ส่องเทรนด์เฮลตี้ที่ชวนมา Move, Groove, Connect แบบเป็นแก๊งกับสปอร์ตคลับ

ใครว่าออกกำลังต้องจริงจังและทำคนเดียวในยิม ทุกวันนี้การดูแลสุขภาพไม่ได้หยุดอยู่แค่การฟิตหุ่นหรือเพิ่มความแข็งแรง แต่ขยายไปถึงการสร้างประสบการณ์ร่วม บทสนทนา รอยยิ้ม และพื้นที่ที่เราได้เชื่อมโยงกับคนที่มีจังหวะชีวิตคล้ายกัน 

นี่คือภาพสะท้อนของเทรนด์โลกอย่าง experiential lifestyle (ไลฟ์สไตล์สายประสบการณ์) และ holistic wellness (การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม) ที่กำลังเติบโต เห็นได้จากตัวอย่างสโลแกนของสปอร์ตคลับยุคใหม่ในไทย ตั้งแต่ movement met music ไปจนถึง we move & connect at sloth pace ที่สนุกกับการสร้างคอมมิวนิตี้มากกว่าการเบิร์นแคลอรี และเปิดโอกาสให้คนรักการออกกำลังได้รู้จักกันและฮีลใจในบรรยากาศที่ไม่ต้องพยายามเกินไป โดยสปอร์ตคลับหรือยิมเหล่านี้หลายแห่งมีผู้ติดตามตั้งแต่หลักหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น และดึงดูดให้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกเดือน

ปีนี้จึงได้เห็นกิจกรรมจากหลายคลับจัดกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่แค่การเวิร์กเอาต์แบบเดิมๆ แต่พลิกภาพกิจกรรมออกกำลังให้หลากหลายและมีสไตล์ วิ่งไปมูเตลูก็ได้ จิบมัทฉะในคลาสก็ได้ หรือจะเต้นในผับตอนกลางวันก็เรียกว่า wellness ได้เหมือนกัน เทรนด์ eat, drink, groove เหล่านี้กำลังผสานกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ยิ่งออกกำลังเป็นแก๊งก็ยิ่งสนุก   

แน่นอนว่าเมื่อเกิดคอมมิวนิตี้ขึ้น แบรนด์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ก็เริ่มมองเห็นโอกาสใหม่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เครื่องดื่ม เสื้อผ้า หรือแม้แต่สกินแคร์ ทุกแบรนด์ต่างอยากมี touchpoint ที่ลูกค้าไม่ได้แค่เห็นแต่รู้สึกดีด้วย ยิมและสปอร์ตคลับยุคใหม่จึงไม่ได้เป็นแค่สถานที่อีกต่อไป แต่กลายเป็น social club ที่พาคนอินเทรนด์สายสุขภาพมาเจอกัน ส่วนจะมีคลับไหนที่จัดกิจกรรมแหวกแนวและน่าเข้าร่วมบ้าง ตามไปดูพร้อมๆ กัน 

1. วิ่งไปมูกับ ‘มูเตรัน’ โดย Iwelty

‘มูเตรัน’ คือกิจกรรมที่จับเทรนด์มูเตลูซึ่งคนไทยให้ความสนใจตลอดกาลมาผสานกับการวิ่งชมเมืองผ่านแลนด์มาร์กศักดิ์สิทธิ์ในย่านเก่ากรุงเทพฯ ทั้งวิ่งไปไหว้ศาลหลักเมือง ขอพรจากพระแม่ธรณี แวะมูเบาๆ กับพระพิฆเนศ พร้อมกิจกรรมอีกมากมายทั้งเสริมดวง เปิดไพ่ และลุ้นของขวัญไปด้วยกันแบบ community-friendly

นี่ไม่ใช่แค่ซิตี้รันธรรมดา แต่คือการออกกำลังที่ออกแบบประสบการณ์ให้ได้สัมผัสวัฒนธรรม ความเชื่อ และยังเป็นการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ทางสุขภาพที่ดึงดูดทั้งสายเฮลตี้ สายมู และสายคอนเทนต์ให้มาเจอกันในพื้นที่เดียว 

ที่ผ่านมามูเตรันจัดมาแล้วหลายครั้งโดย Iwelty ผู้นำเสนอการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ โดยแต่ละครั้งได้ร่วมจัดกิจกรรมนี้กับแบรนด์ไลฟ์สไตล์เพื่อมอบของขวัญพิเศษให้เหล่านักวิ่ง ครอบคลุมตั้งแต่แบรนด์สกินแคร์ อุปกรณ์กีฬา แฟชั่น คลินิกเสริมความงาม ทั้ง Supergoop!, Garmin, HydroFlask, Ravipa, LabX Clinic และอีกมากมาย

กิจกรรมนี้จึงไม่เพียงตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการทั้งการออกกำลังและหาที่พึ่งทางใจ แต่ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับคอมมิวนิตี้ในรูปแบบที่สนุกขึ้น สำหรับใครที่อยากมาจอยมูเตรัน กิจกรรมนี้มีการจัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะ โดยสามารถติดตามได้ที่เพจของ Iwelty 

2. ปาร์ตี้เวิร์กเอาต์พร้อมเสียงดีเจกับ  Groove by wolf  

สายตื๊ดและสายตี้ต้องปลื้ม GROOVE by WOLF ปาร์ตี้ออกกำลังในคอนเซปต์ Healing met hype และ Movement met music ที่ลบภาพจำว่าคลาสออกกำลังต้องจริงจังและน่าเบื่อ ล่าสุดกิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยยิม WOLF Wellness และทำให้เห็นว่าคอมมิวนิตี้ออกกำลังก็สนุกสุดเหวี่ยงได้

ความเก๋ของปาร์ตี้ครั้งนี้คือการชวนดีเจ 12 คนมาเปิดเพลงที่ผับใจกลางทองหล่อ พร้อมกิจกรรมที่คลอเสียงเพลงสุดมันตลอดวัน เช่น techno strength circuit  ที่วิดพื้นไปโยกหัวไป หรือกิจกรรมเบาๆ อย่างเวิร์กช็อปฝึกหายใจกับโยคะก็มี และยังเพิ่มบรรยากาศปาร์ตี้ด้วยการจัดแสดง immersive light & sound และดริงก์แบบไม่เมากับ Matcha Rave ตลอด 9 ชั่วโมง

ทั้งหมดนี้ทำให้ GROOVE by WOLF เป็นตัวอย่างของเทรนด์ไฮบริดไลฟ์สไตล์ หรือ aesthetic clash ที่คนยุคใหม่ชอบมาก นั่นคือการเอาความขัดแย้งมาทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ เช่น ปาร์ตี้ออกกำลังแบบเฮลตี้ เปิดดนตรีมันแต่เสิร์ฟมัทฉะแทนแอลกอฮอล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการดูแลตัวเองก็สนุกได้ และปาร์ตี้ก็ไม่จำเป็นต้องสุขภาพพังเสมอไป

ขอบคุณรูปจาก WOLF Wellness 

3. ควงเพื่อนซี้ไป Pila-Matcha กับ BFF Pilates 

อะไรจะสดชื่นไปกว่าเล่นพิลาทิสพร้อมจิบมัทฉะในบรรยากาศฟีลกู๊ดกับคลับน้องใหม่อย่าง BFF Pilates ที่ตั้งใจออกแบบให้การออกกำลังไม่ต้องซีเรียสเกินไป แต่เต็มไปด้วยความสนุก ชวนเพื่อนซี้มาขยับตัว พร้อมเติมพลังใจกันเบาๆ ในคลาสสุดคิวต์ที่ใครก็ชวนกันมาได้

เบื้องหลังทุกคลาสของคลับนี้ออกแบบโดย ครูแก้ว–ธัญวษกา นวัตธามกุล ผู้ก่อตั้ง YPS Pilates Club คลับพิลาทิสแห่งแรกของไทย โดยคลาส Pila-Matcha & More ของ BFF Pilates จะแตกต่างตรงที่มีเวิร์กช็อปมัทฉะให้ทำอย่างจริงจัง ตั้งแต่เลือกเบสน้ำเองได้ ไม่ว่าจะเป็นยูซุ น้ำเปล่า หรือมะพร้าว พร้อมเสิร์ฟพุดดิ้งมัทฉะนุ่มละมุนที่ออกแบบมาให้เฮลตี้ การันตีความเชี่ยวชาญในการทำมัจฉะโดยตรงจากร้าน Matcha and More

เทรนด์แบรนด์เครื่องดื่มที่ออกแบบประสบการณ์ร่วมกับวงการสปอร์ตเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึก clean, calm, conscious อย่างมัทฉะ ซึ่งสอดรับกับคาแร็กเตอร์ของคลาสออกกำลังยุคใหม่ที่เน้นความบาลานซ์ ไม่เคร่งเครียด แต่ยังคงใส่ใจสุขภาพ เรียกได้ว่าคนออกกำลังกายในทุกวันนี้ไม่ได้มองหาแค่โปรตีนเชคแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่เริ่มมองหาเครื่องดื่มที่ให้พลัง มีสตอรี สื่อสารไลฟ์สไตล์อินเทรนด์ได้ในโมเมนต์ที่อยากออกกำลังกับเพื่อนๆ

ขอบคุณรูปจาก BFF Pilates 

4. จอย Barre & Yoga ที่ Curvebkk ยิมที่สร้างคอมมิวนิตี้ร่วมกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์

ยิมบูทีกใจกลางเมืองอย่าง Curvebkk กำลังสร้างพื้นที่ใหม่ให้คนออกกำลังได้สนุกพร้อมกับแบรนด์ที่รัก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมล่าสุดอย่าง CURVE & CALM by OH! JUICE คลาส Barre ผสมโยคะที่เสิร์ฟมัทฉะ หรือแคมเปญ CLARINS x CURVE ที่ชวนสมาชิกยิมร่วมท้าทายในภารกิจ 28-Day Body CURVE Challenge ไปพร้อมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรูปร่าง อีกทั้งยังเคยมีแบรนด์ชุดออกกำลังอย่าง Birtive มาร่วมสร้างพลังบวกด้วยลุคสวยๆ ในคลาส และยังเคยยกคลาสไปจัดกลางห้างในงาน The Mall Lifestore Sports Fest เพื่อขยายคอมมิวนิตี้ให้กว้างขึ้นมาแล้ว

ไม่ใช่แค่ Curve เท่านั้น แต่ยิมยุคใหม่จำนวนมากเริ่มออกแบบคลาสร่วมกับแบรนด์ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งกิจกรรมออกกำลังแบบ challenge ต่อเนื่อง กิจกรรมแจกของขวัญ หรือการทดลองใช้สินค้าจริงในคลาส ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ยิมกลายเป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์ที่ดี แบรนด์ได้พื้นที่เข้าถึงลูกค้าแบบไม่รู้สึกขายตรงเกินไป ส่วนลูกค้าก็ได้ของติดมือหรือประสบการณ์ใหม่ที่สนุกกว่าเดิมกลับไป

และเมื่อแบรนด์เข้ามาอยู่ในห้องออกกำลังกาย รายละเอียดเล็กๆ อย่างโลโก้บนกระจก หรือพร็อพประกอบคลาสอาจสร้างอิมแพกต์ในการโฆษณาได้มากกว่าบิลบอร์ดริมถนน เพราะผู้เข้าคลาสต่างใช้เวลาอยู่ในยิมนาน ทำให้มีโอกาสเชื่อมโยงกับแบรนด์ในโมเมนต์ออกกำลังเหล่านั้นสูง

ขอบคุณรูปจาก Curvebkk 

5. Sound Healing และจ๊อกกิ้งที่สวนไต่ระดับในโครงการ Life Sathorn Sierra

นับเป็นไอเดียที่ส่งเสริมสุขภาพให้กับลูกบ้านได้อย่างแท้จริง เมื่อโครงการ Life Sathorn Sierra ที่มาพร้อมคอนเซปต์ Wellness for Real Living จัดกิจกรรมร่วมกับ Iwelty เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางให้กลายเป็นแหล่งพลังงานบวกสำหรับการดูแลทั้งกายและใจ

ไฮไลต์ของกิจกรรมเริ่มต้นด้วยการจ๊อกกิ้งรับแสงแดดยามเช้าผ่าน Hiking Trail ที่โอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว ต่อด้วย Mini Yoga บนสนาม Half Football Field พื้นที่เปิดโล่งที่ออกแบบให้การเคลื่อนไหวกลายเป็นการเชื่อมโยงภายใน ปิดท้ายด้วย Floating Sound Healing ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลอยตัวอย่างสงบบนผิวน้ำของ Active Pool พร้อมเสียงบำบัดที่ชวนให้ผ่อนคลาย ก่อนจะเติมพลังด้วยอาหารสุขภาพ น้ำผลไม้ และไอศครีมแสนอร่อยในบรรยากาศแสนร่มรื่น

ทั้งหมดนี้คือการสะท้อนว่าพื้นที่อยู่อาศัยในยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องของฟังก์ชั่น แต่คือการออกแบบประสบการณ์ที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตในทุกมิติ โครงการอสังหาฯ ที่เข้าใจสิ่งนี้จึงเริ่มมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ส่วนกลางในฐานะคอมมิวนิตี้แห่งการดูแลตัวเองที่ไม่ต้องรอไปยิมหรือรอวันหยุดก็สามารถสนับสนุนให้ผู้คนใช้ชีวิตที่ดีขึ้นได้ทุกวันในบ้านที่เราอยู่

ขอบคุณรูปจาก Iwelty

6. Walk & Talk สไตล์เกิร์ลพาวเวอร์ กับ SlowSpice Wellness Club

SlowSpice Wellness Club คือคลับสายชิลล์ที่ชวนสาวๆ มาขยับร่างกายเบาๆ ด้วยคอนเซปต์ We move & connect at sloth pace โดยมีกิจกรรมในคลับอย่าง Walk & Talk ที่ชวนเดินเล่นพร้อมชวนคุยหัวข้อที่เติมพลังใจ เช่น gratitude และ peace มีทั้งกิจกรรม Sunrise Edition และ Sunset Stretching ส่วนใหญ่จัดในสวนกลางเมืองอย่างสวนลุมฯ หรือสวนเบญจกิติ บางครั้งมีกิจกรรมเสริมอย่าง Book Swap ที่ช่วยให้บรรยากาศยิ่งอบอุ่นด้วย

แม้จะไม่ใช่คลับที่เน้นความเข้มข้นของการออกแรง แต่คลับแบบนี้กลับเชื่อมโยงผู้หญิงเข้าหากันได้อย่างดีผ่านการสร้างบทสนทนาคุณภาพ แถมยังเคยมีการจัดธีมเฉพาะสำหรับผู้หญิง เช่น empower her ที่ชวนสาวๆ แต่งชุดออกกำลังกายสีม่วงในกิจกรรม purple walk เพื่อเฉลิมฉลองความแข็งแรงในแบบที่นุ่มนวลและมั่นใจ

ในสังคมที่ผู้หญิงแบกรับหลายบทบาท การมีพื้นที่ที่สนับสนุนการออกกำลังและการพักใจจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ SlowSpice ไม่ได้แค่เปิดคลับ แต่กำลังสร้างคอมมิวนิตี้ที่โอบรับกันด้วยความเข้าใจ ให้ผู้หญิงได้รู้สึกเป็นเจ้าของจังหวะชีวิตของตัวเองอีกครั้งในพื้นที่ที่ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การสนับสนุนกันและกันอย่างอ่อนโยนและจริงใจ

