คุยกับ วิชัย Salmon House ถึงการทำงานกับลูกค้าในวันที่งานสร้างสรรค์ถูกประเมินค่าด้วยตัวเลข

“คุณน่าจะมีคอลัมน์นึงที่ชวนคนในวงการสร้างสรรค์มาชื่นชมลูกค้าที่ดีนะ”

ผมยังจำคำแนะนำของ วิชัย มาตกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์แห่ง Salmon House เมื่อครั้งพวกเรากำลังปลุกปั้นสื่อธุรกิจที่ชื่อ Capital ได้แม่นยำ

หลายคนรู้จักวิชัยตั้งแต่ช่วงที่เขาเริ่มต้นบทบาทนักเขียน เจ้าของหนังสือ สิ่งมีชีวิตในโรงแรม ที่บันทึกช่วงชีวิตการเป็นพนักงานโรงแรม หลังจากนั้นเขามีผลงานหนังสืออีกหลายเล่ม ก่อนที่วันหนึ่งจะตัดสินใจก้าวเข้าสู่โลกโฆษณาด้วยการเปิดโปรดักชั่นเฮาส์นาม Salmon House ร่วมกับ เบนซ์–ธนชาติ ศิริภัทราชัย ก่อนจะต่อยอดเป็นดิจิทัลเอเจนซีอย่าง Salmon Lab และสถานีพ็อดแคสต์อย่าง Salmon Podcast ภายหลัง

จริงๆ คำแนะนำข้างต้นของเขาไม่มีอะไรเข้าใจยาก ทำตามได้ง่ายๆ แต่ที่ผมประหลาดใจคือเจ้าของคำแนะนำดันเป็นหนึ่งในผู้ที่มักพูดถึงการทำงานกับลูกค้าด้วยอารมณ์ขมปนขำลงช่องทางโซเชียลส่วนตัวบ่อยๆ จนน่าจะกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของเขา

ยังไม่นับคอนเทนต์ต่างๆ ของ Salmon Lab ที่มักหยิบประเด็นตลกร้ายในการทำงานกับลูกค้ามาเล่าด้วยอารมณ์ขันอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นมีมไวรัลที่คนทำงานแชร์ถล่มทลาย

แล้วอะไรทำให้ชายผู้นี้แนะนำเราในวันวานให้เล่าเรื่อง ‘ลูกค้าที่ดี’

ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้ง Salmon House และในวาระที่พวกเขาเพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนใหม่ไปทดลองทำซิตคอม–ที่ไม่วายพูดถึงการทำงานลูกค้า เรื่อง รักเบรกแตก เลิฟเบรกดาวน์ ร่วมกับ Workpoint Entertainment ผมจึงตัดสินใจมาเยือนออฟฟิศของเขาเพื่อคลายสงสัยในหลายคำถาม

จากการทำงานกว่าทศวรรษที่ผ่านมาเขาตกผลึกสิ่งใด วันเวลาผ่านไปเขายังมองลูกค้าเหมือนที่เขียนในสเตตัสต่างๆ ไหม นิยามของคำว่า ‘ลูกค้าที่ดี’ คือยังไง–แล้วเขาคิดถึงใครเมื่อพูดถึงคำคำนี้

และบทสนทนาในบรรทัดถัดไปคือผลของคำแนะนำในบรรทัดแรก

ตอนนั้นทําไมคุณถึงแนะนําให้เปิดคอลัมน์ที่พูดถึง ‘ลูกค้าที่ดี’ ไปเจออะไรมา

เราเชื่อว่าลูกค้าอยากเป็นลูกค้าที่ดีแหละ แต่เราไม่มีตัวอย่างที่ดี เราไม่รู้ว่าแบบไหนคือดี อย่างเราเป็นครีเอทีฟ เราก็ไม่รู้ว่าครีเอทีฟที่ดีคือยังไง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะไปถามใคร หรือบางทีมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรบอกกันหรือเปล่านะ ถ้าพูดเองมันเหมือนมาบอกว่าฉันเก่งนะ ฉันเป็นคนดีนะ มันดูเบียว เราเลยรู้สึกว่าบางทีถ้ามีใครมาบอกว่าลูกค้าที่ดีต้องเป็นแบบไหน มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสําหรับคนที่มาเห็นหรือมาอ่าน มันจะเกิดมาตรฐานว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ถ้าคนรู้ คนก็จะรู้ว่าอะไรไม่ดี

ตอนที่แนะนำมันเรียบง่ายมาก คืออะไรดีเราก็คิดว่าควรชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้ดี เราต้องยอมรับว่าบางทีลูกค้ายุคนี้เป็นลูกค้าเจนฯ ใหม่ บางทีนะบางที วิธีคิดวิธีทําแบบเจนฯ เก่ามันอาจจะไม่เวิร์กกับเจนฯ ใหม่ก็ได้ แล้วเจนฯ ใหม่ก็ดันไม่มีตัวอย่างที่ดีว่าอันนี้คือดี อันนี้คือไม่ดี อันนี้แย่ อันนี้ไม่แย่

เวลาคุณพูดคำว่าลูกค้าที่ดีมันมีนิยามชัดๆ มั้ยว่าเป็นยังไง หรือดูแค่ว่าเขาตามใจเราหรือไม่

เราไม่มีนิยามชัดๆ แต่เรากล้าพูดว่าลูกค้าที่ดีไม่ใช่ลูกค้าที่ตามใจเรา ไม่ใช่ลูกค้าที่ฟังความคิดเห็นของเราทุกอย่างด้วยนะ เรารู้สึกว่ามันซับซ้อนกว่านั้น

คำว่าลูกค้าที่ดีมันไม่สามารถนิยามแบบดํา-ขาวได้ เหมือนมนุษย์ที่ดีคือยังไงเราก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่เรารู้สึกว่าลูกค้าที่ดีคือลูกค้าที่รู้ว่าจะเอาอะไร และรู้แน่ชัดว่าตัวเองจะไม่เอาอะไร สําหรับเราคือแค่นี้เลย ถ้าพี่รู้ว่าพี่จะเอาอะไรผมก็ซื้อนะ หรือถ้าพี่รู้ว่าพี่จะไม่เอาอะไรก็ยิ่งดีเว้ย เราจะได้รู้ ไม่เหนื่อยต้องทําออพชั่นที่ไม่ใช่

เห็นคุณมักตัดพ้อลูกค้าลงเฟซบุ๊กอยู่บ่อยๆ หรือคอนเทนต์ที่เป็นภาพจําของแซลมอนก็มักเล่าเรื่องตลกร้ายของลูกค้า จริงๆ แล้วคุณมีทัศนคติต่อลูกค้ายังไง

เรารู้สึกว่าพวกเราในฐานะคนทํางานมีสิทธิ์สงสัยในระบบ และเราควรจะตั้งคําถามมันได้ อย่างวิดีโอตัวล่าสุดที่ทำเราคุยกับเบนซ์ระหว่างทําบ่อยมากว่า มันเหมือนเราตัดพ้อลูกค้า แต่จริงๆ เราตัดพ้อระบบที่เราและลูกค้าต่างอยู่ในระบบนี้ อยู่ในเกมเกมนี้ด้วยกัน และเกมนี้ ทั้งลูกค้าและเราต้องยอมรับว่ามันประหลาดจริงๆ แล้วเราแค่ตั้งคําถามกับมัน ซึ่งอาจดูเหมือนเราบ่นลูกค้า เพราะในเกมนี้ลูกค้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบมันประหลาด ก็มีเพื่อนเอเจนซีแชร์ไปแล้วเราเห็น เลยแอบหลังไมค์ไปถามว่า “เฮ้ย มึงรู้สึกว่าถูกโจมตีหรือเปล่าวะ เหมือนกูก็ต้องตวัดไปด่ามึง” เขาก็บอกว่า “ไม่ เพราะเขาก็อยู่ในระบบ อยู่ในเกมที่ไม่แฟร์แบบนี้เหมือนกัน”

มันเหมือนเป็นวัฒนธรรมที่ทํามาตั้งนานแล้ว เราคงไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะไปล้มวัฒนธรรมนี้ ซึ่งมันก็จะส่งผลกระทบอะไรไม่รู้เยอะแยะ แต่เรารู้สึกว่าในฐานะคนทําคอนเทนต์ เราควรจะมีสิทธิ์ตั้งคําถาม แค่นั้นเลย เราไม่ได้บอกว่าวิดีโอนี้จะเปลี่ยนแปลงโลก ไม่ๆๆ เราก็แค่อยากบ่น อยากตั้งคําถามกับระบบที่ลูกค้าและเราต่างอยู่ในเกมนี้ด้วยกัน

การที่คุณเคยทํางานโรงแรมมาก่อนมันได้ทิ้งทัศนคติต่อลูกค้าแบบไหนไว้ในตัวคุณบ้างไหม

มีนายอยู่สองคนที่มีผลมากๆ คนแรกเราเจอตอนอยู่ภูเก็ต ชื่อคริสทอฟ เป็นคนเยอรมัน เขาบอกว่า ลูกค้าเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่เขามาทําหน้าที่ลูกค้า หน้าที่เขาคือรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วคุณก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มาทํางานโรงแรม หน้าที่คุณคือต้องรักษาผลประโยชน์ของโรงแรมและทําให้เขาแฮปปี้ จบ มันทำให้เรารู้สึกว่าเรามองลูกค้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งมากกว่า

คุณคริสทอฟบอกว่า เวลาพนักงานโรงแรมเห็นลูกค้าต่อคิวเยอะๆ ถ้าเป็นคนไทยมักจะบอกว่า Sorry to keep your waiting. ซึ่งเขาจะบอกว่า “เฮ้ย คุณอย่าพูดว่า sorry คุณไม่ได้ทําอะไรผิด คุณต้องพูดว่า thank you for waiting. ขอบคุณที่รอนะ” เรารู้สึกว่าอันนี้มันกลับไปยังสิ่งที่เขาสอนเรา คือสุดท้ายแล้วคุณกับผมก็คือมนุษย์ที่ทําหน้าที่คนละอย่างกัน

คำว่า ‘thank you for waiting.’ สําหรับเรามันลึกมาก คือไม่มีอะไร เราขอบคุณที่รอ เดี๋ยวเราก็บริการคุณนานๆ แบบที่บริการลูกค้าคนนั้นแหละ เรารู้สึกว่ามันทำให้ attitude ของคนโรงแรมของเราตอนนั้นไม่เหมือนเดิม เราไม่ใช่คนที่มาให้บริการ มันไม่เหมือนกัน

อีกคนเป็นนายญี่ปุ่นของเราชื่อคุณคานาโกะ เขาบอกประมาณว่า ถ้ายูรู้สึกไม่พอใจลูกค้าคนไหน วิธีเดียวที่ยูจะเอาชนะเขาได้คือทําให้เขาพอใจ เขาใช้คําว่า “You can shut them up by making them happy.” มันเรียบง่ายมาก แค่ทําให้เขาแฮปปี้

แล้วทัศนคติทั้งสองที่ว่ามันเชื่อมโยงกับการทํางานในปัจจุบันยังไงบ้าง

เราว่าลูกค้าเขาแค่ทําหน้าที่เขา เราก็ทําหน้าที่เรา

เราเพิ่งมาเรียนรู้เมื่อขวบปีที่ 7 ที่ 8 ว่า ลูกค้าเขาก็คือมาร์เก็ตติ้งคนหนึ่งที่ทำงานกินเงินเดือน และงานที่เขาทํากับเราอยู่ตอนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะทําให้เขาโดนไล่ออกนะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาอาจจะไม่ไว้ใจเรา หรือกลัว หรือรู้สึกอะไรก็ได้ มันก็เลยเป็นที่มาที่เขาอาจจะคอมเมนต์อะไรที่อาจจะไม่เมคเซนส์บางอย่าง สุดท้ายแล้วเขาก็มนุษย์เงินเดือนเหมือนเราหรือเปล่า แล้วเขา insecure กว่าเราอีก เพราะว่าเราในฐานะ production house เรายังรับงานใหม่ได้ แต่ถ้าเขาบรีฟเราไม่ดีแล้วงานออกมาไม่ตรงอย่างที่องค์กรเขาอยากได้ เขาอาจโดนไล่ออกก็ได้นะหลังๆ ก็เลยมองลูกค้าอีกแบบหนึ่ง

ยอมมากขึ้น

ไม่ได้ยอมมากขึ้น แต่พยายามเข้าใจว่า เขาอาจมีเงื่อนไขอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่า เช่นถ้าเรารู้ว่างานนี้เขาต้องไปขายหัวหน้าอีกต่อหนึ่ง แล้วเรารู้สึกว่าพี่ไม่ใช่คนเล่าเรื่องที่ดี เราก็จะทํา deck ที่ละเอียดขึ้น เพื่อให้เขาเอาไปเล่าให้หัวหน้าฟังแล้วเขามั่นใจขึ้น หรือเราก็จะอารมณ์เสียน้อยลง เวลาเขาถามคําถามบางคําถามที่ไม่ควรถาม เพราะพี่อาจจะอยากรู้เผื่อเวลาหัวหน้าถามพี่แล้วพี่จะได้ตอบได้หรือเปล่า

เราเคยทํางานลูกค้าเจ้าหนึ่งอยู่หนึ่งปีเต็มๆ เขียนบทแก้ไปแก้มา แก้ไปแก้มา เพราะว่าลูกค้ามี 4 แผนก แล้วบทที่เราเขียนอะต้องทําให้ทุกคนแฮปปี้พร้อมกัน ห้ามมีใครคนหนึ่งไม่แฮปปี้ในสมการนั้น ถ้าไม่งั้นบทจะไม่ผ่านทันที ก็แก้กันอยู่ปีหนึ่ง แรกๆ ก็หัวเสีย จนสุดท้ายก็พบว่า อ๋อ ผลิตภัณฑ์มันเกี่ยวพันกับคนเยอะ ทุกแผนกต้องการเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดี เราแค่ต้องทําให้ทุกคนแฮปปี้ ก็แก้กันไป ไม่เป็นไร

สําหรับเรา คือเราทําให้ลูกค้าแฮปปี้ได้ด้วยการทําหนังที่ดีที่สุด หรือไม่ก็ทําให้เขาแฮปปี้กับหนังตามที่เขาอยากได้

ความแฮปปี้ของลูกค้าสำคัญยังไงในการทำงานของคุณ ถ้าต้องขัดใจลูกค้าเพื่องานที่ดีกว่าคุณทำไหม

มีหลายอย่างที่ต้องทําให้ลูกค้าแฮปปี้เพื่อบรรยากาศในการทํางานที่จะทําให้เราทํางานง่ายขึ้น บางทีเราก็จะบอกกับเบนซ์เลยว่า อันนี้เรายอมทำเพื่อให้บรรยากาศมันดี แบบที่กูก็รู้นะว่างานอาจจะดร็อปไปนิดหนึ่ง แต่เรายอมเพื่อบรรยากาศ สมมติจริงๆ เราอยากได้ 10 ยอมให้ลูกค้าสัก 2 ก็ได้ แต่อีก 8 ที่เหลือเราจะไม่ถอย เรามีจุดที่ห้ามถอยแล้ว ถ้าต้องทะเลาะก็ทะเลาะ แต่ที่เหลือคือเรายอมให้หมดนะ 

อย่างในห้องตัดต่อ ครีเอทีฟหรือว่าเบนซ์เองก็จะรู้ว่าบาร์ของพวกเราคือตรงไหน คือถอยได้นะ แต่พอถึงตรงนี้ห้ามถอยแล้ว ไม่งั้นงานมันจะเละ

เส้นไหนที่คุณจะไม่ยอมถอย

เปลี่ยนบรีฟกับเปลี่ยน objective ถ้าลูกค้าไม่เข้าใจ objective ตัวเองเราจะเถียง แค่นั้นเลย คือการลงทุนทำหนังมันมีคนทํางานกับเรา 30-40 คนนะ ทุกคนมุ่งหน้าไปจุดเดียวกัน แล้วถ้าพี่เป็นคนเขียนบรีฟมาให้ผมแล้วพี่ไม่เข้าใจ objective ที่ตัวเองตั้งกฎมาเองเราไม่ยอมนะ สิ่งนี้สําคัญสุดๆ เลย

เราถึงได้บอกว่า ก่อนเริ่มทุกงานเราจะตั้งคําถามกับบรีฟลูกค้าเสมอ เราจะยังไม่เชื่อบรีฟลูกค้า ทุกบรีฟเออีจะโดนเราซักยับๆ เลย ถ้าเรายังไม่พอใจเออีต้องไปนัดลูกค้า เราจะคุยกับเขาเอง ทุกบรีฟเป็นอย่างนี้หมด แต่ถ้าบรีฟไหนเราฟังแล้วโอเค เมคเซนส์ ก็ไปตามนั้น แต่มันมีบ่อยมากที่เราไม่เชื่อบรีฟลูกค้า

เวลาอ่านบรีฟคุณมองหาอะไรจากมัน

หาว่าลูกค้าอยากได้อะไร คือคนไม่รู้หรอกว่าอยากได้อะไร ลูกค้าหลายคนไม่รู้ ซึ่งโทษเขาไม่ได้นะ ส่วนใหญ่ก็จะบอกแค่ว่าอยากเพิ่มยอดขาย ซึ่งมันก็เหมือนกับบอกว่ากลุ่มเป้าหมายคืออายุ 25-55 แหละ มันไม่ใช่ นั่นเรียกว่าทุกคนที่ยังไม่ตาย (หัวเราะ) ไม่ได้เรียกว่ากลุ่มเป้าหมาย บรีฟมันต้องลงลึก เช่น ตอนนี้ตลาดเป็นยังไง ถูกอีกแบรนด์ดึงลูกค้าไป ยอดขายเลยลด เราอยากเพิ่มยอดขายให้กลับมาเท่านั้นเท่านี้

คุณมีไบเบิลในการบรีฟให้มีประสิทธิภาพมั้ย

เราว่ามันต้องซักถามแหละ และเผลอๆ บรีฟในอุดมคติของเรามันไม่ควรจบในวันเดียวด้วยหรือเปล่านะ เช่นวันนี้คุณเป็นลูกค้า คุณบรีฟเรา เราก็กลับไปดูนู่นดูนี่ แล้วอาทิตย์หน้าสงสัยก็ถามเพิ่ม ผมสงสัยตรงนี้ ทําไมต้องเป็นอย่างนั้น แบบนี้เราอาจจะได้งานที่ดีก็ได้นะ

เรารู้สึกว่าบางทีการบรีฟมันมาจากคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร กับคนที่ยังไม่รู้จะทําอะไรมาเจอกัน มันก็ยิ่งไม่รู้กันไปใหญ่เปล่าวะ อย่างเราเองเวลาเออีบรีฟมาก็งงๆ นะ ซึ่งพอมึงงงกูก็งงสิ (หัวเราะ) บางทีบรีฟที่ดีมันอาจจะมาแบบเบาๆ แล้วเราก็ถามกันไปถามกันมาจนได้ของที่ดี ของที่มีแก่นจับต้องได้

แล้วบรีฟที่ดีจะทําให้ลูกค้าไม่ลืม objective ตัวเอง และมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าไม่คิดอย่างนั้น สำหรับลูกค้าบรีฟคือการสั่งให้คนอื่นไปทําอะไร แต่สําหรับเรา บรีฟที่ดีจริงๆ คือคุณและผมจะไม่ลืม objective บรีฟที่ดีจะทําให้ลูกค้าและเรารู้ว่าผมไม่ได้รับใช้คุณ ผมรับใช้บรีฟ คุณและผมทั้ง 2 ฝ่ายจะรับใช้บรีฟนี้ รับใช้ objective นี้ด้วยกัน

คุณคิดว่าอะไรที่ทําให้คนทํางานสร้างสรรค์แบบพวกคุณมักจะมีปัญหากับลูกค้า

เราเดลิเวอรีผลลัพธ์ที่แน่นอนไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่กำลังทำมันจะออกมาเป็นยังไง กระทั่งคุณที่สัมภาษณ์ผมตอนนี้ คุณก็ไม่รู้ตอนจบบทสัมภาษณ์มันจะเป็นยังไง หรือช่างภาพที่ถ่ายรูปเมื่อกี้ ตอนรีทัชจบแล้วภาพจะออกมาเป็นยังไง มันก็บอกไม่ได้ แล้วเราก็ไม่กล้า promise กับลูกค้า เพราะเราเองก็ไม่รู้มันจะออกมาเป็นแบบนั้นหรือเปล่า

อย่างเราวาดสตอรีบอร์ดขายลูกค้า สมมติ 12 ภาพ 30 วินาที เราก็เล่าได้แค่ 12 ภาพ แต่สิ่งที่ลูกค้าไม่รู้คือระหว่างภาพที่หนึ่งและภาพที่สองมันจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่รู้ เพราะเรายังไม่ได้ถ่ายไง วันที่ถ่ายงานมันก็จะมีเมจิกโมเมนต์ที่นักแสดงสร้างขึ้นมาแบบที่ไม่มีในบท ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีใครรู้

