Carnival Golf แบรนด์กอล์ฟที่พาความเท่แบบสตรีทแวร์มาเฉิดฉายบนแฟร์เวย์ จน sold out ตั้งแต่เปิดตัว 

เรียบหรู ดูแพง แต่แฝงด้วยความเท่แบบมีคลาส

ข้างต้นคือเอกลักษณ์ที่ใครเป็นแฟนกอล์ฟน่าจะเข้าใจดี ถึงกีฬาที่นอกจากจะต้องมีพละกำลังและมันสมองในการหวดวงสวิงส่งลูกลงหลุม ยังต้องมีการแต่งกายเนี้ยบต่างจากกีฬาอื่นๆ ทั้งเสื้อโปโล กางเกงขายาวเข้ารูป รองเท้าผ้าใบ หมวกกันแดด ไปจนถึงแอกเซสซอรีอีกมากมายที่ต้องลากติดตัวไปด้วยตั้งแต่หลุมแรกถึงหลุมสุดท้าย

ว่ากันตามตรง ขนบธรรมเนียมการแต่งกายของกีฬากอล์ฟที่มีอายุยาวนานกว่า 160 ปี ดูเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลง ด้วยกฎกติกามารยาทที่ดีงามเป็นทุนเดิม ทั้งไม่ได้เหลือบ่าไปกว่าแรงที่นักกีฬาจะปฏิบัติตาม 

อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ ‘Carnival’ แบรนด์สตรีทแวร์ขวัญใจคนไทย เพิ่งประกาศข่าวคราวหน้าตื่นเต้น นั่นคือการคลอดแบรนด์ใหม่อย่าง ‘Carnival Golf’ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างแฟชั่นสายสตรีทกับเครื่องแต่งกายกีฬากอล์ฟเข้าด้วยกัน โดยมี ‘กอล์ฟ–ดนัย เตชะสมภพ’ Co-founder แห่ง Carnival เป็นหัวหอกคนสำคัญในการขับเคลื่อนแบรนด์แบรนด์นี้

“เราอยากให้คนรู้สึกสนุกกับกีฬากอล์ฟพอๆ กับการแต่งตัว” นี่คือความตั้งใจของดนัยในฐานะคอกีฬากอล์ฟตัวยง ที่หยิบแพสชั่นส่วนตัวทั้งความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้กับไลฟ์สไตล์การแต่งตัวมาผนวกเข้าด้วยกัน

แฟชั่นกับกีฬากอล์ฟบรรจบกันได้ยังไง เทรนด์กีฬากับแฟชั่นไปด้วยกันได้จริงหรือ? และในเมื่อมีกีฬาบนโลกมากมายแต่ทำไมต้องเป็นกอล์ฟ คำถามทั้งหมดนี้คงไม่มีใครตอบได้ดีไปกว่าดนัย ที่จะมาเผยทุกเรื่องที่คนอยากรู้เกี่ยวกับ Carnival Golf

ถ้าพร้อมแล้วเราไปหวดวงสวิงพร้อมกัน

ทำไมถึงตัดสินใจตั้งแบรนด์ Carnival Golf ขึ้นมา โดยที่ใช้กีฬากอล์ฟเป็นธีมหลัก ทั้งที่มีกีฬาอื่นๆ อีกมากมายให้เลือก 

ต้องเกริ่นก่อนว่า พื้นฐานแต่เดิมของ Carnival เราเริ่มต้นทุกอย่างจากสิ่งที่เราชอบ ไม่ว่าจะเรื่องของคอลเลกชั่นหรือการคอลแล็บก็ตาม กอล์ฟก็เป็นกีฬาที่ผมและผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน (ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล และภัทร–ภัทร์ สุภาโอษฐ์) ชื่นชอบและเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก 

ส่วนตัวผมชอบเกมกีฬากอล์ฟเพราะ ‘บรรยากาศ’ ผมรู้สึกว่าตอนเราไปออกรอบมันเป็นโมเมนต์ที่เฮฮาสนุกสนานเหมือนเราไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนฝูง ได้ข่ม ได้บลัฟเรื่องฝีมือ ถึงจริงๆ เราจะเล่นกันไม่เก่งเลยก็ตาม ทุกวันนี้ผมเสพติดการเล่นกอล์ฟมากๆ ทุกอาทิตย์ต้องได้ไปออกรอบ ไปออกแต่ละครั้งก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมง (ยิ้ม)

กับอีกข้อที่ทำให้ผมชอบคือกีฬากอล์ฟเป็นเกมที่ท้าทายมากๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณเล่นดีแล้วพรุ่งนี้คุณจะเล่นดีเหมือนเดิม สมมติวันนี้คุณเล่นได้ 100% พรุ่งนี้คุณอาจจะเหลือ 80% มะรืนอาจจะเหลือแค่ 50% หรือ 20% ถ้าคุณไม่วางแผน คุณไม่มีสมาธิ ฟอร์มก็อาจจะหลุดยาว ทุกครั้งที่ออกรอบมันต้องเผชิญกับความท้าทายกับตัวเองอยู่ตลอด

เรียกว่านำความชอบมาต่อยอดเป็นธุรกิจ

ใช่ แต่จริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเราหยุดเล่นกอล์ฟกันไป จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา ผมกลับมาเล่นกอล์ฟอีกครั้ง ปรากฏว่าพอเรากลับมาเล่นใหม่ พวกอุปกรณ์ พวกเสื้อผ้าก็ต้องมาหาซื้อใหม่ ทำให้เรามีโอกาสได้เข้าไปดูว่าในตลาดกอล์ฟตอนนั้นเป็นยังไง ซึ่งพอเข้าไปดูก็พบว่ามันค่อนข้างจะแตกต่างจากสมัยก่อนเยอะมากๆ 

สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือ สไตล์เสื้อผ้าสำหรับใส่เล่นกอล์ฟที่มีอยู่ในตลาดดูไม่ตรงกับที่เราชอบ เราเป็นคนชอบแต่งตัว เวลาเราไปเล่นเราก็อยากโชว์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว เราก็เลยคิดว่าน่าจะมีคนรู้สึกแบบเดียวกับเรานะ ว่าอยากได้เสื้อผ้าเล่นกีฬาชนิดนี้ที่มันดูเป็นแฟชั่น 

บวกกับความชอบนี้น่าจะมีมูลค่ามากพอที่จะขยายเป็นตลาดตลาดหนึ่ง เราก็เลยตัดสินใจทำแบรนด์ Carnival Golf ที่มีคอนเซปต์ว่า ‘From Street to Fairway’ คือเอาภาพลักษณ์ที่เป็นสตรีทแวร์มาอยู่ในสนามกอล์ฟ

ระหว่างที่พวกเราอยู่ในสนาม ก็จะช่วยระดมความคิดกันตลอดว่าจะทำอะไรกันดี ในหนึ่งคอลเลกชั่นจะต้องมีอะไรบ้าง เพราะโปรเจกต์ Carnival Golf มีเรื่อง ‘องค์ประกอบ’ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับกอล์ฟอยู่เยอะ 

จุดประสงค์ของการทำแบรนด์มีทั้งสำหรับไว้สวมใส่เอง กับพรีเซนต์ให้กลุ่มลูกค้าเห็นว่าเรามีสินค้าสไตล์นี้อยู่นะ และเราไม่ได้เป็นแค่คอลเลกชั่นใดคอลเลกชั่นหนึ่งที่อยู่ภายใต้ชื่อ Carnival เท่านั้น

มีอะไรอีกบ้างคุณเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นในคอมมิวนิตี้คนเล่นกอล์ฟในสมัยก่อนและตอนนี้  

ผมว่าเป็นเรื่องของกลุ่มคนเล่นที่อายุน้อยลง อาจจะด้วยการรับรู้หรือการเข้าถึงเกมกีฬานี้ที่มันเข้าถึงง่ายขึ้น ต้องบอกว่าภาพลักษณ์ของการเล่นกอล์ฟในสมัยก่อน ถ้าไม่เป็นผู้สูงอายุ ก็ต้องเป็นนักธุรกิจที่เล่น
แต่สิ่งที่ยังดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่คือเรื่องของกฎระเบียบการแต่งกาย ถ้าใครเคยไปสนามกอล์ฟจะเห็นว่าเขามีกฎระเบียบนี้ไว้ชัดเจน เช่น เสื้อที่คุณใส่ออกรอบต้องเป็นเสื้อโปโลคอปก ชายเสื้อต้องยัดเข้าไปในกางเกง กางเกงคุณก็ต้องเป็นขายาวเท่านั้น
จริงแล้วๆ กฎการสวมใส่เสื้อผ้าที่ว่ามันก็มีข้อดี เช่น การที่เสื้อต้องมีปกคอก็เพื่อป้องกันแสงแดดยูวี แต่ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็น pain point ที่ทำให้บางคนไม่อยากเล่นกอล์ฟ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเพราะเขามองว่าเสื้อผ้ามันดูไม่เป็นแฟชั่นสักเท่าไหร่ 

Carnival Golf มองกลุ่มลูกค้าไหนเป็นหลัก 

ตอนที่เราเริ่มโปรเจกต์เราอยากจะพรีเซนต์ให้กับกลุ่มแฟนคลับของ Carnival ก่อน เพราะเรามองว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับ Carnival ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้เข้าใจในสินค้าหรือแนวทางความเป็นสตรีทแวร์ของเรา ขณะเดียวกันเราเชื่อว่าแฟนคลับไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กยังไงก็ต้องมีคนที่เล่นกีฬากอล์ฟ 

กับอีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่เล่นกอล์ฟแต่ยังไม่รู้จักแบรนด์ Carnival หรืออาจแค่เคยเห็นผ่านตา เราก็ต้องสร้างการรับรู้ขึ้นมาให้เขาเห็นว่ามันมีแฟชั่นแบบนี้อยู่นะ ก็มีบ้างที่เห็นแล้วแปลกใจว่ามันมีเสื้อผ้าแบบนี้ด้วยเหรอ เพราะเสื้อผ้าของ Carnival Golf มีแพตเทิร์นที่ไม่เหมือนกับแฟชั่นกอล์ฟในตลาด ที่ดูมีความเป็นสปอร์ตสไตล์ เสื้อต้องรัดรูป ซึ่งบางคนที่ซื้อไปตอนแรกแล้วเขาไม่รู้ เขาจะพยายามลดไซส์เสื้อเพื่อให้มันเข้ารูปเหมือนกับที่โปรกอล์ฟใส่กัน 

เราก็ต้องอธิบายว่าถ้าคุณจะใส่จริงๆ คุณต้องเพิ่มไซส์นะ ให้มันดูมีความเป็นโอเวอร์ไซส์ เสื้อก็ไม่ต้องใส่ในกางเกง เพราะสไตล์มันไม่เหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกันกับลูกค้า

การนำแพสชั่นมาต่อยอดเป็นธุรกิจจริงช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม

ตอนแรกเราคิดว่าการทำ Carnival Golf น่าจะใช้เวลาเต็มที่ประมาณ 3-4 เดือน เหมือนกับเวลาเราทำสักหนึ่งคอลเลกชั่นของ Carnival แต่พอเราลงมือทำจริงกลับใช้เวลาเกือบปี 

สาเหตุที่ใช้เวลานานก็เพราะมันมีเรื่องของ performance การสวมใส่เข้ามาเกี่ยวข้อง เทคโนโลยีเนื้อผ้าที่เราจะใช้ไม่สามารถเหมือนกับที่เราใช้ในเสื้อผ้าของ Carnival ได้ ระหว่างทางก็เลยต้องหาวัตถุดิบผ้าชนิดอื่นที่เหมาะกว่ามาปรับใช้ในการตัดเย็บ 

ยกตัวอย่างวัตถุดิบผ้าที่เราพัฒนาเสร็จจนนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า แต่พอนำไปทดลองใส่ใช้งานจริงๆ กลับยังไม่ได้ตามที่คิด ซึ่งเสื้อผ้าทุกตัวผมเป็นคนทดลองนำไปใส่ตีกอล์ฟจริงๆ ทำให้รู้ว่าตลอดระยะเวลาการสวมใส่ 4 ชั่วโมงเรารู้สึกยังไง ถ้าใส่แล้วไม่สบาย หรือถ้าใส่แล้วยังไม่ได้ performance ที่ดี ก็ต้องนำกลับไปปรับปรุงใหม่ กว่าที่คอลเลกชั่นแรกจะเสร็จเลยใช้เวลานานพอสมควร 

จริงๆ ผมอยากให้คอลเลกชั่นแรกปล่อยออกมาประมาณเดือนตุลาคม 2024 เพราะเป็นช่วง high season ที่อากาศเหมาะกับคนเล่นกอล์ฟมากที่สุด แต่ด้วยความที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้เพอร์เฟกต์ กว่าที่จะพร้อมปล่อยเลยเป็นช่วงเดือนเมษายน 2025 ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศร้อน คนไทยไม่ค่อยนิยมเล่นกอล์ฟสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องแปลกใจอีกเพราะตอนปล่อยคอลเลกชั่นแรกออกไปมันขายออกเร็วมาก ต้องขอบคุณแฟนๆ ของ Carnival ที่ให้การสนับสนุนเรา

ระหว่างทางคุณเจออุปสรรคใดอีกนอกจากเรื่องของการเฟ้นหาเนื้อผ้า

เป็นเรื่องของการสร้างความเข้าใจกับทีม คือเรามั่นใจอยู่แล้วว่าทีมงานของเรามีฝีมือในการออกแบบ แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือความเข้าใจในความเป็นกีฬากอล์ฟ เพราะถ้าคุณจะออกแบบเสื้อผ้าที่เกี่ยวกับกอล์ฟ พวกรายละเอียดกราฟิกต่างๆ หรือคำพูดที่เราจะนำมาใช้ คุณต้องเข้าใจว่าคุณจะใช้ยังไงหรือสื่อสารไปถึงลูกค้าของคุณยังไง ถ้าคุณแค่เอารายละเอียดมาแปะๆ ลงไป เอาคำพูดบางคำมาใส่ลงไปโดยที่ไม่ได้มีความเข้าใจ ลูกค้าเขาจะรู้ทันทีว่าคุณไม่ใช่ตัวจริงเรื่องกอล์ฟ 

ทีมงานของเราตอนแรกไม่มีใครรู้จักกอล์ฟแบบลงลึก เขารู้แค่ว่ากีฬากอล์ฟหน้าตาเป็นยังไง แต่เขาไม่รู้ว่าไม้เหล็กแบบนี้คืออะไร คำว่า ‘เบอร์ดี้’ แปลว่าอะไร หรือคำว่า ‘โฟร์’ แปลว่าอะไร หน้าที่ของผมก็คือต้องมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ทีมเข้าใจ หรือถ้ามีจัดกิจกรรมออกรอบตีกอล์ฟเราก็จะพาทีมงานไปซึมซับบรรยากาศด้วย ซึ่งตอนนี้ทีมงานของเราเข้าใจในความเป็นกีฬากอล์ฟจริงๆ หมดแล้ว

มีศัพท์คำไหนในกีฬากอล์ฟที่นำไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ และสะท้อนให้เห็นว่า Carnival Golf เข้าใจกีฬานี้จริงๆ 

มีเสื้อตัวหนึ่งที่เราหยิบคำว่า ‘Mulligan Please’ มาใช้ ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดีมากๆ เพราะไม่เคยมีใครเอาคำพูดนี้มาใช้บนเสื้อผ้า คนที่เล่นกอล์ฟจริงๆ จะรู้จักความหมายของคำดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการขอแก้มือใหม่อีกครั้ง ภาพกราฟิกที่ประกอบเลยออกมาเป็นภาพยกมือไหว้อ้อนวอน ตรงกับสิ่งที่เราอยากสื่อสารถึงคนเล่นกอล์ฟว่า บรรยากาศการเล่นกีฬาชนิดนี้มันสนุก มันเฮฮา 

อีกโจทย์ที่น่าสนใจ คือคุณทำยังไงให้ลูกค้าเห็นว่า Carnival Golf ไม่ใช่แค่คอลเลกชั่นหนึ่งของ Carnival แต่เป็นแบรนด์ 

นอกจากพวกเสื้อผ้า Carnival Golf มีอุปกรณ์อื่นๆ ค่อนข้างครบ ยกเว้นแค่อุปกรณ์ในการตี อย่างถุงกอล์ฟที่เราปรับดีไซน์ให้เหมาะกับคนชอบสตรีทแวร์ที่มีช่องเก็บใช้งานได้อเนกประสงค์ มีหมวก มีร่ม ถุงโคฟเวอร์หัวไม้กอล์ฟ รวมไปถึงตัว ‘ทีไม้’ ที่เราออกแบบมาในสีมินต์ซึ่งเป็นสี CI ของ Carnival ซึ่งสีโทนนี้ในวงการกอล์ฟไม่ค่อยมีคนนิยมใช้ 

เป็นเหมือนการโชว์ให้คนที่มองเข้ามาเห็นว่า หน้าตาคอลเลกชั่นสินค้าของเราต่อๆ ไปจะมาในโทนสีลักษณะประมาณนี้ อะไรที่ดูมีความเป็นแฟชั่นเกี่ยวกับกอล์ฟจะต้องนึกถึงเรา หรือแม้แต่การนำ ‘Bernie’ มาสคอตของ Carnival มาใช้เพื่อให้ดูน่ารัก ดูเข้าถึงง่าย

กับถ้าเป็นสาขาอื่นของ Carnival สินค้าของกอล์ฟจะอยู่แค่ตามมุมต่างๆ แต่ถ้าเป็นที่ One Bangkok เรามีพื้นที่มากพอที่จะทำให้ชั้นชั้นหนึ่งเป็นของ Carnival Golf โดยเฉพาะ เพื่อที่จะวางจำหน่ายสินค้าได้เต็มที่ รวมถึงมีแพลนที่จะทำมุมมุมหนึ่งไว้สำหรับทำ simulator ให้คนได้มาลองพัดกอล์ฟดู ว่าตอนที่คุณลองพัด performance มันเหมาะกับเสื้อผ้าที่กำลังจะซื้อหรือเปล่า หรือสัมผัสเนื้อผ้าคุณจับแล้วรู้สึกยังไง ทำให้สินค้าของเราสามารถจับต้องได้มากกว่าแค่รอซื้อทางออนไลน์

สินค้าตัวไหนที่คุณทำออกมาแล้วเห็นว่าต่างออกไปจากแฟชั่นกอล์ฟที่มีอยู่ในตลาด

พวกเสื้อทรงฮาวาย ซึ่งปกติไม่มีใครใส่เสื้อทรงฮาวายเข้าสนามกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่เราพัฒนาเพื่อให้ใส่ในสนามกอล์ฟได้จริง คือเนื้อผ้ามีความยืดหยุ่น ระบายเหงื่อได้ดี ส่วนเรื่องดีไซน์ก็ดูรู้เลยว่านี่เป็นเอกลักษณ์ของ Carnival ที่มีความเป็นสตรีทแวร์ 

นอกจากจะใส่ในสนาม คนที่ซื้อไปยังใส่เดินเที่ยวห้างโชว์ความชอบในกีฬากอล์ฟได้สบายๆ เลยเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่วางขายไม่นานก็หมด 

เท่าที่สังเกตราคาสินค้าของ Carnival Golf มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าสินค้ากอล์ฟอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด นี่เป็นความตั้งใจของคุณด้วยไหม

ใช่ ส่วนใหญ่เสื้อผ้าหนึ่งตัวของแบรนด์กอล์ฟทั่วไปจะอยู่ที่สามพันกว่าบาท แต่ของเราอย่างเสื้อโปโลจะขายอยู่ที่สองพันบาท ส่วนหนึ่งที่ราคาของแบรนด์อื่นแพงกว่าเพราะเขามีค่าต้นทุนในการผลิต การตลาด การโปรโมต 

สำหรับตัวผมเองมองว่าเราโอเคกับการตั้งราคาขายประมาณนี้ โดยที่เรายังใส่เทคโนโลยีพิเศษลงไปได้และไม่ขัดกับเรื่องของต้นทุน เพื่อให้กลุ่มลูกค้าของเรามีโอกาสและเข้าถึงในการซื้อง่ายขึ้น

เทรนด์ปัจจุบันจะเห็นว่าแบรนด์แฟชั่นมักจับมือกับแบรนด์กีฬาเพื่อผลิตสินค้าต่างๆ ออกมามากมาย ส่วนตัวคุณมีความคิดเห็นยังไงกับกลยุทธ์นี้

เทรนด์แฟชั่นกับสปอร์ตมีมาระยะหนึ่งแล้ว พอยต์ของการที่เขาทําด้วยกันคือการขยายฐานลูกค้า บางแบรนด์อาจจะอยากได้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้แต่เข้าไม่ถึง หรือบางแบรนด์อยากปรับภาพลักษณ์ให้ดูเด็กลง ดูลักชัวรีขึ้น ดูสปอร์ต หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งตอนนี้ผมว่าแบรนด์ที่ทำในลักษณะนี้มันมีเยอะมาก แต่ถ้าพูดถึงวงการกอล์ฟถือว่าเป็นกระแสที่กำลังมาและค่อนข้างดี แบรนด์ระดับโลกบางแบรนด์ก็หันมาจับตลาดกอล์ฟ อาจจะเป็นการคอลแล็บ หรือออกโปรดักต์ที่เกี่ยวกับกอล์ฟ พอเขาทำก็ได้ฐานลูกค้ามากขึ้น 

ผมมองว่าเป็นเรื่องดีนะ ที่วงการแฟชั่นกับสปอร์ตสามารถทำงานด้วยกันและหาจุดร่วมลงตัวได้ แต่ข้อควรระวังที่สำคัญคือคุณต้องรู้ว่าคุณจะสื่อสารสิ่งนี้ไปถึงลูกค้ายังไง คุณจะแบ่งผลประโยชน์ หรือคุณจะทำสินค้าออกมายังไงโดยที่ไม่เสียตัวตนของแบรนด์ไปจนหมด

ภาพจำที่ทำให้คนนึกถึง Carnival คือการทำคอลแล็บเจ๋งๆ กับแบรนด์อื่น ถ้าเป็น Carnival Golf ยังจะชูกลยุทธ์นี้อยู่ไหม 

Carnival Golf เกิดมาจากดีเอ็นเอของ Carnival ก็คือสตรีทแวร์และการคอลแล็บ ซึ่งการคอลแล็บก็เป็นสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้ว และผมมองว่า Carnival Golf ไม่ได้เป็นแบรนด์กีฬาสาย performance ขนาดนั้น ดังนั้นเรามองตัวเองว่าเราเป็นแบรนด์ที่ร่วมงานกับใครก็ได้ ในอนาคตเราอาจจะเห็น Carnival Golf ข้ามสายไปทำกับอีกแบรนด์ที่มาจากต่างอุตสาหกรรม 

เพราะถ้าจะให้มองจริงๆ ผมว่าคนเล่นกอล์ฟหนึ่งคน ไม่ได้มีงานอดิเรกแค่เล่นกอล์ฟอย่างเดียว เขาอาจจะชอบมอเตอร์สปอร์ต ชอบดนตรี ชอบอาร์ตทอย แล้วถ้าเกิดเรานำไลฟ์สไตล์อื่นๆ มารวมกับกอล์ฟในโปรดักต์เดียวได้ นั่นคือการขยายตลาดของเราได้ไกลกว่าแค่เรื่องของแฟชั่นกับกอล์ฟ และผมมองว่านี่เป็นความสนุกที่เราได้หาไอเดียใหม่ๆ มานำเสนอ โดยไม่ถูกจำกัดในกรอบใดกรอบหนึ่ง

สาขาใหม่ของ Carnival ที่ One Bangkok จะได้เจอกับสินค้าของ Carnival Golf ด้วยหรือเปล่า?

