สูตรเด็ดที่ทำให้พันธุ์ไทยเติบโตพร้อมคนไทยแบบไม่พึ่งโชค และพาแบรนด์กาแฟไทยไปสู่สายตาชาวโลก

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตลาดกาแฟไทยเติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง มูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาทสะท้อนว่ากาแฟไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มเติมพลัง แต่คือวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่คนไทยโอบรับไว้เต็มหัวใจ ในสนามแข่งขันที่ร้อนแรงเช่นนี้ ‘พันธุ์ไทย’ เป็นแบรนด์กาแฟไทยที่น่าจับตา

สิ่งที่ทำให้พันธุ์ไทยต่างออกไป คือการกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ทั้งเมนูที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไปจนถึงแนวคิดที่พลิกมุมมองว่าร้านกาแฟควรเป็นยังไง จึงไม่แปลกใจที่พันธุ์ไทยจะสร้างฐานแฟนคลับมหาศาลกว่าเจ็ดแสนคนบนเฟซบุ๊ก และในปี 2567 ก็สร้างรายได้กว่า 2,575 ล้านบาท เติบโตถึง 97.4% จากปีก่อนหน้า พร้อมขยายสาขาทะลุ 1,300 แห่งทั่วประเทศ

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปั๊ม PT วันนี้พันธุ์ไทยก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 แบรนด์อาจจะบอกว่านี่คือ ‘ความโชคดี’ แต่เมื่อมองลึกลงไป ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย หากมาจาก ‘สูตรเด็ด’ ที่ผสมระหว่างความเชื่อมั่น กลยุทธ์ และความตั้งใจจริง ซึ่ง Capital ได้สรุปออกมาเป็น Capital List ตอนนี้

1. Thai Brand Coffee DNA แบรนด์กาแฟไทยที่เล่าใหม่อย่างสร้างสรรค์

พันธุ์ไทยมี DNA ที่ชัดเจน คือการเป็นแบรนด์กาแฟไทยที่เชื่อว่า ‘อะไรก็เป็นไปได้’ ทุกๆ เมนูของพันธุ์ไทยจึงเต็มไปด้วยความพยายามทลายกรอบเดิมๆ ด้วย Creative Thai Taste ที่หยิบวัตถุดิบท้องถิ่นมาตีความใหม่ กลายเป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและมีเรื่องเล่า เช่น ‘กาแฟโตนด’ ที่ใช้ตาลโตนดจากสงขลามาสร้างความแปลกใหม่ แถมยังสร้างคุณค่าให้เกษตรกรท้องถิ่น จนกลายเป็นซิกเนเจอร์เมนูที่คนพูดถึงไม่ขาดสาย 

จากจุดเริ่มต้นนั้นทำให้เกิดเป็นเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ที่แทบไม่เคยเห็นแบรนด์กาแฟไหนเคยทำ เช่น ‘ท้อนไทยเทสต์’ ที่สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ด้วยกระท้อนเนื้อปุยฝ้ายหวานหอมของดีปราจีนบุรี เมนูของพันธุ์ไทยจึงเป็นการชูวัตถุดิบเด่นของแต่ละท้องที่ แต่ละจังหวัด 

ที่น่าสนใจคือพันธุ์ไทยยังเปิดพื้นที่ให้ลูกค้า DIY เครื่องดื่มในแบบของตัวเองได้ แทบจะเป็นแบรนด์กาแฟแรกๆ ที่ให้อิสระลูกค้ามากขนาดนี้ จนกระตุ้นให้เกิดกระแส user generated content (UGC) ที่ทรงพลัง เมื่อคนดื่มอยากเล่าต่อเอง กลยุทธ์นี้จึงกลายเป็นทั้งการตลาดและการสร้างคอมมิวนิตี้ไปพร้อมกัน

2. Creative Collab การร่วมมือกับสารพัดศิลปินและสร้างสีสันใหม่

การคอลแล็บของพันธุ์ไทยไม่ใช่แค่สีสันชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือกลยุทธ์ที่สร้างรายได้และขยายฐานลูกค้าได้จริง ไม่ว่าจะเป็น ‘ไทยริกาโน’ ที่ร่วมกับศิลปินระดับโลก ‘สุรชัย พุฒิกุลางกูร’ ในการออกแบบแก้วพิเศษ หรือ ‘ดีดศาสตร์’ ที่จับมือกับกระทิงแดงสร้างเครื่องดื่ม Energology Drinks จนทำให้ยอดผู้เข้าร้านเพิ่มขึ้นกว่า 20%

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่ารักคือ ‘ดับเบิ้ล #หมูเด้งพันธุ์ไทย’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้องฮิปโปแคระหมูเด้งแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เมนูนี้ไม่เพียงสร้างรอยยิ้มและไวรัลบนโซเชียล แต่ยังดันยอดขายในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ความร่วมมือเหล่านี้จึงสะท้อนว่าเมื่อศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และธุรกิจมาพบกัน ก็สามารถสร้าง brand love ได้ในคราวเดียว

3. The Jung-Cullen Effect พลังพรีเซนเตอร์ในรอบ 12 ปี ที่ทำให้แบรนด์สดใหม่ 

12 ปีแรก พันธุ์ไทยไม่เคยมีพรีเซนเตอร์มาก่อน จนกระทั่งเลือก ‘คัลแลน-พี่จอง’ ยูทูบเบอร์ที่เป็นลูกค้าจริงมาสร้างสีสันใหม่ๆ ผ่านโฆษณา และการจับคู่กับ ‘ไทยริกาโน’ เมนูกาแฟสเปเชียลตี้จากกาแฟไทยอะราบิก้า 100% 

ไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์สดใหม่ เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่วัย 30 ปีลงมา แต่ในเชิงธุรกิจยังได้ผลจริง เพราะไม่ถึงสัปดาห์ ยอดขายกาแฟพันธุ์ไทยพุ่งขึ้น 1.5 เท่าในแคมเปญยังมี ‘การ์ดพันธุ์ไทยใจฟู’ การ์ดสุ่มสะสมสุดพิเศษ ถือเป็นการสร้างเอนเกจเมนต์ที่ได้ผล เกิด loyalty และความผูกพันกับแบรนด์ แม้แคมเปญจะผ่านไปแล้ว แต่พันธุ์ไทยก็เปลี่ยนแฟนๆ ให้เป็นลูกค้าประจำในระยะยาวได้ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ คุณภาพ และระบบ CRM ที่แข็งแรง

4. Community Impact สารพัดโปรเจกต์เพื่อสังคมที่ทำให้แบรนด์เติบโตไปพร้อมกับชุมชน

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือพันธุ์ไทยไม่ได้สร้างการเติบโตเพียงเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้าง ‘ระบบนิเวศธุรกิจ’ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมและเติบโตไปด้วยกัน อย่างการตั้งเป้าขยายพื้นที่ปลูกกาแฟอะราบิก้าให้ได้ 30,000 ไร่ ภายใน 5 ปีจัดตั้งทีมลงพื้นที่ให้ความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำ พร้อมทำสัญญารับซื้อในราคายุติธรรม ไม่เพียงสร้างคุณภาพที่สม่ำเสมอให้กับกาแฟ แต่ยังกลายเป็นฐานรากสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์กาแฟไทยในระยะยาว

นอกจากการพัฒนาเชิงเกษตร พันธุ์ไทยยังผลักดันโครงการเพื่อสังคมที่มองคนทุกเจเนอเรชั่น ตั้งแต่ ‘บาริสต้าวัยเก๋า’ ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีอายุมากกว่า 50 ปีได้มีอาชีพและรายได้ ไปจนถึง ‘บาริสต้าน้อย’ ที่สร้างศูนย์ฝึกอาชีพให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้จากการทำงานจริง 

5. Sustainable Thai Taste ความอร่อยที่มาพร้อมความยั่งยืนต่อเกษตรกร และต่อโลก 

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ ESG และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พันธุ์ไทยยังพิสูจน์ว่าความอร่อยและความยั่งยืนสามารถเดินคู่กันได้จริง ผ่านหลากหลายความตั้งใจ จนทำให้พันธุ์ไทยได้รับรางวัล ‘ร้านกาแฟรักษ์โลก’ ในปี 2567

เช่น การออกกาแฟแคปซูล home compostable ย่อยสลายได้ 100% เป็นแบรนด์แรกของไทย ผลิตจากเส้นใยพืช เซลลูโลส และแป้ง ได้รับการรับรองมาตรฐาน DIN CERTCO จากเยอรมนี หรือจะเป็น PUNTHAI Bio Cup แก้วเครื่องดื่มรักษ์โลกที่ผลิตจากมันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพด สามารถย่อยสลายได้ง่าย ลดไมโครพลาสติกและผลกระทบต่อระบบนิเวศ 

6. Data & CRM Power ดาต้าจากบัตรสมาชิก Max Card ที่สร้าง loyalty และ insight 

สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเติบโตของพันธุ์ไทยคือการใช้ดาต้าอย่างชาญฉลาด ด้วยสมาชิก Max Card และ Max Card Plus กว่า 25 ล้านราย ที่ไม่เพียงช่วยให้พันธุ์ไทยเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ยังสามารถออกแบบแคมเปญและสิทธิพิเศษเฉพาะบุคคล ช่วยสร้างโอกาสการซื้อซ้ำและสร้าง loyalty รวมถึงยังนำพาลูกค้าไปใช้บริการอื่นๆ ของ PTG ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน ทำให้เกิด synergy ระหว่างธุรกิจ non-oil และธุรกิจพลังงาน 

7. From Petrol Station to City ขยายสาขาจากปั๊มสู่ Strategic Locations 

จุดเริ่มต้นของพันธุ์ไทยคือร้านกาแฟในปั๊ม PT แต่เพียงสิบกว่าปี แบรนด์ก็ได้ก้าวข้ามกรอบเดิมๆ และขยายไปสู่ strategic location อย่างมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า ช่วยเจาะตลาดคนรุ่นใหม่และกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในเขตเมืองโดยตรง

โมเดลการขยายสาขายังมีความยืดหยุ่น ตั้งแต่ร้านขนาดใหญ่ที่สร้างประสบการณ์เต็มรูปแบบ ไปจนถึง Kiosk ในปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่ฟู้ดทรัคที่เคลื่อนไปตามงานอีเวนต์ได้ สิ่งนี้ทำให้พันธุ์ไทยเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ที่สำคัญ พันธุ์ไทยยังกล้าทดลองโมเดลใหม่อย่าง ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย’ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ตลาดและได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง สะท้อนว่าแบรนด์ไม่ยึดติดกับภาพจำว่าร้านกาแฟต้องขายแต่กาแฟ แต่เลือกที่จะเดินเกมรุกในทุกโอกาสที่เข้ากับ DNA ของตัวเอง นั่นคือ #พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้

และทั้งหมดนี้คือ ‘สูตรเด็ด’ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ 13 ปีของพันธุ์ไทย สูตรที่ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากการคิด ลงมือ และเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์ไทย ที่ธุรกิจอื่นๆ ก็นำไปปรับใช้ได้เช่นกัน

‘เศรษฐกิจที่ดีต้องโตคู่ความยั่งยืน’ สรุปจาก MFLF Sustainability Forum 2025 

การพัฒนาเศรษฐกิจกับความยั่งยืนดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่สวนทางกันมาโดยตลอด จริงหรือไม่? ในวันนี้ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) กำลังสั่นคลอนสมดุลของโลก เศรษฐกิจมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาถูกมองว่า ‘โตแต่ตัน’ เติบโตทางตัวเลขแต่กลับสะดุดในหลายมิติ ขณะที่บางประเทศ ‘ดีแต่ขาด’ มีแนวทางที่ยั่งยืนแต่ยังไม่อาจตอบโจทย์การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกได้

ท่ามกลางความเปราะบางของโลก ประเทศเล็กๆ อย่างไทยก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เมื่อโลกของเรามีใบเดียว และสภาพสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพียงเล็กน้อยของประเทศใดประเทศหนึ่งอาจสะเทือนไปทั้งระบบ

เพื่อหาคำตอบและทางออกที่เป็นรูปธรรม งาน MFLF Sustainability Forum 2025 จึงถูกจัดขึ้นโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้แนวคิด ‘วิกฤตโลก ทางออกไทย’ (Global Challenges, Local Solutions at Scale) เวทีนี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ระดมความคิด เปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มองทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลกไปพร้อมกัน

มองการพัฒนาเศรษฐกิจกับความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน

คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า หลายสิ่งที่คนเราเคยคิดว่าเป็น ‘ของตาย’ อย่างสิ่งแวดล้อม อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ความยั่งยืนจึงเป็นโจทย์ที่ต้องผลักดันอย่างต่อเนื่องในระยะยาว คำถามสำคัญคือ เราจะทำยังไงให้มองภาพอนาคตได้ชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างอิมแพกต์ในระยะสั้นได้ด้วย นี่คือชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่ยังหายไป

ที่ผ่านมา การพัฒนาทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนมักถูกมองแยกขาดจากกัน สิ่งสำคัญคือภาคนโยบายต้องทำให้สองเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเดียวกันให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้น แม้ GDP จะเติบโต แต่ก็ต้องย้อนกลับมาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากทุนนิยมอยู่ดี เรื่องนี้ควรกลายเป็น national agenda หรือวาระแห่งชาติ ขณะที่ภาคธุรกิจเองก็ควรตระหนักว่าการเติบโตต่อไปคือการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการหากำไร ในขณะที่ฝั่งประชาชน การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเล็กๆ ในทุกวันก็เป็นแรงกระเพื่อมสำคัญเช่นกัน

แต่การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้เอง (by default) แต่ต้องอาศัยแรงผลักดันและการออกแบบร่วมกันอย่างสามัคคี ภาคเกษตรจึงเป็นหนึ่งในทางออกสำคัญของประเทศ เพราะสามารถพัฒนาได้ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้เข้าใจ ใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะตอบโจทย์การกระจายประโยชน์กลับสู่ชุมชนอีกทอด 