คือตอนที่เราเสนอไอเดียกับลูกค้าเราก็ไม่รู้ด้วยว่าสิ่งนั้นมันจะให้ผลที่ดีจริงมั้ย

ถูก มันจะเวิร์กหรือไม่เวิร์กเราก็ไม่รู้ มันเหมือนซื้อหวย แต่เราแค่ซื้อมันบ่อยจนเราพอเก็งเลขได้ แต่เราไม่สามารถทําให้เลขนี้ออก เราทําไม่ได้

เราถึงได้บอกว่าลูกค้าต้องปล่อยให้เราทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะซื้อความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคุณอาจจะต้องแทรกแซงให้น้อยลง ซึ่งเราอาจจะพูดแบบนี้ได้ แต่เราคาดหวังให้ลูกค้าทําหรือไม่ทําไม่ได้ เพราะมันคือเงินเขา เขาก็ทําหน้าที่ของเขา

ถ้าเราคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้อย่างที่ว่าจริงๆ แล้วเราจะใช้สิ่งใดนำทางในการทำงาน

objective ของลูกค้าอย่างเดียวเลย objective ที่เราสองคนตกลงกันคืออะไร แล้วสิ่งที่กำลังทำมันตอบ objective นั้นหรือไม่ เราทําอยู่บนความจริงนั้นมากกว่า ถ้าตอบ objective ไม่ได้มันก็เป็นแค่เรื่องสนุกสนาน ซึ่งมันเป็นสิ่งเล็กน้อยมาก สิ่งสำคัญคือผมแก้ปัญหานั้นให้คุณหรือเปล่ามากกว่า

สำหรับคุณอะไรคือความยากของการทำงานสร้างสรรค์ในยุคนี้

ผมว่าเราอยู่ในยุคที่ emotional value ต่างๆ ถูก digitalize กันหมด ความรู้สึกถูกกำหนดให้เป็นจำนวนไลก์ จำนวนวิว sentiment ทุกอย่างถูกทำให้วัดค่าได้ และความคิดสร้างสรรค์หรือ idea ก็ถูกพยายามทำแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่เราคิดสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา มันจะถูกนำไปเปรียบเทียบเป็นตัวเลขอะไรบางอย่างเสมอ แต่ความคิดสร้างสรรค์บางทีมันก็ไม่สามารถวัดค่าได้หรือเปล่านะ เราก็แค่รู้สึกว่าอันนี้สร้างสรรค์ อันนี้ไม่สร้างสรรค์ ซึ่งมันเป็นเหมือนความคิดเห็นส่วนบุคคลด้วยซ้ำ บางอย่างที่บางคนคิดว่าสร้างสรรค์ อีกคนอาจไม่คิดแบบนั้นก็ได้ การที่คุณพยายาม digitalize ความคิดสร้างสรรค์แปลว่าคุณกำลังบังคับให้ความคิดสร้างสรรค์มีกรอบ มีมาตรฐาน แล้วบังคับให้ทุกๆ คนคิดไปในทิศทางเดียวกัน ทำเหมือนๆ กัน

แล้วทุกวันนี้พื้นที่ที่เราเอาของไปปล่อยมันเป็นเหมือนบ่อนพนันที่เจ้ามือชนะทุกครั้ง เพราะเจ้ามือควบคุมการมองเห็นได้ นานๆ ครั้งก็จะมีเนื้อหาที่สร้างสรรค์บางประเภทชนะเจ้ามือ แต่เจ้ามือก็แก้กลับด้วยการ “อ๋อ เก่งเหรอ ได้ดิ ปรับอัลกอริทึม ขอแก้กติกานะจ๊ะ”

กลับไปที่คำถามว่าทำงานสร้างสรรค์ยุคนี้ยากตรงไหน ก็ยากตรงที่ลูกค้าอยากได้หนังที่ emotional ที่ตลกเด๊ดๆ หน้านิ่งๆ ภาพแปลกๆ แต่ดูแพง แต่ไม่แพงเกินไป อยากให้คนเข้าถึง และมีอินไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย ช่วงอายุประมาณ 18-55 ปี อยากให้ตลกด้วย และคนดูจะต้องรู้เลยว่าจะพูดเรื่องอะไร แต่ไม่อยากขายของนะ เพราะ stat บอกว่าคนดูไม่ชอบยัดเยียด แต่ต้องเห็นสินค้าภายใน 3 ช็อตแรกนะ และทุกอย่างต้องจบภายใน 15 วินาที เหมือนจะเป็นเรื่องประชด แต่ทั้งหมดที่ว่ามาคือบรีฟจริงๆ จากลูกค้า

โดยสรุป ความยากของการทำงานสร้างสรรค์ยุคนี้ก็คือการทำงานยังไงไม่ให้เป็นบ้านั่นแหละ

ล่าสุดเห็นว่าคุณทำซิตคอมเรื่อง รักเบรกแตก เลิฟเบรกดาวน์ ทําไมโปรดักชั่นเฮาส์โฆษณาต้องทําซิตคอมด้วย

ทุกวันนี้หนังโฆษณามันเหลือแค่ 6 วินาทีแล้ว แต่เรื่องที่ลูกค้าอยากพูด 30 วินาทีก็พูดไม่หมด มันสวนทางกัน เราเลยมองหาว่ามันมีวิธีเล่าวิธีไหนมั้ยนะ ที่เราเล่าได้ยาวขึ้นและยังสนุก ลูกค้าก็ได้ขายของของเขา

แล้วไม่รู้เราใช้คำถูกมั้ย คือซิตคอมมันมีความซื่อๆ โง่ๆ ของมัน มันมีความแบบอยู่ๆ ก็ป้ายบิลบอร์ดขึ้นมา แล้วคนเราก็ดันแฮปปี้ที่จะดู ไม่รู้สึกฝืน เราเลยรู้สึกว่าซิตคอมก็เหมาะกับเรา สุดท้ายก็เลยเป็นซิตคอม

แล้วเราก็มาคิดต่อว่าถ้าเราทําซิตคอมสักเรื่อง เราอยากทําซิตคอมที่เกี่ยวกับชีวิตเราเอง ก็คือบริษัททําหนังโฆษณา ต่อมาก็คิดว่าถ้าเราทำซิตคอมที่เอาบรีฟลูกค้ามาเป็นเส้นเรื่องล่ะ แบบเอาบรีฟจริงๆ ของลูกค้าแต่ละเจ้ามาเป็นเส้นเรื่องทั้งเรื่องเลย ก็เลยกลายเป็นไอเดียที่ว่าเราจะทําซิตคอมเกี่ยวกับบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์ที่แต่ละตอนจะเล่าเรื่องจากบรีฟจริงๆ ของลูกค้าแต่ละเจ้า สมมติลูกค้าฮอนด้า ก็ให้ฮอนด้ามาบรีฟเราจริงๆ แล้วตอนเปิดในซิตคอมเออีก็พูดออกมาเลยว่ารับงานฮอนด้ามา ลูกค้าอยากจะแจกหมวกกันน็อก 60,000 ใบ แล้วเราก็เอาบรีฟนั้นมาเขียนเป็นบทต่อ เล่าถึงการคิดบรีฟงานลูกค้างานนี้ทั้งอีพีเลย

เราก็เอาไอเดียนี้ไปขายเวิร์คพอยท์ เพราะคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจธรรมชาติของซิตคอม อย่างที่สองคือเราไม่รู้ว่าซิตคอมต้องทํายังไง ต้องไปพึ่งเขา เราแค่มีไอเดีย ตอนแรกเวิร์คพอยท์ก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านกองเซนเซอร์มั้ย เพราะว่ามันมีกฎว่าแต่ละตอนห้ามโฆษณาเกินเท่านั้นเท่านี้ ห้ามขายของเกิน เขาก็บอกว่าแล้วมันจะผ่านหรือเปล่า

เราก็เลยใช้วิธีเขียนบทไป 3 แบบ ส่งไปให้กองเซนเซอร์ดู แบบแรกขายของทุกบรรทัดเลย แบบสองขายบ้างไม่ขายบ้าง แล้วก็แบบสุดท้ายคือไม่ขายของเลย ปรากฏว่าผ่านหมดเลย เหตุผลคือก็มันเป็นเรื่องของบริษัทโฆษณา คุณก็ต้องโฆษณา ถูกแล้ว เราเลยรู้สึกว่ามันปลดล็อกแล้ว แปลว่าเราขายของหนักสุดได้โดยที่มันยังสนุกอยู่

หลังจากที่เวิร์คพอยท์เอาด้วย การทำงานมันสนุกแบบที่คิดไหม

นรกมาก การเขียนบทยากมาก ตอนที่เราทําหนังโฆษณายาวสุดก็แค่ 5 นาที แต่ซิตคอมตอนหนึ่งยาว 17 นาที ซึ่งนี่คือสั้นแล้วนะเพราะปกติซิตคอมตอนละครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเทียบกับโฆษณาถือว่าโคตรยาว แล้วกูจะเขียนอะไร 17 นาที ผมก็ต้องมาฝึกเขียนซิตคอม ต้องมาหาวิธีหาภาษาตัวเอง ฝึกเขียนก็เรื่องหนึ่ง การจับสินค้าให้มันลงล็อกให้หมด แล้วมันยากไปถึงขั้นว่าเราจะขายลูกค้ายังไง เพราะทุกทีเราส่งบทแค่บรรทัด 5 บรรทัด นางเอกแต่งหน้าแล้วหยิบน้ําเข้ามา ดื่ม วาง จบ ไม่เคยต้องขายแบบ 17 นาทีโดยที่เนื้อเรื่องทั้งตอนเป็นเรื่องของเขาหมดเลย เราไปขายงานนี้อยู่เป็นปี อาทิตย์หนึ่งออกไปหาลูกค้าเพื่อขายไอเดียสองสามรอบ ซึ่งลูกค้าก็ไม่เก็ต เรากับแก๊ปโบ้ (สิระ สิมมี) ก็ไม่แน่ใจ จนกระทั่งตัดดราฟต์แรกเสร็จ ลูกค้าถึงเข้าใจว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

แล้วสุดท้ายผลออกมาแบบที่คุณคิดไว้ไหม

ผมว่าในมุมลูกค้าเขาก็ตื่นตาตื่นใจในความความใหม่ของมัน มันขายของได้แบบนี้เลยว่ะ แต่ในแง่ของฟีดแบ็กคนดู สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือซิตคอมมันต้องใช้เวลาสะสมแฟนเบส เราต้องให้ตัวละครและบทมันทํางาน เราอาจจะคาดหวังกับคนดูในซีซั่นแรกได้ยาก คนดูอาจจะมารักตัวละครกันตอนซีซั่น 2 ด้วยซ้ำ ซึ่งมองกลับไป ถ้าเราจะแก้ไขอะไรได้สักอย่าง เราอยากให้มันยาวครึ่งชั่วโมง เราว่าในความเป็นซิตคอมมันต้องยาวนิดหนึ่งเพื่อให้คนดูผูกพันกับคาแร็กเตอร์นั้น ถ้าแก้ได้เราอยากให้มันยาวขึ้น เรารู้สึกว่า 17 นาทีมันสั้นไปกับความเป็นซิตคอม ส่วนในแง่การขาย เราคิดว่าเราไม่มีปัญหา ถ้าลูกค้าทุกคนพูดความต้องการของเขามา เราเขียนบทให้ขายยังไงก็ได้อยู่แล้ว

จากที่เล่ามามันสะท้อนว่าจริงๆ คุณก็ไม่ใช่ครีเอทีฟที่มีปัญหากับการฮาร์ดเซลล์

โอ้โห ผมโคตรชอบ อันนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของทุกคนก็ได้นะ คนชอบคิดว่า Salmon House ไม่ชอบขายของ แต่จริงๆ ผมโคตรชอบงานฮาร์ดเซลล์ ชอบเหี้ยๆ สนุกจะตาย แฮปปี้มากเวลาได้งานฮาร์ดเซลล์ เบนซ์ก็ชอบ เพราะ objective มันชัด นั่นคือขายของ สําหรับเรามันเข้าใจง่ายมาก แก้แค่สมการเดียว แต่จะทําให้ของนั้นมันน่าใช้ก็ไม่ง่าย แล้วตอนขายลูกค้าก็ยาก เพราะลูกค้าก็จะดูว่ามึงจะขายฮาร์ดเซลล์ยังไงให้ไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเราเคยพูดว่าเราจะไม่ค่อยชอบพวกหนังขายครีม เพราะมันก็ขายของเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ตอนนี้ความคิดเราเปลี่ยน คือคุณทํามา 50 ปีแล้วมันยังเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ นี่คุณไม่ธรรมดาแล้วนะ นึกออกไหม เราว่าอันนี้มันยาก

ถึงวันนี้คุณทํา Salmon House มา 10 ปีแล้ว การทำงานแต่ละงานง่ายขึ้นมั้ย

ไม่ง่ายขึ้นเลย หนึ่ง ธรรมชาติอุตสาหกรรมมันเปลี่ยนทุกปีเนอะ และสอง คู่แข่งใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ ตอนนี้คําว่าแซลมอนอะมันกลายเป็น genre หนังไปแล้ว เหมือนหนังเต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) หนังพี่อั๋น (วุฒิศักดิ์ อนรรฆพร) แล้วมันก็มีคําว่าหนังแซลมอนด้วย เพราะฉะนั้นมันก็จะมีคนที่ทํางานได้เหมือนเรา ในราคาที่โอเคกว่า ในวิธีที่อาจจะประนีประนอมกว่า อาจจะเถียงน้อยกว่า (หัวเราะ) เราเลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ทําให้ง่ายขึ้น

ทุกวันนี้เราอาจจะควบคุมความคาดหวังของตัวเองได้ดีขึ้น เดาสถานการณ์ได้ดีขึ้น แค่นั้นแหละ เช่น สมมติอยู่ในห้องประชุม มีคนอยู่ด้วยกัน 20 คน ไอ้ตัวแปรมันต้องเป็นพี่ฝ่ายไอทีที่ใส่แว่นคนนั้นแน่เลย นึกออกมั้ย พี่เริ่มพูดแปลกๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ว่ะ แล้วคนชอบคล้อยตามพี่แปลกๆ ว่ะ งั้นถ้ากูจะอุด กูต้องอุดที่พี่คนนี้ก่อน ไม่ใช่หัวหน้าด้วยนะ ไอ้ตัวปลายโต๊ะคนนี้นี่แหละอันตรายสุด (หัวเราะ) พี่เป็นอินฟลูในโต๊ะนี้ ผมต้องจบกับพี่ให้ได้ก่อน เราว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาอาจจะช่วยแค่นั้น ที่เหลือเราว่าทํางานโจทย์ใหม่งานใหม่ยากเหมือนเดิม

ถ้าใครติดตามคุณในเฟซบุ๊กอาจจะเข้าใจว่าคุณค่อนข้างทุกข์ร้อนกับงาน จริงๆ แล้วมันมีด้านที่มีความสุขบ้างมั้ย

งานครีเอทีฟเป็นงานที่คุณจะได้โอกาสที่ 2 และ 3 สมมติคุณแพ้พิตชิ่งบรีฟนี้ ปลายปีคุณอาจจะได้บรีฟนี้อีกรอบในสินค้าตัวอื่น แล้วคุณจะได้โอกาสแก้ตัว คุณได้แก้แค้นบางอย่างที่คุณเคยทำพลาด สมมติพิตชิ่งหนึ่งเราแพ้ แล้วเราพบว่าตอนเล่า deck หน้านี้ เราเล่าเร็วไปนิดหนึ่งว่ะ ต่อไปงานหน้าเราก็แก้ไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้เกิดอีก เรามีโอกาสแก้ตัว

กับอีกอย่าง เรามักจะมีเรื่องของเราในเส้นเรื่องบางเรื่องเสมอ บางทีเราก็บอกรักใครสักคนหนึ่ง บางทีเราก็แอบด่าตัวเองในอดีตในงานของเรา เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ที่ว่ามามันเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันเสือกคุ้มค่ากับความทุกข์ที่เราต้องจ่ายให้มัน

Good Client of Salmon House

นก–มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย)

งาน AirPay X Salmon House : Love waits

“ย้อนกลับไปยุคที่โมบายแบงก์กิ้งยังไม่ได้มีคนใช้เยอะอย่างทุกวันนี้ คุณนกชวนเราไปทําหนังโฆษณาให้ AirPay ที่เป็นแอปจ่ายเงิน ซึ่งเมื่อก่อนถือเป็นเรื่องใหม่ ตอนนั้นเรายังเป็นคนที่ไม่ใช้บริการพวกนี้ เราก็ไปเขียนแท็กไลน์ให้เขาใหม่เป็น ‘เปย์ครบจบทุกการรอ’ ซึ่งตอนนี้ AirPay มันกลายเป็น ShopeePay แล้ว 

“เมจิกโมเมนต์คือตอนนั้นคุณนกก็เข้ามานั่งฟังบรีฟนู่นนี่นั่น ตอนนั้นเราคิดหนังไปสองเฟส คือหนังขายของกับหนังที่เป็น storytelling ทั้งสองเรื่องใช้นักแสดงชุดเดียวกัน แล้วในหนังเรื่องที่สองมันจะต้องใช้เพลงประกอบ ซึ่งไอเดียของหนังมันจะเล่าว่า การรอมันเจ็บปวด มันเหนื่อยกับการรอ เพราะฉะนั้นอย่ารอดีกว่า มันก็เล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่รอให้ผู้ชายมารัก แต่สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนใจไม่เอาแล้ว ไปดูหนังกับอีกคนหนึ่ง ไอเดียคือจบทุกการรอ ซึ่งคุณนกก็ซื้อสตอรีทั้งหมด แล้วเราก็ขายเพลง

“เราเลือกใช้เพลง เหนื่อยใจ ของ XL STEP ซึ่งเป็นเพลงเก่าและเป็นเพลงลับแล สไตล์ในการเลือกเพลงประกอบของเราคือหนึ่ง–ต้องเป็นเพลงเก่า สอง–เป็นเพลงลับแล คําว่าลับแลของเราคือถ้าเปิดให้คนฟังสัก 10 คน ควรจะมีคนรู้จักแค่ 3 คน ไม่ควรเยอะไปกว่านี้ เราว่ามันมีเสน่ห์ แล้วมันจะดี เราก็เลยเลือกเพลง เหนื่อยใจ ซึ่งมันลงตัวพอดีกับหนังมาก เราก็ตัดท่อนหนึ่งมาให้เขาฟัง ซึ่งลูกค้าหลายๆ คนในห้องประชุมก็เป็นวัยรุ่น ซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน พอเปิดปุ๊บเพลงมันเพราะมาก มันดีมาก ลูกค้าก็คอมเมนต์ว่า เพลงเพราะนะ เข้ากับหนัง แต่ไม่รู้ว่าคนฟังจะรีเลตหรือเปล่า เลยไม่แน่ใจ อยากให้เปลี่ยนเพลง

“เราก็ไม่ยอมเปลี่ยน บอกเขาว่าไม่ได้ มันต้องเพลงนี้เท่านั้น ไม่มีเพลงไหนเหมาะกว่านี้แล้ว เราก็บอกว่าคุณไม่รู้จักถูกแล้ว เพราะเราตั้งใจให้คุณไม่รู้จัก แต่มันเพราะใช่มั้ย ก็ยื้อกันไป ถกกันไป แล้วคุณนกก็พูดขึ้นมาว่า เพลงนี้พี่คุ้นๆ นะ แต่พี่ก็จําไม่ได้เหมือนกัน แต่คุ้นมาก เป็นเพลงรุ่นพี่ใช่มั้ย เราบอกว่าใช่ เขาก็บอกว่า ‘นี่ไง พี่ยังไม่รู้จักเลย’ เราก็คิดในใจว่า ฉิบหายแล้ว คนหัวโต๊ะบอกว่าไม่เคยได้ยินก็น่าจะหลุดแล้ว

“แล้วคุณนกก็พูดขึ้นมาว่า ‘แต่ตอนที่บอดี้สแลมปล่อยเพลงใหม่ ทุกคนก็ไม่เคยได้ยินเพลงนั้นใช่ไหม’ แล้วก็บอกว่า ‘เพลงเพราะคือเพลงเพราะค่ะ ได้ยินเมื่อไหร่ก็เพราะ’ โอ้โห คมโคตรๆ เพลงเพราะคือเพลงเพราะ ได้ยินเมื่อไหร่ก็เพราะ เพราะฉะนั้นถ้าเพลงมันเพราะจริงเดี๋ยวมันก็ดังใหม่ จบ

“แล้วเพลงมันก็กลับมาดังจริงๆ เพราะมันส่งหนังทั้งหมดเลย คีย์เวิร์ดคือ ถ้าเพลงเพราะเปิดเมื่อไหร่มันก็เพราะ และนอกจากคํานี้ก็คือเพลงมันส่งหนัง เราว่าเขากลับไปที่ objective แล้วเนื้อเพลงมันพูดเรื่องการรอจริงๆ ซึ่งมันคือหัวใจของหนังเรื่องนั้น เขายึดจาก objective 

