เบื้องหลังกลิ่นหอมสุดกวนของ ARAMO AROMA ที่ใช้ปรุงกลิ่นกุฏิพระ หมาเด็ก แมวดำ และแมวเปรต

จะเป็นยังไงหากกุฏิพระและโรงพยาบาลไม่ใช่แค่สถานที่ แต่เป็นกลิ่นของเทียนหอม และหมาเด็กกับแมวดำไม่ใช่แค่ไทป์ที่ไว้นิยามบุคลิกภาพของคน แต่กลายเป็นกลิ่นของน้ำหอม

การหยิบเรื่องราวในความทรงจำ มาผสมกับอารมณ์ขัน และปรับให้เข้ากับบุคลิกส่วนตัวของแต่ละคน เป็นงานถนัดของ ปอน–นัฐฐิกรณ์ พันธุ์ยุรา ผู้ก่อตั้ง ARAMO AROMA แบรนด์เครื่องหอมที่เกิดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ช่วงเวลาปราบเซียนที่หลายธุรกิจต้องโบกมือลาจากสมรภูมินี้

แต่ปอนใช้ความแพรวพราวในการตั้งชื่อแบรนด์ ตั้งชื่อกลิ่น และหยิบมีมตามกระแสมาขายของ จนสร้างยอดสั่งซื้อกว่า 600 ออร์เดอร์ หลังเปิดแบรนด์มาได้เพียง 1 เดือนครึ่ง ถึงแม้ปัจจุบันสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติและผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามเดิม เขาก็ได้ปรับตัวให้เป็นมากกว่าแบรนด์ที่ขายเครื่องหอม แต่กำลังขายสินค้าที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของเขาได้

“เราไม่ได้ทำน้ำหอมมาเพื่อฉีดแล้วตัวหอมอย่างเดียว เราทำมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับคนในแต่ละวัน อย่างคนเกิดวันจันทร์จะลักษณะนิสัยขี้วีน ขี้เหวี่ยง เราก็จะมีการใช้น้ำหอมมาปรับบาลานซ์ให้สมดุลที่สุด ดังนั้นลูกค้าที่มาซื้อของเรา เขาจะไม่ได้มาลองกลิ่นนั้นกลิ่นนี้พอเห็นว่าหอมแล้วก็ซื้อ แต่เขาจะอยากมาซื้อเพื่อทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น กลิ่นที่ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะกลิ่นช่วยปรับสมดุลในร่างกาย มีผลต่ออารมณ์ต่างๆ ส่งไปถึงสารเคมีในสมองได้”

ในวันที่ ARAMO AROMA มาเปิดหน้าร้านสาขาใหม่ที่ซีคอนบางแค เราถือโอกาสไปเทสต์กลิ่นและส่องเบื้องหลังการใช้ความกวนโอ๊ยมาปั้นแบรนด์ให้ปัง จนคนแห่รีวิวกันเต็มโซเชียล ในคอลัมน์ 5P ครั้งนี้กันได้เลย

Product
Top Notes 
กลิ่นในความทรงจำ

ก่อนที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ปอนเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่มีความคิดอยากออกนอกกรอบมาตั้งแต่ทำงานประจำเป็นกราฟิกดีไซเนอร์และช่างภาพ จึงตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมาเปิดสตูดิโอถ่ายภาพ แต่ยังไม่ทันเริ่มก็เจอกับพิษโควิด-19 ซะก่อน

“ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก ไม่รู้จะทำอะไรดี จนได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เขามีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วเห็นเขาได้ของขวัญมาเป็นเทียนหอม ซึ่งเราไม่เคยรู้จักเทียนหอมมาก่อนในชีวิต รู้จักแต่เทียนพรรษา” เขาหัวเราะก่อนเล่าต่อว่า “เราก็คุยกับเขาว่ามันคืออะไร จุดแล้วจะหอมยังไง ทำไมอันแค่นี้ 600 กว่าบาทเลยเหรอ”

หลังจากพูดคุยกับเพื่อน ก็จุดประกายไอเดียให้เขาว่าเทียนหอมนี่แหละ น่าจะเป็นสินค้าที่คนอยากซื้อในช่วงนี้ที่กำลังล็อกดาวน์ คนอยู่แต่บ้าน และต้องการฮีลใจด้วยกลิ่นหอม ตอนนั้นเขาหาข้อมูลและอยากจ้างโรงงานผลิต แต่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูงประมาณ 20,000-50,000 บาทขึ้นไป

“เราไม่ได้มีต้นทุนขนาดนั้น ก็เลยเริ่มหาวัตถุดิบทำเทียนหอมในไทย ส่วนมากเป็นการสั่งออนไลน์ในจำนวนขั้นต่ำสุดที่ร้านพอจะขายให้เรา จำได้เลยว่าซื้อไส้เทียนแค่ 5 ชิ้น เทียนซอยแวกซ์ 1 กิโลกรัม แก้วสำหรับใส่เทียนแค่ 5 ใบเอง เราดูวิธีทำในยูทูบ

“3 แก้วแรกทำแล้วไม่สำเร็จ มาทำได้จริงๆ ตอนเหลือแก้ว 2 ใบสุดท้าย ชิ้นแรกเราลองใช้งานเอง อีกแก้วเอามาใช้ถ่ายรูป ตอนนั้นเราทำเทียนในคอนโด มีแค่โต๊ะสีขาวตัวหนึ่ง มีกระดาษสีขาวที่ทำฉากถ่ายรูปได้ เราก็ถ่ายหลายๆ ช็อต แล้วแต่งรูปรวมกันให้ดูว่าเรามีสินค้าหลายๆ ชิ้น”

ส่วนเรื่องกลิ่นของเทียนหอมปอนเลือกที่จะหยิบความทรงจำต่างๆ มาสร้างกลิ่น เพราะมองว่าแบรนด์เครื่องหอมนั้นยากมากที่จะขายให้กับลูกค้าที่ซื้อออนไลน์ โดยที่ยังไม่มีหน้าร้านให้เขาเทสต์กลิ่น จึงต้องสื่อสารผ่านวิดีโอและแคปชั่นที่ลงในโซเชียลมีเดียให้ลูกค้าเข้าใจ

“ถ้าเราบอกว่านี่คือกลิ่นกระดาษเก่า ทุกคนก็จะรู้สึกว่าใครอยากลองดมกลิ่นกระดาษเก่า เราเลยต้องเติมความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในตัวสินค้าให้เขาจิตนาการถึงกลิ่นนั้นได้ เราก็เล่าว่านี่คือกลิ่นกระดาษเก่าในห้องสมุดเก่าๆ ที่มีหนังสือวินเทจวางอยู่บนโซฟา มีกาแฟโบราณวางอยู่บนโต๊ะแล้วมีคนนั่งสัมภาษณ์อยู่ในห้องสมุดนั้น

“พอเราอธิบายแบบนี้ คนก็จะเข้าใจมากขึ้นว่า อ๋อ มันเชื่อมโยงกับบรรยากาศแบบนี้นี่เอง สิ่งสำคัญคือเราจะเชื่อมโยงกลิ่นเข้ากับความทรงจำและเสริมสภาพแวดล้อมต่างๆ เข้าไป เพื่อสร้างสตอรีให้กับกลิ่นเหล่านั้น”

Middle Notes 1
กลิ่นยียวนกวนโอ๊ย

ด้วยคาแร็กเตอร์ของปอนที่เป็นคนสนุกสนานและชอบส่งมีมตลกๆ ให้เพื่อนอยู่เสมอ เขานำความเป็นตัวของตัวเองมาใส่ใน DNA ของแบรนด์ให้มีความกวนนิดๆ ขี้เล่นหน่อยๆ ตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์ เขาอยากให้คนอ่านชื่อแล้วรู้ว่าขายของอะไร

“เราไปรีเสิร์ชเจอประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจว่าแบรนด์ที่ติดตลาด เขาจะตั้งชื่อแบรนด์โดยมีคำอธิบายสินค้าเข้าไปในนั้นด้วย อย่างเราขายเครื่องหอมก็อยากให้มีคำว่า aroma, candle หรือ aromatic อยู่ในนั้น เราก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษตัวใหญ่ๆ เต็มหน้ากระดาษ แล้วพอพลิกกระดาษอีกด้านหนึ่ง เราเห็นรอยตัวหนังสือที่อ่านย้อนหลังเป็นคำว่า Aramo ได้ เราก็เลยคิดว่าถ้าตั้งชื่อ ARAMO AROMA ก็ดูกวนๆ ดีนะ แล้วอะไรที่ดูกวนๆ ตลกๆ ก็เป็น pop culture ที่คนไทยเข้าใจง่าย”

ปอนเลือกใช้มุกตลกและมีมขายของมาเรื่อยๆ ทั้งที่ร้านอื่นจะเลือกใช้ภาพกราฟิกสวยๆ มากกว่า และนั่นก็เป็นจุดเด่นที่ทำให้ ARAMO AROMA กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย ทันทีที่เขาเปิดให้สั่งออร์เดอร์เข้ามาแบบยังไม่มีสินค้าจริงสักชิ้นเดียว ก็มียอดสั่งซื้อมากถึง 600 ออร์เดอร์ หลังเปิดแบรนด์มาเพียง 1 เดือนครึ่ง 

“ออร์เดอร์เยอะมาก จนเราทำแล้ววางไว้เต็มคอนโด ทั้งหลังตู้เย็น บนไมโครเวฟ หน้าทีวี บนโต๊ะกินข้าว ขนาดบนเตียงนอนก็ยังทำเป็นที่วางของ แล้วเหลือที่เป็นช่องเล็กๆ ให้เรานอนได้ คือตอนนั้นค่อนข้างลำบากมาก เราก็คุยกับเพื่อนที่ชวนกันมาช่วยทำเทียน ว่าพื้นที่ในคอนโดไม่พอทำเทียนแล้วนะ

“ตอนนั้นก็ขับรถไปหาเช่าบ้าน แล้วย้ายเข้าไปอยู่เลย ยังไม่มีเตียงนอนด้วยซ้ำ มีแค่โต๊ะที่ซื้อมาตั้งทำเทียน เราทำออร์เดอร์ให้ลูกค้ากันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แทบจะฟุบหลับคาโต๊ะกันอยู่แล้ว พอแพ็กของให้ลูกค้าเสร็จ ออกไปส่องออร์เดอร์กันตอน 7 โมงเช้า เราทำแบบนี้ทุกวันอยู่ประมาณเกือบเดือน เพื่อเคลียร์ออร์เดอร์ให้เสร็จ”

กลิ่นในตำนานจุดประกายให้ ARAMO AROMA เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น คือเทียนหอมกลิ่นกุฏิพระ แรกเริ่มเดิมทีกลิ่นนี้ชื่อว่า single wood แต่ได้มีลูกค้าไปรีวิวในช่องความคิดเห็นสินค้าผ่าน Shopee ว่ากลิ่นนี้จุดแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในกุฏิพระ

“ตอนเห็นรีวิวนี้เราคิดก่อนเลยว่าเขาเคยเข้าไปอยู่ในกุฏิพระเหรอ รู้ได้ยังไงว่ากลิ่นเหมือนกุฏิพระ” เขาหัวเราะ “แต่หลังจากนั้นคนก็แชร์กันว่าแบรนด์นี้สร้างเรื่องอีกแล้ว เป็นไวรัลอีกแล้ว คนก็ตามมาซื้อกันมากขึ้น กลายเป็นซิกเนเจอร์ว่าถ้าพูดถึงเทียนหอมกลิ่นกุฏิพระ ก็หมายถึงแบรนด์เรานี่แหละ”

หลังจากนั้นเทรนด์มูเตลูเริ่มเข้ามาในไทย ปอนจึงต่อยอดมาทำเทียนคอลเลกชั่น ‘ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเปย์ด้วยเทียน’ แต่เขาไม่อยากให้ดูมูฯ เกินไป จึงใส่ความคูลสุดกวนในสไตล์ ARAMO AROMA เข้าไปในการตั้งชื่อ เช่น กลิ่น I FEEL LIKE GUTHI, กลิ่นอธิษฐานเอานะ, กลิ่น I Have สติ, กลิ่นสาธุ 99

Middle Notes 2
กลิ่นพิเศษส่วนบุคคล

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตข้างนอกกันมากขึ้น ปอนก็มองว่าแบรนด์ต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเช่นกัน 

ลูกค้าส่วนใหญ่คือกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่ชอบเสพแฟชั่น เสพไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆ และมองเห็นว่าน้ำหอมเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าเทียนหอม แต่การที่จะขายน้ำหอมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงเริ่มทดลองตลาดผ่านการเปิดให้ทำเวิร์กช็อปเทียนหอมและน้ำหอมไปพร้อมๆ กัน โดยให้ลูกค้าได้ลองผสมกลิ่นเป็นของตัวเอง กลายเป็นว่าลูกค้าชอบทำน้ำหอมมากกว่าเทียนหอมด้วยซ้ำ

“เรามองเห็นโอกาสในตลาดใหม่ๆ ว่าเราสามารถแตกไลน์สินค้าเป็นน้ำหอมได้ แต่ถ้าทำน้ำหอมทั่วๆ ไป แบรนด์ไหนก็ทำได้ แต่การทำน้ำหอมเฉพาะกลิ่นให้กับคนแค่คนเดียวนั้นเป็นเรื่องยาก หลังจากจบงานเวิร์กช็อป เราก็เปิดรับออร์เดอร์น้ำหอมส่วนบุคคลเลย”

วิธีการปรุงน้ำหอมส่วนบุคคลคือปอนจะส่งแบบฟอร์ม เพื่อทำความรู้จักว่าอายุเท่าไหร่ มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยังไง แต่งตัวประมาณไหน นำน้ำหอมไปใช้เองหรือเอาไปให้คนอื่น ถ้าคุณเอาไปใช้เองอยากใช้ในโอกาสอะไร ถ้าเอาไปให้คนอื่นให้ในโอกาสอะไร ชอบ Top Notes, Middle Notes, Middle Notes แบบไหน ไม่ชอบแบบไหน และจะทำกลิ่นทดลองไปให้ลูกค้าลองเทสต์ก่อน ถ้าชอบอันไหนสามารถทำน้ำหอมตัวจริงได้เลยหรือจะปรับกลิ่นเพิ่มเติมอีกก็ได้

 “ปรากฏว่ามีออร์เดอร์มาวันละ 400 ออร์เดอร์ เราทำน้ำหอมส่วนบุคคลไป 4 เดือนเต็ม ทำจนตี 3 ตี 4 เกือบทุกวัน นอนหลับแล้วตื่น 9 โมงมาทำต่อ ชีวิตวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าเวลา 4 เดือนที่เสียไปเราได้เงินแหละ แต่เราทำเพื่อจบออร์เดอร์อย่างเดียว ไม่ได้มองการณ์ไกลให้แบรนด์เรายั่งยืนเลย”

ปอนเริ่มจำกัดจำนวนคิวน้ำหอมส่วนบุคคลเหลือสัปดาห์ละ 40-50 ออร์เดอร์ เพื่อมีเวลามาพัฒนากลิ่นน้ำหอมที่จะทำให้แบรนด์อยู่ได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยต่อยอดมาจากการทำน้ำหอมส่วนบุคคลที่เขามักจะได้รับโจทย์แปลกๆ มากมาย

“เคยมีลูกค้าให้ทำน้ำหอมให้แฟนที่เลิกกันไปแล้ว และกลับมาเจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย ทำน้ำหอมให้กับคนที่ป่วยแล้วมีโอกาสรอด 50 : 50 ถ้าเขารอดก็อยากให้ได้ดมน้ำหอมนี้ และมีโจทย์หนึ่งที่เราได้รับ คือทำน้ำหอมให้กับคนที่เป็นไทป์หมา ตอนแรกเราก็งงว่าคืออะไร จนไปเห็นในโซเชียลว่าตอนนี้คนฮิตเรื่องหนุ่มไทป์หมาเด็ก ไทป์โกลเด้น

“เราก็เลยเริ่มทำน้ำหอมกลิ่นไทป์หมาเด็กให้ลูกค้าที่สั่งน้ำหอมส่วนบุคคลกับเรา แล้วก็ทำคอนเทนต์ออกมาว่ามีคนสั่งน้ำหอมกลิ่นนี้ด้วยนะ หลังจากลงไปคลิปนี้ก็แมสได้หลายแสนวิว จนคนคอมเมนต์ขอให้ทำขาย เราก็ไปขอลูกค้าที่สั่งน้ำหอมกลิ่นนี้ว่านำสูตรมาทำขายเลยได้ไหม ซึ่งลูกค้าก็เต็มใจมากๆ หลังจากทำออกมาขายกลายเป็นกระแสดี จนคนมาถามต่อว่าแล้วมีกลิ่นหมาแก่มั้ย มีกลิ่นแมวเด็กมั้ย มีกลิ่นแมวเปรตมั้ย เราก็เลยต่อยอดดึงคาแร็กเตอร์ที่ลูกค้าต้องการมาทำน้ำหอมกลิ่นใหม่เรื่อยๆ”

Price & Promotion
ค่าความหอมที่คนซื้อแฮปปี้ คนขายก็มีความสุข

ปอนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าความสุขในการทำแบรนด์ของเขา คือการทำสินค้าที่ดี มีคุณภาพ แล้วส่งออกไปหาลูกค้าในราคาที่จับต้องได้ เป็นราคาที่ลูกค้าจ่ายแล้วแฮปปี้ สินค้าของ ARAMO AROMA จึงเริ่มต้นที่ 199 บาทและยังอยู่ในเรตหลักร้อยไม่ถึงหลักพันทุกชิ้น

“เราเคยอยากทำให้แบรนด์ดูเอกซ์คลูซีฟขึ้น เข้าถึงยากขึ้นหน่อย แต่เคยลองแล้วมันไม่เวิร์ก เพราะว่าลูกค้า 80-90% ของเราเติบโตมาจากมีมตลก มีมหมาแมวแปลกๆ พอเราไปทำแพ็กเกจจิ้งดูหรูหรา มีราคาแพง เขาก็ไม่ตามมาซื้อแล้ว ก็ต้องรู้จักตัวเองแล้วกลับมาอยู่ในจุดที่เหมาะกับเรา”

การตั้งราคาสินค้าของเขาจึงเริ่มจากการดูว่าลูกค้าที่เป็นวัยทำงาน first jobber นักเรียน นักศึกษา ได้เงินมาใช้วันละเท่าไหร่ มีเงินพอที่จะจ่ายให้กับของไร้สาระหรือของที่ไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่ ปอนยอมรับตามตรงว่าสินค้าของเขาคือสินค้าฟุ่มเฟือย แต่หากตั้งราคาที่คนจ่ายไหวก็เป็นหัวใจที่ทำให้คนซื้อได้

“เราทำโปรโมชั่นออกมาบ้าง แต่ก็ค่อนข้างระมัดระวังเพราะเราอยากทำสินค้าที่มีคุณภาพ ดังนั้นสิ่งที่เราสื่อสารไปหาลูกค้า เป็นเรื่องคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และทำยังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาต้องมีสินค้านี้ไว้ในมือ ทำไมเขาต้องใช้สินค้าเรา เพราะเขาต้องการเอาไปแก้ปัญหาในชีวิต เอาไปทำให้เขารู้สึกสบายใจ 

“ไม่ใช่อยากซื้อเพราะว่ามันกำลังลดราคา การทำสงครามราคาทำให้หลายแบรนด์ตายได้เลย คือคุณขายดีก็จริง คุณยอดขายเยอะก็จริง คุณดูดีในมุมของลูกค้าก็จริง แต่ว่าหลังบ้านคุณจะไม่รอด ทั้งเรื่องภาษี เรื่องการจัดการรายจ่าย”

ปอนเน้นย้ำว่าสามารถจัดโปรโมชั่นได้บ้าง แต่อย่าลดราคาบ่อยๆ เพราะลูกค้าจะเกิดภาพจำ และทำให้ไม่อยากซื้อตอนราคาเต็ม เพื่อรอซื้อตอนลดราคาอย่างเดียว ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ยอดขายไม่เติบโต การขายด้วยคุณภาพ ขายสิ่งที่แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ต่างหาก เป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้อย่างยั่งยืน

Place
บรรยากาศที่คนดื่มด่ำกับกลิ่นหอมได้อย่างเต็มอิ่ม

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกลิ่นนั้น ยากมากที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อออนไลน์ได้ง่ายๆ สิ่งแรกที่เราทำคือสื่อสารกับลูกค้า ให้จินตนาการถึงกลิ่นเหล่านั้น แต่ลูกค้าบางคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออก สิ่งที่จะทำให้ปิดการขายได้ง่ายมากที่สุด คือลูกค้ามาหน้าร้าน ลองดม ลองใช้ ลองฉีด ถ้าลองทุกอย่างแล้วลูกค้าอาจจะไม่ได้ซื้อแค่อันเดียว ลูกค้ามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าอื่นในร้านเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นออนไลน์จะตอบโจทย์คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้พื้นที่ที่เราขายมากกว่า แต่ออฟไลน์จะตอบโจทย์กลุ่มคนที่อยากมาลองกลิ่นจริงๆ”

ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาจึงขยายสู่โลกออฟไลน์ โดยทดลองตลาดก่อนเปิดหน้าร้านจริง ผ่านการออกบูทที่ยูเนี่ยนมอลล์ พร้อมจัดโปรโมชั่น 40 คิวแรกได้รับส่วนลดพิเศษ และผลตอบรับก็ดีเกินคาด ถึงขนาดที่มีคนมาต่อแถวยาวเหยียด

“ตอนนั้นเราคิดว่าคนมาต่อแถวร้าน KFC ที่อยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ การออกมาเจอลูกค้าในครั้งนั้นทำให้เรารู้สึกว่าแบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เราได้พูดคุย ได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าที่เป็นตัวตนจริงๆ มากกว่าการคุยในโลกออนไลน์ ทำให้ง่ายต่อการกลับมาพัฒนาแบรนด์ได้มากกว่า”

หลังจากนั้นปอนได้เปิดหน้าร้าน stand alone แถวสุทธิสาร แต่ลูกค้าที่มาหน้าร้านไม่ได้เยอะนัก ส่วนมากยังเป็นลูกค้าออนไลน์ เขาคิดว่าเพราะด้วยสินค้าที่ราคาหลักร้อย คนก็ไม่ค่อยอยากเหนื่อยเดินทางมาที่ร้าน และต้องจ่ายค่าเดินทางแพงๆ อีก

“ทำเลตรงนั้นติดถนนด้วย มีรถวิ่งเสียงดัง บางทีมีเสียงคนตะโกนด่ากันอีก แล้วร้านเราขายเครื่องหอม เวลาคนลองดมกลิ่น เขาก็อยากอยู่ในที่เงียบๆ บรรยากาศดีๆ แต่พอดมกลิ่นไปแล้วมีเสียงดังแบบนั้นลูกค้าก็ไม่ค่อยแฮปปี้”

โจทย์ต่อไปของปอนคือการย้ายร้านไปในทำเลใหม่ที่มี traffic คนผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา สามารถเดินทางมาได้สะดวก มีที่จอดรถให้ลูกค้า และยังสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้ลูกค้ามาเทสต์กลิ่นได้เต็มที่ เขาจึงเลือกมาเปิดหน้าร้านสาขาใหม่ในห้างสรรพสินค้าที่ซีคอนบางแค

“ตอนจะย้ายร้านเราก็ชั่งใจอยู่เยอะเหมือนกันว่าจะเลือกที่ไหน เพราะเห็นว่าตอนนี้คนไทยเริ่มระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น เริ่มคิดหนักขึ้นว่าจะใช้เงินกับอะไรบ้าง ใช้ได้มากน้อยแค่ไหนก่อน แต่เราเห็นว่าที่ซีคอนเขาจัดอีเวนต์ เพื่อดึงดูดลูกค้าเก่งมาก และไม่ใช่แค่คนที่อยู่แถวนี้ที่มาเข้าห้าง คนที่เขาต้องการเที่ยวงานอีเวนต์ก็มาที่นี่เหมือนกัน ทำให้เรามองว่าสถานที่นี้มีศักยภาพและตรงตามความต้องการของเรา”

