Gaoii Store โชว์รูมเก้าอี้สุขภาพที่เจ้าของเป็นนักการยศาสตร์ สายออฟฟิศซินโดรมโดยเฉพาะ  

ยุคนี้ ไม่มีคนทำงานคนไหนไม่รู้จักโรคออฟฟิศซินโดรม

บางคนเป็นอยู่ บางคนรักษา บางคนป้องกัน เราต่างตามหาไอเทมมากมายมาทำให้การทำงานแต่ละวันของเราราบรื่นและไม่ปวดหลัง หนึ่งในนั้นคือเก้าอี้

ถ้าพิมพ์คำว่า ergonomic chair หรือเก้าอี้สุขภาพที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ในเสิร์ชเอนจิ้น สิ่งที่จะปรากฏขึ้นมาคือเก้าอี้หลากหลายรูปแบบที่แบรนด์ไทยแบรนด์เทศทำแข่งกันให้พรึ่บ เรนจ์ราคาเองที่กว้างมากตั้งแต่หลักพันไปจนเกือบๆ แตะหลักแสน บ่งบอกได้ดีว่าตลาดนี้แข่งขันกันดุดันแค่ไหน

ท่ามกลางแบรนด์เก้าอี้มากมาย Gaoii Store คือแบรนด์ที่นำเข้าเก้าอี้สุขภาพภาพระดับพรีเมียมที่ สยาม ธนาภรณ์ ก่อตั้งเมื่อ 10 ปีก่อน ด้วยสายตาที่มองเห็นโอกาสในเก้าอี้สุขภาพ ตั้งแต่ยุคที่คำว่า Ergonomics ยังไม่เป็นที่รู้จัก (และขายได้) มากเท่ายุคนี้ 

จุดเริ่มต้นจากการอยากได้เก้าอี้สุขภาพสักตัวไว้นั่ง ต่อยอดให้เขาสนใจจนเรียนต่อเป็นนักการยศาสตร์ สายออฟฟิศซินโดรมโดยเฉพาะ สุดท้ายก็ตัดสินใจทำธุรกิจนำเข้าเก้าอี้เพื่อสุขภาพระดับพรีเมียม จนสร้างช็อป GAOII Store ในซอยทองหล่อ 20 ที่ทุกวันนี้กลายมาเป็นที่พึ่งทางกาย (และทางใจ) สำหรับคนที่อยากรักษาและป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม 

แค่ก้าวเท้าเข้าไป สยามก็จะประเมินไลฟ์สไตล์ แนะนำเก้าอี้สุขภาพที่เหมาะสม  และอาจเปลี่ยนวิถีการทำงานของผู้ใช้ไปตลอดกาล

สิ่งที่น่าสนใจคือ Gaoii Store ไม่ใช่ช็อปที่เน้นเชียร์ให้ซื้อเก้าอี้สุขภาพราคาสูงๆ เพื่อขายให้ได้เยอะๆ แต่สยามยึดหลัก ‘ความจริงใจ’ กับลูกค้า และยึดถือประสบการณ์ที่ลูกค้าเป็นสำคัญ GAOII เชื่อในการคุยกันแบบตรงไปตรงมา ประเมินตามจริง เตือนกันได้ ถ้าลูกค้าไม่เหมาะกับเก้าอี้ตัวไหน หรือรีเควสต์ตัวที่ไม่เหมาะสมไป คนเป็นเจ้าของร้านก็จะไม่เชียร์ให้ซื้อ

“เป็นธุรกิจที่ฉีก ไม่เหมือนใคร และไม่ค่อยมีคนอยากทำหรอก” เขาบอกในวันที่เราเจอกัน 

อะไรที่ทำให้เขาพูดแบบนั้น และการแข่งขันของเก้าอี้สุขภาพในวันนี้เป็นยังไง เราชวนฟังคำตอบในบรรทัดต่อจากนี้

ทำไมคุณถึงบอกว่า ในตลาดนี้ไม่ค่อยมีคนอยากทำธุรกิจแบบที่คุณทำ

หนึ่ง–ลงทุนสูง สอง–เจ้าของต้องเรียนเกี่ยวกับการยศาสตร์ เฉพาะด้านนั้นๆ สาม เมื่อเรียนแล้วได้ใบเซอร์ฯ มาแล้ว ก็ไม่มีใครอยากจะไปเป็นลูกน้องคนอื่น อยากจะทำเอง

แต่เมืองไทยพอทำเองแล้วใช้ทุนสูง เพราะเก้าอี้ ergonomics ที่นี่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 15,900 ไปจนถึง 70,000 บาท แต่พอทำธุรกิจนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะมาเชียร์ขายเก้าอี้แพงกับลูกค้า มันขึ้นอยู่กับสรีระของเขาด้วย บางคนอยากจะได้เก้าอี้ตัวละ 40,000 กว่าบาท แต่ได้ตัวละ 16,000 กลับบ้านไป และราคาเหล่านี้จะถูกปรับขึ้นไปในแต่ละปี 

ย้อนกลับไป ทำไมคุณถึงชอบการยศาสตร์และอยากทำธุรกิจด้านนี้

ระหว่างเรียนปริญญาตรี ผมเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ตอนนั่งทำงานวิจัยผมก็นั่งนานมาก เพราะต้องอ่านเปเปอร์เป็นปึกๆ พอนั่งนานก็เริ่มเมื่อยหลัง เลยหาอ่านเกี่ยวกับเก้าอี้ที่ทำให้ไม่ปวดหลัง ซึ่งเกือบ 20 ปีก่อนมันก็มีไม่กี่แบรนด์ เช่น Steelcase, Herman Miller ผลิตที่อเมริกา ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 50,000-80,000 บาท

ตอนนั้นยังเรียนอยู่ผมก็ไม่มีปัญญาซื้อแน่นอน ไม่รู้ทำยังไงก็พยายามค้นหาเก้าอี้ ergonomics ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นแทน พอดีตอนนั้นมีเก้าอี้มือสองบางตัวที่ถูกส่งมาขายเมืองไทย ถ้าคนทั่วไปอาจจะดูไม่ออก แต่ผมดูเป็น ก็เสร็จผมเลย ผมขับรถไปที่นนทุบรี ซื้อเก้าอี้มือสองที่ราคาเต็ม 80,000 ในราคา 1,000 บาท นั่นคือเก้าอี้ตัวแรกที่ผมซื้อ

หลังจากนั้น ผมมีโอกาสไปเรียนที่อเมริกา และเริ่มเข้าสู่โลกของเก้าอี้ ergonomics อย่างเต็มตัว พอกลับมาก็ทำงานประจำเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โดยมีงานเสริมเป็นการนำเข้าเก้าอี้สุขภาพ ที่อยากทำเพราะย้อนกลับไปวันแรกๆ ราคาเก้าอี้ตัวละ 80,000 ยังติดอยู่ในใจ ผมคิดว่าถ้าเราทำให้ตัวเลขนั้นลดลงมาสักครึ่งหนึ่ง คนที่จับต้องได้คงมีมากขึ้น 

ณ เวลานั้น ตลาดเก้าอี้สุขภาพในเมืองไทยยังไม่บูมเท่าทุกวันนี้ คุณทำยังไงให้ลูกค้าสนใจ

ใช่ ที่เมืองไทยยังไม่มีใครทำแบบนี้เลย ช่วงแรกเริ่ม ผมนำเข้าเก้าอี้มือหนึ่งมาก่อน แต่ด้วยระยะเวลาที่กว่าจะเดินทางมาถึงก็หลายเดือน สั่งเยอะเงินก็ไปจม 

บังเอิญว่าตอนนั้นมีสำนักกฎหมายแห่งหนึ่งที่อยากขายเก้าอี้ต่อติดต่อผมมาพอดี ผมไปดูแล้วเห็นว่าราคาเต็มน่าจะราวๆ 60,000 แต่เขาขายตัวละ 1,000 บาท  ผมเลยขอเหมามาให้มากที่สุด แล้วขายลดราคาลงมาประมาณ 27,900 บาท 

ประกอบกับผมเน้นขายออนไลน์ ผมสอนคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จึงทำเว็บไซต์ของร้านขึ้นมาได้อย่างอลังการ ทำให้ลูกค้าคิดว่า โห ร้านเก้าอี้แบบนี้ก็มีเว็บไซต์ ทำให้ร้านเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นมา 

แล้วคุณเปิดแบรนด์ Gaoii Store ขึ้นมาตอนไหน

เมื่อ 10 ปีก่อน คือหลังจากขายเก้าอี้มือสองได้สิบปีกว่าๆ ผมก็เปิดแบรนด์ Gaoii Store ขึ้นมา 

คอนเซปต์ของแบรนด์นี้คือ ‘มาที่เดียวจบ’ เพราะอยากให้ที่นี่มีเก้าอี้สุขภาพทุกรุ่น มีทุกแบรนด์ที่อยู่ในระดับไฮเอนด์ สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือผมอยากกลับไปขายเก้าอี้มือหนึ่งด้วย และตัดสินใจว่าจะขายมือหนึ่งอย่างเดียวเลย เพราะถ้าขายเก้าอี้มือสองด้วย คนอาจจะคิดว่ากลัวว่าจะเอามาผสมกับเก้าอี้มือหนึ่งหรือเปล่า มันเลยต้องชัดเจน ส่วนเก้าอี้มือสองที่อยู่ในร้านนี้ก็กลายเป็นเก้าอี้ที่ให้ลูกค้าลองนั่งไป

เมื่อ 10 ปีก่อน ในเมืองไทยมีแบรนด์ที่ขายเก้าอี้เพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มพรีเมียมแค่ 2 เจ้าใหญ่ๆ คือ Modernform ที่ขาย Steelcase และ CHANINTR ที่นำเข้า Herman Miller ผมไม่คิดอะไรมาก สองบริษัทที่ว่ามาเขาเป็นบริษัทมหาชน ผมขอเป็นเบอร์สามก็ได้ แต่มันไม่ง่ายนะครับ

ไม่ง่ายยังไง

การจะขายแบรนด์พรีเมียมเหล่านี้ได้ มันไม่ใช่ว่าเราไปขอเขามาขายแล้วได้เลย อย่าง Steelcase ที่ผมดีลมาขายที่นี่ได้เพราะเป็นพาร์ตเนอร์กับ Modernform อยู่ เขารู้ว่าไลน์ธุรกิจของผมไม่ได้ทับกันกับเขาแถมยังช่วยเหลือเขาอีก เพราะลักษณะธุรกิจของเขาคือเน้นให้คนเดินเข้าช็อปแล้วช้อปปิ้งเหมือนไปช้อปปิ้งในห้าง 

แต่ธุรกิจของผมคือ เน้นให้คนเข้ามาขอคำปรึกษาว่าควรจะปรับอะไรในท่านั่งบ้าง แล้วค่อยเลือกเก้าอี้ให้ลูกค้า เพราะแบบนี้เราจึงเป็นพาร์ตเนอร์กันได้

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Gaoii Store คือกลุ่มไหน และตลาดของเก้าอี้สุขภาพเติบโตขึ้นบ้างไหมในปัจจุบัน

กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานออฟฟิศ ไปจนถึงระดับผู้บริหารที่สนใจเรื่อง health & wellness  ถ้าจะให้แบ่งอาจจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยากเปลี่ยนเก้าอี้เฉยๆ ร่างกายไม่ได้เป็นอะไร กลุ่มที่แพนิก เห็นคนอื่นเจ็บป่วยแล้วไม่อยากรอให้พัง เกิดเห็นความสำคัญของสุขภาพขึ้นมา กลุ่มสุดท้ายคือร่างกายพังเรียบร้อยแล้ว 

ส่วนตลาดเก้าอี้สุขภาพแบบพรีเมียมตอนนี้ คู่แข่งของเราก็ยังถือว่าน้อยมาก แต่คู่แข่งแต่ละคนก็มีทุนสูงแบบที่เราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว กฎของการรบของผมคือสู้ไม่ได้ก็เป็นเพื่อนกัน (หัวเราะ) 

แต่ถ้ามองในยังตลาดเก้าอี้สุขภาพโดยรวม ผมเห็นว่ามีหลายๆ แบรนด์เกิดขึ้นมา เป็นแบรนด์เก้าอี้สุขภาพที่ราคาจับต้องได้ ซึ่งตลาดนั้นน่าจะเป็น red ocean เรียบร้อยแล้ว 

พอเป็นลูกค้ากลุ่มนี้ คุณมีเกณฑ์ในการเลือกเก้าอี้เข้าร้านไหม เก้าอี้แบบไหนที่จะเลือกมาขาย และเก้าอี้แบบไหนที่จะไม่เลือก

เก้าอี้ที่นี่จะต้องเป็นเก้าอี้สุขภาพ (ergonomics chair) แท้ๆ 

คำว่าแท้ๆ หมายถึงเป็นเก้าอี้ที่ผ่านงานวิจัยมาแล้ว เขาจะมีดีไซน์และส่วนโค้งเว้าตามงานวิจัยเลย หากจะแบ่งเป็นประเภทก็แบ่งได้หลายแบบ 

เราจะแบ่งเป็น hard edge เก้าอี้ขอบแข็ง กับ soft edge เก้าอี้ขอบอ่อนก็ได้ หรืออาจจะแบ่งเป็นเก้าอี้แบบโฟมกับเก้าอี้แบบตาข่ายก็ได้ แต่ละแบบก็จะเหมาะกับคนที่มีอายุและการใช้งานที่แตกต่างกัน

อย่างที่คุณบอกว่า แรกๆ คุณขายออนไลน์เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีหน้าร้านแล้ว การมีหน้าร้านมันช่วยเสริมประสบการณ์ให้ลูกค้ายังไง

ธุรกิจของผมอาจจะแปลกอยู่อย่าง คือคนอื่นเขาเริ่มจากการสร้างหน้าร้าน แต่อยากลดต้นทุนเลยทำออนไลน์ แต่ของผมโตมาจากออนไลน์และอยากมีหน้าร้าน

การมีหน้าร้านช่วยให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่สิ่งที่ผมตั้งใจมากกว่านั้นคือ ที่นี่ไม่ได้ขายโปรดักต์ แต่ขายประสบการณ์ล้วนๆ 

การที่คนมาที่นี่ แน่นอนว่าเขาจะได้เก้าอี้กลับไป แต่กว่าที่เขาจะได้กลับไป เขาจะได้ประสบการณ์ฟิตติ้งกับเก้าอี้ที่ตอบคำถามว่า ‘ถ้านั่งทำงานลักษณะนี้จะดีต่อเขาไหม’ เราจะเป็นตัวกลางที่บอกเขาว่าได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่แค่แนะนำเรื่องเก้าอี้ แต่แนะนำไปถึงเรื่องจอคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน ความสูงของที่รองเท้า เป็นต้น

10 ปีที่ผ่านมา อะไรคือแนวคิดทางธุรกิจที่อยู่กับ Gaoii มาตลอด

ความตรงไปตรงมา เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ต่อรองไม่ได้ เหมือนเป็นเบาหวานแล้วต่อรองหมอว่าอยากกินเป๊ปซี่ หมอเขาคงไม่รู้จะแก้ยังไง เราก็ทำแบบเดียวกัน คอนเซปต์ทางธุรกิจของ Gaoii คือเราต้องขายความจริง ถ้าขายความจริงแล้วทำให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น เดี๋ยวธุรกิจเราก็โตขึ้น 

ก่อนหน้านี้ผมเคยคุยกับคุณพ่อ เขาสันนิษฐานว่าวันหนึ่งตลาดก็คงเต็ม ทุกคนคงมีเก้าอี้แบบนี้กันหมด ซึ่งไม่จริงเลย เพราะจริงๆ แล้วในชีวิตหนึ่งของคนเรา เราไม่มีทางใช้เก้าอี้แค่หนึ่งตัว ในใบประวัติลูกค้าของผม มีหลายคนที่กลับมาเจอกันทุก 3 ปี อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานที่ขยับขยาย หรือบางคนมีงบที่เพิ่มขึ้นเขาก็กลับมาซื้อตัวใหม่ 

เพราะเราขายความจริงนี่แหละ ทำให้บางครั้งลูกค้ามาขอซื้อเก้าอี้บางตัวโดยไม่ให้วิเคราะห์อะไร แต่ถ้าเขาไม่เหมาะกับเก้าอี้ตัวนั้นผมก็ไม่ขายให้นะ หลายคนทักว่าทำอย่างนี้มันเสียโอกาส แต่ผมคิดว่าถ้าขายไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยว่าไลฟ์สไตล์เขาเป็นยังไง  ผมอาจจะไม่ได้ให้ประสบการณ์ใหม่กับเขาเลย 

สำหรับผม มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเก้าอี้แค่ตัวเดียว แต่เปลี่ยนทั้ง work station ของเขาให้ถูกต้อง และอาจจะเป็นการเปลี่ยนแค่ครั้งเดียวในชีวิตของเขาก็ได้ เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากชัดเจนมากว่า มอนิเตอร์นี้เอาออก แล็ปท็อปขอไม่ให้ใช้เพราะกระดูกต้นคอเริ่มเสื่อม เราต้องปฏิเสธลูกค้าแบบนี้ได้ 

พอผมกล้าดุ กล้าเตือน กล้าบอกลูกค้า ผลลัพธ์มันจะมายิ่งกว่าเรายิงแอดออกไปเสียอีก 

ในฐานะเจ้าของธุรกิจเก้าอี้สุขภาพ คุณคิดว่าทักษะที่คนทำธุรกิจต้องมีเพื่อให้อยู่รอดในตลาดนี้ได้คืออะไร

ความอดทน คุณจะต้องอึดจริงๆ แต่เชื่อเถอะว่า มันไม่มีพายุไหนที่อยู่ตลอดไป เดี๋ยววันหนึ่งฟ้ามันก็จะสาง แล้วพอคุณผ่านพายุมาได้คุณจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แต่ความอดทนก็ต้องมีกึ๋นด้วยนะ ไม่ใช่ว่าขาดทุนแล้วทำแบบเดิมต่อไป 