“เราพูดเสมอว่าคอมเมนต์ที่ดีอาจไม่ใช่คอมเมนต์ที่ถูกใจเรา คอมเมนต์ที่ดีคือคอมเมนต์ที่ขัดใจเราแต่เราต้องยอมทํา เพราะมันสมเหตุสมผล แล้วเราเถียงไม่ขึ้น แต่คอมเมนต์ที่แย่คือคอมเมนต์ที่เราไม่รู้จะแก้ไปทําไม แต่เราต้องแก้ 

“หลังออกจากห้องประชุมวันนั้นเรารู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันทรงคุณค่าสําหรับเรามาก เราไม่อยากพูดแบบนี้นะ แต่เรารู้สึกจริงๆ คือบางทีที่เราเจองานแย่ๆ เราจะคิดว่าอดทนไว้นะวิชัย เดี๋ยวงานหน้ามึงจะได้เจอลูกค้าแบบคุณนก”

3 เรื่องสำคัญต่อการค้าไทย เมื่อเกมการค้าโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจไทยทำยังไงไม่ให้ตกขบวน 

ไทยเราอาจบอกว่าตนเองเด่นเรื่องเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว แต่ทั้งจากการเมืองภายใน การเมืองภายนอก ข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ภาษีทรัมป์ ไปจนถึงกฎระเบียบต่างๆ ในตลาดสากล เราอาจต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่าจุดยืนด้านการค้าของเราอยู่ที่ตรงไหน  

เป็นเหตุผลให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD จัดงาน ITD Research Forum 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและนำเสนองานวิจัย พร้อมถ่ายทอดมุมมองจากนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้กำหนดนโยบาย ต่อโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยและอาเซียนในอนาคต 

ตลาดโลกให้ความสำคัญกับอะไร ไทยเราควรยืนอยู่ที่จุดไหน คอลัมน์ Recap ตอนนี้ขอพาไปสำรวจ 3 เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

1. ไทยต้องกระจายความเสี่ยงและค้นหาตลาดใหม่ ซึ่งตลาดนั้นอาจเป็น wellness 

ระบบการค้าโลกกำลังรีเซตจากหลายปัจจัย ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามภาษี เช่น กรณีสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีกับหลายประเทศ, การแข่งขันด้านเทคโนโลยีของมหาอำนาจ และการเปลี่ยนจากการใช้กฎพหุภาคี ไปสู่การเจรจาทวิภาคีหรือพหุภาคีขนาดเล็ก นั่นหมายความว่าไทยไม่สามารถพึ่งพาตลาดเดิมๆ ได้ ต้องกระจายความเสี่ยง ค้นหาตลาดใหม่ และพร้อมเข้าสู่การเจรจาความตกลงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

หากดูที่กลยุทธ์ของประเทศมหาอำนาจอย่างจีน จะเห็นว่าภายในปี 2025 จีนพยายามพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างน้อย 70% ภายในปี 2049 จีนต้องการยึดส่วนแบ่งและผู้นำในตลาดโลกซึ่ง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จีนต้องการเป็นที่หนึ่งให้ได้นั้น ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูง, เครื่องจักรกลอัตโนมัติและหุ่นยนต์, อากาศยานและอวกาศ, อุปกรณ์ทางทะเลและการขนส่งไฮเทค, ระบบรางสมัยใหม่, ยานยนต์และอุปกรณ์พลังงานใหม่ (NEV/EV), อุปกรณ์พลังงาน, เครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร, วัสดุใหม่และไบโอฟาร์มา

ความหมายของกลยุทธ์นี้คือซัพพลายเชนระดับโลกของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะพึ่งพาจีนมากขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อไทยและทำให้ไทยต้องเลือกบทบาทในซัพพลายเชนให้ชัดเจน เราจะเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้าทั่วไปที่แข่งขันด้านราคา หรือจะก้าวไปสู่การขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเราจะผนวกสินค้าไทยเข้าไปในห่วงโซ่การผลิตที่มีคุณภาพของโลกได้ยังไงบ้าง เพราะไม่เช่นนั้น ไทยเราอาจถูกบีบให้เป็นแค่ซัพพลายเออร์ราคาถูกโดยไม่มีอำนาจต่อรอง

หนึ่งในข้อเสนอคือการที่ไทยควรลดการพึ่งตลาดสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงตลาดและกติกา, ยกระดับเกษตรสมัยใหม่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี, พัฒนาโลจิสติกส์ราง–ท่าเรือ เพื่อเป็นศูนย์ความมั่นคงอาหารของภูมิภาค, ปฏิรูปการศึกษา เพื่อเติมทักษะใหม่ให้แรงงาน, เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานแสงอาทิตย์, เปลี่ยนโมเดลเติบโต จากขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมส่งออก ไปเป็น ‘เศรษฐกิจฐานสุขภาวะ’ หรือ wellness-driven 

เหตุผลที่ต้องเป็นเรื่องเศรษฐกิจฐานสุขภาวะ เพราะสอดรับโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และแนวโน้มบริการในตลาดโลกโตต่อเนื่อง ซึ่งไทยอาจได้ประโยชน์จากทั้งบริการทางการแพทย์, อุปกรณ์การแพทย์เฉพาะทางที่ไทยมีศักยภาพ, ธุรกิจสปา นวด, อาหาร, แพทย์แผนไทยและสมุนไพร ซึ่งทั้งหมดนี้เสี่ยงโดนภาษีสหรัฐฯ น้อยกว่า ทั้งยังไม่ต้องชนโดยตรงกับจีนที่มีกำลังการผลิตมหาศาล 

ไทยยังมีทุนทางวัฒนธรรมและเด่นเรื่องงานบริการอยู่แล้ว หากวางมาตรฐาน สร้างความน่าเชื่อถือ และเชื่อมกับระบบประกันและท่องเที่ยวคุณภาพได้ ก็อาจเป็นแพลตฟอร์มบริการระดับภูมิภาคได้ 

2. ไทยต้องสร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงานให้ได้

หลายประเทศพัฒนาแล้วกำลังเรียกร้องให้ประเทศคู่ค้าเปิดเผยที่มาของวัตถุดิบ ยกระดับมาตรฐานแรงงาน รวมถึงลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม 

ที่ผ่านมามีกฎระเบียบออกมามากมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น กฎ CBAM ของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism ซึ่งเป็นกลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตในยุโรปเสียเปรียบ เพราะธุรกิจในสหภาพยุโรปต้องลงทุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่สินค้านำเข้าจากประเทศอื่นอาจยังผลิตแบบปล่อยคาร์บอนสูง มาตรการนี้ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าประเภทเหล็ก, ซีเมนต์, ไฟฟ้า, อะลูมิเนียม ซึ่งไทยเองก็เป็นผู้ผลิตหลัก กลุ่มสินค้าประเภทนี้จึงเริ่มปรับตัวแล้ว

แต่สำหรับธุรกิจประเภทอื่นๆ การผลิตสินค้าต่อจากนี้ไม่ใช่แค่ต้องมีคุณภาพสูงตามสเปก แต่ต้องมีธรรมาภิบาล ต้องตรวจสอบได้ หากไม่ทำ ธุรกิจนั้นๆ จะถูกกีดกันจากตลาดพรีเมียมทันที ธุรกิจที่จะอยู่ต่อได้ จะต้องสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง กล่าวคือทั้งวัตถุดิบและกระบวนการผลิตต้องปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุด 

มากไปกว่านั้น อีกโจทย์ใหญ่ของไทยยังคือการพัฒนาแรงงาน เพราะการดึงดูดบริษัทจากประเทศมหาอำนาจทั้งหลายมาลงทุนในไทยต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะ หากไม่ upskill หรือ reskill แรงงาน ให้มีทักษะที่ตลาดแรงงานในระดับโลกต้องการ เช่น ทักษะ AI, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, เทคโนโลยี จะกลายเป็นคอขวดต่อการเติบโต

3. ไทยจะปรับตัวได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  

ด้วยมาตรการทั้งหลายเหล่านี้ ธุรกิจไทยไม่สามารถขยับได้ด้วยตนเอง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ฝั่งแม่งานอย่าง ITD ต้องทำให้ข้อมูลวิจัยเชื่อมโยงกับนโยบายจริง เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่นๆ นำไปใช้กำหนดทิศทางในอนาคต  

ฝั่งภาครัฐก็ควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนผู้ผลิตไทย โดยจัดหาคำปรึกษาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมาตรการสนับสนุนการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งควรมีการถ่ายทอดความรู้และการศึกษาให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และช่วยเหลือในการปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานที่เกิดขึ้นในระดับสากล  

ทั้งหมดนี้ คือแนวทางที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเศรษฐกิจไทยควรจะไปทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนขั้วการเมืองอีกครั้ง อาจต้องลุ้นว่าการปรับตัวให้เร็วของทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน จะต้องชะงักอีกครั้งหรือไม่

คุยหลักการทำธุรกิจร้านชำกับทีม ‘เดอะมนต์รักแม่กลอง’ ถึงการยืนหยัดทำธุรกิจที่ ‘ไม่มีอนาคต’ 

ทุกวันนี้คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำปลาที่ปรุงอาหาร หรือน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมในขนมไทย มีเรื่องราวยังไงก่อนเดินทางมาถึงครัวของเรา

ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมซื้อของกินสำเร็จรูปมากกว่าการทำเอง The Monrak Maeklong Grocer หรือ ‘เดอะมนต์รักแม่กลอง’ เป็นร้านชำที่ใช้น้ำปลา น้ำตาล กะปิ และวัตถุดิบท้องถิ่นอื่นๆ เป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวระบบเศรษฐศาสตร์ของคนตัวเล็กตัวน้อย และความสำคัญของสินค้าถิ่นนิยมที่สนับสนุนวิถีชีวิตของชุมชน

แม้คอนเซปต์ของร้านชำแห่งนี้จะฟังดูเท่ แต่เบื้องหลังสินค้าแสนเก๋ในร้านอย่าง ‘ยิ้มทั้งน้ำตาล’ คือรอยยิ้มทั้งน้ำตาของทีมผู้ก่อตั้งร้านชำที่ทุ่มเทเพื่อรักษาภูมิปัญญาการทำอาหารจากธรรมชาติไว้ให้คงอยู่ต่อไปให้ได้นานที่สุด

ทีมเดอะมนต์รักแม่กลองบอกกับเราว่า ธุรกิจนี้ไม่มีอนาคต วันข้างหน้าอาจไม่เหลือผู้ผลิต ทุกวันนี้ไม่ได้ทําธุรกิจตามหลักการตลาด ไม่มีองค์ประกอบสูตรสําเร็จตามหลักการธุรกิจที่ควรจะเป็น และแม้ขายดี ก็อาจไม่ผลิตเพิ่ม ด้านบริหารการเงินก็ยังไม่ผ่าน แต่ก็ยังไม่เจ๊ง แถมลําพังการอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ได้ก็คิดว่าไม่ง่าย แต่ยังอยู่ได้ด้วยการประคองตัวปริ่มน้ำ และอยากพาธุรกิจอยู่รอดให้ได้ต่อไปเพราะมีผู้ผลิตมากมายหลังบ้านที่อยากพาเติบโตไปด้วยกัน

ในโอกาสของขวบปีที่ร้านขยับขยายเข้ามาที่กรุงเทพฯ ณ หมู่บ้านสัมมากร เราอยากชวนทุกคนมาพูดคุยกับ หนู–ภัทรพร อภิชิต และ นก–นิสา คงศรี ที่ก่อตั้งเดอะมนต์รักแม่กลองร่วมกับโจ–วีรวุฒิ กังวานนวกุล ก๊อก–กึกก้อง เสือดี และ จิ๊บ–สรรวรส ชัยชวลิต ในวันแรกเริ่มธุรกิจ

หนูเล่าหลักการทำธุรกิจสไตล์สวนกระแสของทีมว่า “ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่มีใครในหมู่พวกเราเคยเรียนธุรกิจมาก่อนเลย ความประหลาดของการทำธุรกิจแบบเดอะมนต์รักแม่กลองคือบางทีมันก็มองข้ามหลักการไป ไม่ได้คํานึงถึงกําไรสูงสุดเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เพราะสิ่งสำคัญกว่าคือ เรายังศรัทธาในสิ่งที่ทำอยู่รึเปล่า 

“มันไม่ใช่การพูดว่าเราเป็นคนดี แต่เราข้ามเรื่องทำเพื่อหาเงินไปแล้ว เพราะงานที่เราได้เงินเยอะเราก็เดินจากมา ถ้างานนั้นไม่มีความหมายกับเรา”

พวกเขาไม่ได้เป็นนักธุรกิจตั้งแต่ต้น แต่เริ่มจากการเป็นนักเล่าเรื่องที่ทำงานแบบอาสาสมัครร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อนจะก่อตั้งบริษัทร่วมกันเพราะอยากเลี้ยงตัวเองและยืนบนขาของตัวเองให้ได้ด้วยเป้าหมายที่รัก และอยากให้ร้านชำแห่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อนเล็กๆ ในจักรวาลที่บอกว่าธุรกิจที่ดียังมีอยู่จริง

ต้นทุนทางธุรกิจจากสินทรัพย์ธรรมชาติ

‘ต้นทุนทางธุรกิจของคุณคืออะไร’ 

นี่คือคำถามที่สื่อธุรกิจอย่าง Capital มักเฝ้าเวียนถามธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม บางธุรกิจสร้างตัวด้วยเงินทุน คอนเนกชั่น ความรู้ เทคโนโลยี หรือแม้แต่มรดกจากธุรกิจครอบครัว แต่สำหรับเดอะมนต์รักแม่กลอง หนึ่งในต้นทุนทางธุรกิจที่สำคัญคือทรัพยากรธรรมชาติ

แม่กลองเป็นเมืองที่มีระบบนิเวศแบบสามน้ำ แม่น้ำไหลผ่านและปากน้ำเชื่อมออกทะเล ทำให้มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมถึงลำคลองย่อยที่คนอาศัยมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดของไทยที่ผลิตเกลือทะเลเลี้ยงทั้งประเทศได้ เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และผู้คนอิงอาศัยระบบนิเวศอย่างใกล้ชิด

ที่นี่ไม่ได้ทำเกษตรเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่เหมือนจังหวัดอื่น แต่เป็นพื้นที่เกษตรแบบผสมผสาน ชาวบ้านในแต่ละพื้นที่จึงทำอาชีพแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม ทั้งประมงน้ำจืด น้ำเค็ม ชายฝั่ง ปลูกมะพร้าว ไม้ผล ส้มโอ ลำไย และพืชล้มลุก ชีวิตของคนแม่กลองผูกพันกับการทำของสดจากแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าการสร้างสรรค์งานหัตถกรรมยามว่างจากการทำเกษตรเหมือนหลายพื้นที่

หนูเล่าว่าต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความโชคดี แต่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านในการต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ท่ามกลางจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ หลายแห่งที่เผชิญกับความเจริญของเมือง ทั้งโครงการรัฐที่สร้างโรงไฟฟ้า เขื่อน หรือแผนพัฒนาเมืองให้ก้าวหน้าในมุมโลกทุนนิยม โชคดีที่คนแม่กลองลุกขึ้นสู้เพื่อรักษาบ้านเกิด จึงยังไม่กลายเป็นเมืองแห่งโรงงานอุตสาหกรรม

แม้อาชีพทำเกลือจะถูกกดราคาจนขายขาดทุน ผู้ผลิตแทบไม่เคยมีสิทธิ์ต่อรองและลืมตาอ้าปาก หลายคนเลือกขายที่นาเกลือราคาสูงเพื่อแปลงที่ดินไปทำกิจกรรมอื่นที่ให้ผลกำไรมากกว่า แต่ก็ยังมีผู้ผลิตชาวแม่กลองที่ยืนหยัดรักษาภูมิปัญญาการทำเกลือทะเลดั้งเดิมเอาไว้

สินค้าของชุมชนแม่กลองยังมีทั้งหมวดที่หมุนเวียนตามฤดูกาลและที่ผลิตได้ตลอดปี โดยคำนึงถึงวัฏจักรของธรรมชาติ แม้จะเก็บมะพร้าวได้ตลอดปี ชาวบ้านก็เว้นช่วงพักต้นมะพร้าวให้สวนฟื้นตัว พร้อมสลับปลูกผลไม้ตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน ความเป็นแหล่งผลิต และความหลากหลายทางภูมิปัญญาอาหารของแม่กลอง

นวัตกรรมสินค้าถิ่นนิยมจากลุง ป้า น้า อา  

หากพูดถึงคำว่า ‘นวัตกรรม’ หลายคนอาจนึกภาพการพัฒนาสินค้าใหม่ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า การสร้างแอพพลิเคชั่นหรือแพลตฟอร์มใหม่ แต่ความจริงแล้ว นวัตกรรมคือวิธีคิดใหม่ที่เพิ่มมูลค่า เพิ่มคุณค่า และเป็นแรงกระเพื่อมต่อวงการนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่

ทุกวันนี้แค่เดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตก็พบสินค้ามากมายที่เก็บได้นานและราคาย่อมเยา แต่ pain point ตลอดมาของผู้บริโภคคือการหาซื้อสินค้าของแท้จากธรรมชาติไม่ได้ แม้จะมีกระแสตื่นตัวถึงความไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพในอาหารแปรรูปสูง (ultra-processed food) มากขึ้นก็ตาม 

เมื่อเทียบราคาของสินค้าวัตถุดิบในครัวเรือนอย่างน้ำปลาและน้ำตาลแล้ว ราคาบนฉลากของร้านชำอย่างเดอะมนต์รักแม่กลองถือว่าแพงกว่าร้านทั่วไป พอจะเดากันได้ไหมว่าทำไมถึงแพงกว่า เป็นเพราะสูตรพิเศษ แบรนดิ้ง ผู้ผลิตคนพิเศษ หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ?