ขอบคุณรูปจาก SlowSpice Wellness Club

คุยกับ ‘คุ้ย ทวีวัฒน์’ ถึง ‘ท่าแร่’ และตำราความหลอนที่นำ 13 Studio ยืนหยัดในธุรกิจหนังไทย

ในฐานะคนรักหนังไทยคนหนึ่ง ชื่อของ ‘คุ้ย–ทวีวัฒน์ วันทา’ ทำให้ผมใจเต้นระรัวทุกครั้งที่ได้ยิน

เขาคือผู้กำกับหนุ่มหัวขบถที่สร้างเกียรติศัพท์จากหนังสุดคัลต์หลุดโลกอย่าง ขุนกระบี่ ผีระบาด (2547) และ อสุจ๊าก (2550) ก่อนจะแจ้งเกิดเต็มตัวกับ ทองสุก 13 (2556) ผลงานมาสเตอร์พีซ ที่ใครต่อใครต่างยกให้เป็นหนังผีในดวงใจ ด้วยลีลาชั้นเชิงการเล่าเรื่องหักมุมหลอกคนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าพานหัวทิ่มบ่อ ผิดขนบไปจากหนังผีไทย ณ เวลานั้นที่เน้นฉากหลอนตุ้งแช่ หรือเขย่าโสตประสาทผ่านบรรยากาศสยองขวัญ

หลังห่างหายไปจากวงการจอเงินนานเกือบ 10 ปี ทวีวัฒน์กลับมาอีกครั้งกับผลงานเรื่องธี่หยด (2566) และธี่หยด 2 (2567) ที่พาเจ้าตัวขึ้นแท่นตำแหน่งผู้กำกับพันล้าน พร้อมสถาปนาเป็นเจ้าพ่อหนังผีไทยคนใหม่ ด้วยการทลายขนบกำแพงสูตรทำหนังสยองขวัญคนวิ่งหนีผี มาเป็นคนสู้ผีแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จนกลายเป็นลายเซ็นการกำกับที่ยากจะเลียนแบบ

กระทั่งเมื่อต้นปี 2568 ทวีวัฒน์ได้ตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารของ ‘13 Studio’ สตูดิโอผลิตหนังสยองขวัญ ที่รวบรวมเหล่าผู้กำกับรุ่นใหม่ฝีมือดี ประจวบเหมาะกับช่วงที่ผีไทยถูกรัฐบาลชุดปัจจุบันยกให้เป็น ‘โปรดักต์’ ในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์รูปแบบบันเทิงที่สร้างรายได้ตัวเลข GDP มหาศาล

แต่ในความพอเหมาะพอดีที่ว่า ทวีวัฒน์ตระหนักได้ถึงความท้าทายในฐานะคนทำหนัง และในฐานะผู้บริหารสตูดิโอหนังสยองขวัญที่ต้องคิดสูตร ‘หลอก’ สดใหม่มาเสิร์ฟผู้บริโภค ในยุคที่คนเข้าโรงหนังน้อยลงทุกวัน เพราะถูกสตรีมมิงเข้ามาแย่งชิงพื้นที่

ในวาระที่ ‘ท่าแร่’ ผลงานเรื่องล่าสุดของทวีวัฒน์กำลังเข้าโรงฉาย เราเลยชวนเขามาพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงานภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมบอกเล่า ‘สูตรหลอน’ ที่พาคนทำหนังผีอยู่รอดในยุคนี้

จากวันแรกจนถึงวันนี้ที่รับหน้าที่เป็นผู้บริหารของ 13 Studio ชีวิตการทำงานของคุณเปลี่ยนไปไหม

ต้องบอกว่าสนุกดีครับกับบทบาทนี้ สนุกที่ว่าคือต้องมาเรียนรู้เรื่องของการจัดการบริหาร จริงๆ แล้วตอนที่ได้ทำงานกำกับสิ่งที่ผมสนุกที่สุดคือการคิดไอเดีย แต่พอต้องมาดูแลฝั่งบริหารมันมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่านั้น เช่นเรื่องการดูแลทรัพยากรบุคคลที่จะทำยังไงให้คนหมู่มากรวมพลังและมองเป้าหมายแบบเดียวกัน 

อย่างกรณี  ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในนาม 13 Studio ที่พอออกฉายไปแล้วได้รับฟีดแบ็กกลับมาว่าไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการตลาด เราก็ต้องมาทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงไม่ตอบโจทย์ตามที่หวังไว้ พอกลับมาดูเรื่องกลุ่มผู้ชมที่เข้ามาดูปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานที่มีกำลังซื้อ แต่เรากลับเลือกเจาะกลุ่มตลาดนักเรียน นักศึกษา เนื้อหาที่เล่าในหนังก็พูดถึงชีวิตวัยรุ่น หรืออย่างโปสเตอร์เราก็อยากจะฉีกขนบธรรมเนียมหนังผีที่ปกติมืดๆ หม่นๆ ให้มีสีสันฉูดฉาดเพราะผมกับคนทำโปสเตอร์ชอบการ์ตูนเรื่อง Dandadan เหมือนกัน 

พอออกมาโทนนี้มันเลยสวนทางกับกลุ่มตลาดที่เราพยายามเจาะ ซึ่งเด็กสมัยนี้เขาเลือกดูคอนเทนต์ผ่านโซเชียลฯ ดูหนังผ่านสตรีมมิงเสียส่วนใหญ่ เหล่านี้เป็นเรื่องของวิธีคิดวิธีบริหารที่ต้องเรียนรู้เพิ่ม ต่างจากเมื่อก่อนที่เรารู้แต่วิธีการสร้างคอนเทนต์ยังไงให้น่าสนใจ 

สำหรับคุณ การสวมหมวกงานผู้บริหารกับงานผู้กำกับหนัง งานไหนที่แบกรับความกดดันมากกว่ากัน

ตอนทำงานผู้กำกับหนังเรารู้สึกได้ถึงความเครียดอยู่แล้ว แต่มันเป็นความเครียดที่มาพร้อมกับความสนุกเวลาได้ลงมือทำงานจริง แต่พอมาสวมหมวกอีกใบหนึ่งในฐานะผู้บริหารต้องยอมรับว่าเครียดกว่าเดิมอีก 

อย่างโปรเจกต์ท่าแร่ที่ได้มาทำกับสหมงคลฯ ผมก็ต้องมานั่งถกกับฝั่งพีอาร์ว่า ทำไมตรงนี้ต้องมีการแก้ไขนะ ทั้งที่เรามั่นใจในหนังของตัวเองมากๆ แต่พอมานั่งดูจริงๆ หนังของเรามันเข้าถึงแค่กลุ่มคนบางกลุ่ม ไม่ได้เขาถึงคนหมู่มาก ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องมาร์เก็ตติ้งที่เราต้องทำควบคู่ไปพร้อมกับคุณภาพหนัง 

ทำคอนเซปต์แบรนดิ้งของ 13 Studio ให้ต่างจากสตูดิโอผลิตหนังเจ้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดยังไง

เรากำหนดคาแร็กเตอร์ของ 13 Studio ชัดเจนว่าเราอยากทำเฉพาะหนังสยองขวัญ เป็นบริษัทที่ทำหนังสยองขวัญอย่างเดียวไม่ได้ทำหนังหลากหลายแนว เหมือนฝั่งต่างประเทศที่เวลาคนดูเห็นโลโก้ของ Blumhouse แล้วรู้ทันทีว่าเขากำลังจะได้ดูหนังสยองขวัญ 

อีกความตั้งใจของเราคือการการันตีคุณภาพผลงานให้ได้มาตรฐานในทุกๆ เรื่องที่ผลิต เพื่อให้คนดูเกิดความมั่นใจ เพราะเมื่อไหร่ที่คนดูมั่นใจในตัวแบรนดิ้งก็จะมีพื้นที่ให้คนทำหนังกล้าใส่ไอเดียใหม่ๆ ลงไปเต็มที่

ในฐานะที่คุณเป็นผู้บริหารของค่าย 13 Studio คุณมีวิธีผลักดันผู้กำกับภาพยนตร์ในสังกัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ยังไง 

ผมใช้วิธีดูงานเก่าๆ เพื่อจะได้เห็นสไตล์ เห็นวิธีการทำงานของแต่ละคน คนนี้เหมาะกับงานที่มีความเป็นคอเมดี้ คนนี้เหมาะกับแนวเฮอร์เรอร์ หรือพื้นฐานโตมาจากงานประเภทไหน ประเภทเอ็มวี ประเภทงานโฆษณา เพื่อจะได้เลือกโปรเจกต์ที่เหมาะกับคนคนนั้นจริงๆ 

เพียงแต่เราอาจจะทำความเข้าใจกับเขาว่า โปรเจกต์ที่คุณกำลังจะทำ เราขอเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น การพัฒนาพล็อตเรื่อง พูดง่ายๆ คืออารมณ์ประมาณเป็นพี่เลี้ยง แต่ส่วนตัวผมให้อิสระคนทำงานเพราะผมเชื่อว่าแต่ละคนมีของ ฉะนั้นเราต้องไม่เอาความคิดของเราไปครอบเขาไว้

คุณคิดว่าบ้านเรามีวัตถุดิบชั้นดีมากมายในการทำหนังสยองขวัญดีๆ สักเรื่องมากน้อยแค่ไหน

ผมเคยได้ยินคนพูดในรายการ The Ghost Radio ว่า ถ้าที่ศาลมีนางรำเราก็จะเจอผีนางรำ แต่ถ้าเราเอาอุลตร้าแมนไปวางที่ศาลแทนเราก็จะเจอผีอุลตร้าแมน คือบ้านเรามีผีเยอะมาก เยอะจนเรารู้สึกสนุกไปกับการนำเรื่องเล่าเหล่านี้มาต่อยอดคิดไอเดีย (หัวเราะ)

สำหรับผมหนังผีเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของบ้านเราที่แข็งแรงมากๆ  หนังที่ส่งออกต่างประเทศลำดับต้นๆ หรือยอดกดดูในสตรีมมิงส่วนใหญ่ก็คือหนังผี ซึ่งผมว่าการทำหนังผีมันเป็นเรื่องของการแข่งขันทางไอเดีย เรื่องผีเรื่องความเชื่อคือต้นทุนที่คนทำหนังทุกคนมีเท่ากัน คุณไม่จำเป็นต้องทำให้อลังการระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่จะเล่ายังไงให้คนดูรู้สึกกลัว รู้สึกตื่นเต้น นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องคิดให้ออก 

นับตั้งแต่ ธี่หยด 1, ธี่หยด 2, Attack วิญญาณเลขที่ 13 จนถึงผลงานล่าสุดเรื่อง ท่าแร่ ความยากของการทำงานภาพยนตร์ทั้ง 4 เรื่องนี้แตกต่างกันยังไง ในยุคที่คนดูหนังสยองขวัญมีความคาดหมายสูง

ผมว่ามันเป็นเทรนด์ แต่ก่อนเราตีความว่าหนังสยองขวัญคือหนังเกรดบี ในหมวดจำพวก slasher (ฆาตกร) จนวันหนึ่งเราปรับหมวดหนังสยองขวัญอยู่ในแนว slow burn ค่อยๆ สร้างมวลความหลอนแล้วปล่อยหมัดฮุกในองค์สุดท้าย 

จนตอนที่ผมกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งผมรู้สึกว่าวิธี slow burn ใช้ได้กับแค่คนดูเฉพาะกลุ่ม มันควรจะมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ตื่นเต้นขึ้น ผมเลยตั้งใจปรับโทนหนังสยองขวัญให้มีทั้งความน่ากลัวและความตื่นเต้นโลดโผนเหมือนคุณขึ้นรถไฟเหาะที่วิ่งม้วนไปม้วนมา ผลลัพธ์ที่ได้เลยออกมาเป็นหนังแบบ ทองสุก 13 หรือ ธี่หยด ทั้ง 2 ภาค 

ตอนที่เทรนด์หนังสยองขวัญถูกเล่าในเชิง coming of age เหมือนเรื่อง The Black Phone หรือซีรีส์ Stranger Things ที่ตัวละครเติบโตไปพร้อมกับการเจอผีร้าย ผมพยายามควานหาว่าในบ้านเรามีเรื่องไหนที่น่าสนใจและยังไม่มีใครทำ จนนึกถึงตำนานเกี่ยวกับ Pope horror ซึ่งเป็นตำนานปราบผีของบาทหลวงที่ผมว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเล่าเรื่อง 

คือผมจินตนาการถึงยุคสมัยหลังสงครามเวียดนาม ที่มีพ่อค้ายาส่งยาเสพติดเข้ามาในประเทศจำนวนมากจนเจ้าหน้าที่ซีไอเอต้องตามมาจัดการ ก่อนจะพบว่าพ่อค้ายาเลี้ยงผีไว้สู้กับซีไอเอ จนซีไอเอต้องตามบาสหลวงมาจัดการ แต่บาทหลวงปราบไม่ได้เลยต้องตามหมอผีไทยมาช่วย ไอเดียมันเลยเถิดไปไกลจนใครต่อใครบอกว่าพี่อย่าทำเลยมันเพี้ยน

จนกระทั่งวันหนึ่งทางสหมงคลฯ ติดต่อขอส่งไฟล์ pitch deck ปรากฏว่าไอเดียที่ได้เห็นน่าตื่นเต้นมาก เป็นไอเดียตรงกับสิ่งที่ผมอธิบายไปเมื่อกี้ แต่เป็นไอเดียในเวอร์ชั่นเข้าที่เข้าทางกว่าเยอะ ก็เลยตัดสินใจร่วมกันพัฒนาจนกลายมาเป็นโปรเจกต์ท่าแร่

หลังตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องท่าแร่ถูกปล่อยออกมา ผู้ชมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื้อหามีความเป็นหนังสยองขวัญในแบบกลิ่นอายสากล สิ่งนี้คือความตั้งใจที่คุณวางไว้แต่แรกหรือเปล่า 

ใช่ แต่อันที่จริงกระบวนการทำงานมันก็มีความยากระดับหนึ่ง ถึงจะบอกว่าเราพยายามดำเนินเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นบาทหลวง (บาทหลวงเปาโล รับบทโดย เจมส์–จิรายุ ตั้งศรีสุข) แต่ลึกๆ เรารู้สึกว่าอาชีพบาทหลวงต้องอยู่ในอเมริกา อยู่ในยุโรป ดังนั้นความยากของเราคือจะเซตตัวละครให้อยู่ในบริบทที่ถูกต้องยังไง 

กระทั่งเราผ่านกระบวนการรีเสิร์ชเก็บข้อมูลจนมาเจอกับชุมชนคริสต์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุด ที่อยู่ในตำบลท่าแร่ เราถึงมั่นใจว่านี่แหละมันมีมูลความจริงมากพอที่สามารถเล่าได้ สามารถนำบาทหลวงซึ่งดูอินเตอร์ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นโดยที่คนดูไม่รู้สึกประดักประเดิด

นอกจากการรีเสิร์ชพื้นที่ เรื่องของคาแร็กเตอร์ตัวละครเราก็ต้องทำการบ้าน อย่างการทำความเข้าใจว่าบาทหลวงเขามีวิธีการปราบผียังไง เราก็ต้องไปสอบถามข้อมูลกับคุณพ่ออนุชา ไชยเดช  ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย จนเรารู้ว่าการที่บาทหลวงจะปราบผีได้ต้องได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้อง ซึ่งในประเทศไทยมีบาทหลวงที่สามารถปราบผีได้อยู่ไม่ถึง 10 คน แต่ละซีนที่มีขั้นตอนการปราบผี ไปจนถึงเรื่องของเสื้อผ้าหน้าผมของผู้ทำพิธีก็ต้องให้คุณพ่ออนุชาช่วยดูความถูกต้อง 

