‘คงไว้ซึ่งความต่าง ในโลกที่ทุกอย่างเหมือนกัน’ 6 คีย์สำคัญจาก 6 คนดังระดับโลก จากเวที THACCA x Melco

ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยมีอะไรบ้าง?

หลายคนอาจตอบอาหาร นาฏศิลป์ไทย ไปจนถึงซีรีส์วายที่ปัจจุบันได้รับความนิยมในต่างประเทศไม่น้อย แต่สำหรับภาครัฐที่หันมาจับคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ เป็นนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซอฟต์พาวเวอร์ไทยครอบคลุม 14 อุตสาหกรรมหลัก ทั้งหนังสือ อาหาร ดนตรี เกม กีฬา แฟชั่น การออกแบบ การท่องเที่ยว เฟสติวัล ศิลปะ ศิลปะการแสดง ภาพยนตร์และแอนิเมชั่น ละครและซีรีส์ และ wellness 

ในบรรดาซอฟต์พาวเวอร์เหล่านั้น สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) หรือหน่วยงานกลางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย ตามนโยบายของรัฐบาลจึงร่วมกับ Melco Resorts & Entertainment จัดงานเสวนาภายใต้หัวข้อ ‘The New Rules of Soft Power’ ที่เชิญผู้นำทางความคิดด้านซอฟต์พาวเวอร์ระดับโลกทั้ง 6 สาขา อย่างการตลาด ศิลปะการแสดง การออกแบบ สถาปัตยกรรม อาหาร และภาพยนตร์ มาไว้ในงานเดียว

ผู้เชี่ยวชาญที่ว่ามีใจความสำคัญที่เชื่อแตกต่างกันไป ซึ่ง Capital สรุปมาให้ใน Keynote ครั้งนี้

1. อลัง ดูคาส (Alain Ducasse) เชฟเจ้าของดาวมิชลินมากที่สุดในโลก ตัวแทนของผู้นำซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารมองว่าสิ่งที่ทำให้สารพัดแบรนด์ของเขาอยู่ได้อย่างยั่งยืน คือการที่เขาพยายามคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไว้ซึ่งคือการเฟ้นหาช็อกโกแลตที่ดีที่สุดและหายากที่สุด ส่วนอาหารไทยที่หลายชาติมองว่าจุดเด่นคือความเป็นสตรีทฟู้ดนั้น เขาชวนให้คนไทยมองอาหารไทยให้ไกลกว่านั้น ชวนให้คนไทยนำเสนออาหารไทยในมุมมองของอาหารชั้นสูงซึ่งจะทำให้อาหารไทยได้รับการยอมรับในวงกว้างกว่าเดิม 

“ผมเชื่อว่าอนาคตของวงการอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากโลกภายนอกแต่เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อนิยามอัตลักษณ์ของตัวเราเอง”

นอกจากนั้น การทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคตื่นตาตื่นใจก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ยึดติด เปลี่ยนใจง่าย และมีความอยากรู้อยากเห็น 

2. จูลิอาโน เปปารินี (Giuliano Peparini) นักออกแบบท่าเต้นชื่อดัง ผู้กำกับศิลป์และเวทีการแสดงระดับโลก แสดงความเห็นว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อน แต่คือความคลิเช่ของประเทศนั้นๆ ที่เดาได้ ไม่ได้เป็นของใหม่ เรียบๆ และถูกผลิตซ้ำ เพียงแต่การจะทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศหนึ่งๆ ไปได้ไกลก็อยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้สิ่งนั้นถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทสังคมเพื่อทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้ง่ายและน่าสนใจสำหรับผู้คนทุกยุคทุกสมัย เพราะเขามองว่า “ซอฟต์พาวเวอร์จะประสบความสำเร็จได้ เมื่อสามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้คนได้”

3. วีเวียนา มุสเกตโทลา (Viviana Muscettola) สถาปนิก ผู้จัดการโครงการขนาดใหญ่และผังเมืองแห่ง Zaha Hadid Architects ได้กล่าวถึงบทบาทของสถาปัตยกรรมในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ว่า “พื้นที่ที่เราสร้าง มีผลต่อการสร้างการรับรู้และอัตลักษณ์ของชาติ เพราะสถาปัตยกรรมคือการเล่าเรื่องในระดับสากล”

เช่น Sydney Opera House ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสื่อถึงความเป็นเมืองแห่งศิลปะและศิลปะการแสดง ซึ่งปัจจุบันสามารถดึงดูดคนได้หลักล้านคนและนั่นหมายถึงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองได้ หรือจะเป็นอาคาร Burj Khalifa ที่ดูไบ ตึกที่สูงที่สุดในโลกซึ่งดึงดูดคนได้กว่า 17 ล้านคนต่อปี

4. แมธทิว เลฮานเนอร์ (Mathieu Lehanneur) ผู้ออกแบบคบเพลิงในงานมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ได้เผยให้ฟังว่าการออกแบบคบเพลิงของเขาไม่เพียงต้องสื่อความหมายถึงความเป็นฝรั่งเศสที่ยึดเรื่อง ‘เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ’ แต่เขาอยากให้คบเพลิงที่ออกแบบนั้นสร้าง ‘ประสบการณ์ร่วม’ ให้คนทั้งโลกได้ 

“การออกแบบไม่ใช่แค่เรื่องของรูปทรง แต่รวมไปถึงเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก การถ่ายทอดเรื่องราวและความเชื่อมโยง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดประสบการณ์และความทรงจำของผู้คน”

กล่าวคือต้องน่าดึงดูดเพียงพอให้ผู้คนอยากมอง ต้องเรียบง่ายพอที่เด็กๆ ทั่วโลกที่ชมผ่านหน้าจอจะวาดตามได้ไม่ยาก และต้องทำให้คนทั้งโลกเข้าถึงรูปทรงนี้ได้และมองว่าคบเพลิงนี้เป็นของตนเอง ไม่ใช่แค่เฉพาะคนฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าภาพงานครั้งนี้เท่านั้น รวมไปถึงคบเพลิงบอลลูนที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ถูกออกแบบโดยหลักคิดเดียวกัน

ทั้งหมดทั้งมวล หากประเทศใดๆ ก็ตามสามารถสร้างบางสิ่งให้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างประสบการณ์ร่วมได้ สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นอนุสาวรีย์ และแน่นอนว่าคือซอฟต์พาวเวอร์สำหรับทุกๆ คน

5. ริชาร์ด คริสเตียนเซน (Richard Christiansen) ผู้ก่อตั้งเครือข่ายฟาร์มฟื้นฟูระบบนิเวศ Flamingo Estate ถือเป็นหนึ่งใน role model ของผู้ที่หยิบจับทรัพยากรธรรมชาติและของดีท้องถิ่นมาปั้นเป็นแบรนด์และอุตสาหกรรมลักชัวรีที่ยั่งยืน ผ่านการถ่ายภาพการเก็บเกี่ยวไปจนถึงภาพผลผลิตให้สวยงาม จนเริ่มทำให้ดารานักแสดง ผู้มีชื่อเสียง ไปจนถึงประชาชนทั่วไปเริ่มถ่ายภาพ 

เมื่อเริ่มมีเกษตรกรจากหลากหลายฟาร์มมาเข้าร่วมกับเขา เมื่อมีผลผลิตในมือมากขึ้น ริชาร์ดเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ เขานำผลผลิตเหล่านั้นมาแปรรูปและสร้างแบรนด์เกี่ยวกับความงามที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตตั้งแต่เช้าจนเข้านอน ทั้งสบู่ แชมพู โลชั่น เทียนหอม ฯลฯ 

ปัจจุบันเขาสามารถขยายหน้าร้านกว่า 600 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา มีสาขาที่ออสเตรเลียและเตรียมขยายมาเอเชียในปีหน้า ไม่เพียงเขาที่ได้รับผลประโยชน์ แต่เกษตรกรที่ร่วมมือก็เติบโตและได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมจากการที่คนทำธุรกิจทำงานกับคนจริงๆ ไม่ใช่ทำงานแต่ในห้องแล็บ

“ในโลกที่ทุกคนกำลังคลั่งไคล้นวัตกรรม เทคโนโลยี AI ทำไมเราไม่ทำสิ่ง

ที่ตรงกันข้าม อย่างการนำเสนออะไรก็ตามที่ทำด้วยมือมนุษย์ เพราะเมื่อนำความมหัศจรรย์ของธรรมชาติผสานเข้ากับทักษะฝีมือของมนุษย์ รวมถึงกระบวนการเล่าเรื่องที่โดดเด่นและการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ จะสามารถสร้างสิ่งที่ทรงคุณค่าได้ในระยะยาว”