ในโลกที่เต็มไปด้วยอาหารแปรรูปที่ใส่สารกันบูด คำตอบนั้นแสนเรียบง่าย คือแทบไม่มีใครผลิตน้ำปลาแท้ น้ำตาลมะพร้าวแท้ กะปิแท้ หรือของแท้จากธรรมชาตินั่นเอง

หนูเล่าว่าแม้จะมีโรงน้ำปลาเก่าแก่หลายเจ้ามากมายในจังหวัด และคนแม่กลองแต่ละบ้านนิยมหมักน้ำปลากินเอง อาชีพผลิตน้ำตาลนิยมทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในจังหวัด มีการผลิตน้ำตาลเยอะทุกวันจนจังหวัดสมุทรสงครามเคยติดอันดับเสียภาษีเยอะเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ แต่ก็ยังมีคนในจังหวัดส่วนน้อยมากที่ทำของแท้จากธรรมชาติ
ความตั้งใจของเดอะมนต์รักแม่กลองจึงเป็นการนำเสนอสินค้าที่รักษาความดั้งเดิมจากธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด โดยสินค้าแรกที่นำมาขายคือ หัวน้ำปลาแท้ตราผู้ใหญ่แดง

“ผู้ใหญ่แดง (วิสูตร นวมศิริ) ไม่ได้ทำอาชีพหมักน้ำปลาเป็นหลัก เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งที่มีหมู่บ้านตั้งอยู่ริมชายทะเล แล้วเจอปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่ง จึงเริ่มจากโครงการเล็กๆ ปักไม้ไผ่ทำกำแพง แล้วปลูกป่าชายเลนด้านในเพื่อปกป้องชายฝั่งจากน้ำกัดเซาะ ซึ่งเป็นปัญหาของลูกบ้าน เขาปลูกป่ามาเรื่อยๆ จนขยายเป็นหลายสิบหลายร้อยไร่ พอป่าฟื้นขึ้นมา ทรัพยากรกลับมา ปลาอกกะแร้ซึ่งหายไปนานมากก็เริ่มกลับมา แกเลยเอามาทดลองหมักน้ำปลาเหมือนที่เคยกินตอนเด็ก

“เป็นสินค้าที่เขาไม่ได้คิดขาย แต่รสชาติออกมาอร่อย เราก็เลยขอเอามาขาย กลายเป็นสินค้าตัวแรก
ซึ่งความจริงแล้วเวลาเราขายน้ำปลาหรือเวลาเรานําเสนอสินค้า เราไม่ได้พูดถึงแค่น้ำปลาหรอก น้ำปลาเป็นเครื่องมือ แต่เราพยายามบอกว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไง และสุดท้าย รายได้จากน้ำปลา ทุกขวดก็ย้อนกลับไปที่กองทุนที่ดูแลป่า”

เช่นเดียวกัน กะปิแท้ที่ไม่ผสมสารแปรรูปก็หาได้ยากแม้แต่ในพื้นที่ หลายเจ้าผสมเนื้อปลา เนื้อกุ้งในกะปิเพื่อเพิ่มกําไร เดอะมนต์รักแม่กลองจึงนำเสนอ ‘กะปิเคยตาดำ ตราป้าบุญช่วย’ ซึ่งใช้เคยตัวเล็ก ละเอียด และมีเอกลักษณ์ในกระบวนการทำ 

“ป้าบุญช่วยทำกะปิมาตั้งแต่เกิดจากการเห็นพ่อแม่ทำ ทุกวันนี้แกก็ยังคงทำเองตั้งแต่ขึ้นเรือ ดักจับเคย จนถึงอัดใส่กระปุกขาย คนแบบนี้หายากเต็มที”

นอกจากนี้ ร้านชำแห่งนี้ยังคัดสรรสินค้าท้องถิ่นอื่นๆ ที่หาจากที่ไหนไม่ได้มาจำหน่าย เช่น น้ำส้มหมักจากน้ำตาลมะพร้าวของครูปรีชา และมะนาวดองตราเขยแม่กลอง ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมที่สืบต่อกันมานานในพื้นที่โซนน้ำจืดที่นิยมปลูกมะนาวผสมในสวนส้มโอ

อีกหนึ่งสินค้านวัตกรรมที่หลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตาหากรู้จักเดอะมนต์รักแม่กลองคือ ‘ยิ้มทั้งน้ำตาล’ ที่ผลิตจากน้ำตาลมะพร้าวแท้ 100% ซึ่งทุกวันนี้มีการต่อยอดเป็น ท็อฟฟี่คาราเมลโฮมเมดที่ต้มและเคี่ยวน้ำตาลเอง รวมถึงไอศครีมยิ้มทั้งน้ำตาล 5 รสชาติ ที่นอกจากผสมนมสดและครีมออร์แกนิก ยังมีรสชาติท้องถิ่น เช่น ไอศครีมรสน้ำปลาตราผู้ใหญ่แดง และรสคาราเมลดอกเกลือ

ทำธุรกิจแบบพอใจ

สินค้าหลายอย่างของเดอะมนต์รักแม่กลองมีอายุสั้น (short product life cycle) เช่น น้ำตาลมะพร้าวที่หากเก็บไว้นานเกินสามเดือนจะเริ่มเกิดตะกอน หรือเพียงแค่สี่สัปดาห์กลิ่นหอมก็เริ่มจาง สีเข้มขึ้น แม้ยังกินได้ แต่ไม่สวยงามพอสำหรับวางขาย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ธุรกิจต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ คอยประเมินว่าสินค้าในแต่ละช่วงควรสั่งจำนวนเท่าไหร่จึงจะพอดี ไม่น้อยจนขาดมือ และไม่มากเกินไปจนธุรกิจเสียหาย

นี่คือความท้าทายของการทำธุรกิจในแบบเดอะมนต์รักแม่กลอง ที่เต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อมจากธรรมชาติ ทุกอย่างไม่สามารถสต็อกไว้ล่วงหน้าได้มากนัก ต้องคิดเผื่อถึงผลกระทบรอบด้าน และเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นตามจังหวะของธรรมชาติอยู่เสมอ

ทั้งคู่บอกว่าหลักการทำธุรกิจของเดอะมนต์รักแม่กลองคือ ‘ทำธุรกิจแบบพอใจ’ ทุกฝ่ายอยู่ได้ พึ่งพาอาศัยกันได้ และเป็นการค้าที่เป็นธรรม แม้บางครั้งสินค้าจะขายดีมาก คำถามที่ตามมาคือ ควรเพิ่มปริมาณแค่ไหนถึงจะพอดี เพราะยอดขายไม่ได้หมายความว่าควรเร่งผลิตให้มากที่สุดเสมอไป สิ่งสำคัญคือการย้อนถามตัวเองเสมอว่าพอดีสำหรับใคร

หากบวกราคาเยอะเกินไปก็เท่ากับเอาเปรียบผู้บริโภค หากอยากลดราคามาก เพื่อขายปริมาณเยอะขึ้นและกำไรที่มากขึ้น ก็มักนำไปสู่การลดคุณภาพ เช่น การผสมน้ำตาลทรายในน้ำตาลมะพร้าวแท้ ซึ่งไม่ใช่วิถีที่พวกเขายึดถือ และแม้สินค้าจะขายดีมาก แต่ถ้าเพิ่มกำลังผลิตเยอะเกินไปจนผู้ผลิตเครียด เสียสมดุลชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน

เดอะมนต์รักแม่กลองจึงคำนึงถึงธรรมชาติเป็นหลัก หากปีไหนมีปลาน้อย ก็หมักได้เท่าที่มี ถ้าลมแรงออกเรือไม่ได้ ก็ยอมไม่มีสินค้าในปีนั้น หนูบอกว่าสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากที่สุดคือการรักษาสมดุลให้อยู่รอดโดยไม่กลายเป็นธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว เพราะการคิดถึงแต่คุ้มทุนและกำไร มักนำไปสู่การกดราคาต้นทางหรือเอาเปรียบผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากทำ

ความท้าทายจึงอยู่ที่การหาสมดุลของธุรกิจที่เปรียบเหมือนเรือที่โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลาให้เดินต่อไปได้ โดยยังรักษาใจตัวเองในฐานะผู้ประกอบการให้ดี ไม่กดดันผู้ผลิต ไม่ลดคุณภาพ ทุกอย่างที่ขายต้องเป็นของแท้จริงๆ แม้มันไม่ง่าย ทั้งในแง่การจัดการของตัวเองและการสื่อสารกับผู้ผลิต แต่ก็เป็นวิถีที่อยากยึดถือ เพราะคือหัวใจของการอยู่รอดอย่างมีคุณค่าโดยไม่ทิ้งวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดในสโลแกนของเดอะมนต์รักแม่กลองที่หนูให้คำนิยามว่าเป็นสื่อชุมชนเพื่อสังคมอุดมคติ “สังคมอุดมคติไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด สำหรับเรามันคือสังคมที่คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แบ่งปันและเกื้อกูลกัน ไม่ใช่แค่ใครบางคนมีความสุขหรือบางคนถูกกดขี่ เราอยากอยู่ในสังคมแบบนั้น มันไม่ใช่เพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ตั้งแต่วันแรกที่ทำก็ยังเป็นความตั้งใจเดิมที่ไม่เปลี่ยนไปเลย”

การตลาดคือการหากันจนเจอ  

คุยมาถึงตรงนี้ ก็จะเห็นได้ว่าคำถามสำคัญคือ ธุรกิจเล็กๆ อย่างเดอะมนต์รักแม่กลองจะขยายต่อไปได้ยังไง ในเมื่อโรงงานใหญ่ผลิตได้จำนวนมากกว่า ราคาถูกกว่า ตลาดก็มีเพดานราคาและข้อจำกัดมากมาย แล้วเหล่าลุง ป้า น้า อา ผู้ผลิตตัวเล็กๆ จะอยู่ได้ยังไงในโลกความเป็นจริง

หนูตอบไว้ว่า “เราไม่ได้อยากขยาย แต่อยากทําให้ธุรกิจมันเต็ม กลม ครบ เท่าที่เราคิดว่ามันควรจะเป็นและควรจะมี เราอยากมีร้านหรือสถานที่เซนเตอร์สักที่ อย่างหมู่บ้านสัมมากรที่คนจะเข้าถึงเราได้ หาซื้อสินค้าเราได้ มีประสบการณ์มากินด้วยตัวเอง อยากให้มุมคาเฟ่เป็นพื้นที่ที่เอาวัตถุดิบดีๆ มาใช้เป็นเครื่องมือให้คนกินแล้วสนุก ตื่นเต้น เป็นรสชาติที่คนเข้าถึงได้ ซึ่งมันก็ยังสร้างสรรค์ออกมาได้อีกมากมายเรื่อยๆ”

หากย้อนกลับไปวันแรก The Monrak Maeklong ไม่ได้เริ่มต้นจากร้านชำ แต่เริ่มจากทำนิตยสาร ‘มนต์รักแม่กลอง’ ที่เล่าเรื่องท้องถิ่น เพราะเห็นว่าแม่กลองมีวัตถุดิบให้เล่าเรื่องเต็มไปหมด เหมือนต้นฉบับชั้นดีที่รอให้ถ่ายทอด

หนูได้แรงบันดาลใจในการเล่าเรื่องตั้งแต่เห็นตลาดน้ำอัมพวาในวันที่ยังไม่โด่งดัง และมองเห็นว่าวันข้างหน้าไม่อยากให้คุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นสูญเสียไปเมื่อความนิยมมากขึ้น ไปจนถึงความประทับใจที่เห็นคนในพื้นที่ลุกขึ้นมาปกป้องบ้านตัวเองจากการต่อต้านโครงการสร้างโรงไฟฟ้า

ความเชื่อในพลังของสื่อสำหรับทีมจึงไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่เป็นการเชื่อมโยงผู้คนให้เห็นคุณค่าและเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ท้องถิ่น และสิ่งแวดล้อม ทำให้สิ่งที่ทำมีความหมายยาวนานกว่าผลลัพธ์ทางธุรกิจ

“ร้านชําของเรามันไม่ใช่แค่ร้านที่จะขายของหรอก แต่ว่ามันเป็นช่องทางในการสื่อสัมพันธ์ เราอยากมีช่องทางขายออนไลน์อย่างเพจในโซเชียลมีเดียและมาร์เก็ตเพลซ สําหรับคนระยะไกล เราอยากมีกิจกรรมทัวร์ทัศนาจรต่างๆ ในสมุทรสงครามเพราะอยากให้คนได้เข้าไปสัมผัสพื้นที่ด้วยตัวเอง เราอยากมีสื่อเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดในแง่ว่าเราอยากขยายหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าควรทําสิ่งนี้ในงานของเรา

หน้าที่ของร้านชำท้องถิ่นจึงเปรียบเสมือนคนกลางที่เชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคให้เข้าใกล้กันมากขึ้น จากที่ตลาดมีดีมานด์ มีคนต้องการหาซื้อของแท้จากธรรมชาติ แต่หลายครั้งก็หากันไม่เจอ หาซื้อไม่ได้ การตลาดของเดอะมนต์รักแม่กลองจึงเป็นการเชื่อมโยงคนท้องถิ่นที่ใจรักทำของแท้กับผู้บริโภคช่างเลือกที่ยอมจ่ายเพื่อแลกกับคุณภาพให้ได้เจอกัน

ดังนั้นการนำสินค้าของร้านไปวางขายที่คอนเซปต์สโตร์สุดเก๋อย่าง FRIEND FRIEND ที่เอ็มโพเรียม และ all kinds ย่านทองหล่อ รวมถึงการออกบูทตามงานต่างๆ จึงช่วยให้เดอะมนต์รักแม่กลองได้พบลูกค้าใหม่ทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบน้ำปลาและกะปิของไทย

นกเล่าว่าหนึ่งในเรื่องราวที่สะท้อนคุณค่าของสินค้าคือ ลูกค้าร้านก๋วยเตี๋ยวรายหนึ่งที่ใช้แต่น้ำตาลมะพร้าวแท้ของเดอะมนต์รักแม่กลองมาตลอดกว่า 5 ปี เจ้าของร้านยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนไปใช้น้ำตาลจากที่อื่น และยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นเชฟสายละเมียดละไมในการเลือกวัตถุดิบทางอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เชฟจากสิงคโปร์ที่สั่งน้ำตาลครั้งละเป็นปี๊บ สั่งน้ําปลาเป็นแกลลอน สั่งกะปิและเกลือไปใช้ในร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเชฟชื่อดังจากเชียงใหม่ที่ยังคงเป็นลูกค้าประจำ

แม้ธุรกิจอาหารที่เลือกใช้วัตถุดิบแท้แบบนี้อาจไม่ใช่ตลาดใหญ่ แต่ก็เป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายในราคาสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าประจำเหล่านี้ให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์จริงใจในคุณภาพ เรื่องเล่า ที่มาของสินค้า และการที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคซึ่งใส่ใจคุณภาพหากันจนเจอ ก็สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าแบรนด์และลูกค้าจะอยู่ห่างไกลเพียงใด ระยะทางที่ห่างไกลจากแม่กลองไปสิงคโปร์ก็สามารถถูกย่อให้ใกล้ขึ้นได้ เพราะผู้คนที่มีคุณค่าภายในตรงกันย่อมตามหากันจนเจอ

ธุรกิจคือการทำสิ่งที่ไม่ชอบ

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาในการทำร้านชำของเดอะมนต์รักแม่กลองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่ทุกวันเต็มไปด้วยความท้าทาย นกเชื่อว่าการทำธุรกิจคือลงมือทำอยู่กับความเป็นจริงไม่ใช่ความฝัน สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจคือเรียนรู้ชีวิต 

“โอ้โห พูดแล้วมันจะหนักนะ เอาจริงๆ 5 ปีที่ทำมานะ คือพี่ทิ้งงานที่กำลังรุ่งเพื่อจะมาอยู่บนหลังแม่กลองกับพี่หนู ตลอด 5 ปีที่ทำมา พี่ไม่เคยมีวันที่จะไม่อยากทำ แต่ถามว่าเรียนรู้อะไร เรียนรู้ชีวิต สิ่งที่เรียนรู้มันใหญ่เบอร์นั้นน่ะ แต่ชีวิตประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ชีวิตจริงๆ นะ ที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเพ้อฝัน คือเราต้องทำสิ่งที่เราไม่ชอบ

“เมื่อคุณจะทำอะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณต้องหาเป้าหมายให้เจอก่อนและตอบคำถามให้ได้ว่าคุณอยากทำอะไร อย่างพี่เคยกำกับหนังมาแต่ต้องมาทำบัญชี รู้สึกงอแงมากเลย ไม่อยากทำ ไม่ทำได้มั้ย ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ จนกระทั่งวันนี้มันคืองานหลัก งานโปรดักชั่นคืองานรองไปแล้ว 

“แน่นอนว่าพอเราเป็นคนสายโปรดักชั่นมาก่อน เราก็อาจจะอยากทำรายการแม่กลองยั่งยืน หรืออย่างพี่หนูชอบทำหนังสือและชอบแพ็กของ แต่พี่หนูก็ต้องบันทึกการขาย ถ้าเราอยากขับเคลื่อน ‘เดอะมนต์รักแม่กลอง’ ซึ่งไม่ใช่ขับเคลื่อนเมืองแม่กลองนะ เราต้องรู้ว่าการจะขับเคลื่อนธุรกิจนี้ได้ มันต้องทำอะไรบ้าง แล้วมันจะมาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจเสมอ”

การเรียนรู้ไม่เคยหยุดอยู่แค่สิ่งที่ถนัด แม้แต่การทำร้านชำก็ต้องกล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนในความถนัดของตัวเองบางอย่างเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้

“ในขณะที่พี่อายุ 57 พี่ต้องเข้าไปเรียนโซเชียลมีเดียใหม่หมดเลย พี่ต้องเข้าใจว่า เฟซบุ๊กทําหน้าที่อะไร X และ TikTok คืออะไร โลกมันไปถึงไหน เพื่อจะเข้าใจทุกแพลตฟอร์มว่า ถ้าเราทําสื่อแบบนี้มันเหมาะกับยุคนี้มั้ย ความคิดเราเก่าไปแล้วมั้ย เราต้องทําอะไรใหม่หรือยัง ทําจนให้รู้ว่าต้องปั่นคอนเทนต์ขนาดไหน โดยที่ไม่ได้มีการซื้อสื่อ ส่วนพี่หนูก็มุดเข้าไปใน Shopee และ LINE เพื่อเรียนรู้ ซึ่งคิดดูว่าคนรุ่นพี่ต้องมานั่งเรียนใหม่ 

“สิ่งที่ทำอยู่ทั้งหมดเหล่านี้เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งในการทำธุรกิจ แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจสิ่งที่คุณเรียนรู้ในชีวิต คุณก็พาธุรกิจไปไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่เข้าใจเพื่อนร่วมงานก็พามันไปต่อไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดของเดอะมนต์รักแม่กลอง คือมันไม่แข่งกัน ไม่ฆ่ากัน จนก็จนไปด้วยกัน ศรัทธาและสนุกในสิ่งที่ทํา คุยแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้ไฟในการทำงานปะทุ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ไม่หมกมุ่นคิดเรื่องเงินจนท้อ รอให้ถึงปัญหาจริง ๆ เดี๋ยวทุกปัญหาก็มีทางออก

“คำว่าสำเร็จไม่มีจริง มีแค่ทำไปต่อวันต่อวัน ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำทั้งหมด สุดท้ายก็ว่างเปล่า แต่แม้ว่ามันว่างเปล่า มันก็ต้องไปต่อแม้ในวันที่กลัวและตื้อมาก วันนี้ต้องยกน้ำตาล 20 กิโลฯ แต่ก็ยังต้องยก การทำธุรกิจคือเรียนรู้การยกของที่หลัง เรียนรู้จิต เรียนรู้ว่ามันเหมือนเป็นมิชชั่นสุดท้ายก่อนที่จะตาย”

ธุรกิจที่ไม่มีอนาคต 

ร้านชำสินค้าท้องถิ่นเป็นธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และยิ่งท้าทายมากขึ้นทุกวัน ปัจจุบันสมุทรสงครามที่เคยเป็นแหล่งน้ำตาลมะพร้าวชั้นดี ก็มีผู้ผลิตของแท้น้อยลงเรื่อยๆ คำว่า ‘น้ำตาลมะพร้าว’ อาจยังคงมีอยู่ต่อไป แต่ผู้บริโภคหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่ารสชาติของแท้นั้นเป็นอย่างไร เช่นกันกับวัตถุดิบประเภทอื่นๆ

นกบอกว่าการที่ทีมเดอะมนต์รักแม่กลองได้สัมผัสเรื่องราวเบื้องหลังและมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผู้ผลิตหลายคนที่ต้องดูแลครอบครัว ทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวของอาหารธรรมชาติเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก แม้ตลาดจะเล็กก็ยังอยากต่อสู้เพื่อให้คงอยู่ต่อไป

“ล่าสุด พี่คุยกับคุณลุงที่ตอนนี้ขายน้ำตาลไม่ได้ แต่ลุงก็ยืนยัน นอนยัน นั่งยันจะไม่มีวันใส่สารกันบูดในน้ำตาล การเคี่ยวตาลแบบปลอดภัยทำให้น้ำตาลของเขาราคาสูง เมื่อก่อนลุงขายน้ำตาลผสมน้ำตาลทรายให้ตลาดหนึ่งที่พอจะขายไปได้ แต่ช่วงโควิด-19 ร้านไม่ซื้อ เราเป็นเจ้าที่เข้าไปคุยว่าไหนๆ น้ำตาลลุงดีอยู่แล้ว ทําน้ำตาลแท้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้เราหน่อย เขาก็ทำกับเรามา 5 ปี ตอนนี้ร้านขนมที่เคยซื้อน้ำตาลลุงล้มหายตายจากไป จนเหลือเราซื้อเจ้าเดียว น้ำตาลผลิตทุกวัน แต่ปัญหาคือขายไม่ได้

“นอกจากลุงเหลยที่เคี่ยวตาล ก็มีอีก 2 ครอบครัวที่เป็นคนขึ้นตาล (ปีนต้นตาล) มีครอบครัวหนึ่งกำลังส่งลูกเรียนเข้าปี 1 ในมหาวิทยาลัย แล้วหมวย ลูกลุงเหลยก็ซื้อน้ำตาลเอามาเคี่ยว คําถามคือถ้าเขาขายไม่ได้ครอบครัวเหล่านี้จะไปขายน้ำตาลเกรดเอที่ไม่ใส่สารกันบูดที่ไหน สิ่งที่อยากต่อยอดคือ เราก็คุยกันว่าอาจจะต้องชวนรุ่นลูกของลุงเหลยอย่างหมวยมาพลิกวิธีผลิตเช่น ผลิตน้ำตาลสดกัน

“สิ่งที่น่าสนใจคือ เราเดินมาถึงจุดที่ผู้ผลิตเริ่มเข้าใจความสำคัญของวิวัฒนาการเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือการเปลี่ยนกลยุทธ์ของสินค้า เพื่อจะให้มันเดินหน้าต่อไปได้ในเจเนอเรชั่นต่อไป ซึ่งถ้าเกิดรุ่นลูกทำต่อไปได้ ก็หวังว่ารุ่นหลานจะพามันต่อไปได้อีก”

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางอาหารสำหรับทีมเดอะมนต์รักแม่กลองไม่ใช่การหยุดอยู่กับที่ แต่เป็นการเดินหน้าต่อ ทั้งนี้นกมองว่า ปัญหาของประเทศคือการสานต่อภูมิปัญญาที่ยาก แม้จะมีนักวิชาการหรือโครงการเข้ามาพัฒนาชุมชน แต่ส่วนใหญ่เป็นแค่แนวคิดสวยงามบนกระดาษ อาจมีโครงการงานวิจัยที่มาพัฒนาแพ็กเกจสวยหรูให้สินค้าท้องถิ่นเป็นครั้งคราว แต่พองานวิจัยจบก็จบไป ไม่ได้ช่วยให้ผู้ผลิตทำต่อเองได้ในระยะยาว บ้านเราจึงขาดตัวต่อที่เข้าใจพื้นที่จริงๆ 

