สำนักพิมพ์ Biblio กับเบื้องหลังวิธีคิดและทำหนังสือขายดีมากมาย แม้จะเริ่มต้นธุรกิจในช่วงโควิด

Biblio คือสำนักพิมพ์ที่เชื่อว่า หนังสือยังคงเป็นเครื่องมือที่ถ่ายทอดชุดความคิดของคนได้สมบูรณ์และครบถ้วนที่สุด โดยมีโจทย์คือการทำหนังสือให้อยู่ในชีวิตประจำวันและเป็นหนังสือประจำชั้นของคนอ่าน

Biblio เริ่มต้นธุรกิจในช่วงโควิด ซึ่งระหว่างที่หน้าร้านหนังสือปิดลงชั่วคราว และงานประจำปีอย่างงานสัปดาห์หนังสือก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด Biblio กลับออกหนังสือเยอะมาก หนำซ้ำ หนังสือเกือบทุกเล่มยังขึ้นชั้นขายดีในร้านหนังสือทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทุกร้าน เช่น ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ, วะบิ ซะบิ : แด่ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต, The Why Cafe คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง หรือ ที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนเก็บตัวนะ เป็นต้น

จากความน่าสนใจที่ว่าเราจึงนัดพูดคุยกับ จีระวุฒิ เขียวมณี บรรณาธิการบริหารและผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Biblio จากคนทำหนังสือสู่ผู้ประกอบการ ที่ต้องวางแผนทั้งการผลิต การตลาด การสื่อสาร และการขาย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่หนังสือจะขายได้ แต่ยังขายดีมาก (ย้ำมาว่า มาก!)

ตามไปดูเบื้องหลังสายตาที่จีระวุฒิใช้มองหาต้นฉบับน้ำดี ที่ไม่ได้มีแค่นิยายฟีลกู๊ด การเลือกมองหาพล็อตเรื่องใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์ผู้อ่านอยู่เสมอ ไปจนถึงการบรรจงหีบห่อหนังสือด้วยวิธีคิดที่แตกต่าง เพราะไม่ใช่แค่ดีไซน์หน้าปกที่สวยงาม หรือชื่อหนังสือที่โดนใจเท่านั้น แต่ยังมีกลยุทธ์มากมายที่ Biblio ใช้นำพาให้หนังสือขึ้นไปครองลำดับชั้นขายดีอย่างต่อเนื่อง

โจทย์ของการทำสำนักพิมพ์ Biblio คืออะไร

ตอนเป็นคนทำหนังสือ ผมมีโจทย์ของตัวเองที่อยากทำหนังสือให้อยู่ในชีวิตประจำวันของคนอ่าน อยากให้หนังสือเราเข้าไปอยู่บนชั้นวาง ซึ่งอย่างชั้นหนังสือบ้านผมจะมีความหลากหลายมาก มีทั้งวรรณกรรมระดับโลก หนังสือป๊อปอ่านง่าย นิยายก็มี ซึ่งเมื่อเรามาอยู่ในฐานะคนทำ ผมก็เลยตัดใจจะทำหนังสือแนวที่ค่อนข้างสังเคราะห์ง่ายหรือย่อยง่าย ขณะเดียวกันก็ให้ความบันเทิง ซึ่งก็จะมีหนังสือในบางหมวดที่ให้ความรู้ในเชิงลึกกับคนอ่าน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเคร่งเครียดเป็นตำราเรียนขนาดนั้น คนอ่านจะหยิบมาอ่านวันไหนก็ได้ หรือจะอยู่ในกองดองก่อนก็ได้ แล้วรอวันฟ้าเปิดที่เขาเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาดู 

คอนเซปต์ของเราก็คือ อยากให้หนังสือเข้าถึงคนอ่านให้ง่ายที่สุด จาก Biblio เราจึงแตกออกมาเป็น 3 สำนักพิมพ์ ได้แก่ สำนักพิมพ์ Bibli ที่ทำนิยายเอเชีย จากญี่ปุ่น เกาหลี หรือไต้หวันก็ตาม สำนักพิมพ์ Being ที่ทำหนังสือ non-fiction book จากทั่วโลก มีทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์ เกร็ดความรู้หรือหนังสือจิตวิทยาที่เข้ามาดูแลเรื่องกระบวนการทำงานของจิตใจ และสำนักพิมพ์ Beat ที่เป็นความตั้งใจส่วนตัว เราอยากจะฟื้นคืนหนังสือแปลนิยายตะวันตกให้กลับมาน่าสนใจมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่านิยายแปลตะวันตกหายไปจากตลาดหนังสือบ้านเรา

ประสบการณ์ที่มาผ่านตั้งแต่ทำนิตยสารจนงานในสำนักพิมพ์ทำให้การเริ่มต้นสร้าง Biblio ง่ายหรือยากยังไง

การที่โตมากับการทำสื่อสิ่งพิมพ์ก็เหมือนได้ลงเรียนวิชาคนทำหนังสือ 101 เพราะว่าวิธีคิดวิธีทำงานของการทำนิตยสารหรือทำสื่อสิ่งพิมพ์มีรายละเอียดที่ใกล้เคียงกับการทำพอกเก็ตบุ๊ก ทั้งเรื่องของการนำเสนอเรื่องราวออกมาให้น่าสนใจ หรือการเลือกหยิบประเด็นที่คิดว่าสังคมน่าจะรู้ มาพูดคุยและนำเสนอผ่านบทความหรือสกู๊ปในนิตยสาร ซึ่งผมเชื่อว่าพ็อกเก็ตบุ๊กยังคงเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะถ่ายทอดชุดความคิดของเราได้ค่อนข้างครบถ้วน ประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงมีส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้เรานับหนึ่งกับการทำธุรกิจสำนักพิมพ์ได้

ย้อนกลับไป คุณต้องเรียนรู้อะไรบ้างในวันแรกๆ ที่เปลี่ยนจากคนทำนิตยสารมาเป็นคนทำหนังสือ

ตอนทำนิตยสารทุกอย่างต้องคิดให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์นั้น แล้วก็ปิดเล่มให้ได้ภายใน 1 เดือน แต่งานพ็อกเก็ตบุ๊กเป็นงานที่ไม่มีช่วงเวลา หนังสือมีอายุ 2-3 ปี หรือบางเล่มก็อยู่ยาวนานได้เป็น 10 ปี เพราะฉะนั้นกระบวนการคิดและทำหนังสือสักเล่มจะใช้เวลามากกว่า แต่ว่ากระบวนการแต่ละขั้นไม่ได้ช้าเลย หลังจากที่เราคิดจบแล้วว่าจะนำเสนอหนังสือเล่มนี้ยังไง ทีมเบื้องหลังต้องวางแผนล่วงหน้า แล้วทำทีละขั้นไปอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือ ตลอดระยะเวลา 5-6 เดือนที่ทำหนังสือ เราจะรักษาภาพที่คิดไว้ในวันแรกให้ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลงได้ยังไง เพราะระหว่างทางอาจจะมีเรื่องจังหวะความสนใจ สถานการณ์สังคมและบ้านเมือง ไปจนถึงเทรนด์ของคนอ่าน อาจจะทำให้ต้องปรับและเปลี่ยนทิศทางไป พ็อกเก็ตบุ๊กจึงเป็นงานที่ใช้เวลาและท้าทายว่าเราจะควบคุมดูแลแก่นหรือใจความหลักของหนังสือยังไง ทั้งสารที่ต้องการสื่อและภาพที่เราอยากนำเสนอ

จากคนทำหนังสือมาเป็นผู้ประกอบการ คุณต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไงบ้าง

ตอนที่เป็นคนทำหนังสือ เราอยู่ในฐานะบรรณาธิการที่ดูแลการต้นฉบับเป็นหลัก ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาดหรือการขายมากนัก แค่คิดว่าจะทำหนังสือหรือโปรดักต์ต่างๆ ออกมายังไงให้ทันและมีปริมาณที่มากเพียงพอในแต่ละปีเพื่อสร้างยอดขายแก่บริษัท แต่พอมาเปิด Biblio เราไม่สามารถมองข้ามเรื่องใดไปได้เลยโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจ

การขายกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะแต่ละเดือนคุณจะเห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายต่างๆ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพิมพ์หนังสือ ในฐานะผู้ประกอบการเราต้องวางแผนการขาย ให้ความสำคัญกับการหารายได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งลงลึกเรื่องการตลาด ศึกษาช่องทางการขายว่าหนังสือของเรามีช่องทางการกระจายออกไปเพียงพอหรือยัง ดูจากเส้นทางหนังสือหนึ่งเล่มว่าเดินทางไปไหนบ้าง ผ่านบริษัทสายส่งและร้านค้าปลีก แล้วแต่ละช่องทางมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนในการสร้างรายได้กลับมา กระบวนนี้สำคัญพอๆ กับการทำหนังสือออกมาให้ดี เพราะจะแก้ปัญหาเรื่องหนังสือดีแต่ไปไม่ถึงกลุ่มคนที่อ่าน

จากคนที่ทำคอนเทนต์มาตลอด เมื่อต้องมาดูแลเรื่องการตลาด คุณเริ่มต้นจากอะไร

เมื่อก่อนเราอาจจะฝากสายส่งแล้วก็รอดูยอดขายตอนสิ้นเดือนใช่มั้ย แต่พอเรามาทำสำนักพิมพ์เอง มันรอแบบนั้นไม่ได้แล้วเราต้องสื่อสารกับฝ่ายตัวแทนจำหน่ายของเรามากขึ้น 

เริ่มตั้งแต่ เราต้องมองหนังสือนี้ 360 องศาว่านำเสนอมุมไหนได้บ้าง เพื่อทำให้ฝ่ายขายเห็นศักยภาพของหนังสือและสื่อสารต่อไปยังผู้จัดการร้านหนังสือ เพื่อที่เขาจะนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการขายลูกค้า เพราะอย่าลืมว่าเวลาสำนักพิมพ์ไปออกงานหนังสือเราได้เจอผู้อ่านของเราโดยตรง แต่อีก 300 กว่าวัน ร้านเป็นตัวแทนขายหนังสือให้เรา เรามีหน้าที่ย้ำเมสเซจว่าหนังสือเล่มนั้นๆ น่าสนใจหรือดีพอที่เขาจะหยิบยกมาทำการตลาด หรือเอาไปส่งต่อลูกค้าได้ยังไง 

นี่คือสิ่งที่ Biblio ตั้งใจทำมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เปิดสำนักพิมพ์ เราอยากช่วยให้พาร์ตเนอร์ทำงานง่ายขึ้น และยังทำให้หนังสือของเราไปต่อได้ในเชิงธุรกิจ ทำให้เราประมาณการรายได้ที่จะกลับมาได้ ซึ่งถ้ามันเกินคาดเราก็พอจะมองออกว่าต่อยอดยังไงได้ หรือถ้ามันน้อยกว่าคาดขึ้นมา เราก็กลับมาหาทางแก้ไขได้

นอกจากกลยุทธ์เรื่องการสื่อสารแล้ว มีอะไรอยู่เบื้องหลังการเป็นหนังสือขายดีอีกบ้าง

ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่มาจากสำนักพิมพ์หรือแบรนด์เดียวกัน หนังสือแต่ละเล่มมีรายละเอียด ข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป หน้าที่ของเราคือทำให้จุดเด่นนั้นแข็งแรงที่ก่อนจะปล่อยออกไป นอกจากนี้ก็ต้องมอนิเตอร์ติดตามผลว่าเมสเซจที่สื่อออกไปหรือยอดขายเป็นไปตามเป้าแค่ไหน ไปจนถึงตำแหน่งการวางหนังสือบนชั้นในร้าน เสียงตอบรับ คำวิจารณ์ และความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต สมมติหนังสือเล่มที่เราเพิ่งปล่อยออกไป มีกระแสที่แผ่วหรือคนพูดถึงน้อย แปลว่าเรายังขาดอะไรไป ต้องเติมข้อมูลบางอย่าง หรือข้อมูลที่เสนอไปตอนแรกมันไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย หรือไม่ใช่สิ่งที่คนอ่านอยากรู้จากหนังสือเล่มนั้น เราก็กลับมาวิเคราะห์ว่ามีประเด็นอื่นไหม หาก๊อกสองสำหรับการโปรโมต 

ซึ่งเราไม่ได้ทำอย่างนี้กับหนังสือทุกเล่ม แค่บางเล่มเท่านั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าหนังสือบางเล่ม เราก็ต้องให้เวลาเขาทำงานกับคนอ่านด้วยตัวเองเหมือนกัน หนังสือหลายๆ เล่มที่เราทำในช่วง 3 เดือนแรกก็ทำให้ใจหาย ทั้งยอดน้อยและกระแสที่เงียบ แต่พอหนังสือได้เดินทางไปถึงคนอ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ อาจจะด้วยเนื้อหาของหนังสือทำงานกับคนอ่าน แล้วก็เกิดการบอกต่อ เกิดรีวิวพูดถึง กลายเป็นว่ายอดขายในเดือน 4 5 6 เพิ่มขึ้นมาก็มีเหมือนกัน บางครั้งก็เป็นเรื่องธรรมชาติของโปรดักต์เองด้วย แต่โดยภาพรวมแล้ว เราก็ต้องคอยโฟกัสกับหนังสือที่เราปล่อยไปว่าดีพอหรือยัง ตรงนี้สำคัญมาก

ในช่วงแรกที่เปิดตัวสำนักพิมพ์ หนังสือเกือบทุกเล่มของสำนักพิมพ์ติดอันดับหนังสือขายดี มันเป็นเพราะเจอแนวทางที่ถนัดหรือเปล่า และทำไมหนังสือแนวนี้ถึงเป็นที่นิยมในเวลานั้น

ถ้าถามผมเมื่อปีก่อนหรือสองปีก่อน ผมอาจจะตอบได้เลยว่าแนวทางหนังสือที่เรามั่นใจมากที่สุดคือ หนังสือประเภทนิยายแปลญี่ปุ่นแนวฟีลกู๊ด ให้แรงบันดาลใจ มีข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแทรกอยู่ในนั้น แต่เวลานี้ที่คนอ่านเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีความต้องการเมสเซจสำคัญบางอย่างจากหนังสือที่เลือกอ่าน สำนักพิมพ์เองก็ต้องค่อยๆ ปรับ เราจะทำแต่นิยายฟีลกู๊ดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองหานิยายแปลประเภทอื่นที่สร้างความตื่นเต้นหรือให้กับความสนใจแก่ผู้อ่านอย่างแท้จริงด้วย เพราะบางครั้งมันไม่ต้องโลกสวยอย่างเดียวก็ได้ บางครั้งโลกมันอาจจะโหดร้ายแต่ก็มีแง่มุมดีๆ ให้เรียนรู้อยู่

ความสนใจที่เปลี่ยนไปของคนและสังคมกระทบการทำงานหรือแนวทางของสำนักพิมพ์แค่ไหน

สำหรับคนทำสื่อไม่ว่าจะสื่อประเภทไหน ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องเจอตลอดเวลา แต่พอเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก ผมคิดว่าการที่คนอ่านเปลี่ยนไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะในตลาดมีหนังสือสไตล์เดียวกันออกมาเยอะ และผู้อ่านก็มีทางเลือกเยอะขึ้นมากๆ หลายคนก็มองหาหนังสือที่พูดถึงอะไรใหม่ๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องพยายามมองให้ออกว่าคนอ่านกำลังจะย้ายสายตาไปทางไหนขณะเดียวกันเราก็ต้องไปหาหนังสือที่อยู่ในหมวดหมู่เหล่านั้นมาทำให้ได้

จากหนังสือที่ผ่านมือมาทั้งหมด มีหนังสือเล่มไหนที่คุณเอามาปรับใช้กับธุรกิจได้บ้าง

ปรับใช้ในเชิงธุรกิจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์อาจจะไม่มี แต่ในเชิงวิธีคิดและการทำงานผมอยากจะพูดถึงหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างเปลี่ยนความคิดของผมในเรื่องการทำหนังสือในช่วงหลังนี้ หนังสือเล่มนั้นก็คือ The Midnight Library หนังสือพูดถึงผู้หญิงที่ผ่านความชอกช้ำในชีวิตมาหลายครั้งหลายหน จนตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย แล้วเธอก็รับโอกาสที่สองให้กลับไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดในชีวิต

ตอนที่เราเลือกทำหนังสือเล่มนี้ ช่วงเวลาขณะนั้นเราคาดการณ์ว่าคนค่อนข้างจะรู้สึกชอกช้ำกับความเปลี่ยนแปลงในสังคม และความรู้สึกหดหู่ยามใช้ชีวิตในช่วงโควิดระบาด บ้างเจอความผิดพลาด ล้มเหลวจากสิ่งที่ตัวไม่ได้ก่อ การได้เจอหนังสือที่พูดกับเขาว่า คุณสามารถที่จะมีโอกาสที่สองในชีวิต มีทางเลือกที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดได้ หรือมีทางที่คุณจะสามารถตั้งหลักกับชีวิตใหม่ในวันพรุ่งนี้ได้ นี่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ผมพยายามมองหา แล้วพอเรามาเจอหนังสือเล่มนี้มันก็ตอบโจทย์นั้นได้พอดี 

หลังจากเปิดตัวหนังสือออกไป The Midnight Library ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ไม่เพียงขายดีแต่ยืนระยะอยู่บนชั้นขายดี ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการมองหาและมองเห็นทิศทางของผู้อ่านเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับการทำสำนักพิมพ์

ซึ่งเมื่อก่อนเราจะคาดคะเนจากความรู้สึกส่วนตัวหรือข้อมูลยอดขายจากต่างประเทศ ในการเลือกทำหนังสือ แต่ตอนนี้เราต้องมองข้อมูลที่เกิดขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมในการสั่งซื้อหนังสือผ่านทางแฟนเพจของเรา หรือพฤติกรรมในการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ของเรา ดูข้อมูลตัวเลขว่าผู้อ่านมีปฏิกิริยาหรือมีความสนใจกับคอนเทนต์ที่เรานำเสนอไปประเภทไหน ข้อมูลเหล่านี้เราเอามาวิเคราะห์ได้ว่าผู้อ่านให้ความนิยมกับเนื้อหาประเภทใด แล้วก็เป็นไปได้ว่าถ้าเรามีหนังสือแนวนี้ออกมาในอนาคต ผู้อ่านก็น่าจะให้ความสนใจ ไปจนถึงดูข้อมูลทางการตลาดก็ทำให้เราเห็นภาพรวมทิศทางของหนังสือ เพื่อที่จะวางแผนทำหนังสือที่ใกล้เคียงกันหรือรสชาติที่ดีขึ้นกว่าเดิมมานำเสนอในช่วง 5-6 เดือนข้างหน้า

มีหนังสือเล่มไหนบ้างที่กระแสในต่างประเทศอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ขายดีในไทยสุดๆ

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน เป็นหนังสือชุดแรกของ Biblio ที่ปล่อยออกไปในช่วงเปิดสำนักพิมพ์ ตอนที่ผมเห็นนิยายเล่มนี้ยอมรับเลยว่าไม่ได้คาดหวังกับความสำเร็จหรือยอดขายของหนังสือเล่มนี้มาก เพราะเราก็มองว่าเนื้อหาค่อนข้างดราม่า แต่พอเรามาลงรายละเอียดกับตัวหนังสือต้นฉบับมากขึ้น มันทำให้เรามองเห็นรายละเอียดที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากกว่าเดิม

ตอนแรกเรามองมันคือหนังสือเมโลดราม่าจากญี่ปุ่น แต่ ไม่ เราจะไม่พูดว่านี่คือหนังสือเมโลดราม่า เราจะพูดว่านี่คือนิยายสำหรับคนที่กำลังผ่านการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปและอยู่ในช่วงที่เขากำลังฟื้นฟูตัวเองกลับมา พอเราเปลี่ยนมุมในการนำเสนอหนังสือรวมถึงวิชวลต่างๆ มันทำให้หนังสือเล่มนี้พิเศษขึ้นมา จากหนังสือนอกสายตา แต่เราเห็นว่ามีแววปั้นได้ เราก็แค่เอามาจับแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ กลายเป็นว่าหนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องคำวิจารณ์และยอดขาย และเราก็สามารถที่จะหาหนังสือในโทนนี้ตามมาต่อได้อีกในช่วงปีถัดไป

แล้วกับหนังสือที่เก็งไว้ว่าจะต้องปังแน่ๆ แต่ดันไปเป็นอย่างที่คิด คุณแก้เกมหรือมีแผนรับมือยังไง

ตอนนั้นหนังสือเล่มแรกที่ทำและเปิดตัวภายใต้สำนักพิมพ์ คือ Last letter จดหมายรักฉบับสุดท้าย กำลังจะมีภาพยนตร์เข้าฉายในบ้านเรา ตั้งใจจะทำการตลาดร่วมกับค่ายหนังเพื่อโปรโมททั้งหนังและหนังสือพร้อมกัน แต่ดันมาโชคร้ายเจอโควิดระบาดระลอกแรก คนไม่สามารถเข้าไปโรงหนังได้ และร้านหนังสือก็ปิด ทำให้สิ่งที่เตรียมไว้ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย สิ่งที่คนสนใจอาจจะไม่ใช่หนังสือ แต่กำลังสนใจว่าจะต้องปรับตัวหรือใช้ชีวิตยังไงท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดและเรื่องการเมืองก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หนังสือนิยายรักก็ต้องการเวลาจากคนอ่านมากๆ ที่จะซึมซับเรื่องราวรายละเอียดต่างๆ 

ซึ่งถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเปลี่ยนลำดับการปล่อยหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ใหม่ เพราะการเปิดตัวด้วยหนังสือที่ดีที่สุดหรือใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเป็นปัจจัยสำคัญมากของการเปิดตัวสำนักพิมพ์ ไม่เพียงจะกำหนดหน้าตาของเรา ยังทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า Biblio เป็นสำนักพิมพ์ที่มีความเชื่อแบบไหน สื่อสารเรื่องอะไร กับใคร ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มแรกที่เราปล่อยไปนั้นไม่ดีนะ แต่กำลังหมายความถึงลำดับของหนังสือช่วงแรกนั้นสำคัญมาก ถ้ากลับกันผมอาจจะเอาเล่ม ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ เป็นหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ถ้าเราจะทำโปรดักต์หรือจะเปิดไลน์ใหม่ๆ ของสำนักพิมพ์ขึ้นมา โปรดักต์เล่มแรกชุดแรกนั้นสำคัญมาก

ไลน์อัพหนังสือของ Biblio และสำนักพิมพ์ในเครือมีเยอะมาก เป็นเพราะต้องการเพิ่มยอดขายหรือเปล่า การออกหนังสือเยอะๆ สำคัญต่อธุรกิจสำนักพิมพ์ยังไง

ใช่ครับ เป็นเรื่องยอดขายเลย ตอนเปิดบริษัทผมวางแผนเส้นทางในช่วง 5 ปีแรกของบริษัทไว้ว่า ปีที่ 1 เราจะเป็นบริษัทขนาดไหน ปีที่ 2 เราจะเป็นบริษัทที่ทำอะไรบ้าง ปีที่ 3 เราจะมีแตกไลน์โปรดักต์อะไรอีก ปีที่ 4 จะเป็นยังไง หรือกระทั่งปีที่ 5 ซึ่งผมค่อนข้างเห็นภาพ Biblio ชัดเจนว่าจากสำนักพิมพ์ขนาดเล็กภายใน 5 ปีเราจะขยับไปสู่การเป็นสำนักพิมพ์ขนาดกลางที่มีหนังสือออกใหม่ต่อเนื่องทุกๆ เดือนได้ ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายตรงนั้นได้ก็ต้องขยับตัว เพิ่มจำนวนหนังสือเราให้เพียงพอที่จะสร้างยอดขายแต่ละเดือนได้

เพราะถ้าเรามองว่าเราเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ แล้วเราจะทำหนังสือปีละประมาณ 10-12 เล่ม มันไม่เพียงพอต่อการทำยอดขายให้เราสามารถเลี้ยงคนทั้งบริษัทได้ หรือว่ามีทุนที่จะเอาไปต่อยอดสิ่งอื่นๆ ตามมาได้ 

การทำหนังสือเยอะๆ ในแต่ละปีช่วยทำให้เรามองเห็นยอดขาย มองเห็นรายได้ทั้งปี ว่าถ้าเราออกหนังสือเท่านี้ เราจะมีรายได้กลับมาประมาณเท่านี้ แล้วถ้าเราทำไม่ถึงเป้าหมาย แปลว่ายอดขายเราจะหายไปนะ พอเราวางแผนกับฝ่ายการตลาดเราจะเห็นภาพเดียวกัน สมมติสำนักพิมพ์เราออกหนังสือ 30 ปก จะมี income มาเท่าไหร่ช่วงไตรมาสเท่าไหร่ หักค่าใช้จ่ายเราจะมีกำไรเท่าไหร่ ไปต่อยอดอะไรได้อีกบ้าง เราจะสามารถประเมินทิศทาง ซึ่งสำคัญมากต่อการทำสำนักพิมพ์ในยุคนี้ 

หากแต่ละปีต้องออกหนังสือจำนวนเยอะขนาดนั้น คุณมีวิธีคัดสรรหนังสือแต่ละเล่มยังไงให้ตัวตนของสำนักพิมพ์ยังคงชัดเจน

มันก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีเหมือนกัน เพราะธรรมชาติของตลาดพอโปรดักต์หรือหนังสือเล่มไหนขายดี ทุกคนก็จะนำเสนอโปรดักต์ที่หน้าตาคล้ายๆ กัน หรือตอบโจทย์คนอ่านในลักษณะเดียวกันตามออกมา แล้วเราจะทำยังไงให้หนังสือของเรายังมีคาแร็กเตอร์ที่คนอ่านมองแล้วรู้สึกว่า โอเค ต่อให้มีหนังสือประมาณ 10-20 ปกในเดือนนั้นที่ใกล้เคียงกัน เขาก็ยังอยากหยิบหนังสือของเรามาพิจารณาอยู่ และขณะที่เราต้องแข่งขันกับสำนักพิมพ์ด้วยกันเองแล้ว เราก็ต้องแข่งขันกับมุมมองของคนอ่านที่ปรับเปลี่ยนไปด้วย บางครั้งหนังสือที่ขายดีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราใช้สูตรแบบเดิมที่เราเคยทำตอนนี้ไม่ได้แล้วนะต้องปรับเปลี่ยน

นอกจากเนื้อหาที่คัดสรรมาอย่างแหลมคม Biblio ยังได้ชื่อว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่ให้คุณค่าความสวยงามและงานออกแบบ สิ่งเหล่านี้สำคัญต่อธุรกิจยังไง

ผมให้ความสำคัญเรื่องงานออกแบบปกหนังสือหรือเรื่องการผลิตมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัท และถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะตอบว่าปกมีส่วนสำคัญมากๆ ในการทำหนังสือสักเล่มให้ประสบความสำเร็จ

แต่พอมาถึงวันนี้ คำตอบผมอาจจะปรับเปลี่ยนไป ปกอาจจะสำคัญก็จริง แต่ถ้าเราทำหนังสือที่ปกสวย แต่เราไม่สามารถสื่อสารรายละเอียดที่อยู่เบื้องหลังของปกออกมาได้ ไม่สามารถสร้างการรับรู้กับคนอ่านได้ มันก็จะกลายเป็นแค่หนังสือที่ปกสวยดีแค่นั้น

ก่อนที่ผู้อ่านจะตัดสินใจซื้อหนังสือ เราได้นำเสนอเนื้อหาจับใจคนอ่านได้แค่ไหน สิ่งนี้ก็สำคัญมากพอกับการทำให้หนังสือปกสวยเหมือนกันนะ

ขณะที่หลายคนไม่เห็นแสงสว่างในธุรกิจสิ่งพิมพ์ อะไรทำให้คุณยังสนุกกับการทำธุรกิจสำนักพิมพ์นี้อยู่

ตอนเริ่มทำสำนักพิมพ์ ผมไม่ได้มองเรื่องการทำหนังสืออกมาให้เสร็จก่อนเป็นหลัก ผมมองพวก element ของมัน ว่าตั้งแต่ต้นทางจนปลายทางหนังสือเราจะเดินทางไปยังไงเพื่อไปถึงตรงนั้นให้ได้มากที่สุด 

ไม่ต่างจากทุกธุรกิจ มันมีเรื่องของโปรดักต์ การพัฒนาโปรดักต์ การมีทุนในการทำโปรดักต์นี้ออกมา การคำนวณต้นทุนต่างๆ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย ช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ ออฟไลน์ ออนคลาวด์อะไรก็ตามแต่ ธุรกิจสำนักพิมพ์ก็เช่นกัน หนังสือเป็นผลงานศิลปะเชิงพาณิชย์ ซึ่งหนังสือจะเข้าไปทำงานกับจิตใจของคนอ่าน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องตรวจสอบเหมือนกันว่าหนังสือที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มีคุณค่าเพียงพอแก่ผู้อ่านแล้วหรือยัง เพราะถ้าเรามองหนังสือเป็นเพียงสินค้าประเภทหนึ่งมากเกินไป เราก็จะไม่ได้ใส่ใจลงไปมากพอ มันก็จะกลายเป็นสินค้าที่กินอิ่มแต่ไม่ประทับใจ 

ซึ่งใจอย่างเดียวก็ไม่พอ การมองภาพรวมของธุรกิจก็สำคัญด้วยเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าหนังสือดีมีคุณค่าจะขายยาก หรือมองหาช่องทางทางการตลาดไม่ได้ ยกตัวอย่างตอนเราทำหนังสือของ Leonardo da Vinci ที่เขียนโดยคุณ Walter Isaacson คนที่เขียนเรื่อง Steve Jobs ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างลังเลเหมือนกันว่าจะเลือกปล่อยหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาไหนดี มันยากมากจริงๆ เพราะว่าหนังสืออัตชีวประวัติหนา 600-700 หน้า แล้วเราทำทั้งปกอ่อนปกแข็ง มันจะไปได้ไหมในตลาดหนังสือที่คนอาจจะชอบหนังสือที่เนื้อหาเบากว่านี้ แต่เราก็รู้สึกว่าโปรดักต์ที่มันยาก ถ้าเราจับมาพลิกหารายละเอียดดีๆ และหยิบมาให้คนอ่านได้เห็นมันก็กลายเป็นของล้ำค่าขึ้นมา กลายเป็นว่าหนังสือที่เรามองว่าขายยาก กลับกลายเป็นหนังสือที่ขายดี จริงๆ อาจไม่ได้เรียกว่าขายดี เรียกว่าขายได้ และทำให้เรามีกำไรบ้าง 

ความยาก-ง่ายของการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ไม่ได้วัดกันด้วยสถานการณ์ของคนอ่านในปัจจุบันเท่านั้น แต่ว่าอยู่ที่กระบวนการที่สำนักพิมพ์จะพิจารณาและผลักดันหนังสือแต่ละเล่มออกมาให้มันยังอยู่ในความสนใจของตลาดได้ เพราะว่าถ้าเราทำหนังสือตามใจตัวเอง คิดว่าแบบนี้ดี คิดว่าขายได้ แต่ไม่ทำรีเสิร์ช เราไม่มีข้อมูล data เข้ามาวิเคราะห์ เราไม่ทำการตลาดกับมัน อยู่ใน bubble ที่คิดว่าสิ่งเราทำถูกไปหมด แล้วเมื่อปล่อยหนังสือออกไปผลไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็คิดว่าคนไม่อ่าน หรือสังคมนี้มันไม่อ่านหนังสือกันแล้ว 

คือผมรู้สึกว่ายุคนี้ คนที่อ่านเขาอ่านหนังสืออยู่แล้ว มีคนซื้อหนังสืออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสำนักพิมพ์เอง บทบาทสำนักพิมพ์ที่ต้องเปลี่ยนไป การนำเสนอหนังสือสักเล่มออกไปต้องศึกษาหลายเรื่องมากขึ้น ต้องดูแลมันมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าปล่อยหนังสือออกไปแล้วให้มันขายตัวมันเองได้โดยที่เราไม่ได้ไปซัพพอร์ตอะไรมันเลย เราทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว 

ในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ยังบูมอยู่ นิตยสารเล่มยังขายได้ หนังสือพิมพ์ยังขายได้พ็อกเก็ตบุ๊กก็ขายได้ เพราะอยู่ในจุดที่สำนักพิมพ์ทำหนังสืออะไรมาคนอ่านก็ซื้อ แต่วันนี้ในวันที่นิตยสารเปลี่ยนเป็นออนไลน์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หนังสือพิมพ์แทบไม่มีใครอ่านแล้ว แล้วทำไมคุณจะมองว่าคนยังต้องซื้อพ็อกเก็ตบุ๊กทุกเล่มที่ยังออกมาอยู่ มันก็เกิดการคัดสรรใช่มั้ย แล้วเราจะทำยังไงให้หนังสือเรายังอยู่ในสายตาการคัดสรรของคนอ่านอยู่ นี่แหละคือสิ่งที่มันแตกต่างออกไป