ในมุมมองของเขา ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์ต่างๆ หลากหลายและซับซ้อน คำถามสำคัญที่เขาทิ้งท้ายไว้ให้ผู้ประกอบการ ภาครัฐ เอกชน จึงคือประเทศไทยจะเพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้

ทรัพยากรอันล้ำค่าเหล่านี้ยังไง จะทำยังไงให้วัตถุดิบท้องถิ่นกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาติ และสร้างเม็ดเงินให้เกษตรกรได้อย่างที่ควรจะเป็น  

6. ไมค์ ไวต์ (Mike White) ผู้สร้างและผู้กำกับซีรีส์ The White Lotus ได้กล่าวถึงวิธีที่ภาพยนตร์และโทรทัศน์จะสามารถกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางตามรอยสถานที่ถ่ายทำต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่อง 

ไวต์ยังได้อธิบายถึงกระบวนการคัดเลือกสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้และสามารถดึงดูดความสนใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คน เขายังเผยว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกสำหรับการถ่ายทำซีซั่นนี้ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งนโยบายสนับสนุนเงินทุนจากรัฐไทย และที่สำคัญคือประเทศไทยมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ‘ด้านดี’ และ ‘ด้านมืด’ ที่สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์อันเป็นหัวใจสำคัญของซีรีส์ รวมถึงประเทศไทยยังเปิดกว้างในการทำงานจนทำให้การถ่ายทำครั้งนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เขาประทับใจ

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ในแง่มุมที่แตกต่างกันไป แต่จุดร่วมเดียวกันคือความเป็น ‘เอกลักษณ์’ และ ‘การเชื่อมโยงทางความรู้สึก’ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหากผู้ประกอบการและภาคส่วนต่างๆ สามารถมองหาจุดเชื่อมโยงและจุดต่างของธุรกิจตนเองได้ก็อาจพลิกธุรกิจให้สอดคล้องไปกับแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลที่เอาจริงเอาจังกับการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ไทย

นอกจากนี้ THACCA และ Melco เตรียมเปิดตัวโครงการฝึกงานระดับโลก ที่มอบโอกาสให้นิสิตนักศึกษาไทยที่มีศักยภาพ 5 คน ไปฝึกงานแบบเข้มข้นเป็นเวลา 3 เดือน กับผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทย ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ thaccaxmelcoacademy.com

เมื่อเทรนด์การวิ่งและคลับของคนชอบวิ่งเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ

เพราะวันนี้วิ่งไม่ใช่เรื่องของคนหนึ่งคนและรองเท้าหนึ่งคู่อีกต่อไป กล่าวคือ วันนี้แวดวงการควงขาเพื่อออกกำลังกายนั้น ได้เกิดเทรนด์ที่น่าสนใจอย่าง running club ที่กลุ่มนักวิ่งเริ่มรวมตัว จับกลุ่ม หันมาวิ่งด้วยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ 

ที่สำคัญในระหว่างวิ่งนั้น ก็ไม่ได้มีเพียงแค่การก้มหน้าก้มตา ก้าวขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกิจกรรม มีธีม มีประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจกรรมวิ่งแต่ละครั้ง จนทำให้การวิ่งแบบ running club สนุกและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น จนปัจจุบันคลับที่รวมคนชอบออกกำลังกายประเภทเดียวกันเริ่มส่งอิทธิพลต่อกีฬาชนิดอื่นจนมีสารพันคลับเกิดขึ้น

และที่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของรองเท้าหนึ่งคู่อีกต่อไป เพราะปัจจุบันธุรกิจเกี่ยวกับการวิ่งได้พัฒนาตามเทรนด์ของผู้คนอย่างก้าวกระโดด การเกิดขึ้นของแบรนด์เสื้อผ้าวิ่งค่ายเล็ก แต่มีเอกลักษณ์มากมาย เป็นทางเลือกให้เหล่านักวิ่งหยิบจับเสื้อผ้ามาถ่ายทอดอัตลักษณ์ของตัวเองในขณะวิ่งได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น พื้นที่ต่างๆ ยังกลายเป็น running stop ของกลุ่มวิ่ง เป็นอีกหนึ่งแนวทางการสร้างรายได้ของร้านอาหารและร้านกาแฟในยามเช้า ณ ปัจจุบัน

เพื่อเป็นการสำรวจหลักกิโลเมตรที่ running club เดินทางมาถึงในปัจจุบัน รวมถึงก้าวต่อไปว่าพวกเขาวางเป้าไปทางไหนต่อ Capital พูดคุยกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ‘กันตพงศ์ อังศุพันธุ์’ ผู้ก่อตั้ง CRUISE CONTROL RUN CLUB, ‘ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์’ หรือ บู้ Slur มือเบสที่หลงใหลในแฟชั่นเกี่ยวกับการวิ่ง และ ‘วรท ตรงเจริญชัย’ เจ้าของร้าน Never Snooze Coffee ร้านกาแฟที่เป็นเหมือนหมุดหมายของกลุ่มนักวิ่ง ผ่านคอลัมน์ Recap ในวันนี้กัน

CRUISE CONTROL RUN CLUB  

Running Together 
CRUISE CONTROL RUN CLUB 
 

“มันเริ่มจากที่ผมกับแฟนได้ไปวิ่ง city run ตอนนั้นเราก็รู้สึกดีนะ ได้ออกไปวิ่งตรงนั้นตรงนี้ ไม่ได้จำเจอยู่ที่สวนใดสวนหนึ่งแบบที่เคยวิ่ง เลยมีความคิดกันว่า ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว จะชวนกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดมาวิ่งด้วยกัน จนกลายเป็นงาน city run ครั้งแรกที่เราจัดขึ้น” กันตพงศ์เล่าถึงจุดเริ่มต้นการรวมกลุ่มวิ่งกันของเพื่อนๆ จนนำมาสู่การก่อตั้ง CRUISE CONTROL RUN CLUB กลุ่มวิ่งที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ที่มาพร้อมกับชุดสีดำขรึม ขัดกับบรรยากาศของกลุ่มวิ่งที่เน้นความเร็วในระดับที่ยังคุยกันได้สนุกปาก เป็นเพซ (pace) ระดับ Fun Run ที่เชื้อเชิญให้นักวิ่งหลากหลายแบบมารวมตัว จนเป็นกลุ่มใหญ่เช่นปัจจุบัน

“ตอนนั้นยังไม่ได้มีชื่อ CRUISE CONTROL หรอก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะจัดงานวิ่งต่อหลังจากนี้ แต่ด้วยความที่วันนั้นเรารู้สึกว่าการวิ่งซิตี้รัน มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากที่ผ่านมา คือเราไม่ได้บอกว่าวิ่งกับกลุ่มเพื่อนหรือวิ่งคนเดียวแบบไหนจะดีกว่ากัน เราว่ามันดีคนละแบบ เพียงแต่การวิ่งกับกลุ่มเพื่อนมันมีเรื่องของคอมมิวนิตี้ มีการ interact กัน”

จากจุดนั้นทำให้เขาตัดสินใจเปิดอินสตาแกรมเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ว่าหากจะมีการจัดงานวิ่งครั้งต่อไป จะเป็นที่ไหน เมื่อไหร่ จอดรถที่ใด และใช้ชื่อว่า CRUISE CONTROL จนถึงวันนี้ 

“ในการจัดงานวิ่งครั้งหนึ่ง สิ่งแรกที่ CRUISE CONTROL ทำคือคิดชื่อธีมของงานขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากสถานที่หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในการวิ่งครั้งนั้น เช่น ChaoPraya Cruise Control ก็เป็นงานที่เราจัดขึ้นชวนคนมาวิ่งข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยกัน”

“อีกส่วนที่สำคัญคือรูปถ่าย” กันตพงศ์เล่าถึงจุดแข็งของกลุ่มที่ใช้โปรโมตในโซเชียลต่างๆ “แน่นอนล่ะ ในยุคนี้มันขาดสิ่งนี้ไม่ได้จริงๆ เพียงแต่รูปของเรา จะไม่เหมือนงานวิ่งทั่วไป คือไม่ได้ดูทางการขนาดนั้น บางทีก็เอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายตอนที่วิ่งไปด้วยกัน มันเลยให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากภาพวิ่งที่เป็นมา”

เหตุผลที่ส่วนใหญ่งานวิ่งของ CRUISE CONTROL ต้องเป็นซิตี้รันหรือการวิ่งรอบเมือง กันตพงศ์เล่าว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะเห็นว่าหลายคนมักรู้สึกว่าการวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งของเมือง เป็นเรื่องที่ไกล ทำได้ยาก 