ในขณะที่ฝั่งผู้ผลิตก็สาละวนกับการขึ้นต้นตาล เคี่ยวน้ำตาล หมักน้ำปลา ออกเรือ ทำสวน ไม่มีเวลามาเป็นครีเอทีฟ และมี ‘ตัวต่อ’ ตรงกลางที่เชื่อมระหว่างงานสร้างสรรค์กับการผลิตน้อยมาก

นี่คือเรื่องเล็กๆ ที่เป็นปัญหาระดับชาติ เป็นเรื่องราวเศรษฐกิจของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ทุกอย่างเกี่ยวพันกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิปัญญาการผลิต การรักษาบ้านเมือง และเศรษฐกิจ ที่แม้ทีมเดอะมนต์รักแม่กลองพยายามเปิดตลาด พยายามตะโกนให้คนรู้ว่าของแท้ใกล้จะตายแล้ว ต้องหันกลับมากินของธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำให้ตลาดนี้ใหญ่ขึ้นได้ยังไง

“เราเองก็เป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่เล็กจิ๋วหลิวมาก เป็นหยดน้ำในทะเลแท้ๆ เลย แล้วก็ไปเจอผู้ผลิตที่จิ๋วกว่าเราอีก เดอะมนต์รักแม่กลองเลยไม่มีอนาคตหรอก เพราะไม่รู้ว่าลุง ป้า น้า อา จะหายไปจากเราเมื่อไหร่ เราการันตีอะไรไม่ได้เลย แล้วลูกหลานก็ไม่เอาหรอก ตราบใดที่มันยังขายไม่ได้ 

“ดังนั้นสิ่งที่เรียนรู้จากชีวิตจริงในการทำธุรกิจคือ เมื่อมีหนามอยู่ ก็ต้องเดินอย่างระวัง เรียนรู้ว่าเรืออาจล่ม ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากพามันไป แต่เพราะพายุแรง เราออกจากปากอ่าวแม่กลองมาแล้ว แล่นออกสู่อ่าวไทยก็พอแล้ว เราใช้กำลังทั้งหมดของชีวิต เรียนรู้ในเฟสสุดท้ายของชีวิตว่าเราต้องการอะไร อยากเดินทางไปถึงไหน

“ถ้าวันหนึ่งมันต้องจบ มันก็แค่จบไป สิ่งที่เราทําคือทําวันนี้ให้ดีที่สุดตอนที่เรายังอยู่ และถ้าวันหนึ่งเดอะมนต์รักแม่กลองไม่อยู่แล้ว วันหลังก็ไม่ต้องมาถามหานะ ถ้ามันไม่มีแล้วก็ไม่ต้องมาเสียดายหรอก เพราะทุกสิ่งก็ต้องมีวันหมดไปตามธรรมชาติ”

ทั้งหนูและนกผู้ร่วมก่อตั้งร้านชำแห่งนี้กันมาพูดกับเราด้วยน้ำเสียงสบายๆ แบบไม่เคร่งเครียดว่า “ดูแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าต่อไปธุรกิจจะรอดหรือไม่รอด แต่เราไม่ได้หวั่นไหวอะไร เราจะทําสิ่งที่ทํากันอยู่ตอนนี้เท่าที่ไหว ดังนั้นถ้าวันนี้ยังมีเดอะมนต์รักแม่กลองอยู่ ก็รีบมากินนะ”

Lamunn แบรนด์ที่ก้าวข้ามเพดานมูลค่าขนมไทยในใจคนด้วย customer experience 

รสชาติหวานฉ่ำละลายในปาก สีสันสดใสละลานตา สลักเสลาเป็นลวดลายแลดูประณีตพิถีพิถัน ส่วนราคาก็ต้องย่อมเยา แม้กรรมวิธีการทำจะซับซ้อนไม่แพ้ขนมฝรั่งเลยก็ตาม

นี่คือความคาดหวังต่อขนมไทยในใจคน ที่ทั้ง เบค–รัชชานนท์ วีระวัฒน์ และ ยิว–ประชาโมชญ์ แซ่เตียว Co-founder คู่หูแห่งแบรนด์ Lamunn ต่างคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ยังยืนยันอยากจะทำธุรกิจร้านขนมหวานด้วยกัน โดยมีโรตีสายไหมเป็นตัวชูโรง

เหตุที่เบคและยิวกลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจเริ่มต้นมาจากมิตรภาพในรูปของฝาก เมื่อไหร่ที่ยิวกลับไปเยี่ยมบ้านที่อยุธยา และเมื่อไหร่ก็ตามที่เบคและเพื่อนๆ ตามไปหาเจ้าตัวถึงที่ ขนมไทยชนิดหนึ่งในความทรงจำสมัยเด็กของยิว คือสิ่งที่ทุกคนซื้อติดไม้ติดมือกลับมาคนละชุดสองชุดเสมอ 

โรตีสายไหมนั่นเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โรตีสายไหมซึ่งหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ ในกรุงเทพฯ ได้จุดประกายความสงสัยและบทสนทนามากมายระหว่างสองนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ รู้ตัวอีกทีเบคกับยิวก็เปิดร้าน Lamunn สาขาแรกด้วยกันที่บรรทัดทองเสียแล้ว

ด้วยรูปลักษณ์สินค้าที่ดูสวยงามสะดุดตาและการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ขนมไทยให้ดูพรีเมียม เราตัดสินใจไปเยี่ยม เบคและยิวถึงหน้าร้าน ทั้งเพื่อชิมโรตีสายไหม และเพื่อหาคำตอบว่า 4P+1 เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์น้องใหม่อย่าง Lamunn คืออะไรกันแน่

Product
จับคู่สินค้าที่หาซื้อยากกับประสบการณ์ที่แตกต่าง

‘โรตีสายไหม’ ขนมไทยที่ดูผิวเผินเหมือนวัตถุดิบน่าจะเรียบง่าย แต่กลับหาซื้อในกรุงเทพฯ ได้ยากจนน่าแปลก ถกเถียงกันเองไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้คำตอบเสียที สัญชาตญาณเด็กคณะบริหารในตัวเบคและยิวจึงทำงาน พวกเขาเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของปรากฏการณ์นี้

“คำตอบของคำถามนี้ก็คือ โรตีสายไหมมันทำยากมาก สูตรแป้งโรตีเป็นมรดกที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น บางเจ้ายาวนานระดับ 50-60 ปี ปัจจุบันคนที่ทำเป็นส่วนมากต้องหัดทำกับที่บ้านมาตั้งแต่เด็กๆ พอคนทำเป็นเขาอยู่ที่อยุธยากัน ผนวกกับตัวแป้งโรตีเป็นผลิตภัณฑ์ที่เก็บไว้ไม่ได้นาน กรุงเทพฯ ก็เลยไม่ค่อยมีให้กิน” เบคเป็นฝ่ายเล่าก่อน

“ถ้าย้อนกลับมามองในมุมธุรกิจ ถ้าชิงทำก่อนเราจะมีคู่แข่งน้อย แน่นอนว่ายังต้องแข่งกับขนมหวานชนิดอื่น แต่ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าผมขายบัวลอย เราจะมีคู่แข่งเยอะกว่านี้มาก ผมเลยมองว่าโรตีสายไหมคือโอกาสที่ดีของเรา” ยิวเสริม

ด้วยเหตุนี้ ไอเดียธุรกิจขนมหวานของทั้งคู่จึงย้อนกลับไปตั้งไข่ที่จุดเริ่มต้น นั่นคืออยุธยา จังหวัดบ้านเกิดของยิว ตั้งแต่การตระเวนกินโรตีสายไหมทีละร้าน รวบรวมเอาจุดเด่นของแต่ละเจ้ามาพิจารณา แล้วคิดต่อว่าโรตีสายไหมในอุดมคติของพวกเขาจะต้องมีรสชาติและหน้าตายังไง

สิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่สังเกตและเห็นตรงกันคือรสชาติสัมผัสแป้งโรตีแบบที่พวกเขาชื่นชอบมักเป็นผลลัพธ์จากกรรมวิธีที่ใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย แต่แม้จะตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ เบคกับยิวคิดว่ายังไม่ถึงเวลาเสี่ยงปีนหลังเสือขึ้นไปสูงขนาดนั้น สุดท้ายจึงตัดสินใจพากันไปเรียนนวดแป้งด้วยมือพร้อมกับพนักงานจำนวนหนึ่ง

“อันที่จริงการนวดแป้งด้วยมือก็ถือว่าเป็นกรรมวิธีมาตรฐานของธุรกิจนี้อยู่แล้ว โรตีสายไหมส่วนใหญ่ก็ทำด้วยมือนี่แหละ พอเราเรียนกันจนเป็นก็กลับมาเปิด 

“แต่เช้าวันแรกที่บรรทัดทอง เราชิมเองก่อนเปิดขายยังรู้เลยครับว่าแป้งรสชาติและสัมผัสไม่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดานะ พอเลือกทำด้วยมือ สิ่งที่เราจะต้องเจอก็คือ human error วันนี้พนักงานอารมณ์ดีหน่อย แป้งก็จะออกมาดี วันไหนอารมณ์ไม่ดีผลลัพธ์ก็เป็นอีกแบบ พอผ่านไปสักสัปดาห์หนึ่งเลยตัดสินใจใหม่ว่าซื้อเครื่องกันเถอะ”

แม้การมาของระบบเครื่องจักรจะทำต้องลองผิดลองถูก ปรับสูตรกันใหม่เป็นร้อยครั้ง แต่ยิวมองว่าเครื่องจักรถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Lamunn เพราะทำให้พวกเขาชี้วัดและตรวจสอบกระบวนการได้ หากใช้มือ รสชาติและสัมผัสมีโอกาสเพี้ยนจากเดิมสูง ขึ้นอยู่กับวันที่ผลิตและฝีมือของพนักงานแต่ละสาขา แต่เมื่อมีเครื่องจักรและครัวกลางแล้ว ไม่ว่าใครจะมากินโรตีสายไหมของพวกเขาที่ไหนและเมื่อไหร่ มันก็จะอร่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง

ทว่าโจทย์ถัดมาที่หินไม่แพ้กันคือการโน้มน้าวใจผู้บริโภคจำนวนมากที่ยังมีธงในใจว่าขนมไทยควรราคาถูก แนวคิดสำคัญที่เบคเน้นย้ำคือเรื่องของการสร้าง customer experience ที่แตกต่าง

“pain point ทุกอย่างในการกินโรตีสายไหมถูกนำมาคิดคำนวณหมด ลูกค้าขี้เกียจม้วน เราม้วนให้ ลูกค้าไม่ชอบแป้งขาดง่าย เราก็ทำแป้งให้หนานุ่มแล้วเพิ่มแผ่นรองเข้าไประหว่างชั้นแป้ง ลูกค้าไม่อยากมือเลอะ เราก็จัดถุงมือให้ในชุดด้วย”

Price
ราคาที่ให้คุณค่ากับไอเดียและศิลปะการทำขนมไทย

สโลแกนที่ปรากฏอยู่บนบรรจุภัณฑ์สีเขียวสบายตาทุกชิ้นของ Lamunn คือวลี ‘The Delicate Art of Siam’ หรือศิลปะอันประณีตละเอียดอ่อนจากสยาม ถ้อยคำเหล่านี้คือสิ่งที่สะท้อนแนวคิดของแบรนด์ และซื่อตรงต่อกระบวนการทำทั้งโรตีสายไหม รวมถึงเมนูใหม่ล่าสุดอย่างอาลัว

จุดร่วมที่เป็นเอกลักษณ์ของโรตีสายไหมสไตล์อยุธยาที่คนจดจำได้ คือรสชาติหวานละลายในปากของสายไหม ส่วนแป้งโรตีนั้นเป็นจุดขายของต้นตำรับแต่ละเจ้า ระหว่างกระบวนการ R&D ช่วงที่ต้องไปเรียนทำด้วยตัวเอง เบคกับยิวค่อยๆ เลือกหยิบเอาจุดที่ชื่นชอบที่สุดของแต่ละเจ้า ออกมาเป็นสูตรแป้งเฉพาะตัวที่หนานุ่ม ยืดหยุ่นดึงไม่ขาด หอมทั้งกลิ่นงาและกลิ่นใบเตย

ด้วยเหตุนี้ ยิวยืนยันกับเราว่าการตั้งราคาเป็นศาสตร์ที่ไม่ง่าย ต้องอาศัยความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในไอเดียและสินค้าของตนเอง

“หลักการเดียวกันกับที่เมื่อ MK สุกี้มีสุกี้ตี๋น้อยและเจ้าอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวเลือก เพดานราคาก็จะถูกดึงลงมา เราถึงได้เลือกโรตีสายไหม ซึ่งเป็นขนมที่ทำยากในตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าเรามั่นใจในคุณภาพ หากหลังจากนี้จะมีใครมาทุ่มราคาแข่งกับเรา หนึ่ง–แป้งต้องอร่อยสู้เราได้ สอง–ต้องกล้าลงทุนเทรนพนักงานเคี่ยวน้ำตาลเองและดึงสายไหมโชว์ได้เหมือนเรา ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีอะไรที่ดึงดูดใจกว่ามาสู้กัน”

ส่วนเบคเล่าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นที่บรรทัดทอง พวกเขาเริ่มลองขายที่ราคาชุดละ 59 บาทเท่านั้น โดยพิจารณาจากความจริงที่ว่า เจ้าอื่นในอยุธยาขายกันเพียงชุดละ 30-40 บาท

“ตอนนั้นต้องเรียกว่าเข้าเนื้อ กำไรไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย เพราะเราใช้วัตถุดิบที่ยกระดับขึ้นมาตั้งแต่ต้น แถมหลังบ้านสตาฟก็ไปเรียนและฝึกกันอย่างหนัก พอจังหวะที่ทางเซ็นทรัลติดต่อมา เนื่องจากว่าค่าเช่าในห้างค่อนข้างสูง เราถึงมีโอกาสได้ดีดตัวเลขดูอย่างละเอียด พบว่า 59 บาทนี่ขาดทุนยับ ต่อให้ดันขึ้นมาเป็น 69 หรือ 79 ก็ยังขาดทุนอยู่ดี”

สุดท้ายมาลงเอยที่ 89 บาทสำหรับชุดเริ่มต้นนอกห้าง ส่วนชุดที่ขายในห้างจะเพิ่มปริมาณและจัดใส่แพ็กเกจจิ้งอีกแบบหนึ่ง ราคาอยู่ที่ 139 บาท เป็นราคาที่ทั้งให้คุณค่าไอเดียการออกแบบและให้เกียรติศิลปะการทำขนมไทย

Place
หมัดฮุกเริ่มต้นคือทำเลทองเดลิเวอรี

เบคและยิวพูดคุยกันมาตั้งแต่ต้นว่าพวกตน ‘กะเอารวย’ จากธุรกิจนี้ด้วยเดลิเวอรี ฉะนั้นจะไม่เริ่มต้นโดยถลุงเงินไปกับการตกแต่งหน้าร้านให้หรูหรา ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้มองภาพลักษณ์เป็นประเด็นหลักที่สำคัญเท่ากับคุณภาพสินค้า

“เราเลือกจากทำเลที่ประชากรหนาแน่น หรือมีคนสัญจรกันพลุกพล่านเสียมากกว่า ย่านแรกๆ ในใจคือย่านที่มีสำนักงานจำนวนมากอย่างพญาไทและอโศก ส่วนบางซื่อ เราเลือกมาเป็นสาขาครัวกลาง ข้อเสียของการเลือกด้วยเกณฑ์นี้คือเราเข้าไปเจอ red ocean แน่นอน ลูกค้ามีตัวเลือกอยู่แล้วมหาศาล ฉะนั้นการสร้างความแตกต่างและกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้คนมองเห็นร้านจึงยังสำคัญอยู่”

จากนั้นไม่นาน เบคและยิวก็ได้รับโอกาสอันเป็นจุดพลิกผันสำคัญด้านทำเล เมื่อผู้จัดการเขตพื้นที่ฝ่ายขายของเครือเซ็นทรัลรายหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านสาขาบรรทัดทองบ่อยๆ จนต้องแวะชิม เนื่องจากประทับใจในรสชาติขนม ผู้จัดการท่านนี้ก็ติดต่อเข้ามาถามว่าสนใจไปขายที่เซ็นทรัลชิดลมหรือไม่

“Lamunn ก็เลยต้องยกเครื่องเปลี่ยนเกือบทุกอย่าง ต้องปรับแบรนดิ้งใหม่ ต้องเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ พอร้านได้ขึ้นห้าง จุดยืนเราก็เริ่มเฉนิดๆ เพราะผลคือมันดันเวิร์กว่ะ ยอดขายในเซ็นทรัลเริ่มโดดเด่นกว่าสาขาอื่น

“เห็นได้ชัดว่าภาพลักษณ์และการถูกมองเห็นจากการมีชื่อห้างห้อยท้ายสาขามีผล ไม่ใช่แค่ต่อยอดขายหน้าร้าน แต่ต่อยอดขายทางเดลิเวอรีด้วย แม้ราคาจะสูงกว่านอกห้าง แต่ถ้าเราทำถึง คนก็ยังพร้อมที่จะจ่าย ซึ่งเรื่องนี้มันตอบโจทย์ความตั้งใจของเราที่อยากผลักดันขนมไทยไปสู่ระดับสากล”

ปัจจุบันหลังจากผ่านสเตปขึ้นห้างมาได้ นอกจากการเพิ่มสาขาเข้าไปหาผู้คนให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ยิ่งขึ้น ความฝันในขยักถัดมาของพวกเขาคือการมีสาขาในสนามบิน

“เรามองเห็นศักยภาพขนมของเรามาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ว่ามันขายสนามบินได้นี่หว่า ด้วยลักษณะแบบกิฟต์เซตที่เหมาะจะซื้อเป็นของฝาก ขนาดตอนนี้ยังไม่เข้าสนามบิน ลูกค้าปัจจุบันส่วนหนึ่งก็มีต่างชาติที่หิ้วกลับญี่ปุ่น กลับเกาหลี กลับสวีเดน เราเลยเชื่อว่าขนมของเราจะต้องขายดีในสนามบินด้วย”

Promotion
ความไว(รัล)เป็นเรื่องของปีศาจ

อีกประเด็นหนึ่งที่เบคและยิวคิดออกแบบมาอย่างดีว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศ ‘พรีเมียม’ ได้แน่นอน คือนำเอาศิลปะการเคี่ยวน้ำตาลและดึงสายไหมมาจัดแสดงให้ลูกค้าเห็นตรงหน้าสไตล์ chef’s table นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ขณะสั่งซื้อและรับประทานแล้ว ยังส่งเสริมแบรนด์ในแง่ของ storytelling ตลอดจนภาพลักษณ์ที่ให้คุณค่ากับความโปร่งใสและงานฝีมือ

“หลายคนอาจเคยไถ Reel หรือ TikTok แล้วเจอขนมต่างๆ ทั่วโลกเป็นไวรัล ไม่ว่าจะเป็นขนมหนวดมังกรของมาเลเซียก็ดี หรือไอศครีมตุรกีก็ดี นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากขายประสบการณ์ชมวิธีการทำโรตีสายไหมให้เป็นจุดขายหน้าร้าน เพราะขนาดไปอยุธยายังหาดูยากเลย กรุงเทพฯ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น สูตรขนมต้องลงตัวเสียก่อน ยิวเล่าให้ฟังว่าตนถึงกับยื่นคำขาด ไม่ยอมทำการตลาดใดๆ เด็ดขาดจนกว่าจะมั่นใจว่าโรตีสายไหมอร่อยแล้วจริงๆ “ช่วงแรก เวลาเพื่อนๆ ญาติๆ อยากแวะเข้ามาช่วยอุดหนุน เรารีบออกตัวเลย ‘เฮ้ย มึงอย่าเพิ่งมา’ การตลาดไม่ทำ โฆษณาไม่ยิง ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเรารู้ว่าถ้าลูกค้ามากินตอนนี้ เราโดนด่าแน่ๆ”

ด้านเบคเริ่มยิ้มตาม เพราะเมื่อได้ฟังแล้วก็อดนึกถึงแป้งโรตีสูตรทดลองที่นำมาขายหน้าร้านในสัปดาห์แรกไม่ได้

“ด้วยความที่เราพยายามแข่งขันกับขนมอย่างอื่นที่บรรทัดทอง เราเลยพยายามสร้างความแตกต่างให้กับตัวขนม แป้งขนม ณ ตอนนั้นก็จะใส่ผลไม้อบกรอบเข้าไปด้วย เช่น กีวี่ สตรอว์เบอร์รี สับปะรด ปฏิกิริยาเกินครึ่งของคนรู้จักที่เข้ามาช่วยอุดหนุนคือ ‘มึงใส่อะไรเข้าไปเนี่ย’ กลายเป็นว่าสูตรนั้นต้องโละทิ้งหมด”