ส่วนอีกตัวละครหลักของเรื่องเป็นหมอเหยา (แม่เมืองโสภา รับบทโดย มีน–พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร) เราก็ต้องไปปรึกษากับครูคิม ซึ่งเป็นที่ปรึกษาภูไทในจังหวัดสกลนคร เพราะตัวละครหมอเหยาในเรื่องต้องพูดภาษาภูไท ก่อนที่ครูคิมจะพาเราไปพบกับแม่หมอโอปอล์ ดาวติ๊กต็อกที่มีอาชีพเป็นหมอเหยาจริงๆ ก็ไปลงลึกว่าหมอเหยาเขามีวิธีรักษาชาวบ้านยังไง พิธีกรรมปราบผีเป็นยังไง

(ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องท่าแร่)

ข้อดีจากหนังของคุณคือการที่พื้นที่ชุมชนในต่างจังหวัดได้รับการสนใจจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เหมือนกรณีของสวนพฤกษศาสตร์ระยองที่กลับมาได้รับความนิยมล้นหลามหลัง ธี่หยด 2 ออกฉาย กับท่าแร่คิดว่ามีโอกาสเป็นแบบนั้นได้บ้างไหม

ต้องบอกว่าในตำบลท่าแร่มีหลายเจเนอเรชั่นที่คอยผลักดันบ้านเกิดของเขาอยู่ ผมคิดว่าพื้นที่ตรงนี้มีหลากวัฒนธรรมมาผนวกรวมกันได้อย่างน่าสนใจ เพียงแต่ในอดีตภาพจำของเราคือคนท่าแร่นิยมบริโภคสัตว์เลี้ยง ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้วและคนในพื้นที่เองก็ต่อต้านด้วย 

จากที่ได้ไปสัมผัสมาผมว่าท่าแร่เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากๆ มีสถาปัตยกรรมเมืองเก่าที่น่าสนใจ มีฟาร์มโคขุน มีหลากกิจกรรมให้ทำ บรรยากาศตอนที่ผมไปก็มีความโรแมนติก ดังนั้นมีโอกาสอยู่แล้วที่ที่นี่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดี

ท่าแร่นั้นเต็มไปด้วยนักแสดงชั้นนำมากมาย เช่น เจมส์–จิรายุ ตั้งศรีสุข, มีน–พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร, เอก–ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ และน้าแฉะ–องอาจ เจียมเจริญพรกุล ที่ตอนนี้แทบจะเป็นนักแสดงคู่บุญของคุณ ช่วยเล่าถึงเบื้องหลังการคัดเลือกนักแสดงนำแต่ละคนให้ฟังหน่อย

ตอนที่ผมได้อ่าน pitch deck ครั้งแรก ในหัวผม คนที่จะมารับบาทหลวงได้ต้องเป็นคนที่ดูสุขุม ดูมีความเข้มแข็ง ซึ่งทีมงานทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกันว่าคนที่จะมารับบทนี้ต้องเป็นเจมส์ จิรายุ เท่านั้น โชคดีที่เราติดต่อไปแล้วเขายอมรับเล่นทันที เขาให้เหตุผลว่าตัวบทมีความน่าสนใจและเขาอยากลองเล่นหนังสยองขวัญ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่แสดงออกมาได้ดี

ส่วนมีน พีรวิชญ์ ผมเคยร่วมงานกับเขามาก่อนใน ธี่หยด 2 มีนเป็นนักแสดงที่ชอบรับบทท้าทาย เขาป็นคนมีของ มีศักยภาพ เพียงแต่ยังไม่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งมีนทำการบ้านหนักมาก เพราะบทหมอเหยาเป็นบทที่นักแสดงจะต้องกล้าได้กล้าเสีย ต้องไปถึงสกลนครเพื่อฝึกพูดภาษาภูไท ฝึกพิธีกรรมหมอเหยานานอยู่พอสมควร

พี่เอก ธเนศ เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อนคือแกชอบรับบทอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว บวกกับความเป็นคนคุ้นเคยเพราะแกบ้านใกล้ผม ทุกอย่างมันก็เลยออกมาดี

สำหรับพี่แฉะเหมือนเป็นกรณีพิเศษ คือถ้าในบทมีคาแร็กเตอร์หน้าตาประมาณนี้ที่ว่างอยู่ สามารถตัดสินใจเลือกพี่แฉะเล่นบทนี้ได้เลย กอปรกับการทำงานร่วมกันบ่อยจนไว้ใจแกได้ แกสามารถเล่นได้ทั้งบทซีเรียส บทตลก แกเป็นตั้งใจทำงานแอ็คทีฟอยู่ตลอดเวลา 

ผมว่าการที่ได้ทำงานกับนักแสดงที่คุ้นเคยและนักแสดงที่ตั้งใจมารับบท ข้อดีคือทั้งเราและนักแสดงสามารถร่วมกันพัฒนาตัวละครในหนังให้มีมิติ เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังเพราะนั่นจะทำให้การทำงานสนุกขึ้น

ทุกวันนี้อาชีพคนทำหนังต้องวางแผนไปถึงการออกฉายสตรีมมิงพอๆ กับการออกฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยหรือเปล่า

ในฐานะคนทำหนังและผู้บริหารเราเห็นว่าการทำหนังเรื่องหนึ่งต้องมองหลายมิติ คือฉายโรง สตรีมมิง ฉายต่างประเทศ คือเราต้องสร้าง ‘สภาวะคุ้มทุน’ ให้ได้ไวที่สุด ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าฉายแต่ในโรงภาพยนตร์ก็ต้องต่อสู้เยอะ Box Office ที่เป็นหนังไทยมันไม่ได้รอดทุกเรื่อง โดยเฉลี่ยมีแค่ประมาณ 30-40% ที่มันประสบความสำเร็จกับรอดตาย

เพราะฉะนั้นการวางโครงสร้างทั้งหมดต้องเอาให้อยู่ เพราะถึงขายลงแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็ใช่ว่าจะเท่าทุน ผมว่าคนที่ลงทุนทำธุรกิจหนังคือคนใจถึง คือคนลงทุนซื้อคอนโดคุณยังปล่อยเช่าเอากำไรได้ แต่กับอุตสาหกรรมนี้มันคือการวัดใจล้วนๆ ผมยังไม่เจอคนทำหนังที่ทำแล้วได้กำไรแล้วเลิก ส่วนใหญ่ได้กำไรก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าทำแล้วเจ๊งนี่เลิกกันไปเยอะ ทุกวันนี้ก็ยังหวังให้คนทำหนังบ้านเราได้กำไรเพื่อที่เขาจะได้ทำงานตรงนี้ต่อไป และจะได้มีบุคลากรคนทำหนังรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมา

generation gap ระหว่างคนทำหนังรุ่นผมกับคนทำหนังรุ่นใหม่ต้องบอกว่ามันขาดช่วงไปเยอะ รุ่นผมที่ยังเหลือ เท่าที่เห็นคือมะเดี่ยว (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) และแก๊งผู้กำกับหนัง แฟนฉัน ส่วนหนึ่งเพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราเคยมีช่วงซบเซาจนต้องมีไปทำงานโฆษณา 

เช่นนั้น เรายังสามารถเรียกอาชีพคนทำหนังว่าเป็นอาชีพที่ ‘มั่นคง’ ได้อยู่ไหม

ส่วนตัวถ้าจะเรียกอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงคงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์แล้วอยู่มาได้นานเป็นสิบๆ ปีทุกวันนี้มีอยู่ไม่กี่คน เท่าที่เห็นคือพี่พจน์ (พชร์ อานนท์), พี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร), พี่ยอร์ช (ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์) และพี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) 

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำงานนี้ คุณจำเป็นต้องมีอาชีพเสริมหรือต้องมีกิจการเป็นของตัวเอง มีรายได้พอที่จะเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัว แล้วเมื่อไหร่ที่คุณฮึกเหิมคุณค่อยมาทำหนัง อย่างตอนที่ผมเจ็บตัวผมก็ทิ้งช่วงหันไปทำงานละครแทน 

ผมว่าสุดท้ายยังไงคนเราก็ต้องกินต้องใช้ เราจะฝันเอาหล่ออย่างเดียวไม่ได้ เราทำมันได้เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นงานหล่อเลี้ยงแพสชั่น

ทุกวันนี้มีแต่คนบอกว่าการมาของสตรีมมิงทำให้หนังฉายโรงซบเซาคุณมองแบบนั้นเหมือนกันไหม

ผมมองว่าสตรีมมิงเป็นโอกาสมากกว่า แต่ที่ยากกว่าคือคุณทำหนังยังไงให้ตอบโจทย์ทั้ง 2 ฟอร์แมต ข้อแรกหนังที่ฉายในโรงคนดูต้องดูแล้วได้อรรถรสกว่าการดูในสตรีมมิง ข้อสองคือถ้าหนังของคุณลงฉายในสตรีมมิงก็ต้องน่าดึงดูดพอที่จะขึ้นท็อป 1 

ดังนั้น การทำหนังทุกวันนี้ต้องทำให้ตอบโจทย์คนดูทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งกลุ่มคนดูในโรงและคนดูในสตรีมมิง ส่วนกำไรจากการส่งออกฉายในตลาดต่างประเทศทุกวันนี้มันไม่ได้สูงขนาดนั้นแล้ว

ถ้าต้องเลือกระหว่างการได้ทำหนังแมสในกระแสกับหนังอิสระที่ได้ใส่ไอเดียเต็มที่คุณจะเลือกอย่างไหน

เลือกยากอยู่นะ ผมโชคดีที่โตมากับการดูหนังหลากหลาย หนังในประเทศ หนังนอกประเทศ หนังในกระแส หนังนอกกระแส แม้แต่หนังแปลกๆ ก็หามาดู แต่ถ้าจะต้องเลือกจริงๆ ผมชอบหนังแมส เพราะสุดท้ายคนทำหนังยังไงก็อยากทำหนังสนุกๆ ให้คนจำนวนมากดู 

ผมเข้าใจนะในมุมผู้กำกับคนอื่นที่เขาไม่อยากทำงานตรงไบเบิลความเป็นแมสขนาดนั้น แต่ความจริงหนังแมสก็ใส่ตัวตนของผู้กำกับลงไปได้ ถ้างั้นเราคงไม่มีสตีเวน สปีลเบิร์ก หรือเจมส์ คาเมรอน เพียงแต่จะหาวิธีบาลานซ์การทำงานยังไง ส่วนคนที่อยากทำหนังอิสระจริงๆ ผมเชื่อว่ามีเวทีที่พร้อมสนับสนุนนำงานของเขาไปออกฉาย

โจทย์ยากที่สุดของคนทำหนังสยองขวัญในอนาคตคืออะไร

โจทย์ที่ยากที่สุดในเชิงพาณิชย์คือเรื่องพฤติกรรมคนดู ย้อนกลับไปสมัยก่อนภาพยนตร์หนึ่งเรื่องมีเวลาฉายนานสุดถึง 3 ชั่วโมง แต่ในยุคสมัยนี้คนทำหนังต้องต่อสู้กับความรวดเร็ว ทีมงานหลังบ้านเคยบอกกับผมว่า พฤติกรรมการดูของคนสมัยนี้อดทนได้นานสุดที่ 70 นาที และระยะเวลาในอนาคตก็จะสั้นลงไปอีกเรื่อยๆ ดังนั้นการเล่าเรื่องในอนาคตอาจต้องการความไวมากขึ้น ต้องการความตื่นเต้นมากขึ้น 

ขณะเดียวกันเราต้องคิดวิธีการสร้างผีในยุคที่คนดูภาพยนตร์เยอะขึ้น หาวิธีการหลอกที่แปลกใหม่ เพราะในอนาคตอีกสัก 10-20 ปีคนอาจจะไม่กลัวผีแล้วก็ได้ เหมือนที่มีบางคนไม่เชื่อเรื่องศาสนาบ้างแล้ว วิวัฒนาการที่ก้าวกระโดดแบบนี้เราต้องตามให้ทัน

ถ้าเปรียบเปรย ‘ธุรกิจ’ เป็นวิญญานหรือผีสักตัว ในมุมของคนทำหนังผีตัวนี้ดูน่ากลัวหรือมีวิธีหลอกยังไงบ้าง

  ผมมองว่าธุรกิจเป็นเหมือนกับผีปอบ คือมันมาแล้วมันก็ไป ผีปอบในที่นี้คือทำหน้าที่ให้คนอุปทานหมู่ไปกับมันให้ได้มากที่สุด โน้มน้าวให้คนเข้ามาบริโภคในสิ่งที่มันนำเสนอ หลอกคนให้ได้เยอะที่สุด หลอกจนคนไม่รู้สึกกลัว แล้วค่อยย้ายร่างไปหาที่สิงสู่ซึ่งก็คือการสร้างวิธีที่ทำให้คนอุปทานหมู่ขึ้นมาอีกครั้ง

Jurassic World: The Experience กับการปลุกเทรนด์ Family Tourism ในไทย

วันนี้ แฟนๆ ผู้ชื่นชอบไดโนเสาร์ คงกำลังตื่นตาตื่นใจไปกับ ‘Jurassic World: The Experience’  ธีมพาร์กที่อิงมาจากจักรวาลภาพยนตร์เรื่องจูราสสิค พาร์ค และจูราสสิค เวิลด์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ณ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในรูปแบบโดมขนาดยักษ์

สำหรับ Jurassic World: The Experience ในไทย ถือเป็นสาขาลำดับที่ 22 ในโลก ต่อจากโบโกต้า–โคลัมเบีย, ลอนดอน–อังกฤษ, มาดริด–สเปน และการ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์–สิงคโปร์ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ลงทุนกับโปรเจกต์นี้ไปมากกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อหวังให้เป็นนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก 

Jurassic World: The Experience นับเป็นการสานต่อกระแสจูราสสิค เวิลด์ รีเบิร์ธ ที่เพิ่งฉายไปหมาดๆ ซึ่งโลเคชั่นหลักที่ปรากฏในภาพยนตร์ใช้สถานที่ท่องเที่ยวในไทยเป็นหลัก เช่น อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา, อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จังหวัดกระบี่ และเกาะกระดานที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง รวมไปถึงการนำเจ้าสไปโนซอรัสมาลอยล่องในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่า GDP ของประเทศไทยในฐานะ ‘แหล่งท่องเที่ยว’ ที่สำคัญต่อวงการบันเทิงโลก ที่สร้างรายได้ถึง 6.6 พันล้านบาท ตามข้อมูลจากกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2567 ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างชาติเข้ามาใช้พื้นที่ถึง 466 โปรเจกต์ และอีก 279 โปรเจกต์ เมื่อปี 2568    

ถึงกระนั้น การมาของ Jurassic World: The Experience มีมากกว่าแค่การเป็นแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุงหรือเป็นสวนสนุกระดับโลก เพราะมีนัยสำคัญคือการปลุกกระแสเทรนด์ family tourism ให้กลับมาบูมอีกครั้ง แต่จะเป็นในแง่ไหนและมี business model ยังไง เราขอชวนไปหาคำตอบพร้อมกันในคอลัมน์ Recap ตอนนี้