ความหลากหลายทางชีวภาพเปรียบเหมือนตัวต่อ Jenga

ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อธิบายว่า ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเปรียบเสมือนเกมตัวต่อไม้ Jenga (เกมตึกถล่ม) หลายครั้งเราอาจคิดว่าอยากให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดหายไป เช่น ยุง หรือแม้แต่ตัวเงินตัวทองในสวนลุมพินี แต่ความจริงคือ หากสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งสายพันธุ์สูญสิ้นไป ก็อาจทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดล่มสลายลงมาได้เหมือนทาวเวอร์ตัวต่อไม้ที่ล่มลงมา ดังนั้นหากความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นต้นทุนทางธรรมชาติลดลง ธรรมชาติก็จะไม่สามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อีก

หลายคนอาจไม่รู้ว่าผลไม้ที่เราคุ้นเคยอย่างสับปะรด กำลังเผชิญวิกฤต ทุกวันนี้บริษัทสับปะรดกระป๋องหลายแห่งต้องปิดกิจการ เนื่องจากผลผลิตไม่สามารถคาดการณ์ได้ ต้นทุนการผลิตไม่แน่นอน และวัตถุดิบไม่เพียงพอ ซึ่งในอนาคตปัญหาอาจไม่ได้กระทบแค่สับปะรด แต่ลามไปถึงวัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ ที่เป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน
ดร.สุภัชญายังเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเองว่า ขณะไปทานอาหารที่เชียงแสน ริมแม่น้ำโขง ร้านอาหารมีสองตัวเลือกคือเมนูปลานิล และปลาจากแม่น้ำโขง ในวันนั้นตัดสินใจเลือกทานปลานิลเพราะกังวลเรื่องสารปนเปื้อนในน้ำโขง สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเพียงครั้งคราวอย่างเธออาจเป็นเพียงมื้อเดียว แต่สำหรับชาวบ้านริมแม่น้ำ การคำนึงถึงอาหารและน้ำที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคทุกวันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทุกๆ วัน

ผลกระทบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจรอบลุ่มแม่น้ำเฉพาะแม่น้ำกกได้รับความเสียหายหลักห้าร้อยล้านบาทต่อปี และหากนับรวมภาคการท่องเที่ยวและการประมง มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึงหลักพันล้านบาทต่อปี ไม่เพียงแค่ผลผลิตการเกษตรที่ตกต่ำ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมาก หากไม่เริ่มแก้ไขตั้งแต่วันนี้ ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอาจสูงเกินกว่าที่สังคมจะรับไหว

7 ประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน

ภายในงานเสวนายังมีตัวแทนจากอีกหลายภาคส่วนที่มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ภาคการเงินจากธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งพัฒนาด้าน climate finance, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ที่ผลักดันกลไกคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย, โครงการ UNDP Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN) ที่สนับสนุนเงินทุนด้านสิ่งแวดล้อม, บริษัท PwC ประเทศไทยที่ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตลอดจนตัวแทนเครือข่ายป่าชุมชนจากพะเยาและเชียงใหม่ ที่บริหารจัดการพื้นที่ป่าของตนเองอย่างยั่งยืน 

จากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้สามารถ สรุป 7 ประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนควรตระหนักและร่วมมือกันในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนดังนี้

  1. BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ : ทุกภาคส่วนควรทำงานลงลึกกว่าเดิม ด้วยการไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง well-being และธรรมชาติ
  2. คว้าโอกาสจากปัญหา : เตรียมความพร้อมการลงทุนด้าน nature credit เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน
  3. พิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง : โครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ แสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน
  4. มองระยะยาวแบบข้ามรุ่น : ความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10-15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ 
  5. กติกาใหม่เพื่อการพัฒนา : หากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน
  6. ภาคการเกษตรคือหัวใจ : เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ภาคการเกษตรสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง
  7. ต้นทุนของการทำและไม่ทำ : ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตยังไง

สำหรับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีพันธกิจระยะยาวคือการยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน ในงานนี้จึงมีอีกหนึ่งวาระสำคัญคือพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ ‘คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ’ ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ 

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในวันนี้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน และการให้ความสำคัญของการอนุรักษ์และการป้องกันป่าไม้ที่จะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน  

ทดสอบความทนทานของ ‘ASUS Expert Series’ โน้ตบุ๊กที่ออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตมนุษย์ออฟฟิศ  

เกิดเป็นมนุษย์ออฟฟิศนั้นช่างยากเย็น ไหนจะต้องฝ่ารถติดยามเช้า เผชิญกองงานสุมท่วมหัว วันไหนดวงชะตาไม่เข้าข้างก็พร้อมเกิดอุบัติได้แม้กระทั่งบนโต๊ะทำงาน โดยเฉพาะกับโน้ตบุ๊กเจ้ากรรมที่อาจพลาดทำน้ำหกใส่, ปัดตกพื้น, พับจอโดยที่ลืมเอาปากกาออกจากแป้นพิมพ์ ฯลฯ

เพราะเข้าใจถึงเหล่าชะตากรรมที่ว่ามา ‘ASUS’ บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากไต้หวัน จึงคิดค้น ‘ASUS Expert Series’ ซีรีส์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบฟังก์ชั่นมาเพื่อเหล่าคนทำงานตั้งแต่ธุรกิจระดับ SMEs, กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงกลุ่ม prosumer ภายใต้คำนิยามที่ว่า ‘Built for Worry-Free Business’ หรือ ‘การใช้งานเพื่อธุรกิจโดยไร้กังวล’ 

ยกตัวอย่าง ASUS ExpertBook ในตระกูล P-Series ที่เหมาะสำหรับคนทำธุรกิจประเภท SMEs และ Prosumer ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว มีน้ำหนักขนาดกะทัดรัดเพียง 1.27 กรัม พร้อมด้วยฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสบายมากมาย เช่น ชิปประมวลผล Intel Core Ultra ที่มี NPU (Neural Processing Unit) ที่ปฏิบัติการด้วยเทคโนโลยี AI, ระบบ BIOS Security ป้องกันการถูกโจรกรรมข้อมูล, ระบบสแกนลายนิ้วมือและใบหน้าเพื่อเริ่มต้นการใช้งานอย่างรวดเร็ว และ  AI ExpertMeet ตัวช่วยสำหรับการประชุมออนไลน์ทั้งตัดเสียงรบกวนรอบข้าง, บันทึกการประชุมอัตโนมัติ และช่วยแปลภาษาแบบเรียลไทม์

และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ASUS ExpertBook ยังผ่านมาตรฐาน ‘MIL-STD 810H’ ซึ่งเป็นการทดสอบความแข็งแรงโดยทางการทหารประเทศสหรัฐฯ และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ ‘ASUS Superior Durability Test’ มากกว่า 8 ขั้นตอน 

แต่ความแข็งแรงที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น เราถือโอกาสลงมือทดสอบ ‘ASUS Expert P-Series Model P3405CVA’ เพื่อมาแชร์ให้ชาว Capital ได้รับรู้ประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กันในคอลัมน์ Capture ตอนนี้ 

ประสิทธิภาพความแข็งแรงข้อแรกคือตัวบานพับจอที่สามารถกางออกตั้งฉากได้ถึง 180 องศา โดยที่ตัวจอสามารถรองรับน้ำหนักตัวเครื่องได้โดยไม่บิดงอหรือแตกหัก ปัจจัยข้อนี้ออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตมนุษย์ออฟฟิศที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถการทำงานหลีกจากออฟฟิศมานั่งโซฟาชิลล์ๆ หรือในบริบทที่มีพื้นที่การทำงานจำกัดเช่นบนเครื่องบิน อยากนั่งท่าไหนหรืออยากกางจอแบบไหนก็ปรับองศาตามความต้องการได้เลย!

โน้ตบุ๊กก็เหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องระมัดระวังการใช้งานทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่วางสิ่งของบนตัวเครื่องยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะหนักเกินไปไหม ยิ่งคิดตามก็ยิ่งกังวลเกินเหตุ

ด้วยเหตุฉะนี้ ASUS Expert Series เลยดีไซน์ความแข็งแกร่งตัวเครื่องให้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 50 กิโลกรัม และจากที่ทดสอบในห้องแล็บยังสามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 120 กิโลกรัม ถามว่าแข็งแรงขั้นไหน ก็ต้องบอกว่าถึงขั้นที่คนสามารถขึ้นไปเหยียบบนตัวเครื่องได้โดยที่ตัวเครื่องสามารถเปิดใช้งานต่อได้สบายๆ โดยที่ตัวเครื่องปราศจากความเสียหายใดๆ 

อีกหนึ่งความยุ่งยากของชาวมนุษย์ออฟฟิศคือในช่วงเวลาเร่งรีบมักหาที่เสียบสายชาร์จแบตเตอรีไม่ได้ หรือต่อให้หาได้แต่ถ้าอยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ต้องรีบเดินทางก็ยิ่งแล้วใหญ่ จะชาร์จก็ไม่ได้ หน้าจอก็เตือนเปอร์เซ็นต์แบตเตอรีไม่หยุด 

ASUS ที่เห็น pain point ข้อนี้เลยพัฒนาให้ ASUS Expert Series สามารถชาร์จแบตผ่านพาวเวอร์แบงก์ หรือช่องชาร์ทขนาดตั้งแต่ 5-24 โวลต์ ผ่านพอร์ต USB-C ในโหมด slow charging ชาร์จช้ากว่าอแดปเตอร์ที่มาพร้อมกับตัวเครื่องแต่ความเสถียรแทบไม่ต่างกัน หมดข้อกังวลเรื่องที่ชาร์จไปโดยปริยาย

ทำงานทั้งวันถ้าจะหลงลืมบ้างก็คงไม่ผิด แต่ถ้าเผลอลืมวางของไว้บนแป้นพิมพ์แล้วพับฝาจอปิดดังปึ้ง! พลันหน้าจอชำรุดโดยไม่ตั้งใจคงต้องเฟลมากแน่ๆ เพียงแต่ ASUS Expert Series ถูกทดสอบแล้วว่าสามารถรองรับแรงกดบนหน้าจอด้วยปากกา ไม่ว่าจะปิดกระแทกแบบเบามือหรือรุนแรงเหมือนโกรธใครมาหน้าจอก็ยังปกติเหมือนใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

ปัญหาของคนซุ่มซ่ามคือการเผลอทำสิ่งของตกพื้น จะหยิบก็ตก ถือไว้ในมือดิบดีรู้ตัวอีกทีของในมือก็ไปกองอยู่ที่พื้นเสียงั้น ว่าแล้ว ASUS เลยออกแบบให้ตัวเครื่องโน้ตบุ๊ก Expert Series แข็งแรงทนทาน สามารถตกกระแทกพื้นได้ในระดับความสูง 120 ซม. หรือระดับประมาณช่วงเอว ซึ่ง ASUS สำรวจมาแล้วว่าเป็นระดับความสูงที่ถูกทำตกมากที่สุด 

แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ชาว Capital ที่ไม่เชื่อใครง่ายๆ อยู่แล้วเลยลองทดสอบทำโน้ตบุ๊ก P-Series รุ่นนี้ตกลงพื้นในความสูงที่กำหนดไว้ ผลปรากฏว่าตัวเครื่องยังปกติดีเปิดใช้งานได้เหมือนเดิม  

อย่างที่เกริ่นนำไปในช่วงต้นถึงปัญหาคลาสสิกที่มนุษย์ออฟฟิศต้องเคยเจอ นั่นคือปัญหาพลาดทำน้ำหกใส่โน้ตบุ๊กจนแป้นพิมพ์ช็อต จะเช็ดให้แห้งน้ำก็ซึมเข้าเครื่องรวดเร็ว จะแช่ในถังข้าวสารตามความเชื่อแบบเดิมๆ ก็ใช้ว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลสุดท้ายจบที่เข้าศูนย์ซ่อมเครื่องเสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ 

ทว่าโน้ตบุ๊กรุ่นนี้สามารถกันน้ำหรือของเหลวหกใส่คีย์บอร์ดได้ในปริมาณถึง 300 มิลลิลิตร หรือระดับปริมาณน้ำเปล่าหนึ่งขวดได้แบบสบายๆ ชนิดที่น้ำหกปุ๊บให้หยิบผ้าซับให้แห้งปล่อยไว้สัก 1-2 นาทีก็ใช้งานต่อได้ทันที 

หรือถ้ากังวลว่าน้ำที่หกจะเป็นชา, กาแฟ หรือน้ำอัดลมที่เหลือทิ้งคราบเหนียวเกรอะกรังตอนแห้ง ก็มีวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือเทน้ำเปล่าตรงคีย์บอร์ดซ้ำเพื่อชำระคราบจากนั้นใช้ผ้าซับให้แห้งก็ใช้งานต่อได้เช่นกัน

การทดลองสุดท้าย ชาว Capital เคยทดสอบไปก่อนหน้าแล้วในงานเปิดตัว ASUS Expert Series Grand Launch  กับการทดสอบ ‘ช่องพอร์ตเชื่อมต่อ’ ที่แข็งแรงทุกพอร์ตของตัวเครื่อง พิสูจน์ถึงขั้นเสียบสายแลน (ซึ่งมีตัวล็อก) ที่ผูกด้วยลูกตุ้มยกน้ำหนัก 8 กิโลกรัมพร้อมยกขึ้นมา โดยที่ช่องพอร์ตไม่โยกเยกโคลงเคลงหรือชำรุดเสียหาย 

นอกจากนี้โน๊ตบุ๊ก ASUS Expert Series ยังสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 16 ชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรีเพิ่มหรือเครื่องร้อนเพราะมี ‘ExpertCool’ ระบบพัดลมระบายความร้อนที่ช่วยดูดลมเย็นจากด้านล่างตัวเครื่องก่อนกระจายออกด้านหลังตัวเครื่องอีกที รวมไปถึงระบบบริการหลังการขายที่เรียกว่า ‘ASUS Perfect Warranty’ ที่สามารถเคลมค่าเสียหายจากอุบัติเหตุตลอดระยะเวลาที่ซื้อ 1 ปีแรก และบริการ On-site Service’