People + Purpose
แด่ตนเองที่ไม่ละทิ้งเป้าหมายและผู้คนที่ขับเคลื่อนแบรนด์อยู่เบื้องหลัง

ตามธรรมเนียมของคอลัมน์ 5P ที่จำเป็นจะต้องปิดท้ายด้วย ‘P’ ลำดับที่ 5 เราจึงยิงคำถามประจำออกไปเพราะอยากรู้มุมมองของนักธุรกิจอายุน้อยทั้งคู่ ยิวตอบออกมาแทบจะทันที

“คำถามนี้ง่ายมากเลย สำหรับผมคือ People ครับ ผมว่าทุกธุรกิจต้องการผู้คน Lamunn เองก็มีผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง มีหลังบ้าน มีทีมงานของผมที่ทำให้แบรนด์เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีพวกเขา ไม่มีความทุ่มเทของคนเหล่านี้ วันนี้ความฝันคงไม่เป็นจริง คงไม่มีโรตีสายไหมมาขาย และไม่ได้ขยายสาขาไปไหนไกลแน่อน

“หากต่อไปเราคิดการใหญ่ อยากจะขยายสเกลธุรกิจไปขายที่สนามบินหรือส่งออกต่างประเทศ สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญยังคงเป็น People”

เขาตอบอย่างคล่องแคล่วแล้วหันไปถามความเห็นเบคบ้าง

“ของผมเป็น Purpose ครับ” เบคว่า “ในการทำธุรกิจเราจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและทิศทางในการทำงาน เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราก็จะไม่หมดแรงง่ายๆ หลายคนเริ่มทำธุรกิจโดยเอาวิธีการตั้งก่อน ส่วนเป้าหมายตามมาทีหลัง บางครั้งเลยหลงทางหรือถึงจุดอิ่มตัว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ แต่ถ้าเราระลึกไว้เสมอว่าเป้าหมายคืออะไร วิธีการจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเราจะยังมีแรงจูงใจอยู่”

อนาคตของแบรนด์ Lamunn ที่ทั้งคู่คิดไว้มีหลายภาพ บางภาพก็ไม่สวยหรูอะไร

“ไม่ต้องถึง 5 ปี 10 ปีหรอกครับ เอาแค่อีก 2 ปี ถ้ามองในแง่ร้าย ร้านโรตีสายไหมของเราอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ อาจจะมีปัจจัยร้ายแรงอะไรที่ทำให้เราต้องปิดตัว เทรนด์สุขภาพอาจจะมาแรงจนขนมหวานขายไม่ออกก็ได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ และคอยมองว่าสิ่งเหล่านี้มันจะมาถึงได้ด้วยเหตุไหน

“แต่ถ้ามองในแง่ดี เรียกว่าเป็นความฝันก็ได้ อนาคตเราเห็นภาพขนมของเราอยู่บนเชลฟ์ที่ต่างประเทศ จริงอยู่ เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สำคัญคือเราสองคนยังตื่นเต้นกับมัน ยังตั้งตารออนาคตอยู่เสมอ อยากรู้ว่าเราจะผลักดันแบรนด์ไปได้ถึงขั้นไหน ระหว่างนั้นก็พยายามดูตัวอย่างจากธุรกิจอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จไปด้วย”

คุยกับ ‘What The Duck’ ในวันที่เป็ดต้องปรับตัวให้รับกับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมดนตรีไทย

The TOYS, Bowkylion, Whal & Dolph, Landokmai และ Purpeech  ศิลปินที่หลายคนรู้จักในฐานะนักร้องมากความสามารถ ที่ทั้งร้องและแต่งเพลงเองได้ ไม่ต่างจากเป็ดที่ทำได้หลายอย่าง ทั้งเดินบนบกและลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ

ความเป็นมนุษย์เป็ดนี้เองคือ DNA ของ What The Duck ค่ายเพลงรุ่นใหม่ที่ให้อิสระศิลปินและทีมงาน ได้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ มามากกว่า 10 ปี ตั้งแต่ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนการฟังเพลงไปตลอดกาล จากฟังผ่าน CD หรือ DVD สู่แพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างๆ จวบจนทุกวันนี้ที่ใครๆ ก็เป็นศิลปินเองได้ และใน 1 วันก็มีเพลงใหม่ออกมา 60-70 เพลง และมีเพลงใหม่ต่อสัปดาห์เกินกว่า 600 เพลง ทำให้กว่าเพลงสักเพลงหนึ่งจะไปถึงคนฟังช่างยากเย็น

ธุรกิจดนตรีที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจฟุ่มเฟือย และไม่ใช่ทุกคนจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ตไปเจอศิลปินได้ ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 แน่นอนว่าค่ายเพลงและศิลปินย่อมได้รับผลกระทบไปเต็มๆ และทำให้ทุกการขยับตัวของเป็ดเต็มไปด้วยความเสี่ยง 

แต่การทำธุรกิจที่เหมือนวิ่งอยู่ตลอดเวลาของ What The Duck กลับทำให้พวกเขาพลิกเกมมาเป็นค่ายเพลงเจ้าแรก ที่จัดคอนเสิร์ตออนไลน์และเฟสติวัลออนไลน์ แบบที่ศิลปินและแฟนคลับสามารถโต้ตอบกันได้

รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด ที่แม้พวกเขาจะออกตัวแรงว่าศิลปินส่วนมากในค่ายเป็นอินโทรเวิร์ตที่ยังไม่ชินกับการทำคอนเทนต์ออนไลน์ แต่การเลือกให้ศิลปินเป็นตัวของตัวเองแบบไร้กรอบ กลับทำให้ศิลปินเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนเพลงใหม่ๆ และเพลงเก่าที่เคยหายไป กลายมาเป็นกระแสอีกครั้ง

ในวันที่เทรนด์ของดนตรีและพฤติกรรมการฟังเพลงของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ค่ายเพลงต้องปรับตัวอย่างหนัก เราถือโอกาสมาบุกบ้านของเหล่าเป็ด พูดคุยกับ มอย–สามขวัญ ตันสมพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร What The Duck และ วิ–วิจิตรา เจียมสกุล Head of Marketing and Promotion ของ What The Duck ถึงการปรับตัวของพวกเขาและการเอาตัวรอดจากความเสี่ยงทั้งหลายในอุตสาหกรรมดนตรี

ตลอดบทสนทนาในครั้งนี้เราจะได้ยินคำว่า ‘วิ่ง’ และ ‘ปรับแผน’ อยู่ตลอดเวลา บนพื้นฐานที่ว่าทุกคนยังคงเป็นมนุษย์เป็ดที่คาแร็กเตอร์ชัดและไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป ถ้าพร้อมแล้วเปิดเพลงจากค่าย What The Duck ที่คุณรัก ไปพร้อมๆ กับการวิ่งมาราธอนไปกับพวกเขา ในคอลัมน์ Play Risk ครั้งนี้กันได้เลย

คุณคิดว่าดีเอ็นเอของ What The Duck คืออะไร ตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้ยังเหมือนเดิมอยู่ไหม 

มอย : ด้วยความที่ What The Duck เป็นค่ายเพลงที่เกิดมาช่วงสิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงที่อุตสาหกรรมเพลงกำลังเปลี่ยนจากโลกกึ่งดิจิทัลเป็นฟูลลี่ดิจิทัล ทำให้เรามองตัวเองว่าเราเป็นค่าย independent ที่เกิดในยุคของดิจิทัล แล้วก็เป็นแบบ modern music คือเป็นรูปแบบการทำค่ายเพลงแบบใหม่

วิ : คิดว่า What The Duck เป็นค่ายเพลงที่เปิดพื้นที่ให้โอกาสศิลปิน เพราะว่าเราไม่ได้จำกัดแนวเพลงเลยว่าต้องเป็นแนวเพลงแบบนี้เท่านั้น เราถึงจะเซ็นสัญญาเข้ามาอยู่ What The Duck นะ แต่เรามีหลากหลายแนวเพลงมากๆ แล้วศิลปินที่อยู่กับเราก็ค่อนข้างหลากหลายมากๆ เรามีตั้งแต่ Bowkylion ที่แมสสุด ไปยันอินดี้สุดๆ เช่น loserpop หรือศิลปินที่เป็นแบบเจนฯ Z เลยก็มี

เราเลยคิดว่า What The Duck ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ความหลากหลายของศิลปินที่มีดีเอ็นเอเดียวกัน คือมีความเป็นมนุษย์เป็ด เราไม่เคยพูดว่าเราเก่งที่สุดเลย แต่เราเป็นเป็ดที่ทำอะไรตลอดเวลา และเราทำงานกับศิลปินเหมือนเป็นพาร์ตเนอร์กัน

เวลาที่เราจะเซ็นสัญญาศิลปินเข้ามาใน What The Duck เราเลือกจากคนที่เราชอบ เลือกจากเพลงที่ทีมเราฟัง ทำให้เราอินในตัวตนของศิลปินอยู่แล้ว ดังนั้นศิลปินทุกคนที่เราเลือกเข้ามาจะมีพื้นที่ของเขา ที่เราจะไม่ได้ไปแตะพาร์ตครีเอทีฟของศิลปิน เราเป็นค่ายที่ไม่ไปบอกเขาว่าจะต้องทำเพลงเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ เรามีหน้าที่เหมือนดึง identity ของศิลปินออกมาเท่านั้น

ดูเหมือนค่ายเพลงของคุณให้อิสระกับศิลปินมากเลย

มอย : เราให้พื้นที่เขาเต็มที่ ให้มากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ได้ให้อิสระ พวกเราคงไม่เซ็นสัญญาให้เขาเข้ามาเป็นศิลปินค่ายเราตั้งแต่แรก หมายความว่าผมคงไม่กล้าดึงศิลปินอย่าง Whal & Dolph หรือ Bowkylion เข้ามาเซ็นสัญญาแล้วบอกว่าโบกี้ต้องแต่งเพลงแบบนี้สิหรือ THE TOYS ต้องเล่นกีตาร์แบบนี้สิถึงจะดัง ผมเชื่อว่าเขาเป็นศิลปิน เขาต้องเก่งในการทำเพลงอยู่แล้ว และเขาน่าจะรู้ดีที่สุดว่าควรจะสื่อสารกับแฟนเพลงของเขายังไง

เรามีหน้าที่แค่ซัพพอร์ตเขา ในสิ่งที่เขาอาจจะไม่รู้หรือไม่ถนัด เช่น เรื่องการทำการตลาด การทำโปรโมชั่น การคุยกับพาร์ตเนอร์ และเรามีหน้าที่แค่เอาไอเดียต่างๆ ที่เขามีเต็มไปหมด มาช่วยเรียบเรียงบ้าง เช่น โบกี้มีภาพว่าอยากทำแบบนี้ บอกว่าพี่ เราปล่อยเพลงช่วงนี้ดีมั้ย ปล่อยเพลงแบบนี้ดีมั้ย เราก็ช่วยแชร์ไอเดียให้เขาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วจะทำแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับศิลปินเลย

ในฐานะที่ค่ายเพลงของคุณโลดแล่นในวงการบันเทิงมานาน คิดว่าอุตสาหกรรมบันเทิงไทยสมัยนี้ เหมือนหรือต่างกับสมัยก่อนยังไงบ้าง

มอย : ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ค่ายเพลง สมัยก่อนการทำค่ายเพลงสักค่าย ผมว่ามันยาก ต้องลงทุนสูง เช่น สมัยก่อนการที่คุณจะเป็นศิลปินคนหนึ่งจะทำมิวสิกวิดีโอ ทำอัลบั้มหนึ่งออกมา ต้นทุนในการทำมันสูงมาก

การเป็นศิลปินสมัยก่อนเลยยากมาก แต่ถ้าได้เป็นศิลปินแล้วก็ดังง่ายกว่าสมัยนี้ เพราะคนทำน้อย พอคนทำน้อย โอกาสที่คุณจะได้เป็นศิลปินก็มีน้อยมาก 

สมัยก่อนค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดคือแกรมมี่ แล้วเขาก็คือต้นแบบของค่ายเพลงที่ทำเป็นจริงเป็นจังมาก ปีหนึ่งเขามีศิลปินแค่ 5 คน เพราะกระบวนการในการที่จะได้เป็นศิลปินยาก แล้วก็กระบวนการการทำก็ยาก แต่พอได้ออกเพลงปุ๊บ มันดังอยู่แล้ว มันสำเร็จง่าย เพราะว่าวิทยุสมัยนั้นมีแค่ 4-5 คลื่น ช่องทีวีก็มีไม่กี่ช่อง คนก็ฟังเพลงได้จากไม่กี่ช่องทาง 

ตอนช่วงที่แกรมมี่โต ก็จะเริ่มมีค่ายเพลงเล็กๆ เป็นช่วงค่ายยุคอินดี้ยุคแรกๆ เลย แต่ก็ปิดตัวกันเยอะ เพราะเมื่อก่อนปล่อยเพลงออกมาคนก็ไม่รู้ว่าจะไปเก็บเงินกับใคร มันมี CD DVD ปลอมเยอะแยะไปหมด

จนมาถึงยุคของ What The Duck เป็นช่วงที่คนในอุตสาหกรรมเพลงเริ่มไม่งงแล้วว่าเพลงมันหารายได้จากตรงไหน เริ่มมีรายได้มาจากยูทูบ หลังจากนั้นก็มี Spotify, Apple Music, Deezer ทำให้คนเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้คอนเทนต์ดีๆ ทั้งดูหนัง ฟังเพลง ดูซีรีส์

สิ่งที่ยากหรือท้าทายที่สุดในการทำค่ายเพลงคืออะไร

มอย : ทางค่ายและศิลปินต้องทำงานหนักมากขึ้นในการส่งมอบเพลงให้คนฟังของเรา เป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายมาก เพราะ 5-6 ปีที่แล้ว เราปล่อยเพลงอะไรไปก็ขึ้นเทรนด์ยูทูบง่ายมาก 1 ล้านวิวประมาณ 12 ชั่วโมงก็ได้แล้ว หรืออย่างยอดวิว 10 ล้านวิว 1 อาทิตย์ก็ได้แล้ว

แต่ตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไป ผมว่าตั้งแต่หลังโควิด-19 มันมีคอนเทนต์ให้เราเสพเต็มไปหมด จนเราต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าจะมีเวลาฟังเพลงหรือเสพคอนเทนต์ใหม่ๆ ตอนไหน ทำงานก็ 8 ชั่วโมง นอนอีก 8 ชั่วโมง ไปกินข้าวเมาท์มอยกับเพื่อน กลับบ้านมาอาจจะเลือกเปิด Netflix ดูแทนก็ได้ หรือช่วงไหนมีกระแสดราม่าอะไรก็ขึ้นฟีดเต็มไปหมด

ผมก็จะบอกน้องๆ ในทีมว่าเราจะทำยังไงให้เราสามารถแย่งพื้นที่ในหน้าโทรศัพท์ของแฟนคลับเราได้ ยิ่งในทุกวันนี้มีคนปล่อยเพลง เฉพาะในประเทศไทย อาทิตย์หนึ่งประมาณ 600 เพลงต่อสัปดาห์ แสดงว่าวันหนึ่งมีประมาณ 60-70 เพลง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำยังไงให้เพลงดัง เอาแค่ทุกวันกว่าจะผ่านด่าน AI ไปเจอคนได้ ต้องเจอกับปัญหาอะไรเต็มไปหมด ผมว่าสิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ค่ายและศิลปินทุกคนก็กำลังต่อสู้อยู่เหมือนกัน

วิ : มันก็ไม่ต่างจากเวลาเราทำของขายใน 7-11 ที่เขาจะมีระยะเวลาให้เราวางของที่เชลฟ์ ถ้าอาทิตย์นี้ยอดขายไม่ถึง เขาก็เอาลงจากเชลฟ์ การทำเพลงก็เหมือนกัน มีเพลงใหม่ปล่อยมาตลอด แล้วพอทุกอย่างเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็ดูง่ายว่าเพลงไหนยอดวิวเยอะ เพลงไหนยอดวิวไม่มาเลย เขาก็จะขออนุญาตเอาลงจากเชลฟ์ ก็คือเอาลงจากเพลย์ลิสต์นะ เพราะว่าอาทิตย์หน้า มีอีกค่ายหรืออีกศิลปินมาจ่อรอลงเพลงใหม่แล้ว

แล้วคุณแก้เกมจากปัญหาเหล่านั้นยังไง

วิ : การทำการตลาดของ What The Duck เหมือนเราวิ่งอยู่ตลอดเวลาเลย แล้วเราไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะว่าเราทำงานกับคน เราทำงานกับความชอบของคน ตอนนี้มีโซเชียลแล้วทุกอย่างมันหมุนเร็วมาก เทรนด์ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา

วิธีการทำการตลาดของ What The Duck เลยเหมือนเราวิ่งตามเทรนด์ตลอดเวลา เราปรับตัวตลอดเวลา การปล่อยเพลงในวันนี้ของศิลปินคนเดิม แพลนโปรโมตก็ต่างจากเมื่อ 3 เดือนหรือเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ในทุกๆ ครั้งที่ปล่อยเพลง เหมือนต้องแอ็กทีฟมากขึ้น

ทีมการตลาดก็ต้องมีหน้าที่คอยมานั่งดู stat เรามีการใช้ Chartmetric เรามีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเข้ามาดู stat พยายามจะใช้อัลกอริทึมดูว่าเราจะสามารถทำยังไงเพื่อให้ AI นำส่งเพลงของเราได้บ้าง บางทีก็ไม่ใช่แค่เข้าไปดูหลังบ้านของโซเชียลมีเดียอย่างเดียวแหละ ต้องมองเข้าไปดูให้ลงลึกขึ้นอีก

ดูว่าคอนเทนต์ที่ทำให้กับเพลงเพลงนั้น มันทำให้คนกลับไปฟังเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิงมั้ย เพราะเราจะเห็นหลายๆ เพลงที่ไวรัลใน TikTok หรือใน IG แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยกับเพลงนี้ในแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง ทำให้มันไม่สามารถส่งผลไปที่เพลงและศิลปินได้

@whattheduckmusic

คุณคือดอกไม้แบบไหน? ใครอยากรู้มาลองเล่น Filter “คุณคือดอกไม้แบบไหน?“ กันนนนน🥀🌧️ #ดอกไม้ที่รอฝน #THETOYSXNONTTANONT #Whattheduckmusic #LOVEiSENTERTAINMENT @LOVEiS Entertainment @NONT TANONT

♬ ดอกไม้ที่รอฝน (spring) – THE TOYS & NONT TANONT

บางเพลงที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มมาจากอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน สิ่งที่เราแพลนมันอาจจะไม่เวิร์ก แล้วเราก็ต้องแก้ระหว่างทาง อย่างวิธีการทำแคมเปญต่างๆ เราคิดว่าเพลงนี้จุดแข็งมันอยู่ตรงนี้ เรากำลังจะเล่นเรื่อง photo slide เรากำลังจะเล่นทำแคมเปญใน TikTok แบบนี้ พอทำออกไปแล้วไม่เวิร์ก กลายเป็นว่ามีแฟนๆ หรือมีคนเอาไปทำคอนเทนต์เองแล้วมันเกิดเอนเกจมากกว่า เราก็เอาที่เขาทำนี่แหละมา develop ต่อ

มอย : ผมว่ามันไม่ได้มีสูตรสำเร็จว่าต้องทำแบบไหน  เดือนที่แล้วเราทำอันนี้แล้วประสบความสำเร็จ อีกเดือนหนึ่งเราทำแบบเดิมก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราก็จะมีเช็กลิสต์ว่าก่อนปล่อยเพลงค่ายและศิลปินต้องทำ pre-release  เป็นการปล่อยเพลงหรือซิงเกิลออกมาล่วงหน้าในแพลตฟอร์มต่างๆ และในโซเชียลมีเดีย แล้วการตลาดหลังจากนั้นก็เหมือนเราใส่ผงวิเศษลงไปเพื่อให้เพลงมันไป

ภาพ : What The Duck

ดูเหมือนคุณวางแผนการตลาดที่ทำให้ศิลปินแต่ละคนแตกต่างกันด้วย

วิ : ใช่เลย วิธีการดูแลศิลปินและการทำการตลาดของ What The Duck แทบจะไม่เหมือนกันเลยเพราะเราพยายามดึงความเป็นตัวตนของศิลปินนั้นๆ ออกมาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดให้แฟนๆ ได้เห็น เราเลยไม่สามารถให้ศิลปิน 10 คนทำคอนเทนต์เหมือนกันได้  

ด้วยความที่เรามีดาต้าเข้ามาประกอบ เราเลยเห็นว่าศิลปินหนึ่งคน ไม่ได้จำเป็นต้องมีแฟนคลับมหาศาลในตลาดแมส ยิ่งคนปล่อยเพลงเยอะเท่าไหร่ ยิ่งมีศิลปินเกิดขึ้นมาเยอะเท่าไหร่ เรายิ่งเชื่อเรื่องการเป็น super fan