อีกอย่างคือ ถ้าคุณจะทำธุรกิจอะไร ผมคิดว่าควรจะมีความรู้เรื่องนั้นมากๆ ผมเองตอนทำธุรกิจนี้ก็อ่านหนังสือเยอะมากๆ เพราะมองว่าการทำการบ้านก่อนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็อย่าทำการบ้านเยอะจนกลัวไปหมด บางทีกลัวจนไม่ได้ลงมือทำ ความรู้และความไม่รู้ควรจะควบคู่กันไป แล้วเดี๋ยวระหว่างลงมือทำ เราก็จะรู้เอง

Good to Know
ท่านั่งที่ดีในมุมมองของนักการยศาสตร์ 

“ตามหลักการยศาสตร์แล้ว ท่านั่งที่ดีคือหลังต้องเอน 110 องศา แขนและเข่าตั้งฉาก 90 องศา แต่ถ้าเรานั่ง 90 องศาตลอด มันอาจจะเกร็งไป เขาเลยมีจุดยืดหยุ่นคือองศาที่เคลื่อนไปไม่เกิน 120 ยังอยู่ในมุมที่ปลอดภัยอยู่

“แต่สิ่งที่ยากสำหรับภารกิจนี้คือ การท้าทายนิสัยที่เราคุ้นชิน ตอนลูกค้ามาหาผม เขาสัญญาเป็นอย่างดีว่าจะนั่งให้ดีขึ้น แต่กลับบ้านไปก็นั่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นปัญหาเก่าๆ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม มันเหมือนคนแขนหัก ถ้าคุณยังใช้แขนที่เจ็บเหมือนเดิม มันก็เกิดการอักเสบและเรื้อรังได้”

88 ปีของ Saab ผู้สร้างเครื่องบินรบ Gripen เครื่องบินรบที่ไทยนำออกมาใช้ปฏิบัติการจริงครั้งแรกของโลก

“F-35 ก็เหมือนกับ Ferrari ส่วน Gripen คือ Honda Civic คุณไม่สามารถจอดซ่อม Ferrari ตามข้างทางได้ แต่คุณสามารถซ่อม Honda Civic ได้” คือคำพูดของ Walter Kowalski อดีตผู้จัดการโครงการ NATO ที่กล่าวถึง Gripen ได้กระจ่างมากพอจะทำให้คนนอกวงการเครื่องบินอย่างเราเริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นว่าทำไมหลายประเทศถึงได้หันมาสนใจเครื่องบินรบลำนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไทยตัดสินใจซื้อ และมีโอกาสได้นำ JAS 39 Gripen C/D ออกปฏิบัติการในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ Gripen ถูกนำออกมาใช้งาน และมีการใช้อาวุธสู่เป้าหมายจริง

หากจะพูดถึงข้อดีอย่างคร่าวของ Gripen นั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความคล่องตัวในการใช้งาน ทั้งระยะการขึ้นบิน-ลงจอดที่สั้น น้ำหนักเครื่องยนต์ที่เบา ค่าใช้จ่ายในการขึ้นบินแต่ละครั้งที่ต่ำกว่าคู่แข่ง รวมไปถึงความสะดวกในการบำรุงรักษาและหาอะไหล่มาซ่อมแซมในระยะยาว 

แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่สมรรถนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขายแต่เพียงเท่านั้น เพราะรากฐานของการออกแบบเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกลับไปสู่วันแรกที่ Saab ตัดสินใจจะผลิตเครื่องบินรบเมื่อ 88 ปีก่อน ซึ่งไม่ใช่การผลิตเครื่องบินที่ดีที่สุด ไม่ได้ผลิตเพื่อแข่งขันกับใคร แต่ผลิตเพื่อป้องกันภัยในยามสงครามนั่นเอง

จากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตเครื่องบินให้กองทัพอากาศสวีเดน จนถึงวันนี้ที่เครื่องบินของ Saab ถูกส่งไปประจำการอยู่ทั่วโลก คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จะพาไปดูเส้นทางการเติบโตของบริษัทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย จนกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความมั่นคงอย่างในทุกวันนี้

ประเทศที่ไม่เข้าร่วมสงคราม

ชื่อบริษัท Saab หรือ Svenska Aeroplan Aktiebolaget แปลตรงตัวว่า Swedish Aeroplane Company บริษัทอากาศยานและเทคโนโลยีความมั่นคงสัญชาติสวีเดนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นอันแสนเรียบง่ายคือ เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองของสวีเดนที่เคยเป็นประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคยุโรปมาร่วมร้อยปีและวางตัวเป็นกลางทางการเมืองมาอย่างยาวนาน 

อำนาจดังกล่าวของสวีเดนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป เพราะมันเชื่อมโยงกับปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือทรัพยากรแร่เหล็กที่สำคัญต่อการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งพบได้มากในสวีเดน และปัจจัยข้อนี้ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากเป็นพิเศษเมื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม 

สวีเดนตระหนักดีว่าการวางตัวเป็นกลางในสงครามไม่ได้การันตีความปลอดภัยให้กับประเทศเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ไม่ไกลจากเยอรมัน หนึ่งในชนวนสำคัญของสงครามโลกครั้งใหม่ในขณะนั้น 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เป็นที่รู้กันว่ากองทัพอากาศคืออนาคตของหน่วยงานความมั่นคง ความเชี่ยวชาญด้านการรบทางอากาศจะกลายเป็นข้อได้เปรียบข้อใหญ่หากสงครามครั้งใหม่ปะทุขึ้น 

ในปี 1936 เมื่อสวีเดนเห็นแววว่าความขัดแย้งกำลังคุกรุ่น สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังใกล้เข้ามา รัฐสภาวีเดน (The Riksdag) จึงลงความเห็นว่ากองทัพอากาศสวีเดนจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินรบ 257 ลำพร้อมกับเครื่องบินฝึกอีก 80 ลำภายในปี 1943 

และถึงไม่บอกก็คงพอจะเดาได้ว่าการดำเนินโครงการสร้างเครื่องบินรบนั้นจะใช้เงินทุนมหาศาลแค่ไหน สำหรับประเทศกลางๆ อย่างสวีเดนที่มีทรัพยากรและงบประมาณจำกัด การจะปลุกปั้นกองทัพอากาศให้แข็งแกร่งได้คงไม่ง่ายนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อด้อยเสียทีเดียว เมื่อพวกเขาได้ข้อสรุปว่าสวีเดนจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องบินรบของตัวเองขึ้นมาแทนการจัดซื้อจากประเทศอื่น

คู่แข่งคนสำคัญ

ในปี 1937 Bofors บริษัทเหล็กและผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ ร่วมกับ Ab Ars บริษัทลูกในเครือ Electrolux Group ได้ก่อตั้ง Saab ขึ้นที่เมือง Trollhättan โดยได้มีการควบรวมเอาบริษัท Nohab Flygmotorfabrik ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินมาด้วย

แต่หลังจากที่รัฐสภาได้ประกาศว่าต้องการเครื่องบินรบฝูงใหญ่สำหรับกองทัพอากาศ ไม่ได้มีแค่ Saab เท่านั้นที่หวังจะได้รับออร์เดอร์เครื่องบินจากลูกค้ารายใหญ่ในครั้งนี้

คู่แข่งคนสำคัญของ Saab ในเวลานั้นได้แก่บริษัท ASJA ที่มีประวัติการต่อเครื่องบินมาอย่างยาวนาน ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างก็ได้รับคำเชิญให้เข้าเจรจา ที่นำไปสู่การจัดตั้ง joint company ร่วมกันในนาม AB Förenade Flygverkstäder (AFF) เพื่อพัฒนาและออกแบบเครื่องบินที่กองทัพอากาศสวีเดนต้องการ 

อย่างไรก็ดี การร่วมงานดังกล่าวไม่ราบรื่นนักเมื่อ ASJA กั๊กข้อมูลและซุ่มออกแบบเครื่องบิน L10 ของตัวเองซึ่งเป็นดีไซน์ที่ถูกใจกองทัพอากาศสวีเดนมากกว่าดีไซน์ที่ออกแบบร่วมกันโดย AFF ส่งผลให้เกิดการยุติความร่วมมือของ AFF ลงในปี 1939

ต่อมา Saab ได้เข้าซื้อ ASJA และตั้งชื่อเครื่องบิน L10 ใหม่ว่า Saab 17 ซึ่งนับว่าเป็นอากาศยานลำแรกของบริษัท เริ่มผลิตขึ้นในปี 1938 โดยได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินสัญชาติสวีเดนลำแรกที่ทำจากโลหะทั้งหมด มีระบบเก็บล้อขึ้น (retractable landing gear) และมีรายละเอียดการออกแบบที่โดดเด่นอย่างยิ่งในเวลานั้น เช่น การฝังหัวหมุดยึด (rivets) ให้จมลงในโครงสร้างเพื่อลดแรงต้านอากาศ (air drag) นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินโมเดลอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันอย่างเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B17 และเครื่องบินขับไล่ S17 

หลังจากนั้นก็มีเครื่องบินที่น่าสนใจอีกหลายรุ่นถูกออกแบบและผลิตขึ้นในระหว่างที่สงครามดำเนินไป อาทิ Saab 18 เครื่องบินลำแรกของสวีเดนที่มีการติดตั้งระบบเรดาร์ และ Saab 21 หนึ่งในซีรีส์เครื่องบินลำดับต้นๆ ของโลกที่มีการออกแบบที่นั่ง Ejector Seat ที่ช่วยให้นักบินสามารถดีดตัวออกจากเครื่องได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่นอกจากฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่ถูกใส่เข้ามาแล้ว

นอกเหนือจากผลผลิตอย่างตัวเครื่องบินแล้ว ในแง่กระบวนการผลิตของ Saab เองก็มีการพัฒนาและปรับตัวในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการสร้างโรงงานที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินกว่า 30 เมตร ซึ่งขนาดใหญ่กว่า 20,000 ตารางเมตร เทียบเท่าสนามฟุตบอล 4 สนาม พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ป้องกันการโจมตีด้วยก๊าซพิษจากภายนอก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษากิจการอุตสาหกรรมการบินซึ่งพวกเขามองว่าเป็นสิ่งสำคัญของประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะสงครามนั่นเอง

ในยามไร้สงคราม

เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี 1945 บริษัทเครื่องบินรบอย่าง Saab ย่อมต้องมองหาโอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่เพื่อให้กิจการสามารถเดินต่อไปได้ในยามที่ดีมานด์เครื่องบินรบลดน้อยลง ซึ่งพวกเขาก็ได้ทำอะไรออกมามากมายหลายอย่าง 

ทั้งการผลิตเครื่องบินพลเรือน ซึ่งดูจะได้รับความสนใจมากขึ้นหลังยุคสงคราม, อุตสาหกรรมผลิตแผ่นอะคริลิก วัสดุชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจเพราะสามารถใช้ทดแทนกระจกได้ในหลายกรณี, น้ำหอม ที่มีโรงงานรวมหัวน้ำหอมกว่า 4,000 กลิ่นจากทั่วทุกมุมโลก ได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดน้ำหอม (Perfume Library) เพียงแห่งเดียวในสแกนดิเนเวีย 

อีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะทำให้ Saab กลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มแมสทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีจุดเริ่มต้นแสนบ้าระห่ำคือการส่งวิศวกรเครื่องบินสิบกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำรถยนต์มาก่อนมาออกแบบรถยนต์ใหม่ให้แก่บริษัท 

ผลผลิตของความท้าทายในครั้งนั้นได้แก่ Ursaab หรือโปรโตไทป์ของ Saab 92 รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอากาศยาน จิตวิญญาณดั้งเดิมของ Saab โดยตัวเลขรุ่น 92 นั้นก็เป็นเลขที่รันต่อมาจากเครื่องบินรุ่น Saab 91 

เอกลักษณ์ของรถยนต์ Saab 92 คือรูปโฉมที่ดูเพรียวและลู่ลมตามหลัก aerodynamic คล้ายกันกับเครื่องบิน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงฉุด (drag coefficent) อยู่ที่เพียง 0.30 เท่านั้น เป็นดีไซน์ที่ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ Saab 92 สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

นอกจากนี้ Saab 92 ยังเป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งพบได้ยากในตลาดขณะนั้น ถือเป็นจุดขายที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ขับขี่ที่อาศัยในสภาพภูมิอากาศหนาวจัดในแถบนอร์ดิก เนื่องจากรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าจะสามารถกระจายน้ำหนักได้ดี และควบคุมได้ง่ายในเวลาที่พื้นถนนลื่นนั่นเอง

Saab Automobile

เมื่อแผนกรถยนต์ของ Saab ประสบความสำเร็จและเริ่มเป็นที่รู้จักในแง่ดีไซน์และสมรรถนะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการเจาะตลาดในสหรัฐอเมริกา โดยตัดสินใจนำ Saab 93 และ Sonett I ไปเปิดตัวที่งาน New York Auto Show ในปี 1956

รถยนต์โมเดลใหม่ๆ ของ Saab ที่เปิดตัวหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฟังก์ชั่นที่น่าสนใจและแปลกใหม่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมาแล้วในตัวรถ, ก้านปัดน้ำฝนบริเวณไฟหน้า หรือระบบฮีตเตอร์อุ่นเบาะที่นั่งในรถ รวมถึงการเปิดตัวรถ Saab 900 รุ่นไอคอนิกของแบรนด์ ซึ่งมีไลน์ Saab 900 Turbo รถยนต์เทอร์โบชาร์จจิ้งรุ่นแรกของแบรนด์

ในระหว่างปี 1982 จนถึง 1986 ยอดขายของ Saab เติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 60 เดือนติดต่อกัน โดยมีสถิติสูงสุดในปีช่วง 1986 ด้วยยอดขายรวมกว่า 47,000 คันในสหรัฐอเมริกา

กระทั่งในปี 1989 ที่แผนกยานยนต์ได้มีการแยกตัวออกมาเป็นบริษัท Saab Automobile โดยมีบริษัท General Motors (GM) จากสหรัฐอเมริกาเข้าถือหุ้น 50% ทำให้ Saab Automobile สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ของอเมริกัน รวมถึงมีแรงสนับสนุนด้านการเงิน การกระจายสินค้า 

และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา GM ก็ได้เข้าถือครองหุ้นทั้งหมด ทำให้บริษัท Saab เดิมที่ดำเนินงานในฝั่ง Aerospace and Defense กับแผนก Automobile ไม่มีความเกี่ยวข้องกันนับแต่นั้น

การเข้ามาของ GM สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับงานออกแบบของ Saab Automobile ในหลายส่วน อาจด้วยมุมมองทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง สังเกตว่าดีไซน์ที่เคยกล้าบ้าบิ่น โดดเด่น และลูกเล่นฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่มากับตัวรถ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาอย่างยาวนานดูจะจางหายไป จึงไม่น่าแปลกที่ยอดขายในยุคหลังของ Saab Automobile จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่เคย

กระทั่งปี 2011 Saab Automobile ประกาศล้มละลายและหยุดผลิตรถยนต์อย่างถาวร

ความมั่นคงครบวงจร

ตรงกันข้ามกับฝั่ง Automobile เพราะงานออกแบบและผลิตเครื่องบินของ Saab ยังคงดำเนินการต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าอุปสงค์เครื่องบินรบจะลดลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อสงครามเย็นดำเนินต่อไป Saab ก็ยังคงพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น 

Saab 29 Tunnan เครื่องบินเจ็ตสัญชาติสวีเดนลำแรก

Saab 32 Lansen เครื่องบินซูเปอร์โซนิกสัญชาติสวีเดนลำแรก

Saab 35 Draken เครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียงถึง 2 เท่า ถูกใช้งานในหลายประเทศ

Saab 37 Viggen เครื่องบินรบลำแรกของโลกที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์กลางดิจิทัลไปใช้

และตั้งแต่ยุค 90s เป็นต้นมา Saab ก็ได้เข้าสู่ยุคของ Saab JAS 39 Gripen เครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์ (multi-role fighter) ที่ยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ 

Saab ระบุว่า Gripen คือเครื่องบินรบที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากที่สุดในโลก ด้วยการออกแบบแบบโมดูลาร์ ทำให้สามารถอัพเกรดและปรับปรุงให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ ปัจจุบันมีประจำการอยู่ในไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก

ทุกวันนี้ Saab ประกอบด้วยแผนกย่อยมากมาย ทำงานออกแบบและผลิตที่ครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงรอบด้าน โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

  1. Aeronautics ครอบคลุมงานระบบ งานโครงสร้าง และบริการสนับสนุนเกี่ยวกับอากาศยาน ทั้งในด้านการบินพลเรือนและการบินทางทหาร นอกจากนี้ยังทำการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับระบบอากาศยานมีคนขับและไร้คนขับในอนาคตอีกด้วย
  2. Dynamics พัฒนาและผลิตอาวุธสำหรับกองกำลังต่างๆ เช่น ระบบขีปนาวุธ ตอร์ปิโด ระบบฝึกอบรมและจำลองสถานการณ์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนพื้นดิน 
  3. Surveillance พัฒนาระบบการป้องกันความปลอดภัย ระบุพิกัด และตรวจจับภัยคุกคาม มีบริการครอบคลุมหลายประเภท เช่น การจัดการจราจรทางอากาศและทะเล เรดาร์ต่างๆ ไปจนถึงระบบข่าวกรองสัญญาณ (SIGINT)
  4. Kockums การพัฒนา ผลิต และสนับสนุนการใช้งานระบบทางทะเล ทั้งเรือดำน้ำ เรือผิวน้ำ เรือลาดตระเวน เรือสาธิตความเร็วสูง ไปจนถึงระบบกวาดทุ่นระเบิด และเรือรบที่มีเทคโนโลยีล่องหน (stealth technology)

จะเห็นได้ว่าหน่วยธุรกิจของ Saab ไม่ได้โฟกัสอยู่กับเครื่องบินรบหรืออาวุธสงครามเท่านั้น หากยังมีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลาดตระเวน เทคโนโลยีป้องกันภัย ระบบข่าวกรอง ระบบจำลองการฝึกบิน และอีกหลายอย่างที่จำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศแม้ในยามที่ไม่มีสงคราม