ถ้าเป็นสาขาอื่นของ Carnival สินค้าของกอล์ฟจะอยู่แค่ตามมุมต่างๆ แต่ถ้าเป็นที่ One Bangkok เรามีพื้นที่มากพอที่จะทำให้ชั้นหนึ่งเป็นของ Canival Golf เพื่อวางจำหน่ายสินค้าได้เต็มที่ รวมถึงมีแพลนที่จะทำมุมมุมหนึ่งไว้สำหรับทำ simulator ให้คนได้มาลองพัดกอล์ฟดู ว่าตอนที่คุณลองพัด performance มันเหมาะกับเสื้อผ้าที่กำลังจะซื้อหรือเปล่า

นอกจากการทำแบรนด์คุณยังมีจัดทัวร์นาเมนต์แข่งกีฬากอล์ฟอีกด้วย จุดประสงค์ของการจัดการแข่งขันคืออะไร

หลังจากที่เราออกคอลเลกชั่นแรกออกมาเรียบร้อย เราก็อยากจะรวมกลุ่มคนที่ชอบแต่งตัวกับคนที่ชอบในกีฬากอล์ฟ ก็เลยมีการจัดแข่งทัวร์นาเมนต์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากๆ อย่างทัวร์นาเมนต์ล่าสุดที่เราจัด เราเปิดรับประมาณ 160 คน ภายในระยะเวลาแค่ 2 ชั่วโมงมีคนสมัครเต็มจำนวน ทั้งที่เราเปิดระยะเวลาการสมัครไว้ 2 เดือน

ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น คือคนที่มาส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นเกือบหมด ผิดจากที่ผมไปงานกอล์ฟหลายๆ งานที่ส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมมักจะเป็นคนมีอายุขึ้นมาหน่อย เหมือนเป็นการชวนกันปากต่อปาก เพื่อนชวนเพื่อน เราก็มีโอกาสโปรโมตว่านี่เป็นพื้นที่สำหรับคนรักการแต่งตัว สำหรับคนรักกีฬากอล์ฟนะ ถ้ามาคุณจะได้ร่ม ได้เสื้อคอลเลกชั่นพิเศษกลับไป 

คนที่มาเขาก็จะติดตามตลอดว่าเมื่อไหร่จะมีจัดแข่งอีก บางคนเขาอยากมาแข่ง อยากมาเก็บพวกคอลเลกชั่นพิเศษนี้ไปสะสม

สุดท้ายนี้คุณอยากเห็นอนาคตของ Carnival Golf ไปในทิศทางใด

อนาคตผมอยากให้ Carnival Golf ออกไปสู่ global market ให้คนต่างชาติหรือคนที่อยู่ต่างประเทศได้รู้จัก ได้ซื้อสินค้าของเรา แต่ผมว่าเรายังต้องสั่งสมประสบการณ์อีกสักพักเพราะเราเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน  

แต่ถ้าอนาคตอันใกล้เราพยายามจะใส่ความเป็นเราลงไปในคอลเลกชั่นต่อๆ ไปได้มากกว่านี้ เพราะคอลเลกชั่นแรกมันเหมือนกับการชิมลางให้ลูกค้าได้เรียนรู้กับเรา เราเรียนรู้กับลูกค้า ผมเลยมองว่ายังมีอะไรให้เราใส่ได้เต็มที่อีกเยอะ 

ทุกวันนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่สนามกอล์ฟมากกว่าที่ออฟฟิศอีก (ยิ้ม)

Fairtex บ้านของเหล่านักสู้ระดับตำนาน กับแม่ไม้ธุรกิจที่ใช้ผลักดันมวยไทยสู่ระดับโลก

เสียงคมหมัดทะลุทะลวงแหวกอากาศดังชัดเจน สลับเสียงหน้าแข้งฟาดกระสอบทรายหนักแน่น เสียงออกอาวุธตรงหน้ามีที่มาจากบรรดาคนไทยและต่างชาติที่เข้ามาเรียนรู้ ‘มวยไทย’ ที่ ‘Fairtex Training Center’ ศูนย์ฝึกซ้อมของค่ายมวยระดับท็อปอย่าง Fairtex ที่ก่อตั้งโดย บรรจง บุษราคัมวงษ์ โปรโมเตอร์ระดับตำนาน ที่ตั้งอยู่ ณ ถนนพัทยาเหนือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 

ยอดแสนไกล แฟร์เท็กซ์, แสตมป์ แฟร์เท็กซ์, นักรบ แฟร์เท็กซ์, ฟ้าสดใส แฟร์เท็กซ์ ฯลฯ ชื่อเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของบรรดานักสู้ที่ค่ายระดับตำนานนี้ปลุกปั้น ก่อนภายหลังจะสร้างชื่อในฐานะแชมป์เปี้ยนผู้กวาดรางวัลจากกีฬามวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง ทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับโลก

จากค่ายมวยเล็กๆ ย่านสวนพลู จนถึงตอนนี้ Fairtex ยืนระยะครบรอบ 67 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งในยุคที่กีฬามวยถูกมองว่ามาคู่กับการพนันขันต่อ จนถึงยุคที่ถูกยกให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ประจำชาติ ภายใต้การบริหารของ เปรม–อริยะวัฏ บุษราบวรวงษ์ ซีอีโอคนปัจจุบันและบุตรชายของ บรรจง บุษราคัมวงษ์ 

ในเรื่องดีเอ็นเอความเป็นนักสู้ของ Fairtex คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะเครื่องหมายยืนยันความสำเร็จคือเข็มขัดแชมป์เปี้ยนทุกเส้นที่ประดับไว้บนกำแพง hall of frame ถึงกระนั้นแค่แชมป์อย่างเดียวคงไม่มากพอที่จะทำให้ค่ายมวยแห่งนี้ยืนระยะมามากกว่า 5 ทศวรรษ แต่จำเป็นต้องมี ‘business model’ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์กับยุคสมัยที่กีฬากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน

เราจึงเดินทางไปยังค่ายมวย Fairtex พัทยา เพื่อพูดคุยกับอริยะวัฏถึงโมเดลการบริหารธุรกิจค่ายมวยแห่งนี้ ที่มีมากกว่าแค่เรื่องราวบนสังเวียนผ้าใบ แต่ต้องมีความโมเดิร์นมากพอที่จะมัดใจคนรักกีฬาหมัดมวยทั่วโลก 

หากพร้อมแล้ว เราไปขึ้นสังเวียนนี้พร้อมกัน

ROUND 1
Fairtex ธุรกิจที่ถูกสร้างด้วยความรักในกีฬาหมัดมวย

“ตั้งแต่จำความได้ผมก็โตมากับเสียงเตะเป้าในค่ายมวยของพ่อ”

อริยะวัฏเริ่มย้อนความให้เราฟังถึงชีวิตที่โตมากับค่ายมวยย่านบางพลีของผู้เป็นพ่อ ซึ่งนับเป็นบ้านหลังที่ 2 ของ Fairtex หลังย้ายมาจากแถวสวนพลู กรุงเทพฯ 

ท่ามกลางเสียงเตะเป้าซัดกระสอบของบรรดานักมวยวัยหนุ่มวันแล้ววันเล่า บังเกิดเป็นความคุ้นชินจนเด็กน้อยในตอนนั้นนิยามว่าเสียงเหล่านั้นอภิรมย์แทบไม่ต่างจากเสียงกล่อมนอน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 Fairtex จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ ถึงกระนั้น กว่าที่จะก่อร่างสร้างตัวเป็นค่ายมวยจริงๆ ต้องใช้เวลาถึง 17 ปี (2518) โดยระหว่างทางบรรจงตัดสินใจเปิดบริษัท แฟร์เท็กซ์ การ์เมนต์ส แฟกตอรี ธุรกิจผู้ผลิตสิ่งทอ เพื่อเป็นเงินทุนสำคัญในการบริหารค่ายมวย

ส่วนสาเหตุที่บรรจงตัดสินใจเปิดธุรกิจค่ายมวยนี้ มาจากความหลงใหลส่วนตัวตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งยังเป็นศาสตร์ป้องกันตัวจากการโดนเด็กรุ่นที่โตกว่ารังแก บรรจงจึงตั้งเป้าอยากเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการมวยไทยมาโดยตลอด 

อริยะวัฏเล่าให้เราฟังต่อว่า 30 กว่าปีที่แล้ว ถือเป็นยุคทองของวงการกีฬามวยไทย ไม่ว่าจะเวทีเล็กหรือใหญ่ ข้างสนามทั้งสี่ฟากล้วนเต็มไปด้วยแฟนมวยรุมล้อม ด้วยความที่พ่อพาไปคลุกคลีในสนามมวยบ่อยเข้า นานวันจึงกลายเป็นความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้โดยปริยาย 

“30 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะสนามมวยเวทีลุมพินีหรือราชดำเนินก็มีคนเชียร์เต็มสนาม แต่สำหรับผมจะคลุกคลีกับเวทีลุมพินีมากกว่า เพราะคุณพ่อเป็นโปรโมเตอร์ที่นั่น ช่วงนั้นถือเป็นยุคทองของมวยไทย อย่างค่าตัวนักมวยบางคนได้ถึงหลักแสนซึ่งถือว่าเยอะมาก 

“แต่มันก็มีเรื่องของการพนัน เรื่องของมาเฟียเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นด้านมืดที่ถามว่ามีไหม ก็ต้องตอบว่ามีจริง ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียวเขาเลยไม่อยากให้เรายุ่งเกี่ยววงการนี้เท่าไหร่ เขาเลยตัดสินใจส่งเราไปเรียนต่างประเทศ”

แม้จะย้ายไปเรียนต่อไกลถึงเมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐฯ แต่เส้นทางระหว่างมวยและอริยะวัฏกลับมาบรรจบกัน เมื่อบรรจงที่ย้ายตามมาใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ตัดสินใจเปิดค่ายมวย Fairtex ที่นั่น เหตุนี้อริยะวัฏจึงได้ใกล้ชิดกับกีฬามวยที่รักอีกครั้ง 

และต่อมาในปี 2523 Fairtex สาขาหลักที่ไทยยังเป็นค่ายมวยเจ้าแรกๆ ในประเทศที่เปิดรับฝึกสอนมวยไทยให้ชาวต่างชาติ จึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าค่ายมวยแห่งนี้เป็นหัวหอกสำคัญในการบุกเบิกมวยสู่สายตาชาวโลกทั้งในประเทศและนอกประเทศ  

จนกระทั่งอายุ 30 ปี อริยะวัฏได้กลับมาช่วยที่บ้านบริหารธุรกิจอีกครั้ง เขาดูแลในฝั่งโรงงานสิ่งทอที่หันมาผลิตอุปกรณ์กีฬามวยเพิ่มเติม เจ้าตัวอธิบายว่าจุดเด่นของอุปกรณ์กีฬามวยที่ผลิตโดยแฟร์เท็กซ์ คือความพิถีพิถันที่แทบจะทำด้วยกรรมวิธีแฮนด์เมดทุกขั้นตอน 

ด้วยคุณภาพของสินค้าทำให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก ทำให้มีการส่งออกในประเทศ 60% และส่งออกนอกประเทศ 40% และกลายเป็นรากฐานที่สำคัญของแบรนด์พอๆ กันกับการทำค่ายมวย

ROUND 2
ต่อยอดสู่ Fairtex Sports Club & Hotel สรวงสรรค์ของคนรักมวยไทย

อย่างที่เกริ่นนำในตอนต้นว่าบ้านหลังปัจจุบันของ Fairtex อยู่ที่พัทยาเหนือ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแลนด์มาร์กอย่างวงเวียนปลาโลมา 

จุดประสงค์ของการย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแค่ย้ายมาสร้าง training center ในพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฝึกซ้อมของนักมวยในสังกัด แต่ยังเอื้อต่อการต่อยอดอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นคือ Fairtex Sports Club & Hotel ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างค่ายฝึกซ้อมมวยและโรงแรมด้วยกันนั่นเอง

“พัทยาเป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกมาพักผ่อน ข้อดีคืออยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีสถานที่เที่ยว มีที่ช้อปปิ้ง มีนักท่องเที่ยวมาตลอด ไม่ใช่แค่ช่วงไฮซีซั่น เดี๋ยวนี้ยังมีจัดงานเทศกาลสำคัญๆ เช่น มิวสิกเฟสติวัล, สงกรานต์เฟสติวัล, พัทยามาราธอน ฯลฯ มวยไทยเองก็เป็นอีกกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต้องการ เราเลยอยากทำที่พักให้นักท่องเที่ยวเข้ามาฝึกซ้อมหรือซึมซับบรรยากาศมวยไทยของจริง”  

ในฐานะการเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว Fairtex Sports Club & Hotel มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะห้องพักกว้างขวาง เตียงคิงไซซ์นุ่มๆ เฟอร์นิเจอร์หรู สระว่ายน้ำ ห้องบริการอาหาร ฯลฯ แต่ที่มากกว่านั้น คือการวางสัดส่วนพื้นที่ฝึกซ้อมและเทรนนิ่งสำหรับคนที่อยากมาลองเรียนมวยไทยจริงๆ

“ตอนที่เราเริ่มทำ Fairtex Sports Club & Hotel แรกๆ เราทำเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นตลาด niche แต่ปัจจุบันมวยไทยกลายเป็นเทรนด์กีฬาที่ได้รับความนิยม เราเลยปรับเปลี่ยนทิศทางให้ตอบโจทย์กับการเป็น sport leisure และ sport tourism”

อย่างที่อริยะวัฏว่าไว้ เมื่อมวยไทยกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์กีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจ ภายในพื้นที่ของ Fairtex Sports Club & Hotel จึงถูกปรับให้มีขนาดเหมาะสมมากขึ้น จากตอนแรกที่มีเวทีมวยแค่ 4 เวที ก็ขยับขยายเป็น 9 เวที 

ขณะที่รูปแบบการฝึกสอนเน้นเป็นรูปแบบตัวต่อตัวเพื่อให้นักเรียนที่เป็นมือใหม่ไม่รู้สึกเกร็ง ได้มีเวลาซึมซับศาสตร์ของมวยไทยอย่างแท้จริง และเพื่อให้ครูมวยได้มีเวลาปูพื้นฐานการฝึกสอนมากพอ ส่วนอุปกรณ์นั้นมีเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะนวม เฮดการ์ด สนับเข่า สนับศอก ฟันยาง และกระจับ

“ก่อนจะรับมาฝึกสอน เทรนเนอร์จะต้องถามทุกครั้งว่าเป้าหมายในการมาเรียนรู้ของคุณคืออะไร เคยซ้อมมวยไหม มีรายการที่ต้องขึ้นชกหรือเปล่า เพราะบางคนที่สมัครมาจริงจังถึงขั้นลาออกจากงานมาเป็นนักมวยอาชีพก็มี” 

เหตุนี้ Fairtex จึงมีการวางโปรแกรมฝึกซ้อมจริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการเทิร์นโปร หรือเป็นนักมวยมืออาชีพจริงๆ ที่บินมาเก็บตัวก่อนลงแข่งขัน ซึ่งความจริงจังไม่ได้อยู่แค่บนสังเวียนผ้าใบ แต่หมายถึงโปรแกรมการกิน การนอน และการเวตเทรนนิ่ง ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด โดยที่นี่มีครูมวยมากถึง 20 ชีวิตเพื่อให้พอรองรับกับจำนวนนักเรียนที่มา ที่เลือกลงเรียนตั้งแต่หลักวันจนถึงหลักเดือน

“อย่างเด็กต่างชาติ 2 คน ที่เพิ่งเดินผ่านไป เขาขอพ่อแม่มาซ้อมที่นี่นานเป็นเดือน เพราะเขาชอบมวยไทยมากๆ” อริยะวัฏบอกกับเราด้วยรอยยิ้ม

ROUND 3 
เสน่ห์ของเสื้อผ้าและอุปกรณ์มวยที่ไม่ได้อยู่แค่บนสังเวียน

Fairtex มาจากคำ 2 คำ คือ ‘fair play’ ที่หมายความว่า การเล่นอย่างขาวสะอาด และคำว่า ‘textile’ ที่หมายความว่า สิ่งทอ 

ดังนั้นความตั้งใจของค่ายมวยระดับตำนานนี้จึงไม่ได้ยึดติดอยู่แค่บนสังเวียน แต่แสดงออกผ่านเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาที่ผลิตในนาม Fairtex Equipment สะท้อนผ่านอัตราการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยปีละ 53% โดยปี 2566 คือปีที่ทำรายได้ได้มากถึง 580 ล้านบาท 

นอกจากที่พัทยา รีเทลช็อปของ Fairtex ยังกระจายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวใจกลางกรุงเทพฯ เช่น เมกาบางนา, เดอะมอลล์บางกะปิ, เซ็นทรัลเวิลด์, เทอร์มินอล 21 อโศก, สนามมวยลุมพินี ไปจนถึงหัวเมืองใหญ่ตามต่างจังหวัด เช่น สมุทรปราการ, ภูเก็ต และเชียงใหม่

อริยะวัฏเล่าว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Fairtex Equipment ที่เป็นบริษัทลูกของ Fairtex เติบโต ไม่ใช่แค่คุณภาพการตัดเย็บเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปรับดีไซน์สินค้าให้ทันสมัย อย่างกางเกงมวยที่คอลแล็บกับ PATTA แบรนด์สตรีทแวร์ชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์ หรือนวมมวยที่คอลแล็บกับ APPE ที่มาในลายพรางสุดคลาสสิก

“เราอยากทำให้สินค้าอย่างเสื้อยืดหรือกางเกงมวยไทยสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้คนที่รักกีฬามวยไทยได้แสดงตัวตนออกมา เราเลยพยายามปรับลุคให้มีความเป็นสตรีทแฟชั่นมากขึ้น โดยที่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นไทย

“ขณะเดียวกันการคอลแล็บก็เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ ที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเราได้ เราเลยจับกับแบรนด์สตรีทแวร์ที่เขาอยากสร้างฐานแฟนกลุ่มใหม่ จากที่อยู่แค่ในสนาม ตอนนี้มันเลยกลายเป็นกระแสที่คนทั่วโลกเห็น หรือแม้แต่การให้ศิลปินชื่อดังอย่างมิลลิ สวมเสื้อผ้ากับอุปกรณ์มวยของเราขึ้นชกก็เป็นอีกวิธีการโปรโมตที่ดี ไม่ใช่แค่กับ Fairtex แต่เป็นการปลุกกระแสให้คนมาสนใจมวยไทยด้วย”

ซีอีโอ Fairtex เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาสินค้าให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งในอนาคตอาจเป็นมากกว่าเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์สวมใส่ออกกำลังกาย แต่เป็นของสะสมที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งทางเม็ดเงินและจิตใจ

“สิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาสินค้าอยู่ตลอด สินค้าที่ออกมาต้องมีดีไซน์ตอบโจทย์กับเทรนด์ ให้คนที่ซื้อไปอยากใช้งาน อยากเก็บสะสมงานของเรา ซึ่งเรามองตลาดส่งออกใหญ่ๆ ไว้ที่ยุโรป อเมริกา และจีน เราไม่หยุดแค่ผลิตอุปกรณ์มวย แต่ยังมีอุปกรณ์กีฬา MMA เทควันโด และยิวยิตสู ซึ่งเป็นกีฬาต่อสู้ที่ผู้คนนิยม”

ROUND 4
ยืนหยัดด้วยความเป็น ‘ครอบครัว’

ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่จนถึงระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินไป มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสัมผัสได้ คือความสบายใจ

ความสบายใจในที่นี้เกิดจากบรรยากาศ ‘เป็นกันเอง’ และ ‘ความจริงใจ’ จากบุคลากรตัวเล็กๆ ครูมวย ไปจนถึงนักมวยอาชีพในสังกัด ผ่านรอยยิ้มและคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าที่นี่เป็นมากกว่าค่ายมวย แต่คือบ้านหลังหนึ่งที่พร้อมต้อนรับแขกเหรื่อ

อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คืออริยะวัฏดูสนิทสนมกับพนักงานและนักกีฬาทุกคน สามารถพูดจาหยอกล้อ แสดงความสนิทสนม ปราศจากการวางมาดเหมือนบรรดาตัวละครนายหัวที่ปรากฏในละครโทรทัศน์ ซึ่งซีอีโอ Fairtex บอกกับเราว่านี่เป็นบรรยากาศที่เขาตั้งใจสร้าง เพื่อให้มวลความสบายใจนี้ส่งต่อจากพนักงานและครูมวยสู่บรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือน

“หลายคนเขาชอบเรียกผมว่าเสี่ยเปรม ผมบอกอย่าเลย เรียกแค่คุณเปรมก็พอ อยากเป็นคนที่ทุกคนอยากเข้าหา ต้องไม่ถือตัว พยายามเข้าใจหัวอกของทุกๆ คน คนงานบางคนอยู่กับเรามา 10 ปี 20 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนตอนนี้เป็นรุ่นลูกที่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน เรามองว่า Fairtex คือครอบครัวที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

อริยะวัฏกล่าวต่อว่ากลุ่มที่ต้องเอาใจใส่มากที่สุดคือนักมวยดาวรุ่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นกำลังหลักของค่ายในอนาคต โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาหรือการวางตัวนอกสนาม เพื่อไม่ให้บรรดานักมวยวัยหัวเลี้ยวหัวต่อหลงระเริงไปกับแสงสีหรือชื่อเสียงจนหมดอนาคต