เขาเลยอยากทำให้คนเห็นว่ามันทำได้นะ และเป็นเรื่องที่สนุกด้วย ที่สำคัญยังทำให้เป้าหมายในการวิ่งมีความหลากหลายยิ่งขึ้น เพราะจุดหมายอาจเป็นร้านอาหารหรือร้านกาแฟก็ได้ 

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการได้ร่วมงานกับแบรนด์กีฬาต่างๆ ทั้ง HOKA, ASICS SAUCONY เรื่องนี้กันตพงศ์มองว่าจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะโมเดลแบบนี้มีให้เห็นในกลุ่มวิ่งต่างประเทศมาสักพัก ส่วนใหญ่กลุ่มวิ่งที่มีผู้สนับสนุนแบบนี้ต้องเป็นกลุ่มที่มีตัวตนชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Cruise Control จึงไม่ใช่การที่เข้าไปพูดคุยหรือเสนอไอเดียกับแบรนด์ใหญ่ แต่เป็นการทำให้ตัวเองเป็นที่จดจำ จนการร่วมงานกับแบรนด์ดังเกิดขึ้นได้จริง

“ส่วนใหญ่แล้วการที่แบรนด์เสนอโปรเจกต์มาคือเขาจะให้เราเป็นโฮสต์ของงานนั้น อาจจะเป็นการวิ่งด้วยการลองรองเท้ารุ่นใหม่ของเขา หรือบางงานจะเน้นเรื่องภาพ เน้นเรื่อง performance ก็แล้วแต่เป้าหมายของแบรนด์ในครั้งนั้น”

บู้ Slur

Running in Style 
‘บู้ Slur’ กับการเป็นนักวิ่งที่ถ่ายทอดตัวตนผ่านแฟชั่น

นอกจากรูปแบบของการรวมกลุ่มของวัยรุ่นกับการตื่นมาวิ่งในตอนเช้าแล้ว อีกสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือภาพลักษณ์และแฟชั่นของนักวิ่งในปัจจุบันที่สื่อสารออกมาอย่างหลากหลาย ขัดจากภาพจำและขนบการวิ่งที่เรารู้จัก 

ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์ หรือบู้ Slur คือหนึ่งตัวอย่างของนักวิ่งที่ถ่ายทอดตัวตนผ่านแฟชั่นวิ่งได้อย่างชัดเจน กับการเลือกแต่งตัวในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ต้องใส่ชุดรัดรูปหรือสีฉูดฉาดแบบที่แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ทำมาอีกต่อไป  

“จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นคนที่วิ่งบ้าง อย่างน้อยก็สัปดาห์ละครั้ง เพราะด้วยความที่เราเป็นนักดนตรีจึงต้องดูแลรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมอยู่ตลอด จุดเปลี่ยนจริงๆ คือการที่ได้มาวิ่งในสวนเบญจกิติและได้รู้จักเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ทำให้มุมมองต่อการวิ่งเปลี่ยนไป คือก่อนหน้านี้เรามองว่าการวิ่งคือกีฬา คือการออกกำลังกาย มันต้องเคี่ยวกรำร่างกาย มันต้องเหนื่อย ต้องล้า แต่งตัวก็ต้องมีความเป็นกีฬา เสื้อผ้ารัดติ้ว สีฉูดฉาด 

“แต่พอเราได้มาอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ชื่อ Ugly Running ก็ทำให้เห็นว่าการวิ่งมันหลากหลายมากกว่านั้น คืออาจเพราะด้วยความที่พวกเราเป็นกลุ่มคนประเภท ‘ทำทรง’ อยู่หน่อย เลยมักจะชอบแต่งตัวมาวิ่งกัน ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์กีฬาเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น หลายแบรนด์มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน เช่น SATISFY ที่กล้าเอาแฟชั่นของคอดนตรีร็อกและพังก์มาผสมกับเสื้อผ้าวิ่ง ก็ยิ่งได้ใจเราไปใหญ่ มันเลยทำให้เราอยากจะตื่นมาวิ่ง ตื่นมาแต่งตัว ตื่นออกมาเจอเพื่อนในสวนเบญจกิติ ทุกๆ เช้าบ่อยมากขึ้น”

หลังจากนี้ทิศทางของแฟชั่นวงการวิ่งจะเป็นยังไงต่อ ธนันต์เล่าว่าเทรนด์ของแบรนด์เสื้อผ้าวิ่งกำลังอยู่ในช่วงที่สนุกและจะมีความหลากหลายมากกว่าเดิมในปีนี้ 

“ผมว่ามันจะมันยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะหลายแบรนด์เห็นแล้วว่า ทุกคนไม่ได้ต้องการใส่เสื้อวิ่งแบบเดียวกัน เขาก็มีตัวตนที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ ตอนนี้ก็อยู่ที่แบรนด์แล้วว่าจะผลิตสินค้าและหากลุ่มลูกค้าได้ไหม และที่สำคัญผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีการแข่งขันของแบรนด์ต่างๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่แบรนด์ต่างประเทศนะ ยังรวมถึงแบรนด์ไทยด้วยเช่นกัน” ธนันต์กล่าวทิ้งท้าย 

Never Snooze Coffee ร้านกาแฟขวัญใจนักวิ่งย่านสวนหลวง ร.9 

Running Stop
Never Snooze Coffee ร้านกาแฟขวัญใจนักวิ่งย่านสวนหลวง ร.9 

แม้การวิ่งจะเป็นเรื่องของคน เสื้อผ้า รองเท้า และห้วงเวลาขณะวิ่ง แต่ปัจจุบันสิ่งที่กลุ่มนักวิ่งให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือกิจกรรมหลังวิ่ง ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการแฮงเอาต์ในพื้นที่สักแห่ง กินอาหารดีๆ เติมพลังงานให้กับร่างกาย บ้างก็เลือกกาแฟเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ใช้บูสต์เอนเนอร์จี้ ให้วันนั้นสดชื่นมากยิ่งขึ้น 

ช่วงที่ผ่านมา ร้านอาหารและร้านกาแฟจำนวนหนึ่งจึงกลายเป็น running stop ของกลุ่มนักวิ่งที่มักจะมารวมตัวกัน เมื่อจบการฝึกซ้อม ซึ่ง Never Snooze Coffee คือหนึ่งในร้านหมุดหมายของพวกเขา

ร้านกาแฟบรรยากาศดี ติดกับสวนขนาดใหญ่ย่านบางนา เป็นหมุดหมายของนักวิ่งจำนวนมาก ที่อยากมาใช้เวลาช่วงสายๆ พูดคุยกับกลุ่มเพื่อน แน่นอนว่าวรท เจ้าของร้านที่เป็นหนึ่งในนักวิ่งเช่นกัน ก็น้อมรับกระแส ปรับร้านและเปลี่ยนทิศทางธุรกิจให้เข้ากับเทรนด์ที่เกิดขึ้น

“ถ้าถามว่า Never Snooze กลายมาเป็น running stop ของกลุ่มนักวิ่งได้ยังไง ถ้าตอบอย่างง่ายก็คงเป็นเพราะโลเคชั่นของเราใกล้กับสวนหลวง ร.9 และสวนสาธารณะศูนย์กีฬาบึงหนองบอน แต่ถ้าขยายความให้ลึกกว่านี้ ปกติแล้วผมเป็นคนที่ชอบวิ่งมาก่อนหน้า ชอบมากจนถึงขนาดเคยมีแผนอยากทำ Never Snooze Running Club เป็นกลุ่มวิ่งของตัวเอง แต่พอตัวเองไปสังกัดอยู่กับก๊วน Fake Runner โปรเจกต์เลยพับไป 

“แต่ช่วง 1-2 ปีให้หลัง ผมเห็นเทรนด์บางอย่างนะ คือเห็นคนหนุ่มสาวตื่นมาวิ่งกันตอนเช้ามากยิ่งขึ้น รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วพอหลังจากวิ่งเสร็จเขาก็ไปหาอะไรกินกัน มาหาร้านกาแฟนั่งดื่ม ซึ่งร้านเราก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของคนที่มาวิ่งที่สวนละแวกนี้

“พฤติกรรมของกลุ่มนักวิ่งเขาจะไม่เหมือนกับลูกค้ากลุ่มอื่น บางรายเขาตัวเปียกเหงื่อมา เขาไม่อยากนั่งตากแอร์เพราะมันหนาวเราก็ควรมีพื้นที่เอาต์ดอร์ให้เขา และถ้ามีอาหารอย่างอื่นด้วยก็จะดีมาก เพราะหลังออกกำลังกาย เขาก็อยากเติมพลังงานกลับเข้าร่างกายให้เร็ว