ที่คลอบคลุมทั่วประเทศ ให้บริการซ่อมฟรีถึงที่ตลอด 3 ปี โดยพนักงานผู้เชี่ยวชาญของ ASUS และให้บริการแบบ ‘Next Business Day (ภายใน 1 วันทำการ) สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ และในจังหวัดปริมณฑล

สุดท้ายนี้ใครที่อยากสอบถามรายละเอียดการบริการหรือจุดขายสินค้า ASUS Expert Series จากพี่ๆ ASUS สามารถไปตามกันต่อได้ที่เว็บไซต์  asus.com/TH/Static_WebPage/where-to-buy-commercial และ LINE Official Account : lin.ee/cbom8AM 

หรือจะย้อนกลับไปทำความรู้จักกับโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตระกูล Expert Series ที่มีให้เลือกอีกเยอะได้ที่บทความนี้ https://www.facebook.com/share/p/19tpEkf8on/ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

🛒 และสามารถไปเอฟ Asus Expertbook รุ่นแนะนำได้ที่ช่องทางออนไลน์และหน้าร้านตัวแทนจำหน่าย ต่อไปนี้

• PM3606CKA (Ryzen AI 5 330/DDR5 16G/1TB/Windows 11 Home) เริ่มต้นเพียง 25,990 บาท

ASUS Expertbook Official Store: Click

• P1503CVA (i3-1315U/DDR5 8GB/512GB/Windows 11 Home) เริ่มต้นเพียง 14,990 บาท

ASUS Expertbook Official Store: Click

ASUS Online Store: ASUS ExpertBook P1 P1503CVA-S71021WS / ASUS ExpertBook P1 P1503CVA-S71748WS

• B5405CCA (U5-225H/DDR5 16GB/512GB/Windows 11 Pro) เริ่มต้นเพียง 58,990 บาท

ASUS Expertbook Official Store: Click

• ตัวแทนจำหน่าย: Click

*หมายเหตุ* โปรดตรวจสอบราคาวางจำหน่ายจริง ณ จุดสั่งซื้อ

‘พันธุ์ไทย’ แบรนด์กาแฟหัวแถวที่กล้าคิดกล้าทำ ใช้พลังวัตถุดิบไทยทลายทุกความเชื่อ  

ในหลายวัฒนธรรม เลข 13 อาจมีมุมมองที่แตกต่างกันไป

13 คือจำนวนคนที่นั่งรับประทานอาหารในภาพ The Last Supper อันโด่งดัง ในตึกอาคารหลายแห่งก็เว้นชั้น 13 ไว้โดยตั้งใจ และในบางสนามบินก็ไม่มีเคาน์เตอร์เช็กอินหมายเลข 13

ไม่ว่าจะด้วยตัวอย่างไหน เราแทบไม่เห็นมุมมองเชิงบวกในเลข 13 จนกระทั่ง ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ กาแฟแบรนด์ไทยที่กำลังจะเข้าสู่ขวบปีที่ 13 ประกาศออกมาอย่างไม่ลังเลว่าพวกเขา ‘โชคดี’ 

นับตั้งแต่ 13 ปีก่อน สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ก่อตั้งร้านกาแฟเล็กๆ ของเธอภายในปั๊ม PT ภายใต้ชื่อพันธุ์ไทยที่นอกจากจะสื่อสารชัดว่าเป็นแบรนด์กาแฟไทยแท้ๆ กาแฟพันธุ์ไทยยังเชื่อในคุณภาพของวัตถุดิบไทย เชื่อในซอฟต์พาวเวอร์ของอาหารและวัฒนธรรมไทย และสุดท้ายคือเชื่อในความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง

ความเชื่อนั้น นำไปสู่ทิศทางในการสนับสนุนเกษตรกรไทย รวมถึงเมนูเครื่องดื่มสุดครีเอทีฟมากมายที่กาแฟพันธุ์ไทยนำวัตถุดิบและผลไม้ท้องถิ่นมาแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นเมนูไทยริกาโน, กาแฟตาลโตนด, ท้อนไทยปั่นชาอัสสัม ไปจนถึงเมนูที่หยิบขนมไทยมาทำเครื่องดื่มอย่าง ขนมครกยกล้อ ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับผลตอบรับที่ดี แถมยังต่อยอดไปสู่การครีเอตเมนูใหม่ๆ จากฝั่งลูกค้าเอง

หรือบางที ปีที่ 13 ที่พันธุ์ไทยบอกว่าโชคดีอาจจะมีความหมายในแง่นี้หรือเปล่า เรานำความสงสัยนี้ไปนั่งคุยกับผู้หญิงที่อยู่กับพันธุ์ไทยมาตั้งแต่วันแรก  พร้อมชวนคุยถึงความเชื่อเรื่องวัตถุดิบ จุดแข็งที่ทำให้แบรนด์แข็งแรง และทิศทางของพันธุ์ไทยในอนาคต

ตั้งแต่วันแรกของกาแฟพันธุ์ไทยจนถึงวันนี้ คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงของกาแฟพันธุ์ไทยยังไงบ้าง

เราเห็นการเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทยอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไป เราเริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน PT เจอความท้าทายมากมายมาตลอด  แต่สิ่งที่เรายึดมั่นคือคุณภาพของสินค้าและวัตถุดิบ และอยากสนับสนุนเกษตรกรไทย 

ด้วยความตั้งใจนี้ เวลาเราคิดเมนูออกมา เราก็จะหาวัตถุดิบจากทั่วประเทศมารังสรรค์เป็นเมนูใหม่ตามฤดูกาล ซึ่งเราทำมามากกว่า 30 เมนูในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีหลายเมนูที่ได้รับความนิยมจนต้องกลับมาขายเป็นเมนูประจำ เช่น ตาลโตนดและส้มมะปี๊ด 

นอกจากความต้องการในการสนับสนุนเกษตรกรไทย เรายังเชื่อว่าวัฒนธรรมและอาหารไทยเป็นสิ่งที่ควรเชิดชู นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ Creative Thai Taste โดยนำวัตถุดิบขึ้นชื่อหาทานยากจากทั่วทุกภูมิภาคของไทยมาสร้างสรรค์เป็นสินค้า และ Thai Dessert หรือขนมไทยดื่มได้ซึ่งเราจัดขึ้นทุกปี ปีที่ผ่านมาเรามีขนมครกยกล้อ เป็นกาแฟใส่ครีมชีสและโรยด้วยต้นหอมคล้ายขนมครก และตัวที่ออกมาใหม่ล่าสุดคือกระท้อนปั่นจากปราจีนบุรีที่มีส่วนผสมของพริกเกลือ ซึ่งก็ขายดีมาก

ถ้าเทียบกับร้านกาแฟอื่นในตลาดกาแฟเมืองไทยโพซิชั่นของพันธุ์ไทยอยู่ตรงไหนของตลาด

เราอยากอยู่ในโพซิชั่นของกาแฟ mass premium หมายถึงเป็นกาแฟที่ตั้งราคาแบบเข้าถึงได้ง่าย ไม่แพงเกินไป แต่ใช้วัตถุดิบพรีเมียม เริ่มจากเมล็ดกาแฟ เราใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง 100% และอยากโฟกัสเมล็ดกาแฟของคนไทยเป็นหลัก เราจึงมีเมนู ‘ไทยริกาโน’ อเมริกาโนที่ใช้เมล็ดไทยเกรดสเปเชียลตี้ ซึ่งได้คะแนนจากสมาคมกาแฟพิเศษมากถึง 85 คะแนน 

เพราะอยากเจาะกลุ่มตลาดแมส พันธุ์ไทยให้ความสำคัญกับความสะดวกของลูกค้า เราใช้กลยุทธ์ในการขยายสาขาให้มากเพียงพอกับที่ลูกค้าจะมาใช้บริการ นี่จึงเป็นที่มาของการขยายสาขาให้ได้ 1,800 สาขาภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และคาดว่าจะมี 2,000 สาขาภายในสิ้นปี 2568 โดยเน้นการขยายด้วยตัวเอง 80% และแฟรนไชส์อีก 20% นอกจากนี้ยังมีระบบบัตรสมาชิก Max Card ที่ตอนนี้มีสมาชิกกว่า 25 ล้านคนแล้ว 

ทำไมคุณถึงอยากขยายสาขาด้วยตัวเองมากกว่าแฟรนไชส์

ในธุรกิจกาแฟ การมีคุณภาพที่สม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น การจะทำแฟรนไชส์ต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นเพื่อทดสอบจริงๆ ว่าเขามีความรักในการทำธุรกิจนี้ เราถึงจะรับแฟรนไชส์ เราไม่อยากขยายแฟรนไชส์จำนวนมากโดยที่ควบคุมคุณภาพไม่ได้ เราจึงอยากทำด้วยตัวเองมากกว่า

เกณฑ์ในการขยายสาขาคือเราให้น้ำหนักกับที่ตั้งร้าน เราเติบโตจากปั๊มน้ำมัน และพยายามขยายไปยังสถานที่ที่จะเข้าถึงลูกค้าหมู่มากได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ ออฟฟิศ มหาวิทยาลัย โรงเรียน และแหล่งชุมชน เราพยายามครอบคลุมให้ได้ทุกๆ จังหวัดทั่วประเทศ

หนึ่งในความตั้งใจของกาแฟพันธุ์ไทยคือการสนับสนุนเกษตรกรไทย อะไรทำให้คุณอยากสนับสนุนพวกเขา และเชื่อว่าวัตถุดิบไทยแข็งแรงมากพอที่จะเป็นจุดขายของแบรนด์

หนึ่ง–เพราะปั๊ม PT ตั้งอยู่บนถนนสายรอง กลุ่มลูกค้าส่วนหนึ่งของปั๊มเป็นเกษตรกรด้วย สอง–เราเชื่อว่าการทำให้เกษตรกรมีรายได้จะทำให้สังคมและเศรษฐกิจดีขึ้น ธุรกิจจะไปต่อได้มันต้องเริ่มจากต้นน้ำ ซึ่งก็คือเกษตรกร ถ้าเราสนับสนุน เขาก็จะสามารถผลิตสินค้าออกมาให้เราทำธุรกิจต่อได้อย่างมั่นคง  

อินไซต์หนึ่งที่เรารู้มาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ คือคนบริโภคกาแฟมีเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เกษตรกรไทยผลิตกาแฟได้น้อยกว่าความต้องการ เพราะการปลูกกาแฟล็อตหนึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีกว่าจะได้เมล็ด เกษตรกรหลายคนจึงเลือกจะปลูกพืชผลที่ใช้เวลาน้อย ได้ผลผลิตเร็ว เพราะเขาก็ต้องเลี้ยงชีพตัวเองด้วย แต่ในขณะเดียวกัน การทำเกษตรแบบนี้ก็ทำให้ภูเขาหลายแห่งกลายเป็นเขาหัวโล้น 

เราก็มาคิดต่อว่าจะทำยังไงให้เขาไม่ตัดไม้ทำลายป่าดี เลยเป็นที่มาว่าเราไปคุยกับกรมป่าไม้ ขอพื้นที่กับเกษตรกรปลูกกาแฟ แต่คุยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความรู้ด้วย หลังจากนั้นเราไปคุยกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงเพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องการให้ความรู้ และคุยกับ ธกส.ที่ให้เงินทุนเกษตรกรระหว่างที่รอผลผลิต 

นอกจากเราจะได้เมล็ดกาแฟมาผลิตมากขึ้น เรายังทำให้อัตราของไฟไหม้ป่าลดลง เพราะเกษตรกรเขาเริ่มรู้สึกหวงแหนป่ามากขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการรับซื้อกาแฟสาร (เมล็ดกาแฟดิบ หรือ green bean) ให้ได้ 8,000 ตัน จากพื้นที่กว่า 55,000 ไร่ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 10,000 ครัวเรือน ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ และรับซื้อต้นกล้าของเขาในราคาตลาดด้วย 

พันธุ์ไทยเลือกวัตถุดิบที่จะมาทำเมนูใหม่ยังไง กว่าจะมาเป็นเมนูที่เราเห็น ผ่านอะไรมาบ้าง

เริ่มจากการพยายามหาวัตถุดิบในแต่ละภูมิภาคว่ามีวัตถุดิบไหนเป็นของดี นำมาทดลองพัฒนาว่าสามารถทำเป็นเครื่องดื่มอะไรได้บ้าง ลองผิดลองถูกจนบางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ติดเรื่องกำลังการผลิตที่มีน้อยเกินไป ดังนั้น สิ่งสำคัญรองลงมาจากรสชาติอร่อย คือปริมาณวัตถุดิบที่ต้องมีมากเพียงพอ

นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าวัตถุดิบที่เราเลือกมาหลายตัวจะมีรสเปรี้ยว เพราะเป็นรสที่ทานกับกาแฟแล้วอร่อย แต่หลายๆ ครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีรสเปรี้ยวก็ได้ เพราะเราสามารถนำไปต่อยอดเป็นเมนูอย่างอื่น อย่างขนมไทยที่อยู่ในแคมเปญ Thai Dessert เราก็นำขนมไทยมาแปรรูปให้ดื่มได้ หรือนำมาเป็นคอนเซปต์นำเสนอในแนวทางที่แตกต่างออกไป  เช่น ลอดช่อง ถั่ว ฝอยทอง ขนมครก ข้าวโพดหวาน และกระท้อนปุยฝ้าย ถามว่าเราเลือกมายังไง เราคิดว่ามันเป็นขนมที่คนไทยนิยม บางอันก็เป็นขนมที่ได้ยินชื่อมานานแต่หาซื้อได้ยาก เราก็อยากให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักขนมไทยด้วย

ในขวบปีที่ 13 ของพันธุ์ไทย คุณใช้คำว่า ‘โชคดี’ ทั้งๆ ที่เลข 13 มักจะถูกมองว่าเป็นเลขอาถรรพ์ คำว่าโชคดีของคุณหมายถึงโชคดีในแง่ไหน

เราใช้คำว่าโชคดี เพราะในปีที่ 13 นี้เป็นปีที่กาแฟพันธุ์ไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรามีแฟนคลับที่พูดถึงและให้การสนับสนุนเรามากมาย ทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่าสิ่งที่ทำสามารถเข้าไปอยู่ในใจของคนไทยได้ 