การที่ศิลปินหนึ่งคนปล่อยเพลงมา มันต้องมีเลนส์ในการวิ่งไปหาแฟนคลับ เช่น Uncle Ben เป็นศิลปินอินดี้ก็จะมีเลนส์ของตัวเอง แล้วก็มีวิธีการโปรโมตของตัวเอง โบกี้เป็นศิลปินแบบซูเปอร์แมส ก็จะมีอีกเลนส์หนึ่ง  

ทุกวันนี้คุณและศิลปินปรับตัวสู่โลกออกไลน์ยังไงให้ไม่สูญเสียสไตล์ของตัวเอง

วิ : ศิลปินเราส่วนมากเป็นอินโทรเวิร์ต เวลาให้ศิลปินเล่นโซเชียล เราไม่เคยบังคับว่าจะต้องเล่นคอนเทนต์แบบไหน สิ่งเดียวที่ขอคือให้ทำคอนเทนต์เถอะ แล้วทำในแบบของเขาได้เลย ตัวอย่างคือ Whal & Dolph ช่วงที่เริ่มมี TikTok เข้ามาแรกๆ เขาอาจจะยังไม่ชินกับการทำคอนเทนต์ใน TikTok

แต่พอได้ลองเปิดใจคุยกัน เราก็ไม่ได้มีกรอบบังคับว่าจะต้องทำแบบนี้เท่านั้น เลยทำให้ยอดติดตาม TikTok พุ่งขึ้นเยอะมาก ประกอบกับตอนนั้นมีการปล่อยเพลง ดีใจหรือเปล่า วงมีการปรับวิธีการทำโซเชียลที่ให้เพลงดีใจหรือเปล่า เหมือนดึง Whal & Dolph กลับมาสู่ทาร์เก็ตเด็กๆ เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ มันเป็นผลจากการที่ศิลปินเขาออกจากคอมฟอร์ตโซนมาทำโซเชียลมีเดีย

อีกเคสหนึ่งคือ QLER เคยทดลองทำคอนเทนต์กับเขาในหลายๆ คอนเทนต์ จนเขาเจอตัวตนในโซเชียลมีเดีย ว่าเขาชอบเล่าเรื่อง ชอบทำพ็อดแคสต์ ชอบร้องเพลงคัฟเวอร์ โซเชียลมีเดียของ QLER  ตอนนี้เลยน่าจะโตเกือบสูงสุดในค่ายเลย พอเขาทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนจำได้ว่าถ้าเปิด TikTok ของ QLER เราจะได้เจอคอนเทนต์ประมาณนี้

นอกจากยอดผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นแล้ว การปรับตัวครั้งนี้มีกระแสตอบรับในมุมอื่นด้วยไหม

วิ : พอโซเชียลมีเดียมันเปิดกว้างมาก ข้อเสียคือทุกคนเป็นศิลปินได้ง่ายขึ้น มีการปล่อยเพลงง่ายขึ้น แต่ข้อดีคือเพลงเพลงหนึ่งมีโอกาสมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นว่าบางเพลงที่ถูกปล่อยไปนานมากๆ ก็กลับมาแมสได้ แค่เราต้องมองหาโอกาสในเพลงนั้น

เราว่า QLER ก็เป็นหนึ่งในเคสที่หาโอกาสให้เพลงเก่าๆ ของตัวเองกลับมาขึ้นหน้าฟีดได้ตลอดเวลา เช่น QLER ทำคอนเทนต์เพลงจีบ ซึ่งมันถูกปล่อยไป 4-5 ปีแล้ว ตอนนี้เพลงจีบก็กลับมาเป็นกระแส แล้วเขาก็หมุนเวียนเอาเพลงเก่าๆ ของตัวเองกลับมาตลอดเวลา เหมือนการมีโซเชียลเป็นโอกาสทองของเรา อยู่ที่ว่าเราจะขยันพอที่จะไปคว้าโอกาสตรงนั้นมั้ย

มอย : เราจะเห็นหลายๆ เคส ที่บางเพลงถูกปล่อยไปแล้ว 4-5 เดือน ถึงกลับขึ้นมาดังได้ หรือกลับค่อยๆ ขึ้นมาอยู่ในชาร์ตได้ ยิ่งทุกวันนี้เพลงเก่าๆ หรือพวก Back Catalog ก็กลับมามีกระแสได้  

แล้วความเสี่ยงของการทำค่ายอยู่ที่ตรงไหน

มอย : ผมว่าทำอะไรก็เสี่ยงหมด แต่อย่างน้อยเราทำอะไรที่เราชอบก็ยังดีกว่าไปทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบแล้วเสี่ยงด้วย สำหรับผม มองว่าธุรกิจค่ายเพลงไม่ได้เสี่ยงมาก เพราะมันเป็นธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ อย่างน้อยเราได้สร้างงานขึ้นมาแล้ว งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ค่อยมาว่ากัน

ความเสี่ยงอาจจะเป็นเรื่องของอะไรบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราสามารถสร้างเพลงที่ดีได้ เราสามารถทำเพลงที่มีมาตรฐาน ทำซาวด์ที่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำอยู่ บางครั้งปล่อยเพลงออกไปแล้วคิดว่าเพลงนี้มันน่าจะเหมาะ มันอาจจะไม่เหมาะกับคนช่วงนี้ก็ได้ ตอนนั้นอาจจะมีดราม่าบางอย่างเกิดขึ้น มีเรื่องการเมืองเข้ามา ทำให้คนไม่ได้สนใจเพลงแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้

อีกเรื่องคือเราต้องยอมรับว่าประเทศเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่คนรักงานศิลปะ รักงานสร้างสรรค์ แต่ด้วยเศรษฐกิจหรืออะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เรายังไม่พร้อมจ่ายเงินเพื่องานศิลปะขนาดนั้น ยิ่งธุรกิจของเราเป็นธุรกิจฟุ่มเฟือย แต่คนเรายังต้องกินอิ่ม 3 มื้อก่อน เรายังต้องเก็บเงินไว้ผ่อนบ้าน ไปหาหมอ เก็บเงินไว้ซื้อเสื้อผ้า การที่เราจะเก็บเงินไปดูคอนเสิร์ตทุกเดือนก็อาจจะไม่ไหว บัตรคอนเสิร์ตทุกวันนี้ก็พันกว่าบาทแล้ว คนอาจจะรู้สึกว่าไม่ไป เดี๋ยวรอดูในยูทูบดีกว่า อันนี้แหละที่ผมว่าก็อาจจะเป็นความเสี่ยงของธุรกิจเรา

คุณเป็นคนทำธุรกิจแบบ play risk หรือ play safe มากกว่ากัน

มอย : ผมว่าผมเป็นคนทั้งสองแบบนะ บางเรื่องมันก็ต้อง play safe บ้าง เพราะว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียว ถ้าเราพลาด เรามีพาร์ตเนอร์อีก 2 คน เรามีพนักงานอีก 50 คน มีศิลปินอีก 30 คนที่ต้องดูแล ผมก็ต้องคิดว่าถ้าตัดสินใจแบบนี้จะส่งผลอะไรกับคนอื่นบ้าง

ถ้าเราอยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ เราต้องมีคำตอบให้ตัวเราเองเสมอว่า เราทำอันนี้ไปทำไม มันอาจจะไม่ได้รีกลับมาด้วยเงินหรือชื่อเสียง แต่อย่างน้อยตัวเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ลูกน้อง ศิลปินได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง อันนี้เราก็จะไม่ play safe แล้ว

ภาพ : What The Duck

หรือว่าศิลปินบางเบอร์เรารู้อยู่แล้วว่าเขาทำแบบนี้ไม่น่าเวิร์ก แต่เขาเซ็นสัญญาเข้ามาแล้วว่าอยากทำกับเรา เราก็ทำได้แค่เตือนบางอย่าง แต่ถ้าเขาอยากทำก็ให้เขาทำ แล้วผลจะเป็นยังไงเรารับผิดชอบร่วมกัน ถ้ามันไม่เวิร์ก เราก็มาเริ่มต้นใหม่ ช่วยให้เขาไม่พังหรือไม่พลาดมากกว่านี้ อันนี้น่าจะเป็นวิธีการทำงานของผม

วิ : ด้วยความที่ What The Duck คือค่ายที่เป็นพื้นที่เปิดโอกาสให้ศิลปิน ไม่ว่าจะทำเพลงแนวไหนสามารถมาสร้างสรรค์ผลงานได้แบบเต็มที่ โดยที่เราไม่เคยไปครอบครีเอทีฟไอเดียของเพลงเลย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่เคย play safe กับการโปรโมต เรียกได้ว่าเราปรับตัวตลอดเวลา โดยที่บางครั้งเรายอมที่จะเสี่ยง

ที่นี่เราไม่ได้มีการปฏิเสธไอเดียเลยด้วยซ้ำ อยากลองทำก็ทำเลย เบื้องหลังเพลงดังหรือแคมเปญต่างๆ ก็เกิดมาจากจุดเล็กๆ หรือเกิดมาจากน้องๆ เจนฯ Z ด้วยซ้ำ ส่วนเราเองอาจจะไม่ได้เป็นเจนฯ Z เราก็ให้น้อง ขึ้นมานำในการโปรโมตเพลงหรือศิลปินบางคนที่จะ direct ไปที่เจนฯ Z โดยที่เราไม่ได้มาสนใจว่าน้องอายุแค่นี้เอง เรามองว่าเราเป็นพี่ที่คอยประคองเขามากกว่า แล้วให้เขานำทำเต็มที่ได้เลย

ภาพ : What The Duck

หัวใจสำคัญที่ทำให้ What The Duck ยืนระยะมาได้นานขนาดนี้คืออะไร

มอย : ผมว่าเป็นเรื่องทีมเวิร์ก มีทีมที่เข้าใจในความเป็น What The Duck ผมว่าการสื่อสารของเราในองค์กรและดีเอ็นเอของเราค่อนข้างชัดเหมือนกัน จะเห็นได้ชัดๆ เลยก็ตอนช่วงโควิดที่เราฝ่าฟันตรงนั้นได้ทุกคน โดยที่เราไม่เลย์ออฟพนักงานออกเลย

มันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจแย่มากๆ ไม่มีอะไรให้เราทำเลย แต่เราก็ยังช่วยกันทำอะไรใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ อย่างเช่นคอนเสิร์ตออนไลน์และเฟสติวัลออนไลน์ เราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำเลย เพราะตอนนั้นจะมีแต่ศิลปินออกมาไลฟ์กันในยูทูบ เป็นแบบ one-way communication แล้วให้แฟนๆ มาบริจาคเงินหรือส่งของขวัญให้

ภาพ : What The Duck

โจทย์ของเราคือจะทำยังไงให้เป็นแบบ two-way communication ที่ศิลปินพูดมาแล้วแฟนคลับพูดกลับได้ ก็ได้ไอเดียตอนที่ทำงานเวิร์กฟรอมโฮมกันแล้วใช้ Zoom คุยงานบ่อยๆ เราก็เลยจัดงานคอนเสิร์ตใน Zoom ที่คนซื้อบัตรมาแล้วได้รหัส Zoom เข้ามา แล้ววงเล่นอยู่ในสตูก็จะเห็นหน้าแฟนคลับที่เปิดกล้องด้วย แล้วแฟนๆ ก็เขียนอะไรให้ศิลปินดูได้ ตอนนั้นวุ่นวายมาก เพราะเราก็ทำไม่เป็น ต้องไปคุยกับ Zoom อีกว่าซื้อแพ็กเกจแบบไหนถึงจะรองรับคนได้

ศิลปินวงแรกที่เราทำคอนเสิร์ตออนไลน์คือ Whal & Dolph ผมจำได้เลยว่าขายบัตร 1,000 ใบ หมดใน 10 นาที หลังจากนั้นก็มาจัดเฟสติวัลออนไลน์ อันนั้นก็หนักเลย เราขายบัตรประมาณ 5,000 ใบ ทำให้มันใหญ่ เชิญศิลปินจากทุกค่ายเลย

วิ : ตอนนั้นมี Three Man Down, Tilly Birds, อิ้งค์ วรันธร, Mirrr เรียกได้ว่ามีแต่ศิลปินระดับท็อป เพราะเราเปิดเพลย์ลิสต์ใน Spotify แล้วดูท็อป 1-10 ว่ามีใครบ้างแล้วเชิญมาร่วมงานกัน ซึ่งช่วงโควิดทำให้การทำการตลาดของเราเปลี่ยนไปเยอะมาก

ก่อนหน้านี้เราจะมีแค่ศิลปินปล่อยเพลง มีการไปเดินสาย PR สัมภาษณ์ ไปถ่ายรายการต่างๆ นี่คือสูตรในการโปรโมตเพลงเพลงหนึ่งเลย แต่พอช่วงโควิด สื่อที่เป็นเมนสตรีมถูกลดลง สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้น เราก็จะเริ่มมีแคมเปญออนไลน์มากขึ้น เราจะต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มใหม่ๆ เช่น TikTok และทำยังไงก็ได้ให้ TikTok ที่เพิ่งเข้ามาเป็นเมนหลักของคนในการเสิร์ชคอนเทนต์ ให้เพลงเราเข้าไปอยู่ใน TikTok ให้ได้

ภาพ : What The Duck

What The Duck มีแผนปรับตัวในอนาคตยังไง

มอย : เราอยากโตแบบไม่เร่งมาก ค่อยๆ เติบโตไป แล้วมองหาโอกาสใหม่ๆ เราอยากออกไปเจอเพื่อนบ้านในต่างจังหวัดและต่างประเทศบ้าง เพราะผมมองว่าตลาดเพลงในเมืองไทยยังโตขึ้นได้อีก แต่เราเป็นค่ายเพลงที่อยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น

ผมแอบมองว่าตลาดใหญ่คือตลาดพวกภูมิภาค ตลาดต่างจังหวัด ตลาดเพลงลูกทุ่ง เราจะเริ่มเห็นการคอลแล็บกันระหว่างศิลปินในกรุงเทพฯ กับศิลปินต่างจังหวัด แล้วทำให้เป็นที่รู้จักและเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง แฟนเพลงต่างจังหวัดเลยเป็นอีกตลาดหนึ่งที่เราอยากจะทำ

แล้วก็ตลาดต่างประเทศ เราก็ลองมาหลายปีแล้ว เพราะเห็นว่าศิลปินเราหลายคนสามารถสู้กับตลาดอินเตอร์ได้ คำว่าอินเตอร์ของเราคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดในจีนที่เรามองไว้

อีกอย่างคือในปีนี้กระแสเพลง K-pop ก็ทิ้งไม่ได้เลย เราอยากจะทำมาหลายทีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงไปเล่นเต็มตัว ปลายปีนี้น่าจะเป็นปีแรกที่ทุกคนได้เห็นศิลปินบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปจากฝั่งบ้าน What The Duck บ้าง

วิ : ในความรู้สึกของทุกคนโพซิชั่นหลักๆ ของเราคือค่ายเพลง แต่จริงๆ เรามีจัดเฟสติวัลเป็นงาน Colorists Music Festival ขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว ตอนนี้ก็ขายบัตรหมดเป็นที่เรียบร้อย แล้วเราก็พาร์ตเนอร์กับค่ายเพลงอื่นๆ แล้วก็ทำเฟสติวัลขึ้นมาชื่อ NOW FEST หลังจากนี้เราก็พยายามทำเฟสติวัลมากขึ้นด้วย ทำอะไรที่มันเสริมกับค่ายหรือศิลปินของเรา เพื่อสร้างพื้นที่ให้ศิลปินได้ทำงานที่เขารัก

ภาพ : What The Duck

บทเรียนที่คุณได้รับจากการทำ What The Duck คืออะไร

มอย : เราต้องซื่อสัตย์กับกับศิลปิน อันนี้ผมว่าสำคัญที่สุดในการทำงานของค่ายเพลง ซื่อสัตย์กับศิลปินหมายถึงว่าเราโปร่งใสกับเขาทุกเรื่อง ทั้งรายได้ รายจ่าย เรื่องสัญญา และการสื่อสารที่ชัดเจนตรงไปตรงมาจะง่ายในการทำงานต่อไป บางทีคนไทยอาจจะติดเรื่องเกรงใจ ทำให้พูดไม่หมดบ้าง ผมเคยไปนั่งย้อนหลังดูว่าอะไรที่ทำพลาดไปบ้าง บางส่วนก็มาจากการที่เราสื่อสารไม่ครบ

อีกข้อคือเราต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม เพราะว่าความสำเร็จเป็นวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง ผมพยายามบอกศิลปินเสมอว่าเรากำลังวิ่งมาราธอน เราไม่ได้วิ่ง 100 เมตรที่วิ่งถึงแล้วชนะเลย แต่เราต้องยืนระยะให้ได้นานที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากได้ความสำเร็จนะ แค่เราต้องเผื่อใจกับความผิดหวังบางอย่างที่เราคาดการณ์ไม่ได้ เราก็จะพูดคุยกันว่าถ้าเราเตะบอล จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทุกฤดูกาลเหรอ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ทำยังไงก็ได้ให้เรายังอยู่ในท็อป 4 ก็ยังดี

เหมือนกับเวลาปล่อยเพลง ทุกเพลงจะชนะไม่ได้หรอก บางทีคนอาจจะเห็นตอนศิลปินประสบความสำเร็จแล้ว เห็นแค่ยอดภูเขา แต่ไม่เห็นว่าข้างล่างเขาสู้ขนาดไหนกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ อย่าง Bowkylion เคยไม่มีงานเลยประมาณ 5-6 ปี ก็ยังทำเพลงบ้าง หายไปบ้าง แล้วก็กลับมาทำเพลงต่อ เราก็มีหน้าที่ให้กำลังใจ พยายามช่วยน้องหางาน กว่าเขาจะดังมันก็ต้องใช้เวลาและความอดทน

วิ : สำหรับทีมงานเอง เราก็มีบทเรียนเรื่องเดียวกันว่าต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ถ้ามัวแต่ยึดติดว่าเราเคยทำแบบนี้แล้วมันสำเร็จ สุดท้ายเราทำเหมือนเดิมอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าเดิมก็ได้ ปีนี้เราอาจจะทำเพลงติดอันดับ 1 ได้ แต่โลกมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา เราต้องไม่หยุดนิ่ง ไม่หยุดที่จะพัฒนา ไม่หยุดที่จะหาวิธีการใหม่ๆ มาโปรโมตเพลง

ที่ What The Duck ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานมาก็จริง ทีมงานทุกคนรักในผลงานของศิลปินไม่น้อยไปกว่าศิลปินด้วยซ้ำ เรารักเพลงเพลงหนึ่งมาก ดังนั้นเราพยายามหาวิธีการตลอดเวลา เพื่อทำให้เพลงเพลงนี้มันได้ไปต่อ เพื่อทำให้ศิลปินที่เราทำงานด้วยโตขึ้นในทุกๆ วัน

ทุกครั้งที่เราทำแผน เรารีสตาร์ทใหม่ตลอดเวลาในทุกๆ เดือน ในทุกๆ สัปดาห์ เราพยายามทำเพลงให้ฮิต เราพยายามจะเซต KPI ให้สูงขึ้นตลอดเวลา แล้วเราอาศัยความร่วมมือร่วมใจกัน เวลาทำโปรโมตเพลงไม่ได้มาจากฝั่งการตลาดฝั่งเดียว เป็นการร่วมมือร่วมใจกันในทุกๆ ส่วนของ What The Duck ที่จะช่วยกันพาเพลงเพลงนี้ไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิม

ขอบคุณสถานที่ Format BKK Ari

Ufotable สตูดิโออนิเมะผู้สร้างปรากฏการณ์ Demon Slayer ที่เติบโตด้วยปรัชญาแห่งความประณีต

“คนทำแอนิเมชั่นใส่สุดเหมือนเป็นงานสุดท้ายของชีวิต”

“ต้องไปดูในโรงเท่านั้น ถ้าให้ดีต้องโรง Imax ด้วย!”