“ดังนั้นเราเองต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน เราเองก็มีแผนอยากปรับบาร์ให้เล็กลง เพิ่มพื้นที่ และมีโต๊ะที่เข็นมารวมกันเป็นโต๊ะใหญ่ๆ ให้เขานั่งได้” วรทยังเล่าว่าสิ่งที่น่าสนใจคือการเห็นกลุ่มคนที่เปี่ยมไปด้วยไฟเช่นนี้ มันช่วยทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอยู่ไม่น้อย 

“เอาเข้าจริงนอกจากในเชิงธุรกิจ มันช่วยเติมไฟในตัวผมด้วยนะ บางวันเห็นเขาวิ่งมา 20 กิโลเมตร 30 กิโลเมตร คืออยากจะทิ้งภาระหน้าที่ในร้านแล้วออกไปวิ่งเลย หรือในบางโมเมนต์ก็รู้สึกว่า โชคดีจัง ที่เราวางคาแร็กเตอร์ร้านไว้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เจอเหตุการณ์ประมาณนี้แน่ อย่างเช่นตอนที่โจ ฟุคุดะ  (นักวิ่งเอเชียคนแรกที่เป็นสมาชิกของ NN Running Team ทีมวิ่งเดียวกับ เอเลียด คิปโชเก้ นักวิ่งมาราธอนชาวเคนยา) มาทานกาแฟที่ร้านของเรา” เขากล่าวทิ้งท้าย 

แอมพลิฟายเออร์ดีไซน์อาร์ตเดโค รุ่นใหม่จาก Devialet แบรนด์เครื่องเสียงสัญชาติฝรั่งเศส

Devialet แบรนด์เครื่องเสียงไฮเอนด์ระดับโลกจากฝรั่งเศส ที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเสียงและการออกแบบ ได้เปิดตัว Devialet Astra แอมพลิฟายเออร์รุ่นล่าสุดที่ผสานเทคโนโลยีเสียงล้ำสมัยเข้ากับงานออกแบบสุดลักชูฯ  

แบรนด์ Devialet ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 ด้วยความตั้งใจว่าจะปฏิวัติวงการเครื่องเสียงด้วยเทคโนโลยีนั่นทำให้ปัจจุบันแบรนด์ได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 250 รายการ แบรนด์ยังเป็นที่รู้จักจากเทคโนโลยีเอกสิทธิ์อย่าง ADH® (Analog Digital Hybrid Technology) ที่ผสานความละเอียดของเสียงแอนะล็อกเข้ากับพลังของเสียงดิจิทัล และ SAM® (Speaker Active Matching) ซึ่งช่วยให้เสียงคมชัดสมจริง 

ส่วนเจ้า Devialet Astra ที่เพิ่งเปิดตัวนั้นถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Sound, Unlocking Emotion’ หรือ ‘เสียงที่ปลดล็อกอารมณ์’ โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดรายละเอียดเสียงที่ลึกซึ้งและสมจริง แอมพลิฟายเออร์รุ่นใหม่นี้ยังใช้เทคโนโลยี ADH® เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งช่วยลดความเพี้ยนของเสียงให้อยู่ในระดับต่ำ 

นอกจากนั้นยังรองรับระบบ SAM® ที่ช่วยจับคู่เสียงให้เข้ากับลำโพง นอกจากนี้ยังมาพร้อม RAM® (Record Active Matching) ที่ช่วยปรับแต่งเสียงของเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของไวนิลแต่ละแผ่น เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่แม่นยำ 

ที่สำคัญยังรองรับการสตรีมมิงผ่าน AirPlay, Google Cast, Roon Ready, Spotify Connect, Tidal และ UPnP ด้วย

ความน่าสนใจอีกอย่างคือดีไซน์ของ Devialet Astra ยังได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์ตเดโค ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายออกแบบอย่าง Emmanuel Nardin ยังบอกว่าเจ้า Astra นี้ไม่ใช่แค่เครื่องเสียงที่มีสมรรถนะไร้ที่ติ แต่ยังเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความงามและความพิถีพิถันในการออกแบบ” 

ส่วนใครที่สนใจเจ้า Devialet Astra ไปรับชมและรับฟังผลงานชิ้นเอกได้ที่ร้าน Devialet ที่ Emporium, EmQuartier, Central Chidlom และ ICONSIAM ได้เลย  

3 กลยุทธ์ ‘ที่สุด’ ของ AP Thailand ที่ตั้งเป้าเพื่อเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ 

ช่วงไตรมาส 1 ของปี 2568 แบบนี้ หลากธุรกิจต่างประกาศผลประกอบการของปีที่ผ่านมา และแผนที่ตั้งใจทำในปีปัจจุบันอย่างปี 2568 หนึ่งในนั้นคือเอพี ไทยแลนด์ แบรนด์อสังหาฯ ที่หลายคนเลือกเป็นลูกค้า

ในปี 2567 ที่ผ่านมาเอพี ไทยแลนด์ทำยอดขายสุทธิที่ 46,752 ล้านบาท รายได้รวม 47,125 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,020 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 นี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 42 โครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม 

สำหรับในปีนี้กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมของเอพียังมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% ทำให้เอพีครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดมากที่สุด จากความสำเร็จนั้น เอพีจึงต่อยอดกลุ่มทาวน์โฮมด้วย ‘ 3 สร้างที่สุด’ 

สร้างที่สุดแรกคือเน้นกลยุทธ์ Zoning Expansion Strategy เพื่อให้เป็นอันดับ 1 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดครอบคลุมทุกโซนของกรุงเทพฯ พัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของจำนวน รูปแบบโครงการ และแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย ที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่  

สร้างที่สุดในมิติที่ 2 คือการมีแบบบ้านมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เพื่อตอบทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกเซกเมนต์  อย่างปัจจุบันก็มีแบบบ้านกว่า 100 โมเดล ในปี 2568 นี้ยังมีแบบใหม่เพิ่มขึ้น 13 โมเดล เช่น CoLive Model ทาวน์โฮมแรกที่ลูกค้าสามารถปล่อยเช่าแยกชั้นได้ ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม solo living ที่ชอบใช้ชีวิตคนเดียว  

สร้างที่สุดที่ 3 กับการพลิกให้พื้นที่ส่วนกลางในทาวน์โฮมและบ้านแฝดไม่ได้เป็นเพียงจุดพักผ่อน แต่คือการออกแบบส่วนกลางที่ผสานแนวคิดความยั่งยืน โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น 24 Fitness ฟิตเนสที่พร้อมเปิด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา มีระบบเปิด-ปิดไฟแยกตามโซนการใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน 

หรือจะเป็น Eco Waste Station สถานีจัดการขยะอย่างเป็นระบบเพื่อความสะอาดและความยั่งยืน พร้อมรณรงค์ผ่านแคมเปญ แยก-เท-ได้ เพื่อเชิญชวนลูกบ้านร่วมกันแยกขยะก่อนทิ้ง ปีนี้ยังตั้งเป้ารีไซเคิลขยะให้ได้ที่ 100 ตัน จากทุกโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด ทั้งยังเตรียมติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มใน Main Gate และพื้นที่ Club House 

นอกจากนั้นเอพียังได้เผย 3 กลยุทธ์สำคัญประจำปีนี้ที่จะทำให้แบรนด์ไปถึงฝั่งฝัน ได้แก่

  1. Diversity & Desires–เข้าใจในความแตกต่างและความชอบส่วนตัวและพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการเฉพาะกลุ่ม  
  2. Craft Space & Design–ออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ด้วยแนวคิด Empathy Design ที่นอกเหนือจากการสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ยังเติมเต็มสุนทรียศาสตร์ในการอยู่อาศัย
  3. Elevation & Intuitive Living–ออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้การอยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย สบาย และสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องคิดหรือจัดการให้ยุ่งยาก เพราะทุกอย่างถูกคิดและเตรียมไว้ให้แล้ว ด้วยบริการต่างๆ ในเครือเอพี ไทยแลนด์ ที่ครอบคลุมทุกเรื่องการอยู่อาศัย 

ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์หลักที่เอพีคาดว่าจะช่วยผลักดันให้แบรนด์ครองอันดับในตลาดอสังหาฯ ของไทยได้  

เปิดส่วนผสมที่ทำให้ HooRay! แบรนด์โปรตีนพร้อมดื่มแบรนด์แรกของไทยยืนหยัดมากว่า 10 ปี

ในตู้ขายน้ำของยิมที่เราเข้าประจำ นอกจากน้ำเปล่าที่กดซื้อบ่อยๆ อีกหนึ่งโปรดักต์ที่จ่ายเงินให้บ่อยไม่แพ้กัน คือโปรตีนพร้อมดื่มของ HooRay!