อย่างคำว่า Creative Thai Taste ที่เราสื่อสารออกไปบ่อยๆ ว่า ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้’ เมนูสนุกๆ ของเราเป็นที่มาที่ทำให้แฟนคลับหลายคนทำเมนู DIY ขึ้นมาเอง เกิด Customer Engagement ตามธรรมชาติ เป็น User-Generated Content ที่ลูกค้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง เช่น มัทฉะลาเต้ตาลโตนดท็อปด้วยไข่มุกบุกบราวน์ชูการ์ ที่โด่งดังมากๆ ในโซเชียล หรือบางเมนูก็ซื้อขนมที่ขายในร้านมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องดื่ม 

สิ่งเหล่านี้แหละทำให้เรารู้สึกว่า ปีที่ 13 ของเราเป็นปีที่โชคดี และเป็นปีที่เราภาคภูมิใจ เพราะเราสามารถส่งต่อความครีเอทีฟไปถึงลูกค้าได้ ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้น้องๆ บาริสต้าที่บริการดี เปิดใจ ยินดีทำตามคำขอของลูกค้า เรียกได้ว่าแทบจะเป็นแบรนด์เดียวที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสร้างสรรค์เมนูด้วยตัวเอง นี่คือการส่งต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เรามองว่าสำเร็จแล้ว เพราะย้อนกลับไป 13 ปีก่อน ตอนนั้นยังไม่มีคนทำกาแฟเป็นเลเยอร์เลย แต่เราเป็นเจ้าแรกๆ ในไทยที่ทำแบบนี้ 

ฟังดูเหมือนความครีเอทีฟจะอยู่ใน DNA ของพันธุ์ไทยมาตลอด

อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกเลย เพราะเราพยายามแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดด้วยวัตถุดิบ และความตั้งใจในการอยากช่วยเหลือเกษตรกรไทย ทีม R&D จึงต้องเสาะหาวัตถุดิบที่ดีและมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำเมนูด้วย 

สิ่งที่เป็นผลพลอยได้คือ การได้แนะนำวัตถุดิบที่หาทานได้ยาก หรือเป็นวัตถุดิบในความทรงจำวัยเด็กของเราให้คนทั้งประเทศ อย่าง ‘มะม่วงเบา’ จากสงขลา เป็นวัตถุดิบจากบ้านเราที่เคยทานตอนเด็กๆ และหาทานได้ยาก เราเลยดีใจมากที่ทำให้ผลไม้ในวัยเด็กได้เข้าถึงคนทั่วประเทศผ่านเครื่องดื่ม อยากทำสิ่งนี้ตลอดไป 

ทิศทางของวงการกาแฟตอนนี้ดำเนินไปในทางไหน และพันธุ์ไทยจะปรับตัวยังไง

เราว่าตอนนี้คนกินกาแฟเขามีความรู้มากขึ้น คนชอบดื่มกาแฟที่มีรสชาติซับซ้อน และเขาใส่ใจเรื่องแหล่งปลูกกาแฟที่ติดตามด้วยได้ มีกระแสของกาแฟพรีเมียมและกาแฟพิเศษมาระยะหนึ่งแล้ว และมีราคาถูกลงเรื่อยๆ 

ความท้าทายของกาแฟพันธุ์ไทยตอนนี้คือมีคู่แข่งเยอะขึ้น แต่เราเองก็จะยืนหยัดในจุดแข็งของตัวเองต่อไป เราเชื่อมั่นเรื่องวัตถุดิบที่ดี การสนับสนุนเกษตรกรไทย เมนูที่สร้างสรรค์ การบริการที่ดี มีการปรับตัวให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้แบรนด์สดใหม่อยู่เสมอ โดยเน้นการสื่อสารให้ตรงใจกลุ่ม Young Gen เพิ่ม Brand Loyalty และขยายฐานลูกค้าให้เติบโตยิ่งขึ้น

Lesson Learned

  • มีเป้าหมายที่สูง ชัดเจน และไม่ล้มเลิก
  • ก่อนทำธุรกิจ หาจุดแตกต่างและจุดแข็งของตัวเองให้เจอ แต่ต้องเป็นจุดแข็งที่ลูกค้าต้องการด้วย
  • ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

‘คนไทยใช้ ChatGPT แปลภาษาและดูดวง’ คุยอนาคต AI กับ Jason Kwan แห่ง OpenAI และกระทิง พูลผล

“ความมองโลกในแง่ดีและความสามารถในการปรับตัวของคนไทยคือแต้มต่อเชิงการแข่งขัน”

นี่คือความเห็นของ Jason Kwon ผู้เป็น Chief Strategy Officer แห่ง OpenAI ที่ได้กล่าวในเวทีเสวนาสุดเอกซ์คลูซีฟ ‘AI LEAP: Turning Today’s Disruption into Tomorrow’s Advantage’ จัดโดย House of Wisdom และ Woody World

เวทีเสวนาที่ว่าไม่ได้มีเพียง Jason Kwon เท่านั้น แต่ ‘เรืองโรจน์ พูนผล’ หรือที่หลายคนรู้จักในนาม ‘กระทิง พูนผล’ Group Chairman ของ KBTG ผู้นำด้านเทคโนโลยีและ startup ecosystem ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาร่วมสนทนาเรื่อง AI ไปพร้อมๆ กัน 

เรื่องของ AI ครั้งนี้ไม่เหมือนในเวทีไหนๆ เพราะนี่คืออินไซต์ที่เราได้จากหนึ่งในผู้พัฒนา ChatGPT อย่าง Jason Kwon โดยตรง และ Recap ตอนนี้จะสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน

1. ChatGPT กับวิถีการใช้ของคนไทย

เจสันเล่าว่า ChatGPT ถูกนำไปใช้ต่างกันในแต่ละภูมิภาค และสำหรับเอเชีย โดยเฉพาะไทย มีการใช้งานที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI แปลภาษา ที่ติดอันดับต้นๆ คนไทยยังใช้ AI เขียนเรื่องส่วนตัวและช่วยเรื่องการเรียนการศึกษา อย่างการขอให้ช่วยตรวจงานหรือสรุปเนื้อหา อีกสิ่งที่น่าสนใจคือคนไทยใช้ AI ให้ช่วยเรื่องการดูแลตนเอง หรือ self-care เช่น ขอคำแนะนำด้านการแต่งตัว แต่งหน้า หรือแม้แต่ถามว่า ‘วันนี้ฉันดูดีไหม’

ส่วนอีกการใช้งานที่โดดเด่นคือการใช้ AI ดูดวง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะของเอเชีย คนไทยจำนวนมากใช้ ChatGPT ในการขอคำทำนายดวง หรือแนะนำสีเสื้อผ้าประจำวัน ซึ่งตัวเจสันเองมองว่าการดูดวงนี้สะท้อนถึงความต้องการหาที่พึ่งและความมั่นใจในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

2. ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนรู้เรื่อง AI ได้เร็ว

หากคนไทยเรามองกันเอง เราอาจคิดว่าหลายประเทศน่าจะนำโด่งเรื่องการใช้งาน AI ไปแล้ว แต่กระทิงกลับเห็นต่างและมองว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นยุคเฟซบุ๊ก, mobile banking หรือ AI

วันนี้ เขาเชื่อว่าคนไทยใช้ AI ได้หลากหลาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะการไม่ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเรื่องเกษตรกรรม ที่ใช้ AI ช่วยเพิ่มผลผลิตได้, ภาคการท่องเที่ยวที่ใช้ AI มาช่วยจัดการงานเบื้องหลัง เพื่อให้คนทำงานบริการได้เต็มที่, ภาคสาธารณสุข ที่คืนเวลาให้แพทย์และพยาบาลไปทำงานหลัก โดยใช้ AI มาเป็นเหมือนผู้ช่วยแพทย์ หรือผู้ช่วยพยาบาลอีกทีหนึ่ง 

3. Agentic AI ที่คิดและลงมือทำแทน

Jason มองว่าปัจจุบัน AI ที่เราใช้ๆ กันคือ Agentic AI ที่จะไม่เพียงตอบคำถาม แต่สามารถเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ สามารถคิดและวางแผนต่างๆ ได้ เช่น ฟีเจอร์ Deep Research ใน ChatGPT ที่ค้นหาข้อมูลบนเว็บเมื่อมีคำถามเชิงลึกได้ เขามองว่านี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Agentic AI เพราะมันออกไปค้นหาข้อมูล คิดหาคำตอบ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นกลับมาให้ผู้ใช้งาน เขายังมองว่าในอนาคตอาจมีเวอร์ชั่นที่พัฒนากว่านี้  

เขายังมองว่าในอนาคต AI จะเบลนด์ไปกับชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ขาด เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต “ในอนาคต ความฉลาดของ AI จะถูกย่อส่วน และฝังอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นทีวี รถยนต์ นาฬิกา อุปกรณ์พกพา กระเป๋าเป้ หรือแม้แต่เสื้อผ้า ทุกอย่างจะมี AI ในตัว”

4. จะใช้ AI ให้ปัง ต้องคิดกระบวนการทำงานใหม่ เพื่อ AI โดยเฉพาะ

แม้ AI จะมีพลังมหาศาล แต่การนำไปใช้ก็ไม่ง่าย เจสันมองว่าองค์กรที่อยากให้การใช้ AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรแค่นำ AI เข้าไปในกระบวนการทำงานเดิม แต่ต้องออกแบบ workflow ใหม่ทั้งหมด เช่น เมื่อมีคนโทรเข้ามา ควรจะเจอขั้นตอนแบบไหนถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริงๆ มาตอบ แล้วถ้าไม่พอใจคำตอบของ AI จะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ยังไง

ด้านกระทิงมองว่าการจะใช้ AI ช่วยทำงานได้สำเร็จประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งการเลือก use case ที่ถูกต้อง เพื่อลงมือแก้โจทย์จริง, การเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่เหมาะสม, ต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพ และระบบจัดการข้อมูลในองค์กรที่แข็งแรง, ต้องปรับกระบวนการทำงานให้กลายเป็น AI-first process อย่างแท้จริงซึ่งตรงกับที่เจสันพูดไว้ และสุดท้าย การเปลี่ยนผ่านด้วย AI ต้องเริ่มจากผู้บริหารระดับสูงที่เป็นตัวจุดประกายและขับเคลื่อน ก่อนส่งต่อไปสู่ผู้จัดการระดับกลาง และทำให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม

5. แต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบ AI ของตัวเอง เพราะ AI ที่มีประสิทธิภาพต้องเกิดจากความร่วมมือ

เจสันยังมองว่าท้ายที่สุด แต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบ AI เป็นของตัวเอง เพราะ AI คงเหมือนเทคโนโลยีหรือนโยบายการค้าต่างๆ ที่ไม่มีประเทศไหนสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เขายกตัวอย่างว่าแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง หากจะพัฒนา AI ขั้นสูง ก็ยังต้องนำเข้าชิป HBM จากเกาหลีใต้ และชิป logic จาก TSMC จากไต้หวันอยู่ดี

“ดังนั้น สำหรับประเทศไทย สิ่งสำคัญกว่าคือการมองว่าตอนนี้มี use case หรือผู้ประกอบการรายไหนบ้างที่กำลังสร้างสิ่งที่ทรงพลังจริงๆ และนั่นคือพื้นที่ที่ควรลงทุน มากกว่าจะพยายามสร้างระบบ AI ทั้งหมดขึ้นในไทยเอง เพราะนั่นจะทำให้ประเทศต้องหันไปในหลายทิศทางที่ ไม่สอดคล้องกับจุดแข็งของไทย”

บทสนทนาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่คือตัวขยายศักยภาพของมนุษย์ และโอกาสของไทยไม่ใช่แค่การเป็นผู้ใช้งานที่เรียนรู้ได้เร็ว แต่ยังอาจก้าวสู่การเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจใหม่หากสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มที่ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน

‘ซอฟ รษิกา’ ยูทูบเบอร์ผู้ผันตัวเป็น CEO ช่อง Impressions ช่องเพื่อคนอยากพัฒนาแบรนดิ้ง

ถ้าคุณตามยูทูบเบอร์ไทยมาตั้งแต่ยุคตั้งไข่ มีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะจำเธอได้ในชื่อ ‘ซอฟปอม (Softpomz)’ ตามชื่อช่อง และคุ้นๆ ว่ายูทูบเบอร์คนนี้ชอบทำคอนเทนต์สนุกๆ แนวประดิดประดอย บ้างก็รีวิวขนม บ้างก็พาโรดี้

ส่วนเด็กเจนฯ นี้และคนที่สนใจเรื่องธุรกิจ อาจคุ้นหน้าจากรีลของแอ็กเคานต์ Soft.raziqaa และ Impressions Branding ที่โผล่มาแชร์ความรู้เนื้อหาแน่นๆ ผ่านน้ำเสียงสดใส ท่าทีชวนฟัง 

ไม่ว่าคุณจะรู้จักจากช่องทางและบทบาทไหน ซอฟ–รษิกา พาณีวงศ์ บอกว่ายินดีอย่างยิ่ง เธอเป็นทั้งหมดนั้นที่ทุกคนเห็นนั่นแหละ 

“ซอฟปอมหรือซอฟที่เป็นซอฟ รษิกา คือซอฟคนเดียวกันที่มีทั้งแง่มุมที่เล่นๆ และจริงจัง” หญิงสาวเอ่ยในวันที่เรานัดเจอกัน เธอในโลกความจริงสดใสและเป็นมิตรมากกว่าในจอเสียอีก ในขณะเดียวกันก็ดูภูมิฐาน พูดจาฉะฉาน เป็นมืออาชีพกับการทำงาน สมกับการอยู่หน้ากล้องมา 13 ปี