Power of Naming
พลังแห่งการตั้งชื่อให้คนจดจำ

ถ้าให้นิยามอีกสัก 1P ที่เป็นตัวตนของ ARAMO AROMA ปอนตอบแทบจะทันทีเลยว่าคือ Power of Naming หรือหลักแห่งการตั้งชื่อแบรนด์ให้คนจดจำได้ และส่งต่อมาถึงการตั้งชื่อกลิ่นสุดกวนและล้วนเป็นชื่อที่คนร้องเอ๊ะทันทีที่ได้ยิน ด้วยสงสัยว่ากลิ่นนี้จะเป็นยังไง

“เรารู้สึกประสบความสำเร็จตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์แล้ว เราเคยไปออกบูทแล้วมีพี่คนหนึ่งเดินมาบอกเราว่าชื่อแบรนด์ตลกจัง เราไม่ได้รู้สึกแย่เลยนะ รู้สึกดีซะอีกที่ชื่อเราทำให้คนจำได้”

ก้าวต่อไปปอนตั้งใจหยิบบุคลิกเฉพาะแต่ละบุคคลมาเชื่อมโยงเข้ากับกลิ่นต่างๆ เพื่อตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ที่อยากให้กลิ่นหอมสะท้อนความทรงจำ และอยากให้คนรู้สึกว่าถ้าอยากได้น้ำหอมพิเศษเฉพาะเขาจริงๆ ต้องมาที่ ARAMO AROMA

“เราไม่ได้ทำน้ำหอมมาเพื่อฉีดแล้วตัวหอมอย่างเดียว เราทำมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับคนในแต่ละวัน อย่างคนเกิดวันจันทร์จะลักษณะนิสัยขี้วีน ขี้เหวี่ยง เราก็จะมีการใช้น้ำหอมนมาปรับบาลานซ์ให้สมดุลที่สุด ดังนั้นลูกค้าที่มาซื้อของเรา เขาจะไม่ได้มาลองกลิ่นนั้นกลิ่นนี้พอเห็นว่าหอมแล้วก็ซื้อ แต่เขาจะอยากมาซื้อเพื่อที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น กลิ่นที่ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะกลิ่นช่วยปรับสมดุลในร่างกาย มีผลต่ออารมณ์ต่างๆ ส่งไปถึงสารเคมีในสมองได้”

ปอนได้ทำน้ำหอมตามวันเกิด 366 กลิ่น 366 บุคลิก กลิ่นที่ออกแบบตามวันเกิด ที่ใช้เองเพื่อปรับสมดุลอารมณ์ในแต่ละวัน หรือให้เป็นของขวัญคนพิเศษได้ และยังมีคอลเลกชั่นน้ำหอมที่ออกแบบบนพื้นฐานของศาสตร์ MBTI ทั้ง 16 แบบ เช่น INFJ, ENFP ผ่านความเชื่อที่ว่าบุคลิกของคุณไม่ได้มีแค่ด้านเดียว และทุกอารมณ์สมควรมีกลิ่นของตัวเอง

ปอนยอมรับว่าการทำธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงนั้นเป็นเรื่องยาก ทั้งต้องมีกลยุทธ์ที่ดี มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขายังอยากทำอยู่เสมอ ไม่ใช่การทำเครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมที่สุด แต่เป็นการทำสินค้าที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้ามากที่สุด

9 ปีของ SPACEBAR ZINE ร้านสิ่งพิมพ์อิสระที่ได้ลงนิตยสาร POPEYE และ BRUTUS 

ถ้าคุณเป็นคนชอบสะสมซีน เดินงานอาร์ตบุ๊กแฟร์ทุกปี และรักสิ่งพิมพ์อิสระเป็นชีวิตจิตใจ มั่นใจว่าชื่อของ SPACEBAR ZINE น่าจะเป็นชื่อที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว

ส่วนใครที่เพิ่งเคยเห็นชื่อนี้ครั้งแรก ขอแนะนำแบบย่อๆ ว่า SPACEBAR ZINE คือร้านขายสิ่งพิมพ์อิสระหลากหลายรูปแบบและสตูดิโอผลิตงานพิมพ์ของ วิว–วิมลพร วิสิทธิ์ และ ภู่–วิศรุต วิสิทธิ์ ที่ทำกันมานาน 9 ขวบปี 

9 ปีที่ผ่านมา วิวและภู่ลองผิดลองถูกกับแบรนด์มาแล้วหลายครั้ง พวกเขาจับจองพื้นที่ของงานอาร์ตบุ๊กแฟร์ทุกปี ส่วนหน้าร้านก็ย้ายมาแล้วหลายหน จากร้านซีนทำมือเล็กๆ สู่ร้านที่มีแกลเลอรีจัดแสดงงานย่านสุขุมวิท และสตูดิโอที่เปิดรับเวิร์กช็อปสิ่งพิมพ์ที่จตุจักร  

ล่าสุด SPACEBAR ZINE จับจองพื้นที่ด้านในสุดของเวิ้ง Galileoasis ย่านราชเทวี กลายเป็นร้านสิ่งพิมพ์แสนน่ารักที่ขายทั้งซีนทำมือ หนังสือเล่ม งานอาร์ตปรินต์ และไอเทมกระจุ๊กกระจิ๊กที่คนรักสิ่งพิมพ์อย่างเราเข้าไปแล้วต้องใจเต้น

ในวันที่เรานัดพบทั้งคู่ วิวกับภู่บอกว่าย้ายร้านมาที่นี่ได้ราวหนึ่งปีครึ่ง และเป็นหนึ่งปีครึ่งที่ทั้งคู่ได้เรียนรู้วิธีคิดใหม่ๆ ได้เปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญคือได้ยืนยันความเชื่อบางอย่างที่เชื่อมาตลอด เช่นความเชื่อที่ว่า ‘สิ่งพิมพ์กำลังจะตาย’ นั้นไม่เป็นความจริง

ทั้งคู่บอกว่า นี่คือ era ใหม่ของ SPACEBAR ZINE และสิ่งพิมพ์อิสระของไทย ที่กำลังจะเติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแรง

ตั้งแต่ย้ายร้านมาที่ Galileoasis ร้าน SPACEBAR ZINE มีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง

วิว : จริงๆ ต้องบอกว่า Galileoasis ทำให้เราฟื้นคืนชีพมาได้ เพราะที่ผ่านมา ตลาดซีนและร้านหนังสืออิสระที่เลือกงานกับของมาขายแบบนี้มันไม่เคยมีเลย ร้านหนังสืออิสระบ้านเราจะเน้นขายพ็อกเก็ตบุ๊ก นิยาย หนังสือกระแสหลัก แต่พอเป็นร้านที่เฉพาะทางแบบนี้ มันไม่เคยมีใครปูทางให้เรามาก่อนว่าควรจะทำยังไง มันเลยทำให้เราต้องเริ่มด้วยตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด 

เมื่อก่อนตลาดเล็กมาก ข้อดีคือพอเราอยู่กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเล็กๆ เขาก็ยังซัพพอร์ตเรา ประกอบกับที่ผ่านมาวิธีคิดของเรามันอาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องธุรกิจขนาดนั้น เราใช้ความชอบนำทาง แต่พอย้ายมาอยู่ที่ Gallioasis วิธีคิดก็เปลี่ยน หน้าร้านจริงจังขึ้น จากที่เมื่อก่อนอยากแค่เลือกงานที่ชอบมาขายในสตูดิโอขนาดเล็กที่ไม่ได้ public ขนาดนั้น แต่ตอนนี้เราคือร้านหนังสืออิสระ ทำให้ช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาก็เป็นช่วงที่เราเรียนรู้เยอะ

ภู่ : วิธีคิดของเราเปลี่ยนไปตามลูกค้า ในโลเคชั่นเดิมที่จตุจักร ลูกค้าที่มาคือลูกค้าที่ตั้งใจมาร้านเราเท่านั้น แต่ที่ Galileoasis ด้วยความเป็นอาร์ตสเปซที่เด่นเรื่องสถาปัตยกรรม พื้นที่ตรงนี้ป๊อปปูลาร์อยู่แล้ว ลูกค้ามีความหลากหลายขึ้นเพราะโลเคชั่นเดินทางมาได้ง่าย เราก็ต้องปรับตัวไปตามเขา คิดเป็นธุรกิจมากขึ้น 

อย่างปกติเมื่อก่อนเราไม่ได้มีระบบบริหารจัดการร้านค้า เวลาคนมาซื้อของก็สแกนจ่ายแล้วจบ แต่เดี๋ยวนี้ต้องมีระบบหน้าร้าน ระบบหลังบ้าน ระบบสต็อก อีกอย่างคือเมื่อก่อนร้านกับสตูดิโอทำงานของเราอยู่ในที่เดียวกัน แต่ตอนนี้เราแยกสตูดิโอไปอยู่ที่อารีย์ชื่อว่า SPACEBAR ZINE Ink Lab รับผลิตซีนของศิลปินที่นั่นเพื่อส่งมาขายที่นี่ 

วิว : การมีหน้าร้านทำให้เราต้องผลิตงานเยอะขึ้นด้วย ไม่งั้นมันจะกลายเป็นว่ามีแต่งานที่เรารับมาขาย ไม่มีงานที่เป็นออริจินอลคอนเทนต์ของเรา ซึ่งเป็นงานที่เรา curate ศิลปินมาและหาไอเดียทำงานร่วมกัน

ตลาดของสิ่งพิมพ์อิสระตอนนี้กำลังไปในทิศทางไหน คำกล่าวว่า Print is Dead ที่หลายคนชอบพูดกัน ตอนนี้ยังจริงอยู่หรือเปล่า

วิว : เทรนด์ของสิ่งพิมพ์ตอนนี้มาทางอินดี้ หมายถึงว่าเด็กๆ เริ่มพิมพ์กันเองเยอะมาก คำว่าสิ่งพิมพ์ตายแล้ว จริงๆ มันตายแค่บางประเภทเท่านั้น อะไรที่มัน up-to-date ไม่ทันออนไลน์มันก็ตาย แต่อะไรที่ศิลปินอยากผลิต อะไรที่พิมพ์เองกำลังมา เราเห็นเทรนด์นี้จากงานในต่างประเทศที่เคยไปด้วย

ภู่ : ตลาดสิ่งพิมพ์อิสระมีอยู่แล้วแหละ แต่ตอนนี้มันกำลังขยายใหญ่ขึ้น และมีรูปแบบงานที่หลากหลายมากขึ้น ปกติซีนจะเป็นสิ่งพิมพ์ที่เล่าเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง แต่หลังๆ มันเริ่มตอบโจทย์ว่าจะขายใคร 

นิยามของ ‘ซีน’ ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแค่ไหน ซีนสักเล่มสามารถเป็นอะไร เล่าเรื่องอะไรได้บ้าง

วิว : จริงๆ เมื่อก่อนคือหนังสือทำมือ หลายปีผ่านมา นอกจากเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ดีขึ้น เราเห็นโรงพิมพ์ที่หันมาจับตลาดเล็กมากขึ้น ทำพวก on demand คือพิมพ์เล่มเดียวก็รับพิมพ์ มันทำให้หลายคนเริ่มกล้าที่จะทำ ซีนที่เย็บมือเองก็มีแหละ แต่ซีนที่ส่งเข้าโรงพิมพ์แล้วออกมาได้เป็นเล่มเลยก็มี นิยามของซีนสำหรับเรา คือหนึ่ง–ผลิตเอง สอง–ปริมาณไม่เยอะมาก สาม–ราคาไม่แรงมากนัก

รูปแบบของซีนตอนนี้ก็เหมือนแบ่งตามประเภทหนังสือนั่นแหละ คือมีซีนที่ส่วนตัวหน่อย ซีนที่ขับเคลื่อนประเด็นบางอย่าง เช่น ประเด็นทางการเมือง ของเมืองนอกส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น 

นอกจากนี้ ซีนในแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน อย่างฝั่งตะวันตก ซีนเขาจะมีความพังก์ การเมือง สีขาว-ดำ หรือมีความเป็น fan zine เช่นซีนที่พูดถึงตัวละครมาร์เวล แต่ฝั่งญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวัน ร้านซีนบ้านเขาก็จะเฉพาะทางมากๆ เช่น ร้านซีนที่รวมแต่ซีนของแม่บ้าน ร้านซีนที่ขายแต่เมนูอาหาร 

แล้วซีนที่วางขายใน SPACEBAR เป็นซีนแบบไหน

วิว : เป็นซีนที่มีความเฟรนด์ลี่ เข้าใจง่าย เป็นกันเอง และมีความเป็นญี่ปุ่นสูง จะมีทั้งซีนภาพประกอบ  ซีนภาพถ่าย ซีนบทกลอนและบทความ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน 3 หมวดนี้

ส่วนเนื้อหาก็สามารถเป็นอะไรก็ได้เลย จะมีเนื้อหาที่เล่าเรื่องในชีวิตประจำวัน มีเรื่องการเมืองซึ่งจะมาในช่วงที่การเมืองเข้มข้นเป็นพิเศษ  นอกจากนั้นก็จะมีซีนสำหรับผู้ใหญ่เลย เป็นงาน 18+ หรืองานนู้ด แต่เราก็พยายามวางในมุมที่สูงหน่อยเพราะเด็กๆ เข้าร้านมาเยอะ

โดยสรุปคือซีนในร้านตอนนี้จะมีความหลากหลายกว่าสมัยก่อน มีการพิมพ์ที่ทันสมัย มีลูกเล่นของตัวเล่มที่น่าสนใจ เช่น มีการสอดแทรกโปสเตอร์ มีของแถม ไปจนถึงซีนที่ขายของกินไปด้วย จะมีเล่มหนึ่งของคนเกาหลีที่เล่าเรื่องปลาแห้งในเกาะเชจู แล้วในเล่มจะมีปลาแห้งให้ลองชิม ลูกเล่นพวกนี้ทำให้สิ่งพิมพ์กลับมาน่าสนใจ น่าเก็บ และเฉพาะทางมากขึ้น

พอมันเฉพาะทางแบบนี้ เราคิดว่าสิ่งพิมพ์ก็ไม่ได้แตกต่างจากงานศิลปะที่คนจะสะสม ทุกวันนี้คนชอบแซวกันเรื่องกองดอง แต่เราคิดว่าประเด็นกองดองนี้น่าสนใจ เพราะการมีกองดองแปลว่าคนเขาซื้อโดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านหรือเปล่าด้วยซ้ำ 

นั่นแปลว่าคนทรีตหนังสือเป็นเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ตอนเราผลิตเล่ม เราจึงคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้เล่มน่าสนใจพอที่เขาเก็บอยู่ในเชลฟ์ แล้วเขาเอาออกมาดูได้อีกเรื่อยๆ นี่คือความตั้งใจในการทำซีนของเราทุกเล่ม

คุณได้ซีนทั้งหมดนี้มาวางขายได้ยังไง และมีเกณฑ์ในการเลือกซีนเข้าร้านหรือเปล่า

วิว : คอนเนกชั่น มันคือการแลกนามบัตรต่อนามบัตรเลย ด้วยความที่ SPACEBAR เองไม่ได้เกิดจากคนที่มีต้นทุนเยอะ ไม่ได้เป็นร้านที่มีสายป่านยาว เราเกิดจากคนตัวเล็กๆ ที่ทำด้วยเงินตัวเอง

ภู่ : ร้านของเราเกิดจากการลองผิดลองถูก เราไม่ได้มีข้อเสนอยิ่งใหญ่ที่ยื่นให้กับคนทำสิ่งพิมพ์ แค่พูดตรงๆ กับเขาว่าเราอยากได้เล่มนี้มาขายที่ร้าน คุณขายเท่าไหร่ มันมีความสู้ในแบบมวยรองนิดหนึ่ง กับอีกแบบคือมีคนส่งมาให้เรา

ส่วนเกณฑ์ในการคัดเลือก จริงๆ ไม่มีเลย ถ้าเล่มไหนที่ส่งมาให้เราแล้วเราคิดว่าขายยาก ขายที่ร้านอื่นน่าจะขายได้ง่ายกว่า เราก็จะให้คอนเนกชั่นร้านนั้นไป เพราะซีนที่ลูกค้าของเรามักจะหยิบคือซีนภาพประกอบ ซีนภาพถ่ายเล่มบางๆ แต่ถ้าเป็นโฟโต้บุ๊กเล่มใหญ่ปกแข็งก็อาจจะเริ่มยากแล้ว 

ราคาก็มีผล ส่วนมากซีนในร้านจะหลักร้อยถึงพันต้นๆ ถ้าสูงกว่านั้นเราก็จะบอกคนทำไปตรงๆ ว่าอาจจะขายออกยากหน่อย ซึ่งบางคนก็รับได้นะ เพราะเขาอยากวางร้านเราจริงๆ

เท่าที่เห็นคือนอกจากซีนแล้ว คุณมีไอเทมอย่างอื่นขายในร้านอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ลูกค้าที่กว้างขึ้นใช่ไหม

วิว : ใช่ ร้านตอนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ของสิ่งพิมพ์ที่เป็นเล่ม กับพื้นที่ของสินค้าเมอร์แชนไดส์ที่เราต้องหาของที่แมสมากขึ้นเพื่อมาเสิร์ฟลูกค้า สินค้าที่เยอะที่สุดในร้านจะเป็นอาร์ตปรินต์ หรือภาพประกอบที่ถูกทำเป็นภาพพิมพ์ ส่วนใหญ่เป็น Riso print หรือดิจิทอลปรินต์ สิ่งนี้ขายดีมาก เพราะจริงๆ มันก็คือการได้ซื้องานศิลปะภาพพิมพ์ในราคาที่ถูกลง 

ท่ามกลางวงการสิ่งพิมพ์อิสระที่เติบโต มีร้านสิ่งพิมพ์อิสระเปิดเยอะขึ้น คุณวาง position ของ SPACEBAR ZINE ไว้ตรงจุดไหน 

ภู่ : ไม่เคยคิดเลย แต่ถ้ามาคิดจริงๆ เราคิดว่าอยู่ตรงกลางแมส กลางอินดี้ เราอาจแมสเกินไปสำหรับสิ่งพิมพ์อินดี้ แต่ก็อินดี้เกินกว่าจะเรียกว่าแมส

วิว : โชคดีที่ร้านของเรามีอิสระสูง ไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ซึ่งจริงๆ เป็นสิ่งที่เราหวังในการทำงานสักงานนะ เพราะในการทำงาน เราจะกลัวการถูกเปรียบเทียบ แต่ SPACEBAR ZINE ทำให้เราสบายใจ เหมือนเราไม่ต้องแข่งกับใคร แค่เลือกเล่มที่เราชอบมาให้ได้ นั่นคือเป้าหมายของเรา

ภู่ : ต่อให้อนาคตจะมีคนเปิดร้านแบบเดียวกัน แต่จะไม่เหมือนกันหรอก เพราะการเลือกสินค้าเข้าร้านมันขึ้นอยู่กับสายตาของเจ้าของร้าน เราก็เลือกซีนผ่านสายตาของเราทั้งคู่

ความท้าทายของการอยู่ตรงกลางระหว่างแมสกับอินดี้คืออะไร

ภู่ : การบริหารความคาดหวัง หลายคนคาดหวังกับเรามากว่าเราควรจะมีอะไรบ้าง สมมติว่าเรามีนักเขียนเข้ามาพิมพ์งานด้วยกัน ถ้าเป็นระบบสำนักพิมพ์ นักเขียนก็จะคาดหวังค่าต้นฉบับเพราะเราพิมพ์หนังสือของเขา แต่ที่นี่เราจะไม่ได้แบกต้นทุนแบบนั้น จะเป็นในลักษณะที่ว่า คุณอยากเขียน อยากทำซีนใช่ไหม มีวัตถุดิบอะไรบ้าง มาทำร่วมกันไหม แต่เรามีต้นทุนเท่านี้นะ ขายได้เท่านี้ มันเหมือนเขามาฝากความหวังกับเราไม่ได้ แต่เดินไปพร้อมกันได้ เหมือนเราทำงานร่วมกันมากกว่าจะตั้งตัวเป็นสำนักพิมพ์ 

วิว : เราทำธุรกิจด้วยความสบายใจเป็นหลัก อาจเป็นเพราะช่วงวัยด้วย ช่วงวัยหนึ่งเราก็อยากทำงานที่ทำให้เราเติบโต อยากเป็นคนนั้นคนนี้ในวงการ แต่พอเราได้ทำแล้ว พอถึงจุดหนึ่งเราก็อยากทำสิ่งที่มันยั่งยืน มันจะต้องไม่ใช่แค่อยากทำ แต่จะทำยังไงวะให้ร้านอยู่ได้ ทำยังไงให้เราสามารถสั่งหนังสือมาวางได้เรื่อยๆ มุมมองทางธุรกิจมันก็เติบโตขึ้นตามวัย 

เราว่าคนทำธุรกิจคงเป็นกันทุกคน พอร้านเริ่มเป็นที่รู้จัก มันจะมาพร้อมความคาดหวังบางอย่าง เช่น ร้านนี้เป็นร้านสิ่งพิมพ์อิสระในกรุงเทพฯ ที่ต้องมา เรารู้สึกว่าเรากลัวมากขึ้น 

เมื่อก่อนเราจะมองว่าความกลัวเป็นข้อเสีย แต่พอโตขึ้น เรามองว่าการทำธุรกิจโดยยังมีความกลัวเป็นข้อดี เพราะความกลัวทำให้เราเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น

การที่โรงพิมพ์หันมาผลิตงานในสเกลเล็กลง ส่งผลกระทบต่อคุณบ้างไหม

วิว : ไม่นะ เพราะโรงพิมพ์ไม่ได้ไปวิ่งหาศิลปินเหมือนเรา เราเป็นแมวมองนิดหนึ่ง คือนอกจากเลือกมาขายแล้วเราก็ช่วยศิลปินผลิตงานด้วย ตอนนี้เรานิยามตัวเองว่าเป็น Publications Producer รับโปรดิวซ์งานสิ่งพิมพ์ เพราะส่วนใหญ่ปัญหาของศิลปินบ้านเราคือเขามีคอนเทนต์แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรผลิตที่ไหน เราเหมือนเป็นตัวกลางที่ช่วยเขา จบงานให้เขาได้ตั้งแต่เริ่มผลิตยันขาย 

ภู่ : เราไม่ได้รู้สึกว่าโรงพิมพ์เป็นคู่แข่ง แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยงานเราเพิ่มมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพิมพ์ที่ไหน สิ่งพิมพ์ก็ถูกส่งมาขายที่ร้านของเราอยู่ดี

จุดแข็งที่ทำให้ SPACEBAR ZINE ยังยืนระยะได้จนถึงปัจจุบันคืออะไร

วิว: คอนเนกชั่นที่แข็งแรง ซึ่งเป็นคอนเนกชั่นที่สร้างมาเกือบ 10 ปี เป็นระยะเวลาที่นานเหมือนกัน เราเคยคุยกับน้องคนหนึ่งว่า การที่มีเทศกาลสิ่งพิมพ์เยอะขึ้นมันล้อไปกับจำนวนศิลปินที่มีเยอะขึ้น แต่สุดท้ายคนที่จะเปิด physical space อย่างเราได้อาจต้องมีคอนเนกชั่นที่แข็งแรง ด้วยความที่เราเติบโตมากับวงการสื่อและสำนักพิมพ์ด้วย มันจึงเอื้อกัน

ภู่ : ก่อนหน้านี้มีช่วงที่เราคุยกันว่าเราจะไปต่อดีไหม ในเมื่อธุรกิจนี้มันทำเงินได้ แต่มันไม่ได้ทำเงินดีขนาดนั้น เราควรย้ายไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า เราครุ่นคิดอยู่นาน แต่พอผ่านช่วงนั้นไป คำตอบของเราคืออยากทำต่อ ร้านนี้มันเป็นตัวเราไปแล้ว ถ้าเราไม่ทำเราก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต 

วิว : มันคือตัวตนว่ะ เราทำต่อเพราะเราทิ้งตัวตนเราไม่ได้ ต่อให้เราไปทำอย่างอื่น ไปทำงานประจำที่ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์แล้ว เราก็ยังมีสายตาคู่นี้อยู่ดี เราคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในโลกการทำงานคือการได้ทำสิ่งที่เป็นตัวเองมากๆ และมีคนยอมรับในงานของเรา ซึ่งโชคดีที่งานตอนนี้มันเป็นแบบนั้นโดยที่เราไม่ต้องพยายามหนักมาก 

