทียบสองวัฒนธรรมการถ่ายภาพ ไม่ได้เทียบเพื่อแยกแยะว่าการถ่ายภาพและวัฒนธรรมแบบไหนถูกหรือผิด แต่เราจะเห็นว่าด้วยบริบทของแต่ละพื้นที่ ในการก่อร่างขึ้นของวัฒนธรรมใหม่จากสิ่งใหม่คือกล้องถ่ายภาพ นวัตกรรมที่ในที่สุดไม่ได้เปลี่ยนแค่วิถีชีวิต แต่กลับเปลี่ยนวิธีการมองโลกและการบริโภคของเรา 

จากบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อเมริกาเป็นประเทศเกิดใหม่ เยอรมนีเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความทุ่มเท การ ‘ขาย’ นวัตกรรมก็มีนัยที่แตกต่างกัน และสร้างวัฒนธรรมในการใช้กล้องและมองภาพถ่ายในมุมที่แตกต่างกัน จากการจับแมสด้วยความง่ายและความสนุกแบบอเมริกัน กับการค่อยๆ แผ่ความนิยมจากพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง พื้นที่ของความเชี่ยวชาญและการทำงานหนักแบบเยอรมัน

ความแตกต่างนี้ ทุกวันนี้เราก็คงยังพอสัมผัสได้ Kodak ในยุคก่อนหน้ากับสีสันและความสนุกสนาน หรือไลก้า กับการเป็นกล้องของยอดฝีมือและงานภาพที่เข้มข้นจริงจัง

และนี่เป็นอีกครั้งที่ทรัพย์คัลเจอร์พาไปสำรวจเรื่องที่แสนธรรมดา และอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันคือการยกกล้องขึ้นถ่ายและยิ้มให้กล้อง หรือการที่เรายิ้มแสดงความสดใสในการถ่ายภาพหมู่ ถ่ายภาพกับเพื่อน รอยยิ้มธรรมดาที่จริงๆ เมื่อสืบสาวกลับไปก็กลับเต็มไปด้วยร่องรอยและกิจการที่ขายความสดใส เพื่อที่จะขายกล้อง และทำกล้องให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ของวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่กลายเป็นตัวเราในฐานะ ‘คนสมัยใหม่’ ของความเป็นสมัยใหม่ 

รอยยิ้มที่เรียบง่ายและปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง แท้จริงแล้วในรอยยิ้มนั้นมีนวัตกรรมของกล้อง มีกลยุทธ์ในการขายเทคโนโลยี มีนัยอันซับซ้อนของการเป็นตัวแทนของปรัชญาการใช้ชีวิต การพักผ่อน การสะสมห้วงเวลาที่ดี การบริโภคที่มีความสุขเป็นศูนย์กลาง

รอยยิ้มที่จริงๆ เราก็ยิ้มกันอยู่แล้ว แต่การยิ้มในกล้อง อาจเป็นเรื่องใหม่กว่าที่เราคิด

ภาพ Kodak Girl

อ้างอิง

CASIO VINTAGE ทำยังไงให้นาฬิกาดีไซน์เก่ายังคงอยู่บนข้อมือคนรุ่นใหม่

“เส้นแบ่งระหว่างของเก่าที่หมดคุณค่ากับของวินเทจที่ยังคงอยู่ร่วมยุคสมัยและในใจผู้คนคืออะไร”

เราตั้งคำถามนี้กับตัวเองเมื่อยืนอยู่ในงาน ‘Back In Time, Ahead In Style’ ที่จัดโดย CASIO VINTAGE อีกหนึ่งไลน์ผลิตภัณฑ์สำคัญของแบรนด์นาฬิกาจากแดนปลาดิบอย่าง CASIO นอกเหนือจาก G-SHOCK ที่หลายคนน่าจะรู้จักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

CASIO VINTAGE คือไลน์นาฬิกาที่นำโมเดลสุดคลาสสิกยุค 1970s-1980s ของ CASIO มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งโดยที่ยังคงรูปลักษณ์และเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้อย่างครบถ้วน โดยปรับเสริมบางจุดเช่น เทคโนโลยี วัสดุ คุณภาพ รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้ากับโลกในยุคปัจจุบัน

และไม่ใช่แค่การเอาของเก่ามาหากิน แต่ CASIO VINTAGE พยายามคิดไปไกลกว่านั้นด้วยการทำโปรเจกต์คอลแล็บสนุกๆ ออกมาสม่ำเสมอในช่วงหลัง อย่างล่าสุดที่คอลแล็บกับ Back to the Future เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หรือการคอลแล็บกับซีรีส์อย่าง Stranger Things ที่จะวางจำหน่ายธันวาคมนี้

ภายในงาน ‘Back In Time, Ahead In Style’ นอกจะเป็นการรวมตัวเหล่าคนรักสไตล์วินเทจแล้วยังเป็นคล้ายงานโชว์เคสของ CASIO VINTAGE ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ผลิตภัณฑ์ผ่านห้อง 3 ห้อง ไล่เรียงตั้งแต่ห้องยุค ’70s, ’80s และ ’90s โดยมีนาฬิกาโมเดลต่างๆ ที่วางจำหน่ายในแต่ละยุคแฝงตัวอยู่อย่างแนบเนียน

เซกชั่นหนึ่งก่อนพิธีเปิดงานเราได้นั่งพูดคุยกับทีมผู้บริหารจากญี่ปุ่นผู้อยู่เบื้องหลัง CASIO VINTAGE และนั่นคือโอกาสที่ทำให้เราได้หาคำตอบของคำถามในย่อหน้าแรก และได้คำตอบของคำถามสำคัญอีกข้อว่า “CASIO VINTAGE ทำยังไงให้นาฬิกาดีไซน์เก่ายังคงอยู่บนข้อมือคนรุ่นใหม่

1. เทรนด์แสนสั้น สไตล์ยืนยาว

เมื่อพูดถึงแฟชั่นเรามักนึกถึงการออกแบบตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามแต่ละช่วงเวลา แต่ Tomoaki Nakamura ผู้นั่งในตำแหน่ง Regional General Manager Sales and Marketing Timepiece Division CASIO Singapore บอกว่าสิ่งที่เป็นหัวใจของ CASIO VINTAGE ไม่ใช่การตามเทรนด์แต่เป็นเรื่องสไตล์

ต่อให้วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนเทรนด์ไปมากมายแค่ไหน แต่สไตล์เรโทรของผู้หลงใหลในงานวินเทจจะยังคงอยู่อย่างแข็งแรง เหนียวแน่น

“เราเชื่อว่าแม้เทรนด์จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่สไตล์แท้จริงจะไม่มีวันหายไป สำหรับเจนฯ Z หรือเจนฯ Alpha แล้ว CASIO VINTAGE อาจเป็นนาฬิกาที่พ่อแม่พวกเขาเคยใส่ แต่ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพที่ไว้ใจได้มันยังคงสอดคล้องกับค่านิยมและสไตล์การแต่งตัวของพวกเขาในวันนี้ เราหวังว่าพวกเขาจะสัมผัสถึงความคลาสสิกที่ยังคงข้ามยุคสมัยมาจนวันนี้ และอยากนำมันมาเป็นส่วนหนึ่งของสไตล์ตัวเอง