ในฐานะที่คุณอยู่ในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์มานาน เราจะหาหรือโอกาสในอุตสาหกรรมนี้ยังไง

คนอ่านในยุคนี้แตกตัวออกไปเป็น niche market ค่อนข้างเยอะ สำนักพิมพ์หลายสำนักพิมพ์ก็มีความเป็น niche market สำหรับกลุ่มคนอ่านของตัวเองอยู่ เป็นเหตุผลว่าทำไมสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ก็ต้องแตกแบรนด์ย่อยของตัวเองออกมาเพื่อรองรับกลุ่มคนอ่านที่เป็น niche มากขึ้น ซึ่งพอเราพูดถึง niche market ก็มีโอกาสที่เราจะได้หนังสือที่มีเนื้อหาแนวทางใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ เช่นหนังสือ The Thursday Murder Club ชมรมไขคดีฆาตกรรมวันพฤหัสฯ เป็นตัวอย่างของเนื้อหาที่มาเพื่อ niche market

ก่อนหน้านี้หนังสือแนวนิยายสืบสวนที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมและไขคดี ส่วนใหญ่จะเดินเรื่องด้วยตัวละครที่เป็นคนเก่งกาจ ฉลาดรอบรู้ อารมณ์ประมาณ Sherlock Holmes หรือไม่ฉลาดก็ต้องบู๊เก่ง แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ซึ่งดังมากที่อังกฤษ เรื่องราวของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา แต่มีใจรักไขคดีฆาตกรรม วันหนึ่งเกิดเหตุคดีฆาตกรรมในหมู่บ้านพักคนชรา พวกเขาที่สังขารไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่จึงมารวมตัวกัน การผสมตัวละครที่ดูแล้วไม่น่าทำอะไรสำเร็จมาประกอบกับคดีฆาตกรรมที่จริงจัง ให้ส่วนผสมที่แตกต่างออกไปซึ่งสร้างกลุ่มคนอ่านใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นตามมาด้วย ถือเป็นหนังสือเล่มที่ขายดีอันดับหนึ่งของบูท Biblio ในงานหนังสือครั้งที่ผ่านมา แซงหน้าหนังสือญี่ปุ่นหวานๆ ทั้งหลายของเรา เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยว่านิยายแปลตะวันตกจากอังกฤษจะขายดีที่บ้านเรา

niche market เหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการที่สำนักพิมพ์แต่ละสำนักพิมพ์เลือกหนังสือที่แตกต่างกันออกมา ซึ่งหากมองที่เทรนด์ สิ่งที่ขาดไปจากตลาดคือหนังสือที่กล้าจะแตกต่างแต่ยังมีคุณภาพสูง จริงๆ แล้วคนอ่านหนังสือมองหาอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลานะ ถ้าสำนักพิมพ์จะป้ายยาอะไรตัวยามันต้องน่าสนใจจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าทิศทางการทำหนังสือในอีก 1-2 ปีนี้คงสนุกมากขึ้นสำหรับทุกๆ สำนักพิมพ์ ที่จะสร้างแนวทางใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

ในอนาคตคุณมีเป้าหมายยังไง ตั้งใจจะพา Biblio และสำนักพิมพ์ในเครือไปถึงจุดไหน

ความตั้งใจของผมที่มีตั้งแต่วันแรกคือ เราอยากทำสำนักพิมพ์ที่แตกต่างและสร้างหนังสือที่มีความหมายกับคนอ่าน ปีแรกเราพยายามทำให้ตัวเองชัดเจนในแนวทางนั้น ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้ว และเป็นไปตามที่เราคิดไว้ ปีที่ 2 ก็เป็นปีของความต่อเนื่อง เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าปีแรกไม่ได้เป็นเรื่องของความโชคดีเพียงอย่างเดียวแต่เป็นผลจากการทำงานเบื้องหลังหลายอย่าง 

พอเข้าปีที่ 3 เป็นปีที่เราต้องเลือกมากขึ้น คัดสรรมากขึ้น มองหาโอกาสที่น่าสนใจและแตกต่างออกมาเพื่อนำเสนอหนังสือ เราไม่สามารถที่จะทำอะไรแบบเดิมโดยใช้สูตรสำเร็จจาก 1-2 ปีแรกได้ เราจะต้องหาแนวทางใหม่หรือมองหา section ใหม่ของหนังสือที่จะนำเสนอ

ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ผมอยากให้ Biblio เป็นมากกว่าหนังสือ กลายเป็นแบรนด์ มีผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับการทำหนังสือ หรืออาจจะมีร้านหนังสือที่เป็นมากกว่าร้านหนังสือเกิดขึ้นมา เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์การอ่าน และการจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ก็ขึ้นกับผลประกอบการ และปัจจัยต่างๆ ในธุรกิจ

Day 1 ของ Madmatter ที่คิดถึงการขยายธุรกิจให้เติบโตอีกขั้น ผ่านการเป็น full-line fashion

Madmatter

Madmatter Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Madmatter

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

หยิบหนังสือ 8 เล่ม ที่เป็นที่สุดจาก Salmon Books มาใส่ตะกร้า

Salmon Books

Salmon Books add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Salmon Books

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

คุยกับ ‘สุรเวช เตลาน’ ผู้นำเข้า MOMO Paradise และใช้เวลา 360 วันบริการลูกค้าด้วยตัวเอง

MOMO Paradise

MOMO Paradise Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง ขอแค่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มก็พอ กลยุทธ์การกลับสู่ตลาดมือถือของ Nokia

‘Nokia’ ชื่อนี้สำหรับกลุ่มเด็กยุคใหม่เจนฯ Z อายุตั้งแต่ 25 ลงไปอาจไม่ได้มีความหมายอะไรมาก แต่เชื่อว่าสำหรับกลุ่มเจนฯ X, เจนฯ Y และรุ่นใหญ่กว่านั้นมันคือชื่อที่นำมาซึ่ง ‘อดีตของวันวานที่คิดถึง’ ถือเป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้มีมือถือเครื่องแรกในชีวิต มันคือเพื่อนคู่ใจที่ถึก ทน และมอบอิสรภาพในการติดต่อสื่อสารให้ชีวิตโดยไม่ต้องยึดติดกับโทรศัพท์บ้านหรือออฟฟิศอีกต่อไป

แต่น่าเสียดายที่โนเกียไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของตลาดสมาร์ตโฟนได้ เหลือไว้เพียงความทรงจำในอดีตของบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ที่ล้มเหลวจนกลายเป็นกรณีศึกษาของเคสธุรกิจมากมายในเวลาต่อมา

ในช่วงพีคที่สุดของบริษัทช่วงยุค 90s ถึงต้น 00s โนเกียเป็นบริษัทมือถือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ครอบครองส่วนแบ่งของตลาดมากถึง 51% ลองเปรียบเทียบกับตอนนี้ที่ Apple ครองตลาดสมาร์ตโฟนแค่ 22% นั้นถือว่าโนเกียครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่มากทีเดียว

ความผิดพลาดอย่างแรกที่ Nokia ทำคือการหันไปใช้ Windows OS สำหรับสมาร์ตโฟนของบริษัท ซึ่งอย่างที่เรารู้ว่าบริษัทที่เหลือรอดอยู่ในปัจจุบันนั้นถ้าไม่ใช่ Apple iOS ก็ต้องใช้ Google Android ในสมาร์ตโฟนเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรการโทษว่าเป็นความผิดของ Nokia เลยก็อาจไม่แฟร์สักเท่าไหร่ เพราะเมื่อย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ ที่อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนกำลังเริ่มต้น มันเป็นพื้นที่ใหม่และไม่มีใครทราบหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเป็นความเสี่ยงที่โนเกียชั่งแล้วว่าอยากร่วมมือกับ Microsoft และอีกเหตุผลใหญ่อีกอันหนึ่งคือการสร้างความแตกต่างให้กับตัวสมาร์ตโฟนของตัวเองด้วย สตีเฟน อีลอป (Stephen Elop) อดีต CEO ของโนเกียกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า

“คำเดียวที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความแตกต่าง’ เราทราบดีว่าการเข้าสู่ระบบนิเวศของ Android ช้าไปนั้นทำให้เราสร้างความแตกต่างได้ยากยิ่งขึ้น”

มันเป็นหลักแนวคิดที่ฟังดูมีเหตุผล เพียงแต่โชคร้ายที่ตัว Windows OS บนสมาร์ตโฟนนั้นใช้งานยากมาก มีกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งลองใช้ดู (ผู้เขียนเองก็เคยลองเล่นดูแต่ก็ขอยอมแพ้) แต่สุดท้ายก็สู้ของเจ้าอื่นที่ตอบโจทย์มากกว่าไม่ได้ สุดท้ายทำให้สมาร์ตโฟนของโนเกียได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ จนหลุดออกนอกกระแสไป จากที่เคยครองตลาดมือถือกว่า 51% ลดลงเหลือน้อยกว่า 2% ในปี 2013 และสุดท้ายตัดสินใจขายส่วนที่เป็นธุรกิจสมาร์ตโฟนให้กับไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในปี 2014 อีลอปกล่าวด้วยความเสียใจในการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายว่า

“เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่สุดท้ายเราก็กลายเป็นผู้แพ้”

ต่อจากนั้นอีกสองปีไมโครซอฟต์ได้พยายามปลุกชีวิตให้กับแบรนด์โนเกียฟื้นกลับมาหลายต่อหลายครั้งโดยใช้ Windows OS อีกนั่นแหละ แต่ก็ไม่รอด จนกระทั่งปี 2016 บริษัท HMD Global ได้เข้ามาซื้อสิทธิ์การผลิตโทรศัพท์โนเกียจากไมโครซอฟต์ ต่อจากนั้นเราก็เริ่มเห็นโนเกียที่ใช้ Android เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา 

แต่เส้นทางต่อจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนแม้จะใหญ่ แต่ก็มีผู้เล่นรายหลักๆ ที่ครองตลาดและมีฐานแฟนคลับของตัวเองอยู่แล้วพอสมควร อย่าง Apple, Samsung, Huawei หรือ Xiaomi 

ถึงอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพายุของการแข่งขันของตลาดมือถือ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะมีแสงแห่งความหวังที่ปลายทางขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะริบหรี่แต่ก็ดูเป็นแสงนำทางเพื่อให้ธุรกิจพอจะมีทางเดินต่อไปได้หลังจากเคว้งคว้างมานานเกือบสองทศวรรษ

ระหว่างที่บริษัทสมาร์ตโฟนในตลาดส่วนใหญ่ขับเคี่ยวเพื่อเป็นที่หนึ่งทางเทคโนโลยี โนเกียมองต่างออกไป ในเมื่อเป็นที่หนึ่งในทางนั้นไม่ได้ พวกเขาย้อนกลับมาดูจุดแข็งที่ตัวเองเชี่ยวชาญและสิ่งที่ผู้ใช้งานคุ้นเคย ใช้การตลาดที่เรียกว่า ‘nostalgia marketing’ แล้วปล่อยมือถือรุ่นคลาสสิกหลายรุ่น (ที่ได้รับการอัพเดตให้ทำงานได้ดีมากขึ้น) เพื่อดึงเอาความคิดถึงวันวานในอดีตของลูกค้ามาดึงดูดลูกค้าให้กลับมาหา ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผลด้วย

สองสามปีที่ผ่านมาเราได้เห็นโนเกียหันกลับมาโฟกัสกับตลาด ‘Feature Phone’ หรือ ‘Dumb Phone’ มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยมันคือตลาดของโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีฟังก์ชั่นหรูหราเหมือนอย่างสมาร์ตโฟนเจ้าใหญ่ๆ แต่เป็นมือถือปุ่มกดที่เราคุ้นเคยกันในอดีตอย่างพวก Nokia 3310 (รุ่นตำนาน) และ Nokia 8110 (รุ่นกล้วยหอม) ที่ออกมาในปี 2017 และตอนนี้กำลังจะออกอีกสามรุ่นใหม่คือ Nokia 8210, Nokia 5710 และ Nokia 2660 ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2022

เหตุผลที่โนเกียหันกลับมาให้ความสนใจกับตลาดนี้เพราะมันเหมือนเป็นตลาด niche ที่เฉพาะเจาะจง ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มของคนสูงอายุ คนที่ต้องการเครื่องสำรองที่แบตเตอรี่อยู่ได้นานๆ อึด ทน หรือลูกค้าองค์กรในหลายประเทศเลยรวมถึงบ้านเราเองด้วย ข้อได้เปรียบของโนเกียคือชื่อแบรนด์ที่คุ้นหูอยู่แล้วกับประสบการณ์ในการสร้างโทรศัพท์มือถือในตลาดแบบนี้มาก่อนอยู่แล้ว ด้วยการเสนอโทรศัพท์ที่มีคุณภาพดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจึงทำให้โทรศัพท์ปุ่มกดของโนเกียได้รับความนิยมไม่น้อย

ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2021 โนเกียขายโทรศัพท์แบบปุ่มกดนี้ไปกว่า 10 ล้านเครื่อง เป็นเจ้าที่สองในตลาดที่มีส่วนแบ่งมากถึง 18% ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง

ภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD) กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดทั่วโลกในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีความต้องการถึง 157 ล้านเครื่อง มีมูลค่าราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดไทยก็ยังมีความต้องการเป็นหลักล้านเครื่องเลย”

ในรายงานของเว็บไซต์ข่าว BBC บอกว่าโทรศัพท์แบบปุ่มกดนั้นมียอดขายกว่า 1 พันล้านเครื่องทั่วโลกในปี 2021 เติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2019 ที่ขายได้ราวๆ 400 ล้านเครื่อง (ซึ่งที่จริงต้องเทียบกับยอดขายสมาร์ตโฟนที่ 1,400 ล้านเครื่องในปีเดียวกันด้วย เพราะตัวเลขเริ่มมีความใกล้เคียงกันและยอดขายสมาร์ตโฟนก็ลดลงไป 12.5% จากปีก่อนหน้าด้วย) และจากการศึกษาชิ้นหนึ่งโดยกลุ่มนักบัญชี Deloitte กล่าวว่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 1 ใน 10 ในสหราชอาณาจักรมีโทรศัพท์แบบปุ่มกดเอาไว้ใช้งานด้วย

เออร์เนสต์ โดคุ (Ernest Doku) ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรศัพท์มือถือจากเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา Uswitch.com กล่าวกับ BBC ว่า

“ดูเหมือนว่าแฟชั่น ความคิดถึง และการปรากฏตัวของมันในวิดีโอบน TikTok มีส่วนช่วยทำให้โทรศัพท์ปุ่มกดฟื้นคืนชีพกลับมา พวกเราหลายคนมีโทรศัพท์แบบนี้เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกคิดถึงโทรศัพท์รุ่นคลาสสิกเหล่านี้”

นอกจากนั้นแล้วโดคุยังกล่าวถึงอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือการกลับมาของ Nokia 3310 ในปี 2017 ที่เป็นรุ่นในตำนาน หนึ่งในมือถือที่ขายดีที่สุดตลอดกาล จุดประกายความคิดถึงวันเก่าเหล่านั้นให้กลับมาในใจของใครหลายๆ คน “Nokia ผลักดัน 3310 ให้เป็นทางเลือกที่ราคาไม่แพงในโลกที่เต็มไปด้วยโทรศัพท์มือถือสเปกสูง”

เหตุผลที่คนเลือกใช้โทรศัพท์แบบปุ่มกดนอกจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้วเกี่ยวกับฟังก์ชั่นการทำงานที่ตอบโจทย์การใช้งานแล้ว ยังมีเรื่องของไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เรียกว่า ‘Digital Detox’ (การหลบหลีกการใช้เทคโนโลยีมากเกินไปจนทำให้ชีวิตเสียสมดุล) เข้ามาช่วยเสริมด้วย หลายคนเลือกหันกลับมาใช้โทรศัพท์มีปุ่มแล้วทิ้งโลกของสมาร์ตโฟนไว้ข้างหลังอย่างเต็มตัว ยกตัวอย่าง Robin West) วัยรุ่นอายุ 17 ปีที่ตัดสินใจไม่ใช้สมาร์ตโฟนเหมือนกับเพื่อนๆ ของเธอตั้งแต่สองปีก่อน