• รู้จักกับ Jurassic World: The Experience นิทรรศการจำลองจักรวาลจูราสสิค เวิลด์ขนาดย่อม

ก่อนอื่นขอพาไปทำความรู้จักกับ Jurassic World: The Experience ที่ได้เกริ่นนำบางส่วนไปแล้ว สำหรับธีมพาร์กดังกล่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ปี 2016 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัท Universal Brand Development, Imagine Exhibitions (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น NEON) และ Animax Designs เป็นโปรเจกต์ที่สานต่อสานต่อความสำเร็จของภาพยนตร์จูราสสิค เวิลด์ หลังแฟรนไชส์นี้ห่างหายไปจากจอเงินนานถึง 14 ปี 

ความพิเศษและเอกลักษณ์ของ Jurassic World: The Experience คือการย่อจักรวาลจูราสสิคเวิลด์ ในลักษณะระบบนิเวศบนเกาะอิสลาร์ นูบลาร์ตามแบบภาพยนตร์ โดยมีไฮไลต์สำคัญคือพื้นที่จัดแสดงไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ที่ขยับด้วยกลไกหุ่นจำลอง ‘อนิมาโทรนิกส์’ (Animatronics) ที่เสกให้ไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ตระกูลจูราสสิคทุกภาค นอกจากการขยับสมจริง ผัสสะต่างๆ ของตัวหุ่นยังถูกออกแบบให้มีความเป็นธรรมชาติเหมือนผิวหนังของสัตว์ป่ามากที่สุด โดยเฉพาะเจ้าแบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ไดโนเสาร์พันธุ์คอยาว และทีเร็กซ์ (T. rex) ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดมหึมาที่เป็นภาพจำของแฟรนไชส์

นอกเหนือจากการประจักษ์ไดโนเสาร์ขนาดยักษ์  Jurassic World: The Experience ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก อาทิ โซนจำลองกระบวนการสร้างไดโนเสาร์ และตู้จัดแสดงตัวอ่อนของไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ โดยนักท่องเที่ยวจะได้ร่วมกิจกรรมในโซนนี้ผ่านหน้าจออินเทอร์แอ็กทีฟ ที่มอบความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์พันธุวิศวกรรม 

นับจากที่เปิดตัวครั้งแรก Jurassic World: The Experience ได้ผลัดเปลี่ยนพื้นที่จัดแสดงไปทั่วทุกมุมโลก โดยมียอดผู้เข้าชมรวมกันแล้วมากกว่า 8 ล้านคน โดยเฉพาะสาขาใหม่ที่สิงคโปร์ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่มียอดผู้เข้าชมถึง 600,000 ราย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัว หรือกลุ่มแฟนคลับจูราสสิคที่พร้อมให้การสนับสนุน ด้วยความนิยมมหาศาลนี้เองจึงเป็นเหตุผลที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์เพื่อยกมาตั้งบนพื้นที่ใจกลางกรุง

• มากกว่ามูลค่าการตลาด แต่เป็นการปลุกกระแสเทรนด์ family tourism ให้กลับมาอีกครั้ง 

ในอดีตเครื่องเล่นแนวผจญภัยที่อุดมไปด้วยแมกไม้ธรรมชาติ มักถูกสร้างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกหรือพื้นที่จัดแสดงโชว์พิเศษ เช่น River Safari เครื่องเล่นล่องเรือจำลองบรรยากาศในลุ่มน้ำอะเมซอน ที่ตั้งอยู่ในสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ ขณะเดียวกันบรรดาธีมพาร์กที่อิงจากภาพยนตร์เรื่องดังถ้าจะสัมผัสสักครั้งก็ต้องบินลัดฟ้าไกลถึงต่างประเทศ อย่าง The Wizarding World of Harry Potter ที่อิงจากภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งใกล้สุดอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

การมาของ Jurassic World: The Experience  จึงเป็นการนำองค์ประกอบทั้ง 2 สิ่งที่กล่าวข้างต้นมารวมกัน แต่ที่น่าสนใจคือเป้าหมายที่แท้จริงของผู้นำเข้าอย่างเอเชียทีค ไม่ได้มีเพียงการยกธีมพาร์กระดับโลกมาไว้ใจกลางกรุง แต่เป็นการปลุกกระแสเทรนด์ ‘family tourism’ ในไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง 

อานนท์ วิทยะสิรินันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ Jurassic World: The Experience เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น กล่าวถึงเป้าหมายที่ว่าในวงสนทนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 17 นั่นคือ ‘การสร้างประสบการณ์และความประทับใจภายในครอบครัว’ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กเราเคยตื่นเต้นกับการเที่ยวสวนสนุกครั้งแรก หรือการได้เห็นไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตบนจอเงินในภาพยนตร์เรื่องจูราสสิคพาร์คภาคแรก ทว่าเด็กในยุคนี้โตมากับเทคโนโลยีและส่วนใหญ่มักเติบโตมากับหน้าจอโทรศัพท์ การออกไปหากิจกรรมทำร่วมกันระหว่างครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ทั้งสามารถจินตนาการที่อาจพัฒนาเป็นแรงบันดาลใจได้ในอนาคต

อานนท์อธิบายเสริมว่า เอเชียทีคพยายามสร้างความแตกต่างของ Jurassic World: The Experience ในไทยให้ต่างไปจากที่อื่นๆ เช่นการร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ขุดพบในผืนแผ่นดินไทยมาจัดแสดง พร้อมกับให้เด็กๆ ได้สวมบทนักบรรพชีวินวิทยาจำลองวิธีการขุดฟอสซิล

หรือในแง่ของตั๋วเข้าชมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่จับต้องได้ โดยตั้งราคาไว้ที่ เด็กอายุ 3-10 ปี อยู่ที่ 579 บาท, ผู้ใหญ่หรือเด็กอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไป ราคาค่าเข้า 769 บาท ขณะที่ Jurassic World: The Experience Singapore ที่อยู่ใกล้บ้านเราที่สุดมีราคาอยู่ที่ เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ราคาค่าเข้า 26 ดอลลาร์สิงคโปร์ (652.74 บาท) และเด็กอายุ 3 ถึง 12 ปีขึ้นไป และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ค่าเข้าอยู่ที่ 22 ดอลลาร์สิงคโปร์ (552.32 บาท)

Jurassic World: The Experience ยังมีข้อได้เปรียบต่างจากสาขาอื่นบนโลก ที่มักตั้งจัดแสดงเวียนเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ และจัดแสดงบนพื้นที่ที่เป็นเอกเทศทั้งในมิวเซียมหรือพาร์ก เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของเอเชียทีคที่เป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ และใกล้กับห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม เอเชียทีคจึงใช้ความได้เปรียบนี้สร้างโมเดล ‘mixed-use destination’ ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย 

นอกจากนั้น ยังเสริมพื้นที่ใหม่ที่เรียกว่า ‘Hatch Dome’ ซึ่งเป็น inclusive space ที่มีทั้งร้านอาหาร ที่นั่งพักผ่อน อีกทั้งภายในยังมีนิทรรศการที่ชื่อว่า Better World, Better Future ที่นำเสนอเรื่องราวสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์แบบเข้าใจง่าย ตอบโจทย์ผู้ปกครองที่อยากพาลูกๆ ออกมาเรียนรู้นอกสถานที่ โดยที่ตัวเองและผู้ใหญ่ในครอบครัวได้พักผ่อนไปในตัว

• กระแส family tourism ที่กำลังจะกลายเป็นเทรนด์หลักของคนทำธุรกิจท่องเที่ยว

ถามว่านอกจาก Jurassic World: The Experience มีกรณีไหนอีกบ้างที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังให้ความสนใจเรื่องเทรนด์ family tourism ซึ่งจริงๆ แล้วในไทยเองมีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่เริ่มปรับตัวให้มีกิจกรรมหลากหลาย และมีพื้นที่ที่มากพอต่อการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัว

ยกตัวอย่างสวนสยาม สวนน้ำในดวงใจของหลายๆ คนที่ปรับตัวเองให้เป็นพื้นที่สำหรับสร้างการเรียนรู้ เช่น ค่ายลูกเสือและกิจกรรมตามฤดูกาล, โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มครอบครัวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการบริการที่เป็นมิตรและสร้างบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน และพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ที่พลิกคาแร็กเตอร์จากพื้นที่แสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และเน้นการทำกิจกรรมในแบบที่เข้าถึงง่ายทั้งครอบครัว อาทิ นิทรรศการ ‘THAINOSAUR’ ที่หยิบความรู้เรื่องไดโนเสาร์มาเล่าคู่ขนานกับโลกศิลปะ

หรือในมุมของ KTC บริษัทผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตจับมือร่วมกับพันธมิตรและแหล่งท่องเที่ยว 28 แห่ง ทั้งในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้เชิงวิทยาศาสตร์ สวนสนุก ฯลฯ เพื่อมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ถือบัตรที่เข้าใช้พื้นที่ท่องเที่ยวนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการร่วมสร้าง family tourism economy ที่เชื่อมโยงทั้งเศรษฐกิจท่องเที่ยวเป็นปึกแผ่น

ในประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ก็มีการพยาผลักดันเทรนด์ family tourism จากการต่อยอดสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยม เช่น Junglia Okinawa ธีมพาร์กสุดอลังการในจังหวัดโอกินาว่า ที่เปลี่ยนอดีตพื้นที่สนามกอล์ฟขนาด 375 ไร่ ให้กลายเป็นอาณาจักรไดโนเสาร์ ที่มีทั้งเครื่องเล่น 22 ชนิด ร้านค้า 25 แห่ง และหลากกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ รวมถึงรีสอร์ตที่พร้อมโอบรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ จากสนามบินนาฮะ (Naha Airport) 1 ชั่วโมง

เรียกได้ว่า Junglia Okinawa มีโมเดลธุรกิจที่ใกล้เคียงกับเอเชียทีคที่ต้องการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัว ด้วยการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบจับต้องได้ และครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสวนสนุก ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว อย่างโอกินาว่าเองก็เป็นจังหวัดที่เป็นหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ที่แต่ละปีมีผู้มาเยี่ยมเยียนถึง 9.66 ล้านคน 

ท่ามกลางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวบ้านเราที่อยู่ในช่วงประคองตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ การหันมาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นครอบครัวอาจเป็นทางออกที่น่าสนใจ ซึ่ง family tourism อาจไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา แต่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่มีหรือทรัพยากรที่มีอยู่ให้เข้ากับบริบทความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคนี้ ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมเสียมากกว่า

แต่จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้น คงขึ้นอยู่กับว่าคนทำธุรกิจเข้าใจมิติของคำว่า ‘ครอบครัว’ ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ที่มา : 

UVU แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายมาแรงที่ออกแบบด้วยจิตวิญญาณของอดีตทหารอากาศ

หากคุณเป็นคนที่สนใจในเรื่องราวของกีฬา โดยเฉพาะการวิ่ง นอกจากการก้าวออกไปบนเส้นทางวิ่งต่างๆ ที่น่าตื่นเต้น อีกหนึ่งความสนุกคือ การเลือก ‘เครื่องแต่งกาย’ ที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ในแง่คุณภาพของสินค้า แต่สำหรับยุคนี้แล้ว ‘การออกแบบ’ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้

ในโลกของกีฬาและแฟชั่น มีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่พยายามตีความคำว่า ‘ประสิทธิภาพ’ ให้มีมิติที่มากกว่าความเร็วหรือความทนทาน แต่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถถ่ายทอดความแข็งแกร่งภายในจิตใจผ่านเสื้อผ้าได้อย่างลึกซึ้ง 

และหนึ่งในนั้นคือ UVU แบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นจากอดีตทหารอากาศที่ใช้ประสบการณ์ในสนามรบ ผสานเข้ากับความหลงใหลในความแข็งแกร่งทางกายและใจ ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่กำลังมาแรงในขณะนี้

ไม่ได้มาจากโลกกีฬา ไม่ได้มาจากสายแฟชั่น ไม่ได้มีโลโก้ใหญ่โต แต่ทำไมแบรนด์ UVU ถึงกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และครองใจคนที่อยากออกกำลัง รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นทั่วโลก

คำตอบอาจเป็นเพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ แต่มันคือแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่เริ่มต้นจากจิตวิญญาณและความเข้าใจความเป็นมนุษย์ นั่นทำให้ UVU เชื่อมโยงกับความรู้สึกในทุกการสวมใส่

คอลัมน์ Biztory รอบนี้จะพาไปรู้จักแบรนด์ UVU ที่ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่เปลี่ยนแนวคิดในความธรรมดาของเสื้อผ้ากีฬาให้แฝงไปด้วยความหมาย เรื่องราว และจิตวิญญาณ

พรสวรรค์และโชคชะตา

ปี 1990 อาดี กิลเลสไพน์ (Adi Gillespie) เกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็ก เขามีพรสวรรค์เรื่องกีฬา นั่นทำให้เขาได้เข้าสู่โลกของยิมนาสติกตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ

ในเวลานั้น อาดีได้เข้าฝึกซ้อมร่วมกับนักยิมนาสติกทีมชาติอังกฤษ (Team GB) และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะการควบคุมร่างกายและความแข็งแรงตั้งแต่ยังเล็ก

สองปีถัดมา ในวัย 8 ขวบ อาดีเริ่มฝึกยิมนาสติกอย่างจริงจัง ขณะที่เล่นกีฬารักบี้ควบคู่กันไป นั่นยิ่งเสริมสร้างพละกำลังและประสาทสัมผัสในการเคลื่อนไหวให้เพิ่มขึ้น กล่าวได้ว่า ทั้งยิมนาสติกและรักบี้ คือกีฬาที่ทำให้อาดีมีร่างกายที่แข็งแรง มีความคล่องตัว และมีสมดุลที่ดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเป็นนักกีฬา

ด้วยพรสวรรค์และการพัฒนาอย่างถูกทิศทางตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อถึงวัย 11 ปี อาดีนับว่ามีร่างกายที่แข็งแรงและยืดหยุ่นมากเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน รวมถึงทักษะในการเล่นรักบี้ที่ถูกบ่มเพาะมา ทำให้เขาได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬารักบี้ของทีม Devon รุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี และได้เข้าร่วม South West England Rugby Academy ซึ่งเป็นอคาเดมีที่พัฒนานักกีฬารุ่นเยาว์ ทั้งในแง่ของการฝึกซ้อม และการศึกษา เพื่อโอกาสในการพัฒนานักกีฬาไปสู่จุดที่สูงยิ่งขึ้น

เส้นทางของอาดีกับโลกของการเป็นนักกีฬาอาชีพดูสดใส ทว่า หลังจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตก็มาถึง 

อาดีได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ ซึ่งในวงการรักบี้เยาวชน การบาดเจ็บที่ข้อมือ เช่น กระดูกหักหรือเอ็นฉีก ถือเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย แต่อาจส่งผลระยะยาว ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะหรือออกกำลังกายหนักๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยที่ร่างกายกำลังเติบโตอยู่

และสำหรับอาดี นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องยุติเส้นทางฝันในการเล่นรักบี้อาชีพไปตลอดกาล