“เราเชื่อว่านี่คือเสน่ห์แท้จริงของ CASIO VINTAGE แม้เทรนด์จะเปลี่ยนไปแต่สไตล์ที่แท้จริงจะไม่มีวันจางหาย”

2. ไม่ได้แค่บอกเวลา แต่นาฬิกาเป็น lifestyle statement

หลายคนน่าจะเห็นภาพตรงกันว่าปัจจุบันนาฬิกาไม่ใช่เพียงเครื่องมือบอกเวลาเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นเครื่อง(ข้อ)มือในการสะท้อนตัวตน รสนิยม ไลฟ์ไตล์ ของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป บางแบรนด์สะท้อนรสนิยมหรูหรา บางแบรนด์สะท้อนการให้คุณค่ากับนวัตกรรม การค้นหาจุดยืนของแบรนด์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

“CASIO VINTAGE วาง positioning เป็นมากกว่านาฬิกา แต่มันคือไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่ให้ค่ากับความน่าเชื่อถือ มรดกด้านการออกแบบ และการใช้แฟชั่นในการแสดงตัวตน เราถ่ายทอดเรื่องราวนี้ผ่านการร่วมงานกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์อื่นๆ รวมถึงคอนเทนต์ภาพยนตร์และเกมที่สอดคล้องกับปรัชญาของ CASIO VINTAGE นั่นคือมีกลิ่นอายความคลาสสิก” Tomoaki Nakamura อธิบายถึงจุดยืน

นั่นเป็นที่มาของโปรเจกต์คอลแล็บต่างๆ ที่เลือกสรรแบรนด์ที่อยู่ในป๊อปคัลเจอร์ไม่ว่าจะเป็นเกม PAC‑MAN, ภาพยนตร์ Back to the Future หรือซีรีส์ Stranger Things ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และความสนใจของผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน

3. ใช้ cultural storytelling เล่าเรื่องผ่านวัฒนธรรมแฟชั่นและความทรงจำ

ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีดิสรัปต์ทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการนาฬิกา สมาร์ตวอตช์กลายเป็นไอเทมที่ผู้คนมองหา แล้ว CASIO VINTAGE ซึ่งเป็นนาฬิกาคลาสสิกปรับตัวยังไงคือสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม

สำหรับแบรนด์วินเทจ เราเชื่อว่าคุณค่าของฟังก์ชั่นคือสิ่งที่ผู้ใช้สัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันเสน่ห์ทางด้านการดีไซน์ก็สื่อสารกับผู้ใช้งานในอีกมิติ ลูกค้ายังคงยกย่องฟังก์ชั่น คุณภาพ และความทนทานของ CASIO VINTAGE อยู่เสมอ เราจึงเชื่อว่าทั้งสองด้านนี้ยังคงสอดประสานกันได้ดีในใจผู้บริโภค” Marie Yoshizawa ผู้ดูแลแบรนด์ในตำแหน่ง Brand Marketing Strategy Specialist ช่วยคลี่คลายคำตอบก่อนจะขยายความ

CASIO VINTAGE เติบโตขึ้นมาได้ก็เพราะชุมชนแฟชั่นและครีเอทีฟ เมื่อครั้งที่เราพัฒนานาฬิการุ่นแรก เราเน้นการใช้งานจริงและฟังก์ชั่น ไม่ได้คิดเรื่องแฟชั่น แต่กลุ่มคนรักแฟชั่นและครีเอทีฟกลับค้นพบ CASIO VINTAGE และเริ่มใส่มัน จนสร้างภาพจำว่าเป็นแฟชั่นวอตช์ ชุมชนเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อาศัยผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวอาจเข้าไม่ถึง นั่นเป็นสิ่งที่เรารู้สึกซาบซึ้ง”

4. ทำ collaboration เพื่อมุมมองใหม่ให้ดีไซน์เก่า

นอกจากการคอลแล็บจะช่วยสะท้อนตัวตนของแบรนด์แล้ว ในมุมของผลิตภัณฑ์การร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ที่มีความเชื่อสอดคล้องยังถือเป็นช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ดีไซน์เดิมๆ ของแบรนด์ด้วย

Mizuki Nomura ผู้ดูแลโปรเจกต์คอลแล็บต่างๆ ในฐานะ Brand Product Strategy Specialist บอกว่า “การคอลแล็บมีบทบาทสำคัญมาก เพราะเมื่อดีไซน์ คุณภาพ และคุณค่าที่สืบทอดจากยุค ’70s-’80s มาผสานกับสไตลิสต์หรือมุมมองของพาร์ตเนอร์ มันจะช่วยนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตัวเองเพียงลำพัง และการนำเสนอของโปรเจกต์เหล่านี้ช่วยทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดแบรนด์มากขึ้น”

5. ไม่ลืมอดีต แต่ไม่ปฏิเสธอนาคต

แม้จะบอกว่าเทรนด์ไม่ใช่หัวใจหลัก แต่ CASIO VINTAGE ก็ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งสำคัญคือการไม่ลืมดีเอ็นเอที่แท้ของแบรนด์และมองหาว่าท่ามกลางเทรนด์และดาต้ามากมาย มีสิ่งใดที่แบรนด์สามารถหยิบจับมาใช้ประโยชน์และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้บ้าง

Shinji Saito ผู้บริหารในตำแหน่ง General Manager, Product Planning Department บอกว่า “เทรนด์คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนา

“นักออกแบบจะศึกษาหลากหลายเทรนด์แล้วเสนอไอเดียให้ทีมวิศวกร ตัวอย่างเช่น หลายวัสดุหรือรูปแบบที่ใช้ในเสื้อผ้าหรือรองเท้าอาจใช้ไม่ได้กับนาฬิกา ดังนั้นการพัฒนาเชิงเทคนิคอย่างละเอียดจึงจำเป็นเพื่อให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้นได้จริง เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ดีและไทม์เลสบางโมเดลของ CASIO VINTAGE เริ่มได้รับความนิยมในยุโรป เราจึงไม่จำเป็นต้องสร้างดีไซน์ใหม่ทั้งหมด แต่ใช้วิธีค้นดีไซน์ที่เรามีแล้วนำกลับมาปรับให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ท่ามกลางกระแสย้อนยุค เราอาจจะแค่ปรับสีสันและวัสดุเพื่อให้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบัน

“แนวทางของ CASIO VINTAGE เรียบง่ายมาก เราเสาะหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม มุ่งแสวงหาคุณค่าที่เป็นสากล ทั้งความสะดวกและการใช้งานที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาแก่นความเหนือกาลเวลาเอาไว้ด้วย”