ใน 13 ปีนั้น เธอใช้เวลา 10 ปีในฐานะ Softpomz และอีก 3 ปีในฐานะ Soft.raziqaa และผู้ก่อตั้ง Impressions ช่องคอนเทนต์เกี่ยวกับแบรนดิ้งและที่ปรึกษาสำหรับนักธุรกิจไปจนถึงบุคคลทั่วไป สำหรับใครก็ตามที่อยากสร้างตัวตนให้ชัดเจน โดดเด่น และส่งต่อคุณค่าบางอย่างเพื่อกุมหัวใจลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้อยู่หมัด ด้วยประสบการณ์ของคนทำสื่อที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนดูกับลูกค้า รู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่คนจะกดดู และรู้ว่าแบรนด์ควรสื่อสารยังไงให้ตรงใจ

ถ้าเทียบกับคนอื่นในคอลัมน์ ‘ณ บัตรนั้น’ ซอฟอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ถือนามบัตรได้น้อยใบที่สุด เพราะนับจนถึงตอนนี้ หญิงสาวถือนามบัตรแค่ 2 ใบใน 13 ปีที่ลงสนามทำงานมา ถึงอย่างนั้น เราก็ออกปากได้เลยว่า สิ่งที่เธอได้เรียนรู้และตกตะกอนในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์และผู้ประกอบการก็น่าฟังไม่แพ้คนอื่นแน่นอน

Content Creator
ช่อง Softpomz  

ย้อนกลับไปวันแรก คุณคิดว่าจะทำคอนเทนต์เป็นอาชีพเลยหรือเปล่า

วันแรกที่ทำ ซอฟมีความฝันว่าอยากทำงานในวงการบันเทิง 

เราชอบการถ่ายทำ ชอบความบันเทิง ชอบการทำสื่อ แต่ยังไม่รู้ว่าปลายทางจริงๆ เราอยากเป็นอะไร จนเราเรียนนิเทศ เราก็ยิ่งหลงใหลในการถ่ายทำ เรามองว่าเป็นการบันทึกด้วยความคิดสร้างสรรค์และส่งต่อให้ใครสักคนบนโลกได้ ซึ่งสิ่งที่จะตอบสนองคอนเซปต์นี้ได้ชัดที่สุดเมื่อ 13 ปีที่แล้ว คือแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างยูทูบ

พอทำหนึ่งคลิปแล้วสนุก จึงมีคลิปที่ 2 และ 3 คอนเทนต์แรกที่ทำเลยคือประดิษฐ์หมวกฮาโลวีนให้น้องมะลิ แมวของเราใส่ ตอนนี้มะลิก็ยังอยู่ด้วยกันนะ คลิปนั้นคือคลิปที่เราได้แสดงความสร้างสรรค์จริงๆ ผ่านการประดิษฐ์และตัดต่อวิดีโอ พอสนุกก็ทำต่อโดยมาทางคลิปตลก เริ่มเป็นคลิปเล่าเรื่องบ้าง พาโรดี้บ้าง โรลเพลย์บ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คลิปยาว 3-5 นาทีเอง ซึ่งก็ถือว่ายาวแล้วสำหรับโลกออนไลน์ในยุคนั้น

พูดได้ว่าซอฟเป็นยูทูบเบอร์กลุ่มแรกๆ ของไทย เพราะตอนนั้นทำแล้วเพื่อนยังไม่เก็ต อาจารย์มหา’ลัยยังงง ซอฟเริ่มทำคลิปครั้งแรกตอนปี 1 จนเริ่มเห็นว่าทำเป็นอาชีพได้จริงๆ ในปีที่ 3 

จุดไหนที่คอนเทนต์ของคุณติดตลาด เริ่มสร้างอิมแพกต์ต่อคนดู

ช่องซอฟไม่ใช่ช่องที่โตเร็ว เป็นไวรัลชั่วข้ามคืน เราเป็นสายค่อยๆ โต โตไปพร้อมกับคนดู แต่จะมีจุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนวงเดียวกัน รวมถึงคนภายนอกเริ่มรู้จักเรา คือยุคที่ทำคลิปคุยกับหมาหน้า 7-11 คุยกับเฟอร์บี้ และทำรีวิวขนมญี่ปุ่น เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครนำเข้ามาขาย กลายเป็นว่าพอเราทำ คนชอบ ก็เริ่มเกิดกระแสของขนมญี่ปุ่นในไทย เราก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแสนี้

คนที่มาดูช่อง Softpomz เขามองหาอะไรจากคอนเทนต์ของคุณ

เป็นมุมที่อยากได้ยินจากคนดูเหมือนกันนะ แต่ถ้าถามจากตัวซอฟเอง เราคิดว่ายุคแรกๆ คนที่ติดตามช่อง Softpomz คือคนที่อยากหารสชาติใหม่ๆ ในการเสพสื่อ เพราะในยุคนั้น ความบันเทิงยังเป็นละครหลังข่าวอยู่ หลังจากนั้นซอฟกับคนดูเติบโตมาด้วยกันเรื่อยๆ สิ่งที่ได้ยินบ่อยคือ เขาติดตามเราเพราะเป็นเรา ชาวจ๊วบจ๊วบ (ชื่อแฟนคลับ) เขารู้สึกเชื่อมโยงถึงกันและปลอดภัย ทั้งในเชิงภาษา กิริยา และประเด็นในช่อง

ในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ อะไรที่ทำให้คุณยืนระยะมาได้จนถึงทุกวันนี้

อ้างอิงจากในเส้นทางของซอฟ เราคิดว่าเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ มันมียุคหนึ่งที่เราเป็นเด็กดื้อ ถ้าการเปลี่ยนแปลงไหนมีประโยชน์กับเรา เราจะชอบ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงไหนไม่มีประโยชน์ เราจะไม่ชอบมันเลย เหมือนกับมนุษย์ทุกคนเป็นนั่นแหละ

เราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงจนเราได้บทเรียนกับมันมากพอ ถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถไหลตามกระแสน้ำไปได้ เราก็ตกตะกอนได้ว่า ความยืดหยุ่นไม่ได้แปลว่าอ่อนแอหรือไม่มีจุดยืน แต่มันคือการเข้าใจสภาพแวดล้อม แล้วจูนตัวเองที่ยังคงความเป็นเราให้กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

มันเป็นเพราะการปรับตัว การยืดหยุ่น การเปิดใจกว้างพอว่าความสำเร็จไม่ได้มีรูปแบบเดียว และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยังมีวินัยกับมันเสมอ นี่แหละอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราทำช่องมาได้นานขนาดนี้ 

บทเรียนสำคัญที่คุณได้เรียนรู้จากบทบาทคอนเทนต์ครีเอเตอร์คืออะไร

บทเรียนแต่ละยุคแตกต่างกัน แต่ถ้าถามซอฟ ณ ปัจจุบัน ซอฟมองว่าการเป็นครีเอเตอร์คือการสร้างมรดกทางความคิดบางอย่างให้กับคนบนโลก อาจเป็นคนรุ่นปัจจุบันก็ได้ หรือเป็นคนในอีก 100 ปีข้างหน้าในวันที่เราไม่อยู่แล้วก็ได้ สิ่งที่พวกเราทำด้วยกันกับทางทีมงาน โมเมนต์ปัจจุบันที่เราบันทึกมันเอาไว้ ซอฟว่านี่คือใจความสำคัญ

ในยุคแรกๆ ของการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทุกคนจะโหยหาสิ่งใหม่และแตกต่าง เพราะมนุษย์เราถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น หมายถึงเราเกิดมาด้วยความว่างเปล่า เราก็วิ่งหาสิ่งที่ฉูดฉาด แต่ถึงจุดหนึ่ง การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์คือการเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้คน และกลับมาทำความเข้าใจตัวเองอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดแบ่งปันอะไรบางอย่างออกไป ซอฟว่านั่นคือใจความสำคัญของการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์

Founder & Creator
Soft.raziqaa และ Impressions Branding

จากคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ทำคนเดียวก็ได้ ทำไมคุณถึงอยากมีทีมของตัวเอง

เราอยากมีคนที่สนุกในสิ่งเดียวกัน สนุกเวลาได้อยู่กับคนที่มีความสามารถมากกว่าเราในบางเรื่อง ได้เห็นเขาช่วยพัฒนาคอนเทนต์ของเราในมุมที่เราอาจคิดไม่ถึง แต่นั่นก็แลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง

ในยุคแรก เราทำคอนเทนต์เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เราจะทำคอนเทนต์แบบไหนก็ได้ จะถ่ายตอนไหนก็ได้ ถ่ายแล้วสต็อกไว้เป็นเดือนก็ได้ แต่พอเรามีทีมงานใหญ่ขึ้น การทำงานถูกแปรสภาพกลายเป็นทีมและองค์กร นั่นคือจุดตัดใหญ่ เพราะมันเป็นการใช้ทักษะคนละทักษะเลย

กลายเป็นว่าเราจะไม่ได้ทำเพื่อความสุขและความสำเร็จของเราคนเดียว มันแฝงด้วยการบริหารความคาดหวังของตัวเอง บริหารความคาดหวังของทีม บริหารคุณภาพชีวิตของเราและคนในทีม มันต้องบริหารทุกอย่างทั้งคนทั้งงาน ทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ ซอฟใช้เวลากับตรงนี้หลายปีเพื่อให้ตัวเองเข้าใจการเป็นผู้นำที่ดีที่สามารถดูแลคนในทีมได้ดีจริงๆ 

สิ่งนี้มันยากมากนะ มันไม่ใช่แค่มีความสุขกับการถ่ายและตัดต่อ แต่มันต้องเข้าใจจิตวิทยาของมนุษย์ด้วย

แล้วช่องใหม่อย่าง Impressions และ Soft.raziqaa มีที่มาที่ไปยังไง

Impressions คือแพสชั่นใหม่ในวันที่โตขึ้นแล้ว ส่วนตัวเราทำคอนเทนต์มา 10 กว่าปี เราเห็นแล้วแหละว่าเพดานของอุตสาหกรรมนี้มันอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเราอยากให้คนในทีมของเราและตัวเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ การทำแค่ช่อง Softpomz มันจะไม่พาตัวเราให้ไปไกลกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก เราต้องมี S-curve ใหม่

เรามองหาจากทรัพยากรในตัวของเราและทีมก่อนว่าเรามีดีอะไรบ้าง ค้นพบว่าการที่เราทำงานด้านสื่อมาเยอะ ทำให้เราเข้าใจคน อัลกอริทึม และการสื่อสารของแบรนด์ แล้วเราก็ถอดบทเรียนออกมา การเกิดขึ้นของ Impressions และช่อง Soft.raziqaa ก็มาจาก 13 ปีตรงนั้นที่เราทำงานในฐานะคนสร้างสื่อ 

เราเหมือนเป็นปากให้แบรนด์ต่างๆ เพราะเราจะได้ยินจากลูกค้าบ่อยว่าเขาอยากเล่าเรื่องอะไร เราก็จะเห็นความตั้งใจของคนทำธุรกิจ ในขณะเดียวกันธุรกิจมีเรื่องที่อยากจะพูดเยอะมาก แต่บางทีลูกค้าไม่ได้อยากฟัง เรารู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนคนจะหยุดดู แบบไหนคนจะเลื่อนหนี เราเจรจากับแบรนด์มาตลอดเป็นสิบปีว่าบรีฟนี้ทำอะไรได้หรือไม่ได้ 

เราทำมาตลอดจนตกผลึกว่าสิ่งนี้มันคือเรื่องของแบรนดิ้ง พอเราปิ๊งไอเดียนี้ เราจึงตั้งดาวเหนือแรกว่าเราอยากยกระดับให้คนทำธุรกิจไทยซื้อใจผู้บริโภคได้ด้วยตัวตนของเขาจริงๆ และเราอยากให้แบรนด์มีสื่อที่ดี พอสารตั้งต้นเป็นแบบนี้ เราเริ่มจากการรับผลิตสื่อก่อน เพราะทรัพยากรที่เรามี รวมถึงเที่ยวบินนับสิบปีของเรามันน่าจะช่วยประหยัดเวลาให้เจ้าของธุรกิจได้ นั่นแหละคือช่วงที่ Impressions เกิดขึ้น

ตอนนี้ Impressions นิยามสิ่งที่ทำว่าอะไร 

ถ้าเราตอบสั้นๆ เราจะบอกว่า Impressions คือผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนดิ้ง ช่วยให้องค์กร ธุรกิจ และบุคคลได้สร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา 

นึกถึง Impressions อยากให้นึกถึงแบรนดิ้ง แบรนดิ้งคือภาพจำและความไว้วางใจ งานใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจและเห็นคุณค่าในเรื่อง ‘หัวใจ’ ในระยะยาว นั่นคืองานที่เกี่ยวข้องกับ Impressions หมดเลย ซึ่งที่ผ่านมา จากที่เราแค่รับผลิตสื่ออย่างเดียวแบบ case by case เรารู้สึกว่าคุณค่าที่เราอยากส่งต่อให้โลกใบนี้มีสเกลใหญ่กว่านั้น เราเลยพัฒนาคอร์สเรียนขึ้นมา

พอพูดอย่างนี้บางคนอาจจะคิดว่า เฮ้ย คนยุคนี้ใครๆ ก็ทำคอร์สสอน แล้วเราดันออกคอร์สมาตอนนี้อีก ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นจังหวะที่ดีนะ เหตุผลที่ตัดสินใจเปิดคอร์สเพราะมันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เร็วที่สุดที่เราจะแบ่งปันทรัพยากรในตัวเราให้คนอื่นได้กว้างที่สุด อีกอย่างคือเราเชื่อว่าทุกองค์กรก็มีทีมงานของตัวเอง แทนที่เราจะพยายามทำงานให้เขา เราแค่แบ่งปันความรู้ หลักคิด วิธีการของเราให้คนข้างนอกด้วย 

นอกจากคอร์ส เรามีเซสชั่นแบบ one on one สิ่งนี้เกิดจากการที่เราเห็นว่ายุคนี้เป็นยุคที่มีคนสนใจสร้าง personal branding เยอะ ประกอบกับเห็นว่าคนที่มาเรียน ซึ่งส่วนมากเป็นนักธุรกิจที่มีเวลาน้อย เขาได้ความรู้ไปแล้วแต่เขาไม่ได้มีเวลาไปนั่งดีไซน์ตัวเอง มันจึงเกิดเป็นเซสชั่นแบบเดี่ยวที่เรามานั่งคุยกัน มีการบ้านให้ทำ เพื่อเราจะได้หาทางลัดให้เขาได้ออกแบบตัวตนได้ง่ายและเร็วขึ้น