สู่กองทัพอากาศ

ในวัย 17 ปี อาดีเข้ารับราชการในกองทัพอากาศอังกฤษ (RAF) เขาเลือกเส้นทางนี้แทนที่จะสมัครเป็นนาวิกโยธิน ตามคำแนะนำของพ่อ หลังจากจบการฝึกขั้นพื้นฐานที่เข้มข้น อาดีเรียนต่ออีกประมาณหนึ่งปีในสายงานเทคนิค ก่อนจะกลายเป็นช่างไฟฟ้าเครื่องบิน (Aircraft Electrician) และทำงานในสายงานดังกล่าวมาตลอด

กิจวัตรในกองทัพอากาศอังกฤษค่อนข้างมีความเป็นรูทีน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกะ 12 ชั่วโมงต่อวัน มีการประชุมบรีฟงานเช้าและเย็น เกี่ยวกับเครื่องบินที่จะเข้า-ออก รวมถึงการตรวจสอบดูแลระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังเคยปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน ในการสนับสนุนทางเทคนิคให้แก่แนวรบด่านหน้าอีกด้วย

แม้ว่าเส้นทางในการเป็นนักกีฬารักบี้อาชีพของอาดีจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ระหว่างที่ประจำการในกองทัพ อาดียังมีโอกาสได้กลับมาเล่นรักบี้แบบ 7 คน และเล่นให้กับสโมสรอย่าง Samurai, London Wasps และ Rosslyn Park รวมถึงแข่งขันในต่างประเทศ เช่น ดูไบ และสหรัฐอเมริกา นับเป็นการเติมเต็มความรักที่มีต่อกีฬาให้แก่เขาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กิจวัตรที่เป็นรูทีน ทำให้อาดีรู้สึกอึดอัดกับความซ้ำซาก และเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต ขณะที่สังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในระบบมานาน แต่ยังไม่มีสิ่งที่สร้างขึ้นมาเองนอกระบบราชการเลย แม้ว่าการรับราชการในกองทัพจะนำมาซึ่งโอกาสดีๆ มากมาย รวมถึงการได้กลับมาเล่นรักบี้ แต่อาดีก็มีความปรารถนาในใจลึกๆ ที่จะทำงานสร้างสรรค์และทำธุรกิจของตัวเอง

ในที่สุด หลังระยะเวลา 6 ปีในกองทัพ อาดีจึงตัดสินใจลาออก

ถอดเครื่องแบบสู่อาชีพอิสระ

ในช่วงที่ยังรับราชการในกองทัพ อาดีเคยลงคลิปออกกำลังกายในโซเชียล โพสต์ของเขามีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกกำลังกายออนไลน์ โดยเฉพาะการฝึกแบบคาลิสเทนิคส์ (Calisthenics) ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ ‘ร่างกาย’ ตัวเองเป็นแรงต้านร่วมกับแรงโน้มถ่วงโลก โดยไม่พึ่งพาอุปกรณ์มากนัก ทำให้ได้ทั้งความแข็งแรง ความอดทน และความยืดหยุ่น

หลังจากโพสต์คลิปลงโซเชียลบ่อยเข้า อาดีค่อยๆ สร้างฐานผู้ติดตามจนมีจำนวนเกินกว่า 150,000 คน กระทั่งเขาปลดประจำการ จึงเลือกเดินหน้าเต็มตัวในสายออกกำลังกาย โดยการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวและนักฟิตเนส ผ่านการผสมผสานทักษะการเคลื่อนไหวแบบยิมนาสติกที่มีเป็นทุนเดิมมาพัฒนากับการฝึกแบบคาลิสเทนิคส์ จนกลายเป็น ‘อินฟลู’ ในด้านนี้ เปิดโอกาสให้เขาได้เทรนให้กับลูกค้าระดับวีไอพี เช่น สมาชิกของราชวงศ์ซาอุฯ รวมถึงได้เดินทางทั่วโลกพร้อมกับการสร้างคอนเทนต์ด้านฟิตเนสและการออกกำลัง

การเดินทางของเขา จึงนำพาให้กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา

@uvuclub

The Training Club Newsletter #6 workout of the week. Drop us a comment if you have any questions. #fyp #running #fitness #training #workout #workoutsplit

♬ original sound – bayleslowed

You Vs You

ปี 2017 อาดีได้ก่อตั้งแบรนด์ UVU ภายใต้ปรัชญา ‘You Vs You’ ซึ่งมีนัยหมายถึง ‘การต่อสู้ภายในของตัวเอง’ ทั้งร่างกายและจิตใจ เขาต้องการให้ UVU เป็นแบรนด์แห่ง ‘นวัตกรรมในเครื่องแต่งกายกีฬา’ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญ และใช้เทคนิควัสดุขั้นสูงสุด นำเสนอสินค้าที่มุ่งเน้นคุณภาพ ความทนทาน และฟังก์ชั่นการใช้งานในทุกสภาพอากาศ ขณะเดียวกัน ยังมี ‘สุนทรียะ’ ในการใช้งานด้วย

UVU กำเนิดขึ้นโดยมีสโลแกนว่า ‘The graceful pursuit of a superior self’ หรือ ‘การแสวงหาตัวตนที่ดีกว่าอย่างสง่างาม’ โดยมุ่งเน้นให้ผู้สวมใส่รู้สึกเสมือนว่ากำลังได้ ‘พัฒนาตนอย่างสง่างาม’ ไปพร้อมกัน 

กล่าวได้ว่า แก่นของแบรนด์ UVU นั้นมาจากปรัชญาในช่วงรับราชการกองทัพของอาดี ทั้งการฝึก วินัยแบบทหาร การควบคุมร่างกาย การเคลื่อนไหวอย่างมีสติ ประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว การฝึกฝนความอึด การพัฒนาตนเอง รวมกับความหลงใหลที่มีต่อกีฬา จนกลายมาเป็นการออกแบบเสื้อผ้าที่รองรับอุณหภูมิตั้งแต่ −40 °C ถึง +40 °C เพื่อใช้กับการออกกำลังกายหนักๆ และการวิ่งระยะไกล

UVU จึงเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่รวมจุดเด่นด้านความทนทาน เทคโนโลยี และแฟชั่น เข้าไว้ด้วยกันอย่างพอดี ไม่ใช่แค่เสริมสมรรถนะ แต่ยังช่วย ‘สื่อสาร’ ถึงปรัชญาการแสวงหาตนเองให้ดียิ่งขึ้นของผู้สวมใส่

เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี

สินค้าของ UVU ครอบคลุมตั้งแต่เสื้อแจ็กเก็ต เสื้อเชิ้ต และเสื้อกีฬา ทุกชิ้นผ่านการทดลองอย่างเข้มข้นในสภาพอากาศสุดโต่งเพื่อให้ทนทานที่สุด 

จุดเด่นสำคัญ คือการใช้เทคโนโลยีนาโนร่วมกับผ้าทอคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น เช่น ผ้าเจอร์ซีย์ (Japanese spun jersey) และอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford fabric) ซึ่งให้คุณสมบัติกันน้ำระดับฝนตกพรำ ระบายอากาศได้ดี และใช้การเชื่อมตะเข็บแบบพิเศษด้วยเทคนิคการเชื่อมด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแทนการเย็บ ทำให้เสื้อผ้ามีน้ำหนักเบา กันน้ำ กันลม และไม่เกิดการเสียดสีกับผิวหนัง ช่วยลดอาการระคายเคืองพร้อมดีไซน์แบบมินิมอล เน้นที่การใช้งานมากกว่าฟีเจอร์เยอะๆ 

เสื้อกันหนาวบางรุ่นของ UVU อย่างเช่น Ultra Race Jacket หรือ Cold Race Jacket ใช้ผ้าเมมเบรนพิเศษที่สามารถเปิด-ปิดรูระบายได้ตามอุณหภูมิร่างกายและสภาพอากาศ เหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศตั้งแต่ -35 °C ถึง +10 °C หรือแม้แต่ -40 °C เมื่อต้องสวมหลายชั้น ทั้งยังฝังเทคโนโลยีสวมใส่ เช่น GPS หรือเซนเซอร์สำหรับนักกีฬา ซึ่งเป็นทิศทางในอนาคตของแบรนด์

นอกจากนี้ UVU ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ผ้ารีไซเคิลและลดการปล่อยคาร์บอนระหว่างกระบวนการผลิต โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของเสื้อผ้าอีกด้วย

จากจุดเด่นทั้งหมด ทำให้เสื้อผ้าของ UVU เหมาะกับนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการชุดออกกำลังกายที่มีความทนทาน น้ำหนักเบา และสามารถใช้ได้ในสภาพอากาศหลากหลาย จนเว็บไซต์ Harlerunner ระบุว่า เสื้อวิ่งของ UVU มีน้ำหนักเบา ระบายเหงื่อได้ดีมาก ใส่สบายแม้ในสภาพอากาศร้อน และการตัดเย็บเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง ขณะที่ลูกค้าบน Trustpilot ให้คะแนนดีเยี่ยมในเรื่องคุณภาพวัสดุ ความเร็วในการจัดส่ง และการใช้งานจริง โดยเฉพาะเสื้อวิ่งและถุงเท้า

อึด ถึก ทน

หนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ UVU ประสบความสำเร็จมาจากกลยุทธ์เชิงธุรกิจและการตลาด

UVU วางตำแหน่งแบรนด์อย่างชัดเจน คือไม่ได้พยายามแข่งขันในตลาดเสื้อผ้ากีฬาทั่วไป แต่เลือกมุ่งเน้นไปยังตลาดเฉพาะ (niche market) อย่างกลุ่มนักกีฬาที่ชอบการแข่งขันแบบเอกซ์ตรีม เช่น อัลตร้ามาราธอน, การแข่งขันในทะเลทราย, ขั้วโลก, ภูเขา หรือสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทำให้ไม่ต้องแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ขายสินค้ากีฬาทั่วไป ทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดู ‘แข็งแกร่ง จริงจัง’ ตั้งแต่แรก

ภาพลักษณ์ความอึด ถึก ทน ของ UVU ไม่ใช่แค่เรื่องตำแหน่งทางการตลาด แต่ยังมีกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ผ่าน ‘การแข่งขันแบบเอกซ์ตรีม’ อย่างการแข่งขันวิ่งมาราธอนในขั้วโลกเหนือ, การแข่งวิ่งระยะไกลในทะเลทรายร้อนจัด และการแข่งขันในป่าดิบหรือหิมะหนาวจัด การเข้าไปมีส่วนสนับสนุนการแข่งขันเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ ‘ทนจริง’ ใช้ได้จริงในสถานการณ์ที่โหดหินที่สุด แถมยังเป็นการ ‘พุ่งเข้าใส่’ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ร่วมแข่งขันหรือแฟนกีฬาโดยตรง

อีกความแตกต่างที่น่าสนใจของ UVU คือการไม่เลือกใช้เซเลบหรือดาราทั่วไปในการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่เลือกใช้นักกีฬาตัวจริงอย่างเช่น นักวิ่ง, นักผจญภัยขั้วโลก หรือผู้เข้าร่วมแข่งขันในการแข่งขันสุดโหดหิน ยิ่งทำให้แบรนด์ดู ‘จริง’ มากกว่าแค่โฆษณา มีความน่าเชื่อถือ และดูเป็นมืออาชีพ

ลองจินตนาการภาพว่า ระหว่างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ กับดาราเซเลบ หากต้องมาเป็นพรีเซนเตอร์รองเท้าสตั๊ด  ใครจะน่าเชื่อถือมากกว่า

สื่อสารผ่านความครีเอตและเรียล

หากยังจำกันได้ ในช่วงที่อาดีรับราชการในกองทัพ เขาเคยโพสต์คลิปออกกำลังกายลงโซเชียลจนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ถูกต่อยอดมาสู่กลยุทธ์ทางการตลาดบนโลกออนไลน์เมื่อ UVU ก่อตั้งขึ้นแล้ว

ความครีเอตที่มากขึ้น คือ UVU เลือกทำงานร่วมกับครีเอทีฟระดับไฮเอนด์ เช่น แมค สก็อตต์ (Mac Scott) หรือเฮกเตอร์ เทรนด์ (Hector Trend) ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาพลักษณ์ผ่านศิลปะการเล่าเรื่อง เพื่อ ‘สื่อสาร’ ผ่านโฆษณาและภาพยนตร์สั้นที่เล่าเรื่องได้อย่างทรงพลัง

ตัวอย่างเช่น วิดีโอที่เน้นความดิบ เถื่อน หนักหน่วง อย่างภาพนักวิ่งฝ่าโคลนในพายุหิมะ, วิดีโอนักผจญภัยลุยน้ำแข็งหรือทะเลทรายร้อนจัด หรือคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น ‘Beyond Limits’ หรือ ‘Engineered for Survival’ เป็นการจับอารมณ์จริงของนักวิ่ง ความเจ็บปวด ความอึด มากกว่าความสวยงามในโฆษณา เสมือนเป็นการตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ ‘สร้าง’ ความพรีเมียม และ ‘เสริม’ ให้แบรนด์มีจิตวิญญาณมากขึ้น 

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ที่ซื้อสินค้าหรือผู้ชมรู้สึกว่า UVU เป็น ‘เครื่องมือ’ ที่พาให้ชนะขีดจำกัดของตัวเองได้ เมื่อรวมกับ ‘คุณภาพ’ ทางเทคนิคและนวัตกรรมของเสื้อผ้า ก็ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ของ UVU ตอบโจทย์ของผู้สวมใส่มากกว่าแค่ความสวยงาม แต่มันคืออุปกรณ์ที่ ‘ช่วยชีวิต’ ได้ในสนามจริง 

ขณะเดียวกัน UVU ไม่เลือกผลิตสินค้าในปริมาณมาก และไม่ขายทั่วไปในห้าง แต่เลือกวางขายผ่านช่องทางเฉพาะ อย่างเว็บไซต์ของแบรนด์, ร้าน specialized outdoor หรือ sport gear หรือ การจัดอีเวนต์เปิดตัวแบบเฉพาะกลุ่ม ก็ยิ่งทำให้แบรนด์ไม่ดู ‘แมส’ เกินไป

ความไม่เน้นตลาดแมสนี่เอง ส่งผลต่อการเลือกลงโฆษณาและทำคอนเทนต์บนช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเฉพาะ อย่างเช่นกลุ่มนักวิ่ง กลุ่มเฟซบุ๊กนักผจญภัย งานอีเวนต์หรือเอกซ์โปที่เกี่ยวกับการวิ่ง ไปจนถึงยูทูบเกี่ยวกับการเดินทางแบบเอกซ์ตรีม

ถึงแม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่อย่าลืมว่ามันคือการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงด้วยความ ‘ลึก’ และ ‘จริงใจ’ ทำให้ผู้คนพร้อม ‘ควัก’ เงินซื้อสินค้าของ UVU มากไปกว่านั้น คือ เกิดความไว้วางใจและ ‘ภักดี’ ต่อแบรนด์สูงมาก เพราะเป็นสินค้าที่ไม่ใช่ใครก็ซื้อได้

มากกว่าแบรนด์แต่คือชุมชน

ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจจัยเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้ UVU ได้ใจคนที่ซื้อสินค้า แต่ UVU สามารถ ‘สร้าง’ คอมมิวนิตี้ผ่านกิจกรรม และการสื่อสารผ่านโซเชียลได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแบรนด์

UVU มีการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานผ่านอินสตาแกรม และ Strava ในการจัดชาเลนจ์ แชร์เทคนิคฝึก และเรื่องราวผู้ใช้งาน เป็นการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม พร้อมกับรับฟีดแบ็กเพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ขณะที่หลังการขายก็มีการชวนให้ลูกค้าเข้าร่วมแอพฯ UVU เพื่อร่วมแบ่งปัน track achievements เสมือนเป็นการเชื่อมต่อกับชุมชนนักกีฬาและคนที่ต้องการปรับปรุงสมรรถภาพตนเองให้เติบโตมากขึ้น