“ฉันไม่เห็นเลยว่าสมาร์ตโฟนมันกลืนกินชีวิตของฉันไปมากขนาดไหนจนกระทั่งซื้อโทรศัพท์ปุ่มกดมาใช้ ฉันมีแอพฯ โซเชียลมีเดียเยอะมากๆ ใช้มือถืออยู่ตลอดเวลาและทำงานไม่เคยเสร็จ ตอนนี้ฉันมีความสุขมากกับมือถือธรรมดาอันนี้ ไม่คิดว่ามันทำให้ลำบาก และรู้สึกว่ากระตือรือร้นมากขึ้นด้วย” โรบิน เวสต์ อธิบายถึงผลของการเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ฟังก์ชั่นเรียบง่าย

สถิติจากคำค้นหาของกูเกิลบ่งบอกไปในทิศทางเดียวกันว่ายอดการค้นหา ‘Dumb Phone’ หรือ ‘Feature Phone’ นั้นเพิ่มขึ้นกว่า 89% ระหว่างปี 2018-2021

นอกจากโนเกียแล้วก็มีเจ้าอื่นๆ ที่หันกลับมาให้ความสนใจกับตลาดนี้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างบริษัทมือถือน้องใหม่จากนิวยอร์กชื่อว่า ‘Light Phone’ ที่เป็นมือถือที่ใช้หน้าจอแบบ e-Ink แตะหน้าจอได้ ฟังเพลงได้ ฟังพ็อดแคสต์ได้ แต่ไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีอีเมล ข่าว หรือเบราเซอร์เลย เป็นเพียงโทรศัพท์ที่คุณพกเพื่อให้คุณติดต่อกับคนอื่นๆ ได้เท่านั้น

ทางบริษัทรายงานว่าในปี 2021 ยอดขายของพวกเขาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 150% นั่นแสดงให้เห็นว่าคนหันมาให้ความสนใจกับเทรนด์การใช้ชีวิตแบบแอนะล็อกมากขึ้นจริงๆ เพราะลูกค้าที่เข้ามาซื้อคือกลุ่มคนอายุ 25-35 ปี เป็นส่วนใหญ่

แทนที่โนเกียจะพยายามสร้างนวัตกรรมสมาร์ตโฟนใหม่ ๆ เข้ามาท้าต่อยกับเจ้าใหญ่ พวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ใช้งานเบื้องต้น คนที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของบริษัทอื่น กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยหรือต้องการโทรศัพท์ที่มีฟีเจอร์ไม่ได้มากมาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และมันก็ดูจะสำเร็จดีด้วย ส่วนสมาร์ตโฟนของโนเกียก็ไปแข่งกับตลาดล่างๆ อย่าง Realme หรือ Motorola แทน ไม่ใช่ไปท้าสู้กับ Apple หรือ Samsung ที่นอกจากจะมีโอกาสชนะเพียงน้อยนิดแล้ว ยังจะเจ็บตัวซ้ำไปกว่าเดิมอีกด้วย

เป็นการเดินหมากที่ถือว่าฉลาดไม่น้อยของโนเกียเลย

ถามว่าโนเกียจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม กินส่วนแบ่งของตลาดมือถือเกินครึ่งไหม คงเป็นไปได้ยาก (ถ้าทำได้มันจะกลายเป็น comeback story ที่น่าทึ่งมาก)​ แต่ถามว่าโนเกียกำลังมาถูกทางไหม ก็อาจจะใช่ โอกาสเติบโตกว่านี้ก็คงเป็นไปได้ แต่ก็ต้องดูว่าตลาดที่โหยหาอดีตอันหอมหวนจะยั่งยืนขนาดไหน เพราะมันอาจจะเป็นเพียงครู่หนึ่งของการคิดถึงแล้วก็หายไป เหมือนการคิดถึงใครบางคนในอดีต แต่สุดท้ายก็ต้องมูฟออนก็เป็นไปได้

อ้างอิง

มุทิตา-วันศีล ผู้สร้าง ‘เถียงนา’ จากคาเฟ่ในจังหวัดตากสู่ร้านขนมอบคิวยาวในกรุงเทพฯ

ในยุคสมัยที่คาเฟ่เก๋ไก๋เปิดใหม่อยู่ทั่วเมืองหลวง บางคาเฟ่มีดีที่โลเคชั่น บางคาเฟ่อาจเด่นดังที่เป็นจุดนัดถ่ายรูป แต่ เถียงนา เวียนนัวเซอรี (Tiengna Viennoiserie) คาเฟ่สองชั้นแห่งหนึ่งในซอย สุขุมวิท 39 ดูเหมือนกับว่าได้เหมารวมเอาแทบจะทุกความต้องการที่แฟนสายคาเฟ่มองหามารวมเอาไว้ที่นี่ทั้งหมด ทั้งขนมอร่อย กาแฟดี เดินทางสะดวก แถมบรรยากาศภายในร้านตกแต่งแบบน่ารักอบอุ่น ชนิดที่ว่าเล็งกล้องไปทางไหนก็ถ่ายรูปออกมาสวยได้อย่างใจทุกมุม 

แวบแรกที่คุณเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน เสียงเพลงเบาๆ เปิดคลอพอเป็นจังหวะให้กับลูกค้าและพนักงานที่เดินขวักไขว่ไปมาได้ก้าวเท้าตาม จะเป็นด่านแรกที่คาเฟ่แห่งนี้เอ่ยชวนต้อนรับคุณเมื่อคุณเปิดประตูเดินเข้าร้าน

คำต้อนรับที่สองจากคาเฟ่แห่งนี้คือ รูปลักษณ์และสีสันอันสวยงามของขนมอบหลากหลายชนิดที่วางเรียงรายอยู่ในตู้วางขนม ราวกับว่ามันเป็นงานศิลปะ ทั้งสีที่ตัดกันไปมา ทั้งรูปทรงของขนมอบแต่ละชิ้นที่ดูแล้วสวยงามประณีตลงตัว แถมขนมแต่ละอย่างยังอร่อยเด็ดสุดๆ  

โดยเฉพาะขนมอบขึ้นชื่อของร้านอย่าง ‘ครัวซองต์’

ครัวซองต์ของเถียงนานั้นขึ้นชื่อและโด่งดังในหมู่คอครัวซองต์ ทั้งความกรอบนอก ชุ่มเนย นุ่มใน แถมถ้าคุณกินที่ร้าน พนักงานจะอุ่นเสิร์ฟให้คุณได้กินแบบกำลังอุ่นๆ กินคู่กับกาแฟหรือชาในยามเช้า ก็คงจะเป็นคำจำกัดความของคำว่า ‘good morning’ ได้อย่างดีที่สุดทางหนึ่งเลยทีเดียว

ด้วยความลงตัวของทุกองค์ประกอบ ‘เถียงนา’ จึงเป็นคาเฟ่ที่ป๊อปปูลาร์ในหมู่คนรักคาเฟ่ ไม่ใช่เพียงแต่ประชาชนย่านสุขุมวิทเท่านั้นที่เป็นลูกค้าของเถียงนา แต่ลูกค้าเดลิเวอรีหรือลูกค้าที่มาจากที่อื่นๆ ก็มากไม่แพ้กันเลยทีเดียว

แต่กว่าจะมาเป็น เถียงนา ในวันนี้ที่ทุกคนรักทั้งสองพี่น้อง แพร–มุทิตา และ ต่วน–วันศีล จันทร์อินทร์ สองพี่น้องจากจังหวัดตากต้องพบเจอกับอะไรมาบ้างระหว่างทางที่นำพาร้าน ‘เถียงนา Coffee and Bakery Farm’ คาเฟ่เล็กๆ จากทุ่งเมืองตากสู่การเป็น Tiengna Viennoiserie แห่งใจกลางสุขุมวิท

ก่อนอื่นช่วยอธิบายหน่อยว่าทำไมทำร้านขายขนมอบถึงตั้งชื่อว่า ‘เถียงนา’

ต่วน : ต้องเล่าย้อนความแบบนี้ คือครอบครัวผมทำธุรกิจสังฆภัณฑ์อยู่ที่ตากชื่อร้านแม่ผง ขายของเกี่ยวกับการทำบุญอยู่ในเมืองตาก ทีนี้จะขยายกิจการก็เลยมีการซื้อพื้นที่ผืนหนึ่งมา 4 ไร่เพื่อที่จะเปิดร้านสังฆภัณฑ์สาขา 2 คุณพ่อผมเขาก็มีความคิดว่าเราจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในพื้นที่ 4 ไร่นี้เพื่อซัพพอร์ตร้านสังฆภัณฑ์สาขา 2 ดีไหม 

คือในพื้นที่ 4 ไร่นี้มันก็มีบ้านหลังหนึ่งที่อยู่กลางทุ่งนา ที่ที่เราจะไปเปิดเป็นร้านสังฆภัณฑ์สาขา 2 นี่แหละ และในโซน 4 ไร่นั้นก็แบ่งพื้นที่เป็นพื้นที่ปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ ก็คือเป็นทุ่งนาเลยครับ พอเราจะเปิดร้านกาแฟกัน ซึ่งตอนนั้นคิดว่าจะทำกันเล่นๆ นะครับ เราก็เลยคิดว่าไหนๆ มันอยู่กลางทุ่งนาขนาดนี้แล้ว เราก็ตั้งชื่อมันว่า เถียงนา ก็แล้วกัน

แสดงว่าร้านนี้ตอนแรกคิดแค่ทำร้านเพื่อซัพพอร์ตร้านสังฆภัณฑ์

แพร : คือบ้านกลางทุ่งนาตรงนั้น จริงๆ คุณพ่อสร้างให้แพรนอนตรงนั้นเพื่อจะได้ดูแลร้านสังฆภัณฑ์ ซึ่งตอนนี้แพรก็นอนตรงนั้นนะ ข้างบนเป็นบ้านแพร ข้างใต้เป็นร้านกาแฟ

ตอนที่สร้างร้านสังฆภัณฑ์สาขา 2 ตรงนั้นและกำลังสร้างบ้านหลังเล็กๆ กลางทุ่งนาในตอนนั้น แพรไปเรียนเรื่องกาแฟที่เมลเบิร์นพอดี จริงๆ ถ้าเรียกให้ถูกอาจจะต้องบอกว่าตอนนั้นแพรทั้งไปเที่ยว ไปทำงาน ไปเรียนเรื่องกาแฟ แล้วตอนนั้นแพรก็คุยกับน้องต่วนว่าเออ ถ้าเรากลับมา มาเปิดร้านกาแฟกันนะ ระหว่างนั้นต่วนเขาก็ดูแลร้านสังฆภัณฑ์

ต่วน : เอาจริงๆ นะครับ จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่คุณพ่อคุณแม่คิดว่าเปิดร้านกาแฟให้ลูกทำดีกว่า ลูกจะได้มาอยู่ด้วยกันที่ตาก และจะได้หยุดตามหาตัวเองสักที อย่างพี่แพรก็ไปตามหาตัวเองที่เมลเบิร์น ส่วนต่วนก็เรียนปริญญาโทที่กรุงเทพฯ พอกลับมาก็สร้างกับดักอันนี้เนี่ยแหละครับ (ยิ้ม) เพื่อจะให้เราได้หยุด

แพร : ใช่ค่ะ เขาอยากให้เรากลับบ้านเกิด อยากให้เรากลับตาก และเขารู้ว่าเครื่องสังฆภัณฑ์ไม่น่าใช่แพสชั่นเรา เราไม่ได้อยากขายของทำบุญ แม่ก็เลยคิดว่างั้นเปิดร้านกาแฟไหม เพราะน้องต่วนชอบทำเค้ก แพรชอบกินกาแฟ อุ๊ย มันดูลงตัว พ่อก็เลยลงทุนค่าก่อสร้างให้ แล้วเราสองคนก็เอาเงินเก็บของเรามาซื้ออุปกรณ์

ซื้อพวกเครื่องทำกาแฟ เตาอบ?

ต่วน : ใช่ ตอนแรกจุดเริ่มต้นมันแค่เป็นอะไรเล็กๆ มากๆ เราไม่ได้แพลนอะไรมากมายเลย ไม่ได้เขียน business plan ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดแบบธุรกิจจริงจัง เหมือนเราแค่อยากเปิดมันขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตร้านสังฆภัณฑ์มากกว่า แต่พอเปิดวันแรก เราก็รู้เลยตั้งแต่วันนั้นว่าเราคงไม่ได้ขายสังฆภัณฑ์แล้ว 

เพราะคนเยอะมาก (ลากเสียงยาว) ด้วยพื้นที่ด้วยแหละครับ พื้นที่มันสวย ใหญ่ มองไปแล้วผ่อนคลาย คือเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว มันไม่ค่อยมีไงฮะ ร้านคาเฟ่ที่อยู่ต่างจังหวัด ที่มีพื้นที่ใหญ่ๆ มีวิวนาสวยๆ 

เปิดคาเฟ่ในต่างจังหวัดคุณตั้งราคายังไง ขายกาแฟแก้วละกี่บาท

แพร : แก้วละ 50 บาท ซึ่งแพงที่สุดในจังหวัดตากแล้วตอนนั้น เพราะกาแฟคนอื่นเขาแก้วละ 30 บาท แล้วที่บอกว่าเปิดร้านโดยไม่มี business plan เพราะวันแรกที่เปิดร้านมีพนักงานแค่ 2 คนถ้วนเท่านั้นคือแพร และต่วน ไม่มีคนล้างจาน ไม่มีพนักงานเลย เค้กก็มีต่วนทำเป็นอยู่คนเดียว แล้วเราเพิ่งกลับตาก ไม่รู้จักใคร ไม่ได้โปรโมตอะไรเลย เรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนที่ตาก เพราะเราโตที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นเราสองคนคุยกันว่า เอาน่า ขายได้วันละ 5 แก้ว 10 แก้วก็พอแล้ว เพราะในตอนนั้น หนึ่ง–เราไม่เสียค่าจ้าง สอง–ค่าเช่าเราก็ไม่ต้องเสีย ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรต้องกังวล ก็เลยทำแบบชิลล์ๆ จริงๆ 

เราแค่โพสต์บนหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวของเราแค่วันเดียวก่อนที่จะเปิดว่า จะเปิดแล้วนะ ใครอยากจะมาก็มาได้ ปรากฏว่าเปิดวันแรก เราขายไป 78 แก้ว แล้วลูกค้าคนแรกคือฝรั่งสองคน คือมาจากไหนก็ไม่รู้ เซอร์ไพรส์มาก เขาบอกว่าเขาแรนด้อมมา อาจจะมาเพราะว่าร้านเราอยู่ติดถนนเอเชียด้วย เขาผ่าน เลยแวะเข้ามา

ต่วน : คือถนนเอเชียมัน traffic เยอะอยู่แล้ว พอเราเริ่มขึ้นป้าย คนที่เขาจะขึ้นเหนือเขาก็คงเห็น มันเลยทำให้เขาเข้ามาได้ง่ายเพราะร้านเราอยู่ติดถนนเอเชียเลย เอาเป็นว่าคนที่จะขึ้นเชียงใหม่ทุกคนต้องผ่านร้านเรา คนกลุ่มนี้เขาก็อาจจะเห็นแล้วแรนด้อมเข้ามา บวกกับเพื่อนพ่อเพื่อนแม่เขาบอกต่อๆ กัน คือตากมันเป็นเมืองที่เล็กมากครับ พอมันมีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ก็คือทุกคนรู้หมด

แพร : วันนั้นวันแรกเราเปิดร้านตอนเช้า 7 โมง ซึ่งเช้ามาก คงเป็นเพราะเราสองคนเป็นคนตื่นเช้าและเราชอบบรรยากาศตอนเช้าๆ แล้วเราก็คิดว่ากาแฟมันต้องกินตอนเช้าด้วย แต่กลายเป็นว่าตอนเช้าวันนั้นยังไม่มีใครมา จนมีฝรั่งสองคนที่ว่านี่แหละที่มา ซึ่งอาจจะมาเพราะว่าร้านเราอยู่ติดถนนเอเชียด้วย เขาผ่าน เลยแวะเข้ามา

ตอนเช้าของวันแรกที่เปิดร้านแล้วไม่มีคนเดินเข้ามาเลยรู้สึกอะไรบ้างไหม

ต่วน : เนื่องจากเราไม่หวังสูง เราหวังแค่ 10 แก้วต่อวัน เลยไม่กดดันอะไร แต่พอผ่านวันแรกไป เริ่มเข้าวันที่สองนี่แหละครับที่เราเริ่มกดดันแล้ว เพราะเราทำกันแค่สองคนไม่ไหว สำหรับลูกค้าที่เยอะขนาดนี้

แพร : คือมีลูกค้าเข้ามาเยอะค่ะ แพรก็ทั้งรับออร์เดอร์ด้วยแล้วก็ทำกาแฟด้วย และเราก็ไม่มีคนเสิร์ฟด้วย ตอนนั้นเราตั้งใจทำเป็น open kitchen คือครัวอยู่ในร้านกาแฟเลย ร้านเราตอนนั้นไซส์ไม่ใหญ่เลย ตรงกลางร้านมีโต๊ะกลางตัวนึงที่ต่วนเอาไว้ทำเค้ก มีบาร์ไว้ทำกาแฟ ลูกค้าจะเห็นหมดเลยว่าเราทำอะไรบ้าง แล้วพอวันที่สองวันที่สาม คนเริ่มเข้ามาเยอะมันเริ่มไม่สนุกแล้ว เพราะเราถูกคอมเพลน เราทำงานไม่ทันเลย สมมติต่วนรับออร์เดอร์ แพรเป็นคนชงมันก็ไม่ทันอยู่ดีกับจำนวนลูกค้าทั้งหมดที่เข้ามา เราเริ่มมีการเอาพี่ที่ทำงานอยู่ที่บ้านเรามาช่วยเช็ดล้างนิดหน่อย แล้วเราก็รู้สึกกันว่า ศึกหนักกำลังจะมา เพราะว่าเราเปิดร้านวันที่ 1 เมษาฯ

เพราะสงกรานต์ใกล้เข้ามาแล้ว?