5 กลยุทธ์พาค้าปลีกท้องถิ่นรอดหลังห้างในตำนานปิดตัว

ไม่นานมานี้ ‘ตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู’ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในความทรงจำของใครหลายคนได้ประกาศปิดตัวลง หลังเปิดให้บริการมายาวนานถึง 63 ปี นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งรวมอุปกรณ์งานฝีมือและงานเย็บปักถักร้อยจากการตั้งอยู่ในย่านบางลำพูซึ่งโดดเด่นเรื่องแหล่งขายผ้าแล้ว ห้างแห่งนี้ยังจำหน่ายสารพัดของใช้ในบ้าน โดยมีตั้งแต่แผนกเครื่องเขียน เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต

เสน่ห์ของตั้งฮั่วเส็งคือความเป็นห้างสายงานฝีมือที่มีอุปกรณ์ให้เลือกแทบทุกชนิด ตั้งแต่เข็ม ด้าย ไปจนถึง Hobby Zone ที่มีครูสอนงานเย็บปักถักร้อยแบบจริงจัง ทำให้ลูกค้าขาประจำที่เติบโตมากับห้างแห่งนี้รู้สึกผูกพันและแวะเวียนกลับมาซื้อของในที่ที่คุ้นเคยอยู่เสมอ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งฮั่วเส็งพยายามปรับตัวไม่น้อย ทั้งการขยายสาขาสู่ ‘ตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี’ การสร้างเว็บไซต์ tanghuaseng.com รวมถึงการมองหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุนพัฒนาพื้นที่ใหม่ๆ แต่ความจริงที่เลี่ยงไม่ได้คือกลุ่มลูกค้าหลักในย่านบางลำพูซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ จึงนำไปสู่การปิดตัวในที่สุด

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดโมเดิร์นเทรด นี่คือสองความท้าทายหลักที่ทั้งห้างท้องถิ่นในเมืองใหญ่และห้างภูธรในต่างจังหวัดกำลังเผชิญ

ความท้าทายแรก-การบุกของผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่

แม้ตั้งฮั่วเส็งจะมีจุดขายชัดเจนเรื่องของงานเย็บปักถักร้อย แต่เมื่อต้องแข่งกับห้างทุนใหญ่ที่ทันสมัยกว่า ครบครันกว่า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากกว่า ผู้คนย่อมเลือกเดินห้างใหญ่เป็นธรรมดา ห้างภูธรซึ่งเคยได้เปรียบในฐานะเจ้าถิ่นประจำแต่ละจังหวัดก็ไม่ต่างกัน เพราะการเติบโตของเมืองและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดใหญ่กลายเป็นพื้นที่น่าลงทุนของบิ๊กซี เทสโก้ โลตัส และกลุ่มเซ็นทรัล ที่ต่างขยายศูนย์การค้าขนาดใหญ่พร้อมคอนเซปต์เฉพาะพื้นที่ จนห้างท้องถิ่นต่างต้องวางแผนปรับตัวและคำนึงถึงความเสี่ยงในอนาคต

ความท้าทายถัดมา-ผลกระทบจาก digital disruption

กระแส e-Commerce ยิ่งเร่งให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปซื้อของออนไลน์มากขึ้น แวะมาเดินเล่นห้างเก่าแก่น้อยลง ทั้งนี้การปรับตัวของห้างท้องถิ่นไม่ได้จบแค่การเปิดเว็บไซต์ แต่ต้องรวมถึงการยกระดับระบบหลังบ้าน การนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารสต็อกและข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงการออกแบบประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์ได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมหลายแห่งมักปรับตัวตามไม่ทัน

แม้แต่ห้างเก่าแก่ในความทรงจำของใครหลายคนอย่างตั้งฮั่วเส็งยังปรับตัวไม่ทัน แล้วผู้ประกอบการเจ้าของห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นไปจนถึงค้าปลีกในแต่ละพื้นที่จะปรับตัวได้ยังไงบ้าง 

ตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู
รูป : Facebook ตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู

นี่คือ 5 กลยุทธ์ที่ค้าปลีกท้องถิ่นจำเป็นต้องทำ ถ้าไม่อยากกลายเป็นเพียงภาพจำในอดีต โดยอิงจากเคสที่พลิกฟื้นห้างท้องถิ่นสำเร็จจนมีลูกค้าแวะเวียนมาเยอะขึ้นจริง

1. สร้างพื้นที่กิจกรรมให้คนอยากอยู่ต่อไม่ใช่แค่แวะซื้อของ

หลายห้างเริ่มเห็นแล้วว่าการพึ่งร้านเช่าอย่างเดียวไม่ช่วยให้ห้างกลับมาคึกคัก ‘สหไทย สุราษฎร์ธานี’ จึงเป็นห้างภูธรที่เลือกเดินเกมสวนกระแส ด้วยการสร้างฟิตเนสด้วยตัวเองแทนที่จะรอผู้เช่า แม้ไม่เคยทำธุรกิจสายนี้มาก่อน แต่ยอมลงแรงเรียนรู้ตั้งแต่การสังเกตพฤติกรรมลูกค้า ไปจนถึงการแก้ปัญหาหน้างานจริง ผลที่ตามมาคือฟิตเนสกลายเป็นพื้นที่ยืดเวลาที่ทำให้คนยอมเดินขึ้นไปถึงชั้นบน และเปิดทางให้จำนวนคนเดินห้างกลับมาคล่องขึ้นตามลำดับ

2. ถ้าหาผู้เช่าไม่ได้ ก็สร้างบริการของตัวเองให้เป็นแม่เหล็กดึงดูด

นอกจากฟิตเนสแล้ว เมื่อไม่มีผู้เช่ารายใหญ่เจ้าอื่น ห้างสรรพสินค้าอย่างสหไทยจึงเปิดร้านเองเกือบทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ร้านอาหาร ไปจนถึงสนามเด็กเล่น การลงมือสร้างบริการด้วยตัวเองทำให้ห้างเริ่มกลับมาคึกคัก ไม่ต้องรอคนอื่นมาช่วย พอคนเดินมากขึ้น ร้านค้าอื่นๆ ก็เริ่มหันกลับมาให้ความสนใจ และบางรายถึงขั้นเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาเป็นผู้เช่าเอง นี่คือสูตรที่พิสูจน์แล้วว่า สร้างทราฟฟิกให้ติดก่อน แล้วร้านเช่าจะตามมาเอง

3. ใช้ออนไลน์เป็นอาวุธ ไม่ใช่เพียงช่องทางสำรอง

แสงทองซูเปอร์เซ็นเตอร์ ห้างสำคัญในจังหวัดระยองเคยเจอผลกระทบหนักช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19 จนต้องทดลองขายออนไลน์แบบเร่งด่วน แม้จะพบปัญหาออร์เดอร์ล้นตั้งแต่วันแรก แต่ไม่ยอมถอย พอห้างกลับมาเปิดตามปกติ ระบบออนไลน์ที่เคยเป็นทางแก้ชั่วคราวกลับกลายเป็นเสาหลักใหม่ รายได้ผ่านแอพฯ เติบโตสวนทางกับรายได้หน้าร้านที่ลดลง นี่คือบทเรียนสำคัญว่า ค้าปลีกท้องถิ่นจะรอดได้ด้วยการปรับระบบหลังบ้าน ไม่ใช่แค่เปิดเพจแล้วโพสต์ขาย