อย่างไรก็ดี เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครนที่ปะทุขึ้นเมื่อ 2022 นั้นส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงาน รายได้ และกำไรของ Saab ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จากรายงานปิดปี 2024 ระบุว่า Saab ทำรายได้รวมกว่า 2.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 50% หากย้อนกลับไปเทียบกับ 1.4 แสนล้านบาทในปี 2022 

โดยนาย Micael Johansson ประธานกรรมการบริหาร Saab กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2024 ที่ผ่านมาว่า “เราสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ปรับปรุงการดำเนินงาน และสร้าง cash flow ให้เป็นบวก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อขยายธุรกิจให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้าน positioning ของเราในตลาด 

“ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก Saab ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ สนับสนุนประเทศต่างๆ ในการสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ และมีส่วนร่วมในการเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันประเทศของยุโรป” 

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดเผยข้อเสนอแผนงบประมาณมูลค่า 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘era of rearmament’ ของยุโรปที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศแผนระดมทุนมากถึง 800,000 ล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกในด้านความมั่นคง

ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ก็ยังมีการตกลงที่จะเพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อีกด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าทั้ง Saab และองค์กรด้านความมั่นคงอื่นๆ น่าจะมีแนวโน้มด้านรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการเหล่านี้

88 ปีของ Saab คือระยะเวลาที่นานพอๆ กับชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งจากประวัติของบริษัทแห่งนี้ก็ต้องนับว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ทั้งการควบรวมครั้งแล้วครั้งเล่า ลองผิดลองถูกทำธุรกิจใหม่ๆ แยกตัวออกไปเป็นบริษัทรถยนต์ จนกลายมาเป็นบริการครอบคลุมแทบทุกด้านของเทคโนโลยีความมั่นคงอย่างในทุกวันนี้ และคงจะขยับขยายต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่นวัตกรรมสมัยใหม่จะถือกำเนิดขึ้น 

Reference

‘คิดอย่างหมอยา ทำอย่างครีเอทีฟ’ วิธีที่ Chum Chum เสิร์ฟสมุนไพรแบบใหม่ให้คนกลับมาดื่มซ้ำ

ในโลกปัจจุบันที่วุ่นวายและเร่งรีบ ‘กำลังภายใน’ อาจเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงลืมไป 

เป็นที่มาที่ทำให้ จูน–สริตา วัฒนะจันทร์ ผู้ซึ่งเติบโตมากับนานาสมุนไพร จากร้านยาจีนแผนโบราณของครอบครัวฝั่งคุณแม่ จึงคิดกำเนิด Chum Chum แบรนด์เครื่องดื่ม apothecary drink ขึ้นมา

เจ้า apothecary drink เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่หมอยาหรือเภสัชกรโบราณ ปรุงและจ่ายตำรับยาจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ หรือเครื่องเทศ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีพลังงานในร่างกายที่สมดุลอีกครั้ง

ในบริบทปัจจุบัน apothecary drink ไม่ใช่ยาในความหมายดั้งเดิมแต่เป็นเครื่องดื่มที่ถูกออกแบบอย่างตั้งใจให้มีหน้าที่เฉพาะ เช่น เพิ่มพลังงาน ทำให้จิตใจสงบ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยผ่อนคลาย แต่แม้จะมีประโยชน์แค่ไหน พอเอ่ยว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ปรุงจากสมุนไพร หลายคนน่าจะเบ้ปากและเดินหนีไป

เพื่อแก้ pain point เหล่านั้น และทำให้ผู้คนมีสุขภาพดี มีพลังงานที่สมดุล จูนจึงตั้งใจทำให้ Chum Chum มีภาพลักษณ์แบบร่วมสมัย พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มจากนานาสมุนไพรในรูปแบบที่โมเดิร์นขึ้น แต่ยังคงคุณประโยชน์ และไม่มีสารเสริมที่ทำให้รสชาติผิดไปจากสมุนไพรปกติมากเกินไป จนหลายคนที่อาจเคยปิดใจ ต้องกลับมาซื้อ แล้วซื้อซ้ำ

การทำให้สมุนไพรโมเดิร์นขึ้นทั้งในเชิงรูป รส กลิ่น และเนื้อสัมผัสในแบบของ Chum Chum จะเป็นแบบไหน คอลัมน์ 5P ครั้งนี้ขอเชิญทุกคนมาซึมซับเพื่อค่อยๆ สร้างกำลังภายในไปพร้อมๆ กัน

Product
เครื่องดื่มหมอยากับปรัชญากำลังภายใน

“คีย์เวิร์ดของ Chum Chum คือกำลังภายใน” 

กำลังภายในในความหมายของจูน เป็นได้ทั้งหนังกำลังภายในที่เธอชอบดูสมัยยังเด็ก และหมายรวมไปถึง ‘กำลัง’ ที่อยู่ ‘ภายใน’ ร่างกายและจิตวิญญาณของเราทุกคน

“เรามองว่าทุกวันนี้ โลกมันวุ่นวาย เร่งรีบ มันมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย แต่สิ่งที่เหมือนจะหายไป คือกําลังข้างในของคน”

ด้วยความที่คุ้นเคยกับวัตถุดิบพวกสมุนไพรจีน-ไทย และสมุนไพรโลกตะวันออกมาตั้งแต่เด็ก  รวมถึงเติบโตมาในย่านเยาวราช การดื่มเก๊กฮวยและจับเลี้ยงแก้ร้อนใน หรือการทานซุปฟักหรือแตงกวาเพื่อให้ฤทธิ์เย็นในช่วงฤดูร้อน จึงเป็นเรื่องปกติ

“สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว ทั้งในเครื่องดื่มและอาหารการกิน คนอื่นๆ อาจจะมองว่าสมุนไพรคือยาที่ป่วยแล้วต้องทาน แต่เรามองว่ามันก็คือวัตถุดิบที่เรานําไปประกอบอาหาร เป็นวัตถุดิบที่เราทานอยู่แล้วในทุกวัน” 

ศาสตร์ที่เราเชื่อ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาด้วยยาที่เข้าไปแก้หรือกดอาการ แต่คือการเลือกรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ร้อนหรือเย็น เพื่อเข้าไปสร้างสมดุลให้กับร่างกายของเราในแต่ละช่วงเวลา

“เราเชื่อเรื่องการบาลานซ์ เมื่อใดก็ตามที่คุณเสียบาลานซ์ คุณก็แค่ดึงมันกลับมา”

ฟังก์ชั่นคือสิ่งสำคัญ  

สมุนไพรและการปรับสมดุลร่างกายสัมพันธ์กับชีวิตเธออย่างแยกไม่ขาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกปัจจุบันอาจทำให้เธอหลงลืมมันไป 

“พอถึงวัยทำงาน เราเองอยากจะหาเครื่องดื่มสําหรับรีเฟรชในช่วงบ่าย ให้เรากลับมามีโฟกัส เราไม่ได้อยากตื่นแบบกระวนกระวาย จากที่ดื่มกาแฟ ก็ลองเปลี่ยนเป็นชา ปรากฏว่ามันเวิร์ก หรือกับเรื่องเครียด คนทำงานเนี่ย มันจะมีช่วงที่เคร่งเครียด ช่วงที่กดดัน เราก็ลองกลับไปหาเก๊กฮวยเพื่อนเก่าที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก ทำให้เรารู้สึกว่า โห เราลืมสิ่งนี้ไปนานมากแล้ว”

จาก pain point ของตนเอง และความรู้เรื่องสมุนไพร Chum Chum จึงวางตัวเป็น apothecary drink หรือเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์การเสริมกำลังภายในในแต่ละช่วงเวลา ทุกเมนูเริ่มจากการตั้งโจทย์ว่า ‘เกิดมาเพื่ออะไร’ ก่อนจะลงมือพัฒนา เช่น กลุ่มเพิ่มพลังงาน กลุ่มที่ทำให้ตื่นอย่างมีโฟกัส กลุ่มที่ช่วยผ่อนคลายและบำรุง 

“คนปัจจุบันให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ หรือ value ในแต่ละสิ่งมาก เขาคาดหวังว่าสิ่งที่กินเข้าไป ว่ามันจะให้คุณค่าอะไรกับเขา ไม่ใช่ว่าอร่อยอย่างเดียว แต่ต้องอร่อยแบบพอดี มีฟังก์ชั่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ  และถ้าสิ่งนั้นมันดีต่อโลกด้วยก็จะยิ่งดี นี่คือ value ของคนสมัยนี้ที่เราทำการบ้านมา”

จากที่เคยคิดว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มน่าจะชอบอะไร กลายเป็นว่าเมื่อเปิดใจ ลูกค้ากลับมาสั่งซ้ำภายใน 1 วัน เพียงแต่เปลี่ยนเมนูให้ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา สะท้อนว่าความหลากหลายของเมนูเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้

“ตอนเช้า หลายคนจะเริ่มวันด้วยเมนูโสมสกัด เพราะโสมช่วยเพิ่มพลังชี่ (Qi) ทำให้ตื่นแบบสดใส สมองโล่ง เรารู้ดีว่าคนทำงานมักนอนน้อย ความสดชื่นเลยยังไม่เต็มที่ จึงออกแบบเมนูโสมสกัดพิเศษ โดยใช้ หยิ่งเซียม (โสมอเมริกา) เพราะมีฤทธิ์ร้อนน้อยกว่าโสมเอเชีย เหมาะกับอากาศร้อน เสริมด้วย แปะก๊วย ช่วยระบบประสาทและสมอง มีชะเอมเทศและหล่อฮังก๊วยช่วยให้รสชาติที่หอมชุ่มคอ กลายเป็นเครื่องดื่มที่ปลุกพลังอย่างสมดุล

“พอตกบ่าย คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากตื่นแบบกระวนกระวาย แต่ต้องการความนิ่ง โฟกัสกับงานได้โดยไม่ง่วง เมนูที่ออกแบบมาจึงเป็นกลุ่ม กุ้ยฮวา ที่มีฤทธิ์ผ่อนคลาย กลิ่นหอมธรรมชาติ ผสมกับ มัทฉะ ซึ่งทั้งคู่มีรสนุ่มนวล เข้ากันได้ดี ทำให้ตื่นแบบสงบและมีสมาธิ อีกเมนูคือ เจียวกู่หลาน ที่มีสารออกฤทธิ์คล้ายโสม ช่วยให้สดชื่นและมีพลัง แต่ราคาเข้าถึงง่าย รสชาติแบบขมนุ่มชุ่มคอ 

“ช่วงเย็น หลายคนจะเลือกเจียวกู่หลาน เพราะช่วยลดความดัน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนง่ายขึ้น”

 เมนูในร้านจึงครอบคลุมความต้องการตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และยังปรับให้เข้ากับฤดูกาล เช่น หน้าร้อนกลุ่ม เก๊กฮวย และ จับเลี้ยง ที่นำมาสปาร์กกลิ้งให้รสชาติซาบซ่า ชื่นใจ และหวานน้อย เสิร์ฟพร้อมคอมบูชาเจลลี่ ถือเป็นเมนูขายดีที่ทานแล้วสดชื่นให้พลังใจ  

นอกจากเครื่องดื่มที่คิดมาดีแล้ว ท็อปปิ้งของ Chum Chum ก็คิดมาะละเอียดไม่แพ้กัน แต่ละตัวล้วนมีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจ เช่น คอมบูชาที่มีโพรไบโอติก, โกจิเบอร์รีบำรุงสายตา ที่ทำให้กรอบเคี้ยวอร่อย, พีชสำหรับเมนูน้ำมะพร้าวสปาร์กกลิ้ง ฯลฯ 

“แต่ละตัวมันเกิดมาเพื่อคู่กันกับเมนูเครื่องดื่มต่างๆ อย่างกลุ่มพีชจะไปจับคู่กันกับกลุ่มน้ํามะพร้าว เก๊กฮวยกับโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ ที่เราใส่ให้เพื่อบำรุงสายตา คือเรามองไปถึงว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงานต้องใช้สายตาเยอะ เราก็อยากใส่ตรงนี้เข้าไป ซึ่งมันก็ไม่ใช่เก๋ากี้เหนียวๆ แบบในซุปที่หลายคนเคยกินตอนเด็ก มันเป็นแบบกรุบกรอบ ที่ตอนแรกลูกค้าไม่คุ้น เลยเขี่ยออก แต่พอเราชวนให้เขาเปิดใจกิน ลูกค้าส่วนใหญ่เลยติดใจ ขอซื้อเก๋ากี๊ต่างหากเพื่อเอาไว้ทานเป็นของว่างก็มี”

ความอร่อยคือที่หนึ่ง

นอกจากฟังก์ชั่นที่ต้องมี Chum Chum ยังยึดหลักว่า ทุกเมนูในร้านต้องอร่อย เพราะเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วไม่อร่อย การเติบโตของแบรนด์คงไม่ยั่งยืน สูตรทุกสูตรคงรสชาติที่ดีที่สุดในขอบเขตความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุกันเสีย และเลือกวัตถุดิบที่ทานได้ทุกวันโดยไม่เป็นภาระต่อร่างกาย

“สมุนไพรตะวันออกเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตพวกเราอยู่แล้ว เราจะเล่ายังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันไม่โบราณนะ มันเข้าถึงได้ เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ‘อร่อย’ ของคนสมัยนี้เป็นแบบไหน ถ้าวันนี้เรานําเสนอน้ำเก๊กฮวย แค่ว่าเป็นน้ำเก๊กฮวย หรือจับเลี้ยง แค่ว่ามันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เชื่อว่าลูกค้าจะมองข้ามมันไป เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่โบราณ เราเลยเปลี่ยนการเล่าเรื่องใหม่และใช้แนวคิดเรื่องการ modernize tradition”

เพื่อเข้าถึงลูกค้าหลากหลาย Chum Chum ออกแบบเมนูเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

Classic Apothecary เครื่องดื่มสมุนไพรดั้งเดิม เช่น โสมสกัด เจียวกู่หลาน เก๊กฮวย กุ้ยฮวา จับเลี้ยง มะตูม

Specialty Function เครื่องดื่มผสมกับวัตถุดิบอื่นเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่น เช่น มัทฉะน้ำมะพร้าว 

Sparkling Series เครื่องดื่มสมุนไพรเพิ่มความซ่าเพื่อความสดชื่นและช่วยให้จับคู่กับอาหารได้ดี เช่น กุ้ยฮวาสปาร์กกลิ้ง น้ำมะพร้าวสปาร์กกลิ้ง เก๊กฮวยสปาร์กกลิ้ง

“ถ้าเครื่องดื่มดีต่อสุขภาพ แต่ดื่มไม่อร่อย ความสุขก็หายไปเหมือนโดนบังคับกินยา เราจึงเริ่มจากคิดว่ามันจะช่วยอะไรกับร่างกาย เช่น ดื่มแล้วรู้สึกเย็นขึ้น ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล หรือบางคนที่ท้องผูกก็ค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนรสชาติ เรารู้ว่าพวกคุณชอบทานของอร่อย เราก็ทํารสชาติให้ทานง่ายโดยไม่ไปลดวัตถุดิบ อัดเต็มเท่าเดิมและตั้งใจให้อร่อยที่สุดในแบบธรรมชาติ เพื่อให้ทั้งร่างกายและใจได้รับความสุขและประโยชน์แบบครบๆ

“แต่ก็ต้องบอกว่าของบางอย่าง เช่น โสม คุณจะไปคาดหวังว่ามันจะอร่อยเหมือนน้ําหวานไม่ได้ เพราะถ้ามันมีโสมในนั้นจริงๆ มันจะไม่อร่อยอยู่แล้ว ทํายังไงมันก็ขม เราจะไม่ไปกดความขมของโสม เราจะทำให้มันอร่อยที่สุดตามธรรมชาติที่มันจะเป็นได้”

 ทุกเมนูขอ Chum Chum จึงตั้งใจให้คนดื่มรู้สึกดีขึ้นทั้งกายและใจ เหมือนได้เติมพลังภายในให้พร้อมไปต่อในโลกที่มีเรื่องให้จัดการมากมาย  

หมอยาที่รู้ลึก รู้จริง

นอกจากเครื่องดื่มที่สุดจัด เชื่อว่าใครได้เห็นโลโก้อย่าง ‘ลุงฉ่ำ’ ก็คงถูกใจเช่นกัน และนั่นก็เป็นความตั้งใจของทีมงาน Chum Chum 

ลุงฉ่ำคือตัวแทนของหมอยา ที่รู้ลึก รู้จริง และถ่อมตัว แต่เต็มไปด้วยพลังภายใน พร้อมส่งต่อกำลังภายในให้ผู้ดื่ม การสื่อสารของแบรนด์เลยจะมีโทนตะวันออก สุขุม แต่แฝงความสนุกจากการสร้างสรรค์และผสมผสานวัตถุดิบ เพื่อให้ได้รสชาติและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

“เราต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ อย่าง Chum Chum เรากล้าทำเพราะเรามีองค์ความรู้ทางด้านนี้ พอที่จะเล่าให้คุณฟังได้ว่าสิ่งที่คุณกินมันช่วยอะไร เรามีซัพพลายเออร์สินค้าที่มีคุณภาพอย่างเวชพงศ์โอสถ เราผ่านการคิดมาดีแล้วว่าสมุนไพรแบบไหนควรอยู่ด้วยกัน และควรนำเสนอแบบใด 

“นอกจากจริงจัง เราจริงใจ ในสิ่งที่ลูกค้ามองไม่เห็น เราก็ต้องดูแล เช่นเรื่องคุณภาพและความสะอาดของวัตถุดิบ เราเลือกใช้ระบบครัวกลาง เพราะคุมคุณภาพได้ เรามีเครื่องล้างที่มั่นใจได้ว่า ก่อนที่สมุนไพรและวัตถุดิบต่างๆจะลงไปสู่เครื่องต้มนั้น มันถูกทำความสะอาดอย่างดี เราเลือกน้ำตาลที่มีค่า GI ต่ำ และไม่ใส่วัตถุกันเสีย เพราะเราเองก็ดื่มเครื่องดื่มของเราทุกวัน ที่บ้านเราก็ทานทุกวัน”