“นักมวยไทย โดยเฉพาะนักมวยวัยรุ่น มักมาคู่กับปัญหา 2-3 อย่าง ไม่เหล้ายา ก็การพนัน หน้าที่ของเราถ้าเจอนักกีฬาเกเร คือต้องสั่งสอนชี้นำเขาให้ได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างทะเลาะกับแฟนก็ต้องให้คำปรึกษาเขาได้

“นักมวยวัยรุ่นไม่ต่างจากม้าพยศ ถ้าไม่อธิบายให้เขาเข้าใจว่าผิดยังไงเขาก็ยิ่งดื้อ สิ่งที่คุณพ่อและผมบอกกับนักมวยเสมอคือ คุณต้องไม่หลงระเริง ถ้าคุณอดทน ตั้งใจ อนาคตคุณจะออกมาเป็นยังไง เพราะบางสิ่งถ้าพลาดแล้วมันพลาดเลย ถ้าโชคดีคุณอาจพอมีเวลากลับมาแก้ไข แต่ถ้าโชคร้ายคุณเสียแล้วเสียเลย

“ตอนนี้คุณพ่ออายุ 82 แกยังมาค่ายสั่งสอนเด็กๆ ด้วยตัวเองอยู่เลย” เขาเล่าพลางหัวเราะ 

คงจะจริงอย่างที่อริยะวัฏกล่าวมา เพราะนอกจากข้างฝาผนังที่มีรูปของนักมวยที่ประสบความสำเร็จและถ้วยรางวัลมากมาย ยังมีประโยคหนึ่งติดไว้เป็นเครื่องเตือนใจเด่นชัด ใจความว่า 

วินัยที่แย่ ‘จะทำลายพรสวรรค์’ ที่มี

วินัยที่ดีจะ ‘สร้างพรสวรรค์’ ให้คุณ

การที่คุณเห็นบางคนทำบางอย่างได้ดีกว่าคนอื่น อาจไม่ใช่เพราะเขามีพรสวรรค์แต่เกิด แต่เป็นเพราะวินัยต่างหากที่กำเนิดความสามารถให้เขา

ROUND 5
ขับเคลื่อนวงการมวยไทยด้วย ‘ดีเอ็นเอ’ ของนักสู้

“นอกจากโมเดลธุรกิจที่ว่ามา มีอะไรอีกที่ Fairtex ให้ความสำคัญมาโดยตลอด” ผู้เขียนถามอริยะวัฏหลังคุยเรื่องโมเดลธุรกิจของ Fairtex จบ 

ซีอีโอ Fairtex หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาหนักแน่นว่าสิ่งสำคัญที่ค่ายมวยระดับตำนานนี้ให้ความสำคัญคือการทำให้วงการมวยไทยนั้นดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้ไล่ตั้งแต่การปรับภาพลักษณ์วงการมวยไทยให้เป็นกีฬาที่แข่งขันกันด้วยศักดิ์ศรี ตัดสินแพ้ชนะโดยปราศจากเรื่องการพนันมาเอี่ยว หรือการล้มมวยก็ตาม 

แม้แต่เรื่องกฎกติกาการแข่งขันเอง ก็เป็นอีกสิ่งที่เขามองว่าสามารถปรับแก้ไขได้ตามความเหมาะสม ตามความต้องการของคนดูที่เปลี่ยนไปตามกระแส sportstainment ที่ต้องการเสิร์ฟอรรถรสรวดเร็ว   

“ผมเข้าใจนะว่าคนมวยรุ่นเก่าอยากให้มวยไทยคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มวยไทยเองก็ต้องปรับตัวตามไปด้วยโดยที่ยังไม่ลืมรากเหง้า เช่น ถ้าเราจะให้คนดูดูรำไหว้ครูครบทั้ง 12 คู่ คนดูก็อาจจะเบื่อ งั้นเราเก็บพิธีไหว้ครูไว้ในคู่ไฮไลต์ดีไหม หรือมวยไทยที่ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 5 ยก ถ้าเรามีการตัดสินที่เด็ดขาดถูกต้อง ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะหันมาเปิดใจกับกีฬานี้มากขึ้น”

อีกจุดที่น่าสนใจคือการที่ Fairtex จับมือเป็นพันธมิตรกับ One Championship รายการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก ที่นอกจากจะยกระดับดีกรีความร้อนแรงบนสังเวียน เน้นการแข่งขันแบบหมัดต่อหมัด ถึงพริกถึงขิงแล้ว ยังมีการร่วมกันจัดรายการ Road to One เพื่อเปิดโอกาสให้นักมวยรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ และก้าวไปสู่การเป็นนักมวยอาชีพในอนาคต นับเป็นการต่อยอดจากความตั้งใจเดิมของ Fairtex ที่เน้นปั้นนักกีฬาดาวรุ่ง โดยเฉพาะนักมวยต่างจังหวัดที่ยังขาดโอกาสหลายด้าน

“ผมว่าคนมวยทุกคนต่างมีไอเดีย เพียงแต่เราต้องคุยกันจริงจังว่าจะเอาไอเดียเหล่านั้นมาพัฒนายังไงให้เกิดขึ้น จะส่งต่อ จะจุดประกายสิ่งเหล่านี้ไปถึงนักกีฬารุ่นใหม่ยังไง” อริยะวัฏกล่าว

“นิยามได้ไหมว่าสิ่งที่ Fairtex กำลังดำเนินอยู่คือดีเอ็นเอของแชมป์เปี้ยน” ผู้เขียนถามทิ้งท้าย

“ดีเอ็นเอแชมป์เปี้ยนหรอ ผมว่าสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ต้องเรียกว่า ‘ดีเอ็นเอของนักสู้’ มากกว่า ถ้าไม่สู้ รอแต่พึ่งดวงก็คงไม่มาถึงตรงนี้” อริยะวัฏกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

Kaew Pilates ที่อยากให้พิลาทิสสนุก เข้าถึงได้ กับ YPS คลับที่มีเพียงเสื่อผืนก็เล่นได้

ย้อนไปสัก 10 ปีที่แล้ว ถ้าพูดว่าจะไปออกกำลังกาย คุณจะไปสถานที่ไหนและนึกถึงกิจกรรมอะไรบ้าง

บางคนอาจจะคิดถึงการเข้ายิม ไปยกเวตหรือคาร์ดิโอ

บางคนอาจจะคิดถึงการไปวิ่งในสวนสาธารณะ

แต่ในยุคปัจจุบันที่คนเริ่มใส่ใจตัวเองมากขึ้น เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้คนเริ่มสนใจในศาสตร์ต่างๆ ที่ต้องใช้ตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวมากขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพิลาทิสถึงกลายเป็นหนึ่งในการออกกำลังกายยอดฮิตของหนุ่มสาวสมัยนี้

“พิลาทิสมีเสน่ห์ตรงที่เราต้องรู้จัก posture ของเรา รู้จักสรีระของเรา แล้วทำท่าทุกอย่างแบบพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เป็นกีฬาที่รู้สึกว่าน่ามหัศจรรย์มาก แค่หายใจเข้าแล้วทำท่าหนึ่ง หายใจออกทำอีกท่าหนึ่ง หรือแค่เปลี่ยนมูฟเมนต์และเปลี่ยนการหายใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันแล้ว”

คำกล่าวจาก แก้ว–ธัญวษกา นวัตธามกุล หรือที่สายพิลาทิสทั้งหลายรู้จักกันในนามครูแก้ว ผู้ก่อตั้ง Kaew Pilates Studio สตูดิโอพิลาทิสชานเมืองขวัญใจชาวฝั่งธนฯ ที่ขึ้นชื่อเรื่องอุปกรณ์หลากหลาย มีคลาสพิเศษที่น่าสนใจมากมาย เช่น เล่นพิลาทิสจิบไวน์ เล่นพิลาทิสจิบมัทฉะ

ลีลาการสอนยังเข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และไม่ว่าสภาพร่างกายแบบไหนก็ฝึกพิลาทิสได้ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Everyday Pilates for Everyone’ ไม่นานมานี้เธอยังก่อตั้ง YPS Pilates Club คลับสอนพิลาทิสแมตฟรี เพียงพกเสื่อ 1 ผืน น้ำดื่ม 1 ขวด และรองเท้า 1 คู่ไปที่สวนเบญจกิติ เพราะความตั้งใจสูงสุดคืออยากให้พิลาทิสเป็นการออกกำลังที่เข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน

วันนี้เราเพียงแค่อยากชวนครูแก้วสนทนาถึงท่วงท่าการทำธุรกิจสไตล์ Kaew Pilates Studio ในมุมมองของคนที่เล่นพิลาทิสมาเป็น 10 ปี และเห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการนี้มามากมาย ไปจนถึงการปลุกกระแสให้คนหันมาออกกำลังกายแบบไม่ฝืนใจตัวเอง และก่อเกิดชุมชนคนรักพิลาทิส ที่ทำให้คนอยากหยิบเสื่อสักผืนมาวาดลวดลาย เล่นพิลาทิสกันได้ทุกวัน

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสนใจพิลาทิสคืออะไร

ก่อนหน้านี้เราออกกำลังกายอยู่แล้ว เล่นมาทุกสไตล์ เล่นมาทุกอย่าง แต่เราชอบอะไรที่แปลกใหม่ พอได้มาลองเล่นพิลาทิส คิดว่ามันมีเสน่ห์ตรงที่เราต้องรู้จัก posture ของเรา รู้จักสรีระของเรา แล้วทำท่าทุกอย่างแบบพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เป็นกีฬาที่รู้สึกว่าน่ามหัศจรรย์มาก แค่หายใจเข้าแล้วทำท่าหนึ่ง หายใจออกทำอีกท่าหนึ่ง หรือแค่เปลี่ยนการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนการหายใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันแล้ว

เพราะชอบเล่นพิลาทิสเลยมีส่วนให้ตัดสินใจมาเปิดสตูฯ เป็นของตัวเองด้วยไหม

ใช่ค่ะ เราอยากส่งต่อให้คนอื่นได้รู้จักพิลาทิส และรู้สึกเหมือนกันกับเราว่าพิลาทิสเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าฉันต้องเป็นครู ถ้าเป็นครูฉันถึงจะสามารถเผยแพร่จุดนี้ให้คนอื่นรู้จักได้

ประกอบกับตอนนั้นเราจบ certificate ทุกอย่างหมดแล้ว ก็รู้สึกว่าที่เรียนมาทั้งหมดถ้าเราไม่ได้สอน ไม่ได้ฝึกเลย ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา เราก็เริ่มซื้อเครื่องแต่ละเครื่องเข้ามาเรื่อยๆ สมัยก่อนพิลาทิสจะมีอุปกรณ์น้อยมาก มีแค่เสื่อออกกำลังกาย หรืออย่างมากก็แค่ตัวเครื่อง reformer แต่พอเราเรียนจบทุกหลักสูตรแล้ว มีเครื่องหลายๆ แบบแล้ว ก็เริ่มเปิดสอนจนสุดท้ายก็กลายเป็นสตูดิโอที่ชื่อว่า Kaew Pilates Studio

ความยากหรือความท้าทายในการเปิดสตูดิโอช่วงแรกๆ คืออะไร

เมื่อก่อนคนไม่รู้จักว่าพิลาทิสคืออะไร คนชอบคิดว่ามันคือโยคะ หรือยิมนาสติก หรือคือการยืดเหยียดธรรมดาๆ ความท้าทายคือเราจะต้องทำให้เขาเข้าใจถึงศาสตร์ของพิลาทิสและเห็นคุณค่าของมัน

แล้วด้วยความที่เราเริ่มเปิดสตูดิโอจากที่บ้าน เพราะไม่ได้คิดว่าต้องมีสาขาเยอะเหมือนทุกวันนี้ โลเคชั่นก็เลยไม่มีรถผ่าน ไม่มีอะไรเลย เป็นสตูดิโอเล็กๆ ความท้าทายคือคนจะมาไหม คนจะสนใจหรือเปล่า

คุณเปลี่ยนความท้าทายนั้นเป็นโอกาสได้ยังไง

ด้วยวิธีการสอนของเราที่พยายามทำสิ่งยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะคนที่เดินเข้ามาเล่นพิลาทิสหรือคนเดินเข้ามาออกกำลังกาย บางคนเขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์กีฬาหรือไม่ได้เป็นคุณหมอที่เขาจะรู้ posture จะรู้ว่ากระดูกซี่นี้เรียกว่าอะไร กล้ามเนื้อมัดนี้เรียกว่าอะไร เขารู้แค่อก หลัง ไหล่แค่นั้น เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจง่ายๆ 

พอคนรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากเหมือนที่คิด พอฝึกไปเขาก็จะเข้าใจง่าย ผลลัพธ์เลยเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

เป็นเหตุผลที่คุณนิยาม แก้วพิลาทิส ว่าเป็น ‘Everyday Pilates for Everyone’ ด้วยไหม

เราอยากให้ทุกคนรู้สึกว่าสามารถออกกำลังได้ทุกวัน เพราะหลายๆ คนอาจจะคิดว่าแค่ออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงต่อวัน อย่างมากก็ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-4 วัน ก็อาจแก้ปัญหาร่างกายที่มีได้ แต่ที่จริงแล้วพอคุณกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม อาการหรือปัญหานั้นๆ ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี

เพราะฉะนั้นพอออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราก็อยากให้เขากลับไปออกกำลังกายต่อได้ทุกวัน ถึงแม้จะไม่ได้เดินเข้าสตูดิโอก็ตาม มันถึงจะเห็นผลมากที่สุด เลยมาสู่คำว่า Everyday Pilates for Everyone เพราะอยากให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานการณ์ และไม่ว่าสภาพร่างกายจะเป็นยังไงก็ฝึกพิลาทิสได้

หัวใจสำคัญที่ทำให้ Kaew Pilates Studio แตกต่างไม่เหมือนใครคืออะไร

สิ่งที่เรารู้สึกว่าแตกต่างคืออุปกรณ์ที่หลากหลาย เป็นความตั้งใจของเราตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มเปิดสตูดิโอ ว่าจะต้องมีอุปกรณ์ครบทุกอย่าง มันมาจากที่ส่วนตัวเราเป็นคนเบื่อง่าย ประกอบกับอยากให้เป็นไปตามคอนเซปต์คือ Everyday Pilates for Everyone อยากให้ทุกคนเข้ามาเล่นพิลาทิสได้ทุกวัน ถ้ามาแล้วเจอเครื่องเดียวทุกวันคนก็เบื่อ

วันนี้อาจจะเน้นยืด บางวันอาจจะเล่นเพิ่มความแข็งแรง บางวันอาจจะเสริมความบาลานซ์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถเดินเข้ามาในสตูดิโอเราได้ทุกวัน โดยที่ได้รับประสบการณ์ในแต่ละวันแตกต่างกัน ได้ฝึกกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน

ตอนนี้เราเลยมีทั้งเครื่อง reformer ที่ออกกำลังกายได้ครบทุกส่วน มี pilates barrel ที่เป็นตัวโค้งๆ เน้นเรื่องการยืด และเสริมสร้างความแข็งแรง มี pilates chair เป็นการฝึกลูกค้าที่มีทักษะขึ้นมาอีกสเตปหนึ่ง แล้วก็ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี เช่น ต้นขา ก้น ทุกคนจะรู้เลยว่าถ้าเจอ chair แล้วขาล้าแน่นอน

ส่วนตัวที่เรามองว่าตอนนี้เริ่มเป็นพระเอก นางเอกของหลายๆ คน และพิลาทิสดังเพราะเครื่องนี้เลยก็คือ pilates cadillac เหมือนพวกที่ดาราเขาชอบทำท่าสวยๆ ตัวนี้เป็นมัลติฟังก์ชั่นที่ยืดได้ และได้ความแข็งแรงของร่างกายด้วย ซึ่งต้องฝึกเบสิกมาก่อนถึงจะทำท่าต่างๆ แล้วรู้ว่ามัดกล้ามเนื้อเราถูกใช้งานได้อย่างเต็มที่

แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ได้เรียนพวกเบสิกมา เราก็ทำท่าพวกนั้นได้ แต่จะเป็นการทำท่าที่ไม่ชาเลนจ์มาก วิธีการสอนก็จะแตกต่างกัน ต่อให้เป็นท่าเดียวกัน คุณสามารถถ่ายรูปทำท่าในช็อตเดียวกันได้ แต่กว่าที่คุณจะทำท่าไปถึงจุดที่คุณถ่ายรูปได้สวย ความรู้สึกจะต่างกันเลย

เรายังมีเครื่องจำลองการเดิน มาจากที่เราเห็นว่าพื้นฐานการเดินนี่แหละที่สำคัญ เพราะถ้าเราเดินทิ้งน้ำหนักไม่ถูกที่ ก็อาจจะลามไปถึงหัวเข่า ทำให้เจ็บสะโพก เจ็บหลัง ไหล่เบี้ยว หลังคด ทั้งหมดก็เริ่มได้จากการเดินให้ถูกต้อง

เห็นว่ามีทั้งกรุ๊ปคลาสและไพรเวตคลาสด้วย ความแตกต่างของ 2 คลาสนี้คืออะไร

ไพรเวตเป็นการเรียนแบบตัวต่อตัวที่เราพยายามจัดสรรห้องต่างๆ ให้เป็นห้องที่ไพรเวตจริงๆ คือแบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน แล้วก็มีอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องมากกว่า 1 เครื่อง เพื่อที่เวลาลูกค้าเข้ามาเขาอาจจะได้เล่นในห้องที่ 1 เจออุปกรณ์แบบนี้ พอเข้าห้องที่ 2 เจออุปกรณ์แบบนี้ จะได้พัฒนาร่างกายให้มากขึ้น

ใน 1 ชั่วโมง ครูผู้ฝึกสอนจะอยู่กับลูกค้า 1 คน ทำให้ปรับโปรแกรมต่างๆ ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น วันนี้ลูกค้าอาจจะมีอาการบาดเจ็บมา วันนี้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวตึงเพราะไปวิ่งมา หรือวันนี้อยากยืดแต่ขา ก็สามารถบอกครูผู้สอนได้เลย ห้องไพรเวตยังเอาไว้รองรับบุคคลที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น คนที่เป็นกระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังปลิ้น เป็นคนท้อง หรือว่าผู้สูงอายุ ที่บางครั้งเวลาเล่นรวมกับคนอื่น เขาอาจจะเสี่ยงบาดเจ็บได้

ส่วนกรุ๊ปคลาสเราตั้งใจทำให้เป็นกรุ๊ปเล็กๆ ที่มีแค่ 4 คนต่อ 1 กรุ๊ปเท่านั้น เพราะว่าจะได้ดูแลให้ทั่วถึงมากขึ้น ลูกค้าจะได้ไม่รู้สึกว่าฉันเล่นตามเพื่อนไม่ทันจนอาจบาดเจ็บได้ จะทำให้ประสบการณ์หลังเล่นของเขารู้สึกไม่ดี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรุ๊ปคลาสและไพรเวตคลาส คนที่ไม่เคยเล่นสามารถเล่นได้ทั้งคู่ แต่เรา concern ว่าลูกค้าต้องเล่นคลาส foundation มาก่อน เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดี ก็มีโอกาสบาดเจ็บได้อยู่ดี

@capitalreadco

Kaew Pilates Studio กับพิลาทิสแบบใหม่ จิบไวน์ไป เล่นกับน้องหมาไป #Capital #BrandBelief #KaewPilates #แก้วพิลาทิส #พิลาทิส #Pilates @Kaew Pilates Studio #ออกกําลังกาย

♬ original sound – capitalreadco – capitalreadco

นอกจากคลาสปกติแล้ว ทำไมคุณถึงเลือกจัดคลาสพิเศษด้วย

การที่มีคลาสพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลาสเล่นพิลาทิสจิบไวน์ คลาสเล่นพิลาทิสจิบมัทฉะ เราทำตามความชอบของตัวเอง เพราะว่าเราเป็นคนที่จะทำอะไรไม่ได้ ถ้าตัวเองไม่ชอบ เลยรู้สึกว่าทำไมเราไม่ทำในสิ่งที่ชอบ แล้วทำให้สุขภาพดีไปด้วย 

บางคนอาจจะไม่ได้ชอบออกกำลังกาย แต่เป็นสายปาร์ตี้ดื่มไวน์ ซึ่งตัวเราเองก็ดื่มไวน์ตลอด เราก็เห็นทุกคนที่เป็นสายดื่ม ตกกลางวันก็ออกกำลังกาย ถ้าเอามาทำคู่กันก็จะทำให้คนรักสุขภาพมากขึ้น พิลาทิสจะได้เข้าถึงคนได้มากขึ้น ในคลาสนี้เราจะให้คุณทั้งดื่มไวน์แล้วก็เล่นพิลาทิสไปในเวลาเดียวกัน คนจะรู้สึกว่ามันสนุกมากเลยนะ

อย่างตอนนี้ที่มัทฉะเป็นที่นิยมมากๆ เราก็ไปจับมือกับมัทฉะที่เราชอบกิน เพราะเราเป็นคนแพ้กาแฟ ดื่มกาแฟไม่ได้ คลาสนี้ก็กระแสตอบรับดีมาก บางคนอาจจะไม่ได้ชอบพิลาทิส แต่ชอบมัทฉะ พอลองมาเรียนพิลาทิส แล้วเราเพิ่มประสบการณ์เรื่องมัทฉะเข้าไป ได้เรียนรู้ต้นกำเนิดของมัทฉะว่าเป็นยังไง เรียนวิธีตีมัทฉะ ทำเสร็จแล้วก็เอามัทฉะแก้วนั้นมาเล่นพิลาทิสต่อ คนก็จะรู้สึกว่าฉันได้ดื่มเครื่องดื่มที่ชอบ ได้สุขภาพดี และทำให้เขารู้สึกว่ายิ่งรักตัวเองมากขึ้นด้วย