4. เลือกสู้ในสนามที่ตัวเองได้เปรียบ ไม่วิ่งตามทุนใหญ่

พวงทอง ห้างค้าปลีกเจ้าถิ่นในอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่เคยพยายามเป็นห้างสมัยใหม่แข่งกับทุนใหญ่ แต่เลือกยืนในจุดที่ตัวเองได้เปรียบที่สุด คือการเข้าถึงชุมชนแบบใกล้ชิดและลงมือเร็ว เวลามีคู่แข่งรายใหญ่เปิดใหม่ ห้างพวงทองหลายสาขาเลือกบุกสวนทันทีด้วยการลดราคาแบบจัดหนักเพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุนใหญ่ที่ต้นทุนสูงกว่าไม่สามารถทำตามได้ในระดับความเร็วเดียวกัน นี่คือการตั้งกติกาใหม่ในสนามของตัวเอง ไม่ยอมลงไปเป็นมวยรองในเกมที่คนอื่นถือไพ่เหนือกว่า

5. ใช้ความเป็นท้องถิ่นสร้างเอกลักษณ์ที่เจ้าใหญ่เลียนแบบยาก

ดิโอลด์สยามในเขตพระนครมีตลาดขายขนมไทยและร้านผ้าไทยที่คนในย่านคุ้นชินมาเป็นเวลานาน หรือสหไทยก็ทำ Everyday Market รวมร้านท้องถิ่นกว่า 100 ร้าน ตั้งแต่ขนมโบราณ เสื้อผ้า ทำมือ ไปจนถึงของฝากพื้นเมืองให้กลายเป็นโซนที่คนจังหวัดรู้สึกผูกพันจนไม่อยากเดินที่อื่น การรวบธุรกิจเล็กๆ ในชุมชนขึ้นมาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ทำให้ห้างแตกต่างจากศูนย์การค้าที่หน้าตาเหมือนกันทั่วประเทศ และยิ่งตอกย้ำความเป็นห้างของคนในพื้นที่จริงๆ

การปิดตัวของตั้งฮั่วเส็งคือสัญญาณชัดว่าห้างดั้งเดิมไม่อาจอยู่รอดได้ด้วยความคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว โลกค้าปลีกวันนี้ต้องการมากกว่านั้น และสิ่งที่เห็นจากห้างท้องถิ่นที่ยังรอดอยู่คือการเลือกปรับตัว รู้ว่าควรแข่งตรงไหน ควรสร้างอะไรขึ้นใหม่ และควรดึงรากของตัวเองมาใช้ยังไง ถ้าเดินให้ไวและลงมือจริง ค้าปลีกท้องถิ่นก็ยังมีโอกาสกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

อ้างอิง

เคล็ดลับไม่มีหลอกของ ‘Casper Schools’ โรงเรียนที่สอนให้เป๊ะทุกงานดีไซน์ตั้งแต่นับ 1

โรงเรียนสอนดีไซน์นี้มีชื่อจำง่ายแค่ 4 พยางค์คือ ‘Casper Schools’ 

แม้ชื่อแคสเปอร์จะหมายถึงคาแร็กเตอร์ผีน้อยน่ารักแห่งโลกฮอลลีวูด แต่อีกนัยหนึ่งชื่อแคสเปอร์ยังหมายถึง ‘ผี’ ที่ทำงานและคอยซัพพอร์ตให้แบรนด์ต่างๆ เติบโตในโลกธุรกิจ

Casper Schools ก่อตั้งโดย ทู–วรินรำไพ วาสินานนท์, ตี้–วรินลดา วาสินานนท์ และกฤษฏ์–กฤษฏ์ การสมดี ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมดีไซน์เอเจนซีอย่าง Casper House ที่ตัดสินใจเปิดอีก business unit เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังก้าวสู่เส้นทางธุรกิจหรือคนที่สนใจในงานดีไซน์ ด้วยหลักสูตรที่นำไปใช้งานได้จริง และปรับมายด์เซตผู้เรียนให้เห็นว่างานสร้างสรรค์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด

งานออกแบบที่ดีเป็นยังไง, อยากดีไซน์เป็นต้องเริ่มจากตรงไหน, สร้างคอนเทนต์ยังไงให้สื่อสารตรงเป้าถึงผู้รับ, เลือกฟอนต์ยังไงให้เข้ากับแบรนดิ้ง ฯลฯ โจทย์ไหนที่ว่ายากเหมือนเห็นผี Casper Schools นำมาย่อยให้เข้าใจง่ายผ่านคอร์สหลักสูตรการสอน 

มากกว่านั้นคือการปรับมายด์เซตเสียใหม่ ว่างานครีเอทีฟและดีไซน์ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องเข้าใจถึง ‘จุดประสงค์’ ที่ลงมือทำ 

เคล็ด (ไม่) ลับที่ทำให้คนทำธุรกิจเข้าใจเรื่องงานครีเอทีฟและดีไซน์ฉบับการเรียนการสอนของแคสเปอร์สคูลส์เป็นแบบไหน เราชวนทูและตี้ 2 ใน 3 ผู้ก่อตั้งมาแถลงไขให้กระจ่างผ่านบทสนทนานี้ 

การันตีว่าว่าไม่มีหลอกให้ขวัญกระเจิงแน่นอน…

คนเอเจนซีที่อยากให้คนทำธุรกิจเข้าใจเรื่องงานครีเอทีฟดีไซน์

“เราอยากให้ผู้ประกอบการธุรกิจหรือคนทำงานเข้าใจเรื่องงานดีไซน์มากขึ้น” 

ทูเริ่มต้นบทสนทนาโดยมีตี้นั่งอยู่ข้างๆ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเองภายในออฟฟิศของ Casper House ที่ตั้งอยู่ ณ ย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งอีกครึ่งหนึ่งของออฟฟิศถูกแบ่งสัดส่วนไว้สำหรับเป็นสตูดิโอที่หยุ่นทั้งการทำงานและการเป็นห้องเรียน

Casper เริ่มต้นจากการเป็นดีไซน์เอเจนซีที่ให้คำปรึกษาเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding), การออกแบบอัตลักษณ์แบรนด์ (Corporate Identity), การออกแบบคอนเทนต์เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ (Content Marketing), การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ไปจนถึงการถ่ายภาพและวิดีโอ (Photography and Videography) 

ถึงกระนั้นสิ่งที่ทูและอีก 2 ผู้ก่อตั้งตกผลึกทางความคิดร่วมกันหลังทำงานในชายคา Casper House มาตลอด 7 ปี คือลูกค้าที่เป็นเจ้าของธุรกิจ SME ยังขาดความเข้าใจพื้นฐานเรื่อง ‘ดีไซน์’ ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ความเข้าใจในการใช้โปรแกรม แต่หมายถึงความเข้าใจในงานดีไซน์ที่หยิบยกไปใช้ในงานธุรกิจได้