แพร : ใช่ค่ะ สงกรานต์อีสคัมมิ่งจริงๆ แล้วสงกรานต์เป็นวันที่ทุกคนกลับบ้านเกิด แล้วเราก็หาคนมาช่วยเพิ่มไม่ทันด้วยในตอนนั้น คนที่มาช่วยเราก็มีลูกของพี่เลี้ยงที่บ้าน แล้ววันสงกรานต์นี่จำได้เลยว่าต้องเอาญาติมาช่วยกันล้างจาน มาช่วยกันเสิร์ฟ 

ข้อเสียของร้านเราคือ ร้านเราสเกลใหญ่มากๆ แปลว่า คนสามารถเดินเข้ามาได้เรื่อยๆ ถึงเดินเข้ามาในร้านแล้วไม่มีที่นั่งเขาก็นั่งรอตรงสวนได้ ฉะนั้นคนเลยเดินเข้ามาได้ไม่หยุด คือถ้าเป็นร้านที่เขามีพื้นที่เล็กหน่อยพอเดินเข้ามาแล้วไม่มีที่ให้เขานั่งเขาก็กลับ แต่ร้านเราคือคนเดินเข้ามาได้เรื่อยๆ เลย แล้วเขาก็มานั่งรอ เป็นชั่วโมงเขาก็รอ

การที่ร้านมีลูกค้าเยอะแทนที่จะเป็นเรื่องดีกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกคุณไม่สนุก

แพร : คือที่เราเฟลเพราะจริงๆ เราไม่ได้อยากให้ลูกค้ารอ เราเกรงใจการรอ ไม่อยากให้เขาคอมเพลนเลย แต่เราไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะเดินไปบอกลูกค้าว่า ขอโทษนะคะ คือเราก้มหน้าก้มตาทำงานไป จากนั้นมาในเดือนแรกเลยเราก็เลยได้เริ่มหาคนเข้ามาช่วยเราแล้วแบบจริงจัง เราเริ่มจ้างพนักงานเพิ่ม ขยายพื้นที่ รีโนเวต

แล้วที่ตลกคือ ตอนแรกเรามีการตกลงกันกับต่วนว่าเราจะสลับเวรกัน แบบวันนี้เธอเข้าร้านสังฆภัณฑ์นะ ฉันเข้าร้านกาแฟ คือสลับกันเข้าคนละร้าน คนละวัน แต่ปรากฏว่าตั้งแต่วันแรกที่เปิด เราสองคนไม่มีใครได้เข้าไปเหยียบที่ร้านสังฆภัณฑ์เลย

นอกจากทำเล คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาร้านเรื่อยๆ ตั้งแต่แรก

แพร: แพรคิดว่ามันคือการที่เถียงนานำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในตากค่ะ คือ 7 ปีที่แล้วแพรว่ามันใหม่มากกับการที่เราไม่ได้คั่วกาแฟแบบเข้มๆ เราขายกาแฟที่ติดกลิ่นฟรุตตี้หน่อย ตอนนั้นคนที่ตากอาจจะยังไม่รู้จักคำว่า specialty coffee หรือกาแฟคั่วอ่อนเป็นยังไง ตอนนั้นเราก็เคยโดนด่ามาเหมือนกันนะว่าทำไมกาแฟชั้นไม่เข้มเลย อ่อนจัง แต่ก็อาจจะเป็นเพราะตรงนี้เลยทำให้ลูกค้าแวะเวียนเข้ามาหาเราอยู่เรื่อยๆ เพราะเราไม่เหมือนใครเลยในตอนนั้น คือตอนที่เปิดแรกๆ เราคิดว่าลูกค้าของเราคือคนในจังหวัด แต่พอทำไปสักพักเราก็รู้สึกว่า เออ เรานำส่ิงแปลกใหม่มาให้จังหวัดดีกว่า จากที่เราได้ไปเรียนรู้อะไรๆ มาหลายๆ ที่ เราก็อยากเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาที่ตาก

แล้วช่วงแรกที่คนยังไม่เข้าใจแนวทางกาแฟของร้าน คุณทำยังไง

แพร : เราก็ต้องอธิบายค่ะ

ต่วน : คือพี่แพรเขาก็ไม่อยากเปลี่ยนจุดยืน เพราะกาแฟเข้มหาได้ทั่วไปมากในสมัยก่อน มันเยอะมาก แล้วพี่แพรเขาก็ยืนยันว่ายังไงเขาก็จะไม่เปลี่ยนจุดยืน ก็ต้องเข้มแข็ง เพราะก็มีคนบางคนเหมือนกันที่เขาก็เข้าใจแล้วบอกเราว่า เขาหามานานแล้วแบบนี้ หาทานไม่ได้สักที ตรงนี้ก็เป็นกำลังใจให้เรา เราก็พยายามคุยกันว่าเราจะไม่เปลี่ยนจุดยืนนะ อย่างต่วนเองก็เน้นเค้กที่มีความเป็นโมเดิร์น มีความเป็นฝรั่งเศส ถึงคนจะไม่รู้จัก เราก็พยายามให้ความรู้เขาว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วยนะ 

ซึ่งการทำอะไรแบบนี้มันก็มีข้อดีข้อเสียนะครับ ก็คือบางคนเขาอาจจะไม่เปิดใจ อาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าสำหรับคนที่อยากลองอะไรใหม่ๆ การที่เรานำเสนออะไรที่มันยูนีกก็ทำให้เขาสนใจ เพราะเราไม่เหมือนใคร

แพร : คือแพรคิดว่าถ้าแพรจะเอาอะไรมาขาย มันต้องเป็นสิ่งที่แพรชอบกินทุกวัน คือเราต้องกินกาแฟเราทุกวัน ไม่ใช่ว่าเราเอากาแฟแบบนี้มาขาย แต่เราไปกินอย่างอื่น แบบนี้ไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าจุดยืนเราต้องไม่เปลี่ยน แต่ว่ามันก็ต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ซึ่งมนุษย์เป็นปัจเจกอยู่แล้ว มันก็อาจจะมีทั้งที่ถูกปากหรือไม่ถูกปากเขา ฉะนั้นร้านเราก็จะดึงดูดคนที่ชอบเหมือนกันกับเรามาหาเราเอง

แล้วไปยังไงมายังไงเถียงนาที่ตากถึงเดินทางมาเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ ได้

  แพร : อย่างที่บอกว่าตอนแรกลูกค้าเถียงนาคือลูกค้าในจังหวัดตาก แต่ต่อมาเราเริ่มมีลูกค้าจากจังหวัดอื่น ลูกค้า 80 เปอร์เซ็นต์ของเถียงนาที่ตากตอนนี้คือไม่ใช่คนในตากแล้ว แต่เป็นคนกรุงเทพฯ หรือคนจากจังหวัดอื่นที่ขับรถมาท่องเที่ยว มันเลยทำให้เราต้องขยายร้านทุกปี ร้านเรารีโนเวตทุกปี ตั้งแต่ทำร้านมาไม่เคยได้แบ่งปันผลกับต่วนเลย เพราะเอาเงินลงกลับไปใหม่เพื่อใช้ในการขยายร้าน มันเลยกลายเป็นว่า ได้เงินมาเอาไปขยายร้าน ได้เงินมาเอาไปซื้ออุปกรณ์ ซึ่งจนทุกวันนี้ก็ยังขยายอยู่นะคะ

ทีนี้พอร้านขยายจนเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังคงรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่เราอยากสื่อออกไปแต่ว่ามันยังไปไม่ถึงกลุ่มคนที่เป็นลูกค้า เช่น ต่วนเขาอยากขายเค้กฝรั่งเศส ที่ใช้วัตถุดิบดีมากๆ ซึ่งเมื่อเราใช้วัตถุดิบที่ดีมากๆ มันก็ทำให้ต้นทุนสูง เราก็เลยมาคิดว่า เราจะทำยังไงดีน้องเราถึงจะได้โชว์ศักยภาพเต็มที่ มันก็เลยมาจบที่ไอเดียที่ว่า เราต้องเข้าเมืองหลวง

เราสองคนก็คุยกันว่า สักวันนึงเราจะต้องเข้ากรุงเทพฯ กันให้ได้นะต่วน ซึ่งคำว่า ‘สักวันนึง’ ของเรา มันหมายความถึงวันที่ระบบที่ตากต้องพร้อม สาขาที่ตากต้องอยู่ได้โดยที่ไม่มีเราอยู่ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาเรายังไม่พร้อมสักที จนกระทั่งต่วนได้รับเชิญให้ไปเปิดบูทที่งานอีเวนต์นึงที่จัดที่ Warehouse 30 ตรงเจริญกรุง ตอนปี 2019

ต่วน : ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนโควิด คือโควิดยังไม่ระบาดในบ้านเรา เราก็ไปออกบูท เอากาแฟเอาขนมไปออกบูท ก็จะเป็นพวกกาแฟดริปนิดหน่อย แล้วก็ขนเอาโปรดักต์ที่ขายดีของเราไป อย่างพวก viennoiserie งานครัวซองต์ งานรีด ซึ่งตอนนั้นเหมือนกับว่ายังไม่มีกระแสครัวซองต์บูม แต่พอไปปุ๊บคนให้การตอบรับเราดีมากๆ จนเราก็งงว่าคนรู้จักเราเยอะขนาดนี้ได้ยังไง

แพร : คือมันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจของเรามากเลยนะคะตอนนั้น เพราะเรารู้สึกว่าน้องเราทำครัวซองต์อร่อยมาก ตอนอยู่ที่ตากเราก็ขายดีประมาณนึง แต่พอตอนเราเสิร์ชกูเกิลหาคำว่า best croissant in Thailand คือไม่มีชื่อเราติดเลย เพราะเราไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ทั้งที่จริงๆ แล้วแพรรู้สึกว่า ร้านครัวซองต์ตามจังหวัดต่างๆ เช่น อุดรฯ อุบลฯ ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย มีร้านอร่อยๆ เยอะมาก แต่ร้านเหล่านั้นไม่เคยติดอันดับเลย เพราะคนที่เขาจัดอันดับเขามองแต่ร้านในกรุงเทพฯ เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ แต่อย่างที่บอกว่าตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่พร้อม จนมาออกอีเวนต์นี้แหละค่ะที่ทำให้เรารู้ว่าลูกค้าที่กรุงเทพฯ ให้การตอบรับเราดีมาก

ตอนนั้นก่อนมาเราใช้วิธีโพสต์ในเฟซบุ๊กเคานต์ดาวน์ก่อนจะถึงวันที่เราจะมาออกบูทที่กรุงเทพฯ เคานต์ดาวน์ไปเรื่อยๆ ทุกวัน อีก 5 วันเจอกัน อีก 4 วัน ไล่ไปจนถึงวันงาน

ต่วน : วันงานคือคนมาต่อแถวกันยาวมาก ยาวแบบไปบังอีก 2-3 บูท ซึ่งเราก็เกรงใจเขานะครับ และเราก็เซอร์ไพรส์มาก ไม่คิดว่าคนเขาจะรู้จักเรา ทั้งที่ร้านเราอยู่จังหวัดตากด้วย แต่คนที่มาเหมือนเขารู้จัก เพราะเขาเคยขับรถผ่านแล้วเคยไปชิมของของที่ร้านเรา

อีเวนต์นั้นเหมือนทำให้รู้ว่าถึงเวลาต้องขยายสาขามากรุงเทพฯ แล้ว?

แพร : ตอนนั้นมันเลยทำให้เรารู้ว่า อ๋อ เรามีแฟนอยู่กรุงเทพฯ อยู่นะ ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าเรามาเปิดกรุงเทพฯ ยังไงก็น่าจะมีคนมาซัพพอร์ตเรา ก็คือน่าจะไม่เจ๊ง (ยิ้ม)

คืองานอีเวนต์นั้นมันจัดประมาณกุมภาพันธ์ แล้วพอเดือนมีนาคม พี่ที่เป็นคนจัดอีเวนต์นั้นเขาชวนต่วนไปดูที่ เขาบอกต่วนว่า สนใจไหมมีที่ว่างอยู่นะ อยู่ในซอยสุขุมวิท 39 พอต่วนไปดูแล้วเขาก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ เขาก็เรียกแพรไปดูด้วย พอไปดูด้วยกัน เราก็บอกกันและกันว่า เออ เอาเลย เพราะถ้าไม่ได้ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำตอนไหนแล้ว ตอนนั้นมันเดือนมีนาคม เมษายนโควิดก็เริ่มมาแล้ว ซึ่งเขาก็ลดค่าเช่าที่ลงมาให้ แพรก็คุยกับต่วนว่า ถ้าไม่เอาตอนนี้ก็ไม่รู้จะเอาตอนไหนแล้วนะ ก็เลยตัดสินใจว่าเอาเลย

การเตรียมเปิดร้านที่กรุงเทพฯ ต่างจากตอนเตรียมเปิดร้านที่ตากไหม

แพร : เราก็บอกกับต่วนว่ามากรุงเทพฯ ครั้งนี้เราต้องพร้อมนะ การออกแบบเราต้องจ้างนะ ไม่ใช่เหมือนตอนเปิดที่ตากที่เราออกแบบกันเอง คือที่ตากเราไปเลือกเฟอร์นิเจอร์กันเอง ตกแต่งกันเอง แต่มากรุงเทพฯ เราจ้างดีไซเนอร์ อินทีเรียร์ หรืออย่างแพ็กเกจจิ้งก็สำคัญมาก คือเราคุยกับต่วนว่าแพ็กเกจจิ้งคือสิ่งที่สร้างมูลค่าให้ขนมนะ เราทำขนมมาดีก็จริง อร่อยมากๆ แต่ถ้าถุงไม่ได้ดูสวยเขาก็อาจจะไม่ได้อยากซื้อ อย่างตอนเราไปเที่ยวญี่ปุ่นเราจะเห็นเลยว่า สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือแพ็กเกจจิ้ง คือมันต้องสวย ต่วนเลยเป็นคนจัดการเรื่องแพ็กเกจทั้งหมด

ต่วน: เราก็เหมือนพยายามสร้างแบรนดิ้งของเราด้วย พอมาอยู่กรุงเทพฯ เหมือนแบรนดิ้งเราก็ชัดขึ้นด้วย จากที่อยู่ที่ตากเราจะเป็น ‘เถียงนา Coffee and Bakery Farm’ ซึ่งที่เราตั้งชื่อร้านว่าอย่างนั้นเพราะร้านเรามันมีพื้นที่และเราขายทุกอย่างจริงๆ เรามีขนมปัง ขนมเค้ก อาหารที่มีให้เลือกกว่า 50 ชนิด ขนม ไอศครีม คือมีหมดเลยฮะ อยากได้อะไรมีหมด ตรงนั้นมันเป็นเหมือนที่พักรถสำหรับคนขับรถได้เลย มากินข้าวตรงนี้กับครอบครัวได้ แต่พอมากรุงเทพฯ เราจะเอาทั้งหมดตรงนั้นมาไม่ได้ เพราะเมนูเราเยอะมาก แล้วถ้าเอามาทั้งหมดมันอาจจะกลายเป็นว่าเราไม่เด่นสักอย่าง เราเลยเลือกเฉพาะสิ่งที่เราถนัดมาดีกว่า ก็คืองาน viennoiserie ขนมปัง เพราะนั่นคือสิ่งที่เราถนัดที่สุด และเราน่าจะเอามาทำแบรนด์ได้ดีกว่า