เห็นว่าสาขาส่วนมากอยู่แถวฝั่งธนฯ ทำไมคุณถึงเลือกขยายสาขาในทำเลนี้

ตอนนี้เรามีทั้งหมด 11 สาขา มี 8 สาขาที่อยู่แถวฝั่งธนฯ เพราะส่วนตัวเราเป็นเด็กฝั่งธนฯ ชอบการเดินทางในโซนนี้ เราไม่ชอบการเดินทางเข้าไปในโซนในเมืองที่รถติด ทำให้รู้สึกเหนื่อย แล้วเวลาคนจะเล่นพิลาทิส จะออกกำลังกายที่ไหนก็ต้องฝ่ารถติดเข้าเมือง พอไปถึงก็ขี้เกียจ เหนื่อย หิว อยากกินข้าว จากที่ปกติเขาไปอาทิตย์ละหลายวันพอเจอแบบนี้ก็ไม่อยากไปแล้วยกเลิกคลาส

แต่พออยู่ในโซนบ้านตัวเองหรือเป็นทางผ่านกลับบ้าน สามารถแวะเล่นก่อนกลับบ้านได้ ก็รู้สึกสบายกว่า เวลาเราจะเดินทางไปแต่ละสาขาก็รู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่ลิงก์ต่อกันได้เลย เป็นเส้นบางบอน พระราม 2 เพชรเกษม ตลิ่งชัน ออกไปโซนราชพฤกษ์ เป็นโซนที่เราก็เดินทางไปสอนง่ายด้วย คนก็จะเข้าใจตัวตนของเราและรู้ว่า Kaew Pilates คือสตูดิโอพิลาทิสชานเมืองนะ

นอกจากเปิดสตูฯ เป็นของตัวเองแล้ว ทำไมคุณถึงเลือกทำ YPS Pilates Club

เป็นการตอกย้ำสิ่งที่อยากทำตั้งแต่แรก คืออยากให้คนเข้าถึงพิลาทิสได้ง่ายขึ้น ในเมื่อเราทำสตูดิโอแล้ว แต่บางครั้งคนก็ยังกลัวว่าฉันจ่ายตังค์ไปเล่น ฉันจะโอเคกับมันหรือเปล่า แล้วคลาสพิลาทิสก็ไม่ได้ราคาถูก เราไม่สามารถลดราคาลงไปต่ำกว่านี้ได้แล้ว

การเปิด YPS Pilates Club ให้คนมาเล่นพิลาทิสฟรี ก็เหมือนเป็นการโปรโมตให้คนเข้าถึงพิลาทิสได้ง่าย คนจะได้รู้ว่าเล่นแล้วสนุกไหม ได้รู้จักพิลาทิสมากขึ้น ถ้าเขารู้สึกว่าฉันชอบพิลาทิสแล้วนะ ก็ไปเล่นต่อตามสตูดิโอแถวบ้านเขาก็ได้

กิจกรรมที่เราจัดก็เน้นตอบโจทย์คนเมือง จัดสถานที่ในใจกลางเมือง แต่ละสัปดาห์จะสอนไม่เหมือนกัน บางสัปดาห์จะเป็นออฟฟิศซินโดรม บางสัปดาห์เป็น Sexy Line บางสัปดาห์เป็นแนว Burn, Lean, and Tone เป็นกิจกรรมที่เราคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณเอาแค่เสื่อผืนเดียว รองเท้า 1 คู่ ผ้าเช็ดหน้า 1 ผืน น้ำดื่ม 1 ขวดมาแล้วออกกำลังกายได้เลย

YPS Pilates Club ของคุณดูเหมือนเป็นการสร้างคอมมิวนิตี้ด้วย

ใช่ค่ะ เราอยากให้คนรู้สึกว่าได้มาออกกำลังกาย แล้วได้คอมมิวนิตี้ด้วย เพราะว่าจริงๆ ตัวคลับนี้ที่เราตั้งชื่อว่า YPS ย่อมาจาก Your PILATES Sister เหมือนกับว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ก็จะมีพี่สาวน้องสาวอย่างเราที่เราจะคอยไกด์ไลน์การทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้คนรักสุขภาพมากขึ้น

ครั้งแรกที่เราจัดคิดว่ามีคนมาเล่นแค่ 20 คนก็พอใจแล้ว ปรากฏว่าครั้งแรกมีคนมา 100 คน หลังจากนั้นปั๊บกระโดดขึ้นมาเป็น 300 ขึ้นมาเป็น 500 คน ทุกวันนี้เราจัดมา 2-3 เดือนแล้ว มีคนมาเล่นปาไปเกือบ 600 คนใน 1 ครั้ง

เราคิดว่าที่ YPS Pilates Club ได้รับความนิยม มาจากที่คนบอกกันปากต่อปากด้วย เพราะเวลามาถึง จะมีเทรนเนอร์คอยดูแลตลอด เรามีแบ่งโซนเลยว่าคนนี้คอยดูแลโซนนี้นะ เพราะว่าเราต้องสอนโดยที่ห้ามใช้ลำโพง ห้ามมีเครื่องเสียง เราก็เลยยอมลงทุนใช้ครูในสตูดิโอของเรามาช่วยสอน มาคอยจัดท่า เพราะไม่ใช่ว่ามีคนนำอยู่ข้างหน้าแล้วใครจะทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวเสี่ยงบาดเจ็บได้

เรารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปสอน มันเติมเต็มแพสชั่นให้กับเรา ครูทุกคนก็รู้สึกเหมือนได้เติมเต็มหัวใจ ทุกวันนี้ต้องตื่นตี 5 เพื่อไปต้อนรับคนที่มาเล่นในคลับ บางคนกลับมาสอนต่อ แล้วตอนกลางคืนก่อนไปสอนเรามีซ้อมท่ากันด้วย พอไปถึงเห็นลูกค้าเล่นเสร็จแล้วมีความสุข เราก็แฮปปี้นะ

ทุกคนมีรอยยิ้มให้แก่กัน เราเห็นมีคนที่กลายเป็นเพื่อนกันจากในคลับนี้ แล้วเรามีนัดธีมสีชุดกัน บางคนก็มีการบอกว่าคนนี้ไม่เตรียมเสื้อสีนี้มา ฉันเอามาให้ยืมได้นะ บ้านอยู่ตรงไหนแวะรับได้นะ เล่นเสร็จมีนัดไปกินข้าวกันต่อ

ช่วงก่อนหน้านี้ฝนตกตลอด บางครั้งเราก็ยกเลิกกิจกรรม บางครั้งก็จัดต่อ พอเราไปถึงปุ๊บมีคนยืนรอให้ฝนหยุด กลายเป็นว่าฉันไม่รู้จักเธอ เธอไม่รู้จักฉันนะ แต่ช่วยกันเอาเสื้อมาคลุมกันฝน บางคนเอาร่มมากางให้ เป็นภาพที่น่ารักมาก ครูทุกคนก็ไม่ถอย อยู่รอจนฝนหยุด สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้เล่นนะ เพราะฝนตกจนน้ำท่วมสนามหญ้า แต่ทุกคนก็แฮปปี้

กลายเป็นว่าหลายๆ คนยอมไปเล่นทุกสัปดาห์ เพราะอยากเจอพลังงานดีๆ แบบนี้ เรารู้สึกว่ามันเป็นมากกว่าการเล่นพิลาทิส แต่กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่คนรักพิลาทิส แล้วก็ได้ make friends ทำกิจกรรมไปด้วยกัน

คลาสเหล่านี้ถือว่าสำเร็จแค่ไหน เพราะเห็นว่ามีกิจกรรมที่จับมือกับแบรนด์อื่นๆ ด้วย

เราได้คอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Garmin แบรนด์ MizuMi และแบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ เพราะเขาเห็นว่ากิจกรรมของเรากระแสตอบรับดีมาก ถ้าได้มาคอลแล็บกับเราในการทำกิจกรรม ก็จะได้กระจายฐานลูกค้ามากขึ้นด้วย

เพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่เริ่มอยากให้หันกลับมารักตัวเองกันมากขึ้น เหมือนที่เขาชอบบอกกันว่ารักตัวเองไม่เจ็บเลยสักวัน แต่ละแบรนด์ก็อยากทำให้เป็นคอมมิวนิตี้ อยากให้เกิดกิจกรรมของคนรักสุขภาพ ต่อให้เป็นแบรนด์อะไรที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพก็เชื่อมโยงถึงกันได้ เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ คือการใช้ชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน

เหมือนบางคนเวลาแต่งตัวสวยก็อยากไปออกกำลังกาย เหมือนที่เขาบอกว่าถ้าชุดสวยก็มีแรงไปกว่าครึ่ง ถ้าชุดไม่สวยมันรู้สึกว่าไม่อยากมาออกกำลังกาย (หัวเราะ) คือมันก็มีจุดอื่นที่เราสนใจแล้วก็จะดึงเรากลับมาออกกำลังกายได้ด้วย

จากประสบการณ์เหล่านี้ คุณคิดว่าการออกกำลังกายในสมัยก่อนกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

คิดว่าแตกต่างกันตรงที่สมัยก่อนถ้าพูดว่าจะไปออกกำลังกาย ทุกคนจะเดินเข้าไปที่ยิม ไม่ยกเวตก็คาร์ดิโอเพื่อให้ตัวเองสุขภาพดี แล้วหลายๆ คนก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องระวังไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บคืออะไร

แต่พอปัจจุบันคนเริ่มใส่ใจตัวเองมากขึ้น เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้คนเริ่มสนใจในศาสตร์ต่างๆ ที่ต้องใช้ตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ไม่ใช่ออกกำลังแล้วใช้แต่แรงอย่างเดียว

พอช่วงหลังที่พิลาทิสเข้ามา ก็ตอบโจทย์คนที่อยากหุ่นลีน แต่ว่าไม่อยากยกเวตหนักๆ และยังมีความเหนื่อยจากข้างใน ซึ่งความเหนื่อยนี้ถ้าคนไม่เคยลองเล่น ก็จะอธิบายไม่ได้จริงๆ ว่าเหนื่อยแบบไหน ต้องมาลองดูแล้วจะรู้สึกว่าลีนจากข้างในเป็นยังไง กล้ามเนื้อบางมัดที่ถูกใช้เราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกล้ามเนื้อมัดนี้อยู่ในร่างกายด้วยเหรอ

ในอนาคตคุณอยากเห็น Kaew Pilates และ YPS Pilates Club เติบโตไปในทิศทางไหน

เราอยากให้คนรู้จักมากขึ้นกว่าเดิม อยากจะใส่กิจกรรมต่างๆ เข้าไป เพื่อให้ lively มาขึ้น แล้วก็ตอบโจทย์กลุ่มคนในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้คนรู้สึกว่ามาเล่นพิลาทิสแล้วสนุกไปกับมัน มีคลาสหลากหลายไม่น่าเบื่อ

ส่วน YPS Pilates Club ก็รู้สึกว่าน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ อยากจะเห็นภาพคอมมิวนิตี้ที่แข็งแรงมากขึ้น จากตอนแรกที่เราจัดแค่ตอนเช้า เดี๋ยวนี้ก็มีจัดตอนเย็นเพิ่มขึ้นมา แล้วก็มีแผน on tour ไปตามสวนต่างๆ เพื่อกระจายให้คนเข้าถึงได้ง่าย เข้าใกล้คนได้เยอะขึ้นในหลายๆ จุด

ตอนนี้เรายังแตกไลน์ไปทำอีกแบรนด์ชื่อ BFF เป็นสตูดิโอพิลาทิสที่โลเคชั่นจะเข้าไปอยู่ในเมืองมากขึ้น มีสาขาแรกเปิดที่สุขุมวิท 32 แล้ว สตูดิโอนี้จะแตกต่างจาก Kaew Pilates ตรงที่เราจะชูอีกอุปกรณ์หนึ่ง ที่พกพาได้ เพราะเราเชื่อว่าในเมืองพื้นที่น้อย ถ้าบางคนอยากออกกำลังกายแล้วลงทุนซื้อเครื่องตัวใหญ่ๆ มาไว้ในคอนโดก็ลำบาก เราเลยพยายามชูตัวอุปกรณ์ที่เล็กลง แต่ยังใช้ศาสตร์ของพิลาทิสมาเล่น เน้นความแข็งแรงในการยืดทุกส่วนของร่างกายในเครื่องเดียว แล้วก็อยากขยายแบรนด์นี้ให้เป็นที่รู้จัก 

เหมือนที่ทุกวันนี้คนรู้จัก Kaew Pilates

มุมมองผู้นำองค์กรยุคใหม่กับทางรอดของภาคธุรกิจไทย สู่ยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน

ในโลกที่กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงจากวิกฤตทางธรรมชาติ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการดิสรัปต์ทางเทคโนโลยีมากมาย การหยุดนิ่งทางธุรกิจอาจหมายถึงการถอยหลัง และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งยุคที่ปั่นป่วนจึงกลายเป็นหัวใจของการอยู่รอดอย่างยั่งยืน  ภายใต้แนวคิดนี้ ธนาคารกสิกรไทยจึงจัดงาน EARTH JUMP 2025 : Transition Thru Turbulence เพื่อชวนภาคธุรกิจไทยกระโดดข้ามความไม่แน่นอนและมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

งานครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเพียงสร้างความเข้าใจเรื่อง ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ในเชิงทฤษฎี แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนบทเรียนและแนวทางการเปลี่ยนผ่านจริงจากองค์กรหลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เคยถูกดิสรัปต์อย่าง SCGP ไปจนถึงธุรกิจค้าปลีกอย่างเซ็นทรัลพัฒนา และสถาบันอุดมศึกษาที่พัฒนาระบบจัดการขยะด้วยตนเองอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นด่านหน้าของการบริหารจัดการขยะในเมืองใหญ่ ทุกกรณีล้วนตอกย้ำว่า ทางรอดของธุรกิจไม่ได้อยู่ที่การหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลง แต่อยู่ที่การยอมรับ เรียนรู้ และลงมือปรับตัวอย่างเป็นระบบ

โดยผู้บริหารระดับสูงอย่าง คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงความจำเป็นในการ ‘เดินหน้าต่อแม้ไม่รู้ว่าพายุข้างหน้าจะรุนแรงแค่ไหน’ ไปจนถึงนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และภาคการเงินที่ร่วมผลักดันเครื่องมือใหม่ๆ ทั้งการวัดคาร์บอนฟุตปรินต์ การออกแบบซัพพลายเชนหมุนเวียน ไปจนถึงระบบ Green Finance ที่เอื้อต่อการลงทุนเพื่อความยั่งยืน งาน EARTH JUMP 2025 จึงไม่ใช่แค่งานฟอรั่มด้านความยั่งยืน แต่เป็นจุดกระโดดของการเปลี่ยนผ่านอย่างจริงจังของประเทศไทย สู่เศรษฐกิจที่ไม่หวังแค่อยู่รอดแต่อยากยืนหยัดได้ในระยะยาวท่ามกลางโลกที่ผันผวนยิ่งกว่าที่เคย

Forget Everything And Run or Face Everything And Rise 

คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งความแปรปรวน (Transition to Turbulence) ว่า วันนี้ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายจากรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่าง AI โรคระบาด ภาวะโลกร้อน และภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า และคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ทางเลือกเดียวคือการเดินหน้า เพราะการหยุดนิ่งเท่ากับการถดถอย

คุณขัตติยาจึงกล่าวถึงคำว่า F.E.A.R ว่าแปลได้สองแบบ Forget Everything And Run หรือ Face Everything And Rise และเราต้องเลือกเองว่าจะหนีหรือลุกขึ้นสู้และเปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นพลังในการก้าวต่อ สิ่งที่ธุรกิจสามารถเตรียมตัวเพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคแห่งการปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ คือการใช้เครื่องมือที่ทรงพลังในการการประเมินสุขภาพขององค์กร (Health Check) ตั้งเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก (Commitment) และหาวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Solutions) ทั้งนี้คุณขัตติยาทิ้งท้ายว่า เราอาจไม่สามารถควบคุมความแปรปรวนได้ทั้งหมด แต่สามารถใช้ความรู้และความกล้าหาญในการคาดการณ์และบริหารจัดการ เตรียมตัวให้พร้อม และอยู่ให้มั่นท่ามกลางพายุ (stay true in the storm) ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ด้วยพลังแห่งความเชื่อที่ทรงพลังว่าเราสามารถ Face Everything And Roar ได้ 

From Paper to Plastic Bag Disruption 

คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP เล่าย้อนถึงเส้นทางกว่า 30 ปีของธุรกิจที่เริ่มต้นจากการผลิตถุงกระดาษในยุคที่ยังต้องพึ่งพาการตัดไม้และใช้พลังงานสูง ก่อนจะเผชิญแรงดิสรัปต์จากถุงพลาสติกที่บางเบาและกันน้ำได้ดีกว่า แม้พลาสติกจะเคยเป็นนวัตกรรมแห่งยุค แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลับกลายเป็นต้นตอของปัญหามลภาวะทางทะเลในระดับวิกฤต SCGP จึงปรับทิศทางธุรกิจด้วยแนวคิด resource recovery ที่มุ่งเป้าให้วัสดุสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ถึง 90% พร้อมเดินหน้าผ่านระบบซัพพลายเชนแบบหมุนเวียนโดยอาศัยพลังจากธรรมชาติ เช่น ลม น้ำ และแสงแดด เพื่อรองรับอนาคตที่ยั่งยืน

ในฐานะผู้เล่นหลักในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค คุณวิชาญชี้ให้เห็นว่า พลาสติกคือหนึ่งในวัสดุที่แยกประเภทได้ยากด้วยสายตา จึงจำเป็นต้องสร้างระบบรองรับการคัดแยกที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้สำหรับคนทั่วไป SCGP จึงแนะนำระบบถังขยะ single stream ที่แยกขยะออกเป็นเพียงสองประเภท ได้แก่ ขยะอินทรีย์ (เช่น เศษอาหาร) และขยะรีไซเคิลประเภทอื่นๆ รวมกันในถังเดียว เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มโอกาสในการแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าพัฒนาวัสดุทุกประเภทให้สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับระบบ

Sustainability Ecosystem in Retail 

เซ็นทรัลเป็นธุรกิจรีเทลที่สร้างพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ทำให้คุณอุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาที่ยั่งยืน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่าคำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง ในเมื่อลูกค้าล้วนผลิตขยะใหม่ในแต่ละวัน แนวทางหนึ่งที่เริ่มต้นขึ้นคือความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการจัดการขยะอินทรีย์ โดยเปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นพลังงานชีวภาพ (biogas) และสารปรับปรุงดิน ซึ่งถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์และวางจำหน่ายในศูนย์การค้า ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลเส้นตรงแบบเดิม สู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมแยกขยะอย่างจริงจัง ผ่านความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์สตาร์ทอัพและองค์กรอย่าง SCGP โดยเริ่มทดลองในศูนย์การค้าขนาดเล็ก และพบว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดคือการออกแบบถังขยะที่สื่อสารกับคนทั่วไปให้เข้าใจง่าย เช่น ถังติดป้ายรูปขวด ซึ่งช่วยให้ได้ขยะขวดพลาสติกคุณภาพดีสำหรับรีไซเคิล ต่อเนื่องไปจนถึงการจัดตั้งจุด drop-off และร้านรีไซเคิลในหลายสาขา พร้อมระบบแอพพลิเคชั่นให้ความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะอย่างถูกวิธี ความร่วมมือทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกันภายใต้แนวคิด Green Partnership ที่ไม่เพียงช่วยประหยัดพลังงาน แต่ยังทำให้วัสดุต่างๆ ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงในทุกขั้นตอน

Waste Management Model of University 

ในบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา รศ.ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล่าว่า ทางมหาวิทยาลัยได้ให้ความสนใจกับการจัดการสิ่งแวดล้อมมายาวนานกว่า 40 ปี แทนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการให้องค์กรอื่นช่วยจัดการขยะเหลือทิ้ง มหาวิทยาลัยได้พัฒนาแนวทางนำขยะมาแปลงเป็นพลังงาน ผ่านการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรขึ้นเอง โดยสามารถรองรับการจัดการขยะได้ถึง 30 ตันต่อวันโดยปราศจากกลิ่นและแมลงรบกวน ดูแลระบบจัดการขยะทั้งหมดภายใต้แนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เองโดยไม่เป็นภาระแก่เทศบาลภายนอก

ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา ระบบนี้ได้รับการเสริมพลังจากภาคเอกชน เช่น CPN และการมีส่วนร่วมจากชุมชนโดยรอบ ขยะอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้จะถูกนำไปหมักเพื่อผลิตก๊าซมีเทนใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ปั่นไฟ หรือแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงให้แก่ชุมชน ขณะที่กากที่เหลือจะนำไปใช้เป็นปุ๋ยสำหรับปลูกข้าวและผัก นอกจากนี้ ขยะพลาสติกที่บูดเน่าเสียก็ยังสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมัน หรือใช้ทำถนนต้นแบบภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยเอง เพื่อส่งเสริมให้เห็นว่าแม้สิ่งที่ถูกมองว่าเป็น ‘ของน่ารังเกียจ’ อย่างขยะ หากมองให้ดีและจัดการเป็น ก็สามารถเปลี่ยนเป็น ‘ของมีค่า’ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง 

City of Partnership  

คุณพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงแนวคิดสำคัญของ กทม.ในการจัดการปัญหาขยะอย่างยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่า เศษอาหารคือผู้ร้ายตัวจริงของระบบการคัดแยกในเมืองหลวง จากปริมาณขยะวันละกว่า 9,000 ตัน มีถึงเกือบครึ่งที่เป็นเศษอาหารซึ่งเมื่อปะปนกับขยะรีไซเคิล ทำให้ทรัพยากรที่ควรมีมูลค่ากลับไร้ประโยชน์ กทม.จึงเร่งพัฒนาแนวทางจัดการที่ชัดเจน ตั้งแต่การแจกถุงขยะสีเขียว ส่งเสริมให้ประชาชนแยกขยะอินทรีย์ไปจนถึงใช้แรงจูงใจ เช่น ลดค่าธรรมเนียมรายเดือนจาก 60 บาท เหลือ 20 บาท หากบ้านเรือนสามารถแยกขยะตามเกณฑ์ได้

ในภาพรวม กทม.ทำหน้าที่รณรงค์การจัดการขยะจากแหล่งกำเนิดขยะในย่านต่างๆ จำนวน 50 เขต เน้นสนับสนุนให้พื้นที่สาธารณะในย่านต่างๆ อย่าง ตลาด ห้าง โรงเรียน สามารถกำจัดขยะในพื้นที่จากต้นทางได้ด้วยตัวเอง เช่น การจัดการเศษอาหารด้วยเทคโนโลยีหมักปุ๋ยหรือนวัตกรรมหนอนแมลงกินขยะ โดยนอกจากนี้ยังรณรงค์ให้คนเมืองลบภาพจำเก่าที่เชื่อกันว่า แม้แต่ละบ้านจะแยกขยะแล้ว แต่ กทม.ก็นำขยะไปเทรวมอยู่ดี ซึ่งคุณพรพรหมกล่าวว่าปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการส่งเสริมการวางระบบจัดการขยะอย่างครบวงจรให้คนเมืองเห็นภาพ ทั้งการที่ กทม.มีโรงหมักปุ๋ยและโรง biogas ของตัวเอง รวมถึงการรณรงค์เรื่องการจัดการขยะรีไซเคิลอย่างจริงจัง