จูนยังเชื่อว่าเมื่อเราจริงจังและจริงใจมากพอ ลูกค้าจะสัมผัสถึงความตั้งใจนี้ได้ และลูกค้าจะเป็นคนช่วยบอกต่อ แนะนำแบรนด์ของเราให้คนอื่นๆ รู้เอง 

ในทุกขั้นตอนการผลิตและส่งมอบสินค้า แบรนด์ยังพยายามลดการใช้พลาสติกให้มากที่สุด โดยเลือกใช้แก้วกระดาษและหลอดชานอ้อย (ยกเว้นกลุ่มเดลิเวอรี ที่แก้วกระดาษยังมีข้อจำกัดอยู่) เครื่องดื่มทุกแก้วยังผ่านการออกแบบประสบการณ์การดื่มอย่างละเอียด เช่น การควบคุมคุณภาพน้ำแข็งด้วยการใช้ rock ice ที่ละลายช้า ทำให้คงรสชาติได้นานแม้ในอากาศร้อน

“เราก็สนุกของเราอยู่อย่างนี้ สนุกในการนําวัตถุดิบต่างๆ มาปรุง โดยใช้สรรพคุณของมัน สร้างเป็นเครื่องดื่มตามฟังก์ชั่นต่างๆ  แต่การจะปรุงใดๆ ก็ตามเรามองว่ามันต้องอร่อยด้วย มันต้องเป็นรสชาติที่อย่างน้อย คุณกินแล้วคุณมีความสุขทางใจ”

Price 
ราคาที่ดื่มได้ทุกวัน

Chum Chum กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนทำงานในย่าน CBD กลยุทธ์ราคาจึงออกแบบให้สามารถดื่มได้ทุกวันโดยไม่เป็นภาระมากนัก ราคาจึงเริ่มตั้งแต่แก้วละ 75 บาท ไปจนถึงร้อยกว่าบาท แม้บางเมนูจะมีราคาสูงขึ้นเพราะใช้วัตถุดิบพิเศษ เช่น โสม แต่ทีมยังคงยึดหลักให้ลูกค้าซื้อได้บ่อยและวันหนึ่งดื่มได้หลายแก้ว

แบรนด์เลือกไม่เน้นกำไรต่อแก้วสูง แต่ให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงไม่สูงเกินไป แม้จะมีข้อทักท้วงว่าราคาต่ำกว่า 100 บาทอาจทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดูพรีเมียม แต่ทีมมองว่า “กำลังภายใน” และความตั้งใจส่งมอบสิ่งดีให้ลูกค้าสำคัญกว่า ภาพลักษณ์ที่ได้จากการตั้งราคาแพงเป็นเพียงเรื่องรอง

“ก่อนที่เราจะตั้งราคาก็มีคนทักท้วงว่าถ้าเกิดตั้งราคาไม่ถึงร้อย แบรนดิ้งมันจะดูไม่พรีเมียมไหม หลายคนบอกว่าเราตั้งราคาถูกไป ทำไมไม่ตั้งราคาให้มีช่องว่างสำหรับการทำโปรโมชั่น แต่เราคิดว่าเราขอแหวกแล้วกัน แบบนี้เราสบายใจกว่า

“หลักคิดของเรามันคือกำลังภายใน เราตั้งใจทําของที่ดีให้คุณ ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพ จนไปถึงราคา เราอยากให้คุณกินได้ทุกวัน เราเลยไม่อยากให้ราคาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องคิดเยอะ ในเรื่องโปรโมชั่นในเชิงลดราคาจึงไม่ใช่จุดเด่นของเราจริงๆ เพราะเราลดไปแต่แรกอยู่แล้ว”

Promotion
สายสัมพันธ์กับลูกค้าคือสิ่งยั่งยืน

Chum Chum เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการสื่อสารในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เมื่อถามถึงโปรโมชั่นของแบรนด์ จูนจึงบอกว่ากลยุทธ์อาจแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป

“เราเลือกก่อนว่า เราอยากให้เขาจําภาพเรายังไง อย่าง Chum Chum เราเน้นแนวคิดหลักว่า ‘กำลังภายใน’ เพื่อให้เขาจำเราได้จากคำนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่เขาต้องการกําลังภายใน ไม่ว่าจะเพราะเครียด เพราะง่วง หรือแค่อยากได้กำลังใจ เขาสามารถมาเติมกำลังภายในกับเราได้”

ทุกองค์ประกอบตั้งแต่เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงหน้าร้านถูกออกแบบให้สอดคล้องกับคอนเซปต์นี้ จูนเสริมว่าเมื่อมีเส้นเรื่องหรือคอนเซปต์หลัก ย่อมทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น ทีมเพียงเลือกเรื่องราวและเครื่องมือการสื่อสารให้เหมาะสม ก็สามารถได้ใจลูกค้ามาครอง

“ในใบเมนู เรามีไอคอนอธิบายฟังก์ชั่นของเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มตัวนี้ให้พลังหยิน ตัวนี้ให้พลังหยาง ตัวเครื่องดื่มก็มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ ว่ามีส่วนผสมจากอะไร แต่ละตัวมีฟังก์ชั่นแบบไหน พอเขาได้เครื่องดื่มไป บนแก้วเราก็มีช่องทางติดต่อให้เขาฟีดแบ็กกลับมาได้ แล้วเรายังติดคำคมหรือแคปชั่นไปเพื่อเติมพลังให้เขา 

“มีครั้งหนึ่ง พนักงานหน้าร้านลืมติดโพสต์อิทคำคมไปให้ในแก้ว ที่ลูกค้าสั่งผ่านทางเดลิเวอรี ตกบ่ายลูกค้าแท็กตามเรามาในไอจี ว่าทำไมวันนี้ไม่มีกระดาษแคปชั่นล่ะ งั้นเขาเขียนคำคมแปะแก้วให้กำลังใจตัวเองไปก่อนก็ได้ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราตั้งใจมันสื่อสารกับลูกค้าได้จริงๆ” 

นอกจากการสื่อสารผ่านเครื่องดื่มแล้ว Chum Chum ยังจริงจังกับการออกแบบหน้าร้านให้เล่าเรื่องได้ด้วยตนเอง อย่างหัวจ่ายเครื่องดื่มที่เป็นหัวจ่ายเบียร์ ก็เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความสะอาดของเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์กับแบรนด์แค่เพื่อทำให้เครื่องดื่มอร่อย แต่ยังทำให้ร้านน่าสนใจ ชักชวนให้คนถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียได้ด้วยตัวมันเอง และถ้าใครไปเติมพลังกันถึงร้านก็จะเห็นดอกไม้สดที่สับเปลี่ยนกันมาในแต่ละวัน เป็นความตั้งใจของจูนที่อยากเติมสีสันให้ลูกค้า

“พื้นเพเดิมของพวกเรา เราทําเรื่องไอทีมาด้วย เราถนัดเรื่อง การออกแบบประสบการณ์ (user experience) ฉะนั้นก่อนที่จะทําอะไรออกมา เราจะพยายามเดาใจลูกค้า หรือว่ากลุ่มเป้าหมายของเราก่อนว่าเขาอยากได้อะไร แล้วเราจะเสิร์ฟสิ่งนั้นได้ตรงใจที่สุดได้ยังไงบ้าง”

โปรโมชั่นของ Chum Chum ไม่เน้นราคา แต่เน้นให้ลูกค้าได้ลองเมนูใหม่ๆ เช่น ชามะลิช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ที่มาพร้อมดอกมะลิจากผู้สูงอายุบ้านบางแค ซึ่งแบรนด์รับซื้อมาประดับในทุกแก้ว เพื่อส่งต่อพลังบวกและสร้างคุณค่าให้ผู้ทำและผู้รับ

ดอกมะลิประดิษฐ์มือแต่ละดอกมีความหมายและเรื่องราวเฉพาะตัว ต่างจากดอกมะลิประดิษฐ์สำเร็จรูปที่หาซื้อได้ทั่วไป

“วันที่ไปรับมอบดอกมะลิ ทีมงานเราไปรับมอบด้วยตนเองและนำเครื่องดื่มไปให้เพื่อขอบคุณ ทางนั้นก็ขอบคุณเราเหมือนกันที่ให้เขาได้ทำอะไรสนุกๆ  มันทำให้เรายิ่งรู้สึกดีนะ”

“เรารู้สึกว่าประเด็นมันไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลขกำไร-ขาดทุน แต่เราอยากให้พวกท่านรู้ว่า แม้ท่านจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้อยู่ แล้วคุณค่านั้นมันก็เปลี่ยนกลับมาเป็นคุณค่าให้กับลูกค้าและแบรนด์ของเราต่อไป”

Place
สถานที่ย่าน CBD ตามกลุ่มลูกค้า

การเติบโตของ Chum Chum เริ่มจากการเปิดร้านเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้าย่าน CBD เนื่องจากมองว่าเครื่องดื่มของแบรนด์ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน ทำให้เลือกปักหมุดในย่านนี้เป็นหลัก

ปัจจุบันกลยุทธ์ยังคงเน้นการขยายสาขาภายในห้าง เพราะเป็นจุดที่มีลูกค้ากลุ่มหลักอยู่มาก การเลือกทำเลจะพิจารณาจากตำแหน่งที่กลุ่มเป้าหมายอาศัยหรือทำงานอยู่ จูนยังเผยว่า Chum Chum ตั้งใจจะขยายสาขาให้ครบ 10 สาขาภายในปีนี้ เพื่อส่งต่อกำลังภายในให้ลูกค้าทุกคน

Purpose
วัตถุประสงค์ ความจริงจัง และความจริงใจ

“ไม่ว่าจะทําอะไรก็ตาม เราต้องมี purpose หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าคุณทําสิ่งนั้นขึ้นมาทําไม” จูนให้คำตอบ เมื่อเราเอ่ยถามถึง P ที่สำคัญของแบรนด์ นอกเหนือไปจาก Product, Price, Place และ Promotion

เครื่องดื่มทุกเมนูของ Chum Chum ถูกสร้างขึ้นโดยมีหน้าที่เฉพาะ ไม่ใช่เพียงเพื่อความอร่อย ในระดับแบรนด์ จูนก็ตอบได้ชัดเจนว่าทำไมแบรนด์นี้ต้องมีอยู่

“เราตอบตัวเองได้ว่าที่ต้องทำแบรนด์นี้ขึ้นมาเพราะเราอยากช่วยเพิ่มกําลังภายในให้คุณได้ไปใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีความสุขและยั่งยืน”

ประสบการณ์หลังจากเปิดร้านทำให้เราตระหนักว่า หากตั้งใจทำสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุด ส่งต่อของดีไปถึงลูกค้าอย่างจริงใจ ของดีนั้นจะเป็นตัวสร้างความยั่งยืนให้แบรนด์เอง โดยไม่ต้องอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่สวยหรู 

“ลูกค้าจะเป็นคนพูดให้คุณเองว่าของของคุณมันมีคุณค่ายังไง มันมีดีอะไร ถ้าเราทำอย่างตั้งใจแล้วเราสื่อสารให้เขาเห็นว่าเราจริงใจอย่างสม่ำเสมอ มันจะได้ผลตอบรับที่ออร์แกนิกมาก ที่สำคัญ มันจะเป็นความสุขทางใจที่ดีให้คนทํางานต่อไป”

เบื้องหลังแฟชั่นเทรนดี้ของ SALETE ที่ออกแบบกระเป๋าจากเศษผ้าและเรื่องเล่าจากคลองแสนแสบ

เมื่อพูดถึง ethical fashion หรือแฟชั่นรักษ์โลก ภาพจำของหลายคนมักเชื่อมโยงกับสินค้าวัสดุธรรมชาติหรือท้องถิ่นที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมักมีดีไซน์ที่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ที่มีความแฟชั่นจ๋า และหลายครั้งก็ใช้ได้แค่ในโอกาสพิเศษแต่ไม่เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ SALETE กลับพลิกภาพจำได้อย่างสิ้นเชิง เพราะดีไซน์กระเป๋าของแบรนด์นี้มีความเทรนดี้และได้ไปเฉิดฉายในงานดีไซน์วีคที่ยุโรปมาแล้ว

ชื่อแบรนด์ SALETE (สะเลเต) เป็นชื่อดอกไม้ไทย เพราะนงนุช บํารุงกุล เจ้าของและนักออกแบบ อยากตั้งชื่อแบรนด์ที่เล่าคอนเซปต์ถึง cultural bag ที่หลายคอลเลกชั่นมีแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวในวิถีชีวิตไทย เช่น ไซดักปลา พานพุ่ม สไบ 

แบรนด์นี้เริ่มต้นจากความตั้งใจในการอนุรักษ์งานหัตถกรรม กระบวนการออกแบบจึงเน้นอุดหนุนผ้าทอและใช้เศษวัสดุอย่างคุ้มค่า เนื่องจากผ้าไหมที่นำมาใช้มีปริมาณจำกัด ทำให้แต่ละรุ่นมีสีและลวดลายแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้เหมือนเดิม

เบื้องหลังกระบวนการออกแบบที่ใช้วัสดุท้องถิ่นและนำผ้ามาใช้ซ้ำไม่เพียงช่วยลดเศษผ้า แต่ยังสร้างระบบกระจายรายได้ที่ทั่วถึง ทุกครัวเรือนในชุมชนมีบทบาทเฉพาะของตนเอง ทำให้รายได้ไม่กระจุกอยู่เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ตลอดเวลากว่า 5 ปีของการทำแบรนด์ที่ผ่านมา นงนุชยึดมั่นในความตั้งใจแรกเริ่ม คือการสนับสนุนชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านงานออกแบบ เธอเชื่อว่าต่อให้ดีไซน์จะโดดเด่นแค่ไหน ก็ต้องฟังเสียงลูกค้าอยู่เสมอ และสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดลายเซ็นของแบรนด์ที่ชัดเจนและสามารถสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

Start with What’s in Hand

เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์กระเป๋าผ้าไหมของนงนุช เริ่มจากประสบการณ์ยาวนานในงานออกแบบภายใน (interior design) ทำให้เธอเชี่ยวชาญการจับคู่สีสันและเลือกใช้วัสดุ จนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจลงเรียนตัดกระเป๋าเป็นงานอดิเรกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 

สิ่งที่เริ่มจากความสนุกเล็กๆ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ เมื่อญาติพี่น้องในครอบครัวที่เก็บสะสมผ้าไทยไว้ต่างมาขอให้เธอตัดกระเป๋าให้ กลายเป็นงานออกแบบที่ลองออกแบบกระเป๋าให้คนรู้จักก่อนในตอนแรก และเปิดโอกาสให้มองเห็นความเป็นไปได้ทางธุรกิจในเวลาต่อมา

“เมื่อห้าปีก่อน ยังไม่มีกระเป๋าผ้าไหมสไตล์ casual ที่ใช้ได้ทุกวัน ส่วนใหญ่กระเป๋าผ้าไทยจะเป็นแบบที่เหมาะกับการออกงานทางการ โอกาสที่เราจะเห็นผ้าไทยหรือผ้าไหมในชีวิตประจําวันค่อนข้างน้อยมาก ชุมชนที่ทอผ้าก็น้อย เพราะขายยากและคนใช้งานยาก ด้วยความที่เราเป็นนักออกแบบ ก็เลยคิดว่าถึงแม้เราจะไม่ใช่คนในชุมชน แต่เราสามารถใช้การออกแบบช่วยชุมชนได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทํางานอนุรักษ์ผ้าไทย”

สิ่งที่โดดเด่นของแบรนด์ SALETE คือสีสันที่หลากหลาย หลายคนอาจคิดว่าไอเดียจับคู่สีที่สวยงามเหล่านี้ต้องมาจากนักออกแบบ แต่นงนุชบอกว่าเธอไม่ได้เป็นคนกำหนดโทนสีเองเลย กระเป๋าทุกใบตั้งต้นจากผ้าที่ชุมชนมีอยู่แล้ว

“เราอยากให้ชุมชนทอผ้าด้วยความสุข ความสบายใจ และความภูมิใจในการทำงาน เหมือนเวลาที่เราอยากทํางานอะไร เราก็ได้ทํา พอเราชอบและทำด้วยใจรัก เราก็จะทำได้ดีและทำได้นานขึ้น ถ้าไปจำกัดความคิดชาวบ้าน อาจทำให้ความสุขในการทำงานลดลง เราเลยอุดหนุนผ้าจากชาวบ้านโดยไม่ได้กำหนดว่าปีนี้ต้องมีเทรนด์สีแบบไหน เราเลือกผ้าที่ชาวบ้านภูมิใจในลาย หรือใช้เทคนิคขั้นสูงในการย้อมผ้ากว่าจะได้สีแบบนี้ออกมา”

นงนุชยกตัวอย่างสีมะขามที่ต้องย้อมหลายรอบกว่าจะได้โทนสีสวยลึกอย่างที่เห็น และบอกว่าในขณะเดียวกันก็ยังสนับสนุนลายที่มีความโมเดิร์น เพื่อให้คนรุ่นใหม่มองผ้าไหมเหมือนผ้าลายทั่วไป เช่น ลายดอกหรือลายกราฟิกที่ใช้งานง่าย

สำหรับวัสดุหลักที่ใช้ทำกระเป๋าของแบรนด์คือผ้าไหม เสริมด้วยผ้าฝ้ายในบางรุ่นตามความเหมาะสม โดยเลือกลายผ้าไหมที่เป็นลายเบสิก ทอง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ชาวบ้านที่มีทักษะต่างกันสามารถทำได้คล่องและกระจายงานสู่หลายครัวเรือนได้อย่างทั่วถึง

“ขั้นตอนการทําผ้าไหมมันเยอะมาก ตั้งแต่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กว่าจะสาว มัดย้อม ผ้าไหมหนึ่งผืนไม่ได้เกิดจากหนึ่งบ้านหรือหนึ่งแฟมิลี่ มันเกิดจากทั้งชุมชนซึ่งเป็นเหมือนระบบเศรษฐกิจชุมชน แต่ละบ้านก็จะชำนาญเฉพาะอย่าง บางบ้านเก่งเลี้ยงไหม อีกบ้านเก่งสาวไหม ชาวบ้านจะทำงานเป็นวงจรต่อกันมาเป็นทอดๆ มันเลยกลายเป็นวัฏจักรของเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา และการที่เราอุดหนุนผ้าไหมเลยช่วยได้แบบองค์รวมเป็นวงกว้าง”