ในขณะเดียวกัน งานนี้ก็ทำให้เราสนุกกับการรอว่าใครจะมาค้นพบเรา เราไม่ได้ทำธุรกิจที่วิ่งหาใครแต่ทำในเชิง ‘มาค้นพบฉันสิ’ อย่างอยู่ดีๆ นิตยสารที่เราชอบมากอย่าง POPEYE และ BRUTUS มีเราอยู่ในนั้นในฉบับที่วางแผงเดือนเดียวกัน เรามีความสุขกับตรงนี้มาก และเราคิดว่าการทำงานที่ได้รับการยอมรับเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมีที่สุดแล้ว

3 สิ่งที่ผู้ประกอบการร้านหนังสืออิสระควรมี
แนะนำโดย วิว-ภู่ ผู้ก่อตั้ง SPACEBAR ZINE


1. มีสายตาที่กว้างขวาง เห็นและรู้จักสิ่งพิมพ์ให้มากที่สุด
2. รู้จักลูกค้าของเราว่าเขาต้องการอะไร
3. ทำธุรกิจแบบไม่กลัวเลยก็ไม่ดี กลัวบ้างก็ดี อีกอย่างคือทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจไปต่อได้โดยที่ไม่ทิ้งมันไปก่อน

มุกเด็ดที่ Humor Sapiens ใช้ทำพวงกุญแจหมาโบ้, เสื้อโชว์ปกหนังสือ และพวงกุญแจของคนโลเล

กระเป๋าผ้าพร้อมช่องพกพาหนังสือที่เปิดและปิดได้เพื่ออวดปกหนังสือที่กำลังอ่าน, พวงกุญแจช่วยตัดสินใจ ตั้งแต่วันนี้จะกินอะไร ไปจนถึงจะสระผมดีไหม นอกจากนั้นยังมีพวงกุญแจที่พลิกแล้วภาพเปลี่ยน จากกำมือเป็นชูนิ้วกลาง ฯลฯ

สินค้าที่เห็นแล้วชวนขำ บ้างรู้สึกอีหยังวะเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าในนาม Humor Sapiens ของ ยชญ์ บรรพพงศ์ ที่หลายคนรู้จักกันในนาม ‘ยชญ์ Untitled Case’ หนึ่งในโฮสต์รายการ Untitled Case ในช่อง Salmon Podcast 

ก่อนหน้านี้ เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะครีเอทีฟของขายหัวเราะ ความฮาสามัญประจำบ้านของชาวไทย และที่นั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Humor Sapiens ที่เริ่มจากคำคำหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมทีม

“พี่ไม่ใช่คนธรรมดา พี่เป็น Humor Sapiens”

ฟังครั้งแรกอาจรู้สึกขำตามคำว่า Humor ที่แปลว่าอารมณ์ขัน แต่สำหรับยชญ์ เขามอบคำคำนี้ให้พี่ๆ นักวาดของขายหัวเราะ เพราะมองว่ารุ่นพี่นักวาดมีพรสวรรค์ในการหยิบสิ่งรอบตัวมาเล่าเรื่องด้วยมุกตลก และจากคำนั้นเอง ที่กลายเป็นคำตั้งต้นที่ทำให้ขายหัวเราะลองส่งต่ออารมณ์ขันผ่านของที่ ‘จับต้องได้’ มากขึ้น เป็นที่มาของสินค้าชิ้นแรกภายใต้ขายหัวเราะอย่าง ‘กิ๊บโกรธ’ ที่แค่ติดไว้ที่ผมก็เหมือนกำลังโกรธตลอดเวลา 

จากของที่ตั้งใจทำเล่นๆ ขำๆ กลายเป็นไวรัลแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามองเห็นความเป็นไปได้ของแบรนด์น้องใหม่ แบรนด์ที่ต่อยอดคำว่า Humor Sapiens ให้กลายเป็น tangible item ที่จับต้องได้ และน่าหยิบไปพูดถึงต่อ 

สินค้าหลายชิ้นเป็นสินค้าที่เห็นแล้วขำ บางชิ้นเห็นแล้วสงสัยว่าคิดได้ยังไง และบางชิ้นก็รู้สึกว่าไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีก็คงสร้างสีสันให้ชีวิตได้ดี

เราจึงขอชวนยชญ์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านภายใต้หลังคาเดียวกันอย่าง Vithita Group มาสนทนาถึง 5P เบื้องหลังแบรนด์ Humor Sapiens นี้ไปพร้อมๆ กัน ถ้าอ่านจนจบแล้วรู้สึกอยากเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยชญ์ขออันเชิญทุกคนไปออกล่ากันที่ humorsapiens.co

Product
สินค้าที่เล่นกับอารมณ์ขัน อินไซต์ของคน และมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง

“สิ่งหนึ่งที่เราว่าคนไทยสามัคคีกันมากคือการเล่นมุก มันเหมือนอารมณ์ขันเป็นสิ่งที่เชื่อมพวกเราเข้าด้วยกัน ภายใต้เศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน” ยชญ์เกริ่นถึงจุดร่วมที่เขาเห็น และนั่นเองที่ทำให้ Humor Sapiens เป็นแบรนด์ที่ตั้งต้นจากคำว่า ‘อารมณ์ขัน’ ก่อนขยายสู่การนำ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ มาตอบอินไซต์ของผู้คน 

แต่เช่นเดียวกับหลายๆ ธุรกิจ ในช่วงตั้งไข่อาจมีทีมงานแค่ไม่กี่คน สรรพกำลังที่มีอยู่จึงอาจไม่เพียงพอในการสร้างแบรนด์แล้วปังตั้งแต่วันเปิดตัว แทนที่จะออกล่าตั้งแต่เช้ายันค่ำมืด ด้วยสมาชิกในเผ่าที่มีเพียงน้อยนิด ซึ่งอาจโดนเสือหรือสิงโตเจ้าป่าลากไปเขมือบตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากถ้ำด้วยซ้ำ ยชญ์จึงเลือกหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดตัวแบรนด์

“เราถามตัวเองว่า ณ ตอนนั้น ไพ่ที่ดีที่สุดคืออะไร ก็เลยนึกถึงงานหนังสือ เรายังมีฐานแฟนจาก Untitled Case อยู่ ขณะเดียวกันก็คิดว่างานหนังสือน่าจะเป็นงานเปิดตัวแบรนด์ที่ทําให้คนในงานจับต้องสินค้า ได้เห็นไวบ์ และเข้าใจความเป็น Humor Sapiens มากกว่าการเปิดตัวในโลกออนไลน์ ที่สำคัญ งานหนังสือยังมีคนเดินเป็นล้าน มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

ภาพ : Facebook Humor Sapiens

เมื่อตั้งเป้าเปิดตัวที่งานหนังสือ เขาจึงคิดว่าสินค้าแรกๆ ควรต้องเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับงานที่จะไปออก เป็นที่มาของเสื้อยืดสกรีนกลับหัวว่า ‘You look sexy keep reading’ ซึ่งออกแบบให้คนที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือจะเห็นข้อความนี้ในมุมของตัวเอง 

นอกจากนั้นยังมีหมวก Genre Cap ที่สีและอักษรที่สกรีนเป็นธีมของนวนิยาย เช่น Classic Novel สีน้ำตาลที่สื่อถึงนวนิยายคลาสสิก หรือจะเป็นหมวกสีเหลือง สกรีนอักษร Young Adult สื่อถึงความสดใสและความกล้าในวัยแรกรุ่นที่สะท้อนผ่านนวนิยายที่เล่าถึงการก้าวข้ามผ่านช่วงวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่

ที่แตกต่างและแทบไม่เคยเห็นที่ไหนคือสินค้าคอลเลกชั่น Judge Me by the Cover ที่มีทั้งเสื้อที่มีกระเป๋าใส่หนังสือได้ และกระเป๋าผ้าที่เปิดให้เห็นหน้าปกได้ 

“แทนที่จะเป็น Don’t judge a book by its cover. ที่บอกว่าอย่าตัดสินหนังสือที่หน้าปก เหมือนกับว่าอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก เรารู้สึกว่าในยุคนี้ คนค่อนข้างอยากให้คนอื่นๆ รู้นะว่าเขาอ่านหนังสืออะไร มันคือการบอกตัวตนของคนคนนั้น เหมือนกับว่าถ้าเราเลือกเสื้อผ้า หรือน้ำหอมเพื่อบ่งบอกตัวตนของเรา หนังสือก็เป็นเครื่องมือนั้นได้เหมือนกัน

“เราทำแค่ไม่กี่ร้อยตัวเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่ทุกคนที่อยากได้ ซึ่งมันก็มีคนที่มาซื้อในงานหนังสือจนขายหมดไป คิดว่าถ้าไปขายนอกงานหนังสือก็น่าจะยากเหมือนกัน เราเลยคิดว่าสินค้าแต่ละชิ้นมันต้องคิดขึ้นจากอินไซต์ของคน และอินไซต์นี้มันรับใช้คนแบบไหน”

ภาพ : Facebook Humor Sapiens
ภาพ : Facebook Humor Sapiens

พวงกุญแจนิ้วกลางเป็นหนึ่งในสินค้าที่คิดจากอินไซต์ของผู้คนในปัจจุบัน ตัวพวงกุญแจนี้ใช้เทคโนโลยี Lenticular เพื่อให้ภาพสลับไปมาระหว่างกำมือและมือที่โชว์นิ้วกลาง แรงบันดาลใจมาจากโปสต์การ์ด 3 มิติที่เคยเห็นตามอควาเรียมหรือโชว์โลมาในวัยเด็ก  

“บางครั้งคนเราก็อยากแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา แต่ไม่อยากพูดตรงๆ เหมือนเป็น passive aggressive อะไรแบบนั้น แนวๆ เดียวกับกิ๊บโกรธ สินค้ากลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่คิดมาจากความต้องการของคนแล้วก็หา นวัตกรรมบางอย่างเพื่อทําให้มันดูใหม่ขึ้น”

นอกจากนั้น ยังมี Decision Keychain ที่ออกแบบให้หมุนเพื่อช่วยคนที่ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ แรกเริ่มเขาคิดทำเป็นลูกเต๋า แต่เปลี่ยนเป็นพวงกุญแจให้ใช้งานจริงมากขึ้น หรือจะเป็นพวงกุญแจหมาไม้ที่เริ่มต้นจากมีมในอินเทอร์เน็ต ทั้งมีมที่บอกว่าเหมือนมีหน้าหมาในมัฟฟินช็อกชิพ มีมที่คนชอบเปรียบว่าหมาขนฟูเหมือนไก่ทอดกรอบ หรือจะเป็นแผ่นไม้ โต๊ะไม้ หรือเสาไม้ต่างๆ ที่เหมือนมีวิญญาณหมาอยู่ในนั้น

“เรารู้สึกว่าไอ้สิ่งนี้ตลกดี เราชอบหมา แล้วไอ้เทคโนโลยี Lenticular มันก็สามารถเล่นกับมีมนี้ได้ ก็เลยทำออกมา กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รู้สึกว่าไม่ได้ครีเอทีฟอะไรมากก็แค่ต่อยอดจากไอเดียเดิมมาสู่ของใหม่ ดังนั้นจะเห็นว่า สินค้าแต่ละชิ้นมันอยู่ภายใต้ Humor Sapiens ก็จริง แต่เราไม่ได้มองว่าสินค้าทุกชิ้นต้องตอบคนกลุ่มเดียวกันนะ

“บางคนที่สนใจ Decision Keychain อาจจะไม่ได้ชอบหมามัฟฟินก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือที่จะมาซื้อกระเป๋าที่โชว์ปกได้ หรือบางอันมันอาจจะไม่ได้ตลก แต่มันเป็นสินค่าที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป”

ยชญ์ยอมรับว่าแบรนด์ยังเล็ก และยังไม่เก่งด้านการบริหารต้นทุน แต่ก็ไม่อยากรีบกลายเป็นบริษัทที่รวยเร็วจนเกินไป เขายังอยากให้แบรนด์ได้ทดลอง สนุก และคิดของใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ เหมือนแบรนด์ที่เขายกให้เป็นแรงบันดาลใจ เช่น PDM หรือแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาสินค้า 

“โจทย์ที่ตั้งไว้ตอนนี้จึงคือต้องหาเงินให้ได้ ต้องบริหารการเงินให้ถูกต้อง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราก็ต้องเรียนรู้กันไปเพื่อให้เราเป็นแบรนด์ที่มีอิสระในการคิดสินค้า เพราะว่ากันตามตรง พอเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย คนก็ต้องเลือกใช้เงินกับสิ่งที่เป็นปัจจัย 4 ก่อน พอสินค้าของเราเป็นเหมือนกิมมิกในการใช้ชีวิตมันก็มีความท้าทายอยู่มาก ต่อให้กระแสในออนไลน์มันดีก็ไม่ได้แปลว่าคนจะซื้อเยอะขนาดนั้น”

จากบทเรียนในช่วงแรกเริ่มนี้เอง ยชญ์จึงต้องแบ่งสัดส่วนสินค้าให้ชัดเจนมากขึ้นว่าสินค้าแบบไหนที่คนน่าจะซื้อง่าย เป็นสินค้าที่คนเห็นว่าสำคัญกับชีวิตมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวล Humor Sapiens จะยังคงเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน โดยใช้อารมณ์ขัน และอินไซต์เป็นตัวตั้งต้น

“เราคุยกับทีมว่าแบรนด์ที่เราชื่นชอบและอยากให้ Humor Sapiens เป็นแบบนั้น คือ Beams ของประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงมาก ไม่ว่าจะทําจาน ทําแก้ว แฟนๆ ก็อุดหนุน เราอยากเป็นแบบนั้น ในอุดมคติ เราอยากให้มันเป็นแบรนด์ที่สักวันหนึ่งคนจะเข้าใจว่านี่คือแบรนด์อะไร โดยที่ไม่ได้ต้องพูดว่ามันขายอะไรบ้าง มันไม่ได้ง่ายแต่ก็เป็นภาพใหญ่ที่อยากไป”

Price
ราคาที่ให้เกียรติไอเดีย และให้เกียรติคนซื้อ

ในโลกที่ผู้บริโภคหลายคนยังคุ้นชินกับการตั้งราคาให้ถูกที่สุดเพื่อให้สินค้าขายได้เร็วที่สุด แบรนด์เล็กอย่าง Humor Sapiens กลับเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ได้อิงกับสงครามราคามากนัก แต่เริ่มจากการให้เกียรติงานที่ทำ และให้เกียรติคนที่ซื้อ

“ถ้าเราทํางานออกมาแล้วเราไม่กล้าตั้งราคากับมัน เราก็รู้สึกว่ามันคือการไม่ให้เกียรติงานที่ตัวเองทํา เราตั้งราคาถูกกว่านี้ไม่ได้มากหรอก แต่มันก็จะทําให้เรารู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ว่าเราควรจะไปอยู่ในตลาดของเล่นราคาถูกที่นำเข้าจากจีนไหม แต่เราก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบรนด์ที่แพงแบบดีไซเนอร์แบรนด์

“เราอยากให้มันเป็นแบบ affordable creativity ที่เราเองก็ใส่ไอเดียได้เต็มที่ แต่ราคาก็ยังอยู่ในช่วงที่คนเข้าถึงได้   

เวลาคิดจะทำโปรดักต์สักชิ้น เขาจะเริ่มจากการดูต้นทุนก่อนเป็นอันดับแรก เช่น หากทำจานหนึ่งใบแล้วต้นทุนสูงถึง 500-600 บาท เขาจะต้องพิจารณาต่อว่า ถ้าขายที่ราคาหลักพัน เช่น 1,300 หรือ 1,400 บาท จะยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ซื้อได้อยู่ไหม หากประเมินแล้วว่าไม่คุ้ม หรือราคาสูงเกินกำลังซื้อ ก็อาจต้องพักก่อน

“เราก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าถ้าเรายึดจากต้นทุนแล้วไปสู่ price เลย มันไม่ได้นําไปสู่จุดสุดท้ายว่าคนจะซื้อไหม เราเลยตั้งต้นจากว่าคนมีเงินซื้อสิ่งนี้แค่ไหนด้วย ดังนั้น การคิดสินค้าพร้อมคิดภาพกลุ่มลูกค้าไปด้วยจึงสำคัญมาก มันจะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าแต่ละสินค้าควรราคาเท่าไหร่ แล้วค่อยดูว่ามันเป็นไปได้ไหมกับต้นทุนนี้” 

เมื่อพูดถึงกลุ่มคนที่ซื้อ Humor Sapiens ยชญ์มองว่า คือคนทำงาน โดยเฉพาะในเจเนอเรชั่นวาย และเริ่มเห็นแนวโน้มของเจนฯ Z ที่กำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน เขาอธิบายว่าลูกค้าแบรนด์ไม่ใช่คนที่ใช้เงินทุกบาทเพื่อความอยู่รอด แต่คือคนที่มีเงินเหลือบ้างพอสมควร จนสามารถใช้ไปกับของที่ ‘ไม่จำเป็น’ แต่ ‘เติมเต็ม’ บางอย่างในชีวิตได้

“เราเป็นผงชูรสอะ ถ้าเขามีเงินเหลือเมื่อไหร่ก็ค่อยซื้อของเรา ประมาณนั้น”

Promotion 
สื่อสารให้คนรู้สึกและเห็นภาพ

แม้ Humor Sapiens จะเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเป็นหลัก แต่การทำคอนเทนต์ก็ไม่หยิ่งหย่อนเช่นกัน เขามองว่า “คอนเทนต์เหมือนน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังคิดหรือทำสินค้าอะไรอยู่”

ยกตัวอย่าง Decision Keychain ที่นำไปสู่ไอเดียคอนเทนต์อย่าง ‘One Day with Decision Keychain’ ที่ชวนลองใช้ชีวิตทั้งวันโดยให้พวงกุญแจนี้ช่วยตัดสินใจ หรือจะเป็น Genre Cap หมวกที่แบ่งสีตามแนวหนังสือ อย่างสีเหลืองแทนแนว Young Adult หรือสีดำแทนแนว Mystery & Crime 

“ถ้าบอกแค่ว่าหมวกนี้มีกี่สี แต่ละสีปักชื่อ genre หนังสือ ก็คงน่าเบื่อ  แต่ถ้าเล่าให้ลึกกว่านั้นว่าหมวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนเลือกใส่ตามอารมณ์ในแต่ละวัน เช่น วันนี้รู้สึกสดใส อยากมีชีวิตแบบตัวละครในนิยายวัยรุ่น ก็หยิบหมวกสีเหลืองขึ้นมาใส่ หรือวันที่อยากดูลึกลับ ก็หยิบหมวกสีดำที่แทนแนวสืบสวน มันก็จะทำให้สินค้าดูมีชีวิตมากขึ้น” 

“เบื้องหลังของสินค้าแต่ละชิ้นใน Humor Sapiens ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ความต้องการของผู้คน หน้าที่ของคอนเทนต์จึงคือการดึงวิธีคิดเหล่านั้นออกมาให้คนอื่นเห็นและรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”

หลายคนอาจรู้จักยชญ์ในฐานะหนึ่งในโฮสต์ประจำรายการ Untitled Case ของช่อง Salmon Podcast เขายังเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสือหลายเล่ม แต่แทนที่จะใช้ช่ือเสียงดั้งเดิมของตัวเองเป็นตัวกลางในการสื่อสาร ยชญ์กลับมองต่างออกไป 

เพราะแม้แบรนด์จะเริ่มจากตัวเขา แต่ก็อยากให้วันหนึ่ง Humor Sapiens เติบโตจนเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น และกลายเป็นแบรนด์ที่ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่ง personal branding เป็นหลัก ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมองว่าความเป็นยชญ์ Untitled Case ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแยกขาดจากแบรนด์โดยสมบูรณ์เพราะสิ่งนี้คือสารตั้งต้นของแบรนด์ด้วยซ้ำ  

“มันเหมือนเรามีไพ่ใบหนึ่งที่เราจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่สิ่งที่เราว่าต้องทำให้ได้มากกว่านั้นคือการหาสูตรการทําคอนเทนต์ของแบรนด์ เราก็พยายามลองทําหลายแบบ มันก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แล้วก็ได้เรียนรู้ว่ามันต้องยิงแอดบ้าง ต้องทํานู่นนี่นั่นบ้าง จะไปหวังออร์แกนิกอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่สุดท้าย ทุกชิ้นที่ปล่อยไปก็เป็นผลงานที่เราชอบ สุดท้ายมันมาจากคนทํางานว่าเรามองสินค้าที่ทำแบบไหน อยากเล่ายังไง”

  เช่นเดียวกับเรื่องราคา ยชญ์ตั้งราคาสินค้าโดยอิงจากความรู้สึกว่าเหมาะสมกับคุณค่าในตัวสินค้านั้นๆ คือไม่ถูกเกินไป ไม่แพงเกินไป และเขายอมรับได้หากต้องลดราคาด้วยเหตุผลที่ดี เช่น ตามโปรโมชั่นของแพลตฟอร์ม หรือเพื่อต้องการให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่จะไม่ใช้การลดราคาเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นยอดขาย

Place
ออกล่าในช่องโลกออฟไลน์ ดำรงอยู่ได้ด้วยโลกออนไลน์

สำหรับแบรนด์เล็กๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน คำว่า ‘place’ ของแบรนด์ไม่ใช่ช่องทางการวางจำหน่าย หรือเป็นเพียงสถานที่สำหรับขายของเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงโอกาสเข้าถึงลูกค้า สนามทดลองของแบรนด์ และการสร้างความสัมพันธ์

หาก Humor Sapiens เป็นคน สเตจในชีวิตของคนคนนี้คงเป็นการวิ่งไปในทุกทางที่มี เพื่อหาที่ทางที่ใช่ของตนเอง ทั้งช่องทางออฟไลน์ และช่องทางออนไลน์

 “ช่องทางออนไลน์มันเหมือนเป็นเซฟโซนและเป็นช่องทางกระดูกสันหลัง ถึงเราจะไม่ได้ไปออกอีเวนต์ ไม่ได้ไปฝากขายที่ไหน แต่หน้าร้านออนไลน์มันจะยังอยู่ตรงนั้นเพื่อหล่อเลี้ยงทีม ดังนั้นเราก็ต้องโฟกัสให้ยอดในออนไลน์มันมากพอที่จะรันองค์กรได้ ส่วนอีเวนต์เป็นเหมือนช่องทางการหาเงินก้อนใหญ่มาทำสินค้าอื่นๆ ในอนาคต”

หลักๆ ยชญ์เลือกใช้อินสตาแกรมเป็นตัวกลางในการสื่อสาร นอกจากนั้นเขายังมี marketplace อื่นๆ อย่าง Shopee และยังทำ affiliate marketing หรือการตลาดแบบพันธมิตรที่แบรนด์จะให้คนอื่นๆ ช่วยขายสินค้าให้ แลกกับค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายที่เกิดขึ้นจริง

“affiliate marketing มันเหมือนเรากำลังสร้างเผ่าพันธุ์ Humor Sapiens โดยเราจะเปิดให้คนเจนฯ ลิงก์สินค้าได้ ถ้าเขาเอาลิงก์ไปแปะที่ไหน เช่น สตอรี่ไอจี แล้วคนกดซื้อสินค้าจากลิงก์นั้น เขาก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นไป แต่ตอนแรก เราคิดว่าแค่บอกเฉยๆ ก็น่าจะมีคนทำแล้ว กลายเป็นว่ามันต้องสื่อสาร ทำแคมเปญ และเปิดให้คนมีส่วนร่วมจริงๆ”

ขณะที่ช่องทางออนไลน์คือเซฟโซน การไปออกบูทจึงเป็นเหมือนการออกล่าสัตว์สำหรับมนุษย์ถ้ำอย่าง Humor Sapiens 

“เวลาเราไปออกบูท เราต้องเตรียมตัวไปดูหน้างาน เราต้องไปหาเงิน เอาของในมือเราไปส่งมอบให้คนที่ต้องการมัน แล้วคนที่เขามาจับสินค้า เขาจะรู้สึกมีแมจิกบางอย่างมากกว่าการเลือกซื้อในออนไลน์ ดังนั้นแม้ช่องทางออฟไลน์จะเป็นท่าที่เราเองไม่ถนัด แต่ก็ต้องทํา”