สิ่งหนึ่งในการทำแบรนดิ้งฉบับ Impressions ที่ยืดถือคือการพาให้เขามองภาพกว้าง และจะไม่ฟันว่าทางไหนคือสูตรสำเร็จ เวลามีคนมาถามว่าควรไปทางไหน เราจะไม่ตัดสินใจให้ แต่ให้เจ้าของตัวตนหรือเจ้าของธุรกิจมีความกล้าพอที่จะเลือกตัวตนของเขา

ตั้งแต่เปิดบริษัทและมีทีมของตัวเอง มีช่วงเวลาที่คุณเคยสงสัยว่าตัวเองดีพอในฐานะหัวหน้าทีมบ้างไหม

มีค่ะ มันเป็นธรรมชาติเลย เราเป็นคน ย่อมมีโมเมนต์ที่สงสัยในตัวเอง ซึ่งโมเมนต์เหล่านั้นมักจะมาในเหตุการณ์ที่เราทำอะไรสักอย่างแล้วผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป มันทำให้เราตั้งคำถามว่าเราทำถูกไหม เก่งพอไหม ดีพอหรือยัง วิธีการก้าวข้ามที่ดีที่สุดคือการยอมรับมันตรงๆ นะ (หัวเราะ) 

การทำธุรกิจเหมือนการฝึกขี่จักรยาน มันไม่มีเด็กคนไหนที่ขี่จักรยานสองล้อได้ตั้งแต่ครั้งแรก ธุรกิจก็เหมือนกัน มันไม่มีใครที่ทำปุ๊บ สำเร็จปั๊บ รวยเลย ถ้าแบบนั้นอาจจะน่ากลัวมาก เพราะคุณก็อาจจะตอบไม่ได้ว่าทำไมมันถึงสำเร็จ ทำไมมันถึงดี 

ซอฟว่าพอเราอายุ 30 ขึ้นมา เราจะรู้ว่าเวลาเราเจอเรื่องยากเราก็ยอมรับว่ามันยาก เราจะไม่ปฏิเสธแบบโลกสวยว่า เฮ้ยมันเป็นเรื่องที่ดี ยากก็ยาก แต่ความยากนี้พยายามจะบอกอะไรเรา เราเจอคำใบ้อะไรในด่านนี้เหรอ มันมีเรื่องอะไรที่เราไม่รู้แล้วควรจะรู้เหรอ เพื่อที่ครั้งถัดไปเราจะตั้งสมการใหม่ให้ดีขึ้น

พอเราเปิดใจกับความไม่ได้ดั่งใจของผลลัพธ์ได้เก่งขึ้นเท่าไหร่ เชื่อไหมว่าเราจะยิ่งเจอแต่คำใบ้ดีๆ เต็มไปหมดเลย มันทำให้เราทำดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเรียนรู้จากความผิดพลาดในครั้งก่อน แล้วพอในวันที่สำเร็จมันจะเป็นความสำเร็จที่ชื่นมื่นกว่ามากๆ เพราะฉันตอบได้ทุกตรงเลยว่าทำไมมันเวิร์ก และฉันก็พูดได้ทุกมุมด้วยว่าทำไมบางวิธีมันถึงไม่เวิร์ก 

ซอฟว่าการใช้ชีวิตแบบไม่พลาดเลยน่ากลัวนะ เพราะลึกๆ คุณก็จะรู้สึกไม่มั่นใจว่าความสำเร็จที่ได้มันใช่ของคุณจริงๆ หรือเปล่า มันเหมือนเรารบแพ้มาพันครั้งแล้วชนะครั้งที่ 1,001 แม้ว่าไอ้หนึ่งพันครั้งที่ผ่านมาจะทำให้เราหัวเสีย เศร้า โกรธ เห็นต่างคนใกล้ตัว บีบคั้นให้ทำอะไรสักอย่าง แต่เราจะขอบคุณมัน

ตลอด 3 ปีที่ทำ Impressions มา ธุรกิจนี้มอบบทเรียนที่สำคัญอะไรให้กับคุณบ้าง

ในหมวกของคนทำธุรกิจ มันสอนว่ายิ่งเราเข้าใจลูกค้าได้มากเท่าไหร่เรายิ่งเห็นโอกาสได้มากเท่านั้น คำว่าเข้าใจลูกค้าหมายถึงเข้าใจ pain point เขา เข้าใจเวลาเขา เหมือนพาตัวเองไปสวมรองเท้าของเขา (เน้นเสียง) แล้วเราจะได้อะไรอีกเยอะมากที่จะเอามาพัฒนาตัวเองได้ 

ตลอด 3 ปีที่ซอฟสอนเรื่องแบรนดิ้งมา 90% ของคนที่เจอคืออยากมีตัวตนเพื่ออยากให้ตัวเองรวยขึ้น ซึ่งไม่ผิด แต่ประเด็นคือในโลกจริงๆ ที่เรากำลังทำงานกับความเชื่อใจของคนอื่น ไม่มีใครอยากเชื่อเราเพราะอยากเห็นเรารวยขึ้น

พูดให้เข้าใจง่ายคือเราไม่ได้อยากติดตามหรือสนับสนุนใครสักคนเพราะอยากเห็นพวกเขารวยขึ้น แต่การติดตามพวกเขาทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น some ways, somehow เพราะฉะนั้นยิ่งคนเราอยากมีตัวตนมากเท่าไหร่โดยไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับใคร เราจะยิ่งไม่มีตัวตนมากขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่ายิ่งเราพยายามจะเป็นใครสักคนด้วยเปลือกนอกมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเข้าไปถึงใจคนอื่นได้ยากมากเท่านั้น

ในการทำธุรกิจยุคนี้ ทุกคนทำโลโก้ ทำกราฟิกสวยๆ ได้หมดแหละ แต่งานยากคือเราจะทำยังไงให้ทุกคนจดจำและรักเราได้จริงๆ มันหมดยุคที่แค่โลโก้สวย ฉากนอกดี แล้วคนจะกลายเป็นสาวกเราทันที โลกกำลังเปลี่ยนไป ผู้เล่นก็เปลี่ยน และทุกอย่างไม่มีผิดไม่มีถูก 

อีกอย่างที่มองเห็นได้ชัด คือธุรกิจใดเป็นธุรกิจที่พร้อมปรับตัว พวกเขาจะอยู่รอด ส่วนธุรกิจใดที่ยึดความสำเร็จเดิมในอดีตคือธุรกิจที่เลือกแล้วว่าฉันจะไม่อยู่ต่อ แต่อันนี้พูดแบบทั่วไปนะ ท้ายที่สุดแต่ละเคสก็อาจจะไม่เหมือนกัน

นอกจากบทบาทที่ทำอยู่ เคยมีบทบาทไหนที่คุณเคยลองทำแล้วรู้สึกไม่ใช่ตัวเองบ้างไหม แล้วมีบทบาทอะไรที่อยากลองทำอีก

อยากลองเป็นนักแสดงเพราะชอบถ่ายทอด อยากเขียนหนังสือ อยากลองกำกับซึ่งก็ได้ทำแล้ว ส่วนคำถามว่ามีสิ่งที่ลองแล้วไม่ใช่ตัวเองไหม มีหลายสิ่งที่ลองแล้วไม่เชิงว่าไม่เป็นตัวเอง มันมีสิ่งที่ชอบแหละ แต่โฟกัสของเราตอนนี้อยู่ที่ Impressions ที่เราไม่ได้มองภาพแค่ปีต่อปี แต่เรามองไปไกลระดับ 5 ปี คำถามคือถ้าวันนี้เราทำแต่สิ่งที่ชอบ แล้วบั้นปลายชีวิตมีแต่เรื่องที่ไม่ชอบเต็มไปหมด เรารับได้ไหม คำตอบของเราคือรับไม่ได้

จริงๆ ทุกวันนี้อยากจะ YOLO (แนวคิด You Only Live Once ที่เน้นการทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ลังเลและใช้ชีวิตให้เต็มที่) มากเลยนะ แต่เราไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงตอนอายุมากกว่านี้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องเข้มข้นกับการเป็นผู้ประกอบการหรือเรื่องการจดลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ว่าเราไม่รักงานฝั่งสร้างสรรค์หรืองานศิลปะเลย แต่เรารักมันมาก เราเลยอยากทำอย่างอื่นเพื่อให้เราสบายใจกับการวางแผนชีวิตที่เหลือแล้วกลับมาทำสิ่งที่รักได้โดยที่เราไม่ต้องเครียดหรือกดดันกับมัน

ถ้ามองการเป็นครีเอเตอร์ตอนนี้ มันคงไม่มีวันที่ซอฟจะไม่อยากเป็นยูทูบเบอร์ เหตุผลเดียวที่จะไม่เป็นยูทูบเบอร์คืออายุขัยเราไม่ไหว แต่วันนี้เราจึงต้องทำอย่างอื่นเพื่อกลับไปทำสิ่งที่รัก ซึ่งเราก็แวะกลับไปหาเขาเป็นช่วงๆ ได้เหมือนกัน

เป้าหมายของคุณในตอนนี้คืออะไร

โฟกัสกับธุรกิจของตัวเอง มีอะไรสนุกๆ หลายอย่างที่รอให้ทำเต็มไปหมด แต่นอกจากการเติบโตในโลกภายนอกแล้ว ซอฟอยากเติบโตในโลกภายในของตัวเองด้วย เราอยากเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง การปล่อยวาง การคิดหรือการไม่คิด สองโลกนี้อยากให้มาคู่กัน

ใกล้ๆ นี้ก็กำลังจะแต่งงานค่ะ และส่วนตัวก็อยากมีลูก เคยคุยกับพี่ชาร์ป (แฟน) ว่าถ้าเรามีลูก เราอยากเลี้ยงลูกด้วยการสอนลูกเองแบบโฮมสกูล เพราะเราอยากใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด ตอนนี้เราจึงอยากโฟกัสธุรกิจให้มาก เพราะเรารู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสร้างครอบครัวจริงจังเราก็อยากโฟกัสกับตรงนั้นเหมือนกัน

ถ้าคุณกลับไปเจอตัวเองในวันแรกที่ทำช่องของตัวเองได้ อยากบอกอะไรกับเขา

ถ้ากลับไปเจอตัวเองวันแรกที่อยู่ในห้องผนังเรียบๆ ใช้ชีวิตรวมกับทุกคนในครอบครัว อยากบอกอะไรเหรอ (นิ่งคิด) 

คำแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวคือคำว่าขอบคุณนะ ขอบคุณที่กล้าหาญ เพราะ ณ วันนั้นที่เราเริ่มทำเราไม่ใช่คนที่มีต้นทุน เราอนุญาตให้ตัวเองได้ทำสิ่งที่ ณ ตอนนั้นคนยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ แล้วเราก็ทำมาตลอด ถ้าเจอตัวเองก็คงบอกว่าขอบคุณที่ไม่ยอมให้ข้อจำกัดในชีวิตมาทำให้เราไม่ได้เริ่ม เพราะถ้าวันนั้นเราไม่เริ่มเราก็คงไม่ได้เติบโตมาเป็นซอฟในวันนี้

หากวันหนึ่งต้องวางทุกบทบาทในชีวิตลง คุณอยากให้คนจดจำคุณแบบไหน

ซอฟไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นคำตอบไหมนะคะ แต่ทุกอย่างที่ซอฟทำ นอกจากการเป็นคอนเทนต์สนุกๆ แล้ว มันคือการบันทึกชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ แล้วถ้าวันหนึ่งมีลูกมีหลานแล้ว ซอฟอยากให้หลานเห็นผลงานของเราแล้วพูดได้เต็มปากว่า อาม่าแม่งโคตรเท่เลยว่ะ 

ทุกสิ่งที่ซอฟทำมันอาจจะเป็นโมเมนต์ที่ถูกฝังอยู่ในความทรงจำ หรืออาจจะมีความหมายกับใครสักคน รวมถึงตัวเราเองด้วย ซอฟคิดว่ามนุษย์ทุกคน ตลอดทั้งชีวิตที่เราทำอะไรบางอย่างกันอยู่ เรากำลังทำมันเพื่อให้ตัวเราเองได้เป็นอิสระจากอะไรบางอย่าง ตัวซอฟเองก็คงเหมือนกัน 

ในวันที่เราไม่ต้องถือบทบาทอะไรแล้ว ซอฟอยากเป็นคนคนหนึ่งที่ทุกคนมองมาแล้วอยากขอบคุณกับการที่เคยมีเราอยู่ที่นี่

‘จี๊ดจ๊าด’ แบรนด์โปรดเจนวาย ที่ไม่ได้ขายแค่มะขาม และยังคอลแลบครั้งแรกในรอบ 22 ปี

ในบรรดาของอร่อยยามเด็ก เชื่อว่า ‘จี๊ดจ๊าด’ จะต้องติดลิสต์หนึ่งในของทานเล่นของคนเจนฯ วาย เพราะนอกจากจะรสชาติแปลกใหม่ เป็นการนำมะขามที่ทานยากมาทำให้ทานง่าย ไม่เหมือนใคร ก็ยังเป็นตัวช่วยให้ตื่นยามเรียนหรือทำงาน

เช่นเดียวกับเด็กเจนฯ วาย ที่ปัจจุบันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา จี๊ดจ๊าดก็ผ่านร้อนผ่านหนาว  และได้เรียนรู้สารพัดบทเรียนมากมาย วันนี้จี๊ดจ๊าดไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์มะขามอบบ๊วย แต่ยังใช้ความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปผลไม้ไปต่อยอดแบรนด์ 