Modular Design from Leftovers

“เอาเศษผ้ามาทําจนไม่รู้ว่ามันเป็นเศษผ้า”  นี่คือคอนเซปต์ของกระเป๋าคอลเลกชั่น Morph ที่มองไม่ออกเลยว่ามาจากเศษหนังและเศษผ้าเหลือผสมกัน

ด้วยความที่การตัดกระเป๋ามักมีเศษผ้าไหมเหลือเสมอ นงนุชจึงตามหาเศษหนังเหลือจากโรงงานที่มีโทนสีเข้ากับเศษผ้า จากเศษวัสดุซึ่งมีที่มาจากคนละทิศละทาง เมื่อจับมาแมตช์กันด้วยสายตาของดีไซเนอร์ก็ออกมาเข้าคู่เป็นพาเลตต์เดียวกัน สวยราวเกิดมาเพื่อกันและกัน 

“เวลาที่เศษผ้าหลือเป็นชิ้นเล็กๆ จนมันไม่สามารถทําอะไรได้เลย เราก็เอาเศษเล็กๆ มาต่อกัน เรียกว่า Modular Technique แล้วก็เอามาสานกันเพื่อเพิ่มความแข็งแรง มันต้องใช้ทฤษฎีสีนิดหน่อย เพื่อทําออกมาแล้วเป็นโทนสีที่ใช้งานง่ายในชีวิตประจําวันได้ แมตช์เสื้อผ้าง่าย ปกติหนังจะทํามาหลายสีอยู่แล้วและเศษหนังในโรงงานก็มีสีเยอะ ซึ่งตอนนี้เราจองเศษหนังในโรงงานหมดแล้ว

“ทรงของกระเป๋า Morph จะมาจาก ‘ไซดักปลา’ เพราะอยากให้คนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สมัยก่อนเป็นยุคที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ทุกบ้านจะมีไซดักปลาเพราะไปตรงไหนก็มีปลาให้จับ แม่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนอยู่บางกะปิ คลองแสนแสบใส เห็นสาหร่าย เห็นปลาว่าย แม่ชอบไปตกกุ้ง สมัยนั้นสิ่งแวดล้อมดีขนาดนั้นเลย บ้านไม้ยกสูงทุกหลังจะมีไซดักปลาอยู่ใต้บ้าน แค่หยิบไซไปดักหน้าบ้านก็มีปลากินแล้ว

“แต่เดี๋ยวนี้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ปลาก็ไม่มีเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยอยากเล่าเรื่องนี้ผ่านงานดีไซน์ เราเลยออกแบบกระเป๋าให้เป็นรูปทรงไซดักปลา เพื่อให้คนตระหนักว่า บ้านเมืองเราเคยอุดมสมบูรณ์กว่านี้ และอยากให้คนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด”

ด้วยแนวคิดที่ผสมผสานเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมกับกระบวนการผลิตแบบ Zero Waste ทำให้ กระเป๋า Morph ได้รับคัดเลือกไปจัดแสดงในงาน Milan Design Week ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของนักออกแบบทั่วโลก

นงนุชเล่าว่า เดิมทีในตลาดกระเป๋าส่วนใหญ่มักพบเห็นกระเป๋าหนังกับกระเป๋าผ้าเป็นสินค้าที่แยกหมวดกัน แต่เธอเลือกผสมผสานวัสดุให้ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งานจริงจากความต้องการของลูกค้า คำนึงว่ากระเป๋าผ้าไหมแบบไหนที่ลูกค้าอยากได้ คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน ส่วนไหนของกระเป๋าที่ต้องรับแรงและสัมผัสบ่อย เช่น ก้นกระเป๋าและหูจับ ก็เพิ่มความแข็งแรงและยืดอายุการใช้งานในส่วนนั้นด้วยวัสดุหนัง ซึ่งการออกแบบโดยคำนึงถึงอายุการใช้งานและวงจรชีวิตสินค้า (product life cycle) นี้เองที่เป็นหัวใจของการออกแบบสินค้าที่ยั่งยืน

Customer-centric is the New Hype   

ช่วงปีที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสแฟชั่นที่มาแรงคือกระเป๋าใบจิ๋ว ซึ่ง SALETE ก็มีคอลเลกชั่น Baby Bag ออกมาเช่นกัน แต่ที่มาไม่ใช่เพราะตามเทรนด์ แต่มาจากการใช้เศษผ้าและเศษหนังให้เกิดประโยชน์สูงสุดเช่นเดิม

“เราไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องออกแบบรุ่นนี้รุ่นนั้น แต่จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อมีเศษผ้าหรือเศษหนังเหลือ และเมื่อทำออกมาแล้ว ลูกค้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเศษ เพราะมันน่ารัก เราอยากให้คิดว่าดีไซน์ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เช่น กระเป๋ารุ่นสำหรับใส่โทรศัพท์ของเราก็เกิดจากลูกค้าชอบใบเล็กแต่ใส่มือถือไม่ได้ รุ่นนี้เพิ่งออกเมื่อต้นปี และฟีดแบ็กดีมาก” 

“ทุกวันนี้เวลาทำสินค้าออกมา กระเป๋าเราจะมีขนาดเยอะมากเลยนะ ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ ทั้งที่ตอนเริ่มมีเพียงสองไซส์ แต่ทุกครั้งเวลาที่เราเจอลูกค้า เราจะฟังว่าเขาอยากได้อะไร แล้วพัฒนาต่อให้ตรงใจ มันอยู่ที่ว่าเราฟังเขาไหม เราก็ปรับไซส์มาหลายรอบ เล็กไปก็ไม่ดี ใหญ่ไปก็ไม่สวย มันอยู่ที่ความพอดี”

เคล็ดลับอีกอย่างในการออกแบบอย่างยั่งยืนคือทําให้คนรู้สึกว่าซื้อกระเป๋าผ้าไหมหนึ่งใบแล้วใช้ได้คุ้ม ซื้อมาแล้วอยากเก็บไว้ใช้ตลอด 

“เราพยายามแก้ pain point ของการใช้ผ้าไหมทีละจุด อย่างกระเป๋า ‘ParnPum (พานพุ่ม)’ นี้ เกิดจากเดิมทีหลายคนมองว่ากระเป๋าผ้าไหมดูแก่ เราเลยออกแบบให้เป็นทรงที่มีความโมเดิร์นขึ้น แรงบันดาลใจมาจากพานพุ่มดอกไม้แบบไทยๆ ซึ่งปกติเราคุ้นเคยกับทรงนี้และกลีบดอกไม้ที่ฐาน เรานำ shape & form เดิมมาเรียบเรียงใหม่ให้เรียบง่ายขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น ปรับฐานให้มีความ geometric และผสมผสานกับผ้าไหม กลายเป็นดีไซน์ที่มีความคมของเหลี่ยมมุมแต่ก็ยังคงความนุ่มนวลของผ้าไหม รุ่นนี้เลยมีความคอนทราสต์ในตัวเอง และเป็นทรงที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ลูกค้าเห็นแล้วมักจะพูดว่า แปลกดี ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“อย่างคอลเลกชั่น Tube ก็เป็นทรงออริจินัล ที่เป็นทรงสูง รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ทําให้คนรู้จัก SALETE โจทย์คือเราอยากให้การใช้ผ้าไหมมีความยืดหยุ่นขึ้นในไลฟ์สไตล์และใช้ได้ทุกวัน มันเลยเป็นรุ่นที่ปรับทรงได้ เป็นทรงที่รูดแล้วกลายเป็นสามเหลี่ยมได้ แต่วันไหนที่ของเยอะก็ขยายความจุได้มากขึ้นเป็นทรงที่ตอบโจทย์สำหรับคนชอบฟังก์ชั่นแบบนี้” จะเห็นได้ว่าแรงบันดาลใจในคอนเซปต์ของแบรนด์ SALETE ในหลายคอลเลกชั่นมักมาจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตไทย นอกจากไซดักปลา พานพุ่ม ยังมีกระเป๋าที่ออกแบบจากความชอบในสไบไทย และทำเป็นผ้าที่ยืดได้ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน

ด้วยรูปทรงกระเป๋าเอกลักษณ์ที่ไม่ค่อยมีใครทำมาก่อน ทำให้นงนุชผ่านกระบวนการทดลองทำ prototype และ mockup มาเยอะมากกว่าดีไซน์กระเป๋าจะลงตัว ยังไม่รวมกระบวนการปรับแก้ตอนผลิตจริงกับโรงงานที่ต้องใช้เวลา แต่การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ก็ส่งผลลัพธ์อันน่าชื่นใจที่สามารถสร้างมูลค่าทางดีไซน์ได้จริง และเมื่อสินค้าโดดเด่นก็ช่วยลดแรงในการทำการตลาดได้อีกต่อ 

Win Hearts and Sales with Unique Design

กระเป๋าแบรนด์ SALETE วางขายในทำเลสำคัญใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลภูเก็ต เอ็มโพเรียม และไอคอนสยาม รวมถึงโรงแรมระดับ 5-6 ดาว โดยอนาคตอยากเพิ่มการวางขายตามร้านค้าในโรงแรมให้มากยิ่งขึ้นอีก เพราะนอกจากคนไทยแล้วยังมีกลุ่มลูกค้าแฟนคลับแบรนด์ที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มสำคัญทั้งจากจีน สิงคโปร์ อาหรับ ยุโรป และอเมริกา

“SALETE ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่นะ เป็นแบรนด์เล็กๆ ความจริงเราเป็นดีไซเนอร์ที่ไม่ถนัดการตลาดด้วย แต่ลูกค้ารู้จักเราจากการบอกปากต่อปาก เพราะหนึ่ง ดีไซน์มีเอกลักษณ์ สอง พอคนรู้ว่าเป็นผ้าไหมก็มีความว้าว ลูกค้าของ SALETE เลยมีทั้งคนที่ชอบผ้าไหมอยู่แล้ว และคนรุ่นใหม่ที่ปกติไม่สนใจผ้าไทย แต่เห็นกระเป๋าเราแล้วอยากลองใช้กระเป๋าจากผ้าไหมขึ้นมา มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้ใจฟู”

นงนุชเล่าว่าอนาคตอยากขยายไปสู่การออกแบบงานหัตถกรรมไทยประเภทอื่นที่หลงใหล เพราะอยากอนุรักษ์งานประเภทอื่นนอกจากผ้าไหม เพิ่มไลน์สินค้าที่หลากหลายและต่อยอดไปสู่หมวดอื่น เช่น ของแต่งบ้าน โดยมีเป้าหมายคือให้งานหัตถกรรมเหล่านี้สนับสนุนชุมชนได้จริง 

เมื่อนึกถึง waste หลายคนอาจนึกถึงภาพขยะในถังขยะเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วที่มาของ waste เกิดจากสิ่งที่ผู้คนมองว่าไร้ค่าและไร้ราคา เช่น เศษผ้า เศษหนังที่เหลือใช้จากการผลิต รวมถึงการมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีมูลค่าอย่างผ้าไหม

การนำวัสดุและงานหัตถกรรมมาเพิ่มคุณค่า เติมความคิดสร้างสรรค์ จนกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ อยากครอบครองแบบแบรนด์ SALETE คือหัวใจของการสร้างมูลค่าใหม่แบบยั่งยืนที่ใครๆ ก็ทำตามในแบบของตัวเองได้ แค่ใส่หัวใจลงไปในงาน

ขอบคุณรูปจากแบรนด์ SALETE 

Bolt แอพฯ เรียกรถที่เกิดจากเด็ก 19 สู่การเป็น Unicorn ที่มีผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านคน

ทุกวันนี้คุณเดินทางไปทำงานวันละกี่ชั่วโมงและเลือกเดินทางไปทำงานกันยังไง บางคนอาจยอมขับรถฝ่ารถติดหลายชั่วโมง บางคนอาจเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะ ขึ้นรถหลายต่อจนท้อ หรือบางคนอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีให้เลือกในท้องตลาด

หนึ่งในนั้นคือ Bolt แอพพลิเคชั่นเรียกรถที่หลายคนว่ากันว่าถูกที่สุดถ้าเทียบกับเจ้าอื่นๆ โดยเป็นไอเดียจากชายหนุ่มชาวเอสโตเนียวัย 19 ปีที่ชื่อว่า Markus Villig เขาเบื่อหน่ายกับปัญหาการเรียกรถแท็กซี่ที่แสนจะยากเย็นและมีค่าบริการที่แพง จึงตัดสินใจยืมเงินพ่อแม่ 5,000 ยูโร มาลงทุนทำแอพฯ เรียกรถของตัวเองขึ้นเมื่อปี 2013 และทะยานสู่การเป็น Unicorn เพียงไม่กี่ปีหลังจากก่อตั้ง Bolt

ปัจจุบัน Bolt มีผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านคน ใน 50 ประเทศ มีคนขับมากกว่า 4.5 ล้านคน ใน 50 ประเทศ

มีสกู๊ตเตอร์ให้เช่ากว่า 230,000 คัน ใน 25 ประเทศ และในช่วงโควิด-19 ได้เพิ่มบริการส่งอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้ถึงหน้าบ้านภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที ทุกวันนี้มีร้านอาหารในแอพฯ ให้เลือกกว่า 40,000 แห่ง ใน 200 เมือง

เบื้องลึกเบื้องหลัง business model ที่ประสบความสำเร็จนี้ ถูกเปิดเผยอย่างไม่มีกั๊กในงาน Regional Exponential Fest 2025 มหกรรมจุดประกายการค้าระดับภูมิภาค ที่จัดขึ้นโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ผ่านการบอกเล่าของ Mr.Juliano Fatio (Director, Bolt Business – International Expansion) ที่เราสรุปให้ได้ติดตามกันผ่าน Keynote ในครั้งนี้

#เพราะมีปัญหาถึงเกิดธุรกิจที่มาช่วยแก้ปัญหา

Mr.Juliano ได้เปิดเผยสถิติว่าที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนใช้เวลาเดินทางเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมง 14 นาที แต่ที่หนักกว่านั้นคือที่กรุงเทพฯ คนใช้เวลาเดินทางเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที ลองคิดดูเล่นๆ ว่าเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง คุณสามารถใช้เวลาทำงานหรือพักผ่อนอยู่กับครอบครัวได้สบายๆ

นอกจากนี้ยังพบว่าต่อให้คนมีรถส่วนตัว แต่กว่า 95% มักจะจอดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้เดินทางตลอดเวลา รวมถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ภาคการขนส่งทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงถึง 21% ด้วยปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดมิชชั่นของ Bolt ที่สร้างขึ้นเพื่อผู้คน ไม่ใช่แค่เพื่อใช้บริการเรียกรถ

#บริการที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่าง

ถ้าพูดถึงบริการเรียกรถทั่วๆ ไป คนจะนึกถึงแค่รถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก แต่ Bolt ในหลายๆ เมืองมีบริการที่มากกว่านั้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่เดินทางในระยะทางแตกต่างกัน ดังนี้

– สกู๊ตเตอร์ สำหรับเดินทางระยะทางสั้นๆ ตั้งแต่ 400 เมตร – 4 กิโลเมตร

– e-Bike หรือจักรยานไฟฟ้าสำหรับเดินทางในระยะทาง 500 เมตร – 5.5 กิโลเมตร

– บริการเรียกรถแบบ Ride-hailing คือการให้ผู้โดยสารเลือกประเภทรถและระบุจุดหมายปลายทางได้ สำหรับเดินทางในระยะทาง 1.8 กิโลเมตร – 13 กิโลเมตร

– บริการ Carsharing หรือเช่ารถยนต์ สำหรับเดินทางในระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไป

#หัวใจหลักคือการปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น

Mr.Juliano ได้เล่าว่ากุญแจสู่ความสำเร็จของ Bolt คือกลยุทธ์ Achieving Localisation หรือการเข้าถึง เข้าใจแต่ละท้องถิ่นอย่างถ่องแท้ อย่างการเริ่มต้นทำการตลาดในบ้านของตัวเองที่เอสโตเนีย ถึงแม้ตอนนั้นจะมีเจ้าใหญ่ครองตลาดอยู่อย่าง Uber แต่ Markus Villig ผู้ก่อตั้ง Bolt ได้ใช้ความได้เปรียบในการรู้จักนิสัยใจคอของเอสโตเนียมาออกแบบบริการและประสบการณ์ใช้งานที่เข้ากับคนในพื้นที่

จากจุดนั้นจึงเริ่มเติบโตที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะค่อย ๆ ขยายตัวมาสู่ยุโรปที่ขึ้นชื่อว่ามีกฎหมายการคมนาคมซับซ้อน จนทำให้ Uber ไม่ได้รับต่ออายุใบอนุญาตในลอนดอนตอนปี 2019 ส่วน Bolt ก็ขึ้นมาได้เปรียบในการตีตลาดที่ลอนดอน

การขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นของ Bolt จึงไม่ใช่แค่การเข้าใจภาษา แต่ต้องลงลึกถึงพฤติกรรมของคนในพื้นที่ เพื่อออกแบบบริการเฉพาะของแต่ละประเทศได้ ไม่สามารถใช้สูตรสำเร็จเดียวกันกับทุกประเทศ อย่างบางพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร ก็จะมีการอัพเดตข้อมูลคนขับและสถานะการให้บริการผ่านทาง SMS หรือแม้แต่การชำระค่าบริการ ถึงแม้หลายประเทศจะเน้นจ่ายแบบออนไลน์แล้ว แต่ก็ยังต้องมีการจ่ายเงินแบบออฟไลน์อย่างการจ่ายด้วยเงินสดในทุกพื้นที่

สิ่งที่น่าสนใจคือมีการวิเคราะห์รูปแบบการจราจรในแต่ละพื้นที่ เพื่อปรับระบบให้จับคู่คนขับกับผู้ใช้ได้แม่นยำและเหมาะสมกับสภาพการจราจร โดยเน้นทำงานร่วมกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่จริงๆ