“มายด์เซตของผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่มักแยกเรื่องของ business กับ design ออกจากกัน คือเรื่องธุรกิจก็เรื่องธุรกิจ เรื่องของดีไซน์ความสวยงามก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ค่อยลงลึกเรื่องความสำคัญของการดีไซน์ วิชาที่เราเรียนกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมส่วนใหญ่เป็นเรื่องของศิลปะ นั่นทำให้คนไทยเชื่อมโยงเรื่องของศิลปะกับการดีไซน์เข้าด้วยกัน ทั้งที่จริงในต่างประเทศเขามองเรื่องของการออกแบบเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาในโลกธุรกิจ ซึ่งมีทั้งเหตุและผลรองรับเป็นระบบ 

“เราค้นพบว่าลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาส่วนใหญ่เผชิญกับปัญหาที่ว่า เราในฐานะที่เป็นดีไซน์เอเจนซีจึงมีหน้าที่ตีโจทย์และใช้เรื่องการออกแบบแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เช่น ถ้ารู้สึกว่าตัวตนของแบรนด์ไม่ชัดเจนว่าแบรนด์เราเป็นใคร ก็ต้องกลับไปทำ brand strategy ใหม่, ถ้ารู้สึกว่าดีไซน์ของแบรนด์ไม่ชัดหรือไม่ตรงกับตัวตนแบรนด์ ก็อาจจะต้องทำ brand identity ให้ตอบโจทย์ความเป็นแบรนด์มากขึ้น หรือถ้าตัวตนชัดและอยากสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ อยากให้เกิด brand lover ก็อาจจะต้องทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพให้สม่ำเสมอ”

“เราเชื่อว่าเรื่องของดีไซน์ ธุรกิจ และกลยุทธ์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้มันควรจะต้องไปด้วยกัน ดังนั้นเราอยากให้ลูกค้าและใครหลายๆ คนเข้าใจคอนเซปต์ตรงนี้ด้วย ไม่ใช่พาร์ตดีไซน์ไปอีกทาง พาร์ตธุรกิจไปอีกทาง” ทูกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ตี้กล่าวเสริมอีกว่าไม่ใช่แค่ฝั่งคนทำธุรกิจเท่านั้นที่ควรปรับความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดีไซน์และธุรกิจ ฝั่งนักศึกษาหรือคนที่จบหลักสูตรดีไซน์เองก็ยังต้องปรับมายด์เซตตรงจุดนี้เช่นกัน 

“อย่างน้องๆ นักศึกษาที่เรียนจบด้านดีไซน์ ตอนเรียนเขาอาจจะเจอโจทย์จากอาจารย์แค่เรื่องการนำเสนอคอนเซปต์ ไอเดียสดใหม่ไหม เป็นไอเดียออริจินอลที่ไม่ซ้ำกับใคร แต่พอมาทำงานจริงสมมติต้องทำโพสต์โซเชียลฯ ที่มีบรีฟชัดเจนสักชิ้น ปรากฏว่าไอเดียที่น้องนำมาเสนอมันไม่ตอบโจทย์กับความเป็นธุรกิจ คือเป็นไอเดียที่ดีนะ แต่ดูแล้วไม่สามารถเข้าใจได้ทันที คืองานออกแบบที่ดีควรทำให้คนเห็นเข้าใจโดยที่ไม่ต้องอธิบาย หมายความว่างานนั้นให้น้ำหนักความเป็นอาร์ตมากไป หรือเป็นงานที่ดีไซน์ซับซ้อนจนไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง   

“ต้นเหตุอาจจะมาจากการถูกปลูกฝังตลอดระยะเวลา 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย ว่าการออกแบบตามโจทย์ ที่ตรงตัวหรือเข้าใจง่ายเกินไปมันจะดูธรรมดา แต่ในชีวิตจริงสิ่งสำคัญที่คนดีไซน์ควรคำนึงถึงคือเรื่อง ‘user experience’ (ประสบการณ์ใช้งาน) เรียบง่ายก็จริงแต่สามารถสื่อสารออกไปได้ตรงจุด ปรับวิธีการทำงานให้เข้ากับโจทย์ แล้วอนาคตถ้ามีโปรเจกต์ส่วนตัวจะใส่ความเป็นตัวเองเต็มที่ก็ยังได้”

ออกแบบหลักสูตรที่คำนึงถึง ‘การใช้งานจริง’ มากกว่า ‘รู้ไว้ใช่ว่า’

จากความตั้งใจนั้นเอง Casper House จึงขยายบ้านอีกหลังที่ชื่อว่า Casper Schools โรงเรียนสอนหลักสูตรงานครีเอทีฟดีไซน์ 

หลักสูตรของ Casper Schools ณ เวลานี้แบ่งออกเป็น 2 พาร์ต นั่นคือ Practical พาร์ตที่สอนวิธีคิดและวิธีการทำงานออกแบบซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ทันที และ Program Design พาร์ตที่สอนการปฏิบัติใช้โปรแกรมดีไซน์ประเภทต่างๆ อย่างถึงพริกถึงขิง

 อย่างไรก็ดี ทูและตี้นิยามการเรียนการสอนของ Casper Schools ว่าเป็นการพาผู้เรียน ‘ค้นหา’ ว่าแท้จริงเป้าหมายในการเรียนของตนเองคืออะไร เพื่อให้การเรียนนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและนำไปต่อยอดใช้งานได้จริง 

“เรา 2 คนน่าจะคิดแบบเดียวกันคือ practicality ทั้งในมุมที่เป็นฝั่งเอเจนซีและในมุมที่เป็นฝั่ง school เพราะเราอยากสอนอะไรที่ใช้ได้จริง ทั้งในมุมที่เป็นฝั่งเอเจนซีและในมุมที่เป็นฝั่ง school เพราะเราอยากสอนอะไรที่ใช้ได้จริง และฟีดแบ็กส่วนใหญ่ของผู้เรียนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันใช้ได้เลย 

“โดยรวมเราจึงให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นลำดับแรก คือคุณเรียนรู้เครื่องมือของโปรแกรมอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายเรื่องของโปรแกรมมันเป็นแค่ปลายทาง เพราะสิ่งสำคัญจริงๆ คือเรื่องของวิธีคิดและวิธีการทำงาน

“อย่างการทำงานเรามองว่าไม่ควรให้เครื่องมือเป็นตัวกำหนด บางคนอาจจะใช้โปรแกรมนี้ไม่เป็น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นนักออกแบบที่เก่งไม่ได้ หรือบางคนอาจจะใช้โปรแกรมเป็นแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นนักออกแบบ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามสื่อสารผ่านในคลาสและการทำคอนเทนต์ในเพจของเรา” ทูกล่าวให้เราฟัง