ขวดสีสันสดใสที่ล่อตาล่อใจก็เป็นแรงจูงใจหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญคือปริมาณโปรตีนกว่า 30 กรัมที่ถือว่ามากถ้าเทียบกับโปรตีนพร้อมดื่มเจ้าอื่น ไม่นับรสชาติหวานกลมกล่อม ทานง่าย นับแต่ได้ลองครั้งแรก เราก็เป็นแฟนคลับของ HooRay! เสมอมา

วันนี้เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะคอลัมน์ Product Champion รอบนี้บุกมาถึงออฟฟิศถึง HooRay! คุยกับคู่สามีภรรยา ต้น–วงษ์เดช เอี่ยวสานุรักษ์ และ เจน–ชัชณี พฤกษ์ศลานันท์ ผู้ที่ก่อตั้งแบรนด์ร่วมกับพาร์ตเนอร์ เอก พฤกษ์ศลานันท์ และ ปิติภัทร พฤกษ์ศลานันท์ เมื่อราว 10 ปีก่อน

เรื่องน่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้จบด้านโภชนาการใดๆ แต่ตั้งต้นจากการเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายและทานโปรตีนเหมือนเรานี่แหละ ติดแต่ 10 ปีก่อน การจะหาโปรตีนอร่อยๆ ในตลาดนั้นทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงโปรตีนพร้อมดื่มในไทยที่มีแต่สินค้านำเข้า สี่ผู้ก่อตั้งจึงแท็กทีมกันศึกษาเรื่องโปรตีนจนเชี่ยวชาญ เข้มข้นกับการพัฒนาสูตร จนได้โปรตีนพร้อมดื่มขวดแรกออกมาวางขาย

ที่สำคัญ HooRay! ไม่ได้เชื่อว่าโปรตีนมีไว้สำหรับคนที่ออกกำลังกายบ่อยเท่านั้น แต่เป็นสิ่งสำคัญที่คนทุกเพศทุกวัยจะต้องการ 

“โจทย์ของเราคือทำให้ลูกค้าสุขภาพดี HooRay! จึงเป็นเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ที่คอยเชียร์อัพให้คุณไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยกัน” เจนเล่าความตั้งใจ และเริ่มแนะนำสินค้าแต่ละตัวให้เราฟัง

ส่วนผสมใน Hooray! ทุกสูตร

  1. อินไซต์ของผู้บริโภค 1 ช้อนโต๊ะ
  2. ความรู้และนวัตกรรมเกี่ยวกับโปรตีน 1 ถ้วยตวง
  3. ความใส่ใจ 1 สกู๊ป
  4. การไม่หยุดพัฒนา 10 ช้อนชา (ใส่เพิ่มได้ตามแต่ใจผู้ปรุง)

เมนูประจำตู้

โปรตีนพร้อมดื่ม 

โปรตีนผงกระปุกใหญ่บิ๊กเบิ้ม หน้ากระปุกสกรีนรูปนักกล้ามกำลังเบ่งกล้ามเหมือนแรมโบ้ พร้อมกราฟิกรูปสายฟ้าฟาดแสดงพลัง นี่คือรูปแบบของโปรตีนที่เห็นได้ทั่วไปในท้องตลาดเมื่อ 10 ปีก่อน

“หนึ่ง มันดูเข้าถึงยาก สอง รสชาติไม่อร่อย กินยาก” เจนที่เคยเป็นผู้บริโภคมาก่อนรีวิวให้ฟัง

ย้อนกลับไปก่อนจะมาเปิดแบรนด์โปรตีน HooRay! คุณต้นกับคุณเจนเคยเปิดธุรกิจ private fitness ของตัวเองมาก่อน พวกเขาขายคอร์สเทรนให้สมาชิกพร้อมวางแผนโภชนาการ และแน่นอนว่าต้องมีการวางแผนการกินโปรตีนต่อวันให้ถึงเกณฑ์

อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่เคยโดนเทรนเนอร์บังคับว่าต้องกิน ‘ให้ถึง’ คงเข้าใจ ส่วนคนที่งงว่าคืออะไร ขออธิบายคร่าวๆ ว่า โดยปกติสำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ เราควรจะบริโภคโปรตีนในอัตราเทียบเท่ากับน้ำหนักตัวอยู่แล้ว (สมมติน้ำหนัก 60 กิโลกรัมก็ควรบริโภค 60 กรัมต่อวัน) ไม่ต้องพูดถึงคนที่ออกกำลังกายบ่อยๆ ที่ต้องการให้มากกว่านั้น 

ว่าง่ายๆ คือ การกินโปรตีนให้ถึงทุกวันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง

“คอร์สที่เราขายให้กับลูกค้าคือเราต้องจ่ายโปรตีนให้เขาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าโปรตีนผงมันไม่อร่อย ลูกค้าบางคนจ่ายตังค์แล้วก็ยังหาข้ออ้างที่จะไม่กิน เพราะเขาต้องฝืนกิน เราเลยเปิดปิ๊งไอเดียว่า ทำไมในไทยเราไม่มีเครื่องดื่ม ready-to-drink protein ที่รสชาติอร่อยบ้าง” หญิงสาวบอก

เมื่อลองดูตลาดสินค้าสุขภาพเวลานั้น ในไทยยังไม่มีเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเลย สามีภรรยาจึงยิ่งมองเห็นโอกาส จากไอเดียวันแรก พวกเขาใช้เวลากว่า 2 ปีในการเก็บข้อมูล ศึกษา ทดลอง เพื่อพัฒนาโปรตีนพร้อมดื่มของตัวเอง 

“เราใช้เวลานานเพราะศึกษาว่าการจะทำเครื่องดื่มหนึ่งขวดให้ได้โปรตีนสูงนั้นใช้เทคโนโลยีอะไรบ้าง ตอนนั้นก็ไปร่างโครงการให้นักวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ วิจัยให้แต่ไม่มีใครตอบรับเลย สุดท้ายเรามีโอกาสติดต่อกับองค์กรที่อเมริกา เขาซัพพอร์ตข้อมูลให้เรา เราก็บินไปดูงานที่อเมริกาจนได้เปิดโลกทัศน์” เจนเล่า

เดือนพฤศจิกายนปี 2015  โปรตีนขวดแรกของพวกเขาก็ถูกเข็นออกมาขายได้สำเร็จ นั่นคือ HooRay! รสช็อกโกแลต ซึ่งถือเป็นโปรตีนพร้อมดื่มแบรนด์แรกที่เปิดตลาดในไทย ก่อนที่ไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง แบรนด์นมยักษ์ใหญ่ก็วางจำหน่ายโปรตีนพร้อมดื่มของตัวเองบ้าง เพราะพวกเขาก็ซุ่มทำอยู่เช่นกัน 

ถึงอย่างนั้น สองสามีภรรยาก็ออกปากว่าไม่หวั่นใจ “เรามีวิชชั่น ที่มองเห็นในตลาดนี้เหมือนกัน แต่โพซิชั่นเราต่างกันอย่างชัดเจน เพราะเราโฟกัสเฉพาะโปรตีน ไม่ได้ทำสินค้าเมนสตรีมอื่นๆ จนถึงวันนี้” คุณเจนย้ำด้วยน้ำเสียงมั่นใจ 

โปรตีนพร้อมดื่มของ HooRay! ยังสร้างจุดยืนของตัวเองอย่างแข็งแรงมาตั้งแต่ day 1 ทั้งเรื่อง function (ประสิทธิภาพ) และ emotion (ความรู้สึกตอนทาน) 

“เครื่องดื่มของเรามีโปรตีนสูงที่สุดในตลาด นั่นคือฟังก์ชั่นหลัก สอง–เราพบผลวิจัยว่าจริงๆ แล้ว 98% ของคนไทยมีอาการแพ้แลคโตส ซึ่งอาการอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน เราเลยตั้งต้นตั้งแต่แรกเลยว่าเราจะเป็นโปรตีนที่ lactose-free ที่คนแพ้นมวัวทานได้ 

“สาม–เราเป็นเจ้าแรกที่ทำสูตรไม่เติมน้ำตาล ถึงเราจะรู้ว่าคนไทยติดกินหวาน กินอร่อย แต่เราจะทำยังไงให้นมมีรสชาติดีและได้คุณประโยชน์ไปพร้อมกัน เราเลยใช้นวัตกรรมและกระบวนการที่นานกว่าแต่ละรสชาติจะออกมา” คุณเจนบอก