เส้นทางของ Humor Sapiens เริ่มต้นจากงานหนังสือช่วงปลายมีนาคม นับเป็นการเปิดตัวแบรนด์สู่สายตาสาธารณะครั้งแรก จากนั้นจึงเริ่มเดินทางไปตามอีเวนต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง CAT TShirt, CAT Expo, Illustration Fair, มหแบหนังสือ จนกระทั่ง Fume Fest 

จากการออกหน้าร้านที่งานหนังสือครั้งแรกซึ่งเขาคิดสินค้าเดบิวต์แบรนด์ที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ ทำให้ยชญ์มองว่าการเลือกสินค้าและเปิดตัวสินค้าให้เหมาะกับผู้คนในงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยอมรับว่าสำหรับทีมเล็กๆ ที่ยังมีข้อจำกัด การมีของใหม่ในทุกงานไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ตลอด 

แม้งานที่เคยไปส่วนใหญ่จะเป็นแนวของเล่น งานหนังสือ หรือตลาดครีเอเตอร์ แต่ในอนาคตยชญ์อยากให้แบรนด์เดินไปอีกทางหนึ่งคือเทศกาลงานศิลปะ เพราะเป้าหมายคือการยกระดับแบรนด์ให้มีคุณค่ามากกว่าของที่ซื้อมาเพราะน่ารัก แต่ให้คนรู้สึกว่าแบรนด์มีเซนส์ทางศิลปะ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ลึกขึ้น  

Puen
เพื่อนกันมันกว่า

“ถ้ามันไม่ฝืนจนเกินไป” 

ยชญ์ทำทีลังเล ก่อนตอบคำถามว่านอกจาก Product, Price, Place, Promotion ของแบรนด์แล้ว อีก P ที่เขาคิดว่าสำคัญคือ “P เพื่อน P-U-E-N” 

คำตอบจากเขาอาจแตกต่างจากเจ้าของธุรกิจคนอื่นๆ ที่เคยสนทนา ทว่าคำว่า ‘puen’ ของเขามีที่มาและความหมาย

“เราติดหนี้บุญคุณคนเยอะมาก วันที่ไปออกงานหนังสือ เรายังแพ็กของไม่เสร็จเลย แต่ก็ได้เพื่อนๆ ในตึกออฟฟิศซึ่งไม่ได้อยู่ในแบรนด์เราด้วยซ้ำมาช่วยแพ็กของ แล้วก็ไอเดียหลายๆ อย่างน่ะ เราก็ได้มาจากการคุยกับเพื่อน

“อีกอย่าง เราอยากให้ vibe การทำงานในทีมมันมีความเป็นเพื่อนกัน หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่มาซื้อของเรา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนที่เก็ตในสิ่งเดียวกัน ใช้ของคล้ายๆ กัน แล้วไอ้ความเป็นเพื่อนเนี่ย เวลาชอบอะไรก็จะป้ายยาให้เพื่อนอีกที คำว่า ‘เพื่อน’ มันเลยน่ารักดีและเหมาะกับสิ่งที่เราอยากให้เป็น”

จากมกราคม 2568 จนถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2568) Humor Sapiens อาจไม่ใช่แบรนด์ใหญ่โตหรืออยู่มานานนม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยชญ์และทีมได้เรียนรู้ เผชิญกับความท้าทาย และเห็นโอกาสหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ การเรียนรู้ที่จะรอ

“การรอมันวัดใจมากเลยนะว่าเราใจแข็งพอที่จะเชื่อในแผนที่เราทำหรือเปล่า เชื่อในสิ่งที่เราตัดสินใจไปแล้วหรือเปล่า มันเหมือนกับการต้มมาม่านะ บางทีเรารอไป 2 นาที มันก็ยังไม่สุก ต้องรออีกหนึ่งนาทีมันถึงจะสุก แล้วเรารอเก่งแค่ไหน สำคัญคือเราพร้อมจะรอแค่ไหนด้วย 

“แต่อีกความยาก คือถ้าเรารอผิดจุดล่ะ ถ้าเรารอในสิ่งที่มันไม่ควรจะรอ ก็เป็นสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนกัน เราเองก็กําลังเรียนรู้สิ่งนี้อยู่ว่าสิ่งไหนควรรอ สิ่งไหนไม่ควรรอ แล้วสิ่งไหนควรรีบแก้ไขทันที เราว่าสิ่งนี้ยากที่สุดในการเป็นเจ้าของแบรนด์”  

แม้จะไม่ได้มีแบรนด์ที่เหมือนกันเป๊ะๆ ในไทย แต่ยชญ์มองว่ามีบางแบรนด์ที่มีแก่นหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีครีเอเตอร์หลายคนที่เก่งด้านการทำสื่อ และสามารถสร้างสินค้าที่ชาญฉลาดและโดดเด่นได้ เขามองว่าคนกลุ่มนี้ถือเป็นคู่แข่งทางอ้อมของแบรนด์เขา

สำหรับแบรนด์ในไทย ยชญ์มองว่าอะไรก็ตามที่จัดอยู่ในหมวด ‘ของฟุ่มเฟือย’ ไม่ใช่ของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งของแบรนด์ได้ทั้งนั้น เขายกตัวอย่างแนวคิดของ Netflix ที่เคยบอกว่าคู่แข่งของแบรนด์คือเวลานอน เพราะทุกอย่างที่แย่งความสนใจและเวลาไปจาก Netflix ก็คือคู่แข่งทั้งหมด ซึ่งสำหรับเขา แนวคิดนี้ก็ใช้ได้เช่นกัน

ถึงอย่างนั้น ยชญ์ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบแข่งขันกับคนอื่นขนาดนั้น เพราะการมองว่าโลกเต็มไปด้วยคู่แข่ง รังแต่จะสร้างความเครียดและความกดดันที่อาจทำให้เขาหลุดจากธรรมชาติของตัวเอง ในตอนนี้คู่แข่งของแบรนด์จึงไม่ใช่แบรนด์อื่น แต่คือ ‘ข้อจำกัดของตัวเอง’ ที่จะทำให้แบรนด์ไปถึงจุดที่เขาพึงพอใจ

“ถามว่าจุดไหนที่เราพอใจ คือเราอยากให้ Humor Sapiens เป็นแบรนด์ที่คนจดจําได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ทําสินค้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ อยากให้เป็นแบรนด์ที่ผลิตไอเทมฮิตๆ เรายังคงแสวงหาหนทางไปถึงจุดนั้นอยู่ ยังตอบไม่ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้คือเราก็ปล่อยของที่เรารู้สึกว่าสิ่งนี้เนี่ย เราแม่งโคตรภูมิใจที่ได้ทำมัน”

STRAVA ทำยังไงให้กลายเป็นเหมือนโซเชียลมีเดียและคอมมิวนิตี้ของคนออกกำลังกาย 

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ย่อมต้องคุ้นเคยกับชื่อของแพลตฟอร์ม Strava อย่างแน่นอน 

ยิ่งในยุคดิจิทัลที่การออกกำลังกายไม่ได้เป็นเพียงการฝึกเพียงลำพัง แต่อาจหมายถึงการเชื่อมต่อกับคอมมิวนิตี้ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน Strava คือแอพพลิเคชั่นที่ช่วยบันทึก วิเคราะห์ และเก็บสถิติการออกกำลังกาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนการวิ่ง การปั่นจักรยาน และกิจกรรมการออกกำลังกายอื่นๆ ให้กลายเป็น ‘ประสบการณ์’ ที่คนทั่วโลกแบ่งปันร่วมกันได้

ความนิยมของ Strava ไม่ได้มาจากเพียงแค่เทคโนโลยี แต่รวมถึงการเข้าถึงจิตวิทยาและธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมุ่งมั่น การแข่งขัน การผลักดัน และการต่อสู้ ทำให้การออกกำลังกายในทุกวันกลายเป็นความท้าทายและมีความหมายที่มากกว่าการออกกำลังกาย

แต่ไม่ว่าการออกกำลังกายของคุณจะเป็นเรื่องของการต่อสู้และผลักดันขีดจำกัดของตัวเองตามลำพัง หรือคือการเชื่อมต่อและแบ่งปัน Strava ถือเป็นตัวช่วยที่สร้างแรงบันดาลใจและผลักให้ทุกความตั้งใจนั้นบรรลุได้

Biztory รอบนี้ขอพาไปสำรวจว่า ทำไม Strava จึงเป็นแอพพลิเคชั่นที่สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจจากการผสานเรื่องของกีฬาเข้ากับการเชื่อมต่อทางสังคม และการเติบโตของแอพสะท้อนถึงเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยคอมมูนิตี้ยังไง

การพบกันของสองนักพายเรือ

กลางทศวรรษ 1980 ไมเคิล ฮอร์วาธ (Michael Horvath) และมาร์ก เกนี (Mark Gainey) พบกันครั้งแรกขณะทั้งคู่เป็นนักพายเรือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) ในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี 

กิจวัตรประจำวันในการซ้อมพายเรือ และ ‘ประสบการณ์ร่วม’ ในการใช้ชีวิตก่อร่างสร้างมิตรภาพให้ทั้งคู่ ขณะที่ช่วงกลางทศวรรษ 80 นั้น ทีมพายเรือของฮาร์วาร์ดมักมีการแข่งขันมหาวิทยาลัยในเครือไอวีลีก (Ivy League) หรือมหาวิทยาลัยเอกชนเก่าแก่ 8 แห่ง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ รวมถึงมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton) และมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ในรายการสำคัญ เช่น Goldthwait Cup และ Eastern Sprints 

ขณะที่กีฬาพายเรือนั้นต้องอาศัยความไว้ใจ วินัย และความอดทน สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมทั้งบุคลิกและมิตรภาพของทั้งไมเคิลและมาร์กให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

กล่าวได้ว่า ในห้วงเวลาของการเป็นนักศึกษาและนักกีฬาพายเรือมหาวิทยาลัย ไมเคิลและมาร์ก รู้สึกว่า ‘พลังใจ’ ในการฝึกซ้อมและแข่งขันนั้นมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

กระทั่งหลายปีต่อมา ไมเคิลกลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ส่วนมาร์กทำงานด้านการลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ แม้จะเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานที่ดูจะมีอนาคตสดใส ทว่าความรู้สึกถึง ‘พลังใจ’ ที่เคยมีในวัยเรียนกลับค่อยๆ จางหายไป

ไม่ใช่แค่สภาพร่างกาย แต่ ‘แรงจูงใจในการออกกำลังกาย’ จากที่เคยมีในยามเป็นนักกีฬาก็หายไป เมื่อไม่ได้มีเพื่อนร่วมทีมคอยผลักดัน 

แต่นั่นเอง ก็กลายเป็นจุดตั้งต้นของแนวคิดบางอย่างที่ทั้งคู่กำลังจะสร้างร่วมกัน

กำเนิด Strava

แม้เส้นทางในการทำงานของไมเคิลและมาร์กจะแยกจากกัน แต่ทั้งคู่มีโอกาสพบกันบ่อยครั้งที่ห้องทำงานของไมเคิล ที่นั่น พวกเขาได้แบ่งปันความฝันจากแนวคิดที่ว่า ‘จะเป็นอย่างไร ถ้ามีพื้นที่ออนไลน์ที่ช่วยให้นักกีฬารู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ใน ‘ห้องล็อกเกอร์’ ได้อีกครั้ง ได้แชร์ผลงาน พูดคุยเรื่องการซ้อม และสร้างแรงกระตุ้นร่วมกันได้ แม้จะซ้อมเพียงลำพัง’

ห้องล็อกเกอร์ที่ว่า เปรียบเสมือนพื้นที่ของ ‘ทีมนักกีฬา’ ที่ถูกใช้สำหรับการพูดคุยและสร้างแรงบันดาลใจจากการออกกำลังหรือเล่นกีฬา

ความคิดนี้ค่อยๆ ถูกต่อยอดมาสู่เรื่องของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเก็บบันทึกสถิติ แบ่งปันผลงาน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไอเดียเหล่านั้นเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ที่เทคโนโลยียังไม่พร้อมรองรับแนวคิดดังกล่าว วิศวกรหลายคนเชื่อว่าไม่สามารถทำได้จริง ทั้งคู่จึงหันไปสู่เส้นทางใหม่ โดยร่วมกันก่อตั้ง Kana Communications บริษัทซอฟต์แวร์จัดการอีเมลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และสามารถนำเข้าตลาดหุ้น (IPO) ได้ในปี 1999

หลังจากนั้น โลกได้ก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ เทคโนโลยีเริ่มพัฒนาแบบก้าวกระโดด สมาร์ตโฟน ระบบ GPS และโซเชียลเน็ตเวิร์ก พัฒนาอย่างเต็มที่และมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ขณะที่ความฝันดั้งเดิมของไมเคิลและมาร์กยังไม่เคยจางหายไป

ล่วงเข้าสู่ปี 2009 ทั้งคู่ก่อตั้ง Strava โดยชื่อมาจากภาษาสวีเดน ‘Sträva’ ที่แปลว่า ‘ความพยายามและมุ่งมั่น’ อันมีเป้าหมายหลักในการสร้างพื้นที่ที่เชื่อมโยงนักกีฬา สร้างแรงจูงใจ ทำให้ทุกคนที่ออกกำลังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม

ขณะที่เทคโนโลยีพร้อม Strava จึงเป็นแอพพลิเคชั่นที่ผสมผสานการเก็บข้อมูลการออกกำลังกายเข้ากับโซเชียลมีเดีย เสมือนเป็น ‘ห้องล็อกเกอร์เสมือนจริง’ ที่ทุกคนมาอัพเดตความคืบหน้าในการออกกำลังกายและผลักดันกันให้มุ่งไปข้างหน้าได้

สำหรับทั้งไมเคิลและมาร์ก นี่ไม่ใช่แค่การก่อตั้งบริษัท แต่คือการสานต่อจิตวิญญาณของ ‘มิตรภาพ’ และ ‘ความเป็นทีม’ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่วมกันมาแต่วันวานให้กลับมาอีกครั้ง

การสร้างชุมชนกีฬาออนไลน์

Strava เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2009 อย่างที่เล่าไปว่า สองคู่หูไมเคิลและมาร์กตั้งใจจะทำให้มันเป็นมากกว่าแอพ ‘บันทึกการออกกำลังกาย’ แต่เป็น ‘โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับนักกีฬา’ ซึ่งต่างจากแอพฯ GPS ทั่วไปที่ทำได้เพียงบันทึกระยะทาง เวลา และความเร็ว พูดง่ายๆ คือ Strava ได้เพิ่ม ‘มิติทางสังคม’ เข้ามา ให้ผู้ใช้แอพฯ ได้แชร์กิจกรรม เปรียบเทียบสถิติ และสร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน

แรกสุด Strava เริ่มต้นจากกิจกรรมที่ไมเคิลและมาร์กคุ้นเคย นั่นคือการปั่นจักรยาน ที่สำคัญคือนักปั่นเป็นกลุ่มที่นิยมใช้อุปกรณ์ GPS อยู่แล้ว โดยเวอร์ชั่นแรกของ Strava เปิดให้ใช้งานบนเว็บไซต์ ซึ่งผู้ใช้สามารถอัพโหลดข้อมูลจากอุปกรณ์ GPS อย่าง Garmin เพื่อเก็บสถิติและแชร์ผลงานกับคนอื่นๆ ได้

สิ่งที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของทั้งไมเคิลและมาร์กคือ ในช่วงแรกพวกเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่า Strava จะได้รับความนิยมขนาดไหน จึงลงทุนจากเงินส่วนตัว แม้กระทั่งซื้ออุปกรณ์ GPS ของ Garmin ที่ลดราคาจากห้างค้าส่งอย่างคอสต์โก (Costco) ในราคา 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาแจกให้ผู้ใช้กลุ่มแรกๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงและคำติชมมาปรับปรุงแอพฯ เลยทีเดียว ซึ่งวิธีนี้ก็ช่วยสร้างคอมมิวนิตี้และดึงผู้ใช้กลุ่มแรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว

อีกหนึ่งความท้าทายช่วงแรกคือ การทำให้คนเข้าใจว่า Strava ไม่ได้เป็นเพียงแอพฯ บันทึกสถิติ แต่คือ ‘ชุมชนกีฬาออนไลน์’ ซึ่งจุดสำคัญที่ทำให้ Strava ได้รับเสียงตอบรับในแง่บวกคือฟีเจอร์ Segment และ Leaderboard ที่เปิดโอกาสให้นักปั่นได้เทียบเวลาในเส้นทางเดียวกันและสร้างตารางจัดอันดับอัตโนมัติ ทำให้เส้นทางปั่นที่อาจดูเหมือน ‘เดิมๆ’ ในชีวิตประจำวันกลายเป็นการแข่งขันที่สนุกและท้าทาย

ฟีเจอร์นี้เองทำให้ผู้ใช้งาน ‘ติด’ จนกลับมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความผูกพันสูง ทั้งยังอัพโหลดข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดการแนะนำกันปากต่อปากว่า นี่ไม่ใช่แค่แอพฯ บันทึกข้อมูล แต่คือคอมมิวนิตี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมเคิลและมาร์กต้องการ

เมื่อได้รับเสียงตอบรับดีจากกลุ่มนักปั่น Strava จึงเริ่มขยายไปสู่กลุ่มนักวิ่ง ทำให้ฐานผู้ใช้งานเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว

สู่การขยายฐานที่หลากหลาย

หลังจากเปิดตัวในกลุ่มนักปั่นและขยายฐานสู่กลุ่มนักวิ่ง Strava จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้องพบกับจุดเปลี่ยนหลายครั้ง 

หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนผ่านจากเว็บสู่มือถือ เนื่องจากช่วงแรก Strava ทำงานผ่านการอัพโหลดไฟล์จากอุปกรณ์ GPS มาที่เว็บ แต่เมื่อถึงยุคที่สมาร์ตโฟนเริ่มมี GPS ในตัว Strava จึงพัฒนาแอพฯ มือถือทั้ง iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้บันทึกกิจกรรมของตนเองได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมอีกต่อไป ซึ่งเป็นก้าวใหญ่ที่ทำให้ Strava เข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น

Strava ไม่เพียงเติบโตด้านตัวเลข แต่เริ่มสร้าง ‘วัฒนธรรมออนไลน์’ ของกลุ่มคนเล่นกีฬาขึ้นมา ขณะที่ฟีเจอร์ Segment และ Leaderboard ก็ได้รับความนิยมจนกลายเป็น ‘สนามแข่งออนไลน์’ ของนักวิ่งและนักปั่นทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้ปรากฏการณ์ network effect ที่ยิ่งมีคนใช้งานเยอะ ข้อมูลเส้นทางก็ยิ่งมีความสนุกและสร้างแรงจูงใจมากขึ้น

ที่สำคัญคือ การเติบโตของ Strava ทำให้ฐานคนเล่นกีฬาขยายไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนักปั่นและนักวิ่ง เช่น ว่ายน้ำ ปีนเขา เดินป่า หรือสกี และไม่ใช่แค่คนที่เล่นกีฬามานาน แต่คนที่เพิ่งเริ่มต้นเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกลางแจ้งก็เริ่มมาใช้งานด้วย ซึ่งทำให้คอมมิวนิตี้ของผู้ใช้งานหลากหลายมากกว่าเดิม

เมื่อเติบโตขึ้น โมเดลธุรกิจของ Strava ที่แรกเริ่มฟีเจอร์เกือบทั้งหมดนั้น ‘ฟรี’ และให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน โดยรายได้หลักมาจากสมาชิกพรีเมียมเพียงเล็กน้อย ก็เริ่มมีการเพิ่ม Premium สำหรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การวิเคราะห์เชิงลึกของการซ้อม, การดู Leaderboard เต็มรูปแบบ, การสร้างเส้นทาง 3D, การตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์หรือรายเดือน และโค้ช AI ส่วนตัว 

แม้มีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้งานพอสมควรในการปรับเปลี่ยน แต่ท้ายที่สุดมันก็คือ ‘ทางรอด’ ที่ทำให้ Strava สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และมีเงินลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

และนั่นก็ทำให้ Strava ที่เริ่มจากสตาร์อัพเล็กๆ กลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก 

เทคโนโลยีที่เติบโตพร้อมคอมมิวนิตี้

กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาที่สมาร์ตโฟนเริ่มแพร่หลาย การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของ Strava ก็เติบโตขึ้นไปพร้อมกับการสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญที่ถูกพัฒนาขึ้น และนับได้ว่าเป็นฟีเจอร์สำคัญของ Strava คือ Route Builder และ Heatmap 

Route Builder เปิดตัวครั้งแรกปี 2015 บนเว็บไซต์ก่อนถูกนำเข้าสู่แอพฯ มือถือในภาพหลัง โดยฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือสร้างเส้นทางที่นำข้อมูลจากกิจกรรมออกกำลังกายนับพันล้านครั้งของผู้ใช้ Strava มาวิเคราะห์ว่า เส้นทางไหนได้รับความนิยม ปลอดภัย และเหมาะกับกิจกรรมแต่ละประเภท เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง เดินป่า ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเดาเองว่าควรวิ่งหรือปั่นตรงไหน แต่ได้เส้นทางที่มีข้อมูลจากคอมมิวนิตี้คอยแนะนำ

ส่วนฟีเจอร์ Heatmap เปิดตัวในปี 2017 โดยเป็นฟีเจอร์ที่ใช้ข้อมูลกิจกรรมจากผู้ใช้นับพันล้านครั้ง เพื่อสร้างแผนที่ที่บอกว่า ถนน/เส้นทางไหนถูกใช้บ่อยที่สุด ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบหลักๆ คือ Personal Heatmap ที่แสดงเส้นทางทั้งหมดที่ผู้ใช้คนนั้นเคยทำกิจกรรม และ Global Heatmap ที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลก แล้วทำให้เห็นเส้นทางยอดนิยม เช่น เส้นทางจักรยานยอดฮิตในโตเกียว, เส้นทางวิ่งยอดนิยมในนิวยอร์ก

อย่างไรก็ดี แม้การพัฒนา Route Builder และ Heatmap จะทำให้ได้ข้อมูลจากการออกกำลังกายนับพันล้านครั้งเพื่อให้ผู้ใช้วางเส้นทางได้แม่นยำและปลอดภัยขึ้น และถูกนำไปต่อยอดใช้เพื่อวางผังเมืองและเส้นทางจักรยานสาธารณะ แต่ในปี 2018 ก็มีเหตุการณ์สำคัญหนึ่งเกิดขึ้น คือฟีเจอร์ Heatmap ดันไปเผยเส้นทางวิ่งของทหารสหรัฐฯ ในฐานทัพลับ ทำให้เกิดข้อถกเถียงจน Strava ต้องพัฒนา Privacy Zones และระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันข้อมูลที่อ่อนไหว

กระทั่งเข้าสู่ยุค 2020 เป็นต้นมา Strava จึงเริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง การใช้ machine learning เพื่อสร้างคำแนะนำเฉพาะบุคคล เช่น เส้นทางแนะนำ และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ, เปิด API สำหรับนักพัฒนาภายนอกสร้างแอพฯ หรือบริการเสริมบน Strava, เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น แผนที่ 3D, การแนะนำเส้นทางด้วย AI และ Group Activities, รองรับกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เช่น โยคะ เวทเทรนนิ่ง กิจกรรมฟิตเนสในร่ม และกีฬาเพื่อผู้พิการ จนปัจจุบัน Strava สามารถเชื่อมต่อได้กว่า 100 อุปกรณ์และแอพฯ เช่น Garmin, Fitbit, Apple Watch, Peloton, Zwift, Wahoo เป็นต้น

กล่าวได้ว่า ความโดดเด่นของเทคโนโลยีที่ Strava พัฒนาคือการ ‘เปลี่ยน’ ตัวเลขจาก GPS ให้กลายเป็นเรื่องราว แรงบันดาลใจ และการแข่งขัน ขณะที่นวัตกรรมก็ขับเคลื่อนผู้ใช้งานได้จริง เพราะฟีเจอร์หลายตัวก็ล้วนเพิ่มเติมจากฟีดแบ็กของคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานเหล่านี้ นอกจากนี้ข้อมูล big data ของ Strava ยังส่งผลกระทบต่อ ‘สังคมเมือง’ อย่างการช่วยวางแผนผังเมืองและโครงสร้างพื้นฐานการขี่จักรยานทั่วโลกอีกด้วย