หากเปิดเข้าไปในหน้าเว็บไซต์ casperschools.co จะพบว่ามีคลาสการเรียนการสอนที่น่าสนใจให้เลือกไม่น้อย เช่น Idea Visualization with Mood Board: เปลี่ยนไอเดียให้เป็นภาพจริงด้วยการทำมู้ดบอร์ด, A Comprehensive Color Theory: Unlocking The Power of Color ไขรหัสทฤษฎีสีเพื่อการใช้สีอย่างมีหลักการ, Designing Social Media Artwork: ออกแบบอาร์ตเวิร์กโซเชียลมีเดียให้สวยงาม และตอบโจทย์ ฯลฯ 

หัวข้อของแต่ละคอร์สที่กล่าวมามีความจำเพาะเจาะจงถึงวัตถุประสงค์การใช้งาน มากกว่าการใช้ชื่อโปรแกรมเป็นหัวข้อ ซึ่งทูอธิบายว่าการออกแบบการเรียนการสอนในลักษณะนี้ทำให้ผู้เรียนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าตนเองเหมาะสมกับคลาสไหน

“สมมติคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องเรียนอะไร เราจะมีแอดมินช่วยแนะนำว่ามีหลักสูตรอะไรบ้างที่เหมาะสม หรือถ้าเป็นมือใหม่อยากเรียนรู้เรื่องดีไซน์ก็มีจะคอร์สปูพื้นฐานตั้งแต่การปรับมายด์เซต หรือถ้าทำธุรกิจก็อาจจะข้ามเรื่องมายด์เซตแล้วไปเรียนรู้หลักสูตรที่นำไปใช้งานได้จริง เช่น คอร์สที่เกี่ยวกับการทำมู้ดบอร์ดหรือคอร์สที่เกี่ยวกับ designing social media ซึ่งเราย่อยออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุด

“อย่างคอร์สที่เป็นซิกเนเจอร์ของเราคือ ‘คอร์สสอนการทำแบรนดิ้ง’ ซึ่งจะสอนตั้งแต่พาร์ตธุรกิจจนนำไปสู่พาร์ตการออกแบบ เช่น การทำ CI brand กับอีกคอร์สคือ ‘Idea Visualization With Moodboard’ แต่ละคอร์สที่ว่าเราใช้เวลาในการคิดกันนาน คิดกันเยอะมาก บางคอร์สเราอยากเล่าทั้งหมดแต่ต้องตัดทิ้งเพราะกลัวนักเรียนจะโฟกัสได้ไม่หมดก็มี”

ตี้เสริมว่าการสอนภาคปฏิบัติของ Casper Schools ที่เธอดูแล ไม่ใช่การจับมือนักเรียนให้ทำตามทีละขั้นตอน แต่ระหว่างทางยังมีการสอดแทรกให้ฟังตลอดทางว่าโปรแกรมที่กำลังเรียนรู้อยู่นำไปต่อยอดสร้างสรรค์อะไรได้บ้าง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการอุด pain point ที่เธอเคยเจอในอดีต

“เราเคยสมัครเรียนโปรแกรมดีไซน์กับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ สิ่งที่เราเจอคือเขาให้เราเปิดโปรแกรมแล้วกดเครื่องมือตามเขาไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์คือเราไม่รู้จะเอาเครื่องมือนี้ไปใช้อะไรต่อในชีวิตจริง พอตกผลึกเราถึงรู้ว่าการสอนโดยเริ่มจากปลายทางมันดีกว่า เช่น เราอยากจะดีไซน์กล่องกล่องหนึ่งมันมีวิธีไหนได้บ้าง มากกว่ารู้แค่ว่าโปรแกรมนี้ทำอะไรได้บ้าง ไม่งั้นนักเรียนจะไม่รู้ว่าควรหยิบสิ่งที่รู้มาใช้ตอนไหน หรือนักเรียนที่เข้าใจได้ช้ากว่าก็อาจจะตามไม่ทันเลย

“กับการสอนของเราซึ่งเป็นการสอนเรื่องแนวคิดการออกแบบที่ไม่ใช่โปรแกรม จะเน้นการวิเคราะห์งานชิ้นนั้นๆ มากกว่าชวนกันนั่งจำทฤษฎี ข้อดีคือทำให้นักเรียนเห็นแนวคิดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของการดีไซน์งานชิ้นนั้น ซึ่งตัวอย่างที่เรายกไม่ใช่ผลงานที่เราเคยทำมา แต่เป็นงานรางวัลระดับโลกที่ประสบความสำเร็จได้รับรางวัล เพื่อเปิดมุมมองให้คนที่กำลังจะเข้าสู่สายงานนี้ได้เห็นว่าปลายทางของงานออกแบบที่ดีเป็นแบบไหน และทำให้เขาเข้าใจสายงานที่กำลังเดินอยู่มากขึ้น”

Casper School ที่ต้องเติม S

อย่างที่เกริ่นนำไปว่าชื่อ Casper House และ Casper Schools นั้นมีที่มาจากชื่อตัวการ์ตูนผีน้อยผู้น่ารักอย่างแคสเปอร์ แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่าคำหลังของชื่อ Casper Schools มีการเติม ‘s’ ต่อท้าย ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นต้องเติมก็ได้ 

ทั้งสองเฉลยว่า สาเหตุที่มีการเติม s ลงไปนั้น เพราะในอนาคตพวกเขาอยากเป็นมากกว่า School of Design ซึ่งอาจแตกแขนงไปสู่ business unit ใหม่ภายใต้ร่มความเป็น Casper เช่น School of Business

นอกจากการแตกแขนงแบรนด์หรือเรื่องหลักสูตร อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่ Casper ออกแบบ ‘สถานที่’ ให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งาน สามารถขยับการเรียนการสอนไปได้ทั่วทุกมุมห้อง ดังนั้นเราจึงเห็นวิธีดีไซน์สถานที่ของพวกเขาในแบบ ‘สไตล์มินิมอล’ ให้ความรู้สึกน้อยแต่มาก

“เราคุยกันว่าอยากออกแบบสถานที่ให้ยืดหยุ่นมากที่สุด” ตี้เล่าถึงดีไซน์ของห้องเรียนภายใน Casper Schools 

“จะเห็นว่าทุกมุมสามารถทำเป็นห้องการเรียนการสอนได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าการทำงานของฝั่งเอเจนซีจะกระทบ สมมติเราอยากใช้ตรงนี้สอนเราก็ย้ายพนักงานไปอีกห้อง หรืออยากใช้ตรงนี้เป็นสตูเราก็แค่เซต Limbo (Paper Background) ขึ้นมาเพื่อเป็นแบ็กกราวด์ถ่ายงาน

“และด้วยความที่ห้องมันเป็นสีขาวทั้งหมดทำให้เราลงมือทำอะไรก็ได้ สมมติเราอินเรื่องนี้มากๆ แล้วอยากลงมือทำก็ทำได้เลย เราก็แค่เซตพื้นที่นิดหน่อย และถ้าวันหนึ่งเราไม่อยากทำต่อก็แค่ปรับพื้นที่กลับเหมือนเดิม อีกแง่คือสีขาวมันให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง พร้อมสำหรับการเรียน การทำงาน” 

ด้วยดีไซน์นี้บรรจบกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความสบายใจตลอดระยะเวลา 4-8 ชั่วโมงในคลาส แม้คลาสนั้นจะมีนักเรียนมากถึง 10-20 คนก็ตาม