ที่สำคัญคือเรื่องราคา Bolt จะสำรวจค่าบริการรถในตลาด เพื่อตั้งราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่ากว่า มาจากปัญหาของ Markus Villig ผู้ก่อตั้ง Bolt ที่เขาและคนรอบตัวต้องปวดหัวกับการจ่ายค่ารถที่แพงหูฉี่ Bolt จึงตั้งราคาถูกกว่าเจ้าอื่นในตลาดเกือบครึ่ง ทั้งยังขอส่วนแบ่งจากคนขับเพียง 15% ในขณะที่คู่แข่งเจ้าอื่นอยู่ที่ประมาณ 20-25% ทำให้คนขับโดนหักค่าคอมมิชชั่นน้อยกว่า ค่าบริการจึงถูกกว่า

#ลุยในตลาดที่จะสามารถชนะได้

ในการเลือกประเทศที่จะขยายธุรกิจของ Bolt มีเกณฑ์หลักๆ อยู่ 5 ข้อคือ

– ตลาดที่จะไปต้องมีขนาดใหญ่พอให้ลงทุน เพราะในวันที่ Bolt ยังไม่ใช่เจ้าใหญ่ในตลาดและเขายังอยากรักษาค่าบริการให้ถูกที่สุด ในการลงทุนทุกบาท ทุกสตางค์จึงสำคัญมาก และต้องเป็นตลาดที่ใหญ่พอจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับคืนมา

– สามารถทำความเข้าใจและปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับระเบียบข้อบังคับในประเทศนั้นๆ ได้ โดยจะรู้ได้จากการที่เขาร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศนั้น เพื่อเข้าใจกฎข้อบังคับต่างๆ ได้

– ดูคู่แข่งในตลาด หากมีผู้เล่นในตลาดนี้เพียง 1-2 เจ้า Bolt เลือกที่จะลุยในตลาดนั้นทันที เพราะมีโอกาสชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า เขาได้รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้จากตอนไปตีตลาดในลอนดอนที่มีคู่แข่งกว่า 7-8 ราย ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนสูงทุน 100 ล้านยูโรในการสู้บนตลาดนั้น

– บริการของ Bolt เหมาะสมหรือเป็นที่ต้องการของประเทศนั้นๆ หากยังไม่มั่นใจในตลาด เขาจะลองทดสอบด้วยการลงทุนไม่มากดูก่อน หรือหากเขาต้องการขยายธุรกิจไปยังประเทศไหนอย่างรวดเร็ว และอยากใช้เงินตัวเองน้อย ก็จะเปิดให้บริการแบบระบบแฟรนไชส์แทน

– ข้อสุดท้ายคือลงทุนในตลาดที่ชนะได้ Mr.Juliano เล่าว่าในทุกๆ การลงทุน 15-20 เมือง จะมีเพียง 20-30% เท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ในช่วง 6 เดือนแรก หากผ่านช่วงนี้ไปได้แปลว่าเขามีโอกาสชนะในตลาดนั้นและสามารถลงทุนต่อไปได้

ถึงแม้ในบ้านเรา Bolt ยังถือว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ต้องแข่งขันกับเจ้าใหญ่ๆ และเจอกับความท้าทาย ทั้งในเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และสงครามราคา แต่ด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดที่เล่ามาก็ทำให้ Bolt ประสบความสำเร็จอย่างมากในฝั่งยุโรปและเป็นแอพพลิเคชั่นเรียกรถที่น่าจับตามองอีกเจ้าหนึ่ง

‘ใบเสร็จ’ หนึ่งในการเขียนยุคแรกๆ ถึงแคชเชียร์ป้องกันการทุจริต และสิ่งสำคัญในโลกธุรกิจ

ทุกวันนี้ ใบเสร็จ ทำให้คุณประสาทกินหรือไม่ การไปเดินห้าง ก็ต้องสะสมใบเสร็จเพื่อเอาไปแลกเวลาจอดรถ หลายโปรโมชั่นก็ต้องแสดงใบเสร็จ บ้านร้านอาหารให้เราสแกนใบเสร็จเพื่อสะสมแต้ม ซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ก็ต้องเก็บใบเสร็จไว้ เก็บไปเก็บมา ในกระเป๋า ในบ้าน เต็มไปด้วยกระดาษแผ่นบางๆ จิ๋วๆ 

แน่นอน ใบเสร็จที่เราหยิบและสะสมไว้เป็นจำนวนมหาศาล ตัวมันเองเป็น ‘หลักฐาน’ ของการซื้อ-ขายสินค้า เป็นการระบุราคา ที่มา วันเวลา และอาจรวมถึงความคุ้มครองและข้อมูลอื่นๆ ที่ผูกมัดผู้ซื้อและผู้ขายของการทำธุรกรรมในครั้งหนึ่งๆ  

แหม พอพูดแบบนี้ เจ้าใบเสร็จที่อยากจะขยำทิ้งก็ดูจะกลายเป็น ‘ของ’ สำคัญของโลกธุรกิจเลยทีเดียว เรียกได้ว่านอกจากธุรกิจและธุรกรรม การค้าทั้งหลาย ของผู้ซื้อ-ผู้ขายแล้ว เจ้าใบเสร็จนี้ยังทำหน้าที่ที่สำคัญมากๆ มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล คือเป็นหลักฐานเพื่อใช้ตรวจสอบของรัฐในการจัดการภาษีและดูแลความเป็นไปต่างๆ ของกิจการในดินแดนของตน

ถ้าเรามองย้อนกลับไป ในหลักฐานเก่าแก่อย่างหลักฐานตัวเขียนข้อความโบราณนั้น เราจะพบว่าหนึ่งในข้อเขียนของภาษาเขียนที่เกิดขึ้นคือการบันทึกธุรกรรม หลักฐานการซื้อ-ขาย เรียกได้ว่าเมื่อมีภาษาเขียนเกิดขึ้น หลักฐานหรือใบเสร็จก็เป็นหนึ่งในข้อเขียนสำคัญที่มนุษย์เขียนเพื่อเป็นหลักฐานซึ่งกันและกัน และเป็นหลักฐานต่อรัฐ 

จากข้อเขียนในแผ่นดินเหนียว กระดาษปาปิรุส หรือเศษเครื่องปั้นดินเผา มนุษย์เราต้องพึ่งพาหลักฐานชิ้นเล็กๆ ในการซื้อ-ขายสรรพสิ่ง จนมาถึงยุคสมัยของการค้าที่มีลูกค้าและการซื้อ-ขายเป็นจำนวนมาก เจ้าของกิจการชื่อ ‘เจมส์ ริตตี้ (James Ritty)’ จึงคิดค้นระบบบันทึกข้อมูลอัตโนมัติซึ่งก็คือแคชเชียร์ที่ส่งเสียงกริ๊งท่ีเราคุ้นเคย ที่พวกมันถูกคิดขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริตของพนักงานในการซื้อ-ขาย

แผ่นดินเหนียว เศษดินเผา ก่อนจะมีใบเสร็จ

ในอารยธรรมที่มีการเขียน นักโบราณคดีมักพบข้อเขียนที่ระบุเป็นข้อความ หลักฐานการซื้อ-ขาย เป็นหนึ่งในงานเขียนที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ว่าด้วยการขีดๆ เขียนๆ เราต้องย้อนไปที่สมัยเมโสโปเตเมีย 

ในอารยธรรมเมโสโปเตเมียมีการเขียนอักษรลิ่มคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียว หนึ่งในใบเสร็จที่เก่าแก่ที่สุดคือแผ่นดินเหนียวที่พบในตุรกี แผ่นจารึกขนาดย่อมๆ มีอายุถึง 3,500 ปี บันทึกถึงการซื้อเฟอร์นิเจอร์ของใครสักคนไว้

นอกจากแผ่นดินเหนียวอายุ 3,500 ปีที่ว่าด้วยการซื้อ-ขายเฟอร์นิเจอร์แล้ว ยังมีแผ่นดินเหนียวในทำนองเดียวกัน คือเขียนโดยผู้ขายสินค้า บันทึกรายละเอียดสินค้าและราคาไว้ เช่นแผ่นดินเหนียวที่ค้นพบในพื้นที่ของอิรัก ที่คาดว่าจะมีอายุในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ตัวแผ่นดินเหนียวบันทึกการขายต้นปาล์ม 15 ต้น 

ในกรณีการซื้อ-ขายต้นปาล์ม นักประวัติศาสตร์ชี้ว่านับเป็นอีกหนึ่งบันทึกที่มีความซับซ้อนในตัวเอง คือเป็นหลักฐานการซื้อ-ขายต้นปาล์ม โดยพูดถึงเฉพาะตัวต้นปาล์มในฐานะสินค้า ไม่ใช่ที่ดินที่มันถูกนำไปปลูกซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า 

นัยหนึ่งของใบเสร็จในยุคนั้น ไม่ได้เป็นแค่ใบเสร็จรับเงิน แต่เป็นหลักฐานสัญญาย่อยๆ ตัวแผ่นดินเหนียวแสดงให้เห็นถึงการที่ประชาชนของเมืองสามารถทำกิน ครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ ของพื้นดินได้ แต่ครอบครองที่ดินไม่ได้ ทั้งยังมีการลงนามของผู้เกี่ยวข้อง พยาน ซึ่งเป็นหลักฐานของการทำธุรกรรมที่มีผลตามกฎหมายที่ค่อนข้างซับซ้อน

สำหรับอียิปต์โบราณเอง เมื่อมีวัฒนธรรมการเขียนแล้ว ในสมัยอียิปต์โบราณเองก็มีการเขียนใบเสร็จเช่นเดียวกัน แต่ในยุคนั้น กระดาษปาปิรุสค่อนข้างเป็นของราคาแพง เป็นสิ่งประณีต แต่ในยุคอียิปต์โบราณจะมีวัตถุอีกประเภทเรียกว่า Ostracon คือจะเป็นเศษ (บางทีก็ชิ้นใหญ่) ของเครื่องปั้นดินเผาที่แตก ไปจนถึงเศษหินแบนๆ 

เศษวัสดุเหล่านี้เป็นของราคาถูก หาได้ทั่วไป ชาวอียิปต์จึงใช้แทนเศษกระดาษ เอาไว้ใช้จดโน้ต คำนวณตัวเลข ใช้ให้เด็กๆ ฝึกเขียน ทำการบ้าน และแน่นอนใช้บันทึกหลักฐาน อย่างใบเสร็จก็ใช้เครื่องดินเผาแตกๆ เหล่านี้เขียนสิ่งต่างๆ ลงไป

อย่าลืมว่าใบเสร็จในสมัยโบราณ (รวมถึงในปัจจุบัน) ส่วนหนึ่งของพวกมันเป็นตัวเชื่อมข้อมูลของรัฐ และกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คน เป็นหลักฐานในการซื้อ-ขายเพื่อนำไปแสดงการซื้อ-ขายและการจ่ายภาษี ป้องกันการเก็บภาษีซ้ำ

เครื่องเก็บเงินที่โกงไม่ได้ กับมาตรฐานร้านค้า

จากยุคโบราณที่เราพบหลักฐานต่างๆ ในการค้าขายและการแสดงหลักฐานต่อรัฐ มาถึงในยุคสมัยใหม่ที่โลกขับเคลื่อนด้วยการค้า รอยต่อสำคัญของใบเสร็จ คือการเกิดขึ้นของเครื่องที่เราเรียกกันอย่างลำลองว่า ‘แคชเชียร์’ ซึ่งก็คือเจ้าเครื่องเก็บเงินที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี่แหละ

ทีนี้ เครื่องเก็บเงินเป็นอีกสุดยอดนวัตกรรมของโลกสมัยใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมและช่วยกิจการได้ ซึ่งต้องย้อนไปในทศวรรษ 1870 ที่เมืองโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่นั่นมีเจ้าของบาร์ และทำกิจการขายสุรา บุหรี่และอื่นๆ ชื่อ ‘เจมส์ ริตตี้’

วันหนึ่งริตตี้เดินทางไปยุโรปด้วยเรือกลไฟ ในระหว่างเดินทางแกก็เป็นคนชอบประดิษฐ์ ชอบคิด และไปสะดุดกับกลไกการหมุนของกลไกการเดินเรือที่มันนับรอบการหมุนของใบพัดได้ เลยคิดได้ว่า ด้วยกลไกในทำนองเดียวกันนี้ เราก็น่าจะนำมานับยอดการซื้อ-ขายของกิจการของตัวเองได้

ดังนั้นจึงกลับไปประดิษฐ์เครื่องเก็บเงิน เครื่องเก็บเงินที่ฟังดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันกำลังแก้ปัญหาของกิจการในขณะนั้น คือเครื่องเก็บเงินที่ว่าทำหน้าที่สร้างความโปร่งใสในการซื้อ-ขาย เป็นเครื่องที่พนักงานจะหมุนตัวเลข เพื่อแสดงยอดการซื้อในครั้งนั้น ทำให้ผู้ซื้อมองเห็นและตอบรับยอดเงินได้ ตัวเครื่องจะทำหน้าที่บันทึกข้อมูล (ซึ่งค่อยๆ พัฒนาจากรุ่นแรกที่เครื่องจะบันทึกยอดคือการหมุนตัวเลขเป็นยอดรวมในแต่ละวัน จนกลายเป็นระบบม้วนกระดาษ มองเห็นยอดแต่ละครั้ง) ลงทันทีที่เกิดการซื้อ-ขายขึ้น เมื่อสิ้นสุดวัน เจ้าของกิจการหรือผู้จัดการก็จะสามารถตรวจสอบและจัดการกับยอดเงินได้ในทันที

ทางเจมส์ ริตตี้เอง ก็เผชิญกับปัญหาพนักงานแอบยักยอกเงินของลูกค้า คือไม่จดบันทึกรายการการซื้อ-ขายบางรายการ  ทำให้กิจการสูญเสียรายได้ การประดิษฐ์ของเจมส์ ริตตี้ และน้องชาย จอห์น ริตตี้ จึงเป็นการแก้ปัญหากิจการของตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงมีการจดสิทธิบัตรและเริ่มตั้งโรงงานเพื่อผลิตเครื่องเก็บเงินเป็นอีกกิจการ

ในการพัฒนาเครื่องเก็บเงิน แรกเริ่มสุด ยังไม่มีลิ้นชักเก็บเงิน เป็นเครื่องแสดงตัวเลขเพื่อความโปร่งใส ภายหลังริตตี้เองจึงเริ่มพัฒนาให้มีลิ้นชักนิรภัยในการเก็บเงินสำหรับร้านค้าด้วย แต่หัวใจหนึ่งของเครื่องเก็บเงินหรือแคชเชียร์ต้านโกง คือการใส่เสียงกระดิ่งทุกครั้งที่มีการสรุปยอดขาย 

ในรุ่นหลังๆ พัฒนาให้ทั้งเก็บข้อมูลประจำวันในกระดาษ คือริตตี้พัฒนาระบบม้วนกระดาษที่เครื่องจะบันทึกทุกยอดการขายลงในม้วนกระดาษด้วยการเจาะรู ทำให้มองเห็นการซื้อ-ขายทุกๆ ครั้ง ไปจนถึงเป็นเครื่องช่วยคำนวณราคาในการซื้อ-ขายนั้นๆ ทำให้ตัวเครื่องมีความสำคัญต่อเนื่องจากความโปร่งใส นำไปสู่ความถูกต้อง แม่นยำ ในการดำเนินกิจการมากขึ้นด้วย แถมยังเข้าใจพฤติกรรมผู้ซื้อที่ถี่ถ้วนขึ้น นำไปพัฒนาการขายหรือสินค้าต่อได้

ตรงนี้เองทั้งเครื่องที่ใช้แจ้งยอดในร้าน พัฒนาจนมีลิ้นชัก มีระบบม้วนกระดาษที่จะเก็บทุกๆ ยอดซื้อ จึงเป็นระบบต้นแบบของแคชเชียร์และใบเสร็จที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน นำไปสู่การปฏิวัติการค้าที่เจ้าของกิจการสามารถจ้างคนแปลกหน้ามาดูแลร้านได้ เริ่มเป็นระบบที่เข้าใจการตลาด การขาย การบัญชี พฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้การขายสินค้าเป็นจำนวนมากๆ จัดการและเข้าใจเป็นระบบได้ เป็นรากฐานที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจกิจการ

เจ้าเครื่องที่ริตตี้คิดขึ้นนั้น เป็นระบบที่ซับซ้อน ประกอบกับตัวครอบครัวริตตี้เองทำร้านเหล้าและกิจการสุราทำให้ไม่มีเวลา ตัวเครื่องต้องการดูแล พัฒนา และบริการหลังการขาย หลังจากนั้นจึงขายสิทธิบัตรให้กับ จอห์น เอช. แพตเทอร์สัน (John Henry Patterson) หนึ่งในผู้บุกเบิกวงการการขายและการตลาด 

ในนามของบริษัท National Cash Register Company (NCR) แพตเทอร์สันทำการพัฒนาเครื่องเก็บเงินให้กลายเป็นระบบและอุปกรณ์พื้นฐานของกิจการร้านค้าโดยทั่วไป ในที่สุด เครื่องเก็บเงินจึงกลายเป็นภาพและเสียงมาตรฐาน ทั้งลิ้นชัก การพิมพ์ใบเสร็จเป็นหลักฐาน และเสียงติ๊ง ที่เราทุกคนคุ้นเคย ในทศวรรษ 1910 บริษัท NCR ถือเป็นบริษัทด้านการพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา

หลังจากยุคที่เครื่องพิมพ์มากับเครื่องเก็บเงิน นวัตกรรมที่ต่อเนื่องคือระบบพิมพ์ด้วยความร้อน เริ่มมีกระดาษใบเสร็จแบบม้วน ทำให้การบันทึกใบเสร็จไม่จำเป็นต้องมีหมึกในการพิมพ์อีกต่อไป การพิมพ์ใบเสร็จจึงเป็นอีกสุดยอดนวัตกรรมที่ปรากฏทุกหนแห่ง เป็นหลักฐานจากการทำธุรกรรมที่เหมือนกับยุคโบราณ แต่กลายเป็นว่าเราเองสามารถบันทึกการซื้อ-ขายเล็กๆ น้อยๆ ได้ ทั้งด้วยความช่วยเหลือของการคิดค้นเครื่องแสดงมูลค่า ที่ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นอีกหัวใจของทุกร้านค้าและทุกบริษัทกิจการ