ชุมชนที่เป็นหัวใจสำคัญ

สองผู้ก่อตั้ง Strava อย่างไมเคิลและมาร์กมีแนวคิดที่ชัดเจนว่า ต้องการสร้างธุรกิจระยะยาวและสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน ดังนั้น หัวใจสำคัญของ Strava คือ การสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานที่หลากหลายทั่วโลก 

Strava ใช้แนวคิดเหมือนโซเชียลมีเดีย เพียงแต่เฉพาะกลุ่มของนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย โดยผู้ใช้งานสามารถโพสต์กิจกรรมของตัวเอง แชร์ภาพ เส้นทาง และสถิติ รวมถึงสามารถกด kudos ที่เหมือนการกดไลก์หรือคอมเมนต์ให้กำลังใจได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเล็กๆ ที่สร้างแรงจูงใจทางจิตวิทยาให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าการออกกำลังกายของตนเองมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ

ขณะที่ Strava ก็มีฟีเจอร์อย่าง Clubs หรือคลับออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมได้ คลับบางแห่งเป็นสาธารณะ เช่น กลุ่มนักวิ่งเมืองใหญ่ หรือกลุ่มนักปั่นเสือภูเขา ส่วนคลับบางแห่งก็เป็นกลุ่มเฉพาะกิจ เช่น การซ้อม 10K หรือการวิ่งเทรล ซึ่งแน่นอนว่าการได้เข้าร่วมคลับเหล่านี้ตอบสนองความรู้สึก ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของชุมชนให้กับผู้ใช้งานได้ ทั้งยังส่งผลต่อแรงจูงใจ แรงกระตุ้น และความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายอีกด้วย

ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Strava กว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แต่ความเจ๋งก็คือ แม้ Strava จะเป็นคอมมิวนิตี้ใหญ่ระดับโลก แต่ก็ยังให้ความรู้สึก ‘เป็นส่วนตัว’ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ใช้งานได้เชื่อมต่อกับสังคม ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานได้เชื่อมต่อกับตัวเองอีกด้วย

ผู้ใช้งาน Strava มีหลากหลายรูปแบบ และไม่ใช่ทุกคนที่สนใจอยากเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานคนอื่น แต่ต้องการเชื่อมต่อกับตนเอง และหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้ Strava แตกต่างคือ สามารถบันทึกกิจกรรมออฟไลน์ได้ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานกลุ่มนี้

Strava สามารถบันทึกกิจกรรมออฟไลน์ได้ เช่น วิ่ง, ปั่น หรือเดิน โดยข้อมูล เช่น ระยะทาง เวลา หรือ pace จะถูกเก็บไว้ในแอพฯ ก่อนอัพโหลดไปยัง Cloud เมื่อมีอินเทอร์เน็ต ฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนอื่นหรืออินเทอร์เน็ตเพื่อบันทึกกิจกรรม ทำให้การซ้อมเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ที่ลึกซึ้งต่อเป้าหมายตนเอง เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็น ‘รูปแบบ’ การซ้อมและพัฒนาการของตัวเอง เสมือนเป็นการวิเคราะห์และเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนทั้งร่างกายและความมุ่งมั่น

และการมองเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ก็ช่วยให้ผู้ใช้งานสะท้อนผลลัพธ์ของความพยายาม และรู้สึกภูมิใจในทุกก้าว เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและการพัฒนาตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีแรงกดดันจากโซเชียล

นั่นคือการปรับ ‘สมดุล’ ระหว่างความเป็นส่วนตัวและชุมชน ที่ Strava สามารถมอบให้ผู้ใช้งานเลือกเองได้

มากกว่าแอพฯ ออกกำลังกาย

การเติบโตจนกลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลก มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่และหลากหลาย ทำให้ Strava ต้องรักษาสมดุลระหว่างการใช้งาน ‘ฟรี’ กับ ‘พรีเมียม’ ให้ดี ขณะที่ต้องสร้างฟีเจอร์เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ไปจนถึงรักษาความเป็นคอมมิวนิตี้อันเป็นหัวใจสำคัญให้ได้

ดังนั้นโจทย์ในอนาคตของ Strava ย่อมไม่ใช่แค่การเติบโตในตัวเลขผู้ใช้งาน แต่เป็นการเป็นแพลตฟอร์ม ‘ครบวงจร’ สำหรับนักกีฬา โดย Strava ตั้งเป้าที่จะขยายกลุ่มผู้ใช้งานไปทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรปตะวันออก นั่นทำให้ต้องพัฒนาอินเทอร์เฟซหลายภาษา และฟีเจอร์ที่เหมาะกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เส้นทางวิ่งในเมืองใหญ่ หรือชาเลนจ์ที่สอดคล้องกับเทศกาลกีฬาต่างๆ

ขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ก็สำคัญ ซึ่ง Strava มีแผนจะพัฒนาไปสู่การโค้ชแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ (LLM) ที่สามารถติดตามและให้คำแนะนำในระยะยาว ไม่ใช่แค่สรุปข้อมูล 30 วันล่าสุด เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการฝึกซ้อมและเสนอแผนซ้อมปรับตามสภาพร่างกายและเป้าหมายของแต่ละคน สอดคล้องกับการซื้อกิจการ Runna แอพฯ โค้ชวิ่งที่ใช้ AI เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวางแผนซ้อมในอนาคต และการซื้อกิจการ The Breakaway แอพฯ โค้ชปั่นจักรยานที่ใช้ AI เช่นกัน ทำให้ Strava มี ‘โค้ชดิจิทัล’ ครบทั้งสายวิ่งและปั่น 

การเคลื่อนไหวทางธุรกิจเหล่านี้ช่วยให้มูลค่า Strava พุ่งขึ้นถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ (จาก 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020) เลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Strava ต้องการเป็นมากกว่าแอพฯ ออกกำลังกาย แต่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี, ชุมชน, และข้อมูลขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนนักกีฬาและผู้รักกิจกรรมแอ็กทีฟในทุกระดับ

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ พร้อมความฝันที่ไม่เคยจางหายของสองเพื่อนรักอดีตนักพายเรือมหาวิทยาลัย สู่การสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนรักกีฬาได้มารวมตัวเพื่อพัฒนาตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจที่ส่งต่อกันไป จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้ระดับโลกในปัจจุบัน

ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ถึงแนวคิดการสร้างธุรกิจว่า ไม่ได้อยากแค่ทำสตาร์ทอัพ แต่ต้องการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนเพื่อให้คงอยู่และส่งต่อรุ่นสู่รุ่น โดยมีใจความว่า

“เป้าหมายของเราคือการสร้างสิ่งที่ไม่เพียงแค่ทันสมัยชั่วคราว แต่เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของผู้คน และอยู่กับพวกเขาไปตลอดการเดินทางแห่งการออกกำลังกาย”

อ้างอิงข้อมูล :

บทบาทใหม่ของ ‘ครูก้า’ จากครูอักษรฯ สู่นักธุรกิจฝึกหัด และฝันที่ไม่กล้าฝันแต่กลายเป็นจริง

รายการไกลบ้าน คือรายการเรือธงของช่อง FAROSE Studio ที่พาช่องแจ้งเกิดในฐานะผู้เปลี่ยนภาพจำของรายการประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ทั้งสนุก เข้าถึงง่าย และเต็มไปด้วยมุมมองใหม่

แต่นอกจากไกลบ้านจะทำให้ชื่อของ FAROSE เป็นที่รู้จัก ยังกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดให้ ‘ดาราช่อง’ หลายคน หนึ่งในนั้นคือ ‘ครูก้า’ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อจริงว่า ‘ผศ.สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์’ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอิตาเลียน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ครูก้าเป็นที่จดจำจากตอน ‘ไกลบ้าน EP27 เมืองน่ารัก ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก (Siena, Italy)’ ด้วยภาษาท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง และลีลาการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติแต่เปี่ยมชีวิต จนกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่แฟนรายการหรือที่เรียกกันว่า ‘ชาวช่อง’ พูดถึงเสมอ

แต่เบื้องหลังความมีชีวิตชีวานั้น มีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ ตั้งแต่การเลือกเรียนเอกอิตาเลียนทั้งที่ไม่รู้จักภาษานี้มาก่อน การเป็นอาจารย์ที่รักเด็กแต่ไม่ยึดติดกับระบบ ไปจนถึงการตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูในวัย 50 ปี เพื่อมาสอนภาษา จัดทัวร์ เปิดบริษัท กระทั่งใช้ชีวิตในแบบที่ครูเรียกว่า ‘บาลานซ์’

ในพจนานุกรมของครู ความรวยไม่ได้หมายถึงความอู้ฟู่ แต่เป็นคำว่ารวยพอให้ได้ใช้ชีวิต รวยพอให้ลูกศิษย์เห็นว่าการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาอิตาเลียนที่คนเรียนน้อยนั้นมีทางไปเสมอ

“ครูต้องรอด ไม่รอดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์จะรู้สึกยังไง”​ 

ในวันที่ชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง นำพาให้ครูก้าผู้ผูกพันกับคณะอักษรศาสตร์ต้องหาหมุดหมายใหม่ ครูก้าเน้นย้ำเสมอว่าที่ผ่านมาได้เพราะ “ครูโชคดี”

ในฐานะนิสิตคนหนึ่งที่ได้พบครูก้าตั้งแต่ยังเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย การได้เห็นบทบาทใหม่ของครูในวันนี้ ที่เพิ่งเปิดบริษัท BuscaTheProf จึงน่าสนใจเกินกว่าจะปล่อยผ่าน เราเลยขอชวนครูก้ามานั่งสนทนากันอย่างจริงจัง ถึงวัยที่หลายคนอาจมองว่าสายเกินไป ไปจนถึงการเป็นนักเรียนฝึกหัดในเรื่องธุรกิจ 

ด้วยใจที่เชื่อมั่นว่าไม่ใช่ความโชคดีอย่างเดียวแบบที่ครูบอกหรอก แต่ในทุกช่วงชีวิต แม้ไม่ได้มีความกล้ามากนัก เราก็ต้องกล้าพอที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง

และนี่คือละครแห่งชีวิตที่ประกอบด้วย 3 องก์ โดยมีครูก้าเป็นผู้แสดงนำ 

ทุกท่านกรุณานั่งประจำที่  

องก์ที่ 1
Busca the Language Seeker

ครูก้ารู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนว่าชอบภาษา  

ครูรู้ว่าเรียนภาษาได้ตอนอยู่ ม.2 ครูเรียนภาษาได้ทุกภาษาเลย ภาษาไทยดี ภาษาอังกฤษดี ภาษาฝรั่งเศสดี เพราะงั้นมันชัดเจนมากว่าครูต้องเข้าอักษรฯ จุฬาฯ

ตอนเข้ามหาวิทยาลัยมันเลือกได้หกอันดับใช่ไหม แต่ครูเลือกแค่ห้าอันดับ เพราะว่าอันดับที่หก ครูเลือกอะไรไม่ถูกแล้ว เพราะว่าครูเรียนได้แต่ภาษาอย่างเดียวไง ก็เลยเลือกอักษรฯ จุฬาฯ, นิเทศฯ จุฬาฯ, ศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์, อักษรฯ ศิลปากร, แล้วก็ฝรั่งเศส เชียงใหม่

แค่นั้นเลย ห้าอันดับ

ตอนนั้นมีภาษาอิตาเลียนอยู่ในใจหรือยัง

ไม่มีเลย ไม่มีอิตาเลียนเลย ครูเข้ามาอักษรฯ ด้วยความคิดเพียงแค่ว่าถ้าเก่งภาษาต้องเรียนอักษรฯ จุฬาฯ ตอนนั้นรู้เท่านี้จริงๆ 

พอเข้ามาก็เรียนฝรั่งเศสต่อ แต่คราวนี้อักษรฯ มันจะรวมคนเก่งมาหมดทั้งประเทศไง พอเจออย่างนี้เข้าไป สะบักสะบอมมาก ตอนนั้นคิดเลยว่า ไม่ได้การละ ต้องคิดใหม่ทำใหม่แล้วเรา 

ช่วงนั้นเองที่เดินๆ อยู่ในคณะ ก็เจอป้าย ‘สาขาวิชาอิตาเลียน’ ซึ่งคืออะไร ภาษาอิตาเลียนคืออะไร แต่สิ่งที่ทำให้สนใจคือมันเป็นภาษาที่ให้โอกาสคนที่ไม่ต้องมีพื้นมาก่อน เลยเข้าไปลองเรียน แล้วเรียนอย่างตั้งใจมากนะ คะแนนออกมาก็ไม่ขี้เหร่ เหมือนมิดเทอมจะท็อปด้วยนะ ตอนนั้นรู้สึกว่าความพ่ายแพ้ย่อยยับในเทอมหนึ่งได้หายไปหมดแล้ว (หัวเราะ) นี่แหละคือที่ที่บูสต์อีโก้ให้เราเลย 

พอเข้ามาเป็นเด็กเอกอิตาเลียนเต็มตัว ก็เริ่มเห็นหนทางในชีวิตว่า จบแล้วเราก็คงได้ไปทุน ไม่ใช่เพราะเก่งอะไรหรอกนะ แต่ทุนเขามี 2 ทุนแล้วมีเด็กเอกอยู่ 2 คน (หัวเราะ) จากนั้น เราก็จะได้เป็นไกด์อย่างที่เราใฝ่ฝัน เพราะนักท่องเที่ยวอิตาเลียนเยอะ ในขณะที่มีคนรู้ภาษาอิตาเลียนน้อยมาก ชีวิตช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้

จากนั้นก็เลยตั้งใจเรียนมาก ทุ่มกายถวายหัว เทหมดหน้าตัก อาจารย์ก็สนับสนุนเรา เลยคิดว่านี่แหละคือทางเดินใหม่ของฉัน คือจุดขายของฉัน

ตอนไหนที่ชอบภาษาอิตาเลียน  

ถ้ามีใครถาม ครูยังตอบได้เลยนะว่าภาษาที่ครูรักที่สุดคือฝรั่งเศส ส่วนอิตาเลียนเนี่ย เรียนเพราะว่าสนุก มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ว่านี่แหละการเรียนภาษาแบบที่ไม่ต้องรักมากก็ได้ ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ยากก็ว่ายาก ง่ายก็ว่าง่าย มันเรียนได้โดยที่ไม่ต้องรัก มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น

องก์ที่ 2
Busca the Beloved Teacher

เห็นภาพตัวเองตอนไหนว่าจบมาจะต้องเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรฯ  

จริงๆ ครูอยากเป็นไกด์มาตลอด ตอนอยู่ปีสามก็ฝึกงานเป็นไกด์ แต่พอต้องเลือกจริงๆ ก็ดันรู้สึกว่าเสียดายเส้นทางในคณะ ตอนนั้นเนิร์ดมากเรารู้สึกว่าเราเรียนไพรเวตมากๆ เลยในคณะนี้ห้องสมุดทุกอย่างมันเป็นของเรา อาจารย์ก็สอนตัวต่อตัว ระหว่างนั้นก็ได้ติวให้น้องๆ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าอยากเป็นอาจารย์

แล้ววันหนึ่ง อาจารย์ก็โทรมาชวนว่าอยากเป็นอาจารย์พิเศษไหม ตอนนั้นครูลงไปกองกับพื้นเลยนะโทรศัพท์ตก (หัวเราะ) แล้วก็ตอบว่าอยากเป็นค่ะ เลยกลับไปเป็นอาจารย์พิเศษ เดือนหนึ่งสอนแค่ 4 ครั้ง แต่ทุ่มกายถวายหัวมาก ไม่รับงานไกด์เลย โชคดีที่ตอนเป็นไกด์เงินดี ก็เลยมีเงินสะสมอยู่

ความสุขของการได้สอนคืออะไร

ครูไม่ชอบตัดเกรด ตอนเรียนหนังสือเองต้องไปรับเกรดที่เคาน์เตอร์อาจารย์ ครูไม่รับเกรดเลยจนจบสี่ปี ก็ไม่รู้เกรดตัวเองแม้แต่เทอมเดียว เพราะครูแอนตี้ระบบเกรดเบาๆ ครูเรียนเพราะว่าอยากเรียน ครูไม่ให้ใครมาตัดสินครูว่าฉัน A หรือฉัน B ฉันไม่รู้ ฉันอยากเรียนเฉยๆ พอถึงวันนึงต้องตัดเกรดเด็ก ต้องมาตัดสินด้วยดินสอแท่งเดียวก็อึดอัดเล็กน้อย  

ดังนั้นความสุขของการได้สอนก็คือเด็กๆ หรือลูกศิษย์ เด็กอย่างเดียวที่เอาครูไว้อยู่ เพราะเราสายเอนฯ ขอย้ำว่าสายเอนฯ ครูชอบไปค่าย ชอบทำกิจกรรมกับเด็ก ชอบอยู่งานรับน้องกับเด็ก ชอบบายเนียร์ ครูรักเด็กอักษรฯ มากจริงๆ ดูแล้วก็เข้าใจ เชื่อว่าตัวเองเข้าใจเด็กอักษรฯ ก็อยู่ในคณะมาอย่างเอนจอยมาตลอดเลย

เป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกเป็นครูมากว่า 30 ปี ไม่ได้ไปเป็นไกด์ตามความฝันใช่ไหม 

ครูคิดแบบนี้ 

ถ้าครูเป็นไกด์ ครูจะบอกความสวยงามของประเทศไทยให้กับลูกทัวร์ต่างชาติได้หลักพันคนต่อปี แต่ถ้าครูเป็นครู ครูจะสอนให้คนเป็นไกด์ได้เป็นหมื่นๆ คน แล้วไกด์พวกนั้นเขาก็จะขยายต่อไปอีก 

เท่ากับว่าถ้าเป็นครูเราก็จะแผ่ขยายความรู้อิตาเลียน ให้เขาได้บอกความสวยงามของประเทศไทยออกไปได้มากกว่าเยอะเลย

ทั้งที่รักการสอน อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจลาออก

อย่างที่บอกไปว่าครูไม่ได้มีความรักในวิชาชีพ ไม่ได้มีความอยากเป็นศาสตราจารย์ ครูอยู่เพราะรักเด็ก แต่พอวันหนึ่งมันเหมือนเชือกที่มัดครูไว้ในคณะมันคลาย ครูก็เริ่มมองคณะอย่างจริงจังขึ้นว่าเอ๊ะ เราอยู่เพราะอะไร 

ตอนอายุ 40 มหาวิทยาลัยประกาศว่าจุฬาฯ จะเป็นมหาลัยนอกระบบเพราะฉะนั้นจะไม่มีข้าราชการอีกต่อไป ทุกคนจะกลายเป็นพนักงานที่ต้องเซ็นสัญญาทุก 10 ปี ครูรู้เลยนะว่าตอนอายุ 50 ถ้าไม่ทำผลงาน เราต้องออกแน่ๆ

ครูก็อยู่โดยทำผลงานของ ผศ. (ผู้ช่วยศาสตราจารย์) ไปนะ แต่พอถึง รศ. (รองศาสตราจารย์) ปุ๊บ ครูไม่ทำแล้ว ครูก็เลยตัดสินใจว่างั้นออกตอนอายุ 50 เลยละกัน เพราะครูก็ถามตัวเองว่าเราอยากจะเป็นครูไปจนตายเลยไหม มันก็ไม่ 

แล้วเราก็รักมหาวิทยาลัยนะ อยากให้มหา’ลัยเจริญ เราก็เลยออกมา

พอคิดว่าจะออกจริงๆ รู้สึกกลัวไหม เพราะครูอยู่ในระบบนี้มากว่า 30 ปี

กลัวสิ กลัวเหมือนกันแต่คิดบนพื้นฐานว่าครูต้องไม่ตายแน่ๆ และฉันต้องตายไม่ได้ด้วย เพราะฉันเอกอิตาเลียน ถ้าฉันตาย หมายความว่าเด็กๆ จะหมดกำลังใจ ลูกศิษย์จะรู้สึกว่าเรียนอิตาเลียน ถ้าไม่เป็นครูแล้วต้องตายแน่ๆ

องก์ที่ 3
Busca the Learning Entrepreneur

ถ้าต้องไม่ตาย แล้วจะทำยังไงให้อยู่ได้  

เราก็เริ่มศึกษานะว่าถ้าฉันไม่เป็นอาจารย์ ฉันจะทำอะไรให้กับสังคมและตัวฉันได้บ้าง 

พอดีช่วงที่ยังทำงานในมหาวิทยาลัย โชคดีที่ครูได้สอนภาษาให้บุคคลภายนอกที่มาลงเรียนในคณะด้วย ตอนนั้นมีเด็กคนหนึ่งเขาบอกว่าวันนี้หนูมาเรียนไม่ได้นะคะ แต่หนูอยากเรียนมากเลย หนูขออัดเทปไว้ได้ไหมคะ ครูก็บอกว่าเอาสิ แต่ครูทำไม่เป็นนะ หนูตั้งเครื่องกันเอง ตกลงกับเพื่อนเอาแล้วกัน เขาก็อัดวิดีโอไว้ แล้วโพสต์ลง ตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคโควิดเลยนะ แต่มันทำให้ครูคิดว่ามันก็ไม่เลวนะ เลยเริ่มตั้งกล้องเอง แล้วอัพโหลดวิดีโอสอนไปเรื่อยๆ 

พอลาออกจากคณะ มันก็เป็นช่วงที่ครูมาเปิดสอนภาษาตอนเย็นแบบออนไลน์ ตอนแรกก็คิดว่ามีคนเรียนสักหกคนก็พอแล้ว แต่ปรากฏว่าคนมาเยอะมาก เยอะถึงขั้น 50 คน ซึ่งตอนนั้นมันยังเป็นช่วงก่อนจะไปออกรายการฟาโรสด้วยซ้ำ

ประกอบกับพอมีโควิด-19 ชาวจุฬาฯ ก็มีกลุ่มจุฬาฯ มาร์เก็ตเพลส ที่คนมาขายของกัน คนอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรกันไง ครูก็เลยเปิดสอนออนไลน์ คนก็มาลงเรียนกันใหญ่ แล้วเพื่อนในเฟซครูก็เต็ม 5,000 คน ครูก็เลยต้องเปิดเพจ ‘ครูก้า’ 

แต่พอโควิดจบ คนก็เริ่มลดไปเรื่อยๆ นะ แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก แต่เบื้องบนก็ได้ประทานฟาโรสมาให้ 

ภาพ : Facebook ครูก้า
ภาพ : Facebook ครูก้า

รู้มาก่อนไหมว่าฟาโรสมีชื่อเสียง

ตอนแรกครูก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟาโรสดังนะ นึกว่าถ่ายเล่นๆ กันในหมู่อักษรฯ คิดแค่ว่าเราย้ายจากนั่งดูบายเนียร์มาเป็นคนนั่งหน้าเวทีเท่านั้น ครูก็บอกว่าฟาโรสนะว่าถ้าฉันรู้แบบนี้ ฉันไม่มาออก (หัวเราะ)

แต่การออกรายการครั้งนั้นมันก็ดีกับครู เด็กก็มาอีกระลอกเลย แล้วบังเอิญว่าที่อิตาลีเขามีกฎหมายใหม่คือผู้หญิงไทยที่จะขอสัญชาติอิตาลี แต่งงานอย่างเดียวไม่พอ ต้องสอบให้ผ่านด้วย ผู้หญิงไทยที่อยู่ที่นู่นหลายคนพูดได้ แต่สอบข้อเขียนไม่ผ่านเลยต้องหาอาจารย์กันจ้าละหวั่น สุดท้ายก็มาหาครู ครูก็เลยเปิดสอนออนไลน์จากไทย ตอนเย็นที่ไทยคือบ่ายโมงที่โน่น ตรงกับเวลาว่างของเขาเป๊ะ

บางครั้งก็รู้สึกขอบคุณเบื้องบน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็รู้สึกว่าเทพคุ้มครองฉันดี๊ดี แต่ละจังหวะในชีวิต มันดีไปหมดเลย เพราะจริงๆ ตอนที่ครูไปบอกคณบดีว่าครูจะออกแล้วนะ คณบดีเงียบไปเลย แล้วก็บอกว่าดีแล้ว บุสก้าออกตอนนี้กำลังดี มีบารมีแล้ว เป็นที่รู้จักแล้ว ถ้าออกตอนอายุ 50 ยังมีเรี่ยวแรง ยังมีลูกศิษย์ที่ตามหาได้อยู่

ฟังดูเหมือนความฝันตอนเด็กของครูก้าเลย

ใช่เลย ความฝันตอนเป็นอาจารย์ใหม่ๆ เนี่ย ถ้าใครมาถามครูว่าฝันอยากเป็นอะไร ครูจะบอกว่าครูอยากสอนภาษาอิตาเลียนให้กับคนเยอะๆ ซึ่งตอนนั้นฝันแค่ว่า ถ้าได้สอนเด็กอักษรฯ ห้าคนสิบคนก็ถือว่าเยอะแล้วแต่ตอนนี้มันเยอะกว่าที่คิดไว้มาก

เคสแรกที่ทำให้ครูรู้สึกจิตใจพองฟู คือเด็กที่ระยองเขาบอกว่าถ้าครูไม่เปิด หนูไม่มีทางได้เรียนภาษาอิตาเลียนเลยนะคะ แล้วก็ค่อยๆ ลามไปเรื่อยๆ จากระยองไปภูเก็ต ไปมิลาน ไปโรม 

จากสอนภาษา ทำไมได้กลับมาเป็นไกด์ทัวร์อีกรอบ

ช่วงปี 2014 เพื่อนกลุ่มหนึ่งของครูบอกว่าบุสก้าพาไปเที่ยวอิตาลีหน่อยสิ เขามีเวลา 15 วัน เราก็พาไป พาไปที่ที่เคยไปมาแล้วหมดเลย ตอนนั้นยังไม่คิดอะไร อยากโชว์ อยากอวดว่าประเทศนี้เมืองนี้มันดีอย่างไร แต่พอไปจริงๆ มันเหนื่อยไง แล้วค่าเครื่องบินครูก็ต้องออกเอง มันก็เลยเกิดคำถามว่า “ทำไมฉันต้องเหนื่อยขนาดนี้ โดยไม่ได้อะไรเลย?”

