แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่สมรรถนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขายแต่เพียงเท่านั้น เพราะรากฐานของการออกแบบเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกลับไปสู่วันแรกที่ Saab ตัดสินใจจะผลิตเครื่องบินรบเมื่อ 88 ปีก่อน ซึ่งไม่ใช่การผลิตเครื่องบินที่ดีที่สุด ไม่ได้ผลิตเพื่อแข่งขันกับใคร แต่ผลิตเพื่อป้องกันภัยในยามสงครามนั่นเอง
จากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตเครื่องบินให้กองทัพอากาศสวีเดน จนถึงวันนี้ที่เครื่องบินของ Saab ถูกส่งไปประจำการอยู่ทั่วโลก คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จะพาไปดูเส้นทางการเติบโตของบริษัทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย จนกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความมั่นคงอย่างในทุกวันนี้
ประเทศที่ไม่เข้าร่วมสงคราม
ชื่อบริษัท Saab หรือ Svenska Aeroplan Aktiebolaget แปลตรงตัวว่า Swedish Aeroplane Company บริษัทอากาศยานและเทคโนโลยีความมั่นคงสัญชาติสวีเดนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นอันแสนเรียบง่ายคือ เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองของสวีเดนที่เคยเป็นประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคยุโรปมาร่วมร้อยปีและวางตัวเป็นกลางทางการเมืองมาอย่างยาวนาน
ในปี 1937 Bofors บริษัทเหล็กและผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ ร่วมกับ Ab Ars บริษัทลูกในเครือ Electrolux Group ได้ก่อตั้ง Saab ขึ้นที่เมือง Trollhättan โดยได้มีการควบรวมเอาบริษัท Nohab Flygmotorfabrik ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินมาด้วย
แต่หลังจากที่รัฐสภาได้ประกาศว่าต้องการเครื่องบินรบฝูงใหญ่สำหรับกองทัพอากาศ ไม่ได้มีแค่ Saab เท่านั้นที่หวังจะได้รับออร์เดอร์เครื่องบินจากลูกค้ารายใหญ่ในครั้งนี้
คู่แข่งคนสำคัญของ Saab ในเวลานั้นได้แก่บริษัท ASJA ที่มีประวัติการต่อเครื่องบินมาอย่างยาวนาน ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างก็ได้รับคำเชิญให้เข้าเจรจา ที่นำไปสู่การจัดตั้ง joint company ร่วมกันในนาม AB Förenade Flygverkstäder (AFF) เพื่อพัฒนาและออกแบบเครื่องบินที่กองทัพอากาศสวีเดนต้องการ
อีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะทำให้ Saab กลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มแมสทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีจุดเริ่มต้นแสนบ้าระห่ำคือการส่งวิศวกรเครื่องบินสิบกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำรถยนต์มาก่อนมาออกแบบรถยนต์ใหม่ให้แก่บริษัท
ผลผลิตของความท้าทายในครั้งนั้นได้แก่ Ursaab หรือโปรโตไทป์ของ Saab 92 รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอากาศยาน จิตวิญญาณดั้งเดิมของ Saab โดยตัวเลขรุ่น 92 นั้นก็เป็นเลขที่รันต่อมาจากเครื่องบินรุ่น Saab 91
เอกลักษณ์ของรถยนต์ Saab 92 คือรูปโฉมที่ดูเพรียวและลู่ลมตามหลัก aerodynamic คล้ายกันกับเครื่องบิน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงฉุด (drag coefficent) อยู่ที่เพียง 0.30 เท่านั้น เป็นดีไซน์ที่ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ Saab 92 สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ Saab 92 ยังเป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งพบได้ยากในตลาดขณะนั้น ถือเป็นจุดขายที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ขับขี่ที่อาศัยในสภาพภูมิอากาศหนาวจัดในแถบนอร์ดิก เนื่องจากรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าจะสามารถกระจายน้ำหนักได้ดี และควบคุมได้ง่ายในเวลาที่พื้นถนนลื่นนั่นเอง