เพื่อนที่เข้าใจคนรักงานครีเอทีฟดีไซน์

อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คนรู้จัก Casper Schools เป็นที่รู้จัก คือการทำคอนเทนต์วิดีโอสั้นๆ และไลฟ์ให้ความรู้เกี่ยวกับแง่คิดเรื่องครีเอทีฟดีไซน์ที่ทูและตี้ทำร่วมกันเป็นประจำ ผลพลอยได้จากการทำคอนเทนต์ลักษณะนี้ คือการส่งต่อความรู้ความเข้าใจแก่คนที่กำลังตกหล่มเรื่องงานครีเอทีฟดีไซน์ บ้างก็ได้แรงบันดาลใจในสร้างสรรค์ผลงาน บ้างก็ได้ไอเดียไปต่อยอดจากไอเดียที่มีอยู่ 

@casper.schools

ตัวอักษรแต่ละแบบ มีน้ำหนัก จังหวะ และบุคลิกของตัวเอง 💥 Typography คือศาสตร์ที่จะช่วยให้เรา “มองเห็น” สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ตั้งแต่ระยะห่างเพียงเส้นเดียว ไปจนถึงอารมณ์ของข้อความที่ส่งถึงคนดู คอร์สนี้ไม่ได้สอนให้จำชื่อฟอนต์ แต่จะสอนให้เข้าใจว่าทำไมฟอนต์หนึ่งถึงพูดด้วย “น้ำเสียง” ที่ต่างจากอีกฟอนต์หนึ่ง Understanding the Art of Typography: คอร์สนี้จะเปลี่ยนวิธีที่คุณมองตัวอักษรไปสิ้นเชิง! จากเลือกฟอนต์ตามความรู้สึก 👉🏻 สู่การเข้าใจโครงสร้าง พลัง และการใช้งานแบบมืออาชีพ🔥👀 เรียนแล้วจะได้อะไร? 🔠 เข้าใจโครงสร้างและหลักการของ Typography 📐 จัดวางตัวอักษรให้สื่อสารชัด ตรงจุด และดูเป็นมืออาชีพ 👁️ ฝึกมองเห็นความต่างระหว่าง “สวย” กับ “โปร” 🛠️ ใช้ฟอนต์และ Hierarchy แบบนักออกแบบจริงๆ 💬 เหมาะกับทั้งดีไซเนอร์ทุกสาย นักเรียนออกแบบ และเจ้าของแบรนด์ที่อยากเข้าใจ Typography แบบลึกซึ้ง 👓 เรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ 🗂️ มีเอกสารประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด 🖥️ วิดีโอความยาว 4 ชั่วโมง 🗓️ สามารถจัดการเวลาเรียนเองได้ ⏰ คอร์สเรียนมีอายุ 18 เดือน นับจากวันที่สมัคร #typography #onlinecourse #casperschools

♬ original sound – Casper Schools – Casper Schools

“จริงๆ การที่เราทำคอนเทนต์ลงบนโซเชียลฯ เป็นเหมือนการแนะนำแบรนด์ให้คนนอกเห็น ว่าถ้าเขาเข้ามาเรียนจะเจอกับบรรยากาศประมาณไหน ซึ่งสิ่งที่เราพยายามนำเสนอคือเราไม่ได้เป็นกูรูที่จะมาบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เราจะมาแบ่งปันเนื้อหาที่มีประโยชน์ และไม่ถูกตัดสินว่าคุณมีความรู้เรื่องพื้นฐานดีไซน์เท่านี้คุณต้องไปเรียนคลาสนี้สิ หรือคุณไม่ได้เป็นดีไซเนอร์คุณจะมาเรียนคลาสนี้ทำไม โดยรวมคือแค่คุณอยากมีทักษะครีเอทีฟดีไซน์คุณก็มาเรียนได้ ที่ผ่านมาถึงมีผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจมาลงเรียนกับเราเยอะมาก บางคนกลับไปเลือกที่จะซื้อคลาสให้พนักงานมาลงเรียนเพิ่มก็มี

“ส่วนเนื้อหาคอนเทนต์ที่เราเลือกจะเน้นไปที่คอนเทนต์ที่มีประโยชน์ ทำให้คนที่เข้ามาดูเหมือนมาเจอเพื่อน หรือรู้สึกว่าเราเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ ซึ่งฟีดแบ็กที่ได้กลับมาส่วนใหญ่บอกกับเราว่า คอนเทนต์ของเราทำให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ไม่ว่าจะการทำงาน หรือน้องๆ นักศึกษาที่กำลังทำทีสิส เขาบอกกับเราว่าตอนหนูคิดงานไม่ออกหนูจะเข้ามาดูเพจของแคสเปอร์ แล้วก็นั่งอ่านไปเรื่อยๆ จนเขาเหมือนได้รีเฟรชตัวเอง และได้ไอเดียบางอย่างกลับไป” ทูเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองยังบอกกับเราว่า ประโยชน์จากการทำคอนเทนต์ยังทำให้ได้ไอเดียและรู้ว่าเทรนด์โลกกำลังไปในทิศทางไหน เหล่านี้คือ ‘สารตั้งต้นชั้นดี’ ในการออกแบบคอร์สใหม่ๆ ในอนาคต 

“เราไม่ได้อยากเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เราอยากให้ Casper Schools เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่อยากเรียนหรือทำงานในสายครีเอทีฟดีไซน์ โดยที่ความรู้จากเราสามารถนำไปปรับใช้ได้ตลอดชีวิต” ทูทิ้งท้ายบทสนทนาของเธอและทีม

ในอนาคตเราอาจได้เห็นผีน้อยตัวนี้เสกหลักสูตรดีไซน์มากมายนับไม่ถ้วน เพราะอย่างว่า ผีเองก็แปรเปลี่ยนไปตามจินตนาการ แต่เรื่องของความคิดสร้างสรรค์เองจะเกิดขึ้นได้หากทิ้งความกลัวและกล้าที่จะศึกษาพร้อมลงมือทำ      

เมื่อสงครามสุกี้เดือดไม่หยุด ‘สุกี้ตี๋น้อย-โบนัสสุกี้-ลัคกี้สุกี้’ ใช้กลยุทธ์อะไรมาดวลกัน

ถ้าจะบอกว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ตลาดชาบู-สุกี้แข่งขันกันดุเดือดที่สุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะเราต่างเห็นแบรนด์น้อยใหญ่งัดทุกกระบวนท่ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งทำสงครามราคา เปิดตัวเมนูใหม่ ไปจนถึงการขยับขยายสาขาให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุด ทำให้ตลาดชาบู-สุกี้ในปีนี้มีมูลค่าสูงกว่า 23,000-25,000 ล้านบาท

เจ้าใหญ่ในตลาดตอนนี้คงหนีไม่พ้น ‘สุกี้ตี๋น้อย’ แบรนด์ที่เริ่มจากร้านเล็กๆ สู่การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ‘โบนัสสุกี้’ แบรนด์น้องใหม่ไฟแรงจากเจ้าตลาดเดิมอย่าง MK และ ‘ลัคกี้สุกี้’ แบรนด์ม้ามืดที่น่าจับตามอง