HooRay! ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความสดใหม่ ใช้นมวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าธรรมชาติอย่างน้อย 350 วันต่อปี เป็นนมจากวัวอารมณ์ดี (Happy Cow) ทำให้มีสารอาหารที่ดีบรรจุอยู่ทุกขวด ในทุกฤดูกาล พวกเขายังขยันออกรสชาติใหม่เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า อย่างในวันที่เราคุยกัน รสชาติใหม่ประจำฤดูกาลคือช็อกโกแลตมินต์รสหวานหอมสดชื่น 

ส่วนด้าน emotion จะสังเกตว่าบรรจุภัณฑ์ของ HooRay! ใช้สีและกราฟิกสุดแสนจะเป็นมิตร นั่นเพราะพวกเขาอยากให้คนทุกเพศทุกวัยถือโปรตีนของพวกเขาได้ มากไปกว่านั้น แพ็จเกจจิ้งนม HooRay! ยังเป็นมิตรต่อโลกมากเท่าที่จะทำได้ 

ในเวอร์ชั่นแรกพวกเขาใช้กล่องกระดาษที่นำมารีไซเคิลได้ 95% ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นขวดพลาสติกเพราะคุณภาพในการเก็บรักษานม  ในอนาคต พวกเขามีแผนจะปรับเทคนิคการผลิตให้สามารถลดจำนวนฟอยล์ลง เพื่อลดการผลิตขยะอีกด้วย

สำหรับต้นและเจน โปรตีนของพวกเขาไม่ใช่แค่สินค้าแต่เป็นไลฟ์สไตล์ นอกจากยิมต่างๆ พวกเขาจึงตั้งใจวาง HooRay! ไว้ในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 เพราะอยากให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ด้วยความหวังว่า HooRay! จะเป็นเพื่อนที่คนทั่วไปนึกถึง ไม่ว่าจะเวลากินข้าว ตอนทานอาหารว่าง ก่อน-หลังออกกำลังกาย หรือเวลาไหนก็ตาม

“มันเป็นเรื่องยากในการทำธุรกิจที่สร้างผลกำไร ขณะเดียวกันก็สร้างคุณประโยชน์ให้สังคมด้วย เราอยากทำธุรกิจที่ทำให้ 2 เรื่องนี้สมดุลกัน เพราะจริงๆ มันคือการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้น เวลาเราคิดโปรดักต์ออกมา เราไม่ได้คิดด้วยกำไรแต่คิดว่าคนกินจะได้ประโยชน์อะไร จะซื้อที่ไหนได้สะดวก นี่เป็นหัวใจของการทำธุรกิจของเรา” 

โปรตีนจากพืช

HooRay! นิยามตัวเองว่า Protein Expert  ที่เชื่อว่าโปรตีนเป็นสารอาหารหลักของมนุษย์แต่จะบริโภคแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน 

“เราไม่คิดว่าโปรตีนคือเทรนด์ที่จะมาระยะสั้นๆ เหมือนอาหารเสริมอื่น แต่เป็นสารอาหารที่อยู่ในเนื้อ นม ไข่ที่เราทานอยู่แล้ว แต่ในอนาคต คนอาจจะต้องการโปรตีนรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเขา นี่คือ mega trend ไม่ใช่แค่ circle trend เราเลยอยากโฟกัสตรงนี้ให้ดีที่สุด พอระยะเวลาผ่านไปมันก็พิสูจน์แล้วว่าเทรนด์ตรงนี้มันมาจริงๆ เพราะทุกวันนี้ตลาดโปรตีนพร้อมดื่มโตขึ้นเยอะมาก” ต้นบอก

เพราะเชื่อแบบนั้น หลังจากประสบความสำเร็จกับโปรตีนพร้อมดื่มทำจากนม พวกเขาก็หันไปจับตลาดใหม่ดูบ้าง และปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในตลาดที่มาแรงสุดๆ คือสินค้า plant-based

อันที่จริงพวกเขาทำโปรตีนจากพืชก่อนกระแส plant-based จะมาเสียอีก ราวช่วงก่อนโควิด-19 จะระบาด พวกเขาทำโปรตีนสกัดจากธัญพืช ที่ใส่วิตามินนับสิบชนิดลงไปในขวด ภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า Nutri Shake ทว่าตลาดยังเล็กเกินไป ผลตอบรับจึงไม่ได้ดีเท่าที่ควร

ภาพตัดมาที่ปี 2023 HooRay! อยากลองใหม่อีกสักตั้ง เพราะสินค้าจากพืชกลายเป็นเมกะเทรนด์ของโลก “ในฐานะที่เราเป็น Protein Expert เราต้องไม่ตกขบวนนี้” เจนหัวเราะ นำไปสู่การผลิต HooRay! โปรตีนพร้อมดื่มจากพืชที่เสิร์ฟสายมังสวิรัติและคนไม่กินนมวัว โดยออกมา 2 รสชาติคือช็อกโกแลตกับสตรอว์เบอร์รี

“ตลาด plant-based ยากกว่าโปรตีนปกติ เพราะต้องบอกตามตรงว่า สารอาหารในโปรตีนจากพืชไม่สามารถเทียบเท่านมวัวได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำสูตรให้ใกล้เคียงกับนมวัวที่สุด จึงกลายเป็นสูตรโปรตีน 30 กรัม มีอะมิโนครบ 9 ชนิด มีวิตามินและแร่ธาตุอีก 20 ชนิด” หญิงสาวอธิบาย

“ความยากถัดมาคือรสชาติ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับโปรตีนพืชเขาอาจจะได้กลิ่นเหม็นเขียว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติของมัน เราจะทำยังไงให้อร่อย กินง่าย ไม่ฝืดคอแต่ยังคงธรรมชาติของมันอยู่ ก็ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะได้ออกมาอร่อย”

เมื่อปล่อยสินค้าออกไป ฟีดแบ็กที่ชาว HooRay! ได้รับก็น่าชื่นใจไม่น้อย ยอดขายของโปรตีน plant-based เติบโตไปพร้อมตลาด และยังขายอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้

โปรตีนผง

จากจุดเริ่มต้นที่ทำโปรตีนพร้อมดื่มเพราะอยากแก้ pain point ของโปรตีนผงที่ทานได้ไม่สะดวก หลายคนอาจสงสัย ทำไม HooRay! จึงกลับมาทำโปรตีนผงอีกล่ะ

“จะมีกลุ่มลูกค้าที่ซีเรียส คือเขามีจุดประสงค์ในการกินโปรตีนแต่ละชนิด เพราะฉะนั้น โปรตีนผงของเราจะไม่เหมือนโปรตีนหรืออาหารเสริมทั่วไป เราทำสูตรเพื่อตอบโจทย์เฉพาะของลูกค้า” เจนตอบ

กลุ่มลูกค้าที่ว่ากลุ่มแรกคือกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก HooRay! จึงพัฒนาโปรตีนผงรุ่น Shape ที่มีส่วนผสมของ Creatine และ L-Carnitine กินแล้วอยู่ท้อง ช่วยการเผาผลาญไขมัน

กลุ่มที่สองคือคนที่ต้องการพัฒนาความสามารถในการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ HooRay! ออกสูตร Strong มาเพื่อตอบโจทย์ สูตรนี้จะมีส่วนผสมหลักเป็น Whey Protein Isolate ที่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ทันทีตอนออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมี Creatine ที่ช่วยลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้ออีกด้วย

“สำหรับโปรตีนผง เราทำทั้งแบบกระปุก ถุงใหญ่ ถุงเล็ก เพื่อตอบความต้องการของลูกค้าทุกแบบ และจะพัฒนาสูตรใหม่ต่อมาอีกในอนาคต ต้องรอติดตาม” หญิงสาวยิ้ม และบอกต่อว่าในอนาคต ทิศทางของ HooRay! ก็เหมือนกับคนที่ลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพที่ดีนั่นแหละ

“เราพยายามไม่เอาตัวเองไปอยู่ในคอมฟอร์ตโซนพยายามกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เหมือนกับโปรดักต์ของเราที่พยายามกระตุ้นให้ผู้บริโภคลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง” 

โปรตีน HooRay!