Measure Your Carbon Emission 

คุณกลอยตา ณ ถลาง กรรมการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ From Emission to Slimmer Carbon Footprint โดยเปรียบกระบวนการลดคาร์บอนในธุรกิจเหมือนกับการลดน้ำหนักของคน ซึ่งเริ่มต้นจากการเข้าใจความเสี่ยงที่ธุรกิจเผชิญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ความเสี่ยงในการส่งออกหรือภาษีคาร์บอนข้ามแดน เปรียบได้กับโรคประจำตัวที่ต้องรู้เท่าทัน ก่อนจะเริ่มลงมือเปลี่ยนแปลง ธุรกิจจำเป็นต้องวัดผลคาร์บอนอย่างจริงจัง เปรียบคล้ายการชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอวก่อนวางแผนลดน้ำหนัก โดยสามารถรู้ตัวเลขคาร์บอนของธุรกิจตัวเองจากแหล่งต่างๆ เช่น พลังงาน ขยะ และการขนส่ง

ในการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนนั้นสามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ทันที เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้วัสดุหรือพลังงานในกระบวนการที่ง่ายก่อน เหมือนที่เวลาลดน้ำหนักสามารถเริ่มได้ง่ายๆ จากการเดินให้มากขึ้น หรือลดน้ำตาลในแต่ละวัน และหากต้องการให้ได้ผลในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ เปรียบเหมือนการเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งครอบครัวให้ดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันธุรกิจควรเตรียมพร้อมสำหรับระบบการเงินสีเขียวและการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเปรียบได้กับการจดบันทึกไดอารีหรือสมัครฟิตเนส เพื่อให้เข้าถึงแหล่งทุนและคำแนะนำที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้คือกลไกสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจลดคาร์บอนฟุตปรินต์ได้อย่างมีเป้าหมายและเป็นรูปธรรม

ESG is Long-term Investment 

คุณอภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปรียบบทบาทของหน่วยงานว่า หากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคือผู้ให้คำปรึกษาเรื่องการลดน้ำหนัก สสว.ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก และยังช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลดน้ำหนักด้วย ในฐานะหน่วยงานรัฐ สสว.ไม่ได้เพียงแต่นำนโยบายหรือมาตรการต่างๆ มาขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เช่น บริการตรวจวัดคาร์บอนและที่ปรึกษาด้านการจัดการพลังงาน เพื่อให้การปรับตัวของภาคธุรกิจเกิดขึ้นได้จริง

จากผลสำรวจของ สสว.ซึ่งศึกษาพฤติกรรมของผู้ประกอบการ SME ขนาดกลาง พบว่า มีเพียงประมาณ 25% เท่านั้นที่นำแนวคิด ESG หรือการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาปรับใช้ แม้สัดส่วนจะยังไม่สูง แต่ สสว.มองว่าความยั่งยืนไม่ใช่ภาระต้นทุน แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคต เพราะแนวโน้มของเศรษฐกิจในระดับโลกกำลังขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด และความรับผิดชอบต่อสังคม การเริ่มต้นปรับตัวตั้งแต่วันนี้จึงเป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในระยะยาว

Sustainability Education Platform & Program 

ศ. ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน และรองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความท้าทายในการสนับสนุนระบบความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยหลายมิติที่ยังเป็นช่องว่างสำคัญ ทั้งด้านเครือข่ายที่ยังไม่มีโครงสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบระหว่าง SME ผู้ประกอบการรายใหญ่ และหน่วยงานวิชาการ ขาดเวทีการเรียนรู้ร่วมกันหรือระบบประเมินผลที่ชัดเจน เช่น Green KPI ขณะเดียวกันในมิติของความรู้ ก็ยังพบว่าผู้ประกอบการจำนวนมากยังขาดความสามารถในการเข้าถึงและใช้ข้อมูลด้านคาร์บอนฟุตปรินต์ และ ESG Indicator อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังขาดทรัพยากรทั้งในรูปขององค์ความรู้ เครื่องมือสำเร็จรูป ไปจนถึงการขาดนโยบายที่สนับสนุนอย่างชัดเจน แม้ประเทศไทยจะประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 แต่กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคาร์บอนยังไม่มีผลบังคับใช้ที่เป็นรูปธรรม

เพื่อรับมือกับช่องว่างเหล่านี้ สถาบัน CBIS (Center for Building Infrastructure for Sustainability) ได้พัฒนาโครงการและแพลตฟอร์มที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง โดยหนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์ม PIES ซึ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อเสริมทักษะสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน และโครงการ Learn Do Share ที่เปิดพื้นที่ให้นิสิตได้ลงมือปฏิบัติจริงผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรนำร่อง ในการประเมินการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินต์ขององค์กร ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาคการศึกษา แต่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่ขับเคลื่อนความรู้ไปสู่การลงมือทำในระดับธุรกิจ

Green Solutions of KBank  

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวสรุปว่า บทบาทของธนาคารในวันนี้ได้ก้าวข้ามการเป็นเพียงสถาบันการเงิน แต่พร้อมเป็นพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างภาคธุรกิจตลอดเส้นทางสู่ความยั่งยืน (Customer Transition Journey) โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และองค์ความรู้ผ่าน Creative Climate Research Center ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภูมิอากาศอย่างครบวงจร ตามด้วยการวัดคาร์บอนฟุตปรินต์ผ่านระบบ KCLIMATE 1.5 ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และติดตามการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่อยอดด้วยบริการให้คำปรึกษาผ่าน K-Climate ESG Advisory ที่ครอบคลุมตั้งแต่การลดคาร์บอน การประเมินความเสี่ยง การวางแผนกลยุทธ์ คำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน ไปจนถึงการรายงานผลตามมาตรฐานและประเมินระดับความยั่งยืนขององค์กร

ธนาคารยังสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อความยั่งยืนผ่านโครงการ Green Finance สำหรับธุรกิจที่ดำเนินงานด้านพลังงานหมุนเวียน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบขนส่งสะอาด และอาคารสีเขียว พร้อมทั้งผลักดันการใช้เทคโนโลยี climate solution ที่หลากหลาย อาทิ แพลตฟอร์มเช่า EV Bike ที่ชื่อว่า WATT’S UP เว็บไซต์รวมโซลูชั่นเพื่อการใช้ชีวิตอัจฉริยะ K-GreenSpace และแพลตฟอร์ม GreenPass เพื่อขึ้นทะเบียนและขาย REC ซึ่งเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ให้คนที่ติดโซลาร์รูฟท็อป ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของธนาคารกสิกรไทยในการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนในทุกมิติ 

Summary : คู่มือเพื่อธุรกิจที่กรีนยิ่งขึ้น (e-Handbook for Greener SME)

นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยอาจยังไม่ทราบว่าประเทศไทยมีองค์กรด้านความยั่งยืนหลากหลายแห่งที่พร้อมสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ภายในงาน EARTH JUMP 2025 ยังได้มีการเปิดตัวคู่มือ Greener SME Handbook ซึ่งจัดทำโดย Thailand Climate Business Network (ThaiCBN) เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรชั้นนำจากภาคเอกชน ภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคการเงินการธนาคาร ที่รวมพลังกันอย่างเป็นระบบเพื่อขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยสามารถดาวน์โหลดคู่มือ Greener SME Handbook ได้ที่นี่  https://www.kasikornbank.com/k_44EOKR4

ปัจจุบัน ThaiCBN มีสมาชิกจาก 33 องค์กรทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ อาทิ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หอการค้าไทย หอการค้าร่วมต่างประเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ และธนาคารกสิกรไทย โดยแต่ละองค์กรต่างร่วมกันพัฒนาเครื่องมือและแนวทางที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปทดลองใช้จริง จุดมุ่งหมายหลักของเครือข่ายนี้คือการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการประเมินระดับความพร้อมของตนเอง และเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจากพันธมิตรในเครือข่ายเพื่อขยายศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป 

Kids Go Tri ทีมสอนวิ่งและไตรกีฬา เบื้องหลังทุกคนที่อยากวิ่ง และผู้ป่วยที่อยากดีขึ้นในทุกวัน

แม้หลายคนจะมองว่าการวิ่งคือเรื่องสุดสามัญ เพียงแค่สวมรองเท้า ออกไปข้างนอก แล้วก้าวขา กระโดดไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็นับว่าเป็นการวิ่ง กิริยาที่มนุษย์พึงทำได้ไม่ต่างกับเดิน นั่ง หรือกระโดด แต่อย่างใด–แต่ในโลกที่ใครต่อใครก็สามารถวิ่งได้ ถ้าเราอยากพัฒนา อยากเพิ่มขีดความสามารถในการวิ่งล่ะ ควรต้องทำยังไง 

นั่นเป็นเหตุให้ ศตวรรษ แสงอินทร์ หรือ โค้ชแบงค์ เข้ามาจับธุรกิจนี้ในนามชื่อทีม Kids Go Tri  

จากทีมที่ก่อตั้งเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เล่นไตรกีฬาและรักการออกกำลังกายในระยะยาว ด้วยวิธีการฝึกสอนที่สนุก เอาจริงเอาจัง และปรับให้เหมาะกับนักกีฬารายบุคคล ผสมกับบรรยากาศในทีมที่มีความสนุก เป็นกันเอง และช่วยกันผลักให้ถึงเป้าหมายการวิ่ง 

ปัจจุบัน Kids Go Tri เติบโตอย่างก้าวกระโดด มีนักกีฬาในทีมกว่า 250 คน จนโค้ชแบงค์ต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หันมาจับธุรกิจตรงนี้อย่างเต็มตัว จากแค่ฝึกสอน กลายเป็นทีมที่สร้างทั้งชุมชนและโอกาสทางธุรกิจ เพราะปัจจุบัน Kids Go Tri แบ่งขาธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน 

ทั้งการฝึกสอนที่เน้นคุณภาพในแบบเฉพาะบุคคล ด้วยการออกแบบตารางฝึกสอนผ่านผลเลือดของนักกีฬา (lactate test) และเป็นทีมออร์แกไนซ์ที่จัดอีเวนต์วิ่งให้แบรนด์ต่างๆ ด้วยฐานนักกีฬาที่หลากหลายและมีคุณภาพ อีกทั้งยังเจาะตลาดกลุ่มนักวิ่งทั่วไป ด้วยการขายสินค้าสำหรับวิ่งที่ควรมีติดตัวไว้

ในช่วงเช้าตรู่ ที่สวนแห่งหนึ่งย่านชานเมือง Capital นัดโค้ชแบงค์มาร้อยเรียงเรื่องราวตั้งแต่วันแรก ที่คำว่า ‘วิ่ง’ เริ่มกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา วันที่ต้องตัดสินใจว่าจะทำงานประจำหรือเป็นโค้ชวิ่งต่อ จนถึงวันที่ Kids Go Tri มีทิศทางธุรกิจที่ขยายออกไป เพื่อรองรับความต้องการของสังคมวิ่งในประเทศไทยให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น

ช่วงนี้คนหันมาวิ่งกันมากขึ้น สงสัยว่าคุณเริ่มวิ่งกับเขาเอาตอนไหน

ต้องบอกว่าตัวผมเองวิ่งมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เริ่มจากการที่ตัวเองเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ฟุตบอล แบดมินตัน ลีลาศ ซึ่งกีฬาพวกนี้ ส่วนหนึ่งของการซ้อมก็ต้องมีการวิ่งอยู่เสมอ เราเลยจะได้วิ่งอยู่ตลอด 

ในตอนนั้นมันสนุกแบบตอนนี้ไหม ตอบได้เลยว่าไม่ มันเหนื่อยมากนะ กับการวิ่งแต่ละครั้ง แต่ว่ามันกลับมีความสุขตรงที่พอเรารู้ตัวว่าเริ่มวิ่งได้ เลยลองไปสมัครงานวิ่ง แล้วเรากลับได้รางวัลติดมือกลับมา ได้ยืนอยู่บนโพเดียมรับรางวัล ผมชอบความรู้สึกแบบนั้น 

แต่จุดเปลี่ยนจริงๆ ที่ทำให้หันมาวิ่งจริงจัง คงเป็นจังหวะที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ไปเดินสายแข่งฟุตบอลไม่ได้แล้ว เลยคิดว่าน่าจะมาลองจริงจังกับสิ่งที่ทำมาตลอดอย่างวิ่งดูสักครั้ง

เหมือนการวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และดูเหมือนว่าจะมีแววในด้านนี้อยู่ตลอด

มีแววไหมไม่รู้ 

รู้แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำสิ่งนี้มาตลอด ไม่เคยหยุดเลย แล้วประกอบกับกีฬาอื่นๆ ที่ผมเล่นมันมีทั้งต้องใช้พลัง (power) และความอดทน (endurance) เลยทำให้วิ่งได้ดี ได้ถูกต้องมากขึ้น

ในตอนนั้นคุณตั้งเป้าหมายในการวิ่งเอาไว้ยังไง

ตอนแรกไม่ได้มีภาพในหัวเลยว่าต้องเป็นยังไง แต่เวลาวิ่ง เราก็อยากชนะตัวเองตลอด หมายถึงเวลาที่ดีขึ้น แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ดีขึ้นทุกครั้ง แต่เราก็ตั้งใจไว้ว่า ในระยะ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งจาก 50 นาทีมาเหลือ 40 นาทีกว่าได้ ก็ตามเป้าหมายแล้ว

แล้วหลังจากนั้น เราก็เริ่มคึกไปมองว่าขนาดคนที่วิ่งช้ากว่าเรา เขายังวิ่งระยะที่ไกลกว่าได้ เลยตัดสินใจสมัครวิ่งระยะมาราธอน โดยที่ไม่มีความรู้ว่าต้องซ้อมยังไง และไม่ซ้อมด้วย เพราะมั่นใจว่าทำได้ 

ปรากฏว่า

มันเจ็บ 

จริงๆ ตอนแรกก็วิ่งได้นะ ผมออกตัวอย่างมีสติ ซึ่งก็อาจจบอย่างไม่เจ็บด้วย แต่พอวิ่งไปสักพักเริ่มสนุก เลยลองเพิ่มความเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ จนตะคริวกินตั้งแต่ข้อเท้ายันสะโพก 

หลังจากแข่งเสร็จใช้คำว่าเดินแทบไม่ได้ ลากขาแบบก้าวต่อก้าว แล้วก็เจ็บต่ออย่างนั้นเกือบปี เจ็บแบบนั่งบนรถตู้ไม่ได้เลย ต้องขอคนขับนั่งข้างหน้า ต้องพยุงตัวเองตลอด ลงสะพานลอยก็ต้องถอยหลังอยู่เกือบปี อาการเจ็บแบบไหนที่นักวิ่งเขาเป็นกัน ผมเป็นหมด 

ได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง 

เรื่องวิ่งห้าวไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีแบบแผน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตั้งทีม Kids Go Tri ด้วย ผมเชื่อว่าพื้นฐานสำคัญมาก ก่อนหน้านี้ผมว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล เล่นแบดมินตัน ผมมีโค้ช มีเป้าหมายมาตลอด ทำไปสักพักก็เริ่มมีพัฒนาการ ไม่เหมือนกับการวิ่งที่เรากระโดดมาเล่นเอง 

ดังนั้นมองย้อนกลับไปก็เลยคิดว่า สำหรับการวิ่ง ถ้ามีคนวางพื้นฐานให้คนที่เพิ่งเริ่มเล่นกีฬานี้ก็คงดี 

และอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญจนทำให้มันเป็นคำว่า tri หรือไตรกีฬา เพราะลูกศิษย์คนแรก เขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยากแข่งไตรกีฬา เขาชื่อว่าน้องอะตอม (สิรภพ กัมพลานุวัตร)

ทำไมนักเรียนคนนี้ถึงสำคัญจนถึงขนาดวางแผนทำทีมสำหรับไตรกีฬาแทนที่จะเป็นการวิ่ง

ด้วยความที่ไม่มีโค้ชคนไหนสอนน้องเขาได้เลย น้องเขาเป็นเด็กไฮเปอร์ มีความอเลิร์ตในตัวสูง คือแค่เห็นคร่าวๆ ก็ปวดหัวแล้วว่าจะสอนยังไงดี แต่อีกมุมหนึ่งเราก็มองว่าเด็กเขาอยากเล่นกีฬาให้ดี ถ้าไม่มีโค้ช ไม่มีใครสอน มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ 

ผมเลยออกจากทีมที่ตัวเองสอนอยู่มาเปิดทีมตัวเอง โดยสอนไตรกีฬาให้กับนักกีฬาคนแรก 

น้องอะตอมเป็นเหตุผลเดียว

พูดตามตรง ผมไม่ได้คิดเรื่องเม็ดเงิน เรื่องธุรกิจเลย เรามองแค่ว่าอยากจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นนักกีฬา และด้วยความที่เราก็เป็นโค้ช ได้รับความรู้จากคนที่เก่งๆ มาเยอะ เขาคายตะขาบมาให้เรามากพอแล้ว รวมถึงไปเรียนเพิ่มเติมมาด้วย จึงคิดว่าด้วยประสบการณ์และความรู้ของเราตอนนี้จะช่วยคนที่มาเรียนกับเราได้ 

ยอมรับว่าตอนแรกผมอึดอัดอยู่ เพราะมันจะมีแรงกดดันจากคนรอบข้างค่อนข้างเยอะ จากคนที่เคยซ้อมด้วยกัน เคยวิ่งด้วยกัน วันหนึ่งมาตั้งตัวเป็นโค้ชสอนวิ่ง ก็ต้องถูกตั้งคำถามอยู่แล้ว บางทีก็ถูกแซะ แรงอยู่เหมือนกัน ทั้งที่เราอยากแนะนำคน

คุณรับมือกับแรงกดดันเช่นนี้ยังไง

ก็ต้องนิ่งเข้าไว้ ทำต่อไปเรื่อยๆ ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์เอง แต่มันโดนหนักจริง บ้างก็บอกว่าหลอกกินเงินผู้ปกครอง บ้างก็บอกขายฝันเด็กไปวันๆ ไม่เห็นแข่งแล้วจะชนะสักที ซึ่งจริงๆ เขาไม่เข้าใจแนวทางการสอนของผม 

สิ่งที่ผมคุยกับผู้ปกครองและเด็กตั้งแต่แรกคือการเล่นกีฬาได้ในระยะยาว ส่วนชัยชนะมาทีหลัง เราไม่ได้ฝึกให้เด็กต้องเก่งวันนี้ แล้วไม่กี่ปีต่อมาก็หมดไฟและเลิกเล่น ดังนั้นในช่วงปีแรก น้องชนะไม่ถึง 3 สนามด้วยซ้ำ 

ทั้งที่เราจะฝึกให้น้องชนะได้ทันทีก็ทำได้ แต่เราไม่ทำ เราอยากให้น้องได้ลองล้มเหลว แพ้ไปก่อน จะได้รู้ว่าเวลาชนะมันคุ้มค่า อีกทั้งการคว้าสำเร็จแต่ละครั้ง มันจะมีเรื่องราวให้เรียนรู้ตามมาอีกเยอะ ว่าต้องอดทนขนาดไหนถึงจะสำเร็จ 

จนปีนี้อะตอมน่าจะมีโอกาสได้แข่งไตรกีฬาในฐานะตัวแทนทีมชาติไทย ในการแข่งขันซีเกมส์แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เราวางแผนมาเหมือนกัน 

เรียกว่าพลิกเกม

กลายเป็นถูกพูดปากต่อปาก คนที่สอง คนที่สาม ก็เริ่มเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กที่พ่อแม่อยากหากิจกรรมให้เขาทำ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ความท้าทายคือเขาไม่ใช่คนที่ชอบวิ่งมาตั้งแต่แรก เราเลยต้องมาเปลี่ยนความคิดให้เขาอยากวิ่ง ทำให้การวิ่งเป็นเรื่องสนุก ทุกครั้งที่ซ้อม เราก็ต้องคิดเกมให้มันแปลกใหม่ เราเองก็ต้องเป็นเหมือนเพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ให้ความรู้ 

อย่างอะตอม ตอนแรกไม่ยอมวิ่งเลย 200 เมตรก็เบื่อแล้ว เราต้องหากิจกรรมทำกับเขา เช่นเล่นเกม ROV ทุกรอบที่วิ่งจบ ตอนแรกผมยังไม่รู้เลยว่ามันเล่นยังไง ก็ต้องฝึก ก็ต้องยอม ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขาเริ่มถามเองว่าวันนี้วิ่งอะไร เริ่มชินกับการได้วิ่งแล้ว 

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการสอนเด็ก

จิตวิทยา และความรู้ 

การเป็นโค้ชเราต้องรู้ว่า ถ้าทำแบบนี้ จะส่งผลกระทบกับเขาในอนาคตยังไง บางทีการปั้นเด็กระยะสั้นมันอาจส่งผลดีแค่เรื่องการต่อยอดด้านการศึกษา แต่ถามว่าระยะยาว เขารักที่จะเล่นกีฬา อยากเป็นนักกีฬาไหม บางทีการสอนแบบเป็นเครื่องจักรให้เขาเก่งทันทีก็อาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก บางทีการฝึกให้เด็กได้เล่นกีฬาระยะยาวก็อาจดีกว่า 

แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าเป็นเรื่องยากในการเปลี่ยนความคิดให้ทั้งผู้ปกครองและเด็กเข้าใจในเรื่องนี้ ที่สำคัญการเทรนด์เด็ก ผมว่าต้องมีความรู้จริง อย่างน้อยถ้ามีใบเซอร์ฯ (certificate) รับรองว่าความรู้มันได้ผ่านตาเรามาบ้าง เรามีความรู้จริงๆ มันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกันสำหรับผม 

ท้ายที่สุดคือจรรยาบรรณความเป็นโค้ช เพราะทุกวันนี้มันก็ยังมีโค้ชบางคนที่ฉวยโอกาส ไม่ให้เกียรตินักกีฬา ซึ่งผมมองว่าวงการกีฬาต้องมาให้ความสำคัญและแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว  