“นี่คือตัวอย่างที่ดีของ anime adaption”

ข้างต้นเป็นความคิดเห็นเพียงเศษเสี้ยวจากผู้ที่มีโอกาสชมภาพยนต์แอนิเมชั่นเรื่อง Demon Slayer : Infinity Castle หรือในชื่อภาษาไทย ‘ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต’ หลังจากเข้าฉายในบ้านเราได้ราว 2 อาทิตย์กับยอดรายได้ที่พุ่งทะยานแตะหลัก 266 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย 

ส่วนในประเทศต้นกำเนิดอย่างญี่ปุ่นทำรายได้ถึง 25,700 ล้านเยน หรือ 5 พันกว่าล้านบาท ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของหนังทำเงินในทำเนียบบอกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นและมีแววจะแซงภาพยนตร์ระดับตำนานอย่างไททานิกขึ้นที่ 3 พร้อมเตรียมกวาดรายได้ในสหรัฐฯ ช่วงกลางกันยายน 

ปรากฏการณ์ Demon Slayer Fever นี้ดูยังไงก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ประการแรกคือเนื้อเรื่องที่มีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนแนวโชเน็นครบรส มิตรภาพ ความรัก บทบู๊ พัฒนาการของตัวละครที่น่าเอาใจช่วย และประการที่สองคือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากมังงะสู่แอนิเมชั่น ทั้งในรูปแบบซีรีส์และจอเงินที่นำความโดดเด่นของเนื้อหามาถ่ายทอดถึงพริกถึงขิง ซึ่งทำให้การ์ตูนเรื่องนี้สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น

กุญแจสำคัญที่ทำให้ Demon Slayer ฉบับอนิเมะโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกย่อมหนีไม่พ้น ‘Ufotable’ (ยูโฟเทเบิล) สตูดิโอผู้ผลิตอนิเมะเจ้าใหญ่ของญี่ปุ่น ที่รับหน้าที่ผลิตงานมาตั้งแต่ซีซั่นแรกจวบจนโปรเจกต์ไตรภาคที่แฟนๆ เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

เกริ่นนำถึงตรงนี้เห็นทีจะต้องเล่าถึง Ufotable เสียหน่อย ว่าสตูดิโอเจ้านี้ทำยังไงถึงประสบความสำเร็จและทำให้ Demon Slayer กลายเป็นอนิเมะที่เตรียมขึ้นหิ้งระดับตำนาน ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญเข้าไปหาคำตอบพร้อมกันได้ที่ด้านล่างนี้ 

In-house Studio รับจบงานเบื้องหลัง รวมปรมาจารย์มือฉมังในอุตสาหกรรม

ก่อนอื่นขออนุญาตทวนเข็มย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ในยุคที่อนิเมะถูกสถาปนาให้กลายเป็นป๊อปคัลเจอร์ประจำแดนปลาดิบ 

หนึ่งในฟันเฟืองขับเคลื่อนวงการอย่าง ‘ฮิคารุ คอนโดะ’ (Hikaru Kondo) อดีต Animation Producer แห่ง Telecom Animation Film ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TMS Entertainment ผู้ผลิตอนิเมะเรื่องดัง อาทิ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (Detective Conan) ตัดสินใจพลิกบทบาทจากลูกจ้างสู่นายจ้างด้วยการเปิด in-house studio เล็กๆ ที่มีชื่อว่า Ufotable

ฮิคารุ คอนโดะ ผู้ก่อตั้ง Ufotable
ฮิคารุ คอนโดะ ผู้ก่อตั้ง Ufotable

ชื่อเสียงของฮิคารุเป็นที่รู้จักดีในวงการเบื้องหลังนักออกแบบแอนิเมชั่นให้แก่เกมแนวแอ็กชั่น MMORPG (ใครที่เป็นเกมเมอร์น่าจะเคยผ่านตาชื่อของเขาในพาร์ตเครดิตกันมาบ้าง) เช่น Black Rock Shooter, Fate/stay night (Reálta Nua), Code Vein, Super Smash Bros. Brawl ฯลฯ 

ด้วยชื่อเสียงนี้เอง ฮิคารุจึงสามารถชักชวนเพื่อนในวงการเบื้องหลังซึ่งแต่ละรายนับเป็นปรมาจารย์มือดีมาเข้าสตูดิโอของเขาได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะทาคุยะ โนนากะ (Takuya Nonaka) อดีตผู้กำกับที่จากอนิเมะเรื่อง Ah! My Goddess, ซาโตชิ ทาคาฮาชิ (Satoshi Takahashi) แอนิเมเตอร์และคีย์แอนิเมชั่นจากผลงานเรื่อง Fate/Zero ฉบับฉายทีวีทั้งสองซีซั่น, จุน ชิบาตะ (Jun Shibata) โปรดิวเซอร์และคีย์แอนิเมชั่นจาก Code Geass: Lelouch of the Rebellion R2 และเอมิ ชิบะ (Emi Shiba) คัลเลอร์ดีไซน์ที่ฝากผลงานไว้ในอนิเมะแนวซูเปอร์โรบอตและกันดั้มนับไม่ถ้วน

เมื่อผู้เล่นหลักในทีมครบ Ufotable ของฮิคารุจึงเริ่มโลดแล่นสู่วงการอนิเมชั่นด้วยการเป็นสตูโอซัพพอร์ตงานเบื้องหลังครอบคลุมตั้งแต่คีย์แอนิเมชั่น ซีจี จนถึง compositing โดยแบ่งทีมที่รับงานตามความสามารถเฉพาะทางเพื่อลดข้อผิดพลาด

เติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคงด้วยปรัชญา Quality Over Quantity

ในยุคแรก ทีมงานหลังบ้านของ Ufotable ต้องบอกว่าไม่เยอะออกแนวน้อยเกินเสียด้วยซ้ำ ด้วยจำนวนเกือบ 90 ชีวิต ทำให้ไม่สามารถรับโปรเจกต์ใหญ่พร้อมกันได้ในทีเดียว 

อย่างไรก็ดี จำนวนน้อยที่ว่ากลับขับเคลื่อนด้วยปรัชญาการทำงานที่เรียกว่า ‘Quality Over Quantity’ หรือ ‘คุณภาพมากกว่าปริมาณ’ หมายความว่าโปรเจกต์ใดที่รับงานมาแล้วจะต้องทำด้วยความพิถีพิถันและประณีตอย่างมากถึงมากที่สุด

งานส่วนใหญ่ในมือของ Ufotable จึงออกมามีคุณภาพและเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์จากการนำเทคนิค 2D จากการเป็นคนเบื้องหลังคนทำอนิเมะและ CGI จากคนทำเกมมาผสมผสานกัน ซึ่งต่อมาถูกยกให้กลายเป็นลายเซ็นสำคัญของสตูดิโอโดยปริยาย (จำตรงนี้ไว้นะครับ นี่คือคีย์สำคัญที่จะทำให้สตูดิโอนี้ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างในอนาคต)

เพราะมีบุคลากรที่ช่ำชองจากสายงานเบื้องหลังหลากแขนง Ufotable เลยมีโอกาสได้รับงานหลากหลายกว่าชาวบ้าน ไม่ว่าจะอินโทรสำหรับรายการโทรทัศน์, งานภาพวิดีโอเกม, งานภาพ 3D ประกอบ live action ต่างๆ ไปจนถึงงาน CG ประกอบอนิเมะเช่น Sonic X และ Gundam SEED

The Garden of Sinners ผลงานสร้างชื่อของ Ufotable
The Garden of Sinners ผลงานสร้างชื่อของ Ufotable

แต่กว่าสตูดิโอนี้จะสร้างชื่อเป็นที่รู้จักต้องใช้เวลาสั่งสมชื่อเสียงนานถึง 7 ปี โดยผลงานที่ทำให้เป็นที่รู้จักมาจากภาพยนตร์อนิเมะเรื่อง The Garden of Sinners หรือสวนแห่งคนบาป ที่ได้ปลดปล่อยลายเซ็นของสตูดิโอออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเทคนิค Claymation ที่ต้องใส่ใจขั้นตอนการทำงานมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ Ufotable ยังได้รับงานจากบริษัท Bandai Namco ผลิตฉากคัตซีนล้ำๆ ในเกม Tales of และ God Eater อีกด้วย

ติดสปีดจากโอกาสครั้งสำคัญที่ Aniplex มอบให้

ถึงตรงนี้ Ufotable ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการเบื้องหลังคนทำอนิเมะ เพียงแต่อยู่ในบทบาท ‘ม้านอกสายตา’ ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงสักเท่าไหร่นัก พูดให้เห็นภาพคือถ้าพูดถึงชื่อ Studio Ghibli หรือ Toei Animation คนจะนึกถึงคุณภาพงานหรือความเป็นแบรนดิ้งได้ชัดเจนทันที 

ถึงกระนั้นผลงานของ Ufotable กลับเข้าตากรรมการ Aniplex ซึ่งเป็นบริษัทบันเทิงในเครือ Sony Group Corporation ที่กำลังหาสตูดิโอมารับโปรเจกต์ Demon Slayer ซีซั่นแรก 

โปรเจกต์ดังกล่าวถือเป็นงานโหดหินเอาการ เพราะ Demon Slayer หรือ Kimetsu no Yaiba ณ เวลานั้นถูกยกให้ ‘ความหวัง’ ของอุตสาหกรรมมังงะที่กำลังตกอยู่ในสภาวะซบเซา นับตั้งแต่มังงะที่เป็นเสาหลักในนิตยสาร Weekly Shonen Jump อาทิ Naruto ทยอยอวสาน จนช่วงหนึ่งตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศจากการขาดมังงะเรื่องดังรับไม้ต่อ โดยก่อนที่ Demon Slayer ฉบับอนิเมะซีซั่นแรกจะออกฉายมียอดขายต้นฉบับถึง 3.5 ล้านเล่มในประเทศญี่ปุ่น

เหตุผลที่ Aniplex เลือกใช้บริการของ Ufotable มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือเป็นสตูดิโอที่มีฝ่ายกระบวนการผลิต (production committee) ครบวงจร ทั้ง key animation, CG และ compositing ทำให้จบงานได้ด้วยตัวเอง หมดปัญหาเรื่องการส่งต่องานล่าช้าหรือการไม่ลงรอยระหว่างการทำงานข้ามบริษัท ไปจนถึงสามารถวางแผนงานได้ในระยะยาว และข้อสองคือความประณีตที่มีเป็นทุนเดิม 

ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของ Aniplex จะถูกต้องดังที่คิด เพราะทันทีที่ Demon Slayer ออกฉาย อนิเมะซีรีส์ดังกล่าวสามารถเรียกเรตติ้งคนดูจำนวนมหาศาล โดย Oricon Monitor เว็บไซต์ด้านสถิติรายงานว่า ในปี 2020 มีประชากรชาวญี่ปุ่นรู้จัก Demon Slayer มากถึง 90% โดยแบ่งเป็นรู้จักดีมากถึง 40.5% และรู้จักเฉยๆ  57.3% 

สถิตินี้สะท้อนกลับไปยังยอดขายเวอร์ชั่นมังงะที่ยอดขายต้นฉบับเพิ่มถึง 12 ล้านเล่ม ในขณะที่สินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซีรีส์มียอดขายในประเทศญี่ปุ่นแซงหน้าการ์ตูนระดับตำนาน ทั้ง Pokémon, Anpanman, Mickey Mouse และ Peanuts

เหตุผลของผู้ชมส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากบทที่ชวนติดตาม อีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบ Demon Slayer คืองานภาพที่มีความลื่นไหลและทรงพลังในฉากต่อสู้ แม้กระทั่งเพลงประกอบที่ใช้เองก็ติดหูลื่นไหลอย่าง Gurange (ที่คนไทยเอาไปแปลเนื้อร้องว่าซื้อยาคูลท์นั่นแหละครับ)  

Demon Slayer ซีซั่นแรกถูกโปรโมตตามสถานีรถไฟ
Demon Slayer ซีซั่นแรกถูกโปรโมตตามสถานีรถไฟ

Satsuei ลายเซ็นที่ทำให้แตกต่าง

ต้องบอกว่าผลงาน Demon Slayer ในมือของ Ufotable โตวันโตคืนแบบก้าวกระโดด เห็นได้ชัดเมื่อออกฉายในรูปแบบเดอะมูฟวี ภาครถไฟแห่งนิรันดร์ หรือ Mugen Train ที่ออกฉายภายเมื่อปี 2021 ที่กวาดรายได้ถล่มทลาย 

ในประเทศญี่ปุ่นที่ใช้เวลาเพียง 73 วันแซงหน้า Spirited Away ขึ้นที่ 1 บอกซ์ออฟฟิศของญี่ปุ่นด้วยรายได้รวม 32.4 พันล้านเยน (7.13 พันล้านบาท) ถือเป็นการโค่นแชมป์ภาพยนตร์อนิเมะจาก Studio Ghibli ที่ครองมายาวนานถึง 19 ปี 

กุญแจสำคัญที่ทำให้ Demon Slayer : Mugen Train ประสบความสำเร็จมาจากเทคนิคที่เรียกว่า ‘Satsuei’ หรือการใช้ compositing ผสมผสานกันระหว่างเทคนิค 2D เข้ากับ CG ได้อย่างแนบเนียน เรียกว่าเป็นการยกเครื่องงานภาพในหนังสือการ์ตูนนำมาถ่ายทอดใหม่ให้ดูสมจริงสมจัง ทั้งภาพขบวนรถไฟที่เคลื่อนขบวนในยามราตรีราวกับของจริง, การต่อสู้ระหว่างเสาหลักเพลิงกับอสูรข้างขึ้นลำดับที่ 3 ที่กลายเป็นฉากระดับตำนาน ไปจนถึงฉากดราม่าเรียกน้ำตาในตอนท้ายเองก็เช่นกัน

ต่อมาเทคนิค Satsuei จึงถูกยกให้เป็นจุดเด่นของ Ufotable ที่หาคู่เปรียบได้ยาก โดยเทคนิคดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ใน Demon Slayer ภาคต่อๆ ไป แม้กระทั่งฉบับซีรีส์ภาค Entertainment District Arc หรือย่านเริงรมย์ที่มีเนื้อหาเพียง 3 เล่มจบก็ถูกนำมาใช้ และเรียกเสียงฮือฮากับงานภาพสุดอลังการโดยเฉพาะใน EP.10 ที่คุณภาพเทียบเท่างานฉายโรง

ความนิยม Demon Slayer ไม่จบลงแค่ในจอเท่านั้น นอกจากจะมีสินค้าที่คอลแล็บกับแบรนด์ดังต่างๆ มากมาย Ufotable ยังจับกระแสด้วยการเปิด Ufotable Cafe ในโตเกียวและโอซาก้าเพื่อดึงดูดแฟนคลับให้เข้ามาใช้บริการสร้างรายได้อีกทาง

งานภาพ Demon Slayer : Mugen Train
งานภาพ Demon Slayer : Mugen Train

เกือบพังเพราะคดีหนีภาษี

จากที่เคยเป็นม้านอกสายตา ถึงตรงนี้ Ufotable กลายเป็นสตูดิโอที่ทั่วโลกจับตามอง แต่การเป็นที่รู้จักนี้อาจกลายเป็นดาบสองคม

ในเดือนกรกฎาคมปี 2021เมื่อมีข่าวว่า ฮิคารุ คอนโดะ ซีอีโอของ Ufotable ถูกจับฐานหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่า 137 ล้านเยน ทำเอาแฟนๆ Demon Slayer ช็อกไปตามๆ กัน 

จากการไต่สวนของศาลพิพากษากรุงโตเกียวระบุว่า ฮิคารุได้สารภาพถึงข้อกล่าวหาหลีกเลี่ยงภาษีในจำนวนดังกล่าวจริง โดยเป็นจำนวนเงินรายได้ของ Ufotable ระหว่างปี 2018-2021 ซึ่งตรงกับช่วงที่ Demon Slayer ภาคแรก และภาค Mugen Train ออกฉายไปแล้ว อีกทั้งฮิคารุยังแอบซ่อนเงินรายได้จากการจำหน่ายสินค้าของ Ufotable Cafe ไว้กับตัวอีก 441 ล้านบาท

สาเหตุที่ซีอีโอ Ufotable ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาจากความกดดันจากต้นทุนการผลิตและค่าแรงทีมงานที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพผลงานให้เป็นไปตามความคาดหวังของแฟนๆ ไม่ใช่แค่กับ Demon Slayer แต่หมายถึงผลงานทุกๆ ชิ้นที่ถูกผลิตในนาม Ufotable ดังนั้นฮิคารุจึงหวังว่าเงินก้อนที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นเงินทุนสำรองเพื่อผ่านพ้นวิกฤตไปได้ 

ผลจากการกระทำผิดของฮิคารุ ส่งผลให้เจ้าตัวถูกศาลกรุงโตเกียวลงโทษจำคุก 20 เดือน โดยเว้นวรรคพักโทษเป็นเวลา 3 ปี และใน 3 ปีนี้หากประพฤติตัวดีจะไม่ต้องถูกส่งเข้าเรือนจำ 

ช่วงแรก Ufotable ได้รับผลกระทบเต็มๆ มีข่าวลือมากมายถึงการเปลี่ยนมือสตูดิโอที่จะเข้ามารับช่วงต่อโปรเจกต์ Demon Slayer แต่สุดท้ายข่าวลือดังกล่าวได้จบลงเมื่อฮิคารุออกมาขอโทษต่อสังคม และยื่นแบบแสดงรายได้แก้ไข (amended tax return) พร้อมชำระภาษีครบถ้วน 

เปลี่ยนวิธีการวางแผนเพื่อไตรภาค Infinity Castle

หลังได้รับบทเรียนครั้งสำคัญ Ufotable ตัดสินใจปรับวิธีการทำงานขนานใหญ่เพื่อรับมือโปรเจกต์ไตรภาค Infinity Castle ที่กำหนดจบราวๆ ปี 2029 ด้วยการปรับเพิ่มพนักงานเป็น 256 คน โดยมีพนักงาน 100 คนรับผิดชอบผลิตโปรเจกต์อนิเมะ 

การเพิ่มจำนวนพนักงานเป็นเท่าตัวก็เพื่อตัดปัญหา ‘งานล้นมือ’ เหมือนที่บ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง MAPPA Studio เคยโดนวิพากษ์วิจารณ์กับการใช้แรงงานแอนิเมเตอร์หามรุ่งหามค่ำ

นอกเหนือจากเรื่องกำลังคน Ufotable ยังปรับตารางการฉาย Demon Slayer แบบซีรีส์สลับกับเดอะมูฟวี่ เพื่อให้มีเวลาในการปั้นงานฉบับฉายโรงภาพยนตร์ซึ่งต้องใช้ความละเมียดกว่า อย่าง Infinity Castle พาร์ตแรกก็มีเวลาทำเกือบ 3 ปี ก่อนที่จะมีเวลาอีก 2 ปีเพื่อเร่งพัฒนาพาร์ตต่อไป

ส่วนต้นทุนการผลิต ทาง Aniplex ได้ให้เงินสนับสนุนการทำงานในระยะยาวแก่ Ufotable ซึ่งเงินส่วนนี้เป็น ‘กำไร’ ที่ได้จากการออกฉายและจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ของ Demon Slayer : Mugen Train เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำสอง

งานวิชวลสุดอลังการของโมเดล Infinity Castle 
งานวิชวลสุดอลังการของโมเดล Infinity Castle 

ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนลงแรงไปกับไตรภาค Demon Slayer : Infinity Castle ขนาดนั้น ทั้งที่เลือกฉายในรูปแบบซีรีส์แบบเดิมก็ได้ เชื่อว่าใครที่ไปดูน่าจะเห็นคำตอบ กับการรังสรรค์โมเดลปราสาทไร้ขอบเขตจากเวอร์ชั่นมังงะที่ดูธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแดนสนธยาไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งการฉายโรง (โดยเฉพาะ Imax) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยดึงประสิทธิภาพความยิ่งใหญ่ที่ว่าสู่สายตาคนดูได้นั่นเอง

ถึงตรงนี้ Ufotable และ Demon Slayer น่าจะไม่มีวันแยกจากกันได้ประดุจกิ่งทองใบหยก ดังที่คาซูฮิโกะ โทริชิม่า (Kazuhiko Torishima) อดีตบรรณาธิการของนิตยสารมังงะ Shonen Jump กล่าวไว้ว่า Demon Slayer เปรียบเสมือนเมล็ดกาแฟดิบที่ได้ Ufotable คั่วและชงออกมาเป็นกาแฟชั้นดี หรือในรายงานของยูซูเกะ มุราตะ (Yusuke Murata) นักวาดมังงะเรื่อง One-Punch Man ที่เคยเขียนไว้กระทู้ส่วนตัวว่า Ufotable มีส่วนสำคัญในการผลักดัน Demon Slayer ไปสู่อีกระดับ จนมีส่วนย้อนกลับมากอบกู้วงการมังงะจากภาวะซบเซา

เอาเข้าจริงการทำงานช่วงแรกของ Ufotable ดูคล้าย ‘มนุษย์เป็ด’ ที่ทำงานได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ต่างไปคือเป็นมุนษย์เป็ดที่เชื่อในการทำงานด้วยความตั้งใจและประณีต จนสามารถเหนือกว่าเป็ดตัวอื่นๆ ที่มีอยู่ในบ่อเดียวกัน และการค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ ขัดเกลาคุณภาพ จนมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองอย่างการผสมเทคนิค 2D และ CG เข้าด้วยกันยิ่งทำให้สตูดิโอนี้เฉิดฉาย 

น่าตื่นเต้นแทนแฟนๆ Demon Slayer ไม่น้อยที่จะได้ดูงานภาพดีๆ ไปอย่างน้อยอีก 2 ภาค และแว่วๆ ว่าภาพยนตร์อนิเมะเรื่องนี้อาจถูกส่งชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในเร็ววัน 

ซึ่งถ้าได้รางวัลจริงจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แค่คิดตามก็เนื้อเต้นแล้ว 

อ้างอิงข้อมูล