Recap ในวันนี้จึงขอพามาวิเคราะห์กลยุทธ์ของทั้ง 3 แบรนด์ยักษ์ในสมรภูมิสุกี้เดือดแบบหมัดต่อหมัด ว่าแบรนด์ไหนงัดจุดแข็งอะไรมาดวลกันบ้าง

วิเคราะห์กลยุทธ์สุกี้ตี๋น้อย

จุดเด่นของสุกี้ตี๋น้อยตั้งแต่ day 1 คือการเป็นร้านบุฟเฟต์ในราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้น 199 บาท ถึงแม้ปัจจุบันราคารวมเครื่องดื่มรีฟีลและ Vat จะอยู่ที่ 276 บาทเท่ากับโบนัสสุกี้และลัคกี้สุกี้ แต่เราก็มักจะเห็นสุกี้ตี๋น้อยจัดโปรโมชั่นอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะโปรลด 50% และเน้นขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 90 สาขา

ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 สุกี้ตี๋น้อยทำกำไรได้ 800 ล้านบาท ลดลงกว่าปีที่แล้วกว่า 30% แต่ถึงอย่างนั้นกลับได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 40% การมีสายป่านยาวขึ้นจากที่บริษัท เจมาร์ทกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) เข้ามาถือหุ้นกว่า 30% เมื่อปี 2565 ก็ทำให้สุกี้ตี๋น้อยทำสงครามราคาจัดโปรโมชั่นต่อไปได้ และตั้งเป้าว่าภายในปี 2569 จะมีถึง 136 สาขา พร้อมคาดว่ารายได้จะแตะหลักหมื่นล้านบาท

ตี๋น้อยยังขยายพอร์ตในมือด้วยการแตกแบรนด์ ’ข้าวแกงสุกี้ตี๋น้อย‘ และตี๋น้อยบาร์บีคิว เพื่อลุยตลาดแมสยิ่งขึ้น และเปิดร้านตี๋น้อยโกลด์ เพื่อเจาะตลาดพรีเมียม จะเห็นว่ากลยุทธ์หลักๆ ของสุกี้ตี๋น้อยซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่เปิดมานานสุด เทียบกับคู่แข่งอีก 2 เจ้า เน้นไปที่การเพิ่มฐานลูกค้าในวันที่ตลาดสุกี้มีผู้เล่นหน้าใหม่มากขึ้น

วิเคราะห์กลยุทธ์โบนัสสุกี้

เจ้าตลาดเดิมอย่าง MK ก็เห็นว่าบุฟเฟต์เป็นตลาดที่แข็งแรงและมีโอกาสเติบโตสูง จึงหันมาจัดโปรบุฟเฟต์อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนตัดสินใจแตกแบรนด์ลูกอย่างโบนัสสุกี้ที่หยิบช่องว่างทางการตลาดมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์ 6P ได้แก่

Product : เมนูมากกว่า 60 รายการ โดยมีซิกเนเจอร์ อย่างหมูนุ่มหมักไข่โบนัส โรลปูอัดโบนัส เครื่องดื่มสลัชชีชาไทย ติ่มซำ ของทานเล่น และน้ำจิ้มที่เป็นเอกลักษณ์

Price : ราคาเข้าถึงง่าย รวมเครื่องดื่มรีฟีลและ Vat จะอยู่ที่ 276 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที พร้อมโปรโมชั่นต่อเนื่องทุกเดือน

People : ทีมพนักงานผ่านระบบเทรนนิ่งระดับ MK เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สนุก อบอุ่น และเป็นกันเอง สนับสนุนการจ้างงานคนในท้องถิ่นตามการขยายตัวของแบรนด์

Promotion Bonus : ให้โบนัสลูกค้ากับเมนูพิเศษที่แจกฟรีทุกโต๊ะ วันละสองรอบ ภายใต้คอนเซปต์ ‘ชั่วโมงโบนัส’

Place : ร้านขนาดใหญ่ เน้นความสะอาด พร้อมปักหมุดทำเลหัวเมืองใหญ่และเมืองรอง เน้นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีศักยภาพโต

Process : ความพร้อมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน มาตรฐาน MK Group ระบบการจัดการที่สาขา จัดเก็บสินค้าอย่างมีระบบ สดใหม่ สามารถเสิร์ฟได้รวดเร็ว ระบบหลังบ้านที่รองรับการขยายสาขา

โดยแบรนด์ตั้งเป้าขยายให้ครบ 16 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 และในปี 2569 เตรียมขยายเพิ่มมากกว่า 70 สาขา พร้อมทะยานสู่ 100 สาขาภายในไตรมาส 2 ปี 2570 ซึ่งถือเป็นการเติบโตมากกว่า 6 เท่าในเวลาไม่ถึง 2 ปี

วิเคราะห์กลยุทธ์ลัคกี้สุกี้

แบรนด์ที่สาขาน้อยแต่ต่อยหนัก ถึงแม้จะเปิดมาถึง 3 ปี แต่มี 38 สาขา ซึ่งถือว่ายังไม่มากถ้าเทียบกับแบรนด์รุ่นพี่อย่างตี๋น้อย แต่เป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากรายได้ในปี 2567 ทะลุหลักพันล้าน มีกำไรกว่าร้อยล้านบาท และที่สะเทือนวงการบุฟเฟต์สุกี้ที่สุดคือบริษัทเซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ยอมจ่าย 940 ล้าน เพื่อเข้าร่วมทุนกว่า 40%

กลยุทธ์ของลัคกี้สุกี้ที่ผ่านมา ไม่ใช่การลงไปเล่นในสงครามราคา แต่เน้นเพิ่มไลน์อาหาร เช่น เพิ่มเนื้ออสเตรเลียและกุ้งแก้ว ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายเท่าเดิมคือ 276 บาทรวมเครื่องดื่มรีฟีลและ VAT แต่ได้อาหารที่หลากหลายและคุ้มค่า จึงอยากกลับมากินซ้ำ

นอกจากนี้ยังเลือกทำเลที่มีที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มากินดึก เนื่องจากร้านปิดถึงตี 2 และเกณฑ์การขยายสาขาต้องห่างจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 300 กิโลเมตร เพื่อสามารถควบคุมวัตถุดิบให้มีคุณภาพจากการขนส่งได้ รวมถึงแตกไลน์ธุรกิจอย่างลัคกี้บาร์บีคิว พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2571 จะขยายสาขาให้ถึง 120 สาขา และสร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์หลักคือการรักษาคุณภาพและส่งต่อประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ไม่ว่าสมรภูมิร้านชาบู-สุกี้บุฟเฟต์จะไปจบลงที่ตรงไหน แต่ก็เป็นบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัว จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในระยะยาวและยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณภาพจาก สุกี้ตี๋น้อย, โบนัสสุกี้, ลัคกี้สุกี้