จากโค้ชให้เด็กๆ ตอนไหนที่เริ่มมีกลุ่มผู้ใหญ่สมัครมาเป็นนักเรียน

จากพ่อแม่ที่เขาพาเด็กมาฝึกกับเรา เขาอาจจะคิดว่าไหนๆ ก็มารอลูกเรียนแล้วก็มาเรียนด้วยกันเลย

ตอนแรกก็กลัวว่าเขาจะเขินนะ ว่ามาอยู่ทีมที่มีแต่เด็ก จะเป็นอะไรไหม แต่เราก็มีแผนเรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยการพยายามสื่อสารว่า Kids Go Tri หมายถึง ‘ความคิด’ ไม่ได้แปลว่า ‘เด็ก’ เพียงอย่างเดียว 

แล้วคุณสื่อสารกับผู้ใหญ่ยังไงว่าการวิ่งนั้นควรมีโค้ชที่สอนพื้นฐานการวิ่งด้วย 

เรื่องนี้บังคับยากนะ หลายคนบอกว่า การวิ่งไม่ต้องมีโค้ชก็ได้ ใส่รองเท้าก็ออกไปวิ่งได้เลย แต่ถ้าอยากวิ่งให้มีอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด อยากจะแข็งแรงขึ้นไปเรื่อยๆ อยากพัฒนา อยากเอาชนะตัวเอง อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่วิ่งแล้วบาดเจ็บ ผมว่าก็ควรมีโค้ช 

ซึ่งทุกวันนี้มีตั้งแต่ผู้บริหาร ยันวินมอเตอร์ไซค์เลย ช่วงอายุนี้ก็กว้างมาก 70 แล้วก็ยังมาเรียนวิ่งกับผม

คนอายุ 70 เขาอยากมีโค้ชวิ่งทำไม

เขาอยากวิ่งเร็วขึ้น คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาวิ่งยุคเก่าที่ไฟยังไม่มอด อยากจะวิ่งให้ดีขึ้น อยากจะขึ้นไปรับถ้วยงานวิ่งสักครั้งในชีวิต ซึ่งวิธีการฝึกก็ต้องแตกต่างออกไป

แต่ด้วยวิธีการที่ผมใช้ blood test (lactate test) มันก็ตรงไปตรงมา ผลเลือดมันระบุอยู่แล้วว่าร่างกายประมาณไหนควรฝึกยังไง มันจะไม่หนักและเบาจนเกินไป เพียงแต่กลุ่มผู้สูงอายุควรจะตรวจสุขภาพควบคู่ไปด้วย 

แล้วคนที่เรียนกับ Kids Go Tri จะได้อะไรบ้าง 

อย่างแรกสุดเลย ผมจะสัมภาษณ์เขาก่อนว่า เป้าหมายคืออะไร มีความคาดหวังยังไง และมีปัญหาตรงไหนมาก่อนหน้า ผมอยากรู้แค่นี้เลย วิ่งเร็วเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ ส่วนสูงแค่ไหน ผมไม่อยากรู้ 

เหตุผลที่ต้องถามก่อน เพราะที่ผ่านมามีคนเข้าใจผิดว่าเรียนแล้วต้องเก่งทันที ผมเลยอยากพูดคุย อยากเล่าว่าแนวทางการสอนแบบ Kids Go Tri เป็นยังไง จากนั้นจึงออกแบบตารางซ้อมกัน 

แต่สุดท้ายแล้วผมคงไม่สามารถการันตีกับทุกคนได้ว่าฝึกซ้อมกับผมแล้วจะสำเร็จ ความสำเร็จมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตารางซ้อมอย่างเดียว มันอยู่ที่การกิน การนอน การยืดเหยียด หรือโชคร้าย วันแข่งดันป่วย ท้องเสีย หรืออากาศร้อนอบอ้าว ก็เป็นตัวแปรที่ผมควบคุมไม่ได้ 

ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าเขาจะได้กลับไปแน่ๆ คือพัฒนาการของตัวเอง รวมถึงวิธีคิดและความเข้าใจในการวิ่ง ว่ามันมีวันที่สมหวัง วันที่ผิดหวัง และอย่างน้อยที่สุด คุณก็ได้รู้ว่าขีดความสามารถในการวิ่งของตัวเองนั้น อยู่ตรงไหน และจะพัฒนาต่อยังไงได้

สำหรับ Kids Go Tri อะไรคือตัวชี้วัดว่า การฝึกสอนลูกศิษย์คนนี้สำเร็จแล้ว

ถ้าวัดอย่างง่ายที่สุดคือเวลาในการวิ่งที่เร็วขึ้น ดีขึ้น แบบนั้นหมายความว่า 1 วินาทีก็สำเร็จแล้ว

แต่ในความเป็นจริง นักวิ่งแต่ละคนเขามีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ผมมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาป่วยเป็นมะเร็ง วันแรกที่เจอกันคือวิ่งไม่ได้เลย แค่ 100 เมตรก็หอบแล้ว แต่จนทุกวันนี้สามารถวิ่ง 10 กิโลเมตร ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ได้ แบบนี้ผมก็รู้สึกว่ามันสำเร็จแล้ว สำเร็จตั้งแต่พาเขามาออกกำลังกายได้

ปัจจุบันในทีมผมมีลูกศิษย์แบบนี้จำนวนหนึ่งเลย ที่เราไม่ได้คิดเงินเพราะเขายังวิ่งไม่ได้ แต่พาเขามาอยู่ในบรรยากาศของการวิ่ง พามาสนามวิ่งบ่อยๆ ให้เขาได้เจอเพื่อนๆ จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่ง และอยากลองวิ่งดูบ้าง ส่วนตัวผมก็มองว่าเป็นความสำเร็จในแบบของ Kids Go Tri เหมือนกัน 

แต่ถ้าพูดในเชิงธุรกิจ ทำยังไงให้ Kids Go Tri ทำกำไรได้

การเป็นโค้ชวิ่งวันนี้สามารถใช้หาเลี้ยงตัวเองได้ไหม คำตอบคือได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ทำในลักษณะ personal training แล้ว ซึ่งก็ทำมาอยู่เกือบปี จนมาเริ่มคิดว่า ถ้าจะให้ลูกศิษย์ต้องจ่ายเป็นรายครั้งตลอด บางคนอาจจะมองว่าแพงจนเกินไป คือผมลองคิดต่อไปเล่นๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งนักกีฬาในทีมมีปัญหาเรื่องการเงิน สิ่งแรกที่คงต้องตัดทิ้งไปก็ค่าฝึกสอนรายครั้งของผมเองที่ค่อนข้างสูง 

ผมเลยเปลี่ยนวิธีจากรายครั้งมาเป็นรายเดือน ทำราคาที่ทั้งคนเรียนออนไลน์และออฟไลน์ที่ทุกคนยอมรับได้ เลยทำให้แม้จะมีกำไรต่อคนน้อยลง แต่เราก็มีปริมาณนักกีฬามากขึ้น

อะไรทำให้คุณตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาจับธุรกิจนี้ คุณมั่นใจกับมันแค่ไหน

7-8 ปีก่อนหน้านี้ผมทำงานด้านไอทียังพอจัดสรรเวลาได้ แต่จุดเปลี่ยนคือการที่ผมย้ายมาทำงานด้าน product manager ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่และเป็นงานที่หนักมาก อีกทั้งยังต้องดูแลนักกีฬาอีก มันกลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ทันไปหมด 

ผมต้องทำงาน 365 วันไม่มีวันหยุด กลางวันทำงานประจำ ตอนเย็นสอนวิ่ง ตอนกลางคืนกลับมาทำงานประจำอีก จนถึงจุดหนึ่งก็รู้ตัวว่าทำไม่ได้ มันหนักไป เราไม่มีเวลาให้ตัวเอง ให้ครอบครัว เลยคิดว่าถึงเวลาต้องตัดสินใจ เลือกทำเพียงงานเดียว

มันก็เป็นการตัดสินใจทิ้งเงินเดือน 6 หลัก ทุกคนก็ถามตลอดว่าจะทิ้งมันไปจริงๆ เหรอ ตอนแรกใจผม 80% อยู่ที่งานประจำอยู่เลย ตอนนั้นเราคิดว่าเหนื่อยก็ยังหยุด ยังพัก ยังขอลาได้ แต่สุดท้ายเราก็เลือกทำทีมวิ่ง เพราะเรามีความสุขกับตรงนี้มากกว่า 

การได้พาคนเกือบ 200 คนไปถึงเป้าหมาย ไปอยู่ในจุดที่เขาคาดหวังในวันแรกที่เดินมาหาเรา อะไรแบบนี้มันเติมไฟในตัวเราได้มากกว่างานประจำในตอนนั้น เลยเป็นเหตุผลว่าอยากจะลองทุ่มหมดหน้าตักกับสิ่งนี้ดู 

เมื่อต้องทำให้เป็นธุรกิจ และเป็นงานเดียวที่จะหล่อเลี้ยงคุณได้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางมากแค่ไหน

เมื่อก่อนผมเป็นโค้ชให้กับแบรนด์ต่างๆ เช่น Ari, Rev Runner ดังนั้นวันที่ผมตัดสินใจมาทำงานตรงนี้เต็มตัว สิ่งแรกที่ผมทำคือ ไม่เซ็นสัญญากับค่ายไหนทั้งสิ้น เพราะอยากรับงานได้กับทุกแบรนด์ 

จากนั้นต่อมาเราเริ่มทำออร์แกไนซ์เซอร์ คือทุกวันนี้ออร์แกไนซ์เวลาจัดกิจกรรมวิ่ง เขามีหน้าที่จัดงานกิจกรรมอย่างเดียว จากนั้นต้องไปจ้างคน ไปรับสมัครผู้เข้าร่วมงานก่อน แต่ Kids Go Tri เรามีทุกอย่างให้คุณหมดเลย โค้ชฝึกสอนเราก็มี ผู้เข้าร่วมงานนักกีฬาผมก็พร้อมเสมอ อีกทั้งรูปแบบงาน ทั้งการวิ่ง City Run, Competition Run หรืองานที่ไม่เกี่ยวกับวิ่ง เน้นสนุกอย่างเดียว เหล่านี้มันคือตัวตนของเรามาตลอด 

ส่วนนักกีฬาของผม บางคนเขามีแพสชั่น มีทักษะด้านต่างๆ เราก็ดึงมาช่วยงานด้วย มันช่วยส่งเสริมกันทั้งสองด้าน ทั้งการฝึกสอนและออร์แกไนซ์

ในฝั่งการทำอีเวนต์ลูกค้าส่วนใหญ่คือใคร

ส่วนมากคือแบรนด์กีฬาที่เข้ามาเลือกเรา เพราะเขาเห็นว่าเรามีกลุ่มนักวิ่งในมือเยอะ ต้องเล่าว่าปัญหาส่วนใหญ่ของแบรนด์กีฬาที่ทำอีเวนต์ประเภทให้มาลองใส่รองเท้ารุ่นใหม่ คือมักจะได้ผู้เข้าร่วมงานกลุ่มเดิมๆ รวมถึงเขามาลองแล้วอัตราการซื้อจริงๆ ไม่เยอะเท่าไหร่ 

แต่พอเป็นกลุ่มของเรา ด้วยจำนวนนักกีฬาในทีม 200 กว่าคน มันเลยผลัดหมุนกันไปร่วมแต่ละงานได้ รวมถึงคนกลุ่มนี้เขาเป็นคนที่กล้าจ่ายเงินให้กับการวิ่งอยู่แล้ว คือถ้าเขายอมจ่ายเงินมาเรียนกับเราได้ อุปกรณ์อะไรที่เขาเห็นว่าดีเขาก็พร้อมจ่ายอย่างแน่นอน 

หรือบางทีก็มาในรูปแบบงานวิ่ง ที่มาจ้างให้เราไปเข้าร่วม บางทีก็ให้โควตาสำหรับนักกีฬาในทีมไปร่วมงานวิ่งส่วนหนึ่ง แล้วให้เราทำกิจกรรมโปรโมต อย่างงานก้าวท้าใจ 10K Thailand Championship 2025 ก็มีนักกีฬากว่า 130 คนไปร่วมงาน 

คุณทำยังไงให้นักกีฬาไปวิ่งงานเดียวกันได้เยอะขนาดนี้ 

ผมเป็นคนตัดสินใจและเลือกเอง แต่เราก็อาศัยวิธีบอกคุณสมบัติของงานวิ่งนี้ ว่าถ้าวิ่งดี อากาศดี และโฆษณาต่ออีกว่า เดี๋ยวไปวิ่งกันเป็นกลุ่ม แบ่งความเร็วเป็นเพซเซอร์ให้กัน ซึ่งส่วนใหญ่มันก็จะเป็นแบบนี้ตลอด นักวิ่งที่เขาพิชิตเป้าหมายแล้ว เขามักจะกลับมาช่วยเพื่อน จนกลายเป็นวัฒนธรรมของทีม 

มีแผนจะขยายทีม Kids Go Tri ไปต่างจังหวัดไหม

มีแล้วบางส่วน เพราะจริงๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เพราะเราออกแบบตารางส่วนบุคคลให้ ดังนั้นอยู่ที่ไหนก็ซ้อมได้ เพราะนักกีฬาในกรุงเทพฯ เอง บางคนเขาไม่สะดวกจะมาเจอเราที่สนามวิ่งทุกคน ก็อาศัยซ้อมตามตารางของตัวเองไป

สุดท้ายแล้ว จนถึงวันนี้ การตัดสินใจมาทำ Kids Go Tri เต็มตัว ให้อะไรกับคุณบ้าง 

มีความสุข มองกลับไปกี่ครั้งตลอดเวลาที่ทำมาผมมีความสุขตลอด แต่มุมหนึ่งก็ยังมีความกังวลใจ กลัวว่าพอมันเติบโตมากขึ้น แล้วคนจะคิดว่าเราจะใส่ใจน้อยลง ตอนนี้เลยพยายามทำให้เต็มที่ ใส่ใจนักกีฬาในทีมทุกคน พยายามมองข้ามพวกคำสบประมาทไปบ้าง 

ที่สำคัญทีม Kids Go Tri ทำให้เห็นว่า ความรู้ ประสบการณ์ และความตั้งใจของเรา มันช่วยคนอื่นได้จริงๆ ก็ยังอยากทำต่อไปเรื่อยๆ อยากพาคนไปถึงเป้าหมายของการวิ่งได้มากขึ้นหลังจากนี้ 

Fitness First ทำยังไงให้เป็นเจ้าตลาดมา 20 ปี กับบทบาทผู้จัดงาน group exercise ‘TUFF25’ 

สมัยนี้ถ้าอยากออกกำลังกาย บางคนอาจเลือกวิ่งในสวนสาธารณะ บ้างออกกำลังกายเอง บ้างเข้าสตูดิโอเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญกีฬาประเภทนั้นๆ แต่เชื่อว่าหลายคนทีเดียวที่ยังคงเลือกสมัครสมาชิกยิมหรือฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ให้เลือกหลากหลาย พร้อมคลาสออกกำลังกายให้สลับเล่นได้ไม่รู้จบ 

และหากเลือกทางหลังสุดแล้ว Fitness First ฟิตเนสสีแดงพร้อมตัวอักษร ‘F’ เบิ้มๆ ก็น่าจะเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนเลือกเปิดใจ ด้วยเป็นพี่ใหญ่ที่อยู่มานานกว่า 20 ปี

แรกเริ่มเดิมที Fitness First เป็นยิมสัญชาติอังกฤษซึ่งในประเทศแถบยุโรปนั้นมีความเป็นมายาวนาน ส่วนประเทศไทยลงหลักปักฐานตั้งแต่ปี 2001 โดยปัจจุบันมีอีก 4 ประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ 

“ตลาดทางเอเชียมาหลังทางฝั่งยุโรปเขาอยู่กว่า 10 ปี แนวทางจะให้บริการที่เน้นคอสเมติกกว่า คือการทำแบรนดิ้งคู่กับการส่งมอบประสบการณ์ให้ลูกค้า ขณะที่ฝั่งยุโรปลูกค้าจะเน้นเล่นเอง ไม่เน้นกิจกรรมเท่าทางเอเชีย”

จุดเด่นของ Fitness First ที่ยังชนะใจผู้คนคือการเป็น full-service gym ที่เก็บค่าสมาชิกรายเดือน มีอุปกรณ์ออกกำลังกายให้เล่นอย่างอิสระ พร้อมห้อง group exercise ซึ่งเป็นกิจกรรมหมู่ให้ได้ร่วมจอย เช่น คลาสจักรยาน พิลาทิส โยคะ คลาสสายเต้น ไปจนถึงเวต ฯลฯ 

ที่สำคัญ ด้วยกว่า 33 สาขาของ Fitness First และ 2 สาขาแบรนด์น้องอย่าง Celebrity Fitness ที่เดินทางสะดวก เข้าถึงง่าย จึงทำให้คนที่อยากออกกำลังกายมักนึกถึงเป็นแบรนด์แรกๆ 

“ถามว่ามันมีข้อเสียของการอยู่มานานไหม พี่ว่าไม่มี แต่เป็นเรื่องที่เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา” คุณโต–อรวรรณ เกลียวปฏินนท์ หัวหน้าทีมการตลาด บริษัท อีโวลูชั่น เวลล์เนสส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยืนยันแบบนั้น

ในห้วงเวลาที่หันไปทางไหนก็เห็นคนเริ่มทานอาหารดีๆ ออกกำลังกายมากขึ้น และในช่วงที่ Fitness First เพิ่งจัดงาน ‘The Ultimate Fitness Force 2025’ อีเวนต์รวมตัวคนรักการออกกำลังกายแบบกลุ่มจบไปหมาดๆ เราขอพาทุกคนไปเปิดบ้าน สนทนากับหญิงสาวตรงหน้าซึ่งอยู่ในแวดวงนี้มานาน ผ่านช่วงเวลาที่ฟิตเนสยังไม่เป็นที่นิยม มาสู่ช่วงที่ใครๆ ต่างกระโดดลงมาเล่น

กับคำถามเบสิกที่หลายคนน่าจะสงสัย Fitness First ทำยังไงให้ยังยืนระยะได้จนถึงทุกวันนี้

“พวกเราสนุกกับความเปลี่ยนแปลง”

“ในมุมของนักการตลาดและผู้บริหารทุกคน เทรนด์การออกกำลังกายและการใส่ใจเรื่องสุขภาพก่อนและหลังโควิด-19 มันแตกต่างกันมาก” 

หลังโควิด-19 คุณโตอธิบายว่าผู้บริโภคมีความรู้ด้านฟิตเนสมากขึ้น ประกอบกับคอนเทนต์ในโลกโซเชียลมีเดียมากมาย ผู้บริโภครู้จักความชอบตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบแนวไหน กิจกรรมแบบไหนที่อยากไป ทำให้ segment การออกกำลังกายละเอียดขึ้นมาก 

“คำว่า ‘wellness’ ยังขยายขอบเขตไปมากกว่าการแค่ออกกำลังกาย แต่หมายถึงการดูแลสุขภาพ การทำกายภาพ การดูแลจิตใจ ความสนใจกับตัวเลขต่างๆ ที่มาจากกิจกรรมของตัวเอง เช่น ฉันออกกำลังกายแล้วเบิร์นไปเท่าไหร่ หรือฉันวิ่งได้แค่ไหน เพซดีขึ้นไหม เปอร์เซ็นต์ไขมันหรือกล้ามเนื้อมากขึ้นหรือลดลงยังไง และที่สำคัญคือนิยมการแชร์ต่อให้โลกต้องรู้เพื่อเป็นแรงผลักให้ทำต่อไป 

“ทั้งหมดนี้แปลว่าอะไร แปลว่าพวกเราต้องอ่านตลาดและผู้บริโภคให้แตกและให้ทัน” คุณโตยืนยัน

ตั้งแต่ day 1 ของการทำธุรกิจ Fitness First ยืนหยัดในการเป็น full-service gym ที่มีอุปกรณ์ครบครัน มีคลาสมากกว่า 150 โปรแกรม รวมกว่า 20,000 คลาสต่อเดือนในทุกสาขา นั่นหมายความ Fitness First ต้องคอยศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ ต้องปรับคลาสและรูปแบบการสอนให้ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

“ที่เห็นชัดเจนคือคลาสที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อนั้นได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะคนมีความรู้มากขึ้นว่ากล้ามเนื้อนั้นเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย นอกจากคลาสเดิมอย่าง BODYPUMP, BODYCOMBAT แล้วจึงมีคลาสสำหรับการแข่ง HYROX ที่กำลังมาแรงด้วย

“เดี๋ยวนี้คลาสพิลาทิส คลาสโยคะก็ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงแล้ว แต่ผู้ชายก็หันมาเล่นกันมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ที่ Fitness First แต่ทั่วโลกเป็นแบบนี้หมดเลย เราเลยยิ่งต้องเพิ่มคลาสพิลาทิส และเพิ่มคลาสใหม่ๆ อย่าง Jump ที่ใช้เครื่องแทรมโพลีน หรือ Bungy Bounce ที่เป็นสลิงยืดให้กระโดดและสร้างกล้ามเนื้อ หรือ Activate ที่เน้นการแก้ออฟฟิศซินโดรม คอ บ่า ไหล่ สะโพก แล้วเราก็เพิ่มแพ็กเกจ ProRelieve หรือการนวดเฉพาะจุดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เล่นกีฬาเยอะ คลายความตึงและเกร็งสะสมของกล้ามเนื้อที่ใช้ขณะเล่นกีฬา” 

Fitness First ยังมี PT100 Membership สำหรับคนที่สนใจการเทรนแบบส่วนตัวโดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อลูกค้าซื้อแพ็กเกจ PT100 แล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน ฝึก 100 ชั่วโมงกับเทรนเนอร์ได้มากถึง 3 คนใน 2 สาขา และเลือกออกกำลังกายได้ทุกสาขาของ Fitness First และ Celebrity Fitness ตอบโจทย์คนที่มีบ้านและที่ทำงานคนละโลเคชั่น

“เราอาจจะไม่ใช่ยิมที่หรูหรามากที่สุด แต่เรามั่นใจที่สุดเรื่องคุณภาพการดูแลทุกคนที่เดินเข้ามาเพื่ออยากให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น เพราะเราครบทั้งฮาร์ดแวร์ คือเป็นยิมที่ครบทุกโซนอุปกรณ์ มีคลาสหลากหลายประเภท และซอฟต์แวร์ คือพนักงานประจำ 1,600 คนที่ได้รับการเทรนตลอดเวลา ดูแลสมาชิกได้ 65,000 กว่าคน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่เรายังคงเป็นที่หนึ่งและแข็งแรงมากเสมอมา”

การพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์สุขภาพที่เปลี่ยนไปของ Fitness First ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาสินค้าและบริการ แต่คุณโตยังเล่าให้เข้าใจว่าในเชิงการสื่อสาร ก็ยิ่งต้องละเอียดมากขึ้นชนิดที่ไม่ใช่แค่ micromarketing แต่คือ nanomarketing 

“การสื่อสารเราอาจจะต้องทำการบ้านกันโหดนิดหนึ่ง ต้องคิดว่าเรื่องนี้เราพูดกับใคร เราไม่ได้แค่พูดกับคนอยากสุขภาพดี เท่านี้มันไม่พอแล้ว เราเปิดเรดาร์วิเคราะห์ให้ลึกกว่านั้นโดยใช้ database และ social listening ระบุกลุ่มลูกค้าให้ละเอียด เช่น ถ้าเราจะพูดกับผู้ชายอายุ 25-28 ปี เป็นฟรีแลนซ์ที่ชอบออกกําลังกายเดี่ยวๆ คือไม่ได้ยุ่งกับใครมาก แล้วสินค้าอะไรที่เขาจะอยากได้และเราจะหาเขาเจอได้จากช่องทางไหน”

สมาชิกส่วนใหญ่มีอายุ 30-40 ปี ตอนนี้ Fitness First เริ่มสื่อสารเพิ่มกับกลุ่ม first jobber และกลุ่มคนที่เริ่มเข้างานที่สอง ช่วงอายุประมาณ 28-35 ผ่านการเลือก opinion leader ที่ล้วนมีเรื่องราวและความชอบเรื่องสุขภาพที่แตกต่างกัน 

ตั้งแต่ก้อย อรัชพร ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย หมอเจี๊ยบ ลลนา ที่มีเป้าหมายเรื่องสุขภาพเพื่อใช้ชีวิตอย่างยาวนานกับคนรัก นนกุลซึ่งรักการออกกำลังกายเป็นทุนเดิม ไปจนถึงน้าเน็กที่เป็นตัวแทนของคนที่เชื่อมหลายเจนฯ 

“เรายังไม่เห็นความเสื่อมถอยของธุรกิจนี้ แต่ถามว่ายากขึ้นไหม สิบเท่าตัว แต่เป็นเรื่องธรรมดามาก คิดว่าทุกคน ทุกธุรกิจเจอแบบนี้หมด ทุกคนต้องทำงานและวิเคราะห์หนักขึ้น สังเกตตลาดมากขึ้น ปรับตัวให้เร็วมากขึ้น พัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้น บางอย่างเรา beyond เทรนด์ บางอย่างเราตามเทรนด์”

“ไม่ใช่เพราะเราหน้าใหญ่ แต่เรารู้ว่าตลาด group exercise สำคัญมาก”

หากใครติดตามข่าวสารแวดวงสุขภาพ อาจได้เห็นการจัดงาน The Ultimate Fitness Force ที่ Fitness First เป็นผู้บุกเบิก และทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 

นี่คืองานสำหรับคนรักการเข้าคลาสออกกำลังกาย เพียงแต่ย้ายเซตติ้งจากยิมเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เสมือนเป็นคอนเสิร์ตที่คนรักการเข้าคลาสออกกำลังกายจะมารวมตัวใช้แรงกาย แรงใจ และสนุกกับเสียงเพลงพร้อมๆ กัน 

ตลอด 2 วัน จะมีคลาสหลากหลายประเภทสำหรับความชอบทุกแบบ ให้แฟนคลับที่ปกติออกกำลังกายในคลับ ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศแบบสุดขั้วแบบคอนเสิร์ต กับไอคอนระดับตำนานจากทั้งไทยและ Les Mills Asia Pacific เจ้าของลิขสิทธิ์คลาสออกกำลังกายอย่าง BODYPUMP, BODYCOMBAT, BODYJAM, Les Mills Pilates ฯลฯ มาขึ้นนำออกกำลังกายบนเวที

“ถ้าไม่ใช่เรา ทำไม่ได้ เราไม่ได้คิดไปเอง แต่เหตุผลคือต้นทุนมันมหาศาลมากในทุกมิติ ทั้งการจัดงาน กำลังคน อุปกรณ์ การหวังกำไรเป็นไปไม่ได้เลย แต่นี่คือการลงทุนเรื่องแบรนดิ้งกับกลุ่มคนที่มีความรักในการออกกำลังกายเหนียวแน่น ที่สำคัญที่สุดคือ กิจกรรมนี้ทำให้คนใหม่ๆ อยากคิดเริ่มออกกำลังกายมากมาย คนที่ออกอยู่แล้วก็ยิ่งสนุกต่อไปไม่เลิก สิ่งเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้เลย”

The Ultimate Fitness Force 2025 สร้างผลลัพธ์ที่ดีในหลายเด้ง เด้งแรกคือการสร้างความสดใหม่ให้คนรักการเข้าคลาส ทั้งยังเป็นเหมือนการสร้างเป้าหมายให้คนออกกำลังกายไม่เพียงแค่ออกในคลาสให้ได้เท่านั้น แต่คือการตั้งเป้าว่าพัฒนาการในคลาสจะต้องดีขึ้นเพื่อให้สามารถจอยงานในปีหน้าได้สนุกกว่าเดิม

“บรรยากาศมันขนลุกมาก มันคืออีเวนต์ที่ถูกคัดเลือกมาแล้วทุกอย่าง ทั้งเซตอัพที่ยิ่งใหญ่แบบคอนเสิร์ตที่ในคลับให้ไม่ได้ ได้อยู่ใน environment ที่มีคนคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน แต่ละคนที่เข้าร่วม เขาเลือกมาทุกสิ่ง รองเท้า เสื้อผ้าหน้าผมเป็นยังไง เขาโชว์สายรัดข้อมือว่าเขาเข้ากี่คลาส เขาซื้อของที่ระลึกอะไรบ้าง

“อีกข้อคือการยกระดับความฝันของเทรนเนอร์ให้เป็นจริง เพราะเขาต้องการอยู่บนเวทีระดับโลก อยู่ระดับเดียวกับเทรนเนอร์ระดับโลกทั้งแผงแบบนี้ แล้วกว่าที่คุณจะขึ้นไปตรงนั้นได้ ไม่ใช่จับฉลากมา แต่มันคือผลของการเทรนอย่างหนัก การสอนในคลาส การมีชั่วโมงบินมากมาย และยังต้องผ่านการคัดเลือกอีก มันทำให้เขาเห็นภาพว่าสายอาชีพของเขามันมี next step เสมอ” 

จากครั้งแรกในปี 2024 ซึ่งรองรับคนได้ 4,000 คน ในปี 2025 ที่ผ่านมา Fitness First ขยายงานเพื่อรองรับคนกว่า 8,000 คน และขยายกลุ่มเป้าหมายเพื่อเน้นไปที่ชาวต่างชาติมากขึ้น จึงได้ร่วมมือกับสยามพิวรรธน์และหลากหลายพาร์ตเนอร์  

“เราปักงานนี้เป็น the largest group fitness in Asia ใครชอบการออกกำลังกายแบบกลุ่มต้องมา เพราะใหญ่สุดแล้ว เป็นการผลักกระแสการออกกำลังกายแบบกลุ่มให้กับทั้งตลาดประเทศไทย มันเกินเลยเป้าแค่องค์กรเราไปแล้ว 

“เราจึงต้องทำ เพราะเราทำได้ เราคาดหวังให้คนมีความสุขกับการเข้าร่วมกิจกรรม พบความชอบของตัวเองและออกกำลังกายต่อเนื่อง เป็นสมาชิกเราก็ดี ไม่ใช่สมาชิกเราก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึง group exercise มันคือมาตรฐานนี้นะ และนี่แหละคือ Fitness First ประเทศไทย”

“ความยั่งยืนของธุรกิจอยู่ที่รากหญ้า”

หากมองในมุมมองผู้บริโภค ลูกค้า สมาชิกทั้งหลาย จะว่าจุดเด่นของ Fitness First คือสาขาที่เยอะเดินทางสะดวก และคลาสที่หลากหลาย ก็ได้ เพราะเป็นจุดขายที่นำหน้าเจ้าอื่นๆ มากโข 

แต่หากถามในมุมมองของผู้บริหารอย่างคุณโตแล้วนั้น เธอบอกว่า “เราบอกให้ว่าความยั่งยืนของธุรกิจอยู่ที่รากหญ้า” –ในความหมายนี้คือเหล่าพนักงานทุกแผนกที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญกับเหล่าสมาชิก

“ในฐานะผู้บริหาร เราสร้างประสบการณ์ได้ เราสร้างกฎ หรือเช็กลิสต์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันที่ทุกคลับต้องมีได้ แต่คนที่นำไปส่งต่อจริงๆ คือน้องๆ ที่อยู่ในคลับ เป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานของเราถึงเป็นพนักงานประจำร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่มีแบรนด์ไหนทำเพราะมันยากมาก  

“เพราะอะไร เพราะการมีคลาสแปลว่าต้องมีคนสอน การมีคนสอนแปลว่าทักษะคุณต้องได้ ทักษะคุณได้แปลว่าเราต้องมีการเรียนรู้และการพัฒนา นั่นทำให้เรามีทีม L&D หรือ Learning & Development ที่แข็งแรงมาก”

คุณโตยังอธิบายธรรมชาติการทำงานของพนักงานในสายนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วแม้จะจบจากวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่พนักงานจะได้รู้ว่าตนเองมีความชอบเฉพาะก็ต่อเมื่อได้มาทำงานจริง 

“เราพลิกภาพลักษณ์ของคนที่ทำสายอาชีพฟิตเนส 20 กว่าปีก่อน คนจะเฉยๆ กับอาชีพฟิตเนสเลย จะคิดว่าเป็นแค่ครูพละ เงินเดือนก็ไม่เก๋ เดี๋ยวนี้เทรนเนอร์เงินเดือนแตะแสนได้สบาย”

Fitness First มี career path ที่ชัดเจน มีฐานเงินเดือนที่ดี มีคอมมิชชั่น มีเส้นทางการเติบโตที่ทำให้เด็กๆ วิทยาศาสตร์การกีฬาเห็นภาพว่าเมื่อเข้าสู่โลกการทำงานจริง พวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายไหนได้บ้าง คุณโตยังบอกอีกว่าผู้บริหารหลายคนของ Fitness First นั้นยังเคยทำตําแหน่งในคลับมาก่อน แต่สามารถเปลี่ยนมาสายบริหารได้จากการเทรนนิ่งทักษะความรู้ด้านการบริหาร  

นอกจากการเทรนเหล่านี้แล้ว Fitness First ยังมีกลุ่มที่เรียกว่า ‘Team Titan’ เป็นโปรเจกต์ที่คัดเอาพนักงานที่สนุกกับการทำกิจกรรม ชอบและเข้าแข่งขันตามสนามต่างๆ ทั้งสายวิ่ง HYROX ยกน้ำหนัก เต้น ขี่จักรยาน ซึ่ง Fitness First ร่วมสนับสนุนทั้งเงินทุนและอุปกรณ์ และหาผู้สนับสนุนเพิ่มเติมให้

การสนับสนุนพนักงานเข้าสู่สายการแข่งขันเหล่านี้ คุณโตถือเป็นการทำการตลาดที่ได้ทั้ง 2 ทางคือทั้งฝั่งลูกค้าที่เห็นภาพเทรนเนอร์ที่น่าเชื่อถือเพราะเข้าแข่งขันจริง และฝั่งพนักงานที่อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น 

“ยกตัวอย่างพี่ขวัญ หรือพาขวัญ สุพานิชรัตนา ผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุ 48 ปี เขาเป็น National Health Fitness Manager ที่ลงแข่งทั้ง Triathlon, Hyrox, Trail, วิ่งทางเรียบ มาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ ว่าทุกคนแค่ทำสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องวิ่งในรูตยากๆ แต่มันคือ commitment ของการ keep up ตัวเองแล้วก็มีชีวิตที่ดีขึ้น

“เด็กของเรา 1,600 คน มีความถนัดไม่เหมือนกัน แต่เรากําลังจะบอกว่าสายอาชีพนี้มันคือสิ่งที่พวกเราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีโปรดักต์ใหม่เข้ามา เช่น ตอน HYROX มา เราต้องคิดเลยว่าเราจะส่งต่อให้สมาชิกได้ยังไง ที่ไหน โดยใคร โปรแกรมการเทรนพนักงานต้องเป็นยังไง เหมือนถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ เราก็ต้องติดตามเทคโนโลยีตลอดเวลา”

ปัจจุบัน Fitness First มีสมาชิกเช็กอินเข้าคลับเฉลี่ย 8 ครั้งต่อเดือน มี active member กว่า 65,000 ราย ในจำนวนนั้นมีสมาชิกที่ถือ PT package หรือมี personal trainer อยู่กว่า 25% ซึ่งถือว่าสูงมากเพราะจากฐานข้อมูลเอเชียมีสมาชิกที่ซื้อ PT Package อยู่ที่ 5-10% 

นอกจากนั้นยังมี Net Promotor Score (คะแนนการแนะนำ Fitness First ให้คนอื่นสมัครสมาชิก) อยู่ที่ 56 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของยิมทั่วโลกอยู่ที่ 30-40 ซึ่งเป็นผลจากการใช้โมเดลพนักงานประจำที่ดูแลสมาชิกได้ต่อเนื่องชัดเจน

“ถึงบอกว่านี่คือรากหญ้าของความสำเร็จ เราเลือกแบบนี้ ยากหน่อย แต่เราเชื่อและพิสูจน์แล้วว่า เราจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

“ความเซียนของธุรกิจที่ mature แล้ว คือการปรับตัวและทำตัวเองให้สดใหม่เสมอ”

หากเปรียบเป็นคน อายุอานาม 20 ปี อาจเป็นช่วงค้นหาตัวเองว่าจะเลือกเดินเส้นทางไหน จะทำตามหัวใจตนเองหรือทำตามกระแสสังคม แต่สำหรับ Fitness First นั้น อายุอานาม 20 ปี อาจแตกต่างออกไป 

Fitness First ถือเป็นพี่ใหญ่ในวงการฟิตเนสในไทย เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมนี้ เป็นผู้เซตมาตรฐานหลายอย่าง และเป็นผู้ที่มาก่อนกาลซึ่งในวันนี้อาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบว่าฉันคือใครและต้องการสิ่งใด แต่โจทย์สำคัญคือฉันจะอยู่ยังไงให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

“เพราะเราอยู่ใน mature stage หรือช่วงยืนระยะแล้ว ถามว่ามันมีข้อเสียไหม เราว่าไม่มี แต่เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างที่สุด ซึ่งไม่ง่าย เราอาจไม่ได้วูบวาบแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าคาดหวัง full-service gym ที่หลากหลาย ได้มาตรฐาน เขาจะรู้ว่าเขาสามารถมาที่นี่ได้ 

“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หลักการทำงานของเราง่ายๆ คือทุกฝ่ายคือสมาชิก พนักงาน และองค์กรต้องแฮปปี้ ตอนนี้ลูกค้าเริ่มมีหลากหลายกลุ่ม แต่ก่อนเขาอาจคิดถึงเรา แต่ตอนนี้เขาอาจไปวิ่งเอง หรือไปเล่นที่อื่นก็ได้ แต่มันแปลว่าอะไร แปลว่าในภาพใหญ่คนตระหนักรู้เรื่องสุขภาพมากขึ้นซึ่งมันดีมากนะ เราต่างหากที่ต้องมีหน้าที่หา segment ให้เจอ 

“ตลาดที่คนอยากได้ full-service gym ยังมีอยู่ไหม มีอยู่มหาศาล ประชากรประเทศไทยเป็นสมาชิกฟิตเนสมากสุดน่าจะไม่เกิน 5% ขณะที่อเมริกา แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อังกฤษ เขาขึ้นหลัก 20-30% ไปเรียบร้อย หลายคนยังเป็นสมาชิกหลายยิมด้วยซ้ำ เพราะเอาความสะดวกเป็นหลัก นั่นคือสิ่งที่เรามองเห็น”

เป้าหมายในวันนี้ของ Fitness First คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำทุกวันให้ตรงตามมาตรฐาน มองหาสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และไม่ปิดโอกาสตัวเองในการหาโอกาสใหม่ๆ

“เรามองว่า mature stage นี้มันไม่น่ากลัวนะ มันเป็นจุดที่แปลว่าธุรกิจเฮลตี้ด้วยซ้ำ แต่สำคัญสุดคือคือการปรับตัวและทำให้ตัวเองเป็นโปรดักต์ที่สดใหม่สำหรับตลาดเสมอ 

“แต่เผอิญพวกเรารักธุรกิจนี้มั้ง พูดอะไรมันก็สนุก คุยกันเองว่าอะไรก็เป็นไปได้หมด” คุณโตกล่าวปิดท้าย

‘ดัคเทป’ ไอเดียช่วยชีวิตจากคุณแม่บ้าน ที่อยากให้กล่องยุโธปกรณ์สงครามเปิดได้ในเสี้ยววิ

duct tape หรือ ‘เทปผ้า’ เป็นเทปสารพัดประโยชน์ที่หลายคนเรียกมันว่า ‘เทปช่วยชีวิต’ 

ในหลายๆ วงการ ตั้งแต่การซ่อมบ้าน ติดท่อที่รั่ว พันสายไฟ ไปจนถึงพื้นที่งานวิศวกรรม อากาศยาน และที่สำคัญคือวงการโปรดักชั่น พวกมันอาจจะเคยช่วยให้โปรเจกต์ การงาน บ้านเรือนของเรารอดพ้นวิกฤตมาได้

คำว่า ‘เทปช่วยชีวิต’ ในทุกวันนี้อาจเป็นระดับความเปรียบ แต่ทว่า เจ้าเทปที่แปะเก่ง แปะได้ทุกอย่างจนเก่งแบบเป็ดๆ ในนิยามทักษะแบบปัจจุบัน ที่มาของมันเริ่มจากการอยากช่วยชีวิตคนในภาวะสงคราม 

อันที่จริงก็เป็นความคิดของแม่บ้านที่อยากแก้ปัญหาเรื่องการขนส่ง และการเปิดกล่องยุทโธปกรณ์ในทศวรรษ 1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในความใส่ใจเล็กๆ คุณแม่ได้เสนอไอเดียอย่างเป็นรูปธรรม กลายเป็นเทปสีเงินที่กองทัพใช้ซ่อมสารพัดอย่าง ตั้งแต่การปิดกล่อง ซ่อมรองเท้า กระทั่งพันแผลชั่วคราว 

ในครั้งนี้ ทรัพย์คัลเจอร์จะพาไปสำรวจประวัติศาสตร์การแปะ จากไอเดียของคุณแม่ในแนวหลังสู่ความปลอดภัยของลูกหลานในแนวหน้า และความเกี่ยวข้องกับกิจการเช่นบริษัท Johnson & Johnson ที่ร่วมสร้างความปลอดภัยผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการค่อยๆ ป็อปขึ้นของเจ้าเทปสีเงินที่ยังรักษาความยืดหยุ่นและสารพัดแปะโยชน์จนถึงทุกวันนี้

 ความปลอดภัยที่หนึ่งนาทีก็เสียไม่ได้

เจ้า duct tape  ฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ จุดกำเนิดของมันก็เล็กนิดเดียว คือมาจากแนวคิดของแม่บ้านคนหนึ่ง แต่ทว่า ในภาวะสงคราม เจ้าเทปสารพัดแปะโยชน์นี้ดันเข้าไปเปลี่ยนแปลงและแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้  

นวัตกรรมนี้จึงได้รับการนิยามและเชิดชูว่าได้ปกป้องแนวหน้าและเหล่าคนหนุ่มได้มากมาย 

 duct tape เกิดขึ้นในโรงผลิตยุทโธปกรณ์ในรัฐอิลลินอยส์ ในตอนนั้นผู้หญิงเข้าร่วมสงครามในฐานะแนวหลัง มีผู้หญิงซึ่งเป็นทั้งแม่และเมียที่เข้าช่วยเหลือกองทัพ หนึ่งในนั้นคือ เวสต้า สเตาดท์ (Vesta Stoudt) คุณแม่ที่มีลูกชายสองคนร่วมรบอยู่แนวหน้า เธอเข้าร่วมดูแลการบรรจุยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะพวกกระสุนปืนลงในกล่อง ปิดผนึก และขนส่งไปยังแนวหน้า

ทีนี้ ด้วยภาวะสงครามจำเป็นต้องมีการส่งของจำนวนมากที่สำคัญต่อความเป็นความตาย สุ่มเสี่ยง หรือต้องการความปลอดภัยยิ่งยวด ในขณะนั้นการบรรจุหีบห่อยุทโธปกรณ์จะบรรจุในกล่องกระดาษ ด้วยเทปกระดาษ หลังจากนั้นจึงจุ่มทั้งกล่องลงไปในแวกซ์ป้องกันน้ำ ตัวเทปกระดาษจะมีการทิ้งชายของเทปไว้เพื่อให้ดึงออกได้เมื่อต้องการเปิดกล่องออก 

ทั้งหมดนี้ฟังดูเข้าใจง่าย แต่เมื่อถึงการใช้จริง เจ้าขอบหรือชายของเทปที่ตั้งใจจะให้ดึงเทปออกผ่านแวกซ์ที่ถูกลงไว้ มักจะขาดหรือเปื่อยยุ่ย ทำให้ที่แนวหน้าทหารมักจะไม่สามารถเปิดกล่องกระสุนได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย

ถ้าเป็นภาวะปกติเราอาจจะแค่รำคาญ แต่นึกภาพว่าภาวะสงคราม แนวหน้าทหารต้องสาละวนกับการเปิดกล่อง ท่ามกลางสนามที่กำลังลุกเป็นไฟและถูกสาดกระสุนเข้าใส่ กระบวนการการปิดและเปิดกล่องที่ไม่มีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นความเป็นความตายที่เป็นรูปธรรม

กลับมาที่คุณแม่เวสต้า เธอเองก็สังเกตเห็นปัญหาเรื่องกล่อง แน่นอนตามประสาคุณแม่ ยิ่งถ้าคิดว่าปลายทางคือลูกชาย เธอจะแก้ปัญหานี้ยังไง วิสต้าจึงเกิดแนวคิดว่า ทำไมไม่ใช้เทปที่มันกันน้ำล่ะ เป็นเทปที่ทำจากผ้าทอที่เหนียวพิเศษ ปิดแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดได้ด้วยมือโดยไม่ต้องมีเครื่องมือ