ในปี 2023 UVU กลายเป็นข่าวดังด้วย pop-up ที่ขายสินค้าหมดเกลี้ยงในเมืองใหญ่ๆ อย่างปารีส มิลาน และนิวยอร์ก รวมถึงประสบการณ์ในการเวิร์กช็อป มีนักกีฬาได้รับเชิญขึ้นพูด และลองใช้สินค้าจริง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างคอนเนกชั่นกับกลุ่มนักกีฬาและผู้ที่มุ่งปรับปรุงสมรรถภาพตัวเอง 

เมื่อเข้าสู่ปี 2024 UVU ก็ขยายธุรกิจไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซระดับโลกและการเปิดร้านป๊อปอัพที่ขายหมดเกลี้ยงในลอนดอนและเบอร์ลิน

การที่แบรนด์สามารถขายสินค้าได้หมดเกลี้ยงในแต่ละ pop-up ในหลายเมืองสำคัญ ยิ่งสะท้อนความสำเร็จและการเติบโตแบบ ‘Global but Local’ ได้เป็นอย่างดี

ไม่ใช่แค่ยุโรป แต่ UVU ยังขยายไปยังตลาดเอเชียอย่างจีนและเกาหลีใต้รวมถึงอเมริกาเหนือ โดยปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ผ่าน partnership อีเวนต์กีฬาท้องถิ่น และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์
เส้นทางเติบโตนี้เองทำให้ UVU ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้า แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ของคนที่มุ่งพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และสร้างคอมมิวนิตี้ของผู้ใช้สินค้าที่ ‘แข็งแรง’ และ ‘กระตือรือร้น’ อย่างแท้จริง

แบรนด์แห่งการแสวงหาตัวตน

“ผมคงไม่บอกว่า เราพยายามตั้งใจอย่างเต็มที่เพื่อจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาอื่นๆ ในตลาด เราเพียงแต่ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เราอยากเห็นในตลาดในฐานะผู้บริโภค ซึ่งมันควรจะให้ความรู้สึกใหม่ เป็นสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”

อาดีเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2023 เกี่ยวกับแบรนด์ โดยชี้ว่า UVU ไม่ได้ตั้งใจแข่งขัน แต่โฟกัสที่การสร้างสินค้าที่เขาเชื่อว่าควรมีในตลาด

กล่าวได้ว่า แม้อาดีจะไม่ได้มาจากการเป็นนักธุรกิจ แต่สิ่งที่หล่อหลอมตัวตนและความแข็งแกร่งของเขามาตั้งแต่เด็ก เมื่อรวมกับความหลงใหลในโลกกีฬาและเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เขา ‘เชื่อ’ ว่าจะส่งผลต่อผู้สวมใส่ ทำให้ UVU ก้าวมาไกลในวันนี้

UVU ไม่ได้พยายามถูกใจทุกคน แต่เลือกสร้างสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ผ่านคุณภาพของสินค้า และภาพลักษณ์ที่สะท้อนจากตัวตนของแบรนด์แบบไม่เสแสร้ง นั่นทำให้ UVU ไม่ใช่แค่แบรนด์เสื้อผ้ากีฬา แต่เป็นแพลตฟอร์มทางวัฒนธรรมที่สร้างคอมมิวนิตี้ของผู้ใช้งานทั่วโลกให้เข้มแข็งและจับต้องได้จริง

จึงไม่น่าแปลกใจที่ UVU กำลังพลิกโฉมวงการวิ่งและชุดกีฬาอย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งอย่างอาดี กิลเลสไพน์ สู่ปรากฏการณ์ระดับโลกผ่านสโลแกนของแบรนด์ที่ว่า

‘การแสวงหาตัวตนที่เหนือกว่าอย่างสง่างาม’

อ้างอิงข้อมูล :

หลัก 5P ของ Khong แบรนด์ที่ทำพระเครื่องและของสายมูให้เท่ จนเป็นขวัญใจเซเลบและสายแฟฯ 

ขอออกตัวตั้งแต่ต้นบทความกันเลยว่าฉันเป็นสายมูฯ แต่ถึงจะเชื่อเรื่องพลังงานและคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีผลต่อชีวิต ฉันก็ไม่ใช่สายมูฯ ประเภทที่ชอบใส่แอ็กเซสเซอรี ออกจะไปทางชอบเดินสายไหว้ขอพรเสียมากกว่า

เวลาเห็นคนใส่สร้อยข้อมือหรือเครื่องประดับอื่นๆ ที่เขาฮิตใส่กันก็รู้สึกว่ามันสวยดีนะ แต่ให้ใส่เองก็คงไม่ ยิ่งถ้าเป็นสร้อยพระนี่ยิ่งไม่ใช่ทางเท่าไหร่ จนกระทั่งได้มาเจอกับ KHONG (ที่เขียนภาษาไทยอย่างเก๋ไก๋ว่า ‘ฃอง’ ) คือแบรนด์ของ โซฟี่–ปาจรีย์ โรเจอร์ เจ้าของเดียวกับ PACHAREE แบรนด์เครื่องประดับอายุ 6 ปีที่ขึ้นชื่อเรื่องความคราฟต์และไข่มุกรูปทรงแปลกตา 

กับ ‘ฃอง’ เอง เทคนิควิธีการคราฟต์เครื่องประดับนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือโซฟี่เปลี่ยนจากจับไข่มุกไปทำพระเครื่อง และสัญลักษณ์ทางความเชื่ออื่นๆ ให้กลายเป็นแอ็กเซสเซอรีของสายแฟฯ มีทั้งพระประจำวันเกิด พระแม่มารี และไม้กางเขนของศาสนาคริสต์ รวมถึงรูปสาริกาลิ้นทอง เสือคำราม ไปจนถึงยันต์เกราะเพชร  

แม้ KHONG จะดูไม่เหมือนพระเครื่องแบบดั้งเดิมที่เห็นได้ทั่วไป แต่ทุกชิ้นยังผ่านการปลุกเสกอย่างถูกต้องตามตำรา การันตีว่าความขลังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ส่วนถ้าใครอยากรู้ว่าใส่แล้วสวยขนาดไหน เชิญทัศนารูปในไอจีของณเดชน์ คูกิมิยะ, เป้ อารักษ์, พอลล่า เทเลอร์ แล้วลองตัดสินกันเอาเอง

ส่วนฉัน ขออนุญาตนั่งคุยกับโซฟี่ถึงหลังบ้านของธุรกิจ ฃอง นี้เธอได้แต่ใดมา และล้วงลึกว่า 4P+1 ที่ทำให้แบรนด์ฮอตสุดๆ ในหมู่เซเลบฯ คืออะไร

Product

ฃองไม่ใช่แบรนด์เครื่องประดับแบรนด์แรกของโซฟี่ ย้อนความกลับไป เธอทำแบรนด์เครื่องประดับชื่อ PACHAREE มาแล้ว 6 ปี และก่อนหน้านั้น ครอบครัวของเธอก็ทำธุรกิจอยู่ในแวดวงจิวเวลรีมาแล้วอย่างยาวนาน

“จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว ฟี่มีความไม่สบายใจบางอย่าง พอลล่า (เทเลอร์) ที่เป็นเพื่อนกันเลยพาไปวัด ทุกอย่างตอนนั้นมันเหมือนโชคชะตากำหนด เราไปเจอตู้พระแล้วสงสัยว่าผู้ชายเขาใส่สร้อย (chain) แบบไหนกับสร้อยพระ ตอนมองไปที่ตู้พระก็สะดุดตากับพระอยู่องค์หนึ่ง พลิกกลับมาเป็นองค์รัชกาลที่ 5

“บอกก่อนว่าฟี่นับถือคริสต์ ไม่ได้เป็นชาวพุทธ ฟี่ไม่ได้เติบโตมากับเรื่องเร้นลับเลย แต่ตั้งแต่เด็กจนโตมีคนทักให้บูชา ร.5 เยอะมาก พอพลิกขึ้นมาเป็นองค์ ร.5 เราก็รู้สึกว่าเอ๊ะ อีกแล้วเหรอ ขณะเดียวกันเราก็รู้สึกเหมือนถูกนำทางให้ทำอะไรบางอย่าง” 

ฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่เธอก็ตัดสินใจเล่าให้พอลล่าฟัง และเพื่อนอย่างพอลล่าก็เชียร์ให้เธอเช่าพระองค์นี้ไปดีไซน์กรอบและสร้อยใหม่เพื่อให้ใส่แล้วเป็นสไตล์ของตัวเองที่สุด 

“ตอนที่ฟี่ทำ น้องในทีมก็บังเอิญมีคุณพ่อที่สะสมพระอยู่ เขาก็ชอบเอาพระมาให้เราดู เล่าเรื่องราวของพระแต่ละองค์ให้ฟัง ทำให้ฟี่เห็นว่านี่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่ใครหลายคนมองข้าม เพราะมีแค่คนกลุ่มหนึ่งเล็กๆ ที่สะสมและใส่พระอยู่ ความคิดนั้นนำพาให้ไปเดินตลาดพระ แล้วพอได้ไปเดินมันก็ยืนยันความคิดว่า สร้อยพระเป็นสิ่งสวยงามมาก แต่กลับมีแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่ให้คุณค่า”

ความคิดนั้นพาให้โซฟี่ไปลองเดินตลาดพระดู และประสบการณ์นั้นก็ยืนยันกับเธอว่า สร้อยพระเป็นสิ่งสวยงามที่ควรให้คุณค่า และมีความหลากหลายมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

“มีทั้งพระที่ทำจากเงิน ทองเหลือง ผงอัดสีขาว ครีม แดง ดำ เขียว มันมีชีวิตชีวา สนุกสนาน และรู้สึกว่านี่คือหนึ่งในตัวแทนของวัฒนธรรมไทยที่ดีที่สุดเลย แต่ทำไมไม่เคยมีใครเห็น

“จนสุดท้ายเราก็ได้คำตอบว่า ใช่ สวย แต่เป็นเราเราจะใส่ไหม ก็อาจจะไม่ใส่ ความสวยงามเหล่านี้ถูกคราฟต์มาด้วยมือศิลปิน พระสงฆ์ หรือวัดที่ต่างมองในมุมของเขา แต่มันไม่ได้จบงานด้วยศิลปินที่มองในมุมการทำเครื่องประดับ”

หญิงสาวครุ่นคิดกับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ เมื่อไปถามเพื่อนรอบตัวก็ยืนยันว่าเธอคิดถูก “เพื่อนทุกคนบอกว่ามีพระ ส่วนใหญ่จะพกไว้ในกระเป๋าถือแต่ไม่มีใครใส่ หรือถ้าเป็นผู้ชายเขาก็ใส่ไว้ในเสื้อ ไม่เอาออกมาโชว์”

เท่านั้นแหละ โจทย์ของเธอเริ่มชัดเจน–โซฟี่อยากทำสร้อยพระที่คนใส่ได้ทุกวัน สนุกที่จะใส่ ที่สำคัญคือภูมิใจ ใส่แล้วไม่ต้องแอบ

ไม่ว่าจะเป็น PACHAREE หรือ KHONG สิ่งที่โซฟี่ให้ความสำคัญอยู่เสมอในขั้นตอนออกแบบ คือการดึงเสน่ห์ของวัสดุออกมาให้ได้มากที่สุด

PACHAREE ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องประดับไข่มุก โซฟี่จึงหาไข่มุกรูปทรงน่าสนใจมาเป็นตัวตั้ง แล้วดีไซน์ให้เป็นเครื่องประดับที่น่ามอง

KHONG ใช้แนวคิดเดียวกัน เครื่องประดับของแบรนด์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท หนึ่งคือเครื่องประดับที่โซฟี่จะนำพระของลูกค้ามาออกแบบใหม่ในสไตล์ KHONG 

สองคือเครื่องประดับคอลเลกชั่นต่างๆ ที่ KHONG ทำเอง ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดกรอบอยู่แค่สร้อยพระเท่านั้น นอกจากคอลเลกชั่นพุทธๆ อย่างพระประจำวันเกิด KHONG ยังนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาคริสต์ ทั้งพระแม่มารี พระเยซู ไม้กางเขน รวมถึงสัญลักษณ์อื่นๆ ที่ผู้คนนิยมเคารพนับถือ อย่างนกสาริกา เสือคำราม ยันต์เกราะเพชร และยันต์ฉัตรเพชร 

โซฟี่นำสิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวตั้ง แล้วรังสรรค์ต่อยอดให้กลายเป็นเครื่องประดับที่สายแฟฯ จะชอบ ด้วยแบบของสร้อยและกรอบที่ร่วมสมัย ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ทิ้งความเชื่อดั้งเดิม เครื่องประดับของ KHONG ทุกชิ้นจึงผ่านการปลุกเสกมาไม่ต่างจากสร้อยพระทั่วไป

“คำว่าความเชื่อสำหรับฟี่หมายถึงสิ่งที่เรายึดเหนี่ยว มันคือพลังบวกที่ทำให้เรามีกำลังใจในการทำสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราใส่จี้กับตัว มันจะทำให้ทุกนาทีของเรามั่นใจและสบายใจขึ้น”    

ความโดดเด่นอีกข้อคือเครื่องประดับของ KHONG ทุกชิ้นใช้วิธีการแกะสลักด้วยมือชิ้นต่อชิ้น ไม่ได้ใช้การพิมพ์เป็นบล็อก 

“ฟี่มองว่าเครื่องประดับมันเป็นของ personal น่ะ เวลาที่เราใส่ความคราฟต์เข้าไป คนที่ใส่เขาจะรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่งานที่ทำให้แบบ mass product มันผ่านการคิดและเกลามาเยอะมาก ยิ่งเป็นพระของลูกค้าเราก็ยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ นี่คือสิ่งที่ทำให้ KHONG แตกต่างจาก PACHAREE” 

Price

โซฟี่เล่าว่า ในช่วงแรกเริ่มของการทำแบรนด์ การตั้งราคาเป็นสิ่งที่เธอกังวลมาก เพราะกลัวคนเข้าใจว่านำศาสนามาทำการค้า

“แต่สามีก็ให้คำแนะนำว่า คุณทำแบรนด์เครื่องประดับมาแล้ว ต้นทุนของ PACHAREE ก็สูงมาก ลูกค้าเขาเข้าใจว่ากว่าจะได้แต่ละชิ้นมันผ่านการคราฟต์อะไรมาบ้าง เขาเข้าใจว่าฟี่เป็นศิลปินมากกว่านักธุรกิจ เพราะฉะนั้นลูกค้าไม่น่าจะคิดแบบที่เรากังวล” 

การตั้งราคาของ KHONG จึงอยู่ในทิศทางเดียวกับ PACHAREE เพราะใช้วิธีแกะมือเหมือนกัน ส่วนในเคสที่นำพระของลูกค้ามาออกแบบใหม่ โซฟี่ก็คิดราคาค่าฝีมือตามจริงเท่านั้น 