หลายคนอาจสงสัย อะไรคือเคล็ดลับทำให้ HooRay! เติบโตอย่างยั่งยืนมาตลอดสิบปี 

“เราคิดว่าเราใส่ใจ ตั้งใจ และจริงใจกับรายละเอียดในสินค้าทุกอย่างไปจนถึงแพ็กเกจจิ้ง จนผู้บริโภคที่กินสินค้าของเรารับรู้ได้ นี่คือสิ่งที่รู้สึก” เจนวิเคราะห์

“อีกอย่างคือโมเดลธุรกิจ โจทย์คือเราจะทำยังไงให้อยู่รอดได้ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงและผู้เล่นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ คำตอบคือความรวดเร็วและความยืดหยุ่น เราสามารถปรับตัวและพัฒนาโปรดักต์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทันเวลา” 

นั่นอธิบายได้ว่าทำไม Everyday Better จึงเป็นสโลแกนประจำแบรนด์ของพวกเขา ทีม HooRay! เชื่อในนวัตกรรมที่ไม่มีวันหยุดทำงาน พวกเขาคอยคิดพัฒนาและแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงไปตลอด

“หัวใจสำคัญของธุรกิจอีกข้อคือความซื่อสัตย์” ต้นเสริม “ซื่อสัตย์กับผู้บริโภค ซื่อสัตย์กับสินค้า ซื่อสัตย์กับตัวเองมากเพียงพอที่จะส่งสินค้าของคุณให้คนที่คุณรักกินได้บ่อยๆ 

“อีกอย่างที่ทำให้เราต่างจากแบรนด์อื่นคือเราคิดว่า HooRay! เป็นเพื่อนที่เชียร์ให้คุณกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เป็นเพื่อนที่สร้างทางเลือกใหม่ให้คุณเวลาที่คุณเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ เป็นเพื่อนที่คอยทำให้คุณดีขึ้นทุกวัน”

10 ปีที่ผ่านมา HooRay! จึงสามารถสร้างคอมมิวนิตี้ของ ‘เพื่อน’ ที่เห็นความจริงใจของแบรนด์ และนั่นแหละคือเคล็ดลับที่ทำให้โปรตีนของพวกเขากลายมาเป็นของติดตู้เย็นของใครหลายคนไม่เปลี่ยนแปลง

“บทเรียนที่ได้รับจากประสบการณ์ 10 ปีที่ทำ Hooray! คือถ้าเรากล้าที่จะฝันใหญ่ ฝันดี ฝันมีประโยชน์ และลุกขึ้นมาทำวันต่อวัน คิดว่าวันนี้เราจะทำดีกว่าเมื่อวานหรือ Everyday Better มันก็จะเริ่มมีสิ่งดีๆ เข้ามา” ชายหนุ่มตกตะกอน

“ผมมองว่าธุรกิจมันเป็น long run เราไม่ได้วิ่งแค่แป๊บเดียวจบแต่วิ่งมาราธอน จริงๆ แล้ว 10 ปีที่ผ่านมามันอาจจะเป็นแค่เพซเดียวก็ได้นะ เราแค่อยู่ในเฟสแรก และเรา keep on moving ไปเรื่อย ผมว่ามันก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง”

‘ศิลปะสร้างเมือง?’ วิธีใส่ศิลปะและงานออกแบบลงในเมืองให้ผูกพันกับพื้นที่ เป็นของทุกคน และสร้างเม็ดเงิน

สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการตลาดแบบจับต้องได้ที่โลกออนไลน์ให้ไม่ได้กับสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย)

คุณเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดงาน หรือร่วมออกบูทในงานแสดงสินค้าขององค์กรหรือเปล่า ทำยังไงการออกงานครั้งต่อไปจะดีกว่าที่ผ่านมา ได้ผลเกินเป้า ไม่เหนื่อยเปล่า 

ในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก เช่น นโยบายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในช่วงที่หลายประเทศมีข้อจำกัดทางการค้า งานแสดงสินค้ากลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดอันทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ สร้างโอกาสการลงทุน และเชื่อมโยงกับคู่ค้าระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความแตกต่างและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ  

มุก–ปนิษฐา บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA บอกว่า งานแสดงสินค้าไม่ใช่แค่การจองพื้นที่และนำสินค้าไปโชว์ แต่เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการรับรู้แบรนด์ ดึงดูดลูกค้า และกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรม ในประเทศไทย ธุรกิจงานแสดงสินค้ามีผู้ขาย (exhibitor) ราวมากกว่า 80,000 บริษัท ซึ่งการพัฒนาคุณภาพของการจัดแสดงและการนำเสนอสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จคือการสามารถดึงดูดผู้ซื้อและผู้ขายที่มีคุณภาพมารวมกันไว้ในที่เดียว ซึ่งทำให้สามารถลดต้นทุนการเข้าถึงตลาดและปิดดีลการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

แม้โลกออนไลน์จะมีบทบาทสำคัญ แต่งานแสดงสินค้ายังคงเป็นเวทีที่มอบประสบการณ์ที่จับต้องได้ และสร้างโอกาสที่ช่องทางดิจิทัลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนได้ หากธุรกิจสามารถยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าจะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ โดย ‘3 Business Wins: จุดแข็งของงานแสดงสินค้าที่โลกออนไลน์ให้ไม่ได้’ มีดังต่อไปนี้ 

1. Brand Showcase –โอกาสโชว์เคสสินค้าและบริการ

งานแสดงสินค้าช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างจับต้องได้ ลูกค้าสามารถสัมผัส ทดลอง และเข้าใจจุดเด่นของสินค้าได้โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์มออนไลน์ไม่สามารถมอบให้ได้อย่างเต็มที่

2. Face-to-Face Connection–โอกาสขายตรงกับลูกค้า

การสื่อสารแบบพบหน้า (face-to-face) สร้างความน่าเชื่อถือและช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะในการพูดคุยแบบตัวต่อตัวผ่านตัวแทนขาย เซลส์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และสามารถตอบข้อซักถามได้ทันที

✅ 3. Trust & Credibility–โอกาสสร้างความน่าเชื่อถือ

การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพและเพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจ เพราะในการคัดเลือกผู้จัดแสดงในงานจะมีการสกรีนโปรไฟล์ของบริษัท ที่มาที่ไปในการผลิตสินค้า ประวัติการทำธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งเหมาะกับลูกค้า ในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความไว้วางใจสูงและมีการลงทุนซื้อสูง

แต่ธุรกิจจะทำยังไงให้การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในฐานะ exhibitor เกิดผลลัพธ์ทางการตลาดสูงสุด ชวนไขกลยุทธ์ ‘5 Marketing Tips: เคล็ดลับเจรจาธุรกิจให้คุ้มค่าการลงทุน’ ที่ผู้ประกอบการสามารถใช้เป็นอาวุธลับทางการตลาดได้ 

1. Exhibit Smart: Choose the Show That Matches Your Goals!  เลือกงานแสดงสินค้าที่เหมาะกับประเภทและตรงเป้าหมาย 

ไม่ใช่ทุกงานแสดงสินค้าจะตอบโจทย์ทุกธุรกิจ โดยเฉพาะงานที่ได้รับความนิยมสูงมักมีเกณฑ์คัดเลือกผู้แสดงสินค้าอย่างเข้มงวด เปรียบเสมือนการแข่งขันมาราธอนระดับโลกที่ผู้เข้าแข่งขันต้องมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จึงจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม ดังนั้นการเตรียมโปรไฟล์ธุรกิจให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรเลือกเพียงเพราะเป็นงานที่ได้รับความนิยม แต่ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ 

– งานที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ (Right Target)

ควรพิจารณาว่าผู้เข้าร่วมงานเป็นลูกค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจที่ต้องการหรือเปล่า สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการและตรงกับแผนธุรกิจหรือไม่ เป็นบริษัทในระดับที่สามารถเป็นลูกค้าหรือคู่ค้าของเราได้ไหม ไปจนถึงงานนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่มากกว่า

– ทำเลที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ (Right Location)

แม้จะเลือกงานได้ดี แต่ถ้าเลือกตำแหน่งบูทผิด อาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจได้ เนื่องจากงานแสดงสินค้ามักแบ่งโซนตามประเภทสินค้าและอุตสาหกรรมจึงควรศึกษาแผนผังงานล่วงหน้าเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายและตรงกลุ่ม 

– งบประมาณที่ลงทุนมีความคุ้มค่า (Right Budget)

การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า โดยเฉพาะในต่างประเทศมักมีค่าใช้จ่ายสูง จึงควรพิจารณาศักยภาพของธุรกิจและงบประมาณก่อนตัดสินใจ ทั้งค่าเช่าพื้นที่บูท ค่าตกแต่งบูท ค่าเดินทางและที่พัก ฯลฯ การประเมินอย่างรอบคอบจะช่วยให้มั่นใจว่าการลงทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า