ทรัพย์คัลเจอร์ในครั้งนี้ พาทุกท่านเดินทางผ่านสลิปขนาดจิ๋วในมือ ผ่านห้วงเวลานับพันๆ ปี ที่การค้าขายและภาษาแทบจะเกิดขึ้นพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์ และใบเสร็จก็คือหลักฐานการค้าขาย รวมถึงเป็นข้อผูกมัดอันซับซ้อนที่ไม่ได้มีแค่สินค้า แต่มีหลักเกณฑ์ มีกฎหมาย มีเงื่อนไขของรัฐที่มีต่อพลเมือง มีความรับผิดชอบของธุรกิจกิจการที่มีต่อผู้คน และมีธุรกรรมในชีวิตประจำวันถูกบันทึกไว้

ในวันที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล แต่เราเองก็ยังต้องเก็บใบเสร็จยิ่งของล้ำค่า ใบเสร็จถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุที่ถือว่าขับเคลื่อนโลกธุรกิจ ที่มีนวัตกรรมและเรื่องราวมากมายแอบแฝงอยู่

อ้างอิงข้อมูลจาก

เบื้องหลังความขบถของเหล่าคุณยาย Radical Grandma Collective ที่ทอผ้าต่อต้านการสร้างเหมือง

แค่ชื่อ Radical Grandma Collective (RadGram) ก็แฝงด้วยความขบถและความกล้าหาญที่ลุกขึ้นมาท้าทายกับขนบเก่าและอำนาจ แต่เบื้องหลังความขบถนั้นคือพลังแข็งแกร่งของเหล่าคุณยายที่ใช้การทอผ้าเป็นอาวุธในการต่อกรกับเหมืองทองคำและอำนาจทุนนิยม

ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในภาคอีสานของไทยที่บ้านนาหนองบง ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย การต่อสู้เพื่อปกป้องผืนดินและฟื้นฟูชุมชนได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อการสร้างเหมืองทองคำของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแค่ 500 เมตรเข้ามารุกรานชุมชน  เกิดเสียงระเบิดและฝุ่นละออง มีสารพิษปนเปื้อนในนาข้าวและแหล่งน้ำ ทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ทิ้งรอยแผลในผืนดินและรอยแผลทางใจไว้เนิ่นนานแม้สุดท้ายเหมืองจะปิดตัวลง

ตั้งแต่วันที่ถูกรุกราน ‘กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด’ นำโดยเหล่าคุณยายจึงลุกขึ้นหยิบโทรโข่ง ปิดถนน และรวมพลังชาวบ้านจากทุกช่วงวัยเพื่อยุติการทำเหมือง และเลือก ‘การทอผ้า’ เป็นทั้งอาวุธและพื้นที่รวมพลังที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ ‘กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง – สู้เหมือง’ เพื่อนำรายได้จากผ้าผืนงามไปหล่อเลี้ยงการต่อสู้

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปี 2008 แม่รจน์–ระนอง คงแสน ผู้นำชุมชนของกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดและ Co-founder ของ Radical Grandma Collective ได้ชวนชาวบ้านมาฟื้นฟูการทอผ้าที่เกือบเลือนหาย และในเวลาเดียวกันได้พบกับ Becky Goncharoff (เบ็คกี้ กอนชาโรฟ) Executive Director and Co-founder ของ Radical Grandma Collective ซึ่งตอนนั้นเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับชุมชนอย่างลึกซึ้ง ในปี 2016 เบ็คกี้และเพื่อน ๆ กับชาวบ้านได้ร่วมกันก่อตั้ง Radical Grandma Collective (RadGram) ขึ้นเพื่อขายผ้าทอและสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างยั่งยืน

ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีในการฟื้นฟูชุมชนนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต่อสู้มา RadGram ไม่เพียงช่วยระดมทุน แต่ยังทำงานร่วมกับหลายชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมือง ร่วมกับแม่รจน์และชาวบ้านสร้างโรงเรียนทอผ้าให้กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดเพื่อเยียวยาทั้งเศรษฐกิจและหัวใจของผู้คน

เบ็คกี้เล่าว่า หนึ่งในภาพที่งดงามที่สุดคือการเห็นคนหลายรุ่นมานั่งทอผ้าด้วยกัน ได้คุยกันอย่างลึกซึ้งในแบบที่ปกติคงไม่เกิดขึ้น คนรุ่นใหม่ได้กลับมาเรียนรู้ภูมิปัญญาพร้อมทั้งตระหนักว่าชุมชนของตนเต็มไปด้วยพืชพรรณเฉพาะถิ่นและความหลากหลายทางชีวภาพ

“เราและชาวบ้านพยายามเยียวยาความสัมพันธ์ของชุมชนผ่านโรงเรียนทอผ้า มีคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีโอกาสใช้ชีวิตบนผืนดินอย่างเต็มที่ เพราะถูกขัดขวางด้วยการต่อสู้กับเหมืองมาก่อน แต่พอได้มาปลูกฝ้ายด้วยกัน ลงแปลงถอนหญ้าด้วยกัน เก็บพืชสำหรับย้อมสีธรรมชาติ พวกเขาก็เริ่มกลับมาเชื่อมโยงกับผืนดินอีกครั้ง ปกติแล้วคนวัย 20-30 ต้น ๆ มักรู้สึกว่าเหล่าคุณยายหรือแม่ๆ ไม่เข้าใจตน หรืออาจมองว่าคนรุ่นก่อนตัดสินวิถีชีวิตของพวกเขา ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติในครอบครัว

“แต่การทอผ้ากลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกันได้ และนั่นเป็นภาพที่สวยงามมาก” 

Local Wisdom
จังหวะชีวิตบ้านเฮาผ่าน ‘ตำหูก’ 

แม่รจน์เล่าย้อนจุดเริ่มต้นในการทอผ้าต่อต้านการสร้างเหมืองว่า “ตอนนั้นคิดกันว่าเราจะรวมพลังคนทุกรุ่นได้ยังไง ทั้งรุ่นยาย รุ่นแม่ วัยรุ่น และเยาวชน เลยนึกถึง ‘การตำหูก’ หรือการทอผ้า ซึ่งเป็นประเพณีพื้นบ้านที่ห่างหายไปนาน เพราะสังคมเปลี่ยน คนรีบเร่งทำงานจนลืมสิ่งนี้ เราเลยตัดสินใจฟื้นศูนย์ทอผ้าขึ้นมาให้เป็นพื้นที่รวมคนทุกวัย โดยเฉพาะคุณยายที่อาจไม่มีแรงไปร่วมชุมนุม แต่ยังมีฝีมือทอผ้า”

คำว่า ‘ตำหูก’ หมายถึงการทอผ้า ‘หูก’ หรือ ‘ฟืม’ คืออุปกรณ์ในการทอ ส่วนคำว่า ‘ตำ’ มาจากจังหวะที่ใช้สองมือจับฟืมแล้วกระแทกลง เพื่อขึ้นลายบนผืนผ้า ทุกจังหวะของการกระแทกคือการเริ่มต้นของผ้าผืนใหม่ และยังเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงจุดยืนของชุมชน

การฟื้นภูมิปัญญาการตำหูกจึงไม่เพียงเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้ เหล่าคุณยายเป็นกำลังหลักในการทอผ้า ส่วนคนรุ่นแม่และเยาวชนที่แข็งแรงก็ออกไปเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ รายได้จากการขายผ้าถูกแบ่งเป็นกองทุนสนับสนุนการต่อสู้ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนมีคุณค่าและบทบาทสำคัญ การทอผ้ากลายเป็นพื้นที่กลางให้คนทุกวัยทำสิ่งที่ถนัด เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องบ้านและฟื้นฟูภูเขาของชุมชน

แต่สิ่งที่เหมืองทิ้งไว้ ไม่ได้มีแค่สิ่งแวดล้อมที่เสียหาย ความขัดแย้งยังลุกลามเข้าสู่ครอบครัวและชุมชน เพราะชาวบ้านบางกลุ่มเลือกทำงานให้เหมืองเพื่อเลี้ยงชีพ ขณะที่ก็มีหลายคนในชุมชนที่อยากปกป้องผืนดินของบรรพบุรุษ ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นเริ่มแตกร้าว

แม่รจน์เล่าถึงบรรยากาศในวันนั้นว่า “ชาวบ้านแบ่งเป็นสองฝ่าย พี่น้องไม่คุยกัน ตัดขาดญาติมิตรแบบไม่เผาผีกันเลยในช่วงต่อสู้ วัฒนธรรมประเพณีของเราอย่างงานบุญก็ไม่ไปร่วมกัน มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันไม่ได้ มันเคืองอยู่ข้างใน เพราะเหมืองที่เข้ามาเห็นถึงผลประโยชน์ แต่เขาไม่ได้คิดถึงสังคมเราเลยว่าทําให้เราเดือดร้อน เงินที่ชาวบ้านได้มาจากการทำเหมืองต้องแลกกับชีวิตที่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ในตัวเขา และครอบครัวที่ทะเลาะกัน”

เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อ กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดจึงเริ่มคิดถึงแผนฟื้นฟูหมู่บ้านของตัวเอง  สิ่งสำคัญที่แม่รจน์คำนึงถึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม หากเป็นการเยียวยาหัวใจของคนในหมู่บ้าน “สิ่งแรกที่เราอยากได้คือการกลับมาเป็นพี่น้องกัน อยากกินข้าวด้วยกัน มองหน้ากันแล้วยิ้ม เห็นกันแล้วเรียกกันได้ว่ามากินข้าวกันเด้อ เพราะความจริงแล้วความรู้สึกข้างในของชาวบ้านคือเรารักกัน ก็เลยอยากฟื้นฟูความขัดแย้ง เอาสังคม วัฒนธรรม รวมถึงประเพณีของเรากลับมา ดึงสารพิษให้ออกจากชุมชน ที่ไร่ที่นาต้องกลับมาใช้ประโยชน์ได้”

ชุมชนต่อสู้ทางกฎหมายอย่างยาวนานกว่า 20 คดี และชนะทั้งหมด พวกเขาเดินทางไปศาลเดือนละหลายครั้ง นำข้าวและส้มตำไปนั่งรอกันทั้งวันจนค่ำ เชื่อเสมอว่าคดีนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของส่วนรวม เป้าหมายคือฟื้นฟูบ้านเกิดให้ได้

ปี 2560 ชุมชนฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เหมืองฟื้นฟูพื้นที่และเยียวยาชุมชน ศาลมีคำพิพากษาให้ชาวบ้านชนะ และมีสิทธิ์ร่วมทุกขั้นตอนของแผนฟื้นฟู แต่แม่รจน์เล่าว่า ความรู้สึกกลับเหมือนฝันสลาย เมื่อบริษัทที่ก่อสร้างเหมืองล้มละลาย แม้กฎหมายไม่บังคับให้รับผิดชอบต่อ แต่ในมุมของชาวบ้าน หากผู้ก่อผลกระทบมีสามัญสำนึกก็ควรกลับมารับผิดชอบ

แม่รจน์จึงนำทัพสู้ต่อด้วยตัวเอง นำแผนฟื้นฟูของชาวบ้านเข้าไปคุยกับหน่วยงานตั้งแต่ระดับอำเภอ กรุงเทพฯ ไปจนถึงระดับประเทศ ใช้เวลา 4-5 ปีกว่าจะได้สิทธิ์ให้ชาวบ้านในชุมชนมีที่นั่งเป็นบอร์ดร่วมครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการเพื่อออกความเห็นในแผนฟื้นฟูบ้านเกิดของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่แม่รจน์พบคือแม้หน่วยงานรัฐจะสนับสนุนแผนฟื้นฟูชุมชน เช่น ชลประทานบําบัดในพื้นที่เหมือง แต่บางครั้งอาจลืมคิดว่าสารเคมีปนเปื้อนได้กระจายไปไกลกว่าจุดกำเนิดที่ก่อสร้างเหมืองแล้ว และยังหลงลืมการฟื้นฟูชุมชนในมิติอื่นๆ ทั้งสังคม ประเพณี วัฒนธรรม เหล่าแม่ๆ จึงยังต้องยืนหยัดผลักดันกลยุทธ์การฟื้นฟูให้ครบทุกมิติ

ทั้งนี้แม่รจน์ยังเล่าว่าโดยปกติชุมชนจะไลฟ์ขายผ้าในเพจ ‘กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง – สู้เหมือง’ ด้วย แต่สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการขายผ้า คือการสื่อสารเรื่องราวให้คนนอกรับรู้ว่า แม้จะปิดเหมืองได้แล้วก็ไม่ใช่ว่าชาวบ้านจะสบาย แต่ชุมชนยังคงต้องต่อสู้เรื่องการฟื้นฟูจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป

สู้เหมืองผ่านโรงเรียนทอผ้า 

หนึ่งในแผนฟื้นฟูชุมชนที่สำคัญ คือการก่อตั้งโรงเรียนทอผ้าเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ได้กลับมารวมตัว ถ่ายทอดภูมิปัญญา และสร้างรายได้จากงานฝีมือที่สั่งสมมาทั้งชีวิต

แม่รจน์เล่าว่า “ตอนต่อสู้กับเหมือง แม่ๆ หลายคนก็ทอผ้าอยู่แล้ว บางคนย้อมสีธรรมชาติ บางคนใช้สีเคมี แต่พอปิดเหมืองได้ เราอยากเพิ่มคุณค่าให้คำว่า ‘ตำหูก’ มากขึ้น จึงสร้างโรงเรียนทอผ้าขึ้นมา”

ศูนย์ทอผ้าฝ้ายไร้สารเคมีของชุมชนจึงถือกำเนิดขึ้น แรงบันดาลใจจากการต่อสู้กลายเป็นเหตุผลให้ชุมชนหันมาใช้กระบวนการธรรมชาติในการผลิตผ้ามากขึ้น ทุกจังหวะที่เหยียบฟืมหรือหูกลงบนกี่ เปรียบเหมือนคำประกาศกับตัวเองว่า ‘เราต้องปิดเหมืองให้ได้’ พร้อมฟื้นฟูธรรมชาติไปในเวลาเดียวกัน สีสันและลวดลายส่วนใหญ่บนผืนผ้าจึงได้จากพืชพรรณท้องถิ่น เช่น เบือก ประดู่ คอส้ม หูกวาง และหญ้าดอกขาว

แม่รจน์บอกว่าผ้าทุกผืนมีลายเซ็นของผู้ทอชัดเจน “เรามองก็รู้เลยว่าเป็นลายของแม่คนนี้ แต่ละคนมีสไตล์ประจำ บางคนชอบเอิร์ทโทน บางคนใช้สีสด บางคนทำลายใหญ่สลับเล็ก ทุกผืนสะท้อนตัวตนของผู้ทอเต็มที่”

หลักสูตรของโรงเรียนทอผ้าสอนทุกขั้นตอนในการทำผ้าทอ ตั้งแต่การปลูกฝ้าย เก็บดอกฝ้าย เข็นฝ้าย ย้อม ออกแบบลาย ทอผ้า ครูผู้สอนคือเหล่าแม่ๆ วัย 70-80 ปีที่สั่งสมประสบการณ์ทอผ้ามาเนิ่นนาน ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเธอเคยคิดว่าความรู้ของตัวเองไม่มีค่า บางคนเคยพูดว่า ‘โอ๊ย จะเป็นครูได้ยังไง ไม่ได้จบปริญญาตรี ปริญญาเอก ไม่ได้เรียนอะไรเลย’ แต่การสอนทำให้แม่ๆ รู้สึกว่าความรู้เหล่านี้มีคุณค่า สามารถส่งต่อภูมิปัญญาที่หาเรียนจากที่ไหนไม่ได้ให้คนรุ่นใหม่และนักรณรงค์ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมา

ที่ผ่านมาโรงเรียนทอผ้าเปิดสอนมาแล้ว 2 รุ่น มีนักเรียนทุกช่วงวัยตั้งแต่ 50 ปีจนถึงเด็กวัย 20 โดยแม่รจน์บอกว่ารุ่นที่ 2 มีคนรุ่นใหม่สนใจเรียนมากขึ้น ความประทับใจของทุกคนคือวันจบการศึกษา (graduation ceremony) ที่มีกิจกรรมสำคัญอย่างนิทรรศการผ้าทอมือและแฟชั่นโชว์ พร้อมการประมูลผ้าทอของเหล่านักเรียนที่มาเล่าเรื่องราวผลงานการทอผ้าด้วยความภาคภูมิใจ

ภูมิ–วันชัย สุธงสา คนรุ่นใหม่ผู้รับหน้าที่พิธีกรในงานวันนั้นได้เล่าว่า การประมูลช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าได้ถึงหลักหลายพัน ส่วน ก้อง–สมบัติ นิพวงลา หนึ่งในนักเรียนโรงเรียนทอผ้าก็สารภาพว่าตอนแรกตั้งใจจะเรียนเพียงบางส่วนของหลักสูตร และกังวลว่าจะไม่มีคนมาสมัครมากนัก แต่สุดท้ายก็ภูมิใจที่โรงเรียนประสบความสำเร็จ ทั้งสนุกและได้เรียนรู้เกินคาด พร้อมยังได้ผลงานทอผ้าของตัวเองชื่อ ‘บังเอิญสวย’ กลับไป

ตัวอย่างผลงานผ้าทอในวันจบการศึกษาที่ภูมิประทับใจมีทั้ง ‘ผ้ารอยแร่’ ของแม่จีน ซึ่งใช้คำว่า ‘แร่’ เพื่อสื่อถึงธาตุหรือทองคำที่อยู่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อแร่เหล่านี้เป็นต้นเหตุของปัญหาและความทุกข์ จึงย้อมผ้าเป็นสีเขียวเบือกเพื่อสื่อถึงธรรมชาติของบ้านเกิด อีกผืนที่แม่รจน์เล่าให้ฟังคือ ‘ความสุขที่หายไป’ ของพี่มน ที่ถ่ายทอดแรงผลักดันในการอยากสู้ต่อ และอยากเอาความสุขที่หายไปตอนต่อสู้กับเหมืองกลับคืนมา เพียงมองผืนผ้าก็เหมือนได้แรงกระตุ้นให้เดินหน้าปกป้องบ้านเกิดต่อ