ที่น่าเซอร์ไพรส์คือกลุ่มลูกค้า โซฟี่บอกว่าในช่วงแรกเริ่ม เธอคิดว่าคนซื้อ KHONG และ PACHAREE ไม่ได้ต่างกันมาก พวกเขาน่าจะเป็นสายแฟฯ ที่มองหาเครื่องประดับ Semi-Fine (เครื่องประดับอัญมณีที่ผสมกับองค์ประกอบอื่นๆ เช่น โลหะหรือเงิน) สักชิ้นไปเสริมลุคประจำวัน แต่ KHONG ขยายกลุ่มลูกค้าไปกว้างกว่านั้น เพราะแบรนด์ดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ชายที่ชอบใส่ยันต์ ไปจนถึงลูกค้าที่อยากซื้อพระประจำวันเกิดให้เป็นของขวัญกับทารกแรกเกิดมาด้วย

Place & Promotion

เมื่อเราลองไถดูอินสตาแกรมของ KHONG หลายรูปที่ปรากฏขึ้นมาคือรูปอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้หลายคนกำลังโพสท่าสวย เราสงสัยว่านี่คือหนึ่งในการทำการตลาดของโซฟี่หรือเปล่า

“สิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่ทำ PACHAREE มาคือ เราชวนอินฟลูเอนเซอร์หลายคนมางานของเรา แต่เราไม่เคยจ่ายเงินให้เขาเลย ดาราหลายคนเขาติดต่อมาซื้อกับเราโดยตรง มันอาจจะอยู่ที่โมเดลธุรกิจด้วย เพราะเราไม่ได้เป็นแบรนด์อย่าง CARTIER หรือ Tiffany & Co ที่อยากขายให้คนหมื่นล้านทั่วไปจนต้องจ้างเซเลบริตี้ 

“ฟี่คิดว่าเอาทุนไปลงกับชิ้นงานและวัสดุน่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า ถ้าเครื่องประดับของเรางั้นๆ แล้วเราจ่ายดาราเพื่อให้เขาใส่ เขาก็ใส่ถ่ายรูปทีหนึ่งแล้วอาจจะไม่ใส่อีกเลย มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ แล้วอะไรที่จะทำให้เขาใส่ได้ทุกครั้งล่ะ เราคงจ่ายเงินให้ทุกครั้งไม่ได้หรอก เขาต้องชอบและอยากได้เองจริงๆ”

KHONG วางจำหน่ายทั้งในช่องทางออนไลน์และช็อป PACHAREE Showroom โดยโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยเป็นหลัก  และในอนาคตโซฟี่มีแผนจะขยับขยายไปหาลูกค้าต่างประเทศอีกด้วย

พอบอกอย่างนั้น เราก็สงสัยต่อว่าแบรนด์ต้องทำการตลาดหนักเพื่อสื่อสารกับลูกค้าให้หนักกว่าเดิมไหม โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศที่อาจไม่ได้คุ้นชินกับความเชื่อเหล่านี้เลย

“สำหรับลูกค้าไทย สิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารกับลูกค้าคือเราไม่ได้ทำ black magic อะไรอย่างนั้นนะ เคยมีคนถามเข้ามาเยอะเหมือนกัน แต่เรายืนยันว่าเราอยากทำในสิ่งที่เป็นพลังบวก ไม่ใช่สิ่งที่จะนำความเชื่อไปทำร้ายใคร ความท้าทายมันอยู่ตรงนั้นมากกว่า

“ส่วนลูกค้าต่างประเทศ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการทำคอนเทนต์ออนไลน์ ในโปรเจกต์นี้ฟี่มานั่งแก้ก๊อบปี้เองเลย สองโจทย์ของฟี่คือทำยังไงให้คอนเทนต์เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และสั้นพอที่ลูกค้าต่างประเทศอ่านแล้วเข้าใจได้เลย อีกอย่างคือเขาต้องรู้สึกว่าเป็นของมีค่าทางศาสนา ถ้าเขาได้ไปเขาจะต้อง respectful ในเครื่องประดับชิ้นนี้”

Personal Value

P ที่ 5 ของ Khong คือ Personal Value

“สำหรับฟี่ ต่อให้แบรนด์จ่ายเงินทำการตลาดขนาดไหน ถ้าผู้บริโภคไม่ได้รู้สึกว่าสินค้าของเรามีคุณค่า เขาก็อาจจะไม่ใส่ซ้ำหรือซื้อซ้ำในครั้งต่อไป เพราะฉะนั้น personal value จึงสำคัญมาก

“personal value เกิดจากอะไร มันก็เกิดจากงานคราฟต์ที่เราใส่เข้าไปในเครื่องประดับ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าชิ้นนี้ของเขาซึ่งเป็นงานแกะมือ ถ้ามาเทียบกับเครื่องประดับของเพื่อนมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว หรืออาจจะเกิดจากการที่เขาค้นพบแบรนด์นี้ด้วยตัวเอง หรือการที่เขาได้รับเป็นของขวัญจากคนอื่น สำหรับฟี่ personal value เป็นคีย์เวิร์ดเดียวที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำ” โซฟี่ยิ้ม

“โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฟี่ดาวน์มาก ตั้งคำถามว่าฟี่อยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร KHONG ทำให้ฟี่เห็นว่าชีวิตมันมีความหมาย เห็นว่าตัวเองสามารถมอบอะไรให้กับโลกนี้ได้ ซึ่งก็คือการออกแบบเครื่องประดับที่เข้าถึงคนง่าย สวยงาม ใส่แล้วมั่นใจ มากกว่านั้น โปรเจกต์นี้ทำให้ฟี่กลับมามีความเชื่อในตัวเองอีกครั้ง”

คุยกับแบรนด์ Qanarn ถึงหลักคิดของเส้นขนานและการผสานเรขาคณิตกับวัฒนธรรมไทยให้ร่วมสมัย

‘Hey I’m not a Chair. That one is it!!!’

‘If you sit here, our designer might cry.’

นี่คือข้อความขี้เล่นที่สกรีนอยู่บนโต๊ะเตี้ยทรงสามเหลี่ยมของแบรนด์ Qanarn ซึ่งตั้งเป็นเซตคู่กับเก้าอี้เอาต์ดอร์ ที่โดดเด่นด้วยเส้นสายเรขาคณิตเฉียบคม ข้อความเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่เรียกรอยยิ้ม แต่ยังทำหน้าที่เตือนให้รู้ว่า “นี่ไม่ใช่เก้าอี้นะ” เพราะด้วยความเตี้ยและรูปทรงที่เรียบง่าย ทำให้หลายคนเผลอนั่งไปโดยไม่รู้ตัว

ที่โต๊ะยังติด QR code ให้แสกนเพื่ออ่านเรื่องราวเบื้องหลังของแบรนด์ ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Qanarn ไม่ได้ออกแบบแค่เพื่อนั่ง แต่เพื่อให้สนทนาเบาๆ กับผู้คนอย่างมีชั้นเชิง

แม้ความจริงแล้วเก้าอี้และโต๊ะเอาต์ดอร์เหล่านี้จะพูดไม่ได้ แต่กลับสามารถเรียกแขกและสื่อสารกับผู้คนที่แวะเวียนผ่านไปมาด้วยดีไซน์ได้อย่างน่าประหลาด ทั้งจากลุคขี้เล่นที่ใช้ฟอร์มเล่นกับรูปทรงเรขาคณิต แต่ยังคงความเรียบง่าย กลมกลืนกับแสง เงา ความร่มรื่น และความเงียบของพื้นที่โดยรอบที่ Velaa Sindhorn Village Langsuan ซึ่งเรามาเยือนวันนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เบื้องหลังการออกแบบแบรนด์ Qanarn (ขนาน) โดยสองนักออกแบบรุ่นใหม่ ขนุน–ตรัยวิศว์ พงษ์บูรณกิจ และกานต์–กานต์ เทพสถิตย์ เกิดจากแนวคิดที่ผสานกันระหว่างเส้นสายและความสัมพันธ์ ในแง่หนึ่ง ทั้งคู่ใช้เรขาคณิตเป็นภาษาหลักของการออกแบบ ทั้งขีดเส้น เสริมมุม สร้างฟอร์ม

อีกแง่หนึ่ง พวกเขายังออกแบบวิธีอยู่ร่วมกันท่ามกลางความชอบที่ต่างกันแบบไร้ฟอร์ม โดยยึดหลักคิดว่า ความต่างไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง แต่สามารถแลกเปลี่ยนกันและหาเส้นทางที่ขนานไปด้วยกันได้

ทั้งคู่เลือกใช้อะลูมิเนียมและเหล็กเป็นวัสดุหลักของเฟอร์นิเจอร์ เพราะเชื่อว่ายิ่งวัสดุน้อยเท่าไหร่ เอกลักษณ์ของดีไซน์ก็ยิ่งสื่อสารออกมาได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดทั้งหมดนี้รวมกันออกมาเป็นคอนเซปต์ Cultural Geometry การออกแบบที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันผ่านฟอร์มที่เรียบง่ายแต่มีความหมาย ด้วยความเชื่อว่าดีไซน์ที่ดีไม่ใช่แค่สิ่งที่เรามองเห็น แต่คือสิ่งที่อยู่ร่วมกับชีวิตเราได้อย่างกลมกลืนที่สุด

Product
Pop Cultural Geometry

ขนุนเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งธุรกิจของตัวเองร่วมกับเพื่อนในวัย 20 ปลายว่า ที่มาที่ไปคือการอยากออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไทยคอนเซปต์ร่วมสมัยให้ดูสนุกขึ้น ป๊อปขึ้น เด็กขึ้น ผ่านวัสดุ สีสัน และสไตล์ที่ฉีกออกจากเฟอร์นิเจอร์ไทยในตลาดซึ่งมักมีภาพลักษณ์ค่อนข้างจริงจัง และมีความเป็นผู้ใหญ่ 

ทั้งขนุนและกานต์ต่างเติบโตมาในย่านเมืองเก่าและมีพื้นฐานการทำงานด้านการออกแบบภายใน จึงทำให้คุ้นชินกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมไทยที่ปรากฏอยู่รอบตัวตั้งแต่เด็ก กานต์เล่าย้อนว่า

“พวกผมเรียนสวนกุหลาบและมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนใหญ่การใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของเราก็จะอยู่ในเขตพระนคร จึงได้เห็นองค์ประกอบที่น่าสนใจมาตั้งแต่เด็ก เลยอยากเอาสิ่งเหล่านี้มาเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังด้วย”

ขนุนยกตัวอย่างว่าองค์ประกอบทางเรขาคณิตในสถาปัตยกรรมไทยที่ทั้งคู่สังเกตเห็น เช่น จั่วของวัด ช่องลม และรั้วของป้อมเมืองที่มีรูปทรงโค้งเว้าและดีไซน์เฉพาะตัว ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หยิบรูปทรงเหล่านี้มาพัฒนาเป็นฟอร์มใหม่ในงานออกแบบ เพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรมดั้งเดิมให้กลายเป็นความร่วมสมัย

“งานออกแบบไทยยังมีรูปทรงที่น่าเอามาพัฒนาต่ออีกเยอะ มีทั้งวงกลมไตรภูมิ รูปทรงหกเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม ย่อมุม ต่อไปเราอาจทำผลงานจากรูปทรง geometry ที่ซับซ้อนเพื่อพัฒนาขึ้นไปอีก”

แรงบันดาลใจเหล่านี้เองที่กลายมาเป็นจุดตั้งต้นของคอนเซปต์ Cultural Geometry ที่ใช้เรขาคณิตเป็นภาษาหลักในการสื่อสารวัฒนธรรม แต่พูดด้วยภาษาการออกแบบของคนรุ่นใหม่ท่ีมีวิธีเล่าให้ป๊อปขึ้น แน่นอนว่าเอกลักษณ์ในการออกแบบย่อมมาจากความชอบในงานดีไซน์ของกานต์ที่สนใจกราฟิกรูปทรงสะดุดตาที่ซ่อนกิมมิกความฉูดฉาดเอาไว้

“ผมชอบความฉูดฉาด ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องสีสันเท่านั้น แต่หมายถึงรูปทรงด้วย ความเป็นเรขาคณิตที่พวกเราพูดถึงคือการหยิบจับฟอร์มเรขาคณิตมาใช้ แล้วตัดทอนมันให้น้อยที่สุด เพื่อให้เรายังสามารถเห็นรูปทรงนั้น แล้วเชื่อมโยงกับเรื่องที่เราต้องการเล่าได้” 

The Line That Binds Parallels

เพื่อให้เห็นภาพแนวคิดของแบรนด์ชัดขึ้น ขนุนเล่าถึงเบื้องหลังการออกแบบคอลเลกชั่นแรกภายใต้ชื่อ Qidi ซึ่งมีที่มาจากชื่อหมอนขิด (Khit) ซึ่งหลายบ้านมักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

จากโจทย์ที่อยากคงรากวัฒนธรรมเดิมไว้ ขนุนอธิบายว่า เขาไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงฟอร์มของหมอนขิดหรือที่นั่งเบาะพับแต่อย่างใด แต่ต้องการสร้างโครงโลหะที่สามารถรองรับและโอบอุ้มรูปทรงเดิมที่มีอยู่แล้วให้สามารถใช้งานในแบบใหม่ที่ร่วมสมัยขึ้น

“เราไม่อยากไปแก้ฟอร์มของหมอนขิดกับที่นอนเบาะพับ แค่ออกแบบโครงเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับสองสิ่งนั้นไว้ ทำโครงที่เอาหมอนสอดเข้าไปเพื่อให้รับกับที่นั่งพอดีได้ ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นสององค์ประกอบที่สื่อสารกันโดยตรง หมอนขิดคือวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมเลยที่เราไม่ไปแก้มัน แล้วเราก็แค่ทำเส้นโลหะที่เชื่อมสองสิ่งนี้ไว้”

การออกแบบของ Qidi Collection ไม่ได้คิดแค่เพียงภาพสุดท้ายที่ออกมาดูดีเท่านั้น แต่ยังคิดไปถึงการผลิตจริงในโรงงาน ขนุนอธิบายว่ามีการวางแผนเชิงเทคนิคตั้งแต่ต้นเพื่อลดต้นทุนและความซับซ้อนของการผลิตให้น้อยที่สุด

“เราไม่อยากทำให้การผลิตยากมาก พยายามออกแบบให้เอียงเป็นองศาเดียวกัน โรงงานจะได้ตัดแบบรอบเดียวได้ ใช้มุมเดียวกันในการตัดได้กับหลายจุด ซึ่งหลักการเรื่อง geometry จะเอาไปใช้ในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ด้วย”

เก้าอี้แต่ละประเภทจึงออกแบบฟอร์มให้สอดคล้องกับฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมทั้งบาลานซ์ความรู้สึกสวยงามและสบายเมื่อนั่งจริง 

“อย่าง lounge chair มีองศาการเอียงที่สบายคือประมาณ 115-120 องศา เพราะฉะนั้นก็จะออกมาเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าได้ แต่พอเราทำ dining chair มันต้องชันขึ้นไปอีกเพื่อนั่งกินข้าว ก็เลยเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่เท่ากัน 2 ด้าน อีกด้านหนึ่งจะเอียงไม่เท่ากันเพื่อให้มันชันขึ้น แต่เราก็มีวิธีการหลอกสายตาให้ดูใกล้เคียงกับสามเหลี่ยมด้านเท่าให้มากที่สุด” ขนุนอธิบายถึงการออกแบบงานดีไซน์ให้ออกมาสวย