มากกว่ามะขาม ยังมีผลไม้อื่นๆ ที่ถูกจับแต่งตัวและนำเสนอให้จี๊ดอีกหลายรูปแบบ และล่าสุดยังพามะขามอบบ๊วยที่หลายคนคุ้นเคยไปคอลแล็บกับแบรนด์ไอศครีมสุดคราฟต์อย่าง Guss Damn Good เพื่อพาจี๊ดจ๊าดข้ามไปยังจักรวาลใหม่ๆ สร้างความตื่นเต้นให้แฟนคลับ และขยายฐานแฟนไปยังมิติอื่นๆ 

เบื้องหลังความจี๊ดเหล่านี้ เริ่มต้นโดยเจ้าของธุรกิจรุ่นบุกเบิกอย่าง นิธิโรจน์ ศิริมังคโลดม และ ภูวเดช เลาหะมณฑลกุล ก่อนที่จะส่งต่อมายังรุ่นที่สองอย่าง กัส–ไธพัตย์ ศิริมังคโลดม Managing Director ที่ดูแลโรงงานและการผลิตสินค้า, บะหมี่–ภาสกร เลาหะมณฑลกุล Managing Director ที่ดูแลด้านการขายและการตลาด โดยมี มิ้นท์–ปณิชา เลาหะมณฑลกุล ดูแลด้าน Business Development และการส่งออก ส่วนน้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นมาสคอตของแบรนด์อย่าง มอมิ้ว–ปาริชา เลาหะมณฑลกุล เข้ามารับหน้าที่ด้าน Digital Marketing  

“พ่อจะบอกเสมอว่าในการจะทําสินค้า เราต้องมองผู้บริโภคเป็นหลักว่าเขาต้องการอะไร เขาอยากได้อะไร แล้วค่อยพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของเขา ซึ่งเมื่อถึงรุ่นผมเอง ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”

โจทย์ใหญ่ในวันนี้คือการทำให้จี๊ดจ๊าดยังเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ให้ได้ ทำให้จี๊ดจ๊าดกลายเป็นเพื่อนของคนรุ่นใหม่ๆ เหมือนกับที่เคยเป็นเพื่อนกับเด็กๆ เจนฯ วาย 

ในวาระที่จี๊ดจ๊าดกระจายความจี๊ดของตัวเองด้วยท่าไม้ตายใหม่ๆ นี้เอง เราจึงขอพาไปสนทนากับบะหมี่ มิ้นท์ และมอมิ้วถึงกลยุทธ์ความจี๊ดที่พวกเขาใช้ต่อยอดสินค้าและนำพาแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความจี๊ดระดับ 1
เมื่อเป็นเจ้าแรก ก็ต้อง ‘สร้างตลาด’

แบรนด์จี๊ดจ๊าดถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 22 ปีก่อน จากการที่คุณลุงชอบทานมะขามอย่างมากจึงเห็นช่องว่างทางการตลาดว่าถ้ามะขามทานได้ไม่ยาก ไม่ต้องแกะเปลือกหรือคายเม็ดน่าจะดีไม่น้อย

จากไอเดียนั้นเอง นำมาสู่ ‘มะขามอบบ๊วย’ สินค้าแรกของแบรนด์ที่ถือเป็นเจ้าแรกในตลาด ซึ่งแต่เดิม เป็นการทำให้คนในครอบครัวทาน ก่อนจะขยายเป็นสินค้าขายจริง ถือเป็นสินค้าแปลกใหม่เพราะ ณ ตอนนั้น คนส่วนใหญ่ทานมะขามจากฝักสดๆ หากแปรรูปก็มีเพียงมะขามแก้วเท่านั้น  

 “ตอนแรกต้องบอกว่าแค่จะวางขายยังยากเลย” บะหมี่ย้อนเล่าจากความทรงจำในวัย 10 ขวบ 

“สินค้ามันใหม่มาก มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ คนดูไม่ออกว่ามันคืออะไร ร้านค้าก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องใช้วิธีให้เขาลองชิมดูก่อน พอร้านค้าเริ่มเปิดใจ ความยากต่อมาคือลูกค้า”

สมัยนั้น แพ็กเกจจิ้งของสินค้ากลุ่มผลไม้แปรรูปแบบอบแห้งเป็นลักษณะใส ที่มองเห็นผลิตภัณฑ์ข้างในได้ชัดเจน แต่มะขามอบบ๊วยของจี๊ดจ๊าดกลับบรรจุในกระปุก ลูกค้าก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าไอ้เจ้ามะขามอบบ๊วยนี้รสชาติเป็นยังไง กลยุทธ์เรียบง่ายในตอนนั้นจึงคือการให้ชิมก่อนซื้อ เช่นเดียวกับที่ใช้กับร้านค้า

“ที่ทําให้คนรู้จักเยอะๆ น่าจะเป็นช่วงที่เข้าเซเว่นฯ เราเริ่มขายครั้งแรกตอนปี 2546 และเข้าเซเว่นฯ ในปี 2549  เราออกมาเป็นซองเล็ก ข้อดีคือทําให้ลูกค้าซื้อไปทดลองได้ง่ายๆ เพราะถ้าจะให้ซื้อแบบกระปุก กระปุกละ 20 บาท ใน 20 ปีที่แล้วมันก็อาจจะดูเป็นราคาที่สูง แต่พอทำซองละ 5 บาท ลูกค้าก็ซื้อได้ง่าย

“แต่มันก็เจอปัญหาเดิมว่าพอไปวางในเซเว่นฯ ลูกค้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะสมัยนั้นเชลฟ์สินค้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้มีเป็นแผนกชัดเจนเหมือนสมัยนี้ เราเลยต้องทําโปรโมชั่นกับเซเว่นฯ ค่อนข้างเยอะ เช่น โปรโมชั่น 1 แถม 1 หรือลงสื่อบ้าง เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสทดลอง”

ถ้าย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นจริงๆ ทั้งสามคนเล่าว่ากลุ่มลูกค้าหลักกลับเป็นเจนฯ เอกซ์และเบบี้บูมเมอร์มากกว่า เพราะในเวลานั้นคนรุ่นนี้น่าจะคุ้นเคยกับมะขามอยู่แล้ว รู้จักรสชาติและชอบทาน แต่อีกหนึ่งจุดที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น มาจากกลยุทธ์การเจาะตลาดในโรงเรียน เด็กนักเรียนจึงได้ทดลองกินกันตั้งแต่วัยเรียน ซึ่งต่อมาก็คือกลุ่มเจนฯ วายในปัจจุบัน หลายคนยังจำได้ว่าเคยกินมาตั้งแต่สมัยเรียน

ทว่ายุคสมัยนี้คือยุคของเจนฯ ซี และเจนฯ ใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น โจทย์ท้าทายที่รุ่นที่สองแห่งบ้านจี๊ดจ๊าดต้องไขให้ได้คือจะทำยังไงให้จี๊ดจ๊าดเป็นเหมือนเพื่อนที่โตไปกับทุกคนได้ เช่นเดียวกับที่เคยเติบโตมาพร้อมกับเจนฯ วาย

ความจี๊ดระดับ 2
‘แบรนด์ดิ้ง’ ความจี๊ดที่ต้องเข้าถึงคนทุกยุค

“รสชาติแต่ละแบรนด์ไม่เหมือนกันเป๊ะอยู่แล้ว จี๊ดจ๊าดเราเน้นว่ารสชาติต้องชัด หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยว ไม่เอากลางๆ จางๆ แต่รสชาติเป็นเรื่องปัจเจก ผมเลยคิดว่าถ้าถามว่าเมื่อผู้เล่นในตลาดเยอะขึ้น อะไรบ้างที่จะทำให้ลูกค้ายังเลือกเรา คำตอบมันคือแบรนดิ้ง” 

จี๊ดจ๊าดใส่ใจกับแพ็กเกจจิ้ง ทุกตัวออกแบบมาให้เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นจี๊ดจ๊าด โลโก้ต้องใหญ่ อยู่กลางซอง และมีมาสคอต เด็กผู้หญิงเด่นๆ ให้เห็นได้ชัดแม้จะมองจากที่ไกลๆ ซึ่งมาสคอตหนูจี๊ดนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากมอมิ้วในวัยสามขวบที่เป็นน้องเล็กในบ้านจนคนเรียกว่า ‘จี๊ด’ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายคำว่า ‘จี๊ดจ๊าด’ ที่คนไทยใช้กันในความหมายว่าจัดจ้าน เท่ แซ่บ  

“ในฐานะคนบนโลโก้และชื่อที่นำมาเป็นชื่อแบรนด์ ยอมรับว่าตอนเด็กๆ เขิน ไม่ค่อยบอกใครว่าบ้านทำจี๊ดจ๊าด เพราะรู้สึกว่าภาพลักษณ์แบรนด์กับตัวเราไม่ตรงกัน พอได้ลงมือทำแบรนด์ ทำแคมเปญต่างๆ เราถึงได้รักมัน รู้สึกว่าจี๊ดจ๊าดเป็นลูกที่เราอยากเห็นเขาเติบโต”

“นอกจากแบรนดิ้ง เราต้องทำสินค้าให้หลากหลายขึ้น และสื่อสารให้ตรงกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น ความยากคือลูกค้ามีความสนใจที่หลากหลาย ในเจนฯ เดียวกันยังชอบไม่เหมือนกันเลย สินค้าตัวเดียวจะถูกใจทุกคนยาก เราเลยต้องมีหลายแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่อบแห้งธรรมดา สำหรับเจนฯ เอกซ์ เจนฯ เบบี้บูมเมอร์​ หรือกระทั่งเจนฯ วาย และแบบใหม่ๆ ตื่นตาตื่นใจสำหรับเจนฯ ซี”

@jeedjardofficial

ทุกคน~ ใครเคยกินแล้ว ขอ 3 คำหน่อยสิ ว่าอร่อยแบบไหนกันนะ 😋🍬💭 #จี๊ดจ๊าด #Jeedjard #everydayfun #fy #สัมภาษณ์เด็กสยาม

♬ เสียงต้นฉบับ – Jeedjard Official – Jeedjard Official

มอมิ้วยังเสริมบะหมี่ในเรื่องการสื่อสารว่าเธอและทีมพยายามปั้นช่องทางโซเชียลมีเดียของจี๊ดจ๊าดให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะวัยมัธยมปลาย–มหา’ลัย แม้ในช่วงแรกจะรู้สึกยากและไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้า แต่การได้ลงไปคุยกับกลุ่มลูกค้าจริงๆ ทำให้จี๊ดจ๊าดเข้าใจกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ช่องทางหลักในการสื่อสารเน้นที่โซเชียลมีเดียต่างๆ มากกว่าสื่อสมัยเก่า ซึ่งบะหมี่ตั้งเป้ากับน้องสาวคนเล็กไว้ว่า 

“ภาพที่อยากให้เกิดคือเด็กๆ หยิบซองแล้วไม่เขิน ดังนั้นหน้าตาซองต้องชวนหยิบและคอนเทนต์ต้องเป็นในแบบที่คนรุ่นใหม่เสพจริงๆ เราต้องไม่ยึดติดกับช่องทางใดช่องทางหนึ่ง”

ความจี๊ดระดับ 3 
ขยายตลาดและสร้างความ ‘ยั่งยืน’

นอกจากตลาดในไทยแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจไม่รู้คือจี๊ดจ๊าดได้โบยบินไปกระจายความจี๊ดในประเทศอื่นๆ เช่นกัน 

อังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่จี๊ดจ๊าดทำ OEM มานาน แม้ตัวเลขอาจไม่เยอะมากแต่มิ้นท์ ในฐานะคนดูแลเรื่องการส่งออกมองว่ายั่งยืน อินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ยาก แต่เพราะเจอพาร์ตเนอร์ที่ใช่ จึงร่วมด้วยช่วยกันมานาน 15 ปี ขณะที่แอฟริกาใต้นั้นก็ทำธุรกิจมานานเทียบเท่ากับอินโดนีเซีย แต่ความน่าสนใจคือเป็นการทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์ ที่แทบไม่เคยได้เจอกับพาร์ตเนอร์เลย 

“เราต้องเจอ ‘เนื้อคู่’ หรือ distributor ที่พร้อมโต พร้อมสร้างแบรนด์ด้วยกันในระยะยาว เพราะการจะเอาของที่คนในประเทศนั้นไม่รู้จักไปขาย มันต้องไปทำการตลาดเยอะ หรือต้องหาวิธีทางอื่นๆ อย่างบางตลาด เราไม่พร้อมลงทุนสร้างแบรนด์ในประเทศนั้น เราก็ต้องเริ่มจากสินค้าที่เข้าใจง่ายก่อน”

เธอยกตัวอย่างการพัฒนาลูกอมผลไม้เม็ดเคลือบ และเยลลี่ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของจี๊ดจ๊าด เพื่อนำไปขายที่ญี่ปุ่น เพราะมองว่าการเปิดตลาดด้วยมะขามอาจยากเกินไป สินค้าที่สอดคล้องกับความชอบของคนในแต่ละที่น่าจะเป็นประตูที่ทำให้คนเปิดใจง่ายกว่า 

“เมื่อก่อนเราอยากได้ปริมาณเยอะๆ แต่ทำไปทำมา เราปรับมายด์เซตเรื่องการส่งออกว่าในเฟสแรกๆ นั้น เรื่อง awareness หรือการทำให้คนจดจำแบรนด์ได้สำคัญกว่า แต่ละประเทศที่ไปเรายังต้องปรับตัวตามตลาด แล้วเรื่องตัวเลข เรื่องยอดขายมันถึงจะมาเอง”  

สำหรับในไทย บะหมี่มองไว้ว่าเป้าหมายในตอนนี้คือการสร้างคอมมิวนิตี้แฟนแบรนด์ รวมถึงขยายฐานลูกค้าผ่านสินค้าใหม่ๆ และคอลแล็บฃบกับแบรนด์อื่นให้คนกลุ่มใหม่กล้าลอง  

“ส่วนตัวผมไม่ใช่คนทานผลไม้” บะหมี่หัวเราะ “แต่ผมโตมากับแบรนด์นี้ ผมเลยอินและผูกพันกับแบรนด์ ผมอยากให้มันเติบโตแบบยั่งยืน ให้คนที่ชอบสินค้านี้รู้สึกผูกพันเหมือนกัน และอยู่คู่ประเทศนี้ไปได้ยาวๆ”