 ก็เลยคิดว่าถ้าจะเหนื่อยขนาดนี้ เอาเงินดีกว่า ปีถัดไปเลยลองจัดทัวร์ครั้งแรก เส้นทางเดิมแต่เก็บตังค์ เหนื่อยเท่าเดิม แต่ได้เงิน จนเปิด 2-3 รุ่น เป็นที่มาของ must-see tour คือทัวร์เพียวๆ 8-10 วันที่อิตาลี เหมือนวิชาอิตาลี 101  

เป็นที่มาที่ทำให้ครูต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเลยหรือเปล่า 

จุดนั้นคือทัวร์ใหญ่มันมีเงินเข้าเยอะมาก แล้วมันเข้ามาในชื่อครูหมดเลย ทั้งที่มันต้องเอาไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ากินอยู่ อีกอย่างคือเวลาติดต่อฝั่งอิตาลี ในฐานะบริษัทมันดูดีกว่าด้วย ก็เลยจดบริษัท ทำบัญชีจริงจัง แล้วครูก็มานั่งลิสต์เลยว่าครูทำอะไรได้บ้าง สอนได้ ล่ามได้แต่ไม่ชอบ เป็นไกด์ได้ จากสอนหนังสืออย่างเดียวก็เลยมาเน้นทัวร์มากขึ้น

ตอนนี้ นอกจาก must-see tour ก็มีวันเดย์ทริปในอิตาลี เช่น พาเที่ยวเซียน่า, โบโลญญา สำหรับคนที่อยู่ที่นู่นอยู่แล้ว  และยังมีทัวร์เรียนภาษา 1 เดือนที่อิตาลี โดยที่ครูไม่ต้องไปอยู่ด้วยก็ได้ แค่ไปประสานงานกับโรงเรียนให้ ครูเรียกมันว่าเรียนแก้เก้อ เช้าเรียน บ่ายว่าง ไม่มีผลสอบ ไม่มีความกดดัน เหมาะกับคนอยากไปอยู่นานๆ ลางานได้ ซึ่งก็มีเด็กไปแล้วจริงๆ เป็นลูกศิษย์ครูที่เหมือนเบื้องบนประทานมา

ราคาก็สมเหตุสมผลมาก ประมาณ 200,000 บาท เพราะจริงๆ แล้วทัวร์ 8 วันยัง 130,000 แล้วนะ แต่แบบนี้อยู่ได้ทั้งเดือนเลย ที่สำคัญคือคุมงบได้ บางคนจ่าย 180,000 บ้าง 150,000 ก็มี ครูบอกเด็กเสมอว่ามีงบเท่าไหร่ บอกครู เดี๋ยวครูจัดให้ อย่างบางคนให้ครูแค่ 80,000 ที่เหลือเขาไปบริหารเอง ว่าจะกินข้าวนอกบ้าน หรือซื้อสปาเก็ตตีไปต้มเอง

แล้วทัวร์เวนิสตะวันออก บางกอกตะวันตกเกิดขึ้นได้ยังไง 

มีรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่าบุสก้ารู้ไหมว่ามีคนอยากไปเที่ยวกับบุสก้าเยอะมาก แต่ถ้าไปอิตาลีมันแพง ลองทำทัวร์ธีมอิตาลีในกรุงเทพฯ ไหม ตอนแรกก็รู้สึกว่า คนอื่นที่เก่งกว่าก็มี ผู้เชี่ยวชาญก็เยอะ แต่พอนึกไปนึกมา คนที่เก่งจริงๆ ก็ไม่มาทำทัวร์ แล้วคนที่ทำทัวร์อย่างสถานทูตก็ทำให้คนอิตาเลียนเท่านั้น เราเลยลองดู 

ฮามาก จัดรอบแรกครูจองรถ 20 ที่นั่ง ไม่ได้นับตัวเอง ครูนั่งตรงห้องเครื่อง (หัวเราะ) พอทำไปคนก็ชอบ ก็จัดอีก แล้วก็เต็มทุกรอบ คอนเซปต์คือโชว์ความเป็นอิตาเลียนในกรุงเทพฯ อย่างสถาปัตยกรรมฝีมืออิตาเลียนที่อยู่ในเมืองไทย คนมักคิดว่าต้องบินไปอิตาลีถึงจะเห็นศิลปะแบบนั้น แต่จริงๆ อยู่แถวนี้แหละ

เริ่มจากบ้านพิษณุโลกกับบ้านนรสิงห์ ทั้งสองหลังสร้างแบบเวนิส เลยตั้งชื่อว่า ‘เวนิสตะวันออก’ แล้วก็มีอีกคำว่า ‘บางกอกตะวันตก’ มันคล้องกันดี ทัวร์นี้ไม่เน้นความวิชาการนะ มันเป็นทัวร์สบาย จุดประกายคน อยากให้อะไรเล็กๆ สร้างแรงบันดาลใจ

บางคนมาเพราะอยากมาฟังเราพูด มาเอนจอยเสาร์-อาทิตย์ ไม่ต้องลงรถ ดูจากในรถก็ได้ แล้วก็มื้อกลางวันเป็นอาหารอิตาเลียน ทัวร์นี้จะได้เห็นทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ศิลปะ วิทยาการ

ภาพ : Facebook ครูก้า

คนแบบไหนที่มาทัวร์กับครูก้าบ้าง ถ้าจะให้พูดภาษาธุรกิจ คือ target group ของครูก้าคือใคร

เอาแบบอย่างที่อยากให้เป็นหรือที่เกิดขึ้นจริงล่ะ (หัวเราะ)

จะว่าไปก็คล้ายจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันแหละ target group ของครูไม่ได้อยู่ที่เพศหรือวัย แต่ครูอยากให้คนที่มาทัวร์กับครู เป็นคนที่รู้จักครูมาก่อนแล้วบ้าง อยากให้มีความเกรงใจกันบ้าง นักท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชื่ออยู่เรื่องหนึ่ง คือเห็นมัคคุเทศก์เป็นบ่าว ครูกลัวอะไรอย่างนั้น 

วิธีที่จะหลีกเลี่ยงอะไรแบบนั้นคือครูไม่ประกาศโฆษณาในวงกว้าง ครูจะประกาศเฉพาะคนอักษรฯ หรือชาวช่องเท่านั้น แต่ชวนญาติมิตรมาด้วยได้นะ ไปๆ มาๆ ลูกทัวร์เลยหนักไปทางผู้หญิงเยอะ เหมือนทัวร์ของชาวเมืองลับแล (หัวเราะ)

เหมือนครูวางกลุ่มลูกค้าในแต่ละทัวร์มาอย่างดีแล้ว

พยายามให้เป็นแบบนั้น เพราะการมีลูกทัวร์ที่มีศีลเสมอกันเนี่ย มันดีกับบรรยากาศในทัวร์ด้วย ทัวร์ครูเนี่ย ลูกทัวร์มาตรงเวลามากนะ ดูแลกันดี กล่าวคือ จะมีคนช่วยเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยอีกทีหนึ่งโดยแทบไม่ต้องขอเลย แล้วเวลาหมดทัวร์ คนพวกนี้ก็สนิทกัน นัดกินข้าวกัน 

ดีมากเลย 

แล้วทัวร์ของครูก้าจะแตกต่างจากคนอื่นยังไง 

ความตั้งใจของครูคืออยากให้ประสบการณ์การไปอิตาลีมันมีนอกเหนือจากความสวยงาม กล่าวคือ ให้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอ หรือวัฒนธรรมของชาวอิตาเลียนด้วย เช่น ครูเลือกเมืองนี้ในวันนี้ เพราะมีตลาดนัด เลือกไปเมืองนั้นในปีนั้นเพราะเขาได้รับรางวัลเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของอิตาลีประจำปี ไม่จัดทัวร์ในบางเดือนเพราะจะสร้างความทรงจำที่ไม่ดีต่ออิตาลี เช่น ร้อนเกิน คนแน่น แย่งกันกิน แย่งกันนอน

ครูยังเลือกเส้นทางที่แตกต่างจากทัวร์อิตาลีอื่นๆ เช่น ตามรอยภาพยนตร์ ที่หมายตาไว้คือ Call Me By Your Name, เทวากับซาตาน, Cinema Paradiso ฯลฯ

สรุปคือ ใครไปอิตาลีกับเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ว่าคนอิตาเลียนกินยังไง อยู่ยังไง ตำนาน เรื่องเล่า ข่าวลือของเมือง ได้เดินตลาด เข้าซูเปอร์มาร์เก็ต มีเวลาเดินอ้อยอิ่ง จิบกาแฟเจ้าอร่อยของเมือง แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า นักท่องเที่ยวย่อมอยากได้ภาพสวยๆ ของที่ระลึกติดไม้ติดมือไปกับการท่องเที่ยวกับเราด้วย

นอกจากนี้ก็จะมีทัวร์เรียนภาษาและพาเที่ยว ทัวร์เรียนทำอาหาร ทำพิซซ่า ทำกาแฟ ทำเจลาโต้ พวกนี้อยู่ในแผนหมดแล้ว รอแค่เวลาที่เหมาะสม 

กดดันบ้างไหมพอชื่อ ‘ครูก้า’ กลายเป็นแบรนด์ 

กดดันนะ พอมันกลายเป็นแบรนด์ คนก็จะคาดหวังว่าจะได้เจอครูก้าจริงๆ ได้ฟังเสียงจริงๆ ได้ vibe นั้นจริงๆ เพราะครูก้าไม่ใช่แค่ชื่อ มันกลายเป็นความคาดหวังไปแล้ว ตอนนี้เลยพยายามปรับ เช่น มีสอนออนไลน์ มีคลิป ไม่ใช่สอนสดอย่างเดียว หรือการทำทัวร์ไปเรียน ที่ครูอาจไม่ต้องไปเองได้บ้าง เพื่อขยายรูปแบบให้มันเดินต่อได้

ครูเรียนรู้อะไรจากการออกมาทำธุรกิจเองบ้าง

หนึ่งเลยคือการยอมรับตัวเองนะ ครูเป็นคนชัดเจน ก็ต้องใช้ความชัดเจนนั้นให้เกิดประโยชน์ บางครั้งต้องไม่ถ่อมตัวเกินไป ตอนที่ออกจากการเป็นครูใหม่ๆ ครูยอมรับยากมากว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นนักธุรกิจ เพราะถูกสอนว่าคนอักษรต้องเย่อหยิ่งกับวัตถุ

แต่พอมองจริงๆ ถ้าเราเป็นนักเขียนไส้แห้ง ใครจะอยากเป็นนักเขียน ถ้าเราเป็นนักแปลแต่ไม่รวย ใครจะอยากเรียนอิตาเลียน เพราะงั้นเมื่อออกมาทำธุรกิจ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องรวยด้วยนะ แต่รวยยังไงให้บาลานซ์ไงล่ะ

ตอนนี้ครูก็พยายามเรียนรู้ที่จะตีมูลค่าตัวเอง คิดราคางานต่อรอง ยังไม่เก่งหรอก ก็อาศัยลูกศิษย์เป็นที่ปรึกษาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ

ครูพูดถึงคำว่า ‘โชคดี’ และ ‘เบื้องบน’ บ่อยมาก ถ้าไม่ใช่โชค ครูคิดว่าอะไรที่ทำให้ครูผ่านทุกช่วงของชีวิตมาได้ 

อันนี้เหมือนจะชมตัวเองเลยนะ แต่ต้องตอบว่า ครูเป็นคนรักคนน่ะ ถ้าถามว่าทำไมคนถึงรักครู ครูก็รักเขาก่อน ครูช่วยคนเท่าที่ช่วยได้ ถ้าวันหนึ่งเราต้องขอความช่วยเหลือ เขาก็เต็มใจให้ บางคนก็อาจจะไม่รักครู ก็มี มันต้องทำใจ 

แล้วเป้าหมายตอนนี้ของครูก้าคืออะไร

เป้าหมายของครูคืออยากเป็นหลักให้กับคนที่อยากเรียนภาษาอิตาเลียน เป็นผู้ใหญ่ที่เขาพึ่งพาได้ อย่างที่บอกว่าครูไม่ตั้งใจที่จะรวยมาก การเปิดบริษัทเพื่อเรื่องบัญชี แต่ถามว่าอยากรวยไหม ก็อยากรวยแหละ เพราะอยากไปอิตาลีบ่อยๆ อยากใช้ชีวิตไทย-อิตาลีแบบบาลานซ์ โดยไม่ต้องลำบาก

แต่ก็ไม่ได้หวังจะไปตีตลาดคนแปลกหน้าอะไรหรอก แค่มีเงินพอเลี้ยงตัวเอง ไปๆ มาๆ ได้ตอนแก่ แล้วก็ช่วยคนไทยได้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว

ถึงตอนนี้ ถามว่าชีวิตมีความสุขไหม มีความสุขมากนะ คือไอ้ความฝันที่ไม่กล้าฝันแบบแม่สิตางศุ์เนี่ย มันมีอยู่จริง ไอ้ความฝันที่เราเคยอยากเป็นครูภาษาอิตาลีให้กับคนไทยทั้งโลก เฮ้ย วันหนึ่งมันเป็นจริงได้ด้วยว่ะ  

Little Owly’s Cafe คาเฟ่จากรักของแม่ที่ดีไซน์เพื่อลูกน้อยได้เล่นสนุกไปกับธรรมชาติ

ในวัยเฉียดเลข 30 ผมมักได้ยินเพื่อนพี่น้องผู้แต่งงานเป็นฝั่งฝาพร่ำบอกเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ขอไม่มีลูกเสียดีกว่า ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักเด็ก หรือไม่อยากมีทายาทตัวจิ๋วเป็นโซ่ทองคล้องใจ เพียงแต่สถานการณ์ความเป็นไป ณ ปัจจุบันดูไม่เอื้ออำนวยเสียมากกว่า

เศรษฐกิจย่ำแย่ โรคอุบัติใหม่ไม่เว้นปี ไหนจะวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่มีให้เผชิญอยู่ตลอด ปัจจัยเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวตัดสินใจมีลูกกันน้อยลง ชี้ชัดให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่านับตั้งแต่ปี 2567 ประเทศไทยมีอัตราการเกิดต่ำกว่า 5 แสนคนต่อปี และดูมีวี่แววจะน้อยลงอย่างต่อเนื่อง

แต่ในสภาวะที่กล่าวมากลับมีคนที่คิดต่างออกไป ดังเช่นกรณีของเพื่อนซี้ทั้ง 3 อย่าง ฟาง–พรรณิภา โมฬีชาติ, กวาง–วรมน สุนทรภัค และเจน–ดร.ผาณิตมาส กลั่นแก้ว ที่ตัดสินใจเปิด Little Owly’s Cafe คาเฟ่น้องใหม่ย่านตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยจุดร่วมเดียวกันในฐานะ ‘แม่’ คือการเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกช่วงวัยได้ใช้จินตนาการและเล่นสนุกไปกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

สายลม แสงแดด และผืนดินเป็นเพียงหน้าฉากห่อหุ้มคาเฟ่แห่งนี้ไว้ หากแต่เปิดประตูย่างเท้าเข้าไปมีหลายสิ่งที่มากกว่านั้น ของเล่นทุกๆ ชิ้น ที่นั่งและทางเดิน ทุกๆ อย่างล้วนถูกออกแบบด้วยความพิถีพิถันและความรักความอบอุ่นทุกกระเบียดนิ้ว

ยามบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ผู้เขียนมีโอกาสชวนแม่ๆ ทั้ง 3 สนทนาถึงแนวคิดในการทำ Little Owly’s Cafe ถึงแนวคิดในการออกแบบร้าน เหตุผลที่ต้องเป็นคาเฟ่ ไปจนถึงจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจนี้

ขอเชิญมาเยี่ยมเยียนพร้อมรับพลังบวกจากรังฮูกสุดอบอุ่นไปด้วยกัน โดยเฉพาะเหล่าคนมีลูกน้อยที่น่าจะได้เพิ่มลิสต์รายชื่อหมุดหมายปลายทางสำหรับพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ 

วันที่คุณแม่ทั้ง 3 เริ่มก่อร่างสร้าง ‘รังฮูก’ ในฝัน

ก่อนอื่นต้องเท้าความกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พรรณิภา, ดร.ผาณิตมาส และวรมน ได้จับมือทำธุรกิจนำเข้าขวดนมเด็กที่สามารถรักษาคุณค่าน้ำนมแม่จากต่างประเทศ กระทั่งถึงจุดหนึ่งพวกเธอรู้สึกว่าธุรกิจที่กำลังทำอยู่ถึงจุดอิ่มตัว จึงตัดสินใจมองหาลู่ทางอื่นโดยมีโจทย์ตั้งต้นคือต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

“ด้วยความที่เราทั้งสามเป็นแม่คน แต่ละคนมีแพสชั่นในการเลี้ยงลูก เรารู้สึกว่าถ้าจะต่อยอดทำธุรกิจก็ต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก” พรรณิภาเผยถึงความตั้งใจของเธอและเพื่อนให้ฟัง

ประจวบเหมาะกับที่พรรณิภามีที่ดินผืนหนึ่งในย่านตำบลบางแก้ว กอปรกับพวกเธอรู้สึกว่าพื้นที่ได้เล่นสนุกของเด็กๆ ในยุคนี้ช่างหายาก โดยเฉพาะในตัวเมืองที่มักลงเอยด้วยสวนสนุกหรือบ้านหรรษาในศูนย์การค้า ครั้นจะใช้บริการเครื่องเล่นตามสวนสาธารณะก็มีเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับการบำรุงและดูไม่เป็นอันตราย

จาก pain point ข้างต้นนำมาสู่การระดมสมองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตกผลึกไอเดียว่าจะทำคาเฟ่ที่เหมาะสำหรับเด็ก โดยมีเงื่อนไขว่าเด็กๆ ที่เข้ามาใช้บริการจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ

“เราวางคอนเซปต์ให้ที่นี่มีบรรยากาศความเป็นธรรมชาติ เลยโยนโจทย์ให้บริษัทออกแบบว่าอยากให้ที่นี่เหมือนป่าป่าหนึ่ง โดยตัวอาคารเป็นเหมือนเมล็ดพันธ์ุที่งอกเงยขึ้นมาจากผืนดิน 

“ขณะเดียวกันเราคิดต่อว่าน่าจะมี ‘สัตว์’ สักชนิดที่ทำหน้าที่เป็นมาสคอตให้ผู้คนจดจำ ก็เลยนึกถึง ‘นกฮูก’ จากนิทานเรื่อง Three Little Owls เพราะนกฮูกดูเป็นสัตว์ที่มีคาแร็กเตอร์เฉลียวฉลาด มีนิสัยรักลูก หวงลูก ซึ่งถ้าเปรียบที่นี่เป็นรังนก บรรยากาศคงจะอบอุ่นเหมือนที่เราตั้งใจไว้” ดร.ผาณิตมาสอธิบาย

ด้วยเหตุนี้โลโก้ของ Little Owly’s Cafe จึงเป็นแม่นกฮูกที่กำลังโอบกอดลูกน้อยสองตัวอยู่บนรัง โดยได้ศิลปินหญิงชาวเบลเยียมนาม ‘Justine Collet’ ที่พรรณิภารู้จักเป็นการส่วนตัวช่วยออกแบบผ่านเทคนิคสีน้ำ ซึ่งส่วนผสมของสีทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่นปลือกไม้ ตรงตามคอนเซปต์ที่อยากให้คาเฟ่แห่งนี้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด 

“ตอนที่เราเห็นดราฟต์แรกของโลโก้เราตอบกลับไปทันทีเลยว่าขอแบบนี้เลย ไม่ต้องแก้แล้ว ลายเส้นทุกอย่างลงตัวตามที่ต้องการ ด้วยความที่คนออกแบบเป็นแม่คนเหมือนเราทำให้เขาเข้าใจคอนเซปต์ไอเดีย จะเรียกว่าเป็นความโชคดีก็ได้ที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ” พรรณิภากล่าว

เน้น ‘สัจจะวัสดุ’ เพื่อลูกน้อยได้สัมผัสกับธรรมชาติทุกตารางนิ้ว

“เรารู้แล้วว่าคอนเซปต์ของคาเฟ่เราคือธรรมชาติ ดังนั้นวัสดุที่จะใช้ออกแบบทั้งภายนอกและภายในอาคารก็ต้องเป็นไม้ ซึ่งสื่อถึงความเป็นสัจจะวัสดุ” ดร.ผาณิตมาสอธิบายต่อถึงการสร้างรังฮูกในฝันแห่งนี้

คำว่า ‘สัจจะวัสดุ’ ที่ ดร.ผาณิตมาสกล่าวถึงในที่นี้หมายถึงวัสดุที่แสดงถึงลักษณะของธรรมชาติอันปราศจากการเติมแต่ง ดังนั้นวัสดุที่ถูกนำมาใช้ก่อร่างสร้าง Little Owly’s Cafe มากกว่า 80% จึงมาจากไม้ โดยได้บริษัท ภาวาลเฮ้าส์ แอนด์ ดีไซน์ จำกัด เป็นผู้ออกแบบตัวอาคาร และบริษัท ฮานหนึ่งศูนย์หนึ่ง จำกัด เป็นผู้ออกแบบภายในตัวอาคาร 

“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าภายในถูกดีไซน์ให้มีความโค้งมน ไม่เหมือนคาเฟ่ที่ส่วนใหญ่ตัวพื้นที่เป็นห้องสี่เหลี่ยม อย่างต้นเสาก็ครีเอตให้เป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นการต่อยอดจากไอเดียแรกคืออยากให้ที่นี่เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่งอกเงยขึ้นมา” วรมนเสริมถึงไอเดียการออกแบบภายในคาเฟ่

ด้านพรรณนิภาเน้นย้ำว่า ต้องการให้เด็กๆ ที่มา Little Owly’s Cafe ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงเครื่องเล่นอย่างสไลเดอร์, บ้านบอล, ที่ปีนผาจำลองขนาดเล็ก ไปจนถึงมุมสันทนาการยิบย่อยจึงใช้วัสดุจำพวกไม้ที่ปราศจากการทาสีเคมี ไม่เว้นแม้กระทั่งของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เน้นของเล่นที่ทำจากไม้มากกว่าพลาสติก

“เรารู้สึกว่าการเลือกของเล่นที่ทำจากวัสดุไม้มีข้อดีมากกว่าของเล่นจากวัสดุจำพวกพลาสติก ข้อแรกคือความปลอดภัยที่แตกหักยากกว่ากรณีเด็กทำตกหรือหยิบเข้าปาก สีที่ใช้เคลือบก็เป็นสีธรรมชาติ ข้อสองคือเด็กๆ ได้เติมแต่งจินตนาการ ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ต่างจากของเล่นพลาสติกที่มีกลไกสำเร็จรูป