การทอผ้าแต่ละผืนใช้เวลามาก บางครั้งต้องเดินเก็บใบเบือกริมลำธารมาทำสีย้อม ในมุมของคนรุ่นใหม่อย่างภูมิและก้อง ผ้าทุกผืนจึงเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำและความรู้สึกของผู้ทอดังที่ภูมิเล่าว่า “เมื่อก่อนเวลาไปศูนย์ราชการ ทุกคนมักดูถูกว่าชาวบ้านจะมีความรู้ไปสู้กับบริษัทใหญ่ได้เหรอ แต่มันก็ทำได้จริงๆ ทำให้เราภูมิใจในความเป็นหนึ่งเดียวกันของชุมชน” 

โรงเรียนทอผ้ายังช่วยให้เยาวชนที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์ต่อสู้ หรือคนที่ไปเรียนในเมือง ได้กลับมารู้จักเรื่องราวความเข้มแข็งของชุมชนผ่านบรรยากาศอันอบอุ่นที่แม่ๆ นั่งทอผ้าข้างๆ วัยรุ่น เป็นกิจกรรมที่ทำให้แม่กับลูกสนิทกันมากขึ้น อย่างก้องก็ชวนแม่และยายมาทอผ้าด้วย กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ศูนย์ทอผ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ทั้งนี้การทอผ้ายังเชื่อมโยงกับประเพณีเก่าแก่ของชุมชนอย่างการเข็นฝ้ายรอบกองไฟในคืนหน้าหนาว แม่รจน์เล่าว่า สมัยก่อนเชื่อกันว่าบ้านไหนมีลูกสาวต้องทอผ้าและเข็นฝ้ายให้เป็น มิฉะนั้นจะไม่มีแฟน กลางคืนสาวๆ ในหมู่บ้านจะมารวมตัวรอบกองไฟ เสียงเข็นฝ้ายดังไปทั่วหมู่บ้าน มีผู้บ่าวมาชวนคุยโสเหล่กันสนุกสนาน และทุกบ้านก็มีความกระตือรือร้นว่าต้องทอผ้าให้เป็น ไม่ให้แพ้บ้านอื่น 

Social Enterprise Wisdom
Moment of Solidarity

เบ็คกี้เริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในฐานะนักศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ (International Relations และ Political Science) ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนชื่อ CIE เพื่อเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาจากชุมชนรากหญ้าที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน เหมืองแร่ เกษตรเคมี หรือโครงการรถไฟในเมืองที่กระทบต่อชุมชนแออัด

ระหว่างโปรแกรม เธอได้เดินทางไปยัง 6 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง และได้รู้จักกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดซึ่งขณะนั้นเพิ่งเริ่มต้นการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ปีหลังเหมืองทองคำเปิดที่นาหนองบงในปี 2010 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอได้พบกับแม่รจน์

“ตอนนั้นชุมชนกำลังจัดวิดีโอคอลกับคนจากรัฐเคนทักกี้ สหรัฐฯ ที่ต่อสู้ต่อต้านเหมืองถ่านหินมาหลายรุ่น และบังเอิญว่าตัวฉันเองก็มาจากรัฐเคนทักกี้ จึงรู้สึกแปลกใจมากที่บ้านเกิดของตัวเองเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของพวกเขา มันเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลัง และเนื่องจากตอนนั้นทั้งชุมชนและนักศึกษาที่มาเยือนต่างก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้ เลยเชื่อมต่อกันได้ง่าย” เบ็คกี้เล่า

ความผูกพันกับชุมชนค่อยๆ เติบโต เบ็คกี้แวะเวียนมาเยี่ยมแม่รจน์อยู่เสมอ เห็นหมู่บ้านผ่านทั้งช่วงเวลาการต่อสู้ที่เข้มข้นและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนเธอมองว่าแม่รจน์เป็นเหมือนแม่อีกคนของเธอในประเทศไทย

เธอและเพื่อนๆ ได้จัดโครงการแลกเปลี่ยน พาชาวบ้านและนักศึกษาจากสหรัฐฯ ไปเรียนรู้กับชุมชนอื่นที่เผชิญผลกระทบจากเหมืองเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการจัดการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ร่วมกับชุมชน 3 แห่งในรัฐโออาซากา ประเทศเม็กซิโก ซึ่งพาผู้เข้าร่วมไปดูทั้งสถานที่จริงและวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งได้เรียนรู้จากชุมชน First Nations ในแคนาดา และชุมชนจากอาร์เจนตินา

“ระหว่างอยู่ที่เม็กซิโก หนึ่งในชุมชนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราพบ ซึ่งสามารถต่อต้านการก่อสร้างเหมืองได้สำเร็จ มีโครงการเศรษฐกิจและสังคมขนาดเล็กหลายอย่างที่ริเริ่มขึ้นเพื่อรวมผู้คนให้มาทำกิจกรรมร่วมกันและช่วยกันจัดตั้งองค์กร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการต่อต้านเหมืองเลย เช่น การท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ที่สวยงาม หรือการขายขวดน้ำดื่ม สิ่งนี้เหมือนเป็นการหว่านเมล็ดความคิดในใจเราว่าอาจจะมีวิธีการอื่นๆ ในการจัดตั้งและเสริมความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้”

RadGram ได้ถือกำเนิดขึ้นราว 3 เดือนหลังจากทริปนั้นเอง แม้เบ็คกี้และเพื่อนๆ ที่เรียนสายสังคมมาไม่มีพื้นฐานด้านธุรกิจ แต่เพราะมองเห็นว่าการสร้างตลาดให้ผ้าทอจากชุมชนจะช่วยสนับสนุนเงินทุนในการต่อสู้คัดค้านเหมืองได้ พวกเธอจึงเริ่มจากโมเดลการยื่นขอ grant (เงินสนับสนุน) จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เพื่อสร้างธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งไม่ผ่านการคัดเลือกในตอนนั้น จึงเปลี่ยนมาเริ่มจากสร้างแคมเปญระดมทุนผ่าน Indiegogo (แพลตฟอร์ม crowdfunding) แทน ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนตามเป้าหมายภายใน 24 ชั่วโมง

“มันทำให้เราเห็นว่าการผสานโมเดลธุรกิจเข้าไปช่วยให้ผู้คนร่วมสนับสนุนชุมชนง่ายขึ้น ทุกการบริจาค 50 ดอลลาร์สหรัฐ จะได้รับผ้าพันคอ 1 ผืน ซึ่งกลายเป็นคำสั่งซื้อชุดแรก”

ตลอดห้าปีแรก RadGram ดำเนินงานในรูปแบบอาสาสมัคร โดยมีองค์กรไม่แสวงกำไรโดยเครือข่ายศิษย์เก่าของโปรแกรมนักศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นผู้สนับสนุนหลัก จากนั้นก็ตัดสินใจจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ พร้อมตั้งคณะกรรมการบริหารและขยายการสร้างผลกระทบร่วมกับชุมชนอื่นๆ เพิ่มเติม สนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองให้เริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง รวมถึงทำโครงการฟื้นฟูองค์รวม เช่น ชุมชนต่อต้านเหมืองหินที่หนองบัวลำภูซึ่งเพิ่งปิดเหมืองได้สำเร็จเช่นกัน วางแผนสนับสนุนการทอเสื่อแบบดั้งเดิมของชาวบ้านเพื่อทำเป็นสินค้าของใช้ในบ้านอย่างที่รองแก้วน้ำและที่รองจาน

ในสหรัฐฯ สินค้าหลักของ RadGram โดยกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดขายผ่านเว็บไซต์ radicalgrandmacollective.com และตามตลาดนัดช่วงคริสต์มาส ซึ่งอากาศหนาวทำให้ผ้าพันคอขายได้ง่าย หลายคนซื้อเป็นของขวัญให้แม่หรือคุณย่า ส่วนในไทย ขายผ่านร้าน Golden Land Solidarity ในเชียงใหม่ ซึ่งเบื้องหลังทำงานร่วมกับช่างฝีมือจากเมียนมาและกลุ่มผู้หญิงนักเคลื่อนไหว (civil disobedience movement) รวมถึงขายตรงผ่านอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก

“เรามีข้อมูลว่าลักษณะผ้าทอแบบไหนขายดีในสหรัฐฯ แต่เราจะไม่เจาะจงเรื่องสีมาก เพราะพบว่าการกำหนดสเปกผ้าเยอะเกินไปทำให้แม่ๆ สนุกน้อยลง พวกเธอสนุกกว่ามากเมื่อได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง”  ส่วนใหญ่ทีมของเบ็คกี้จึงระบุเพียงประเภทของลวดลายผ้า และให้เหล่าคุณยายยังมีอิสระในการเลือกสีใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองและเป็นผู้ออกแบบหลัก โดยทุกวันนี้ RadGram ยังคงมีเป้าหมายในการมองหาทุนระยะยาวจากกองทุนหรือแหล่งสนับสนุนใหญ่ต่อไป 

Grandma Knows Best 

ท่ามกลางการสนับสนุนชุมชนในระยะยาวที่ดำเนินไปเป็นระยะเวลาหลายปี เบ็คกี้พบว่าภายหลังการปิดเหมือง ชีวิตของชาวบ้านยังคงเผชิญกับความยากลำบาก เพราะประเทศไทยไม่มี พ.ร.บ.ฟื้นฟูพื้นที่เหมืองเหมือนหลายประเทศ บริษัทที่ทำงานด้านนี้ก็มีน้อย จึงไม่มีขั้นตอนทางกฎหมายชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการยังไง

การสนับสนุนชุมชนในการขับเคลื่อนด้านการฟื้นฟูจึงเป็นเรื่องใหม่ แต่เธอกับแม่รจน์ต่างเห็นพ้องว่าการฟื้นฟูต้องทำในทุกมิติ ทั้งระบบนิเวศ สาธารณสุข วัฒนธรรม และการเยียวยาจิตใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้านเป็นผู้นำ ส่วน RadGram มีหน้าที่คอยสนับสนุนและผลักดันให้กระบวนการเหล่านี้เดินหน้า

นอกจากโรงเรียนสอนทอผ้าที่ทำร่วมกันกับชาวบ้านแล้ว RadGram ยังริเริ่มโครงการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพจิตและบาดแผลจากการต่อสู้ รวมถึงกิจกรรมปลูกต้นไม้บนภูเขาที่ช่วยฟื้นทั้งระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ และกำลังใจ

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานฟื้นฟูก็คือ ทุกมิติทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อผู้คนมาร่วมกันปลูกต้นไม้บนภูเขาที่เคยเป็นเหมือง เรากำลังฟื้นฟูระบบนิเวศไปพร้อมกับฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะพวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์” เบ็คกี้กล่าว

โปรแกรมการศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ยังคงทำต่อเนื่อง เช่น โครงการฝึกงานที่พานักศึกษาจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไทย และฝรั่งเศส ไปอาศัยอยู่กับชุมชน เพื่อเรียนรู้การพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นโครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน การทำสื่อแนะนำพื้นที่ และคอนเทนต์สำหรับเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย

เมื่อถามเบ็คกี้ว่าการเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ช่วยให้เธอทำงานพัฒนาชุมชนในสนามจริงได้ยังไง เบ็คกี้ตอบได้อย่างน่าประทับใจว่า แม้กรอบคิดจากมหาวิทยาลัยจะช่วยให้เข้าใจภาพรวม แต่ในภาคสนามกลับเห็นชัดว่าโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ตั้งใจเพิ่ม GDP หรือยกระดับเศรษฐกิจ มักสร้างผลกระทบด้านลบต่อชุมชน และวิธีการทำความเข้าใจปัญหาของชาวบ้านในเชิงวิชาการมักล้มเหลว เธอเชื่อว่าการวางกลยุทธ์ต้องเริ่มจากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ เพราะแหล่งความรู้แรกและสำคัญที่สุดคือชุมชน นักพัฒนาสังคมจึงควรใช้เวลามากขึ้นในการพูดคุยและฟังชาวบ้านอย่างแม่รจน์ เพื่อเข้าใจในปัญหาอย่างแท้จริง 

สำหรับเธอ ปัญหาหนึ่งขององค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศคือการออกแบบโครงการจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้ขาดความยืดหยุ่นและมองข้ามความต้องการจริง เช่น การตั้งเป้าหมายว่าอยากปลูกป่าชายเลน แล้วหาพื้นที่ในการปลูกป่าโดยไม่ได้ฟังเสียงคนในพื้นที่ ซึ่งเบ็คกี้มองว่ามีวิธีที่ยั่งยืนกว่านั้น

“วิธีการแบบเฟมินิสต์ คือเริ่มจากความสัมพันธ์กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ก่อน แล้วค่อยดูว่าพวกเขาต้องการอะไรและอยากได้อะไร มันอาจจะช้ากว่า และดูไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในเชิงโครงการ แต่เป็นวิธีที่จริงใจกว่าและยั่งยืนกว่า”

เธอย้ำว่า RadGram ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้าหรือธุรกิจเพื่อสังคม แต่เพราะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนในพื้นที่ จึงมองเห็นช่องว่างที่สามารถเข้าไปช่วยได้ “สำหรับเราชาวบ้านในชุมชนเป็นคนที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่เราทำมันคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่ามันคุ้มค่าก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เราไม่ได้มีตัวชี้วัดภายนอกอะไรที่ต้องวัดเทียบจริงๆ ด้านอิมแพกต์หรือความสำเร็จ แต่เราจะคอยเช็กกับชุมชนเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่ใช้ได้ผลหรือเปล่า

“ชาวบ้านเป็นผู้ที่อยู่บนผืนดินนั้นและรู้ดีที่สุดว่าจะรักษาที่ดินไว้ให้คนรุ่นต่อไปยังไง เพราะสิ่งนี้อยู่ในวัฒนธรรมและประเพณีของเขาแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คนจากสหรัฐฯ จะไปคิดแทนได้ ความหวังของเราคือ การสร้างศักยภาพให้ชาวบ้านสามารถขับเคลื่อนตัวเองและพัฒนาตัวเองได้ในฐานะชุมชน แทนที่จะเป็นแค่การรับสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีแบบ top-down” เธอหวังว่าโรงเรียนทอผ้าจะเป็นพื้นที่ให้คนมารวมตัว สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาความสัมพันธ์ของชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อพร้อมปกป้องผืนดินจากโครงการใดๆ ในอนาคตที่อาจเข้ามารุกรานชุมชน  และเมื่อชาวบ้านรู้สึกภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง ความภูมิใจนี้จะทำให้การปกป้องรักษาทุกอย่างง่ายขึ้น

เมื่อถามเบ็คกี้ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหล่า ‘Grandma’ เธอยิ้มแล้วเล่าว่า

“สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้คือการให้ความสำคัญกับ ‘งานดูแล’ (care work) ในการเคลื่อนไหว คนที่โดดเด่นในขบวนการต่อต้านเหมืองมักเป็นคนที่ถือไมค์ปราศรัย ซึ่งแม่ๆ หลายคนก็ทำเป็นงานสำคัญ แต่สิ่งที่ทำให้การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปได้จริงๆ คือคนที่เตรียมส้มตำให้ทุกคนกินหลังกลับจากศาล หรือดูแลเด็กในขณะที่ครอบครัวออกไปเคลื่อนไหว งานดูแลเหล่านี้มักมองไม่เห็นและไม่ได้รับความสนใจ แต่จำเป็นมาก ถ้าไม่มี การต่อสู้ก็ไม่เกิด ฉันเรียนรู้จากแม่ๆ ว่างานดูแลที่ผู้หญิงหรือคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำมีความสำคัญขนาดไหน

“อีกอย่างที่ได้เรียนรู้จากชุมชนอีสานคือ ความสำคัญของความสนุก ความสุข และการเต้นเพื่อสร้างกำลังใจ แม้พวกเธอกำลังเผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วง แต่ถ้าเปิดเพลงหมอลำ ทุกคนก็จะลุกขึ้นมาเต้นทันที มันช่วยเติมความสุขให้ผู้คน และนี่คือสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาพลังให้มีความสุขระหว่างการต่อสู้ แม้ในตอนประท้วงเหล่าคุณยายก็ยังมีความสนุกอยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ก็เกิดขึ้นเสมอ”

ขอบคุณรูปจากเริงฤทธิ์ คงเมือง, Radical Grandma Collective, กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด และ กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง – สู้เหมือง

Editor’s Note : Wisdom from Conversation

Radical, Fierce, Bold คำเหล่านี้มักทำให้นึกถึงภาพของความหัวแข็ง ดื้อดึง และขบถ แต่ในอีกมิติหนึ่ง ความเข้มแข็งของคนเราสามารถปรากฏในรูปแบบพลังงานผู้หญิง (feminine energy) ที่ใช้ความอ่อนโยนและภูมิปัญญางานฝีมือเป็นแรงขับเคลื่อน เหมือนขบวนการของเหล่าคุณยายในนาม Radical Grandma Collective ที่ใช้การทอผ้า ซึ่งนำโดยผู้หญิงในชุมชน เป็นอาวุธปกป้องบ้านเกิดอย่างยืนระยะมาตลอดเกือบ 20 ปี

ความเข้มแข็งและความกล้าหาญจึงไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านเสียงตะโกนหรือการลุกขึ้นสู้แบบตรงไปตรงมาเสมอไป Radical Act สามารถเป็นสิ่งที่ทำได้ทางอ้อมผ่านโรงเรียนทอผ้า กิจกรรมขับเคลื่อนชุมชน หรือแม้แต่การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังโดยผู้หญิงในครัวและผู้สูงวัยผ่านงานดูแล (care work) และงานทอที่แม้จะอ่อนโยน แต่กลับทรงพลังอย่างลึกซึ้ง

สำหรับชุมชนแห่งนี้ การทอผ้าไม่ใช่เพียงการผลิตสินค้า หากคือการเยียวยาบาดแแผลและส่งต่อความหวังให้ทุกคนก้าวต่อไปด้วยกัน