เมื่อคิดได้ก็เอาไปบอกหัวหน้าที่ดูแลกองงานของเธอ แต่หัวหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจความคิด คุณแม่ผู้มุ่งมั่นและแสนเก๋ยิ่ง แทนที่จะยอมแพ้ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1943 เธอกลับเขียนจดหมายไปหาประธานาธิบดีรูสเวลต์ ว่ากันว่าเธอได้วาดแผนผังการปิดและเปิดเทปประกอบจดหมายถึงประธานาธิบดีด้วย 

เนื้อความบางส่วนเธอเขียนว่า ‘เราไม่อาจส่งกล่องกระสุนที่ต้องใช้เวลาแม้สักหนึ่งหรือสองนาทีเพื่อเปิดกล่อง สองนาทีนั้นอาจเป็นชีวิตที่สูญเสียไป ทำไมเราไม่รักษาชีวิตพวกเขาด้วยกล่องที่เปิดได้ภายในเสี้ยววินาทีล่ะ’

ในจดหมายเธอยืนยันกับประธานาธิบดีว่า ‘คุณต้องทำอะไรบางอย่างนะ ทำตอนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ เร็วๆ นี้ แต่คือเดี๋ยวนี้เท่านั้น’

เทปเป็ด ที่เก่งเหมือนเป็ด และกันน้ำแบบเป็ดๆ

ความน่ารักที่สุดของประธานาธิบดีคือเขาชื่นชมเวสต้ามาก เขานำจดหมายส่งต่อให้กับคณะกรรมการผลิตยุทธภัณฑ์ และให้ส่งจดหมายเพื่อแจ้งกับเวสต้าว่าความคิดของเธอได้รับการอนุมัติแล้ว หลังจากนั้นจึงได้ประสานไปยังบริษัทผลิตเทปคือ Industrial Tape Corporation ต่อมาคือบริษัท Johnson & Johnson ตรงนี้เองมีความซับซ้อนของบทบาทนักอุตสาหกรรมและนักประดิษฐ์ซึ่งเข้าไปช่วยงานกองทัพ และได้คิดค้นสิ่งต่างๆ จนกลายเป็นสินค้าเมื่อสงครามยุติลง

สำหรับตัวเทปก็เช่นกัน ในตอนนั้นบริษัทที่ทำการทดสอบและผลิต ก็เรียกเทปว่า ‘duck tape’ เพราะเป็นเทปที่กันน้ำเหมือนขนเป็ด แถมยังผลิตจากผ้าที่เรียกว่า ‘ผ้าเป็ด’ หรือ duck canvas ผ้าเนื้อแน่นที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม มีความทนทาน เหนียว ซึ่งในตอนนั้นใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอเช่นรองเท้า หรือเสื้อผ้าที่เกี่ยวกับการช่าง แถมในสนามรบ พวกทหารก็เรียกเทปนี้ว่าเทปเป็ดเพราะน้ำกลิ้งบนเทปได้เหมือนกับหลังเป็ด

ผู้คนยกให้บริษัท Johnson & Johnson เป็นบิดาของ duct tape ทั้งปวง สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่แค่การเอาผ้ามาแปะกาว แต่การพัฒนาตัวเทปเป็นการใช้นวัตกรรมการทอผสมเข้ากับสารเคลือบซึ่งเกี่ยวข้องกับยางหรือ polyethylene อีกหนึ่งนวัตกรรมยุคสงครามที่เกิดจากการผลิตน้ำมันและพลาสติก สารเคลือบแบบใหม่นี้จึงไม่ใช่แค่การทำกาวแบบเดิมซึ่งเมื่อขึ้นรูปแล้วจะแข็งตัว แต่จะเป็นสารแบบใหม่ที่ยืดหยุ่น กันน้ำ และยึดติดกับพื้นผิวได้ คือเหนียว ทน แต่ในขณะเดียวกันก็ฉีกได้ด้วยมือ

แน่นอนว่าเทปเหนียวนี้มีประโยชน์อีกมากมายในกองทัพ ไม่ใช่แค่การปิดเปิดกล่องที่ง่ายดาย ความเหนียวของมัน การที่ตัวมันเองฉีกออกใช้ง่าย กองทัพเอา duct tape ไปใช้ซ่อมสารพัด ไปจนถึงแปะแผล ซ่อมแซมร่างกายได้ในยามจำเป็น

ในช่วงแรกเทปเป็ดผลิตออกมาเป็นสีเขียวเพื่อให้พรางไปกับภูมิทัศน์ป่า แต่ภายหลังตัวเทปเริ่มกลายเป็นสีเงินและกลายเป็นไอคอนของเทปสุดเหนียว การผลิตเทปเหนียวพิเศษและฉีกง่ายให้เป็นสีเงิน เกิดจากยุคหลังสงคราม เมื่อสงครามยุติ เทปสุดเหนียวถูกนำไปใช้ในงานด้านโยธา เอาไปใช้พันหรือปิดในระบบท่อของอาคาร สายไฟ ไปจนถึงปิดพันท่อน้ำ 

จุดนี้เองจากเทปเป็ดกันน้ำ เลยได้ชื่อจากงานใหม่ที่คล้ายเดิมคือ duct tape เทปที่เริ่มมีการพัฒนาและทดสอบโดยการทนต่อความร้อน และสามารถป้องกันการแตกและรั่วไหลจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปมาได้

เมื่อพวกมันถูกเอาไปพันกับท่อ เช่นท่อแอร์ บริษัทที่ผลิตเทปก็เริ่มผลิตให้สีของพวกมันเป็นสีเงิน เพื่อให้กลืนไปกับสีท่อหรืองานระบบระบายอากาศที่มักเป็นโลหะ ช่วงทศวรรษ 1950 นี้เองที่ duct tape เริ่มถูกใช้ในงานก่อสร้าง งานซ่อมแซม และเริ่มมีสีเงิน พร้อมๆ กับการพัฒนาตัวเทปให้มีความทนทานต่อความร้อนและความเย็น เนื่องจากการใช้งานแบบใหม่ของพวกมัน

อันที่จริง duct tape  ถือเป็นอีกเบื้องหลังความสำคัญของแทบจะทุกอย่าง ทุกการก่อสร้าง สะพานขนาดยักษ์ใหญ่ ตึกอาคารที่ยิ่งใหญ่ก็ย่อมมีเจ้าเทปสีเงินเป็นส่วนหนึ่ง กระทั่งในกิจการงานอวกาศซึ่งองค์การนาซามีการพา duct tape ไปเป็นส่วนหนึ่ง และเคยได้ใช้ในงานซ่อมแซมเมื่อเกิดอุบัติเหตุทั้งในเหตุของยานอะพอลโล 13 ซึ่งช่วยชีวิตนักบินไว้ กระทั่งในภารกิจอะพอลโล 17 เจ้า duct tape ก็ได้มีส่วนแปะและซ่อมแซมล้อของรถสำรวจบนดวงจันทร์

หลังจากการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ การก่อสร้าง ไปจนถึงกิจการอวกาศ duct tape  กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันโดยเฉพาะการมาของกระแส DIY และการดูแลบ้าน duct tape หรือเทปผ้าเริ่มมีหลายสีสัน แต่อันที่จริง ในความรู้สึกเรา สีเงินมันดูเข้มแข็งและแข็งแรง ไว้ใจได้กว่า

สุดท้าย duct tape  เป็นอีกหนึ่งสุดยอดนวัตกรรม ที่มองย้อนไปพวกมันช่วยเหลือการเติบโต การเอาตัวรอดของผู้คน ของอาคาร ไปจนถึงของกระสวยอวกาศ จากจุดเริ่มต้นของคุณแม่คนหนึ่งที่คิดเป็นห่วงแนวหน้า เป็นห่วงลูกๆ และไม่ยอมแพ้ รวมถึงการรับฟังของรัฐ และการที่ภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์จนท้ายที่สุด เข้าสู่ตลาด เข้าสู่ชีวิตประจำวันของเรา

จากเทปเป็ด ผ้าเป็ด กันน้ำแบบเป็ด สุดท้ายเจ้าเทปเป็ดๆ อาจกลายเป็นเหมือนเราทุกคน รับสารพัดปัญหา พอจะแปะไว้ แก้ปัญหาได้ ยืดหยุ่น ทำให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปได้ แต่ดีที่สุดไหมไม่รู้ 

สมชื่อเทปเป็ด สารพัดแปะโยชน์

อ้างอิงข้อมูลจาก

5 ส่วนผสมเบื้องหลังความสำเร็จ ‘ศรีจันทร์’ ที่ ‘แท็ป รวิศ’ นำพาแบรนด์ให้มียอดขายแตะ 1,600 ล้านบาท

แม้แต่ละช่วงเวลาจะมีแนวทางความงามที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ‘ความสวยงาม’ และ ‘การดูแลตนเอง’ ก็ยังคงอินเทรนด์อยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจที่ตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามอย่าง ‘เครื่องสำอาง’ และ ‘สกินแคร์’ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ยังเป็นกระแสไวรัลที่จับฐานลูกค้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่นทุกเพศทุกวัย อย่างที่เราเห็นว่าช่วงนี้มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามไทยเกิดใหม่ขึ้นเยอะมาก ทั้งแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามไทยหน้าเก่าและหน้าใหม่ต่างก็ร่วมเล่นในตลาดนี้ หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ในตำนานอย่าง ‘ศรีจันทร์’ ที่ยังคงยืนอยู่อย่างสง่ามากว่า 76 ปี ผ่านทั้งการรีแบรนด์ การวางเป้าหมายใหม่ในธุรกิจ หรือการเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ  

โดยเฉพาะยุคโควิด 19 ที่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับหลายธุรกิจ ทางศรีจันทร์ก็เลือกลุยต่อและปรับตัวกับความท้าทายดังกล่าวด้วยความเชื่อมั่นในแนวทางธุรกิจที่วางไว้ จนมีรายได้รวม 1,600 ล้านบาท โตต่อเนื่องแบบ Double Ditgit ในปี 2021-2024 นอกจากนั้นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ของทั้งสองแบรนด์ในเครือบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด อย่างศรีจันทร์ และ ศศิ ยังน่าปลื้มใจ ด้วยอยู่ที่ระดับสูงถึง 51% และ 53% ต่อปีตามลำดับ สะท้อนการเติบโตของบริษัทอย่างดี

และด้วยความที่ศรีจันทร์เป็นแบรนด์ไทยแท้ กลยุทธ์หลักที่พาแบรนด์สู่ความสำเร็จเช่นนี้จึงแตกต่างออกไปอย่างมีเอกลักษณ์ คอลัมน์ Keynote ครั้งนี้จึงขอสรุปส่วนผสมแห่งความสำเร็จบนฉลากแบรนด์ศรีจันทร์ที่บอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ความงามของไทยไม่แพ้ที่ใดในโลกอย่างแน่นอน

1. สร้างความภาคภูมิใจ ชู ‘เอกลักษณ์ไทย’ ให้โดดเด่น 

ตั้งแต่เริ่มต้น ‘ศรีจันทร์’ ยึดมั่นในการรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ในแบรนด์โดยตลอด ทั้งการเลือกใช้ชื่อแบรนด์เดิมไม่เคยเปลี่ยนแม้แบรนด์อื่นในท้องตลาดจะเน้นใช้ชื่อแบรนด์ที่ดูสากล แม้จะออกแบรนด์ลูกก็ยังเน้นใช้ชื่อไทยๆ แต่มีความหมายคล้ายชื่อแบรนด์แม่นั่นคือ SASI ที่มาจาก ‘ศศิ’ ซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ แถมเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ยังอ่านง่าย

กระทั่งการรีแบรนด์ก็ยังเน้นนำเสนอความเป็นไทยในมุมมองที่ทันสมัย กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและชูเอกลักษณ์ความเป็นไทยของแบรนด์มากขึ้น อีกหนึ่งการสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย คือการระบุชื่อเมืองและปีที่ก่อตั้งของแบรนด์ จนเกิดเป็นข้อความ ‘SRICHAND BANGKOK 1948’ ที่ตอกย้ำรากฐานและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย พร้อมส่งต่อความรู้สึกนั้นไปยังผู้บริโภค  

นอกเหนือไปจากเป็นสินค้าถูกและดี ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแล้ว การที่ผู้บริโภคหันมานิยมแบรนด์ไทยกันมากขึ้น ก็มาจากความเข้าใจความต้องการคนไทยด้วยกันเองได้อย่างแท้จริง เมื่อเทรนด์นิยม made in thailand มาถึง จึงช่วยให้จุดยืนการเป็นแบรนด์ไทยของศรีจันทร์ไปได้ดี  

2. จับใจคนรุ่นใหม่ด้วย ‘ความคุ้มค่า’ ด้วยการออกแบรนน้องใหม่อย่าง ‘ศศิ’ 

นอกเหนือไปจากแบรนดิ้งของการเป็นแบรนด์ Modern Thai แล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้ศรีจันทร์ขยายฐานลูกค้าได้คือการทำให้เห็นว่า ‘ศรีจันทร์ไม่ได้มีดีแค่แป้ง’ แต่ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นด้วย เช่น กลุ่มสกินแคร์ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 และยังคงเป็นกระแสรีวิวดีบอกต่อติดเทรนด์อยู่กลุ่มบิวตี้เสมอ 

อีกสิ่งสำคัญคือการสร้างแบรนด์ใหม่ในเครืออย่าง ’ศศิ‘ (sasi) ในปี 2017 เพื่อขยายกลุ่มผู้บริโภคและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นความงามในปัจจุบัน ที่ล่าสุดศศิเองยังมีการเติบโต CAGR มากกว่า 50% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2021-2024  

จุดยืนของแบรนด์คือ ‘The most value for money yet trendy beauty & lifestyle brand’ ที่ต้องการนำเสนอความงามในยุคใหม่ที่ทั้งคุ้มค่าและทันสมัย ศศิยังเข้าใจความต้องการของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มหลักจริงๆ เช่น Kiss & Blush Multifunction Cosmetics ที่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย ใช้งานง่าย สวยได้ในชิ้นเดียว ทั้งตา แก้ม และปาก หรือจะเป็น  Acne Sol Collection ที่เน้นแก้ไขปัญหาเรื่องสิวซึ่งเป็นปัญหาที่กวนใจวัยใส

ยิ่งในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองที่ผู้บริโภคเน้นการซื้อสินค้าถี่มากขึ้น แต่ซื้อในจำนวนที่น้อยลง  จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่ามีผู้บริโภคมากถึง 70% ที่ปรับพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและราคามากขึ้น จึงสอดคล้องกับจุดยืนของศศิอย่างดี

3. เลือกใช้พรีเซนเตอร์ให้ถูกกับแบรนด์และกลุ่มลูกค้า 

นอกจากการมีพรีเซนเตอร์จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นแล้ว ตามรายงานการสำรวจกลยุทธ์ทางตลาดของ Nielsen พบว่าการใช้พรีเซนเตอร์ได้ถูกจุด ยังทำให้แบรนด์สื่อสารภาพลักษณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น 92% สำหรับศรีจันทร์และศศิก็ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ไม่น้อย

จากแก่นของแบรนด์ที่ต้องการนำเสนอความเป็นไทยร่วมสมัยยังส่งผลต่อการเลือกพรีเซนเตอร์ด้วย ในฝั่งศรีจันทร์นั้น ได้แก่ ‘ใบเฟิร์น–พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์’ พรีเซนเตอร์กลุ่ม Base Makeup, โบว์–เมลดา สุศรี’ พรีเซนเตอร์กลุ่ม Sunscreen และ ‘แบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ พรีเซนเตอร์กลุ่ม SRICHAND IN-SKIN

รวิศให้คำอธิบายเบื้องหลังการเลือกใช้พรีเซนเตอร์ทั้งสามนี้ว่าคือตัวแทนคนไทยที่มีความร่วมสมัย ทั้งความคิด ความสามารถ และภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่าย ทำให้คนรู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การสะท้อนตัวตนความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับแบมแบมที่เป็นพรีเซนเตอร์ระดับสากลที่เชื่อมต่อทั้งคนไทยและคนหลายชาติ

ส่วนพรีเซนเตอร์ของศศิ จะมุ่งเน้นความเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่มีความสดใสและกล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันศศิมีพรีเซนเตอร์ทั้งหมด 2 คน คือเก้า–สุภัสสรา ธนชาต ตัวแทนฝั่ง Lipstick & Eyebrow และ PROXIE ตัวแทนกลุ่ม Loose Powder & Foundation ที่เป็น T-Pop ที่ป๊อปมากในกลุ่มเด็กเจนฯ Z และเป็นวงบอยกรุ๊ปที่สร้างความแข็งแรงในอุตสาหกรรมเพลงไทยได้อย่างน่าสนใจ เช่น เพลง ‘คนไม่คุย’ ที่ได้รับรางวัล Music of The Week จากรายการ T-Pop Stage Show ถึง 3 สัปดาห์ติด หรือการได้ร่วมแสดงที่ประเทศเวียดนามในงาน Thai Festival in Ho Chi Minh City 2025

4. เจาะอินไซต์จาก Market trend ให้สินค้าสดใหม่ ไม่ตกเทรนด์

ศรีจันทร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพและกระบวนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ตั้งแต่การคัดเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน การพัฒนาสูตรต่างๆ ยังใช้ข้อมูล Market trend และ Research ประกอบรวมกัน รวมถึงมีการคัดเลือก Active Ingredients ที่โดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีและผ่านการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะดีและให้ผลเป็นไปตามที่มาตรฐานที่กำหนดไว้ได้ 

อย่าง ‘SRICHAND Bare to Perfect Glowing Translucent Powder’ และ ‘SRICHAND Bare to Perfect Translucent Powder’ หรือที่รู้จักกันในนามแป้งม่วงตัวดังในตำนานของศรีจันทร์เอง ก็มาจากการพัฒนาโดยอิงจากข้อมูลผิวของคนไทยและสภาพอากาศในประเทศไทย โปรดักต์นี้จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว สู้สภาพอากาศและมลภาวะได้อย่างเบาสบายและติดทนนาน

เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ที่เลือกใช้ Glyceryl Glucoside (GG) ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นแบบใหม่ที่ลงลึกไปถึงเซลล์ จับคู่ร่วมกับสารให้ความชุ่มชื้นที่เป็นที่รู้จักดีอย่าง Sodium Hyaluronate กับ CICA ใน Skin Moisture Burst Series จนขายดีเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ

ส่วนกลุ่ม Base Makeup ได้นำ Hybrid Foundation ที่มีส่วนผสมของ Skincare Active Ingredients มากถึง 86% ของ Skin Booster Series ที่เทียบเท่าแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาใช้ทำให้เป็นรองพื้นที่บำรุงผิวไปในตัวได้ครบจบในชิ้นเดียว

5. ลาพักใจ ลาผ่าตัดแปลงเพศ ฯลฯ สวัสดิการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วย

หากใครติดตามข่าวเกี่ยวกับแวดวงการทำงานบ่อยๆ อาจเคยเห็นชื่อศรีจันทร์ติดอยู่ในลิสต์บริษัทที่คนอยากทำงานด้วยอยู่บ้าง ล่าสุดศรีจันทร์ยังได้รับคะแนนอันดับ 1 จาก 55 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยปี 2025 โดย QMAC : QGEN Thailand Most Attractive Companies 2025

ความสำเร็จเรื่องคนนี้เองอาจเป็นเพราะศรีจันทร์มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้น Resilence เพื่อให้พนักงานรับมือและฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงได้ โดยยึดหลัก 4 แกนสำคัญ คือ Outcome – มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ตรงตามเป้าหมาย, Accountability – รับผิดชอบต่องานอย่างเต็มที่ พร้อมช่วยเหลือทีมเสมอ, Adaptability – ปรับตัวเร็ว เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา และSpeed – คิดไว ทำไว แก้ปัญหาอย่างเท่าทันสถานการณ์

ที่สำคัญ ศรีจันทร์ยังให้ความสำคัญกับสวัสติการที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ได้แก่ ลาคลอด โดยยังได้รับค่าจ้าง สูงสุด 6 เดือน, ลาดูแลภรรยาที่ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร สูงสุด 1 เดือน, ลาผ่าตัดแปลงเพศ สูงสุด 1 เดือน, ลาพักใจ กรณีสูญเสียคนในครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยง 10 วันต่อปี, ลาปฏิบัติธธรรมหรือศาสนกิจ

นอกจากทั้ง 5 ข้อนี้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ศรีจันทร์เป็นแบรนด์ที่ดูเข้าถึงได้ง่ายและน่าจับตา คือการที่ ‘แท็ป รวิศ’ สร้าง Personal Branding หรือการนำเสนอแบรนด์ผ่าน ‘คน’ ซึ่งเชื่อมต่อกับ ‘คน’ หรือ ‘ผู้บริโภค’ ได้มากกว่าบริษัท ซึ่งหากเรามี Personal Branding ที่แข็งแรง จากข้อมูลบนเว็บไซต์ rocket พบว่ามีโอกาสที่ผู้คนจะเชื่อถือมากขึ้นนำไปสู่ยอดขายและโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นกว่าเดิมถึง 55% ที่คนจะตัดสินใจซื้อเพราะเป็นธุรกิจของคนที่รู้จักหรือจำได้

เราจะเห็นได้จากรวิศ ผู้บริหารของศรีจันทร์ที่ลงมาทำทั้งเพจของตนเอง ทำพอดแคสต์ หรือได้เป็นเกสต์ในงานสัมมนาต่างๆ สิ่งนี้เป็นการสร้างภาพจำในเชิงบวกให้ทั้งคนและแบรนด์ เมื่อคนเชื่อใโยงกับรวิศซึ่งมีความสามารถหลากหลาย ก็จะนึกถึงศรีจันทร์ในเชิงบวกยิ่งขึ้น

จากกลยุทธ์และความสำเร็จทั้งหมดเหล่านี้ ศรีจันทร์จึงมองว่า T-Beauty หรือ Thai Beauty น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของซอฟท์พาวเวอร์ไทยได้ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามของไทยได้รับความนิยมทั้งการบริโภคในประเทศเอง หรือชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็มาซื้อผลิตภัณฑ์ความงามของไทยกลับไปด้วย

อ้างอิง