✅ 2. Create Exclusive Brand Visibility–พรีเซนต์แบรนด์ให้น่าสนใจ

แม้ว่าผู้จัดงานจะมีการทำการตลาดในวงกว้างเพื่อดึงดูดผู้เข้าร่วมแล้ว แต่แบรนด์ยังคงต้องทำการตลาดสำหรับธุรกิจตัวเองด้วยเพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายสนใจและเข้ามาที่บูทของตน การออกแบบบูทที่โดดเด่นและสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเยี่ยมชมจะสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ (brand visibility) ที่ดีได้ ซึ่งมีสิ่งที่ควรคำนึงถึงดังนี้ 

– วางกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าที่น่าสนใจ (Product Presentation) 

นำเสนอข้อมูลสินค้าอย่างสร้างสรรค์ เช่น การใช้จออินเทอร์แอ็กทีฟหรือวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี AI หรือ AR เพื่อให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เลือกสินค้าที่ต้องการนำเสนอเป็นพิเศษ และวางให้อยู่ในจุดที่มองเห็นได้ง่ายและไม่ลืมคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบบูท เช่น การจัดแสง (lighting) ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่น 

– สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ (Brand Experience)

หากสามารถทำให้ลูกค้าอยู่ที่บูทได้นานขึ้นและมีส่วนร่วมกับแบรนด์จะยิ่งเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น ออกแบบพื้นที่ให้รองรับการเข้าชมและมีจุดพัก เช่น โซนนั่งเล่นที่ให้บริการของว่าง มีมุมรับรองลูกค้าที่เอื้อต่อการพูดคุยทางธุรกิจ

– ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่น (Promotion)

อาจมีการส่งคำเชิญไปยังลูกค้าหรือพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจล่วงหน้า เพื่อให้พวกเขารู้ว่าบูทของคุณมีอะไรที่น่าสนใจ หรือทำโปรโมชั่นพิเศษ เช่น แจกส่วนลดหรือของที่ระลึกสำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมในบูทเพื่อช่วยให้จดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น

– เพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ผ่านกิจกรรมพิเศษ (Exclusive Campaign)

สร้างแคมเปญพิเศษในงานเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น เป็นสปอนเซอร์ของงาน สนับสนุนกิจกรรมช่วงพิธีเปิดเพื่อให้แบรนด์ได้รับการประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมพิเศษ private tour สำหรับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ โปรโมตแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของงาน

✅ 3. Drive Effective Sales ขายตรงแบบ #ตอบได้หมด และ #รู้จักลูกค้า

การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไม่ใช่แค่การนำสินค้าไปโชว์ แต่เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างยอดขายและขยายฐานลูกค้า ทีมงานที่ประจำบูทต้องมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมทั้งมีทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรองเพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

– เข้าใจกลยุทธ์การขาย (Quantity or Quality) 

ก่อนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการมุ่งเน้นจำนวนลูกค้า (quantity) หรือคุณภาพของลูกค้า (quality) หากเน้นจำนวนลูกค้าควรออกแบบบูทให้น่าสนใจและเปิดกว้างเพื่อดึงดูดคนจำนวนมาก หากเน้นคุณภาพของลูกค้าควรมุ่งเป้าหากลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและมีโอกาสปิดการขายสูง

– เซลส์ต้องรู้จริงและมีข้อมูลสินค้าแน่น (Knowledgeable)

เซลส์ที่อยู่ประจำบูทคือด่านแรกที่ลูกค้าจะพบ ดังนั้นต้องมั่นใจว่าแต่ละคนมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการอย่างลึกซึ้ง รู้จักสินค้าเป็นอย่างดีและสามารถให้คำแนะนำที่ตรงจุด อ่านลูกค้าออก รู้วิธีนำเสนอจุดขาย สามารถสาธิตการใช้สินค้าและโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

– เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างสัมพันธ์ (Leads Collection)

ใช้เทคโนโลยีช่วย เช่น สแกน QR code หรือใช้โซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์ต่อเนื่อง ขออีเมลหรือคอนแทกต์ของลูกค้าหลังงานจบ พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อเข้าใจความต้องการอย่างแท้จริง 

✅ 4. Optimize Leads & Data–นำข้อมูลไปต่อยอดทางธุรกิจ

หลังจากได้ข้อมูลลูกค้ามาก็เป็นโอกาสทองในการนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อศึกษาแนวโน้มและทดสอบตลาด นำอินไซต์ที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาสินค้าและวางกลยุทธ์ทางการตลาดต่อไป

– สร้างระบบติดตามผลที่มีประสิทธิภาพ (Follow-up) 

เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ตัดสินใจซื้อในทันที การสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าหลังจบงานแสดงสินค้าคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ เทคนิค follow-up ที่ได้ผล เช่น ใช้ระบบ CRM เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามสถานะการขายอย่างเป็นระบบ

– ใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์ ROI (Return on Investment)

เจ้าของธุรกิจย่อมต้องการรู้ว่าการลงทุนกับงานแสดงสินค้าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีช่วยวัดผลเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่น ใช้ซอฟต์แวร์ติดตามผลการแผลง Leads เป็นลูกค้าจริงและนำมาพัฒนาแผนงานในอนาคต

✅ 5. Ensure Sustainability–คำนึงถึงความยั่งยืน

แนวคิดเรื่องความยั่งยืนกำลังเป็นหัวใจสำคัญในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงการออกบูทในงานแสดงสินค้า การออกแบบบูทให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้งและเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น

– ออกแบบบูทให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Booth)

หากแบรนด์มีแผนออกงานหลายครั้งต่อปี ควรออกแบบบูทให้ใช้งานซ้ำได้ เลือกใช้โครงสร้างบูทที่ถอดประกอบง่ายและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ใช้วัสดุรีไซเคิลหรือลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง และเลือกผู้ผลิตบูทหรือซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม

Thai Exhibition Association (TEA) และบทบาทในการยกระดับธุรกิจไทย 

งานแสดงสินค้าคือเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจซึ่งให้ประโยชน์ที่โลกออนไลน์ไม่สามารถทดแทนได้ โดยในประเทศไทยมีสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA เป็นผู้นำด้านการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมที่สนับสนุนและยกระดับผู้ประกอบการอย่างครบวงจรผ่านงานจัดแสดงสินค้า ซึ่งไม่ได้สนับสนุนแค่การจัดงานสำหรับภาคเอกชน แต่ยังมีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนนโยบายนำเสนอผลงานของภาครัฐด้วยเช่นกัน 

ที่ผ่านมาสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA ยังมีเป้าหมายสำคัญในการโปรโมต supply chain ภายในประเทศด้วยการเป็นจุดศูนย์กลางของเครือข่ายทางธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และผู้บริโภคเข้าด้วยกัน โดยมีบริการพร้อมในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดงาน ผู้จัดงานระดับมืออาชีพ (event organizer) รวมถึงผู้ให้บริการด้านต่างๆ เช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง ระบบไฟ ระบบแสง และโซลูชั่นที่ช่วยแก้ pain point ของการจัดงาน หรือออกบูทในงานแสดงสินค้า ทั้งในการควบคุมต้นทุน เลือกสถานที่ เลือกงาน หาผู้รับเหมา เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ใหม่ วัสดุที่ตอบโจทย์ sustainable รวมถึงเทคนิคการโอกาสทางการตลาดที่ได้ผลจากการออกบูทหรือจัดงานปกติ 

งานแสดงสินค้าจึงเป็นมากกว่างานจัดแสดง แต่เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม โดย Thailand MICE X-Change 2025 (TMX25) ที่จัดโดย TEA ในปีนี้ จะเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ และขยายโอกาสทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในงานจะรวบรวมกลุ่มผู้จัดงานระดับเจ้าของโครงการและนักการตลาดเอกชน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากภาครัฐ ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ให้บริการด้านสถานที่ก่อสร้าง ขนส่ง และเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรม MICE ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ และเสริมสร้างการมองเห็นของแบรนด์ นอกจากนี้งาน TMX25 ยังต่อยอดจากความสำเร็จของปี 2024 ที่ 84% ของผู้เข้าชมมีแผนจะกลับมาในปีถัดไป ตอกย้ำบทบาทของงานในการเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและนวัตกรรมล่าสุดในอุตสาหกรรม

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วม Thailand MICE X-Change 2025 (TMX25) ภายใต้แนวคิด ‘NEXHIBITION - ก้าวใหม่ที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้า’ ที่จะต่อยอดการออกงานแสดงสินค้าของผู้ประกอบการให้ยั่งยืนกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากมืออาชีพในอุตสาหกรรมการแสดงสินค้า เตรียมพบกันวันที่ 2-3 เมษายน 2568 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน สามารถลงทะเบียนได้ที่ evcnx.co/TMX2025FacebookVisitor