แพร : คือเรารู้สึกว่าร้านที่เขาเปิดที่กรุงเทพฯ แล้ว success ส่วนใหญ่เขาจะมีโปรดักต์สักอย่างที่เป็นที่น่าจดจำ ทีนี้ถ้าเราขายอะไรหลายอย่าง เราก็กลัวว่าเราจะไม่เป็นที่น่าจดจำ เราอยากให้ลูกค้าจำได้ว่า ถ้าครัวซองต์ต้องเถียงนา เราก็เลยเน้นงาน viennoiserie เป็นหลัก

ตอนเปิดเถียงนาสาขาแรกที่ตากตั้งเป้าจะขายกาแฟได้สัก 5-10 แก้ว แล้วตอนมาเปิดที่กรุงเทพฯ เรามีคิดบ้างไหมว่าน่าจะขายได้สักเท่าไหร่

ต่วน : คือก็คิดว่าน่าจะขายได้ประมาณนึง สักประมาณที่เราไปออกบูทอะฮะ ก็คือครัวซองต์สัก 800 ตัว

แพร : อันนี้ถ้าแพรเล่ามันอาจจะฟังดูน่าหมั่นไส้มากเลยนะคะ (ยิ้ม) คือแพรเคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนว่า เอ เราจะเซตระบบยังไงดีนะเพื่อต้อนรับลูกค้าที่ต่อคิวยาวๆ ให้เขาแฮปปี้ เพราะภาพมันอาจจะออกมาคนเยอะเหมือนกับตอนที่ Krispy Kreme เข้าเมืองไทยวันแรกแน่ๆ เลย ซึ่งอันนี้แพรพูดเล่นๆ กับเพื่อนนะคะ ซึ่งเพื่อนก็พูดกลับมาว่า โอ๊ย ให้คนเข้าร้านก่อนเถอะ

ซึ่งตอนนั้นเรามีเพจเถียงนาแล้วนะคะ และเราโพสต์ว่าเราจะมาเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ แต่เราไม่ได้บอกว่าเราจะเปิดวันที่เท่าไหร่ แม้กระทั่งวันก่อนที่เราจะเปิด เราก็ไม่โพสต์นะว่าเราจะเปิดแล้ว คือเราเปิดเราก็เปิดเลย

ทำไมเราไม่โพสต์บอกลูกค้าว่าเราจะเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ วันไหน

ต่วน : เพราะเราอยากให้มันเป็น soft opening จริงๆ ครับ เพราะคำว่า soft opening มันจะไม่มีจริงถ้าเราโพสต์ คือเราอยากจะ soft จริงๆ เพราะเราอยากจะรันระบบ เราอยากจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไง ระบบมันจะทำงานกันยังไง เลยคุยกับพี่แพรว่า เออ ไม่โพสต์บอกดีกว่า แต่เราสองคนก็มีเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่วนกับพี่แพรก็ถ่ายรูปร้านแล้วลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เราจะเปิดแล้วนะพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นก็จะมีแต่เพื่อนเราที่รู้

แพร : ต่วนเขาก็จะมีแก๊งเพื่อนเขา ที่เป็นร้านขนม เชฟ และเพื่อนๆ เราก็คงจะบอกปากต่อปากกันแล้วมา ตอนนั้นเราเปิด 7 โมงนะคะ วันแรกตั้งแต่ 7-9 โมงคนก็ยังไม่เยอะ จนมีเพจเพจนึงไปถ่ายรูปแล้วโพสต์ว่า ของหมดตั้งแต่เที่ยงของการเปิดร้านวันแรก เท่านั้นแหละ วันที่สองคือเริ่มมีแถวยาวเลย

ต่วน : ทีนี้พอเราเปิดได้ 3 วัน เราก็เริ่มรับไม่ไหวแล้ว ที่ว่าไม่ไหวตรงนี้คือรับไม่ไหวกับการคอมเพลนของลูกค้านะครับ

ลูกค้าคอมเพลนเรื่องอะไร

แพร : คือเขาต่อแถว และเขารอกันนานมาก อาจจะเพราะว่าตอนนั้นมีกระแสครัวซองต์ด้วย คือคอมเพลนที่เกิดขึ้นก็อย่างเช่น ต่วนเขาจะอบขนมออกมาหลายรอบ ไม่ได้อบออกมาทีเดียว คือถ้าขนมมันมีแค่เฉพาะที่อยู่ในตู้ เราก็จะขายเฉพาะขนมที่อยู่ในตู้ใช่ไหมคะ แต่บางครั้งลูกค้าเขาก็ถามว่า จะมีขนมอะไรออกมาอีกไหม แล้วสมมติว่าเราบอกลูกค้าไปว่า เดี๋ยวตอนบ่ายน่าจะมีอัลมอนด์ครัวซองต์ค่ะ แต่เป็นบ่ายที่เราไม่สามารถบอกเวลาได้ว่ากี่โมง ทีนี้ก็จะมีลูกค้าที่เขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเขาขอซื้อก่อนได้ไหม เพราะเขามาถึงแล้ว

ซึ่งตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากมากเลยเพราะถ้าเราบอกว่าไม่ได้ ก็หมายความว่าเขามาเสียเที่ยวสิ แต่ถ้าเราบอกว่าได้ เราก็ไม่รู้ว่าต่วนทำกี่ตัว แล้วถ้าเรารับออร์เดอร์มาเรื่อยๆ เขาจ่ายเงินไว้แล้ว แต่ถ้าพอถึงเวลาขนมออกมาแล้วมันเหลือไม่พอถึงเขาล่ะ คือมันยากมากเลยค่ะ ก็เลยโดนคอมเพลนเพราะบางคนเขาจ่ายเงินแล้ว แล้วเขาไม่ได้ของ แล้วเขาก็รอแล้วด้วย มันเกิดขึ้นแบบนี้ 3 วัน เราก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว เพราะหนึ่งคือจิตใจเราด้วยที่ไม่ไหว และเราก็ไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวังด้วย

ต่วน : คือในไลน์การผลิตจริงๆ มันต้องมีสต็อกครัวซองต์ frozen สำหรับวันพรุ่งนี้ ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีเลยนะฮะ คือเราทำวันต่อวัน พอทำวันต่อวันมันเลยยากมากๆ ในการรันโปรดักชั่น เพราะเรามีสินค้าอยู่ประมาณ 30 กว่าชนิด เราควรจะมีสต็อก แต่เราไม่มี

ตอนนั้นเราผลิตครัวซองต์วันละ 800 ชิ้นแล้วนะครับ ซึ่งถือว่าเยอะแล้ว เพราะตอนอยู่ที่ตากเราทำวันละ 500 ชิ้น ทีนี้พอทำ 800 ชิ้นแล้วหมด และมันมีแนวโน้มว่าจะต้องขยับไปเป็น 1,000 และ 1,500 ชิ้น อันนี้คือเราต้องวางกระบวนการผลิตใหม่ทั้งหมดเลย เพราะมันต้องวางแผนแล้วว่าจะตีแป้งยังไง เข้าเนยยังไงให้ได้เป็นวันละพันตัว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรา เพราะเราก็ไม่เคยทำ เราก็ต้องไปสั่งเครื่องจักรใหม่ พอสั่งใหม่ก็ต้องรอไปอีก 15-20 วัน อันนี้คือถ้าจะเอาแบบเร็วๆ เลยนะ เราก็ไม่พร้อม เราก็เลยคิดกันว่าถ้าอย่างนั้นเรามาปิดร้านกันก่อนไหม ปิดสัก 2 วันเพื่อทำสต็อก ทำระบบกันใหม่ คือตรงโปรดักชั่นเราทำสต็อกกันใหม่เลย ส่วนทางหน้าร้านพี่แพรก็เทรนพนักงานและทำระบบใหม่

แล้วพอปิด 2 วันเพื่อทำสต็อกแล้วการจัดการดีขึ้นไหม

ต่วน : ดีขึ้นเยอะครับ เพราะมันมีระบบแล้ว พนักงานจะรู้ว่าเราจะออกขนมเป็นรอบๆ รอบละกี่ตัว เรามีการแพลนเวลา เรามีการเปิดให้จองได้เท่านี้ๆ ถ้าหมดโควตาการจองแล้วก็ต้องบอกลูกค้าเลยในตอนนั้น

ขนมขายดีขนาดนี้คุณมีวิธีในการควบคุมคุณภาพยังไง

ต่วน : หลักๆ คือเราต้องมีตัวกำหนดเป็นเครื่องจักรที่ดี เช่น ถ้าเรามีเตาอบที่ดี เราก็จะอุ่นใจได้ในระดับนึงแล้ว ว่าทุกครั้งที่อบ ขนมมันจะออกมาเหมือนกัน ทีนี้การปั่นแป้งเนี่ย เราก็ต้องสอนเด็กว่ามันต้องปั่นยังไง พักยังไง ซึ่งตอนนั้นต่วนโชคดีมาก เพราะเราประกาศรับสมัครคนช่วงโควิด เราก็จะได้เด็กโรงแรมมาค่อนข้างเยอะ เพราะเขาทำงานที่โรงแรมไม่ได้ ซึ่งเด็กพวกนี้เขามีความรู้ความสามารถมาอยู่แล้ว เราก็เลยโชคดีที่ไม่ต้องเสียเวลาเทรนนาน

เราก็เทรนพวกเขาแค่แป๊บเดียว แต่ให้เขาทำตามสูตรของเรา ซึ่งตอนที่เราสอนเราต้องบอกทั้งหมด คืออย่างบางที่ เขาอาจจะชั่งทุกอย่างให้ เพื่อไม่ให้เด็กรู้สูตร หรือให้เด็กคนนึงทำหน้าที่เป็นแค่อย่างเดียว เธอรู้แค่นี้พอนะ อีกคนรู้แค่นี้พอ แต่เด็กของต่วนจะรู้ทั้งหมด

แล้วพวกคุณไม่กลัวเขาจะเอาสูตรออกไปทำเองหรอ

ต่วน : เราเคยคุยกันเรื่องนี้เหมือนกันว่าเราจะเอาไงดี

แพร : คือของอร่อย หรือเทคนิคต่างๆ เขาอาจจะเอาออกไปทำเองได้ แต่แพรคิดว่าสิ่งที่ยากคือการสร้างแบรนด์

ต่วน : คือเราคุยกันว่า เราขายแบรนดิ้งนะ การที่คนเขามาซื้อครัวซองต์เรา เพราะมันเป็นครัวซองต์เถียงนา แต่ถ้าสมมติเด็กเขาเอาสูตรเราไปเปิดร้านเอง มันก็ไม่ใช่ครัวซองต์เถียงนาแล้ว คือต่วนจะบอกเลยครับว่า สูตรครัวซองต์ของทุกร้านคล้ายกันหมด สูตรมันไม่หนีกันมากหรอกครับ อย่างขนมปังบาแกตอย่างงี้ ก็แป้ง น้ำ เกลือ ยีสต์ มันก็เท่านี้เอง แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะรักษามาตรฐานหรือ consistency ยังไงมากกว่า

คือคนที่มาซื้อเถียงนาเขาก็มั่นใจได้ว่า กินทุกรอบเขาก็จะได้แบบนี้ 

คุณคิดว่าอะไรทำให้ครัวซองต์ของคุณพิเศษจนมีคนยอมตื่นเช้ามาต่อแถวยาวเพื่อซื้อมัน

ต่วน : หลักๆ มันน่าจะเป็นเพราะการที่เราใช้วัตถุดิบจากฝรั่งเศสนะ อันนี้เป็นอันดับหนึ่ง สองคือมันคือวิธีการทำที่ถูกต้อง พอเราทำได้ถูกต้องมันก็จะเกิดการขึ้นริ้วหรือขึ้นฟูได้อย่างสวยงาม ถ้าเรามีการพัฒนายีสต์ พัฒนากลูเตนในแป้งได้อย่างถูกต้อง มันก็จะเก็บอากาศได้ดี และมันก็จะดันศักยภาพของเนยให้มันออกมาได้

คือต่วนคิดว่าสูตรไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการทำหรือเทคนิคเลยนะ เพราะตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงสูตรดีๆ ได้หมด คือสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว ที่คนเขาจะมาหวงสูตรกัน ตอนนี้สูตรดีๆ มันมีเต็มเน็ตไปหมดเลย

อีกอย่างการที่ลูกค้ามาเยอะ ต่วนมองว่ามันคือความหลากหลายของสินค้าเรามากกว่า ด้วยความที่เราเปิดเป็น viennoiserie เราก็เลยมีทั้งโดนัทฝรั่งเศส มีซอฟต์บัน มีพัฟฟ์ มี pastry

เหมือนเรามีตัวเลือกให้เขาเลือกเยอะ และเราก็คัดมาแล้วด้วยว่า เออ ขนมพวกนี้มันอร่อยนะ เราเลือกมาให้คุณแล้ว

9 ของสามัญประจำชีวิต ที่ชื่อสามัญจำมาจากแบรนด์

ใครเคยฝากเพื่อนซื้อ ‘มาม่า’ ยี่ห้อ ‘ไวไว’ หรือเคยโดนแม่ใช้ไปซื้อ ‘แฟ้บ’ ยี่ห้อ ‘บรีส’ ยกมือขึ้น!

ว่ากันว่าหนึ่งในสิ่งที่แสดงถึงความทรงพลังของแบรนด์คือการที่ชื่อแบรนด์กลายเป็นชื่อสามัญของสินค้าประเภทนั้นๆ ซึ่งในชีวิตประจำวันของเหล่าผู้บริโภคก็มีหลายครั้งที่เริ่มสับสนว่าตกลงบางอย่างมันเป็นชื่อแบรนด์หรือคำเรียกสามัญของประเภทสินค้านั้นกันแน่

คอลัมน์ Brand Name วันนี้จึงขอพาไปทำความรู้จักกับ 9 Generic Name หรือชื่อสามัญประจำสินค้าอันมีที่มาจากชื่อแบรนด์ และเหตุผลที่ทำให้พวกเขากลายเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึง

มาม่า

เริ่มต้นที่เพื่อนยามยากอย่าง ‘มาม่า’ ชื่อสามัญอันดับหนึ่งที่หลายคนจะคิดถึงเมื่อพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีต้นกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1958 โดย ‘โมโมฟุกุ อันโด’ (Momofuku Ando) เพื่อเป็นตัวเลือกอาหารที่สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว และเก็บได้นาน โดยไม่ต้องออกจากบ้านในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 

โมโมฟุกุวางจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เขาคิดค้นขึ้นในชื่อ ‘นิสชิน’ ก่อนจะเริ่มส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา ส่วนประเทศไทยเราได้รู้จักกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครั้งแรกในปี 1971 ในชื่อยี่ห้อ ‘ซันวา’ ซึ่งขณะนั้นตีคู่มากับยี่ห้อ ‘ยำยำ’ และ ‘ไวไว’

จนกระทั่งในปีถัดมา ‘มาม่า’ จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยชื่อแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากคำว่า ‘แม่’ คำแรกที่เราส่วนใหญ่จะพูดได้ และถึงแม้ ‘มาม่า’ จะมาทีหลังเป็นอันดับ 4 แต่หลังจากพัฒนารสชาติใหม่ๆ อย่างรสต้มยำกุ้งออกสู่ท้องตลาดได้ไม่นาน คำสองพยางค์สั้นๆ นี้ก็กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้กัน รวมถึงเป็นของสามัญประจำบ้านไปโดยปริยาย

โพสต์-อิท

‘โพสต์-อิท’ กระดาษสีรูปร่างกะทัดรัดพร้อมกาวแปะในตัวที่เราหยิบใช้กันตั้งแต่บนโต๊ะทำงานไปจนถึงหน้าตู้เย็นนั้น มีเรื่องเล่าว่าเกิดขึ้นจากความผิดพลาดในห้องทดลองล้วนๆ