Saab Automobile
เมื่อแผนกรถยนต์ของ Saab ประสบความสำเร็จและเริ่มเป็นที่รู้จักในแง่ดีไซน์และสมรรถนะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการเจาะตลาดในสหรัฐอเมริกา โดยตัดสินใจนำ Saab 93 และ Sonett I ไปเปิดตัวที่งาน New York Auto Show ในปี 1956
รถยนต์โมเดลใหม่ๆ ของ Saab ที่เปิดตัวหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฟังก์ชั่นที่น่าสนใจและแปลกใหม่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมาแล้วในตัวรถ, ก้านปัดน้ำฝนบริเวณไฟหน้า หรือระบบฮีตเตอร์อุ่นเบาะที่นั่งในรถ รวมถึงการเปิดตัวรถ Saab 900 รุ่นไอคอนิกของแบรนด์ ซึ่งมีไลน์ Saab 900 Turbo รถยนต์เทอร์โบชาร์จจิ้งรุ่นแรกของแบรนด์
กระทั่งในปี 1989 ที่แผนกยานยนต์ได้มีการแยกตัวออกมาเป็นบริษัท Saab Automobile โดยมีบริษัท General Motors (GM) จากสหรัฐอเมริกาเข้าถือหุ้น 50% ทำให้ Saab Automobile สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ของอเมริกัน รวมถึงมีแรงสนับสนุนด้านการเงิน การกระจายสินค้า
และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา GM ก็ได้เข้าถือครองหุ้นทั้งหมด ทำให้บริษัท Saab เดิมที่ดำเนินงานในฝั่ง Aerospace and Defense กับแผนก Automobile ไม่มีความเกี่ยวข้องกันนับแต่นั้น
การเข้ามาของ GM สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับงานออกแบบของ Saab Automobile ในหลายส่วน อาจด้วยมุมมองทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง สังเกตว่าดีไซน์ที่เคยกล้าบ้าบิ่น โดดเด่น และลูกเล่นฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่มากับตัวรถ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาอย่างยาวนานดูจะจางหายไป จึงไม่น่าแปลกที่ยอดขายในยุคหลังของ Saab Automobile จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่เคย
กระทั่งปี 2011 Saab Automobile ประกาศล้มละลายและหยุดผลิตรถยนต์อย่างถาวร
Saab 35 DrakenSaab 37 Viggen
ความมั่นคงครบวงจร
ตรงกันข้ามกับฝั่ง Automobile เพราะงานออกแบบและผลิตเครื่องบินของ Saab ยังคงดำเนินการต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าอุปสงค์เครื่องบินรบจะลดลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อสงครามเย็นดำเนินต่อไป Saab ก็ยังคงพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น
Saab 29 Tunnan เครื่องบินเจ็ตสัญชาติสวีเดนลำแรก
Saab 32 Lansen เครื่องบินซูเปอร์โซนิกสัญชาติสวีเดนลำแรก
Saab 35 Draken เครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียงถึง 2 เท่า ถูกใช้งานในหลายประเทศ
Saab 37 Viggen เครื่องบินรบลำแรกของโลกที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์กลางดิจิทัลไปใช้
Saab 29 TunnanSaab 32 Lansen
และตั้งแต่ยุค 90s เป็นต้นมา Saab ก็ได้เข้าสู่ยุคของ Saab JAS 39 Gripen เครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์ (multi-role fighter) ที่ยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
Saab ระบุว่า Gripen คือเครื่องบินรบที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากที่สุดในโลก ด้วยการออกแบบแบบโมดูลาร์ ทำให้สามารถอัพเกรดและปรับปรุงให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ ปัจจุบันมีประจำการอยู่ในไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก
ทุกวันนี้ Saab ประกอบด้วยแผนกย่อยมากมาย ทำงานออกแบบและผลิตที่ครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงรอบด้าน โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่