“จุดเริ่มต้นของจี๊ดจ๊าดมาจากความรักของครอบครัว พอรุ่นลูกลงมาทำ ก็ยังเป็นความรักอันเดิมนี่แหละที่อยากเลี้ยงดูน้องคนนี้ ให้โต เราอยากส่งต่อความรักนี้ไปถึงลูกค้า ให้เขาสัมผัสได้ แล้วกลายเป็นความรักของลูกค้าที่ย้อนกลับมาหาแบรนด์อีกที” มิ้นท์เสริม

และต่อไปนี้คือเรื่องราวจากบะหมี่ ถึง ‘น้องเล็ก’ สุด ‘จี๊ดจ๊าด’ ที่รุ่นสองทั้งสี่คนฟูมฟัก เฝ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ต่อยอดให้จี๊ดจ๊าดเป็นมากกว่ามะขาม แต่เป็นแบรนด์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการแปรรูปผลไม้จนเข้าถึงใจลูกค้าได้ทุกเจนฯ

ความจี๊ดที่ไม่สิ้นสุด

มะขามอบบ๊วยจัมโบ้

“จริงๆ มะขามอบบ๊วยเราไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย อาจจะมีเพิ่มรสบ้าง แล้วก็ทำสินค้าอื่นๆ ออกมาเสริม แต่ถ้าที่เห็นชัดจริงๆ คือการที่เราทำไซส์จัมโบ้ 

“ไอเดียมันเริ่มจากที่ลูกค้าหลายคนบ่นว่าเม็ดมันเล็ก กินทีหนึ่งต้องเทออกมาเยอะๆ ผมก็มองว่าจริงนะ แต่ถ้าแค่เพิ่มปริมาณในซองมันก็ดูธรรมดาไป เราเลยทำเป็น ไซส์จัมโบ้ ที่เม็ดใหญ่ขึ้น ซองใหญ่ขึ้น ราคาก็สูงขึ้นด้วย

“ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าลูกค้าจะโอเคไหม แต่พอดูตลาด เราก็พบว่าสินค้าอื่นๆ ก็ขึ้นราคาตามสภาพเศรษฐกิจเหมือนกัน เราเลยลองทำออกมาวางขาย ปรากฏว่าผลตอบรับดีกว่าที่คิด ลูกค้าหลายคนที่เคยซื้อซองเล็กก็เปลี่ยนมาซื้อไซส์จัมโบ้บางคนถึงขั้นซื้อมาทีเดียวก็กินหมดซองเลย

“ข้อดีอีกอย่างคือพอซองมันใหญ่ มันก็ช่วยเรื่องวิชวล ลูกค้าเดินผ่านก็เห็นชัดเลยว่าอันนี้อะไรทำให้ดึงดูดได้มากกว่าซองเล็ก”

มะขาม 5 รส

“หลังจากที่ออกมะขามอบบ๊วยมาได้ 7-8 ปี เราก็ออกตัวมะขาม 5 รส ที่หลายคนน่าจะเคยกินกันมา แต่สิ่งที่พิเศษของเราคือวิธีการเคลือบ เราใช้วิธีเคลือบที่ทำให้เม็ดมันกลม เนียน สวย เรียบ คล้ายลูกอมทั่วไป แล้วเนื้อก็มีความหนึบ เคี้ยวสนุก รสชาติจี๊ดจ๊าดเป็นเอกลักษณ์ของเราเลย

“ตอนแรกมันก็ขายได้นะ แต่ไม่ได้โตเท่าไหร่ จนกระทั่งช่วงโควิด-19 เราออกซองเล็ก 5 บาท ให้ลองซื้อไปชิม เหมือนกับมะขามอบบ๊วย ปรากฏว่าพอรุ่นซองเล็กออกมา ยอดขายแบบกระปุกก็ดีดขึ้นตามไปด้วย ทำให้ตอนนี้ยอดขายของมะขาม 5 รส แทบจะใกล้เคียงกับมะขามอบบ๊วยแล้ว กลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่โปรดักต์ของเราเลย

“ที่จริงตัวมะขาม 5 รส ผมมองว่ามันเข้าถึงง่ายกว่าด้วย เพราะลักษณะมันคล้ายลูกอม คนทั่วไป โดยเฉพาะเจนฯ Y หรือเจนฯ Z ที่อาจจะไม่ได้อยากกินผลไม้เต็มๆ ก็เริ่มจากตัวนี้ได้ เหมือนกินลูกอมเลย แล้วรสชาติมันก็ต่างจากแบบอบบ๊วย

“มะขามอบบ๊วยเราทำจากมะขามหวาน รสจะออกหวานนำ มีเปรี้ยวนิดหน่อย แต่ตัวมะขาม 5 รสเราทำจากมะขามเปรี้ยว รสเปรี้ยวก็เลยเด่นชัด แล้วเพิ่มรสเผ็ด รสเค็มเข้าไปด้วย เวลากินมันจะรู้สึกตื่น สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมือนปลุกให้ตาสว่างขึ้นมา 

“ผมว่ามันก็สะท้อนสิ่งที่เราเชี่ยวชาญจริงๆ คือการเอาผลไม้มาทำให้มันอยู่ในรูปแบบที่กินง่าย เคี้ยวหนึบ อร่อย แบบที่ลูกค้ารู้สึกว่าเข้าถึงง่าย แล้วก็สนุกกับการกิน”

2 in 1

“ไอเดียไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยครับ มันคือการเอาสินค้า 2 อย่างมาอยู่ในซองเดียวกัน ซึ่งเราเห็นจากสินค้ากลุ่มอื่นๆ มาแล้ว อย่างขนมขบเคี้ยวบางยี่ห้อที่มี 2 รสในถุงเดียว หรือพวกลูกอมที่มี 2-3 รสในแพ็กเดียวกัน ผมก็เลยคิดว่าแล้วในกลุ่มผลไม้แปรรูปของเราทำได้ไหม เพราะถ้าไปดูในเชลฟ์ที่ขายผลไม้อบแห้ง มันยังไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เลย

“เราก็เลยลองทำ โดยเลือกสินค้าที่ลักษณะใกล้เคียงกัน อย่าง มะขามหยีกับมะม่วงหยี หรือมะขามหวานกับมะขามเปรี้ยวแซ่บ มาไว้ในซองเดียว ตัวมะขามคลุกพริกเกลือกับมะม่วงหยี ลูกค้ารู้จักกันอยู่แล้วทั้งสองอย่าง ไม่ต้องอธิบายเยอะ พอจับมารวมกันก็กลายเป็นความหลากหลายในซองเดียว ลูกค้าซื้อไปก็ได้กินสองแบบที่เขาชอบอยู่แล้ว

“ราคาก็ไม่ได้สูงคือประมาณ 20 บาท ทำให้เข้าถึงง่าย จุดประสงค์จริงๆ ตอนแรกแค่อยากเพิ่มสีสันให้สินค้าดูหลากหลายขึ้น แต่พอออกมาขายจริง ตัวเลขกลับดีกว่าที่คิดไว้ ลูกค้าหลายคนก็ชอบเพราะมันดูแปลกใหม่ ซองเดียวกินได้หลายรส เหมือนมีทางเลือกเพิ่มขึ้น” 

จักรวาลผลไม้

“ตอนแรกเราทำแต่มะขามอย่างเดียวมาตลอด แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่าถ้าอยากขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เราต้องมีอะไรเพิ่ม เพราะคนเจนฯ Z หลายคนไม่ค่อยทานมะขาม บางคนไม่เคยกินเลยด้วยซ้ำ รวมถึงตลาดส่งออกหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่ค่อยรู้จักมะขาม ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง รู้จักก็แค่มะขามเปียก เราเลยคิดว่าถ้าอยากไปไกลกว่านี้ ต้องเพิ่มผลไม้อื่นเข้ามา

“พอย้อนกลับมาดูความเป็นจี๊ดจ๊าด เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะขาม สิ่งที่เราถนัดจริงๆ คือการเอาผลไม้มาทำให้กินง่าย แปรรูปให้น่าสนใจมากกว่า เราเลยมองว่ามันสามารถขยายไปยังผลไม้อื่นได้ 

“ปัจจุบันก็มีบ๊วย สตรอว์เบอร์รี และมะม่วง ตัวบ๊วยเรามองว่ารสชาติใกล้เคียงกับมะขาม มีความเปรี้ยวเค็ม คนที่กินมะขามก็กินบ๊วยได้ ไม่ต่างกันมาก ส่วนมะม่วงเป็นผลไม้ดังของไทยที่คนส่วนใหญ่รู้จักและกินอยู่แล้ว และสตรอว์เบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่แมสที่สุดและคนทั่วโลกรู้จัก

“แต่ถามว่าในเมื่อคนอื่นเขาอาจจะเคยทำสิ่งนี้มาก่อนเรา แล้วเราจะทำยังไงให้มีความเป็นจี๊ดจ๊าดและแตกต่าง เราแบ่งออกเป็น 2 แบบคือแบบดั้งเดิมที่เอามาอบแห้ง คลุกพริก คลุกเกลือ คลุกบ๊วยตามสูตรเฉพาะของเราให้รสชาติต่างจากที่มีทั่วไป  อีกแบบคือแบบแปรรูปหน้าตาคล้ายมะขามอบบ๊วยหรือมะขาม 5 รส ซึ่งถ้าเป็นลูกค้าของเราอยู่แล้ว พอเห็นก็มักอยากลอง เพราะไม่เคยเจอที่ไหน 

“แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีปัญหาเหมือนกัน ลูกค้าบางคนก็งงว่าขายแต่มะขามมาตลอด ทำไมมีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา ก็เลยต้องสื่อสารค่อนข้างเยอะ เพื่อบอกลูกค้าว่าปัจจุบันจี๊ดจ๊าดมีอย่างอื่นแล้วนะ ไม่ได้มีแต่มะขามอย่างเดียว เราสื่อสารแต่มะขามมา 20 ปีแล้ว จะเปลี่ยนมาสื่อสารว่ามีผลไม้อื่นด้วย มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน”

 Guss Damn Good

“ยุคนี้คือยุคแห่งการคอลแล็บ เพราะผู้บริโภคแตกออกเป็นหลายกลุ่มและมีความสนใจหลากหลาย การยิงปืนนัดเดียวให้มันแมสถึงทุกคนแทบเป็นไปไม่ได้ การคอลแล็บจะช่วยขยายฐานและแลกลูกค้ากัน ผมมองว่าสินค้าในตลาดนี้ ยังไม่ค่อยมีใครคอลแล็บอาจเพราะมะขามหรือพวกผลไม้แปรรูปอาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันกับอย่างอื่น พอครบรอบ 22 ปี ในปี 2568 เลยอยากลองทำอะไรใหม่ๆ

“ผมเป็นแฟนไอศครีมอยู่แล้ว และชอบแบรนด์ Guss Damn Good ก็เลยไปคุยกับเขาว่าอยากทำ ไอศครีมมะขามอบบ๊วย เขาเองก็กินสินค้าของเราอยู่พอดี สุดท้ายเลยเกิดโปรเจกต์นี้ขึ้น จุดประสงค์คือให้ลูกค้าที่คุ้นเคยกับมะขามอบบ๊วย ได้ลองในรูปแบบที่คาดไม่ถึง และดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามา

“เท่าที่ดูกระแสตอนเปิดตัว กลุ่มใหญ่ๆ ที่เข้ามาซื้อก็ยังคงเป็นเจนฯ Y ที่ทานมะขามอบบ๊วยอยู่แล้ว พอเห็นของใหม่ก็อยากลอง ส่วนเจนฯ Z ก็เริ่มเข้ามา หลายคนไม่เคยทานมาก่อน แต่พอเห็นคนอื่นทานก็อยากลองตาม ทำให้ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย 

“โปรเจกต์นี้ถือเป็นตัวเปิดให้เรา เพราะหลังจากนี้ จี๊ดจ๊าดจะมีโปรเจกต์คอลแล็บต่อเนื่อง ซึ่งเกณฑ์เลือกพาร์ตเนอร์ในการคอลแล็บ คือเรามองว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาต้องกินได้จริง อร่อย น่าสนใจ ไม่ใช่ทำเอากระแสอย่างเดียว อีกสิ่งคือฐานลูกค้าต้องใกล้กันพอสมควร แม้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน แต่ต้องดึงคนได้จริงๆ เพราะผมว่าถ้าห่างกันเกินไป ต่อให้คอลแล็บก็ดึงคนมาไม่ได้”

What I’ve Learned

1. บะหมี่ : หลายครั้งคิดว่าสินค้านี้ต้องปังแน่ๆ แต่ดันไม่ดี แต่บางอย่างที่เราทำเล่นๆ กลับไปได้สวย ผมจึงมองว่าสิ่งสำคัญคือต้องเตรียมแผนรับมือหลายสถานการณ์ ถ้ามันดีกว่าที่คิด เราจะขยายยังไง ซัพพลายพอหรือเปล่า ถ้ามันไม่ดี เราจะปรับสูตร ปรับแพ็กเกจจิ้ง หรือหาทางลงให้มันอย่างสวยงามยังไง

2. มิ้น : ตอนแรกๆ ที่เข้ามาทำเรื่องส่งออก เรายอมรับว่าโฟกัสที่ยอดขายมากๆ พอเวลาผ่านไป เห็นวงจรสินค้าในหลายตลาด เราเรียนรู้ว่าเอนเกจเมนต์และ ความรักในแบรนด์ของลูกค้าสำคัญกว่า ถ้ารักษาแฟนไม่ได้ ต่อให้สินค้ากลุ่มเดียวกัน ลูกค้าก็เปลี่ยนใจได้ตลอด เราเลยเน้นสร้างความใกล้ชิด สร้างชุมชนเล็กๆ เพื่อให้อยู่ได้ยาวๆ แล้วเราเชื่อว่าเดี๋ยวยอดมันจะตามมาเอง

3. มิ้ว : มิ้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดฐานะคนทำแคมเปญและเป็นเจ้าของแบรนด์คือเราจะสามารถยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองแล้วนำไปปรับปรุงต่อได้ไหม