“สุดท้ายคือจำนวนของเล่นแต่ละชนิดเรากำหนดให้มีแค่ชิ้นเดียว สาเหตุเพราะเราอยากให้เด็กๆ ฝึกอดทนรอให้เป็น อีกนัยหนึ่งคือสอนให้เขารู้จักแบ่งปันของเล่นกับเพื่อน ให้เขาได้ฝึกทักษะคิดต่อยอดว่าถ้าเขานำของเล่นชิ้นนี้ไปเล่นกับอีกชิ้นที่เพื่อนมีอยู่จะเป็นยังไง 

“พูดง่ายๆ เราไม่อยากให้ร้านถูกกลืนด้วยแนวคิดที่ว่ามีดีแค่ของเล่นเยอะ แต่อยากให้ของเล่นเหล่านี้มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ ให้เขาได้โฟกัสกับตัวเองตอนเล่นมากกว่า” พรรณนิภาสรุปถึงความตั้งใจของพวกเธอที่สอดแทรกอยู่ในความสนุกของของเล่นแต่ละชิ้น 

และถึงแม้ของเล่นจะมีการจำกัดจำนวนชิ้น แต่ทุกๆ 3-4 เดือนทางร้านจะมีการสลับสับเปลี่ยนนำของเล่นใหม่เข้ามาทดแทนเพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเบื่อ อีกทั้งของเล่นฝึกทักษะภายในร้านส่วนใหญ่เป็นการซื้อจากแบรนด์ผู้ผลิตในไทย 

ลูกเริงร่า ผู้ปกครองอุ่นใจ

“พื้นที่ด้านในดูเรียบง่ายแต่จริงๆ ออกแบบยากมาก” วรมนเปิดประเด็นใหม่ให้ผมได้ซักถามต่อ

ที่บอกว่าดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ ยากนั้น คือการสร้างบรรยากาศความเป็น ‘kid friendly area’ ควบคู่กับเรื่องของความปลอดภัย ที่ต่อให้ลูกอยากจะสนุกสนานแค่ไหนแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมใส่ใจข้อนี้เป็นอันดับหนึ่ง

“อย่างเรื่องของการเลือกสีของไม้สำคัญมาก เพราะเราอยากให้คนที่เข้ามารู้สึกถึงบรรยากาศอบอุ่น” วรมนอธิบายเสริม “ยกตัวอย่างพื้นที่ตรงกลางร้านเราเลือกใช้ไม้สีอ่อน มีบุนวมกันกระแทก มีความโค้งโอบรับ เพราะเราอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก 2-3 ขวบ”

หรืออย่างลวดลายภาพวาดนอกเหนือไปจากแม่นกฮูกและลูกๆ ที่เป็นภาพจำของ Little Owly’s Cafe ก็ยังมีลวดลายอื่นๆ เช่น สุนัขจิ้งจอก ผีเสื้อ ใบไม้ ต้นไม้ ฯลฯ จากฝีมือเดียวกันกับผู้ออกแบบโลโก้ให้ร้าน แน่นอนว่าสีที่ใช้เป็นสีธรรมชาติเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นเสริมสร้างบรรยากาศประดุจอยู่ในป่าแสนอบอุ่น

ส่วนในแง่ของความปลอดภัยต้องบอกว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกๆ ชิ้น ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เน้นออกแบบให้มีความเว้าโค้งลบคมเพื่อป้องกันการกระแทก แต่ละจุดมีสตาฟต์คอยสอดส่องระวังอุบัติเหตุ อีกทั้งเครื่องเล่นแต่ละจุดยังมีป้ายเตือนถึงความเหมาะสมของช่วงวัยให้ผู้ปกครองได้อ่านก่อนพาบุตรหลานเล่นสนุก

“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าดีไซน์ทุกมุมภายในร้านผู้ปกครองจะต้องมองเห็นเด็ก อย่างการที่เราล้อมรอบร้านด้วยกระจกบานใหญ่เพราะเราอยากให้ผู้ปกครองเห็นลูกๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะเล่นอยู่ในร้านหรือขอออกไปวิ่งเล่นตรงสนามหญ้าด้านนอก เด็กๆ เองก็จะรู้สึกสบายใจที่เห็นพ่อแม่อยู่ไม่ห่างจากเขา” พรรณิภาอธิบายถึงดีไซน์ร้านที่ล้อมรอบด้วยกระจก อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของ Little Owly’s Cafe ที่เด่นสะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมา

อีกความน่าสนใจของกระจกบานใหญ่ดังกล่าว คือการที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันจากสถาปนิกที่ดูแลโปรเจกต์ นอกจากความหนาและน้ำหนักที่ต้องพอดีเพื่อดูดซับแรงกระแทก รวมถึงให้ตัวกระจกมีความโค้งรับกับพื้นที่ด้านในโดยปราศจาก ‘กรอบ’ บดบังสายตา สถาปนิกที่ออกแบบจึงใช้เทคนิคนำกระจกซ้อนกันแบบไล่เรียงระยะห่าง โดยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ครีบ’ เป็นตัวยึดมุมไว้ 

ซึ่งอีกหนึ่งข้อดีของการมีกระจกล้อมรอบนอกเหนือจากจะทำให้พ่อแม่เห็นลูกๆ ชัดเจนดังที่พรรณิภากล่าวไป ขณะเดียวกันยังทำให้รู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวร้านกับธรรมชาติรอบนอก อาทิ แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเนืองๆ 

นอกจากนี้ที่ร้าน Little Owly’s Cafe ยังมีการทำ big cleaning เพื่อรักษาความสะอาดเป็นประจำทุกอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมอบความสบายใจแก่ผู้ปกครองที่จูงบุตรหลานเข้ามาใช้บริการ 

พื้นที่ที่เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมีอิสระในการจินตนาการ

“สโลแกน creative nest & cafe มาจากการที่เราคิดว่านอกจากการเล่น เด็กๆ ควรที่จะได้ลงมือทำ เราเลยจัดเวิร์กช็อปเล็กๆ เช่น ฝึกทำเทียน (candle making) หรือฝึกระบายสีตามความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเขาทำเสร็จก็จะเกิดความภาคภูมิใจว่าผลงานนี้เกิดจากฝีมือของเขา และที่สำคัญคือเด็กจะได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ที่มาช่วยทำ” วรมนกล่าวถึงอีกหนึ่งกิจกรรมของร้านซึ่งเธอเป็นผู้ดูแล

ผิวเผิน creative nest & cafe ดูเป็นสโลแกนที่เรียบง่าย แต่สำหรับแม่ๆ ทั้ง 3 พวกเธอยืนยันหนักแน่นว่านี่เป็นความตั้งใจอยากเป็นพื้นที่ที่เด็กๆ สัมผัสได้ถึง ‘ความปลอดภัย’ และ ‘กล้า’ ที่จะใช้จินตนาการในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งพวกเธอเห็นว่าบ่อยครั้งที่เด็กๆ ไม่กล้าแสดงออกหรือถูกดุเพียงเพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อเด็ก

“จุดมุ่งหมายเดียวกันของการเป็นพ่อแม่ในสมัยนี้ คือทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก โลกสมัยนี้เองก็ค่อนข้างท้าทายในการเลี้ยงลูก เราจึงอยากทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และมีสิ่งที่ทำให้ลูกของเขาได้พัฒนา” พรรณิภากล่าวถึงอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายตั้งแต่วันแรกที่ทำร้าน Little Owly’s Cafe

“อนาคตเรายังอยากคิดค้นเมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่มที่ทั้งอร่อยและมีคุณประโยชน์เพื่อตอบโจทย์เด็กๆ และพ่อแม่ที่รักสุขภาพ” วรมนเอ่ยถึงความท้าทายในอนาคต ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปหลังร้านเปิดตัวได้ราว 3 เดือน

มากกว่านั้นคือการที่ Little Owly’s Cafe ได้พัฒนากลายเป็นคอมมิวนิตี้เล็กๆ สำหรับกลุ่มผู้ปกครองที่ได้พบปะแบ่งปันเทคนิคการเลี้ยงลูก หรือเด็กๆ ที่ได้พบเพื่อนใหม่นอกห้องเรียน นอกเหนือไปจากการจดจ้องอยู่กับสมาร์ตโฟนหรือจอคอมพิวเตอร์

“สำหรับเราเราสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมใจในการทำธุรกิจนี้ อิ่มเอมใจที่ได้เห็นแต่ละครอบครัวออกมาใช้เวลาร่วมกันโดยที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาพิเศษนี้ ขณะเดียวกันเราได้เรียนรู้ว่าแต่ละครอบครัวมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน มีวิธีจัดการแก้ปัญหาเวลาลูกดื้อไม่เหมือนกัน ซึ่งเราว่าคนที่มีครอบครัวจะรู้ดีว่านี่เป็นความสวยงามที่หาจากที่ไหนไม่ได้” ดร.ผาณิตมาสกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

อย่างที่บอกว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีความเข้าใจและตั้งใจมากพอเด็กๆ ก็จะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แน่นอนว่า Little Owly’s Cafe พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจนี้ ประดุจรังอันอบอุ่นที่ฟูมฟักรอวันลูกนกกางปีกบินสู่ฟ้ากว้างอย่างแข็งแรง

การโตก้าวกระโดดของเพจ ‘สมองไหล’ ที่มีผู้ติดตามหลักล้านสู่การปั้น SHORTCUT สตาร์ทอัพการศึกษา

ในวันที่อินฟลูเอนเซอร์และเพจต่างๆ แข่งขันกันทำคอนเทนต์อย่างดุเดือด นาฟิส อิสลาม เจ้าของเพจสมองไหล ที่มีผู้ติดตามเพจหลักล้าน บอกว่าความจริงแล้วความฝันของเขาไม่ใช่การทำสื่อและไม่ได้มองตัวเองเป็นครีเอเตอร์

ความฝันของนาฟิสตั้งแต่สมัยเรียนคืออยากทำสตาร์ทอัพ แต่ ณ วันที่เริ่มคิดไอเดียครั้งแรกในวัยเรียน เขาไม่มีทุน ไม่มีเครดิต และไม่มีฐานลูกค้า แม้จะเสนอไอเดียกับนักลงทุนหลายปี ก็ไม่สามารถทำให้ความฝันที่อยากทำสตาร์ทอัพเป็นจริงได้ จึงตั้งใจพัฒนาตัวเอง ศึกษาเรียนรู้เรื่องธุรกิจอย่างเข้มข้น จนเกิดเป็น ‘เพจสมองไหล’ ที่ให้ความรู้ด้านการพัฒนาตัวเอง

เส้นทางการทำธุรกิจของนาฟิสเกี่ยวพันกับธุรกิจการศึกษามาโดยตลอด ตั้งแต่โรงเรียนสอนเทควันโด ธุรกิจขายหนังสือและบริการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตด้วยหนังสือภายใต้เพจสมองไหล จนถึงการขายคอร์สเรียนที่ช่วยให้ผู้ที่ฝันอยากทำธุรกิจสามารถสร้างรายได้ พร้อมเรียนรู้ด้านคอนเทนต์ การตลาด และการขาย

เป้าหมายหลักทางธุรกิจของ ‘สมองไหล’ ในทุกวันนี้คือการสนับสนุนผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจจากศูนย์โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนผ่านคอร์สเรียน เน้นเทคนิคการสอนที่ทุกคนสามารถจับต้องและนำไปใช้ได้จริง นาฟิสเริ่มจากออกแบบและสอนด้วยตัวเอง ก่อนจะชักชวนผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาร่วมสอนในเพจสมองไหล โดยหลายคลาสทำยอดสูงถึงหลักสิบล้านบาท

เมื่อมีฐานลูกค้าเหนียวแน่นและพร้อมมากขึ้น วันนี้นาฟิสตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางธุรกิจ จากแค่ทำคอร์สขายในเพจ มาทำแอพฯ SHORTCUT ที่รวมคอร์สด้านคอนเทนต์และธุรกิจอย่างจริงจัง โดยออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่ายเหมือนดูเน็ตฟลิกซ์ เพราะเชื่อว่าการใช้งานต้องง่ายที่สุด ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ การเรียนต้องไม่ซับซ้อน และทุกคนสามารถเข้าเรียนได้ง่ายไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่

ตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจมา นาฟิสเชื่อว่า ‘ถ้าทุนน้อย ก็ต้องใช้สมองให้มาก’ การเติบโตของเพจสมองไหลในวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความฝันในการทำสตาร์ทอัพอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่สามารถมีเส้นทางหักโค้งที่เริ่มสร้างฐานลูกค้าจากการทำสื่อได้เหมือนกัน

คุณเริ่มต้นเส้นทางการทำธุรกิจยังไง 

เป้าหมายหลักของผมคืออยากทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก ตอนอายุประมาณ 10-13 ปี ผมเรียนกีฬาเทควันโด โค้ชสังเกตว่าผมมีความสามารถในการถ่ายทอดและสอน จึงให้ผมช่วยสอนน้องๆ และได้รับโอกาสเป็นผู้ช่วยโค้ช ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายราว ม.5-6 ผมเริ่มอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีทุน ผมซึ่งเป็นนักกีฬาเหรียญทองเลยขอใช้ยิมและอุปกรณ์จากโรงเรียน มาทำโรงเรียนสอนเทควันโดของตัวเอง เพื่อดึงดูดนักเรียนใหม่เข้ามา

ด้วยความที่โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนอิสลาม กลุ่มเป้าหมายจึงจำกัดอยู่ในโรงเรียน ดังนั้นพอสอนอยู่ในโรงเรียน 2-3 ปี ผมก็เริ่มมีทุนขยับขยายออกไปทำโรงเรียนเทควันโดข้างนอกชื่อ ‘เดอะ คิงส์ เทควันโด’ เช่าสถานที่และยิมเองที่จังหวัดใกล้เคียงคือยะลา เพื่อขยายกิจการให้ไกลขึ้น เพราะภาคใต้ยังไม่มีธุรกิจยิมที่แข็งแรงในจังหวัดนั้น

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณสนใจในธุรกิจและการพัฒนาตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน

ตอนเรียนปี 4 ในมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมแข่งด้านสตาร์ทอัพ ผมไปแข่งและได้เจอกับพี่โมชิ–สุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ CEO แห่ง SHIPPOP  ซึ่งเป็นกรรมการในงาน ตอนนั้นผมเสนอไอเดียแรกคือทำแอพฯ รวมร้านอาหารฮาลาล ซึ่งเกิดจากประสบการณ์เวลาผมไปแข่งกีฬาในต่างจังหวัดแล้วเห็นปัญหาว่า อาหารสำหรับชาวมุสลิมหาได้ยาก และไอเดียที่สองคือแอพฯ จองคิวบริการต่าง ๆ เช่น ร้านตัดผม สปา เราผ่านไปแข่งต่อในงานสตาร์ทอัพระดับประเทศ แล้วก็ตกรอบไป

หลังงานนั้น พี่โมชิที่ชอบการพิตช์ของผมก็มาชวนฝึกงานและทำงานต่อที่ SHIPPOP ผมเคยเอาไอเดียสตาร์ทอัพไปพิตช์กับพาร์ตเนอร์ของบริษัทตั้งแต่ตอนฝึกงานแต่ไม่มีใครสนใจ  ตอนนั้นผมเริ่มสนใจเรียนรู้ธุรกิจเพิ่มเติม ถึงแม้จะเป็นคนที่เคยไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่เมื่ออยากเป็นเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ ก็เริ่มหาวิธีเรียนรู้จากยูทูบและหนังสือเสียง อ่านหนังสือทุกเวลาว่าง เวลาพี่โมชิไปงานเกี่ยวกับธุรกิจงานไหนเราก็ตามไปฟัง

จากความสนใจในสตาร์ทอัพ ทำไมถึงหันมาทำเพจ ‘สมองไหล’ 

ระหว่างนั้นเพื่อนๆ เริ่มถามว่าผมอ่านหนังสืออะไร ผมก็เล่าให้ฟัง พอเล่าไปหลายคน ก็มีคนอยากฟังมากขึ้น ผมเลยเริ่มไลฟ์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อตั้งใจสรุปสิ่งที่เรียนรู้ทุกวัน ตั้งชื่อเพจว่า ‘สมองไหล’ เพราะเราเป็นคนที่เวลานอนเราจะปวดหัวข้างเดียวและชอบพลิกท่าไปนอนอีกข้างหนึ่ง ซึ่งความปวดมันก็ไหลไปอีกข้าง กลายเป็นชื่อสมองไหล ซึ่งพอไปเสิร์ชดูทีหลังก็พบว่ามันมีความหมายคือคนเก่งย้ายไปทำงานต่างประเทศ

ความจริงแล้วตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำเพจสมองไหลเพื่อเป็นธุรกิจ เราไม่ได้อยากเป็นครีเอเตอร์และมองตัวเองเป็น entrepreneur ตั้งแต่ต้น เราอยากทำสตาร์ทอัพมาก แต่นั่งพิตช์ไอเดียแอพฯ จองคิวกับนักลงทุนเป็นปีแล้วไม่เคยได้เงินเลย ตอนนั้นก็ปรับสไลด์ไม่รู้กี่รอบ คุยไม่รู้กี่คน

ด้วยความที่ตอนทำงานที่ SHIPPOP เราโชคดีหลายๆ อย่าง มีโอกาสได้เจอเจ้าของเพจ ‘ไปถึงร้อยล้าน’ ที่มาช่วยสอนการตลาดและการทำคอนเทนต์ที่ออฟฟิศ เราก็เริ่มมองเห็นโอกาสการหาเงินจากการเปิดเพจ คิดได้ว่าการทำธุรกิจแบบสื่อไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนสตาร์ทอัพ สามารถทำเองได้เลย ก็เลยเริ่มทำคอนเทนต์อย่างจริงจัง

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ ‘สมองไหล’ เป็นที่รู้จักคืออะไร 

เราเริ่มจากเขียนบทความข่าวสารความรู้ทั่วไป ตอนแรกเริ่มทำแค่ใน Blockdit ด้วยนะ ไม่ได้ทำในเฟซบุ๊ก เพราะเขียนใน Blockdit แล้วได้ตังค์ พออ่านหนังสือหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ก็เอาความรู้เหล่านั้นมาเขียนสรุปเพื่อทํารายได้เสริมหลักร้อยจากแต่ละบทความ อ่านแล้วก็เขียน แค่นั้นเลย จนมีจุดเปลี่ยนเมื่อคุณหนุ่ม กรรชัย นำบทความของเราที่เกี่ยวกับวันรำลึกสึนามิไปเล่าในรายการข่าวใส่ไข่ ซึ่งบทความนั้นพูดถึงเด็กหญิงทิลลี่ สมิธ ที่ช่วยเตือนภัยสึนามิจนหลายคนรอด ช่วงโควิด-19 เราทำบทความเยอะ ก็ได้รับเชิญไปออกรายการโหนกระแส ซึ่งตอนนั้นโหนกระแสยังไม่อินดราม่า จากเพจสมองไหลในเฟซบุ๊กที่ทำมาราว 10 เดือนและมีผู้ติดตามประมาณ 300 คน พอออกรายการก็มีผู้ติดตามพุ่งขึ้นไปที่ 4,000 คน

จากเขียนบทความข่าวสาร คุณเรียนรู้ทักษะการเขียนคอนเทนต์ขายของยังไง 

สมัยทำงานประจำผมได้รับมอบหมายให้ริเริ่มโปรเจกต์แฟรนไชส์ และต้องทำคอนเทนต์ขายเครื่องปรินต์เพื่อทดสอบตลาด ผมทดลองทำคอนเทนต์โดยไม่มีสินค้าจริงก่อน เพื่อดูความต้องการจริงๆ ของลูกค้า ช่วงแรกถ้าลูกค้าทักมาจะบอกว่าของหมด สมมติถ้ามีลูกค้าทักเพจมาว่าสนใจ 30 คนใน 1 เดือน เดือนหน้าก็จะสต็อกสินค้า 30 เครื่อง แต่ถ้าไม่มีคนสนใจก็เปลี่ยนไปขายอย่างอื่น กลยุทธ์นี้เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่า ‘มีคนซื้อแต่ไม่มีของ ดีกว่ามีของแต่ไม่มีคนซื้อ’ หลังจากนั้นผมเห็นคนขายของออนไลน์เยอะ ทั้งขายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขายกล้วยฉาบ มันฉาบ ก็เลยซื้อมาขายบ้าง แต่ปรากฏไม่มีใครซื้อเลย แล้วเราก็มาคิดได้ว่า เราจะขายกล้วยฉาบ มันฉาบไปทําไมในเมื่อเราอ่านหนังสือทุกวันเลยและรู้ดีที่สุดเรื่องหนังสือ ก็เลยเริ่มหันมาขายหนังสือในเพจสมองไหล

วิธีขายหนังสือในเพจของคุณมีความแตกต่างจากร้านหนังสือทั่วไปยังไง 

ช่วงโควิด-19 ห้างปิด เราเลยถือโอกาสตรงนี้ทำคอนเทนต์แนะนำและให้คำปรึกษาการเลือกหนังสือที่ตรงกับปัญหาของลูกค้า ผมเป็นคนอ่านหนังสือที่รู้ว่าคำตอบของปัญหาต่างๆ มันอยู่ในหน้าไหน เล่มไหน ก็เลยเขียนบทความแล้วทิ้งท้ายว่าถ้าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น แนะนำให้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ถ้าร้านหนังสือจับกลุ่มเป้าหมายที่รู้อยู่แล้วว่าจะซื้ออะไร เราก็ไปจับกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าจะซื้อเล่มไหนดี เราเป็นเหมือนหมอที่จ่ายยาเป็นหนังสือแล้ววินิจฉัยโรคจากอาการป่วย วันแรกเราขายได้ 4 เล่ม เดือนแรกขายได้หลักร้อยเล่ม จนมีนักเขียนของหนังสือที่เราขายทักมา พอขายดีเราก็ได้ส่วนลดการซื้อหนังสือจากนักเขียนและสำนักพิมพ์ แล้วก็ขายได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เดือนหนึ่งขายป็นพันเล่มจนคนบอกต่อกัน วันหนึ่งหลังจากขายมาราว 4 เดือนจนมีเงินเก็บหลักแสนก็มีสำนักพิมพ์ ‘อะไรเอ่ย’ มาชวนเขียนหนังสือ ช่วงนั้นทำงานประจำไปด้วย เขียนหนังสือ ทำเพจไปด้วยก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ลาออกไปทำธุรกิจเองแบบเต็มตัว 

เห็นว่าเพจคุณเติบโตจากคอนเทนต์ออร์แกนิก ทำไมถึงไม่เน้นทุ่มโฆษณา

เหตุผลที่ถนัดทำคอนเทนต์ออร์แกนิกก็เพราะเรายิงแอด (ยิงโฆษณา) ไม่เป็น เราเคยลองยิงแอดแล้วมันไม่เวิร์ก สังเกตว่าพอทำไปแล้ว ครั้งต่อไปคอนเทนต์ไม่เปิด บทความต่อไปมักไม่ค่อยขึ้น เลยคิดว่าทำคอนเทนต์ให้คนได้คุณค่าจริงแล้วไวรัลเองดีกว่า แต่อาจเพราะเราไม่ได้เป็นคนยิงแอดเก่งด้วย แล้วพอทำคอนเทนต์ออร์แกนิกที่มีคนแชร์ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนถามว่า อยากรู้ว่าทำยังไง สอนให้หน่อยได้ไหม เราจึงทำคลิป ไลฟ์สอนฟรีประมาณ 4-5 เดือน เพื่อทดลองสอนและดูว่าคนสนใจไหม เพราะเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องออกกล้องหรือพูดเก่งอะไรนัก แต่ปรากฏว่าคนสนใจเยอะ หลายคนบอกว่าทำคลาสสอนเถอะ เพราะจะได้เรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ไม่กระจัดกระจาย ก็เลยเริ่มออกแบบหลักสูตร แล้วลองขายตอนทำหลักสูตรเสร็จแค่ครึ่งเดียว ด้วยการไลฟ์และเขียนบทความขายคอร์ส ปรากฏยอดขายขึ้นไป 1 ล้านภายใน 6 วัน จากเพจรีวิวหนังสือ ก็เลยปรับตัวมาเริ่มสอนคอนเทนต์และทำคอร์สตั้งแต่ตอนนั้น 