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1968 เมื่อ Spencer Silver นักวิจัยในทีมผลิตกาวของบริษัท 3M ได้รับการบ้านให้พัฒนากาวสูตรติดแน่นทนนานขึ้น แต่โชคกลับไม่เข้าข้าง เมื่อกาวที่เขาผลิตออกมานอกจากจะไม่แน่นไม่ทนแล้ว ยังลอกออกได้ง่ายเหมือนไม่เคยมีกาวมาก่อนอีกต่างหาก ทำให้โครงการพัฒนากาวของเขาถูกพักยาวๆ ไม่มีกำหนด (โธ่…) 

แต่เรื่องยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพนักวิจัย เพราะ 4 ปีถัดมา นักวิทยาศาสตร์อีกคนของบริษัทนามว่า ‘อาเธอร์ ฟราย’ (Arthur Fry) กำลังประสบปัญหากระดาษโน้ตเพลงในโบสถ์ชอบปลิวหลุดจากแท่นวางไปตามแรงลม ในวินาทีนั้นเองที่เขาคิดถึงกาวของซิลเวอร์ขึ้นมา และเมื่อลองนำมาใช้ก็พบว่ามันให้ผลเกินคาด ทั้งยึดกระดาษแต่ละหน้าให้ติดกัน ลอกจากกันได้ง่ายโดยไม่ทิ้งคราบ แถมยังใช้ติดใหม่ได้หลายครั้ง 

ไม่นานหลังจากนั้น อาเธอร์และซิลเวอร์ก็เริ่มนำกระดาษโน้ตแปะกาวนี้ไปใช้ในบริษัทเพื่อติดต่อเรื่องงาน และเมื่อพวกเขานำไอเดียผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ไปเสนอให้กับบริษัท ทาง 3M จึงได้เปิดตัวกระดาษโน้ต ‘Press ’n Peel’ แปลเป็นไทยได้ว่า ‘แปะแล้วลอกออก’ (ง่ายๆ แบบนี้เลย…) ใน 4 หัวเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่สุดไฉไลว่า ‘โพสต์-อิท’ (Post-it) ในปี 1980 พร้อมวางจำหน่ายทั่วประเทศ

ซิลเวอร์ให้คำจำกัดความ ‘โพสต์-อิท’ ของเขาว่าเป็นผลงานระดับนวัตกรรม เหตุผลเพราะไม่เคยมีใครคิดว่าตัวเองจะต้องการ ‘โพสต์-อิท’ มาก่อนจนกระทั่งได้มาเจอกับมัน ในเมื่อพลิกวงการเครื่องเขียนขนาดนี้ รับมงเจ้าของชื่อสามัญวงการกระดาษโน้ตแปะกาวไปเลย!

สก๊อตช์เทป

ไหนๆ ก็พูดถึงอุปกรณ์สำคัญบนโต๊ะเครื่องเขียน จะไม่พูดถึงแผ่นเทปใส หรือที่เราเรียกกันในชื่อสามัญว่า ‘สก๊อตช์เทป’ คงไม่ได้ เห็นชื่อแบบนี้ แต่ที่จริงแล้ว ‘สก๊อตช์เทป’ ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากประเทศสกอตแลนด์แต่อย่างใด ทว่ามาจากบริษัทแม่เดียวกันกับ ‘โพสต์-อิท’ อย่าง 3M แทน

คราวนี้เป็นฝีมือการคิดค้นของ Richard Drew นักศึกษาหนุ่มจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาที่ถูกจ้างงานเข้ามาใน 3M ในช่วงปี 1920 ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงแค่บริษัททำกระดาษทราย หน้าที่ของดรูว์จึงเป็นเพียงแค่เด็กส่งกระดาษให้โรงงานพ่นสีรถยนต์ ประจวบเหมาะที่ในยุคนั้นผู้คนนิยมแต่งรถเป็นทูโทนสองสีกันอย่างแพร่หลาย ทำให้โรงพ่นต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ทากาวแล้วแปะเข้ากับตัวรถเพื่อแบ่งพื้นที่ ผลลัพธ์ของวิธีการดังกล่าวก็คงพอจะเดาได้ นั่นคือเละเทะ!

เมื่อดรูว์เห็นเข้า เขาจึงเสนอทางออกที่ดีกว่าให้ และใช้เวลาถึง 2 ปีในการประดิษฐ์เทปกาวที่ติดแน่นแต่ลอกออกง่าย เขาจับนู่นหยิบนี่เข้าห้องทดลองตั้งแต่น้ำมันพืชยันยางไม้ จนกระทั่งในปี 1925 ดรูว์ก็ได้นำเทปที่ทำจากกระดาษเครป ทาด้วยกาวสำหรับงานไม้ผสมกลีเซอรีนไปให้คนงานพ่นสีลองใช้ ผลปรากฏว่าติดยังไงตัวเทปก็หลุดออกมาจนใช้งานจริงไม่ได้ ด้วยความหัวเสีย ช่างพ่นสีเลยสาปส่งดรูว์ว่า “เอาเทปนี่กลับไปให้เจ้านายชาวสกอตของแก แล้วบอกให้เขาช่วยเพิ่มกาวมาหน่อยเถอะ!” เนื่องจากในสมัยนั้น คำว่า ‘ชาวสกอต’ เป็นคำสแลงแบบเหมารวมที่หมายถึงคนขี้ตืดขี้เหนียว

หลังจากการพัฒนาสูตรถึง 5 ปี ในที่สุดดรูว์ก็ได้ร้องยูเรก้ากับเทปกาวใสที่มีคุณสมบัติกันน้ำ และด้วยเหตุผลหรือความแค้นอะไรก็แล้วแต่ เขาจึงเปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์นี้ในชื่อ ‘สก๊อตช์เทป’ ตามที่ช่างสีเคยเหน็บแนมเอาไว้ และแบรนด์ ‘สก๊อตช์’ ก็กลายเป็นชื่อไลน์สินค้าประเภทเทปของ 3M ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ป.ล. เทปกระดาษเครปของริชาร์ดที่โดนช่างพ่นสีไล่ตะเพิดออกมานั้น ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘มาสก์กิ้งเทป’ (masking tape)

ซีรอกซ์

ยังไม่หมดกับแวดวงอุปกรณ์สำนักงาน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่ชื่อสามัญในไทย เพราะในต่างประเทศก็ยังใช้คำว่า ‘ซีรอกซ์’ แทนคำว่าถ่ายเอกสารเช่นเดียวกัน

ต้นกำเนิดการถ่ายเอกสารเกิดจาก Chester Carlson ทนายความด้านสิทธิบัตรในนิวยอร์กที่ต้องทรมานกับอาการปวดข้อ เพราะต้องทำสำเนาเอกสารเป็นจำนวนมากทุกวัน ดังนั้น เขาจึงเริ่มคิดหาวิธีใหม่ด้วยการใช้ห้องครัวที่บ้านเป็นสถานที่ทดลองทำสำเนาเอกสารด้วยประจุไฟฟ้าที่เรียกว่า ‘Electrophotography’

แต่หลังจากพัฒนาโปรเจกต์และติดต่อขายไอเดียสุดเจ๋งนี้ให้กับบริษัทชั้นนำ คาร์ลสันกลับถูกปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งในปี 1944 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Battelle Memorial Institute ในรัฐโอไฮโอ ก็ได้ติดต่อคาร์ลสันเพื่อปัดฝุ่นโปรเจกต์นี้ใหม่ ก่อนที่อีก 3 ปีถัดมา บริษัท Haloid Corporation ผู้ผลิตกระดาษอัดภาพ จะติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์โปรเจกต์เพื่อนำไปพัฒนาเป็นเครื่องถ่ายเอกสารอย่างเต็มตัว

เป็นบริษัท Haloid นี้เองที่ทำให้คำว่า ‘ซีรอกซ์’ เกิดขึ้น เพราะเกรงว่า ‘Electrophotography’ จะยาวและเรียกยากเกินไปหน่อย พวกเขาจึงไปขอคำแนะนำชื่อใหม่จากอาจารย์ภาควิชาภาษาคลาสสิกที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอ จนได้ออกมาเป็นคำว่า ‘Xerography’ ซึ่งในภาษากรีกแปลว่าการพิมพ์แบบแห้ง และจดทะเบียนการค้าเครื่องถ่ายเอกสารในชื่อ ‘ซีรอกซ์’ ในปี 1948

อย่างไรก็ตาม หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจนทุกคนยกให้ ‘ซีรอกซ์’ เป็นชื่อสามัญ ในพจนานุกรมบางฉบับถึงกับแปะคำว่า ‘ซีรอกซ์’ ให้เป็นคำพ้องกับคำว่าถ่ายเอกสาร แต่ทางบริษัท ‘ซีรอกซ์’ เองกลับออกมาต่อต้านปรากฏการณ์นี้อย่างหนักด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ชื่อ พร้อมชี้ว่าหากจะพิมพ์คำว่า ‘Xerox’ ตัว X ต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น

แม็กซ์

ลวดเย็บกระดาษชิ้นเล็กๆ อย่าง ‘แม็กซ์’ กลับมีจุดเริ่มต้นขนาดใหญ่ (มาก) เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีบริษัท Yamada Air Industry ประกอบธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสำหรับปีกเครื่องบิน ที่จังหวัดกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี 1942

ก่อนที่ในปี 1945 บริษัทยามาดะจะขอตัวลาจากวงการยานพาหนะ หันมาผลิตอุปกรณ์สำนักงานแทน และในปี 1955 บริษัทยามาดะก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น MAX Industry ด้วยปณิธานองค์กรที่จะผลิตแต่สินค้าคุณภาพดีระดับ ‘แม็กซ์’ ที่สุดเท่านั้น 

ตั้งแต่นั้นมา บริษัท ‘แม็กซ์’ ก็ปรับปรุงขยับขยายไลน์ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสินค้าที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแน่นอนว่าต้องเป็นเครื่องเย็บกระดาษขนาดกระชับมือ โดยได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั้งในญี่ปุ่นและทั่วเอเชียว่ามีคุณภาพดีเป็นที่หนึ่ง จนคนไทยเราถึงขั้นเรียกติดปากกันมาจนถึงทุกวันนี้

แฟ้บ

พักจากอุปกรณ์เครื่องเขียนและสำนักงานมาดูฝั่งรักษาความสะอาดกันบ้าง เบอร์หนึ่งที่ต้องพูดถึงแน่นอนว่าต้องเป็นผงซักฟอก ‘แฟ้บ’ ที่ต้องมีติดบ้านไว้ใช้กันทุกครัวเรือน

อันที่จริงแล้วประเทศไทยมีผงซักฟอกชื่อ ‘พรรณอร’ ใช้กันมาตั้งแต่สมัยปี 1932 แต่ด้วยจุดด้อยที่หาซื้อยาก และกว่าจะใช้ซักผ้าได้แต่ละทีต้องเอาไปละลายด้วยน้ำต้มเดือดๆ เสียก่อน ‘พรรณอร’ จึงเสียตลาดให้กับ ‘แฟ้บ’ แบรนด์จากสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งเริ่มต้นผลิตเมื่อปี 1950 แทน

ส่วนสาเหตุที่ใช้ชื่อว่า ‘แฟ้บ’ นั่นก็เพราะ ‘Fab’ เป็นการย่อคำมาจาก Faster And Better สะอาดเร็วกว่า ซักดีกว่า แถมเรียกก็ยังง่ายกว่า จึงคว้าตำแหน่งชื่อสามัญสาขาผงซักฟอกประจำประเทศไทยไปครอง

ทัปเปอร์แวร์

กล่องพลาสติกใส่อาหารหลากหลายขนาดพร้อมฝาปิด (ที่แม่ชอบเรียกว่าอับ) นี้ ได้ชื่อตามผู้คิดค้น Earl Tupper ที่ลุกขึ้นมาประดิษฐ์กล่องใส่อาหารแบบสุญญากาศขึ้นมาในปี 1947 ภายหลังจากธุรกิจครอบครัวของเขาขาดทุนอย่างย่อยยับในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โดยในขณะนั้นกล่องของบริษัท ‘ทัปเปอร์แวร์’ มีชื่อเรียกแบบเป็นทางการว่า ‘วันเดอร์โบลส์’ (Wonderbowls)

ไม่ใช่แค่เก็บรักษาอาหารได้อย่างดีเท่านั้น นายทัปเปอร์มีความตั้งใจอันแรงกล้าที่อยากจะให้ผลิตภัณฑ์ของเขามีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่โดดเด้งออกมาจากเครื่องครัวอื่นๆ ในชั้นวางห้างสรรพสินค้า ด้วยเหตุนั้น กล่อง ‘ทัปเปอร์แวร์’ จึงชนะรางวัลด้านการออกแบบหลายเวที รวมถึงเคยได้ไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ New York Museum of Modern Art (MoMA) อีกด้วย

ส่วนกำลังสำคัญที่ทำให้แบรนด์ ‘ทัปเปอร์แวร์’ ประสบความสำเร็จจนได้เป็นชื่อสามัญประจำครัวนั้น ต้องยกความดีความชอบให้แก่ ‘บราวนี ไวส์’ (Brownie Wise) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีอาชีพเสริมเป็นพนักงานขายตรง ผู้ยื่นมือเข้ามาเพิ่มยอดขายกว่าปีละ 1.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ผ่านโมเดล ‘Tupperwear Home Party Sales’ ปาร์ตี้สำหรับขายผลิตภัณฑ์ ‘ทัปเปอร์แวร์’ โดยเฉพาะ โดยจะมีกิจกรรมทั้งเล่นเกมและแจกของรางวัลสมนาคุณให้กับผู้เข้าร่วม

โพลารอยด์

กล้อง ‘โพลารอยด์’ (Polaroid) เกิดขึ้นในปี 1948 โดยนักธุรกิจ Edwin H. Land โดยมีมูลเหตุง่ายๆ เพียงแค่คำถามจำไมของลูกสาววัย 3 ขวบว่าทำไมเธอถึงดูรูปที่พ่อถ่ายเธอทันทีเลยไม่ได้ เมื่อถูกจุดประกาย แลนด์เล่าว่าภายในคืนนั้น เขาก็มีภาพดีไซน์กล้อง รูปแบบฟิล์ม และกระบวนการที่จะทำให้ความปรารถนาของลูกสาวเป็นจริงขึ้นมาทันที

ส่วนที่มาของชื่อ ‘โพลารอยด์’ นั้น ที่จริงแล้วมาจากชื่อบริษัทของแลนด์ ต้องย้อนความกลับไปที่เขามีธุรกิจฟิลเตอร์เลนส์เพื่อลดแสงไฟหน้ารถยนต์ที่ใช้ชื่อว่า ‘เลนส์โพลาไรซ์’ อยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงปี 1932 ต่อมาในปี 1937 เมื่อแลนด์ประดิษฐ์ ‘Polarizing Disks’ เลนส์โพลาไรซ์แบบ 2 ชิ้นประกบกันที่หมุนปรับความสว่างได้ เขาจึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ‘โพลารอยด์’ ซึ่ง ‘Polar’ มาจากรากศัพท์คำว่า ‘Polarizer’ และ ‘-oid’ ส่วนต่อท้ายคำแปลว่า ‘มารวมกัน’ นั่นเอง

ฟิวเจอร์บอร์ด

ถ้าคุณคิดว่า ‘ฟิวเจอร์บอร์ด’ (Future Board) เพี้ยนเสียงมาจากคำภาษาอังกฤษ ‘ฟีเจอร์บอร์ด’ (Featured Board) คุณคิด… ผิดค่ะ!