กานต์เสริมถึงการพัฒนาสินค้าจากฟีดแบ็กของลูกค้าว่า ตอนแรกทั้งคู่เริ่มออกแบบสินค้าจากเก้าอี้ขนาดใหญ่เป็นอย่างแรก แล้วค่อยออกแบบเก้าอี้ขนาดเล็กลงตามมาจากผลตอบรับจากลูกค้าจริง

“เฟสแรกพวกเราทำ lounge chair อะลูมิเนียมไซส์ใหญ่ เพื่อให้นั่ง lay down สบาย แต่พอเราผลิตล็อตแรกไปแล้วก็ได้รับฟีดแบ็กมาว่ามันจะเอาไปฟิตกับพื้นที่ได้ยากนิดหนึ่ง เราก็เลยพัฒนาต่อให้กลายเป็นตัว dining chair ที่ไซซ์ไม่ใหญ่เว่อร์จนเกินไป”

dining chair เวอร์ชั่นใหม่จึงมีการปรับหลายจุดเพื่อตอบโจทย์ฟังก์ชั่นและการใช้งานในพื้นที่จำกัด ทั้งลดน้ำหนัก ลดขนาด และเปลี่ยนวัสดุจากเหล็กเป็นอะลูมิเนียม เรียกได้ว่ามีความบางลงและราคาเข้าถึงง่ายขึ้น

นอกจากเก้าอี้ที่มีให้เลือกหลายฟังก์ชั่นแล้ว Qidi Collection ยังออกแบบให้ใช้เข้าคู่กับโต๊ะอย่างลงตัว ในแง่ของการใช้สี ทั้งคู่เลือกใช้ส้มเป็นสีหลักของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำที่ชัดเจน ซึ่งพิจารณาจากทั้งด้านจิตวิทยาและมู้ดแอนด์โทนของสถานที่จริงเวลาตั้งสินค้า

“สีหลักที่เราจะเอามาใช้ต้องเป็นสีที่เป็นพระเอกได้ แมตช์กับสถานที่ได้ง่าย ตอนเด็กๆ เราจะรู้สึกว่าสีแดงเป็นสีพระเอกจากการ์ตูนที่ดู อย่างมาสก​์ไรเดอร์และพาวเวอร์เรนเจอร์ แต่มันเป็นสีที่จริงจังเกินไป ตั้งแต่เริ่ม เราก็จินตนาการกันว่าเวลาไปถ่ายรูปเฟอร์นิเจอร์กับสถานที่ต่างๆ น่าจะต้องมีสีเขียวเป็นหลักอยู่แล้วในฉาก ถ้าเป็นเก้าอี้เอาต์ดอร์สีส้มเจอกับสีเขียวน่าจะป๊อป” ขนุนเล่า

สีส้มจึงกลายเป็นโทนหลักที่โดดเด่นพอให้น่าจดจำได้ แต่ไม่แย่งซีนเกินไปจากพื้นที่รอบข้าง

Price
Price in the Middle Lane

จากประสบการณ์ตรงของทั้งคู่ในการทำงานออกแบบภายในก่อนลุกขึ้นมาทำแบรนด์ของตัวเอง ขนุนบอกว่าการเห็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์มามากทำให้เห็นโอกาสทำธุรกิจจากช่องว่างของตลาด

“เวลาทำงานออกแบบภายใน เราจะเป็นคนเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้าด้วย เราจะเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ในตลาดมีแบบไหนบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ต่างชาติ และแบรนด์จีนที่ก๊อปต่างชาติซึ่งเป็นอีกเทียร์หนึ่ง แล้วก็จะมีแบรนด์ไทยอีกกลุ่มหนึ่ง มองว่าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทยสไตล์แบบนี้ยังไม่มีในตลาด เลยรู้สึกว่าน่าลองทำดู”

แบรนด์ Qanarn จึงวางโพซิชั่นให้อยู่กึ่งกลางระหว่างแบรนด์ยุโรปและแบรนด์จีน ซึ่งส่งผลต่อหลักคิดในการตั้งราคาของแบรนด์ที่มีช่วงราคาตั้งแต่หลักหลายพันปลายๆ จนถึงหลักหมื่น

“เราจะตั้งราคาสินค้าตัวเองให้สูงกว่าแบรนด์จีนแต่ยังต่ำกว่าแบรนด์ยุโรป เช่น ถ้าสินค้าประเภทนี้ของแบรนด์จีนราคา 8,000 บาท ส่วนสินค้าประเภทเดียวกันของแบรนด์ยุโรปราคา 18,000 บาท สินค้าของเราก็อาจจะมีราคาอยู่ที่ 12,000 บาท”

ช่วงเริ่มต้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์เน้นไปที่โครงการขนาดกลาง เช่น โรงแรมหรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์จัดจ้าน มีเอกลักษณ์และใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตาม ขนุนยอมรับว่า การเริ่มต้นด้วยสินค้าขนาดใหญ่อย่างเฟอร์นิเจอร์ทำให้กลุ่มลูกค้าทั่วไปอาจเข้าถึงได้ยากอยู่บ้าง โดยเฉพาะสำหรับคนที่อยากอุดหนุนหรืออยากลองใช้งานชิ้นแรกจากแบรนด์

“ต้องยอมรับว่ามันเข้าถึงยากนิดๆ เพราะว่าสินค้าชิ้นหนึ่งก็มีราคาสูง มันไม่ใช่ชิ้นเล็กๆ ในราคา 1,000–2,000 บาทที่เพื่อนจะอุดหนุนได้ง่าย ต่อไปเลยอยากออกสินค้าหมวดของแต่งบ้าน เช่น แจกัน หรือ art piece สำหรับวางบนโต๊ะกินข้าวหรือในครัว accessories ต่างๆ ที่คงคอนเซ็ปต์เดิม”

จากออกแบบเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่สู่ home décor ชิ้นเล็ก นี่คือทิศทางการออกแบบก้าวต่อไปของแบรนด์ Qanarn ที่ไม่ได้อยากเป็นแค่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แต่อยากเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงง่าย

เมื่อถามถึงความท้าทายในการทำแบรนด์ทั้งในมุมการออกแบบและการทำธุรกิจ ขนุนตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ความยากที่แท้จริงไม่ใช่การทำงานร่วมกันระหว่างทีมผู้ร่วมก่อตั้งสองคน แต่เป็นการควบคุมการผลิต

“สมมุติเราอยากได้ดีไซน์แบบนี้แต่เราต้องการคุมต้นทุนเท่านี้ ก็ต้องคิดว่าเราจะมาพัฒนายังไงต่อ การที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานเองนี่แหละที่ผมว่าเป็นสิ่งที่ยากในพาร์ตการออกแบบที่สุด ถ้าเทียบกับเรื่องการทะเลาะกันระหว่างเราสองคนนี่มันเป็นเรื่องเล็กไปเลย”

Place & Promotion 
In Rhythm with the Space

ความสนุกหลังจากออกคอลเลกชั่นแรกๆ ของ Qanarn ที่มีทั้งอาร์มแชร์ โซฟา side table และ coffee table ฯลฯ คือการเห็นเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ไปจัดวางหรือดิสเพลย์ที่คอมมูนิตี้สเปซต่างๆ ในบรรยากาศที่ต่างกัน เช่นที่ Velaa Sindhorn Village Langsuan ณ ใจกลางเมืองซึ่งเน้นบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น ก็เลือกใช้เก้าอี้และโต๊ะสี Polar White เพื่อช่วยเสริมความสงบของพื้นที่โดยไม่แย่งซีนธรรมชาติรอบข้าง

ในขณะที่ Gump’s Ari ซึ่งรวมคอนเซปต์สโตร์ ร้านอาหาร และร้านขนมสำหรับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่เด็กลงมา ได้เลือกตั้งเฟอร์นิเจอร์สี Lemon Yellow, Silver Olive และ Polar White คละกัน เพื่อสร้างความสดใสให้พื้นที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

ส่วนที่ โรงแรม Miami โรงแรมบูติกที่เจ้าของโรงแรมเป็นผู้คัดเลือกเฟอร์นิเจอร์เอง ได้เลือกใช้ Poolside Table สี Sun Pop ตั้งริมสระว่ายน้ำเพื่อเติมบรรยากาศให้เหมาะกับช่วงซัมเมอร์

ขนุนอธิบายการเลือกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามสเปซต่างๆ ว่า 

“ด้วยการออกแบบที่ใช้วัสดุเดียวทั้งตัวเป็นโลหะ ทำให้เฟอร์นิเจอร์เราเข้ากับสเปซต่างๆ ได้ง่าย แต่ละสถานที่ที่เราเลือกวางมีมู้ด ฟีลลิ่ง และกลุ่มผู้คนที่ไปไม่เหมือนกันเลย เพื่อให้เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวกันสามารถแมตช์กับหลายที่ได้”

แม้จะเป็นนักออกแบบภายใน แต่แบรนด์ Qanarn เลือกเริ่มต้นจากการทำเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ ซึ่งดูเหมือนสวนทางกับความคาดหวังทั่วไปที่ว่าหากถนัดงานอินทีเรียร์ก็ควรเริ่มจากสินค้าอินดอร์

“ความจริงถ้าทำเฟอร์นิเจอร์ควรเริ่มจากอินดอร์ แต่ก่อนหน้านี้ผมทำงานในออฟฟิศเกี่ยวกับรีเทล พบว่าส่วนใหญ่เฟอร์นิเจอร์ในห้างหรือในส่วนกลางห้าง ถ้าไม่ได้ต้องนั่งนานมาก ตอนนี้หลายที่เริ่มใช้เฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ ในห้างแทนแล้ว เพราะมันดูแลง่าย ลูกค้าทำอะไรหกก็ไม่ค่อยเป็นไร เพราะฉะนั้นการทำเฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ของผมก็ไม่ได้จะใช้เพื่อเอาต์ดอร์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์”

เฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ของ Qanarn จึงไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่กลางแจ้ง แต่สามารถนำมาใช้ในอินดอร์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่เน้นการนั่งระยะยาว เช่น โซนพักคอย พื้นที่โชว์สินค้า หรือโถงต้อนรับ

กลยุทธ์การขยายตลาดของแบรนด์ยังครอบคลุมทั้งการเจาะกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังแต่งสวน ร้านอาหาร หรือโรงแรม โดยมีการจัด Mini Exhibition ที่ ODS Store ใน Siam Discovery เพื่อให้ลูกค้าเห็นของจริงและซื้อได้ทันที 

ขนุนยังเล่าว่าแบรนด์กำลังมองหาพื้นที่โชว์เคสเพิ่มเติมเพื่อให้เฟอร์นิเจอร์ของ Qanarn ไปปรากฏในหลากหลายบริบทและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่มากขึ้น

“นักออกแบบเป็นกลุ่มลูกค้าถัดไปที่เรากำลังจะเข้าหา เราอยากนำเสนอแบรนด์ของเราให้บริษัทออกแบบต่างๆ รู้จักไว้เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ เพราะตอนทำงานเป็นนักออกแบบภายในก็จะมีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เข้ามาหาที่ออฟฟิศอยู่แล้ว เราก็ใช้วิธีการเดียวกัน”

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ก่อนจะเริ่มโฟกัสการตลาดออนไลน์ ทีมตั้งใจสร้างพอร์ตโฟลิโอให้แน่นด้วยการวางสินค้าจริงในสถานที่จริงก่อน เพราะเชื่อว่าการเห็นเฟอร์นิเจอร์ในบริบทจริงมีอิมแพกต์มากกว่าภาพถ่าย

“เราเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ตามสถานที่ต่างๆ ก่อน เพราะเชื่อว่าเฟอร์นิเจอร์ไม่เหมือนของชิ้นเล็กอื่นๆ ที่ลูกค้าเห็นแต่ในออนไลน์หรือเห็นภาพแล้วซื้อได้เลย อยากให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างว่าพอตั้งอยู่ในสเปซต่างๆ แล้วเป็นยังไง เราเลยเลือกสถานที่หลากหลายที่มีความคอนทราสต์กันแต่ยังเสริมกันได้”

สำหรับ Qanarn การออกแบบเฟอร์นิเจอร์จึงไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ชิ้นงาน แต่คือการสร้างบทสนทนา ระหว่างวัฒนธรรม รูปทรง และไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ที่ไม่จำกัดอยู่แค่อินดอร์หรือเอาต์ดอร์ แต่สามารถอยู่ร่วมกับพื้นที่ได้แบบยืดหยุ่น

Parallel

แม้จะร่วมก่อตั้งแบรนด์ด้วยกัน แต่ขนุนและกานต์ต่างมีความชอบและสไตล์การออกแบบที่แตกต่างกันพอสมควร ฝั่งขนุนชื่นชอบดีไซน์ที่เรียบ นิ่ง และมินิมอลแบบญี่ปุ่น ส่วนกานต์ชอบความสนุกของรูปทรงเรขาคณิตที่โดดเด่น และมีฟอร์มชัดเจนในงานออกแบบ

แทนที่จะปล่อยให้ความต่างกลายเป็นข้อขัดแย้ง ทั้งคู่กลับเลือกใช้ความต่างนั้นเป็น ‘เส้นขนาน’ ที่สามารถเดินไปด้วยกันได้ภายใต้แนวคิดร่วมอย่าง Parallel Design การหาความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายและความขี้เล่น โดยใช้วัสดุที่ดูนิ่ง เช่น อะลูมิเนียม มาผสานกับฟอร์มเรขาคณิตเฉียบคม เพื่อให้เกิดความรู้สึกใหม่ในพื้นที่ โดยไม่หลุดจากคอนเซปต์หลักของแบรนด์ที่ทั้งสองยึดถือ

ขนุนเล่าว่า “สิ่งแรกผมกับกานต์ทำร่วมกันคือ หาจุดกึ่งกลางระหว่างเรา 2 คน ถ้าทำตามสิ่งที่ผมชอบทั้งหมดก็เหมือนกับทำตามใจตัวเองจนเกินไป หรือถ้าคนใดคนหนึ่งทำในสไตล์ของตัวเอง ก็จะเหมือนกับทำแค่สิ่งที่ตัวเองชอบ เราก็เลยลองมาหาจุดกึ่งกลางกัน”

การหาสไตล์ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างทั้งคู่ทำให้เกิดแนวทางการออกแบบที่ไม่ใช่แค่ฟิวชั่นทางรสนิยมแต่กลายเป็น conceptual design ที่มีแกนร่วมคือ cultural geometry ซึ่งหยิบวัฒนธรรมไทยมาเล่าใหม่ด้วยฟอร์มเรขาคณิตในภาษาที่ร่วมสมัย

ทั้งคู่มองว่า เฟอร์นิเจอร์ของ Qanarn สามารถสะท้อนหลักคิดเรื่อง ‘เส้นขนาน’ ที่อยู่ในทุกมิติของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน

ขนานระหว่างความเรียบง่ายกับความสนุกขี้เล่น

ขนานระหว่างความเป็นไทยกับความโมเดิร์น

ขนานระหว่างนักออกแบบสองคนที่มีสไตล์ต่างกันสุดขั้ว แต่เข้าใจและเคารพกันอย่างลึกซึ้ง

และแม้ในทางคณิตศาสตร์ เส้นขนานจะไม่มีวันบรรจบกัน แต่สำหรับแบรนด์ Qanarn เส้นขนานคือสองเส้นที่เลือกเดินเคียงกันไปอย่างมั่นคงด้วยจังหวะเดียวกัน

ขอขอบคุณสถานที่จาก Velaa Sindhorn Village Langsuan

และรูปเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Qanarn