ทุกวันนี้ฟีดคอนเทนต์เยอะขึ้นและอัลกอริทึมก็ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา คุณมองว่าการทำคอนเทนต์ออร์แกนิกยังเวิร์กอยู่ไหม ต้องปรับตัวยังไง

เคล็ดลับคือคุณต้องเอาชนะใจคนไม่ใช่เอาชนะระบบ คือถ้าเรารู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรแล้วทําคอนเทนต์ที่ชนะใจคนได้จริง จะไม่มีปัญหาเรื่องอัลกอริทึม แม้คอนเทนต์จะเยอะขึ้น แต่หน้าที่ของอัลกอริทึมมีอย่างเดียวคือ เอาสิ่งที่คนชอบขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ และเอาสิ่งที่คนไม่ชอบออกจากฟีดไป ถ้าลองคิดว่าเราเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม เราจะสั่งโปรแกรมเมอร์ว่าอะไร ต้องทำยังไงก็ได้ให้ผู้ใช้ติดใช่ไหม แล้วคำถามคือคนจะติดอะไร เราก็แค่ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราชอบเสพอะไร

สิ่งสำคัญที่สุดในการตั้ง KPI สำหรับการทำคอนเทนต์ของผมคือยอดแชร์ เราไม่สนใจเลยว่าจะได้ยอด view เท่าไหร่ เราสนใจว่าทํายังไงถึงจะแชร์ได้เยอะ ดังนั้นถ้าสังเกตคอนเทนต์ของเพจเรา คนจะแชร์เยอะ เพราะเราจะมานั่งคิดเลยว่าคอนเทนต์แบบไหนที่คนอยากแชร์ เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า มันไม่สําคัญว่าคอนเทนต์คุณจะสั้นหรือยาว มันสําคัญที่ว่าคุณทําให้คนอยู่ต่อได้หรือเปล่า เหมือนซีรีส์ที่ถ้าคนสนุก ก็ดูได้ทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน ไม่เห็นต้องทำสั้นเลย แค่เอาชนะใจคนได้ อัลกอริทึมเปลี่ยนยังไงก็ไม่กระทบ

เวลาสอนคนอื่น คุณถ่ายทอดวิชามารในการทําคอนเทนต์ยังไงให้คนทำตามได้

อาชีพของการทําธุรกิจการสอนเนี่ย มันสําคัญที่ว่าเราตอบได้หรือเปล่าว่าทําไมนักเรียนถึงทำได้ ทําไมถึงทำไม่ได้ ซึ่งเวลาที่ผมทําคลาสออกมามันจะต้องมีเฟรมเวิร์ก เหมือนสมัยที่ผมเปิดโรงเรียนสอนเทควันโด ซึ่งตอนนั้นยิมของเราก็เป็นแค่ไม่กี่ยิมที่มีสมุดรวมท่ารํา เทควันโดจะมีท่ารําเหมือนคาราเต้ เราก็ทำเป็นสมุดรวมท่าของแต่ละสาย สายขาว สายเหลือง สาวเขียว ว่าท่าต้องทำยังไง ถ้าคนที่ทําถูก ส่วนใหญ่ก็จะได้ผลทุกคน   แต่ถ้านักเรียนทําไม่ได้ เราจะตอบได้เลยว่าเขาทำไม่ได้ตรงไหน

อธิบายง่ายๆ ว่าเราต้องออกแบบประสิทธิภาพการสอนให้ไปสุดก่อน เหมือนรถแลมโบกินีที่เหยียบได้ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถามว่าถ้าเป็นคุณจะเหยียบคันเร่งถึง 300 หรือเปล่า ก็อาจจะไม่ บางคนอาจเหยียบแค่ 40 หรือ 100 นั่นแปลว่าเราต้องออกแบบคอร์สไปให้สุดก่อน แล้วค่อยให้นักเรียนเลือกว่าตัวเขาเองอยากไปสุดที่ตรงไหน 

ประสบการณ์เปิดโรงเรียนเทควันโดช่วยหล่อหลอมวิธีคิดของคุณในบทบาทผู้สอนยังไง

โชคดีที่เราเปิดโรงเรียนสอนเทควันโดมาก่อน เวลาสอนเทควันโด ผมจะไม่ได้สอนแค่เตะต่อยทั่วไป ผมจะสอนถึงขนาดที่รู้ว่า สมมติว่าจะต่อยเนี่ย ต้องหมุนกี่องศา หมัดนี้ต้องใช้เทคนิคยังไง ต้องหายใจแบบไหน ถ่ายเทน้ำหนักยังไง ยืนประมาณไหน ผมสอนละเอียดมาก มันเลยทําให้เราเก่งในการแปลงความสามารถทุกอย่างของเราออกมาเป็นแพตเทิร์นได้โคตรละเอียด แล้วก็ทําให้คนทั่วไปเดินตามได้

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการสอนตามประสบการณ์ คนส่วนใหญ่อาจโฆษณาว่าสอนตามประสบการณ์ แต่ความจริงแล้วประสบการณ์ของคนเราไม่เหมือนกัน เวลาเราทําแต่ละธุรกิจด้วยตัวเอง เราจะรู้เรื่องในสิ่งที่เราทํา แต่เวลาเราสอน เราต้องรู้กว้างด้วย เพื่อให้มันเป็นแพตเทิร์นที่ถ่ายทอดออกมาเป็นหลักสูตรกลางที่ทุกคนเรียนแล้วเอาไปใช้ได้ 

เหมือนกับเวลาสอนเทควันโด นักเรียนทุกคนจะมีสมรรถภาพไม่เหมือนกัน ถ้าบางคนอ้วน เราจะไม่ให้เขาเตะสูง เขาจะเล่นแบบคนผอมไม่ได้ บางคนเตี้ย ถ้ายืนห่างๆ อาจโดนเตะหัว ต้องฝึกเตะใกล้ๆ แต่บางคนสูงไป ถ้ายืนใกล้เกินไปจะเตะไม่ได้ ผมก็จะรู้ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีคิดที่เชื่อว่าต้องออกแบบการสอนให้เข้ากับทุกคนได้เป็นทักษะที่ติดตัวมาในการออกแบบหลักสูตรในทุกวันนี้

จากสอนด้วยตัวเอง อะไรทำให้ ‘สมองไหล’ เปลี่ยนมาขายคอร์สโดยหลากผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจ

ทุกโปรดักต์ที่ผมทำ หนังสือหรือคอร์สออนไลน์ ไม่เคยเกิดจากผมนั่งคิดเอง แต่เกิดจากลูกค้าต้องการเสมอ เพราะผมขายของแบบคุยกับลูกค้าโดยตรง ตอบแชตเองในไลน์ ตอบคำถามเองในคลาสออนไลน์ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ

คลาสที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาสอนก็ล้วนมาจากการที่ลูกเพจบอกว่าอยากได้ จะมีลูกเพจทักมาว่าอยากทำ TikTok อยากขายทางช่องทางต่างๆ แต่หลายอย่างผมเองก็ไม่ถนัด พอดีคุณส้ม–วริษฐา กิตติกุล ที่เคยทำ Shopee แล้วประสบความสำเร็จจนมียอดขายร้อยล้านมาปรึกษาด้านการทำคอร์ส เขาเคยทำคอร์สมาก่อนแต่ฟีดแบ็กไม่ค่อยดี จนมีคนแนะนำให้มาคุยกับผม เราเลยเริ่มทำคอร์สร่วมกัน ผมช่วยออกแบบคอร์ส และลองไลฟ์ครั้งแรกด้วยกัน โดยที่ตอนนั้นคุณส้มยังไม่ได้ทำ personal brand ไม่มีเพจ ไม่มีใครรู้จัก ปรากฏไลฟ์สอนครั้งแรกขายคอร์สได้ 1 ล้าน พอไลฟ์ขายคอร์สต่อมาก็ขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ 

เราเลยมาแกะแพตเทิร์นว่าทําไมขายคอร์สของคนอื่นแล้วขายดีกว่าเราทำเองอีก แล้วก็เข้าใจว่าเหตุผลที่ขายได้เพราะลูกค้าเชื่อเรา เวลาเราขายคอร์สคนอื่น ผมวางตัวเองเป็นเหมือนหนุ่ม กรรชัย เป็นคนกลางแล้วถามแทนลูกค้า เรายืนข้างลูกค้า ซักถามจนทุกข้อสงสัยถูกคลายหมด และคนสอนได้คลายทุกข้อครหา เช่น เราถามคุณส้มว่า คุณโม้หรือเปล่าที่บอกว่าไลฟ์ขายใน Shopee ได้ร้อยล้าน เพราะผมเข้าไปดูไลฟ์ มีคนดูแค่ 3 คน คุณมาหลอกหรือเปล่า เขาก็บอกว่าใน Shopee ไม่เหมือนเฟซบุ๊กที่คนอยู่ดูนานๆ Shopee เหมือนเซเว่นที่คนซื้อแล้วก็ออกเลย ความสงสัยในจุดนี้ของคนดูก็หายไป

แต่ถ้าผมพูดถึงคอร์สของตัวเอง มันก็จะเป็นคนละแบบ พอเราสอนเอง กลายเป็นว่าเรานั่งคนละฝั่งกับลูกค้า แล้วต้องทำให้คนเชื่อเรา แต่พอขายคอร์สคนอื่น ผมไปนั่งฟังเขาสอนแล้วซักถาม ซึ่งถ้าเป็นคนจริงก็จะคลายทุกข้อสงสัยได้ พอคลายประเด็นทุกอย่างหมด แล้วคนเชื่อว่าคนสอนเป็นของจริง ก็ทำให้ขายดี กลายเป็นว่า ผมขายคอร์สของคนอื่นได้ดีกว่าของตัวเองด้วยซ้ำ 

แปลว่าคุณไม่ได้มองว่าเพจสมองไหลผูกกับ personal branding ของคุณใช่ไหม

ต้องเล่าว่าธุรกิจการสอนจะมี tier ของผู้สอนหลายแบบ มีทั้งคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ (expert) คนสาย personal brand ที่มีภาพจำ เวลาพูดถึงหัวข้อไหน จะนึกถึงคนที่มีชื่อเสียงในวงการนั้นได้ทันที แล้วก็สายอินฟลูเอนเซอร์ ผมมองตัวเองว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะผมมีความสามารถในการเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย เช่น ถ้าผมพูดถึง Shopee หรือ TikTok ผมก็สามารถเชื่อมโยงและดึงดูดคนกลุ่มนั้นมาซื้อคอร์สได้ ต่างจากผู้สอนแบบ expert ที่เน้นความเชี่ยวชาญและทักษะเฉพาะทาง บางคนอาจเป็นลูกจ้างหรือที่ปรึกษาที่ถนัดให้คำแนะนำแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อินฟลูเอนเซอร์อย่างผมสามารถดึงคนสาย expert หรือ personal brand ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ผ่านการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนต่างๆ

อีกอย่างคือพอเราขายคอร์สในเพจทำให้มีฐานลูกค้าที่ดีมากอยู่ที่ 4,000-5,000 คน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า valuation (มูลค่า) ของบริษัทในทุกวันนี้มันไม่มีเลย ถ้าคนจะมาซื้อบริษัทสมองไหล มันติดกับตัวเรา มันคือหน้าเรา แต่พอเริ่มเข้าใจว่าคนไม่ได้อยากเรียนเพราะตัวเราเท่านั้น แต่เรียนเพราะอยากได้ผลลัพธ์ เลยคิดว่าถ้า

เราสามารถทรานส์ฟอร์มความเชื่อใจในตัวเราไปสู่บริษัทได้ เราก็ต้องทำ ซึ่งพอมีผู้เชี่ยวชาญหลากหลายเข้ามาสอน ก็เริ่มคิดว่าเราจะตอบโจทย์ลูกค้าได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้รู้จักลูกค้ามากขนาดนั้น ก็เลยไปคุยกับพี่โมชิว่าอยากทำแอพฯ การศึกษาที่รวมหลายคอร์สไว้ด้วยกัน เพราะผมไม่รู้เรื่องโปรแกรมเมอร์เลย แต่พี่โมชิมีทีมโปรแกรมเมอร์มาตลอดสิบปี ก็เลยทำร่วมกัน เกิดเป็นแอพฯ SHORTCUT

การทำแพลตฟอร์มของตัวเองมีข้อได้เปรียบที่ดีกว่าการทำคอร์สสอนในโซเชียลมีเดียยังไง

จากที่เรามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว พอเราทำแพลตฟอร์มขึ้นมา เราสามารถรู้ได้เลยว่าใครเรียนถึงตรงไหน ใครทำอาชีพอะไร ถ้าเรียนแล้วยังไม่ได้ผล เราสามารถบอกได้เลยว่า ตอนนี้คุณเรียนถึงบทนี้แล้วนะ คำตอบของคุณอยู่ในบทถัดไป คุณควรไปเรียนบทนี้ แบบนี้เราก็จะรู้จัก pain point ของลูกค้าได้มากขึ้น

ผมมักจะเปรียบลูกค้าเหมือนเด็กนักเรียน มีทั้งอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย พอเขาเรียนผ่านแต่ละขั้น เราก็ต้องมีสิ่งที่ตอบโจทย์เพื่อทำให้เขาเก่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างตรงจุด ผมเองเคยทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพ ซึ่งทุกวันจะได้ยินคำเดิม ๆ ว่าให้ความสำคัญกับลูกค้า ลูกค้า ลูกค้า ได้ยินประโยคคำถามเดิมๆ ว่าต้องคิดว่าลูกค้าต้องการอะไร pain point คืออะไร เราต้องคุยกับลูกค้า อย่าทำงานแค่ในห้องแอร์ แต่ต้องออกไปเจอ ออกไปฟังจริงๆ สิ่งนี้มันฝังอยู่ในผมมาตลอด

เพราะแบบนี้ผมถึงสร้าง SHORTCUT ขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือธุรกิจของสมองไหลนี่แหละ แค่เปลี่ยนบ้านจากเพจมาเป็นแพลตฟอร์ม การมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว พอโยกเข้ามาในแพลตฟอร์ม บริษัทก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที ต่างจากการอยู่แค่ในเพจสมองไหล

คุณมองทิศทางการเติบโตของ SHORTCUT เป็นยังไงในอนาคต

ผมวางเป้าไว้ชัดเจนว่า ภายใน 2 ปี ต้องทำให้ถึง 100 ล้าน และใน 5 ปี ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่คอร์ส แต่คือการสร้างระบบหลังบ้าน การแจก e-Book ต่างๆ เฟสต่อไปเรายังวางแผนทำระบบ affiliate ซึ่งตอนนี้โปรแกรมเมอร์กำลังพัฒนาแอพฯ อยู่แล้ว

สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือการมีคอร์สเยอะในแอพฯ ไม่ได้แปลว่าดี ผมจะไม่ทำระบบบุฟเฟต์ 300-400 คอร์สแน่นอน เราอยากให้เรียนแล้วได้ผลลัพธ์ชัดเจน พอได้ผลลัพธ์แล้วค่อยต่อคอร์สต่อไป ในอนาคต เรามองไกลไปถึงการเอาแพลตฟอร์มนี้ไปเชื่อมต่อกับมหาวิทยาลัย เพราะเดี๋ยวนี้การเรียนค่อนข้างเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์เยอะ เราลองไปคุยกับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีมาแล้ว ก็คิดว่าสามารถเอาแพลตฟอร์มนี้เข้าไปช่วยอาจารย์ได้ ถ้าอนาคตนักศึกษาใช้แพลตฟอร์มเราตลอด 4 ปีจนคุ้นเคย พอเขาเรียนจบออกมาก็น่าจะเป็นกลุ่มที่พร้อมต่อยอดไปซื้อคอร์สของเราต่อทันที

คุณอยากสร้างอิมแพกต์ผ่านธุรกิจการศึกษายังไง

ผมอยากเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้รับโอกาสไปเข้าค่ายสตาร์ทอัพตอนนั้น แม้ผมจะเรียนจบด้วยเกรดเพียง 2.16 แต่ตอนนี้กลับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในคณะ โดยไม่ใช่คนที่เรียนได้เกียรตินิยม ถ้าผมไม่ได้ไปค่ายนั้น ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะอยู่ตรงนี้ไหม ผมอาจยังเป็นครูสอนเทควันโด รับเงินหลักหมื่นอยู่ก็ได้ 

ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในฐานะขององค์กรคือเราหาคนที่ตรงสเปกมาทํางานด้วยยากมาก หลายบริษัทบอกว่าขาดคน ในขณะที่คนส่งเรซูเม่สมัครงานก็เยอะ แต่ผ่านการคัดเลือกได้แค่ไม่กี่คน นั่นแสดงว่าความต้องการของตลาดกับสิ่งที่ระบบการศึกษาป้อนมามันไม่ตรงกัน ระบบการศึกษาใช้เวลาเรียนถึง 4 ปี แต่เนื้อหากลับไม่ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

แพลตฟอร์มของผมต้องการย่นระยะเวลาการสร้างทักษะจาก 4 ปี เหลือแค่ 4 เดือน เพื่อให้คนมีความเชี่ยวชาญที่สร้างคุณค่าและรายได้ พร้อมตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งการสร้างอาชีพจะช่วยให้ประเทศและระบบเศรษฐกิจของเราพัฒนาขึ้น ทุกวันนี้นายจ้างไม่ได้ดูเกรดมากเท่าความสามารถ แต่ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์หรือทักษะที่ชัดเจน เกรดก็จะกลายเป็นตัวชี้วัด ในทางกลับกันถ้าคุณเรียนและทำงาน สะสมประสบการณ์ไปด้วยก็จะมีผลงาน และถ้ามีความสามารถจริง ก็จะทำให้เรียกเงินเดือนได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะกดเงินเดือน บริษัทจะถามว่าคุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่ใช่บริษัทให้ได้เท่าไหร่

ผมต้องการเปลี่ยนอํานาจของคนในตลาดแรงงาน เราจะไม่เป็นคนตอบคําถามว่าทําไมบริษัทถึงต้องเลือกเรา แต่เราจะเป็นคนบอกเองว่าทําไมเราถึงต้องทําหน้าที่นี้ เพราะไม่มีใครทำแบบเราได้ ทุกวันนี้ถ้ามีมหาลัยไหนให้ผมกลับไปเป็นวิทยากร ผมไม่เคยถามเรื่องค่าตัวสักนิด เพราะถ้าสมัยผมอยู่มหาวิทยาลัยแล้วมีคนมาบอกแบบนี้ ผมคงสำเร็จเร็วกว่านี้ มองว่าถ้าทุกคนมีทักษะ มูลค่าของคนทำงานจะไม่ได้ถูกกําหนดด้วยใบปริญญา แต่จะถูกกําหนดด้วยผลงานของตัวเขาเอง

ถ้าวันนี้ทุกช่องทางในโซเชียลของเพจสมองไหลปลิวทั้งหมด คุณจะเริ่มธุรกิจใหม่ยังไง

ผมว่ามันไม่ยากเลยครับ เพราะตลอดมาผมเก็บ private traffic เอาไว้เสมอ ผมเชื่อว่า การมีผู้ติดตามหลักล้านไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่ากับการมีแฟนพันธุ์แท้ 1,000 คนที่พร้อมจ่าย สมมติแฟนพันธุ์แท้จ่ายคนละหนึ่งแสน แค่นี้ธุรกิจก็แตะร้อยล้านแล้ว อย่างที่เล่าว่าตัวผมเองเก็บฐานลูกค้าไว้ประมาณ 4,000-5,000 คน และด้วยความที่เรามี personal brand อยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าช่องทางเก่าหายไป การเปิดช่องใหม่ไม่ใช่เรื่องยากที่ลูกค้าเดิมจะตามมาหรือมีผู้ติดตามใหม่ คอนเทนต์เดิมที่เคยปัง ลงใหม่ก็น่าจะยังปังอีก  

ความจริงที่เราสร้าง SHORTCUT ขึ้นก็เพื่อรองรับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าเพจหายไปจริงๆ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่ถ้าเกิดขึ้นตอนนี้ก็คงกระทบอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็โชคดีที่เราเก็บฐานลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ไว้อย่างดี ต่อให้เรายังไม่ปล่อยสินค้าใหม่ แค่บอกว่าจะทำอะไร ลูกค้าเก่าก็เตรียมตัวพร้อมซื้อทันที สมมติวันนี้เราแค่ยิง notification หาลูกค้าเก่า เราก็สามารถทำยอดได้ทันทีหลักล้าน เพราะลูกค้าเชื่อใจเรา

ถ้าคุณต้องสรุป Cheat Sheet แห่งความสำเร็จในการทำธุรกิจให้โตก้าวกระโดดสิ่งนั้นคืออะไร

ผมใช้คำว่า ‘ถ้าทุนน้อย ก็ต้องใช้สมองให้มาก’ ซึ่งคำว่า SaMoungLai (สมองไหล)
มีตัวอักษรย่อเป็น S M L ซึ่งไม่ได้หมายถึงไซส์เสื้อ

S ย่อมาจาก Selling คือการเริ่มต้นธุรกิจ เราไม่ต้องเริ่มจากการทำโปรดักต์หรืออะไรเลย แต่ต้องเริ่มจากการขายก่อน No Selling, No Business ธุรกิจคือการหาเงิน ไม่ใช่การจ่าย บางคนเริ่มทำธุรกิจปุ๊บก็คิดถึงการจ่ายเงินก่อน แต่ความจริงการทำธุรกิจต้องเริ่มจากขาย อย่างผมเริ่มจากทำเพจ ขายคอนเทนต์ ขายไอเดีย ขายความคิด ขายสินค้า ขายบริการ เมื่อขายเสร็จ เราจะได้ฐานลูกค้า ได้คุยกับลูกค้า เข้าใจความต้องการของเขา เหมือนที่ผมขายหนังสือแล้วต้องคุยกับลูกค้าตั้ง 30 นาที เพื่อขายได้หนึ่งเล่ม นั่นคือ S

ต่อมา M คือ Marketing การตลาดไม่ใช่การโฆษณา ไม่ใช่การทำคอนเทนต์ ไม่ใช่การหลอกล่อให้ลูกค้าซื้อ แต่คือการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เพื่อรู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเอาสินค้ามาตอบโจทย์ เมื่อเรามีฐานลูกค้าแล้ว เราจะรู้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ชอบอะไร ต้องการอะไร ติดตามเพจอะไรบ้าง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสร้างสินค้าที่ตรง pain point ของลูกค้า ทำให้โอกาสเจ๊งแทบเป็นศูนย์ ซึ่งวิธีการทำการตลาดหลักๆ จะมี 3 อย่าง ถ้าอยากโตเร็วที่สุดต้องทำ personal brand เพราะคนเชื่อคน การเปิดหน้าเราให้ลูกค้าเห็นหน้าจะช่วยสร้างความเชื่อใจ แต่ก่อนผมก็ไม่เปิดหน้า พอเปิดหน้าแล้ว ยอดขายเพิ่มขึ้น 10-20 เท่า พอเกิดการซื้อ เราก็ต้องบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ต้องคุย ให้คำปรึกษา ตอบคำถามเองบ้าง อยู่กับเขาทุกช่วงเวลาเพื่อเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ทุกคนที่โตได้ไวเพราะอินกับลูกค้าหมด อย่างสุดท้ายคือ การทำ marketing funnel ทำยังไงให้ลูกค้ารู้จักเรา พิจารณาเรา และตัดสินใจจ่ายเงินกับเรา

สุดท้าย L คือ Leverage หากคุณเป็นคนตัวเล็ก เราต้องทำหนึ่งอย่าง แล้วขายให้ได้เยอะๆ ใช้เครื่องมือหรือระบบต่างๆ เพื่อสเกลให้สินค้าหรือบริการหนึ่งชิ้นขายได้ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ทั่วโลก เราอาจใช้ AI ใช้ระบบดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มเพื่อให้ทำงานซ้ำๆ ได้โดยไม่ต้องทำสินค้าร้อยอย่างแล้วขายร้อยทางโดยเริ่มจากศูนย์ทุกครั้ง
การทำ SML คือ ขายก่อน → ทำการตลาด → เลเวอเรจ นี่คือคีย์ที่ผมใช้มาตลอด ถ้าอยากโตแบบก้าวกระโดด ต้องใช้วิธีการแบบนี้ครับ