เพราะความจริงแล้ว ‘ฟิวเจอร์บอร์ด’ ไม่ได้เพี้ยนเสียงมาจากไหน แต่เป็นชื่อแบรนด์สินค้า ‘ฟิวเจอร์บอร์ด’ จริงๆ ของบริษัท ‘อัมพร ดีไซน์’ ที่ก่อตั้งในประเทศไทยเมื่อปี 1992 

‘ฟิวเจอร์บอร์ด’ ชื่ออย่างเป็นทางการว่าพลาสติกลูกฟูก หรือโพลีโพรพีลีน (PP) ในต่างประเทศเองก็มีชื่อสามัญแตกต่างกันไปตามชื่อแบรนด์การค้าเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นประเทศในยุโรป จะเรียกกันว่า ‘คอร์เรกซ์’ (Correx) และในประเทศออสเตรเลียนิยมเรียกกันว่า ‘ฟลุตบอร์ด’ (Fluteboard)

อ้างอิงข้อมูล

Day 1 ของ Salmon books new wave 11 ปีแห่งการพิมพ์หนังสือ และยังคงจะพิมพ์หนังสือต่อไป

Salmon Books

Salmon Books Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Salmon Books

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

วิกฤตกิมจิในเกาหลีใต้ จากโลกร้อน กิมจิจากจีน และเกษตรกรหันไปปลูกแอปเปิลแทนผักกาด

ไก่ทอดร้อนๆ เคลือบแป้งรสชาติเข้มข้นกินคู่กับข้าวสวยหุงใหม่ที่เพิ่งหุงเสร็จ หมูสามชั้นย่างบนเตาบาร์บีคิวแบบล้อมวงนั่งกินกับโซจูใสๆ ตัดเลี่ยนมันจากหมู หรือจะเป็นการต้มรามย็อนซดเองที่บ้านแบบธรรมดาๆ แต่ใส่ผักใส่เนื้อลงไปเพื่อช่วยให้อิ่มท้อง

แม้จะไม่ใช่คนเกาหลีโดยกำเนิด แต่เวลาคิดถึงเมนูอาหารเกาหลี ใครต่อใครคงสามารถลิสต์รายการอาหารต่างๆ พลางนึกถึงให้เห็นภาพได้แบบไม่ยาก เนื่องด้วยอาหารเกาหลีเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยเคียงบ่าเคียงไหล่เทียบทันกับอาหารชาติอื่นๆ ที่เข้ามาแย่งพื้นที่กะเพาะอาหารของคนไทย 

เราได้เห็นร้านอาหารเกาหลีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบร้านไก่ทอดเกาหลี ร้านซุปไก่ตุ๋นโสมแบบเกาหลี ร้านปิ้งย่างแบบเกาหลี ร้านขายของหมักดองแบบเกาหลี มาเปิดในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ แทบนับไม่ถ้วน นี่คงจะเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่เราได้รับอิทธิพลเข้าไปเต็มๆ จากซีรีส์และภาพยนตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาหรือความตั้งใจที่ผู้กำกับแต่ละคนสามารถเนรมิตภาพลักษณ์ของอาหารเกาหลีที่อยู่ในหนังและซีรีส์ออกมาดูน่ากิน (ตาม) ไปซะหมด

กิมจิก็เหมือนกับออกซิเจน

หนึ่งในตัวชูโรงที่อุปมาว่าเป็นพระเอกตัวเด่นของอาหารเกาหลีที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อเอ่ยถึงอาหารชาตินี้ก็คงจะเป็นกิมจิ หรือผักดอง แฟนอาหารเกาหลีคงคุ้นเคยกับกิมจิเป็นอย่างดีทั้งในฐานะที่เป็นส่วนผสมของหารเกาหลีบางชนิด เช่น ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน หมูสามชั้นผัดกิมจิ ข้าวยำเกาหลี หรือบางทีเราอาจจะได้เห็นกิมจิในฐานะเครื่องเคียงที่วางอยู่บนโต๊ะเมื่อเดินเข้าร้านอาหารเกาหลีก็เป็นได้ 

ผักดองรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ที่เราเรียกมันว่ากิมจินี้เป็นอาหารเกาหลีที่อยู่คู่ทุกครัวเรือนคนเกาหลี Hyunjoo Albrecht เชฟเกาหลีที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกเคยเปรียบเปรยไว้ว่า “กิมจิก็เหมือนกับอากาศของคนเกาหลี” เพราะบ้านทุกหลังในเกาหลีต้องมีกิมจิเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อใช้กินเคียงกับอาหารในชีวิตประจำวัน

กัมจัง–วัฒนธรรมเกาหลีสู่มรดกโลก

คำอีกหนึ่งคำที่มักจะได้ยินควบคู่ไปกับกิมจิคงจะเป็นคำว่า ‘กิมจัง’ คำคำนี้หมายถึงกระบวนการในการหมักดองผักสดให้กลายเป็นกิมจิโดยอาศัยแรงของคนในหมู่บ้านและชุมชนในช่วงต้นฤดูหนาวมาช่วยกันทำกิมจิและเก็บมันไว้กิน

กระบวนการกิมจังของเกาหลี อาจเรียกได้ว่าเป็นมากกว่าเพียงแค่การรวบรวมคนหมู่มากมาช่วยกันดองผัก แต่มันคือการร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชนเพื่อช่วยกันทำกิจกรรมที่สำคัญต่อกระเพาะอาหารและปากท้องของแต่ละบ้าน เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคนเกาหลี 

เชฟ Hyunjoo เคยเล่าเอาไว้ว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายนตอนที่คนในหมู่บ้านเริ่มฤดูกิมจัง แต่ละบ้านจะไม่ทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี วันนี้เป็นยังไงบ้าง” ตรงกันข้าม พวกเขาจะทักกันว่า “ว่าไง วันนี้ตั้งใจจะทำกิมจิสักเท่าไหร่ดี”

หรือตอนที่คุณแม่ของเชฟทะเลาะกับเพื่อนบ้านชนิดที่ตะโกนด่ากันเสียงดังโวยวาย แต่พอวันรุ่งขึ้นตอนที่ต้องทำกิมจังด้วยกัน คุณแม่และเพื่อนบ้านกลับมานั่งอยู่ติดกันพลางช่วยกันหั่นผักกาดเพื่อดองกิมจิ และหัวเราะคิกคักแซวกันไปมาถึงเรื่องราวที่เถียงกันแทบตายเมื่อวาน

ถึงแม้ว่ากิมจังจะโดนคุกคามเพราะไลฟ์สไตล์อันเร่งรีบของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันที่อาจจะทำให้พวกเขาไม่ค่อยมีเวลาไปร่วมดองกิมจิ แต่ยังไงเสียกิมจังก็ยังเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญต่อประเทศจน UNESCO ได้บันทึกให้กิมจังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในปี 2013 

เมืองไทยมีดัชนีมาม่า เกาหลีมีดัชนีกิมจิ

โดยสถิติแล้วคนเกาหลีบริโภคกิมจิต่อปีที่ประมาณเกือบๆ ปีละ 2 ล้านตัน กระทรวงเกษตร อาหาร และชนบท ของเกาหลี (Ministry of Agriculture, Food and Rural Affairs) จึงได้ริเริ่มใช้คำว่า Kimchi Index หรือดัชนีกิมจิขึ้น โดยดัชนีกิมจิเป็นการสะท้อนถึงราคาของวัตถุดิบหลัก 13 ชนิดที่ใช้ในการทำกิมจิ เช่น ผักกาด เกลือ พริกแห้งป่น กระเทียมปอก ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณอยากทราบว่าข้าวของปีนี้ราคาสูงขึ้นหรือต่ำลงคุณคาดคะเนเอาจากดัชนีกิมจิดูก็ได้ เช่น ดัชนีกิมจิอยู่ที่ 91.3 ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2013 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำ แต่ถ้าเทียบกับตอนที่ผักกาดราคาแพงหูฉี่ในเดือนตุลาคม ปี 2010 ดัชนีกิมจิจึงพุ่งสูงขึ้นเป็น 152.6

ทั้งเป็นอาหารหลักติดครัวที่บ้าน ทั้งกระบวนการก็ขึ้นเป็นมรดกโลก ทั้งคำว่ากิมจิยังถูกใช้เป็นดัชนีสะท้อนเศรษฐกิจในประเทศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่ารัฐบาลเกาหลีกำลังเจอศึกหนัก เพราะวิกฤตกิมจิภายในประเทศ

วิกฤตกิมจิ

สถานการณ์วิกฤตกิมจิที่ว่าในตอนนี้คือ จำนวนผักกาดที่จะนำมาทำกิมจิถูกผลิตได้น้อยลงอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนของโลกในปีนี้ ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้น และฝนที่ตกหนักบ่อยขึ้น ไหนจะมีพายุ มีไต้ฝุ่นอีก ทำให้ผลผลิตผักกาดในปีนี้ลดจำนวนลง บวกกับภาวะเงินเฟ้อที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ ทำให้ราคาผักกาด วัตถุดิบหลักในการทำกิมจิมีราคาสูงขึ้นๆ เป็นเท่าตัวภายในระยะเวลาต่ำกว่าสามเดือน 

ณ สิ้นเดือนกันยายน ผักกาดหนึ่งหัวมีราคาอยู่ที่ 7.81 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับราคาที่ขายปีที่แล้วคือที่ราคาหัวละ 4.17 ดอลลาร์สหรัฐ และถ้าดูสถิติเปรียบเทียบเป็นรายปีแล้ว ราคาผักกาดสูงที่สุดในรอบ 24 ปีในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

แต่ในเมื่อกิมจิสำคัญกับคนเกาหลีเสมือนกับอากาศที่ใช้หายใจ ถึงแม้ราคาจะแพงแค่ไหน แต่ยังไงก็คงต้องซื้อ ชาวเกาหลีจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจ่ายค่าผักกาดในราคาที่แพงขึ้นเพื่อนำผักไปดองเองที่บ้าน

“ผมไม่มีทางเลือกนี่ครับ แพงยังไงผมก็ต้องจ่าย”

Sung Ok-Koung ชายวัย 56 ที่จำต้องซื้อผักกาดในราคาแสนแพง เพราะเขาถือว่าการดองกิมจิกินเองที่บ้านเป็นกิจกรรมที่สำคัญของครอบครัว กล่าวกับนักข่าว Washington Post 

ใช่ว่าปัญหาราคาผักกาดพุ่งสูงจะกระทบเพียงแค่พ่อบ้านแม่บ้านเกาหลีที่ซื้อผักไปดองเองเท่านั้น อุตสาหกรรมธุรกิจการดองผักกิมจิก็ได้รับผลกระทบนี้ไปเต็มๆ เช่นกัน เช่น Daesang บริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของเกาหลี และเป็นบริษัทที่ผลิตกิมจิมากที่สุดในเกาหลีประกาศขึ้นราคากิมจิ 10% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 เป็นต้นไป แต่ถึงแม้ราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหน ช่วงต้นเดือนตุลาคมกิมจิแบบผักกาดก็ถูกสั่งซื้อจนหมดเกลี้ยงสต็อกทั้งในเว็บไซต์ของบริษัทและที่วางขายอยู่ตามห้างอยู่ดี

แค่จำนวนผักกาดที่ปลูกได้น้อยลง และราคาผักที่สูงขึ้นตามหลักอุปสงค์-อุปทาน ของคนในประเทศก็ว่าแย่แล้ว แถมเกาหลียังเจอศึกหนักจากคู่แข่งทางการค้า (กิมจิ) ที่สามารถผลิตกิมจิในราคาที่ถูกกว่าอย่างจีนเข้าไปอีก วิกฤตกิมจิคราวนี้ของเกาหลีจึงเป็นวาระเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องรีบเข้ามาแก้ไข

แต่จะไปแก้ไขได้ยังไง ในเมื่อไม่มีใครไปควบคุมสภาวะอากาศได้ ครั้นจะห้ามให้จีนไม่ขายกิมจิในราคาที่ถูกกว่าก็คงจะเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่รัฐบาลเกาหลีทำในตอนนี้คือ นำเข้ากิมจิจากจีน… อ้าว?

เมื่อคุณไม่สามารถต้านทานได้ คุณจงเข้าร่วม

ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่ารัฐบาลกระทรวงเกษตรของเกาหลีได้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ราคาผักกาดและราคากิมจิพุ่งสูงขึ้นในเกาหลีว่า สถานการณ์นี้เป็นเหมือน ‘อากาศที่เลวร้าย’ ดังนั้นการจะกำจัดอากาศที่เลวร้ายลงซึ่งก็คือวิกฤตกิมจิในเกาหลีให้มันดีขึ้นให้ได้ รัฐมนตรีฯ จึงตัดสินใจว่าเขาจะต้องทำทุกทางให้อากาศดีขึ้น

การนำเข้ากิมจิจากประเทศจีนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยในการตรึงราคากิมจิในเกาหลีไม่ให้พุ่งสูงจนเกินไป จนในปัจจุบันการนำเข้ากิมจิจากจีนในเกาหลีตีอยู่ที่ 40% ของการบริโภคกิมจิทั้งหมดในประเทศแล้ว

นอกจากการนำเข้ากิมจิจากจีน รัฐบาลเกาหลียังมีแผนในการสร้างโรงคลังเพื่อใช้กักเก็บผักกาดขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ช่วยบรรเทาสภาวะการขาดแคลนผักกาดในอนาคตได้ แต่แผนในการสร้างโรงคลังขนาดใหญ่ต้องอาศัยระยะเวลาในการก่อสร้าง เพราะโรงคลังเก็บผักกาดที่ว่า รัฐบาลเกาหลีตั้งใจจะสร้างมันในบริเวณ Goesan and Haenam และประมาณการไว้ว่าจะสร้างให้ใหญ่ถึง 9,900 ตารางเมตร ความใหญ่เทียบเท่าสนามฟุตบอล 3 สนามมาเรียงต่อกัน

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โรงคลังแห่งนี้จะสามารถเก็บผักกาดได้ถึงวันละ 10,000 ตัน และผักดองอื่นๆ อีกวันละ 50 ตัน การสร้างโรงคลังเก็บผักกาดและกิมจิอันยิ่งใหญ่นี้ของรัฐบาลเกาหลีคาดว่าจะใช้งบประมาณการสร้างอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในปี 2025

ถ้าการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าคือการนำเข้ากิมจิจากจีน การแก้ไขสถานการณ์ระยะกลางคือการสร้างโรงคลังไว้เก็บผักกาดและกิมจิตลอดปีเพื่อที่คนในประเทศจะได้ไม่ขาดแคลนกิมจิ เช่นนั้นรัฐบาลเกาหลีคงเหลือเพียงสิ่งที่ต้องกังวลคือ ปัญหาระยะยาวของการทำกิมจิในเกาหลี นั่นคือเกษตรกรในประเทศกำลังหันหลังให้กับการปลูกผักกาด

เมื่อสภาวะอากาศไม่เอื้อต่อการปลูกผักกาด

ใน 5 ฤดูร้อนที่ผ่านมา จะมีประมาณ 20 วันที่อากาศในเขตเกษตรกรรม เช่น ที่แทแบก (Taebaek) มีอุณหภูมิที่สูงกว่า 33 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงยุค 90s และแน่นอนว่ามันไม่เป็นผลดีต่อการปลูกผักกาด เพราะผักกาดต้องการสภาพอากาศที่คงที่เพื่อการเจริญเติบโต แต่ในช่วงปีหลังที่ผ่านมา สภาพอากาศอันแปรปรวนหลายปัจจัย เช่น ฝนตกหนัก พายุเข้า คลื่นความร้อน ทำลายผลผลิตผักกาดของเกษตรกรที่อุตส่าห์เพียรเพาะมาอย่างดี

Jeon Sang-min ผู้จัดการฝ่ายจัดจำหน่ายของสหกรณ์การเกษตรแทแบก ให้สัมภาษณ์กับ Washington Post ว่า ผลผลิตผักกาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดจำนวนลงเรื่อยๆ และเกษตรกรหลายคนกำลังมองหาผักผลไม้อื่นๆ ที่ทนทานต่อสภาวะอากาศมาปลูกทดแทนผักกาด

ในตอนนี้เกษตรกรหลายคนที่แทแบกละทิ้งการปลูกผักกาดและหันมาปลูกแอปเปิลแทนแล้ว ซึ่งปกติเราอาจจะเห็นสวนแอปเปิลเรียงรายที่จังหวัดทางตอนใต้ของเกาหลีใต้แถบจังหวัดคยองซัง (Gyeongsang) แต่ปัจจุบันนี้ดูเหมือนกับว่าละติจูดในการปลูกสวนแอปเปิลของคนเกาหลีเริ่มเดินทางมาทางตอนเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า การแก้ปัญหาระยะสั้น กลาง ยาว ของรัฐบาลเกาหลีใต้เกี่ยวกับกิมจิจะออกมาเป็นยังไง เพราะกิมจิไม่ได้เป็นเพียงแค่ผักดอง แต่มันยังเป็นเหมือนอัตลักษณ์และตัวตนของคนในชาติบ้านเมือง

อ้างอิง

คุยกับ ‘ปลา อัจฉรา’ ถึงวิธีคิดในการทำร้านให้คนรักตั้งแต่ร้านแรกจนถึง FRAN’S และ อันเกิม-อันก๋า

ปลา อัจฉรา

ปลา อัจฉรา Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด