FLOHOUSE คอนเซปต์สโตร์ที่รวมร้านเฟอร์นิเจอร์ คาเฟ่ ร้านหนังสือ และพื้นที่ทดลองไว้ในที่เดียว

โมเดิร์น โปร่ง มีชีวิตชีวา คือคาแร็กเตอร์ของ Flo แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติไทยที่ทำให้หลายคนพร้อมใจปวารณาตนเป็นลูกค้าประจำ

นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2557 โดย นรุตม์ ปิติทรงสวัสดิ์ ทายาทรุ่นที่สามที่รับช่วงต่อมาจากพ่อ แม่ และอากงผู้ก่อตั้ง แบรนด์ Flo ตั้งใจผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้วัสดุหลัก 3 อย่างคือไม้ เหล็ก และงานหุ้มบุ ประกอบกันอย่างแข็งแรงภายใต้ดีไซน์เรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในบ้านและที่ทำงานเป็นที่สุด

รู้ตัวอีกที Flo ก็เดินทางมาถึงขวบปีที่ 9 คล้ายเป็นหลักไมล์สำคัญที่เรียกร้องให้แบรนด์ก้าวไปสู่อีกจุดหนึ่งเพื่อเดินต่อ Flo ตัดสินใจขยายโชว์รูมของตัวเองในซอยสุขุมวิท 36 ให้อลังการขึ้น เปลี่ยนชื่อเป็น FLOHOUSE พิเศษกว่านั้นคือไม่ได้มีแค่โชว์รูม แต่บ้านของ Flo หลังนี้ยังมีร้านหนังสือ ร้านกาแฟ สเปซสำหรับจัดนิทรรศการและเวิร์กช็อปอีกด้วย

เช้าวันอากาศดี เราจึงนัดพบกับนรุตม์ให้เขาพาทัวร์บ้านหลังใหม่กัน

HOUSE OF VARIETY

นอกจากหมวกของดีไซเนอร์ นรุตม์ยังเป็นนักสำรวจตัวยง

อันที่จริง ใช้คำว่า ‘นักสังเกต’ น่าจะตรงกว่า

ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบอย่างเขาจะเอนจอยเป็นพิเศษเมื่อได้ร่วมทริปดูงานต่างประเทศ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่นรุตม์พาตัวเองไปเจอสิ่งใหม่ๆ ที่จุดประกายไอเดียให้เขาได้เสมอ

“ร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ผมไปแล้วชอบ ทุกร้านจะมีหลายๆ อย่างรวมอยู่ในที่เดียวกัน” เขาย้อนความถึงสิ่งที่สังเกตเห็น ซึ่งตกตะกอนมาเป็นไอเดียของ FLOHOUSE ในภายหลัง 

“เขาไม่ค่อยมีแต่เฟอร์นิเจอร์อย่างเดียว จะมีของกุ๊กกิ๊ก แฟชั่น ร้านหนังสือ เป็นเหมือนคอนเซปต์สโตร์ ผมรู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะพอเราไปถึงที่นั่น ถึงแม้เราจะไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่ยังได้ประสบการณ์บางอย่าง อย่างน้อยไม่ได้ซื้อแต่มารู้จักกันก่อน จุดเด่นอีกข้อคือมันมีความเป็น owner สูงมาก หมายถึงว่าเจ้าของร้านจะทำให้เราเห็นว่าเขาชอบอะไร สนใจอะไร

“การเดินเข้าร้านเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกถึงพลังงานที่ดี คล้ายว่ามันสร้างพลังให้เราไปทำนู่นทำนี่ต่อได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้คนที่เดินเข้าร้านมา ถ้ามองในด้านธุรกิจ มันก็คือการใช้พื้นที่ในการทดลองทำอะไรใหม่ๆ ให้กับเจ้าของเช่นกัน” 

นรุตม์เก็บความรู้สึกใจเต้นตอนเดินเข้าร้านเหล่านั้นไว้ และไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้กับร้านของตัวเองในอีกหลายปีให้หลัง ในขวบปีที่ Flo กำลังก้าวเข้าสู่เลข 10 และเรียกร้องให้เขาทำอะไรบางอย่างเพื่อให้แบรนด์ไม่ย่ำอยู่กับที่

HOUSE OF CHALLENGE

แฟนคลับของ Flo คงรู้อยู่แล้วว่านอกจากงานแฟร์กับอีเวนต์โชว์เคสเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ สถานที่ที่เราจะพบปะคอลเลกชั่นทั้งเก่าและใหม่ของ Flo ได้คือโชว์รูมในซอยสุขุมวิท 36 

ก่อนจะมาเป็น FLOHOUSE นรุตม์เล่าว่าพื้นที่ขนาด 800 ตารางเมตรตรงนี้เคยเป็นของญาติผู้ทำแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เด็กมาก่อน พวกเขาเปิดบ้านที่อยู่ด้านหน้าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ส่วนโกดังด้านหลังปล่อยให้ชายหนุ่มเช่าเพื่อจัดเป็นโชว์รูม

อยู่มาวันหนึ่งญาติก็ย้ายร้านไปทำที่อื่น นรุตม์จึงได้พื้นที่ทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง

ไอเดียของการทำอะไรบางอย่างเพื่อให้แบรนด์ไม่ย่ำอยู่กับที่สตาร์ทจากโมเมนต์นั้น

นรุตม์เล่าว่า เวลาออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของ Flo เป้าหมายของเขาคือการทำให้ชีวิตของผู้ใช้ดีขึ้น ไม่ว่าจะทำให้บ้านสวยขึ้น อยู่สบายขึ้น หรือดีในแง่อื่นๆ FLOHOUSE ก็ตั้งเป้าหมายในทางเดียวกัน

“สิ่งที่ทำให้คนพัฒนาได้มากขึ้นคือหนังสือ และกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น FLOHOUSE ก็อยากเป็นสเปซที่ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น ผ่านหนังสือ ผ่านเฟอร์นิเจอร์ ผ่านอีเวนต์ และพื้นที่ทั้งหมด”

สิ่งที่นรุตม์อยากทำไม่ใช่แค่การอัพสเกลโชว์รูมของ Flo ให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่คือการรีโนเวตพื้นที่ให้กลายเป็นอาณาจักรขนาดย่อมสำหรับโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์ของ Flo และแบรนด์ในเครือ รวมถึงสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ให้ร้านหนังสือ ร้านกาแฟ รวมถึงสเปซว่างสำหรับจัดอีเวนต์หรือเวิร์กช็อปในอนาคต

ความท้าทายคือหากมองจากภายนอก คนที่เข้ามาจะเห็นเพียงบ้านด้านหน้าเท่านั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ว่ามีโกดังที่โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ของ Flo อยู่ข้างหลัง นรุตม์จึงขอความช่วยเหลือจาก ATELIER 2+ Studio บริษัทสถาปนิกที่ไว้ใจมาช่วยออกแบบร่วมกัน 

หลังจากปรึกษากันยาวนาน ไอเดียที่ทั้งคู่เห็นตรงกันคือการทุบโครงสร้างของบ้านออกเพื่อเปิดให้เห็นด้านในมากที่สุด รวมถึงทำทางเข้าใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาโกดังด้านหลังอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ การรีโนเวตยังคำนึงถึงสิ่งสำคัญคือความโมเดิร์น โชว์พื้นผิวของวัสดุที่ใช้ 

สำคัญที่สุดคือเข้ามาแล้วต้องรู้สึกโปร่งโล่ง ลื่นไหล–เหมือนกับคาแร็กเตอร์ของ Flo

“สำหรับผม โชว์รูมที่ดีคือโชว์รูมที่เดินเข้าไปแล้วต้องรู้สึก welcome ก่อน ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นจากคนบริการด้วย แต่เป็นแสง กลิ่น บรรยากาศที่เดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่ามัน ‘ถึง’ 

“อย่างที่สองคือเข้าไปแล้วรู้สึกตื่นเต้น มันทำให้ใจเราขยับ รู้สึกเหมือนได้เดินเข้าไปในธีมปาร์กที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของเขามีความสัมพันธ์กับสิ่งไหน เขาชอบสิ่งไหนถึงสร้างผลงานแบบนี้ออกมา แล้วกระตุ้นให้เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรดีๆ บ้างจัง”

ซึ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั้นถูกรวบรวมไว้ใน FLOHOUSE แล้วเรียบร้อย

HOUSE OF EXPERIMENT

ชีวิตของนรุตม์ผูกสัมพันธ์กับเฟอร์นิเจอร์มาตั้งแต่เด็ก ที่ FLOHOUSE จึงให้น้ำหนักกับการโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง

เมื่อเดินเข้ามาในตัวโกดัง สิ่งที่เราจะเห็นได้อย่างแรกคือพื้นที่จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ของ Flo ที่คัดสรรมาแล้ว แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้เป็นพิเศษคือ FLOLAB แบรนด์ที่ฉีกออกมาจาก Flo ซึ่งนรุตม์บอกว่ามันเป็นพื้นที่แห่งการทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยทำกับ Flo

ชายหนุ่มเล่าว่า FLOLAB คือคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์ที่มีคอนเซปต์กำหนดชัดเจนในแต่ละคอลเลกชั่น (หรือที่เขาตั้งชื่อให้อย่างน่ารักว่า Chapter หรือ ‘บท’) ซึ่งจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ

อย่างวันที่เราไปดูนี้นรุตม์กำลังจัดแสดงบทแรกชื่อ Liber ชั้นวางหนังสือหน้าตาเก๋ไก๋ แถมแต่ละตัวยังตั้งชื่อตามนักคิดนักเขียนชื่อคุ้นหูอย่าง Marquez, Kafka, Hesse, Murakami นอกจากนี้ FLOLAB ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ Flo ได้ไปจับมือคอลแล็บกับแบรนด์อื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน

พื้นที่ในการจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะบนชั้น 2 ยังมีส่วนจัดแสดงงานของ Nama แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่นรุตม์ฟูมฟักขึ้นมาพร้อมกับ Flo ซึ่งโดดเด่นด้วยสไตล์ contemporary และใช้ไม้ไทยเป็นหลัก

HOUSE OF CONVERSATION

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นดึงให้เราพักความสนใจจากส่วนจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะมุ่งหน้าตามกลิ่นไปยังเคาน์เตอร์บาร์ของ LIVID Coffee Roaster ร้านกาแฟพิเศษที่คนในวงการน่าจะคุ้นชื่อ เพราะพวกเขาเคยเป็นโรงคั่วกาแฟที่หลายคนไว้ใจ ความพิเศษคือพวกเขาเพิ่งได้มาเปิดร้านของตัวเองที่ FLOHOUSE เป็นแห่งแรก

เรื่องของเรื่องคือ นรุตม์กับ กนต์ธร นิโลดม เจ้าของร้านรู้จักกันมาก่อน เขาก็ติดใจในรสจางๆ ของกาแฟนอร์ดิกแบรนด์ LIVID และคิดว่าคาแร็กเตอร์ไปด้วยกันกับ Flo ได้แบบไม่ขัดเขิน เมื่อตั้งใจจะสร้าง FLOHOUSE นรุตม์จึงชวนกนต์ธรมาแชร์พื้นที่ด้วยกัน

“เอ็ม (กนต์ธร) เขาค่อนข้างอินกับเรื่องกาแฟ คั่วเอง เสาะหาเมล็ดมาเอง ผมกินแล้วรู้สึกว่ากาแฟของเขาไม่เหมือนคนอื่นแน่ๆ ผมว่าเขาหาจุดที่แตกต่างเจอ” ชายหนุ่มเล่าเหตุผล 

มากกว่าการพากาแฟพิเศษเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ FLOHOUSE นรุตม์และกนต์ธรยังหมายมั่นว่าอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สร้างบทสนทนาของคนคอเดียวกัน “ตอนที่มากินกาแฟกัน เอ็มเขาตั้งใจว่าอยากให้คนที่มาได้คุยกับบาริสต้าว่าเมล็ดนี้มีความเป็นมายังไง ได้มายังไง มีปฏิสัมพันธ์และได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน”

ความตั้งใจนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ร้านกาแฟเพียงเท่านั้น แต่บนชั้น 2 ของ FLOHOUSE ยังมีสเปซว่างที่นรุตม์ตั้งใจสร้างไว้สำหรับอีเวนต์เกี่ยวกับงานออกแบบ จัดนิทรรศการ และเวิร์กช็อปในอนาคตอีกด้วย

HOUSE OF BOOKS LOVERS

แต่ยอมรับตามตรง มุมที่ทำให้คนรักหนังสืออย่างเราใจเต้นที่สุดก็คงต้องยกให้ FLOBOOKSTORE

ไม่ใช่แค่เราคนเดียวด้วย เพราะเจ้าของร้านอย่างนรุตม์ก็ยอมรับว่าใจเต้นไม่แพ้กัน เพราะร้านที่เรายืนอยู่นี้คือความฝันที่เขาอยากทำมานาน

“ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะซื้อหนังสือติดตัวกลับมาตลอด เวลาผมชอบดีไซเนอร์คนไหนก็จะชอบไปตามอ่านดูว่าชีวิตของเขาเป็นยังไง เขาทำงานแบบไหนมาก่อน ที่งานเขาเป็นแบบนี้เขาชอบเสพศิลปะแบบไหน ในยุคนั้นมีศิลปินคนไหนอีก เพราะการตามดูสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมสนุกกับงานออกแบบมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ในห้องเรียนออกแบบไม่ค่อยสอน และผมไม่เคยเห็นหนังสือพวกนี้อยู่ที่เดียวกันเลย” 

นั่นคือเหตุผลตั้งต้นที่ทำให้นรุตม์สร้าง FLOBOOKSTORE ขึ้นมา ในฐานะร้านหนังสือดีไซน์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่หนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องผลงานของดีไซเนอร์ที่เขาชอบ แต่ยังมีหนังสือที่เล่าเรื่องชีวิตของดีไซเนอร์เหล่านั้น รวมไปถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ให้ทำให้คนอ่านเห็นความเชื่อมโยงของดีไซเนอร์แต่ละคนในแต่ละยุคสมัย

“มันน่าจะดีต่อคนที่เขาสนใจ เพราะเขาจะได้รู้ว่า อ๋อ ดีไซเนอร์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนนี้ ดีไซน์ของสแกนดิเนเวียเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมอเมริกาช่วงหนึ่งถึงทำเฟอร์นิเจอร์เก่ง หนังสือในร้านก็จะมีเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เขาเห็นภาพใหญ่ว่านี่คือช่วงเวลาเดียวกัน”

เกณฑ์การคัดสรรหนังสือของนรุตม์ก็เรียบง่าย เพราะมันมาจากความชอบส่วนตัวของเขาล้วนๆ “ประมาณ 80-90% ของหนังสือที่ร้าน ที่บ้านผมมีหมดแต่แทนที่จะสั่งมาให้ตัวเอง ผมก็สั่งมาขายให้คนที่ชอบเหมือนกัน” ชายหนุ่มหัวเราะ

“ว่าตามตรง หนังสือพวกนี้ดู niche มากเลยนะ กลัวไหมว่าจะ niche เกินไป” เราสงสัย

“ผมเข้าใจว่าธุรกิจหนังสือไม่ได้ทำเงินมากมายอยู่แล้ว คนทำหนังสือก็น่าจะรู้ดี แต่ผมยังมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการอ่านทำให้เราได้อะไรมากจริงๆ ถึงคนที่มาอาจจะยังไม่ซื้อ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นชื่อดีไซเนอร์ เอาไปเสิร์ชข้อมูลต่อได้

“ในขณะเดียวกัน การมี FLOBOOKSTORE ก็แสดงให้เห็นว่า Flo สนใจในงานออกแบบนะ เราชอบดูงาน ชอบศิลปะ คนที่เข้ามาก็จะเห็นว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เฟอร์นิเจอร์นะ กว่าจะมาเป็นเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นมันต้องผ่านการศึกษาเรื่องเหล่านี้มา มันก็ส่งเสริมในตัวแบรนด์เอง” ชายหนุ่มบอก

HOUSE OF FLO

สำหรับนรุตม์ การมี FLOHOUSE คือภาคขยายของแบรนด์ Flo ที่เปิดโอกาสให้ทั้งตัวเขาและลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ จากแบรนด์ที่รัก

“มัน expand รสชาติของแบรนด์ให้กว้างขึ้น ทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ที่ชีวิตคนได้มากขึ้น เหมือนเป็นการขยายประสบการณ์ที่จะทำให้ลูกค้าอิ่มเอม และ complete sense ของเขามากขึ้น

“แน่นอนว่าในแง่ธุรกิจ Flo ต้องขายได้เยอะขึ้น” เขาเล่าความคาดหวัง “ อย่างที่สองผมว่ามันคือเรื่องของ traffic และ awareness เพราะคนจะไม่ซื้อของเราถ้าเขาไม่รู้จักเรา อย่างน้อยการมี FLOHOUSE ก็ทำให้คนรู้จักมากขึ้นเพราะเรามีบริการอื่นๆ ไม่ต้องมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็ได้ แต่มาดูหนังสือ มาคุยกัน มาเดินเล่นก็ได้ มันคือการแนะนำตัวเองให้เราได้มีปฏิสัมพันธ์กันก่อน

“แต่ถ้าในแง่การมีความหมายต่อตัวตน สำหรับผม FLOHOUSE มันมีความหมายมากนะครับ จริงๆ มันแทบจะเป็นบ้านของผมเลย เพราะที่นี่ก็มีห้องนอนของผมด้วย ผมนอนนี่ ตื่นมาก็เดินมาออฟฟิศ ทำงาน ขายของได้เลย” ชายหนุ่มหัวเราะ 

“อาจจะฟังดู subjective นิดหนึ่ง แต่การได้ทำพื้นที่ตรงนี้จากความชอบมันก็ทำให้ผมรู้สึกดี และน่าจะดีกว่าด้วยถ้าที่ที่เรามีมันทำรายได้ให้เรา ให้โรงงาน ให้พนักงานเรา และสร้างความรู้สึกดีๆ ผ่านดีไซน์ให้กับคนที่มา มันก็ win-win กันทุกฝ่าย” 

FLOHOUSE

เวลาทำการ : ร้านเฟอร์นิเจอร์และร้านหนังสือเปิดทุกวัน เวลา 10:00-19:00 น.

ร้านกาแฟเปิดทุกวัน เวลา 08:30-17:30 น.

การเดินทาง : BTS ทองหล่อ เดินต่อเข้ามาในซอยสุขุมวิท 36 ต่ออีก 850 เมตร

ที่ตั้ง : goo.gl/maps/sdmSJoz9ojiRGGfP9

ช่องทางติดต่อ : แฟนเพจเฟซบุ๊กของร้านเฟอร์นิเจอร์ facebook.com/flofurniture หรือแฟนเพจเฟซบุ๊กของร้านหนังสือ facebook.com/Flobookstore

‘Navegador’ ประสิทธิภาพในยุคล่าอาณานิคม

ระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 หลายร้อยปีก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า ‘โลกาภิวัตน์’ หลายประเทศในยุโรปส่งนักผจญภัยข้ามมหาสมุทรไปสำรวจและตีดินแดนใหม่ๆ นอกทวีปเป็นอาณานิคม กลายเป็นยุคที่ได้สมญา ‘ยุคแห่งการสำรวจและค้นพบของยุโรป’ ในยุคนี้ประเทศเล็กๆ สุดขอบตะวันตกของยุโรปอย่างโปรตุเกส กลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเรือที่ค้นพบดินแดนใหม่ๆ เกินขนาดของประเทศตัวเองไปนับพันนับหมื่นเท่า โดยอาศัยพัฒนาการของเทคโนโลยีการทำแผนที่และอุปกรณ์เดินเรือที่เอื้อต่อการเดินทางข้ามทวีป ยิ่งออกสำรวจก็ยิ่งสะสมองค์ความรู้มหาศาลเกี่ยวกับการเดินเรือและภูมิศาสตร์ทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย ไกลถึงญี่ปุ่นในทะเลจีนใต้

นักเดินเรือ (navegador ในภาษาโปรตุเกส) มีแรงจูงใจที่จะออกไปเสี่ยงภัยในทะเล เพราะการค้นพบเส้นทางค้าขายเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้า ‘พรีเมียม’ ในยุคนั้นจะช่วยให้โกยกำไรงามๆ ที่คุ้มค่าความเสี่ยง เหล่า navegador ค้นพบเส้นทางมากกว่านักเดินทางชาติอื่นในยุคแห่งการสำรวจ ถึงแม้โลกอาจรู้จักพวกเขาไม่มากเท่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือที่ไม่ใช่ชาวโปรตุเกสแต่เดินทางไปพบทวีปอเมริกาด้วยเงินของกษัตริย์โปรตุเกส

ความเกรียงไกรของโปรตุเกสเริ่มต้นจาก บาร์โทโลมิว ดิอาซ ผู้ล่องเรือข้ามแหลมกู๊ดโฮป สุดขอบทวีปแอฟริกาตอนใต้ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1488 จากนั้นสิบปีต่อมา วาสโก ดากามา นักเดินเรือผู้กลายเป็นตำนาน ก็ล่องเรือไปถึงอินเดีย ถัดมาอีกเพียงสองปีคือ ค.ศ. 1500 ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือจงใจก็ตามแต่ เปโดร อัลวาเรซ คาบราล ก็เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปขึ้นฝั่งดินแดนในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งต่อมาจะชื่อ บราซิล 

ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ โปรตุเกสสร้างป้อมปราการ โรงงานแปรรูปและสถานีค้าขายจำนวนมากในพื้นที่ทั้งที่ตีเป็นอาณานิคมและไม่เป็น ตลอดชายฝั่งดินแดนทุกทวีปที่พวกเขาค้นพบ เชื่อมเมืองหลวงลิสบอนในโปรตุเกสเข้ากับชายฝั่งแอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย และเอเชียตะวันออกไกลถึงนางาซากิ เมืองท่าสำคัญในญี่ปุ่น เครือข่ายเส้นทางค้าขายและการล่าอาณานิคมนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจโปรตุเกสเติบโตอย่างก้าวกระโดดนานสามร้อยปีระหว่างปี 1500-1800 และสร้างรายได้ราว 1 ใน 5 ของรายได้ชาวโปรตุเกสในยุคนั้น 

มรดกของโปรตุเกสตกทอดมาถึงปัจจุบันในแง่วัฒนธรรมมากมาย ภายหลังจากที่คนในพื้นที่อาณานิคมต่างทยอยประกาศเอกราช ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม อาหาร และภาษา ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ภาษาโปรตุเกสมีคนใช้มากเป็นอันดับ 6 ของโลก มีคนพูดมากกว่า 240 ล้านคนโดยเฉพาะในบราซิล

boardgamegeek.com

Navegador บอร์ดเกมเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่ง นำแรงบันดาลใจจากยุคทองของโปรตุเกสมาสร้างเป็นเกมสนุกสำหรับ 2-5 คน รับบทเป็นพ่อค้าและนักเดินเรือในยุคนั้น เราจะส่งกองเรือจากโปรตุเกสไปยังอเมริกาใต้ แอฟริกา เอเชียใต้ สุดท้ายไปจบที่เอเชียตะวันออก เกมจะจบเมื่อมีใครสักคนแล่นเรือไปถึงเมืองท่านางาซากิในญี่ปุ่น หรือสร้างอาคารหลังสุดท้ายที่มีให้สร้าง (ปกติจบแบบแรก) 

ผู้เล่นทุกคนในเกมเริ่มต้นเท่ากันด้วยเรือ 2 ลำ ลอยอยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งโปรตุเกส คนแรกที่แล่นเรือเข้าไปสำรวจพื้นที่ทะเลใหม่ๆ จะต้องเสียเรือ 1 ลำ (สะท้อนความเสี่ยงสูงมากของการเดินเรือในยุคนั้น) แต่จะได้โทเคน ‘สำรวจ’ ซึ่งมีมูลค่าเป็นคะแนนตอนจบเกม และได้โบนัสเป็นเงินสดเท่ากับมูลค่าของพื้นที่อาณานิคมที่น้อยที่สุดในบริเวณนั้นๆ

หลังจากที่พื้นที่ทางทะเลแต่ละช่องได้รับการบุกเบิกแล้ว (ไม่มีโทเคน ‘สำรวจ’ ในน่านน้ำนั้นแล้ว) ทุกคนก็จะแล่นเรือเข้าไปได้โดยไม่จม และก่อตั้งอาณานิคมชายฝั่งตามทวีปต่างๆ ได้

ความเจ๋งของ Navegador อยู่ที่ความเรียบง่ายของกลไกตลาด ในเกมนี้มีสินค้า 3 ชนิดตามประวัติศาสตร์ที่ทำเงินงามๆ ให้กับพ่อค้าโปรตุเกสในยุคทอง ได้แก่ น้ำตาล (ผลิตโดยอาณานิคมในอเมริกาใต้) ทองคำ (แอฟริกา) และเครื่องเทศ (เอเชีย) ก่อนจะขายได้เราต้องล่องเรือไปให้ถึงพื้นที่ที่เราอยากจับจองเป็นอาณานิคม มีทรัพยากรคนและเรือมากพอ (อย่างน้อย 2 คนในลิสบอน และเรือ 1 ลำในพื้นที่ที่จะตั้งอาณานิคม) จากนั้นจ่ายเงินแล้วเอาแผ่นอาณานิคมนั้นๆ มาอยู่กับตัว

boardgamegeek.com

แผ่นอาณานิคมให้สิทธิเราขาย ‘วัตถุดิบ’ ที่ผลิตโดยอาณานิคมในพื้นที่ แต่ถ้าจะขาย ‘สินค้า’ (จากการแปรรูปวัตถุดิบนั้นๆ) เราต้องใช้อีกแอ็กชั่นสร้าง ‘โรงงาน’ ผลิตสินค้า ซึ่งเราสามารถสร้างโรงงานสินค้าชนิดใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปตั้งอาณานิคมผลิตวัตถุดิบชนิดนั้นก่อน

ยิ่งเราขายวัตถุดิบเข้าตลาดมากเท่าไหร่ ราคาตลาดของมันยิ่งลดลง แต่ในทางกลับกันยิ่งราคาวัตถุดิบลดลง ราคาสินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากวัตถุดิบนั้นๆ ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น (วัตถุดิบขาดตลาด ทำให้สินค้าแพงกว่าเดิม) ดังนั้นความสนุกส่วนหนึ่งในเกมจึงอยู่ที่การวางแผนว่าจะทำอาณานิคมวัตถุดิบอะไร สร้างโรงงานผลิตอะไร และจากนั้นก็คอยตามดูและคาดเดาการซื้อ-ขายของผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อมองหาโอกาสเก็งจังหวะขายวัตถุดิบหรือสินค้าที่เราจะได้กำไรสูงสุด

(กติกาใน Navegador ไม่อนุญาตให้เราทำกำไรแบบจับเสือมือเปล่า นั่นคือ ทั้งซื้อและขายวัตถุดิบและสินค้าชนิดเดียวกันในตาเดียวกัน) 

คะแนนใน Navegador นับครั้งเดียวตอนจบเกม คะแนนมาจากหลายทางด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการต่อเรือ สร้างอู่ต่อเรือ (ลดต้นทุนการต่อเรือแต่ละลำ) สร้างโบสถ์เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในอาณานิคมโปรตุเกส (ลดต้นทุนการจ้างคนทำงาน) สร้างอาณานิคม สร้างโรงงาน การสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในทะเล ฯลฯ แต่วิธีทำคะแนนทั้งหมดนี้ต้องแลกมาด้วยเงิน รวมถึงการส่งคนเข้าวังไปประจบประแจงกษัตริย์ เพื่อเอา ‘royal favor’ หรืออภิสิทธิ์จากวัง ซึ่งรูปธรรมในเกมนี้ก็คือแผ่นตัวเลขที่จะเอามาเพิ่มตัวคูณคะแนนตอนจบเกม และตอนเลือกอภิสิทธิ์ก็จะได้โบนัสเงินสดด้วย

boardgamegeek.com

ในเมื่อวิธีทำคะแนนทุกวิธีต้องใช้เงิน และวิธีได้เงินหลักๆ ก็คือการขายน้ำตาล ทองคำ เครื่องเทศ ไม่ว่าจะในรูปของวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป Navegador จึงบังคับให้เราทำตัวเป็นพ่อค้าที่ทั้งต้องวางแผนระยะสั้นและมองการณ์ไกลในระยะยาว แอ็กชั่นในเกมนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ แต่ใช้ระบบ rondel คือเลือกแอ็กชั่นจากรอบหน้าปัด ถ้าจะเลือกแอ็กชั่นที่ไกลจากแอ็กชั่นเดิมมากกว่า 3 ช่อง ต้องทำลายเรือในทะเลซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก ดังนั้นการวางแผนว่าจะทำอะไรก่อนหลังดีจึงเป็นกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ในเกมนี้

Navegador เป็นเกมที่เรียบง่ายแต่เอาชนะไม่ง่าย สื่อสารหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานเรื่องอุปสงค์-อุปทานได้อย่างสง่างามผ่านกลไกตลาดเรียบหรู และเป็นเกมเศรษฐศาสตร์น้อยเกมที่จบได้ภายในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถ้าเล่นครบ 5 คน การแข่งขันเข้มข้นในทุกมิติเพราะทุกอย่างมีจำกัดตั้งแต่จำนวนอาณานิคมในแต่ละพื้นที่ จำนวนโรงงาน เรื่อยไปจนถึงจำนวนอภิสิทธิ์จากวัง ธีมของเกม และระบบทุกระบบสอดรับประสานกันอย่างกลมกลืน เล่นได้ไม่รู้เบื่อไม่ว่าจะกลับมาเล่นใหม่กี่รอบ

สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดอ่อน หรืออย่างน้อยก็เป็นเรื่อง ‘น่าเสียดาย’ เพียงข้อเดียวเท่านั้นของ Navegador คือด้านกลับของจุดแข็งของเกม นั่นคือ เกมนี้ช่วยให้เรามองเห็นประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจสูงลิบของโปรตุเกสในยุคทองอย่างเด่นชัด แต่กลบเกลื่อน ‘ต้นทุน’ ทางสังคมสูงลิบที่อยู่เบื้องหลังประสิทธิภาพของเจ้าอาณานิคมยุโรปทุกประเทศ

นั่นคือ ต้นทุนของการรุกรานและล่าอาณานิคมในพื้นที่ห่างไกล ฉวยใช้ช่วงชิงทรัพยากรของชนชาติอื่นโดยไม่ขออนุญาต ปราบปรามและกดขี่บีฑาชนพื้นเมืองอย่างรุนแรง

เรายังคงต้องรอบอร์ดเกมที่จะนำความรุนแรงทางประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นกลไกเกมที่โดดเด่นและเรียบง่าย–เรียบง่ายไม่แพ้ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและกลไกตลาดที่เกมอย่าง Navegador ช่ำชองแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการมองข้ามความรุนแรงของลัทธิล่าอาณานิคม

boardgamegeek.com

คุยกับ ภัคพันธุ์ สมัครสมาน แห่ง Freddie RiceCurry ผู้รื้อสูตรแกงกะหรี่เดิมๆ เพื่อให้ถูกปากคนไทย

“พรุ่งนี้ก็ Tomorrow เสียแล้ว”

ข้อความนี้คือรอยสักที่ปรากฏอยู่บริเวณหลังแขนด้านซ้ายของชายหนุ่มหนวดงามมาดนิ่ง อิด–ภัคพันธุ์ สมัครสมาน เจ้าของร้าน ‘Freddie Rice Curry เฟรดดี้ ข้าวแกงกะหรี่’ ผู้ควบตำแหน่งเจ้าของร้านและแอดมินเพจด้วย

ถ้าพูดถึงร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นในเมืองไทยในสเกลระดับร้านขึ้นห้าง คุณอาจคิดถึงแบรนด์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่มาเปิดในบ้านเรา แต่ถ้าหากพูดถึงข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นที่เป็นแบรนด์ของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเมืองชาวเน็ตที่แอ็กทีฟบนโลกออนไลน์ เชื่อว่าใครหลายคนต้องคิดถึงร้านของเขา

นอกจากข้อความที่ว่า ด้านหน้าของแขนข้างเดียวกัน เขายังสักรูปวงกลมทึบขนาดเท่ากับเหรียญบาทไว้อีก

ปกติการจะสักอะไรสักอย่างลงบนร่างกาย เรามักนึกถึงถ้อยคำหรือข้อความบางอย่างที่ย้ำเตือนใจ ที่เราอยากจะเห็นมัน หรืออยากให้คนอื่นเห็น แต่แปลกตรงที่ชายหนุ่มคนนี้กลับสักในสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะไร้ความหมาย

จากข้อความที่เห็น ไอเดียแรกที่ผุดในหัวเราคือข้อสันนิษฐานที่ว่า เขาคงจะเป็นคนกวนๆ อารมณ์ดี แบบที่เราได้อ่านได้เห็นในเพจของร้าน แต่เมื่อได้พูดคุยตั้งแต่เริ่มเชิญชวนมาเป็นแขกรับเชิญในรายการพ็อดแคสต์ Bon Appetit ธุรกิจรอบครัว จนถึงหลังจบการสนทนา เรากลับมีความคิดที่ต่างออกไป

ฉากหน้าภายนอกที่ดูมีอารมณ์ขัน โพสต์ข้อความจิกกัดได้แสบเจ็บคันแบบตลกร้าย แต่ภายในเรากลับคิดว่าเขาเป็นคนวางเฉยแทบจะต่อทุกสิ่ง ทั้งเรื่องการเงิน การบริหารร้าน เส้นทางชีวิตในการทำธุรกิจ เสมือนกับว่าทุกอย่างมันจะดำเนินไปตามครรลองของมันเอง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาแค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันนำพาเขาไปในที่ทางที่มันจะเดินไปตามเงื่อนไขของเวลาและความเหมาะสม

“ทำไมถึงสักข้อความนี้และรูปทรงกลมทึบบนแขน” เรายังสงสัยอยู่ และอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไปถามแม้จะจบการสัมภาษณ์แล้ว

“คือเอาลึกๆ เลย ผมเชื่อว่าเราก็แค่เกิดมาใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ลำบากใคร แล้วก็ตายครับ ทุกอย่างเลยไร้ความหมายครับ รอยสักเลยไม่มีความหมายเพราะยังไงเราก็ตายแบบไม่มีอะไรเลยครับ”

คำตอบของอิดคล้ายจะคอนเฟิร์มความคิดเราว่า เพียงฉากภายหน้าที่ดูสนุกสนานมีสีสัน แต่ภายในของเขากลับเป็นความมสงบนิ่งและปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขของธรรมชาติและเวลา

เห็นคุณตั้งชื่อร้านว่า Freddie Rice Curry คุณเป็นแฟนวง Queen ใช่ไหม

จริงๆ ชอบนะครับ แต่ไม่ใช่แฟนคลับ คือผมชอบอยู่หลายเพลงนะ โดยเฉพาะคอนเสิร์ตสุดท้ายที่อยู่ในหนัง Bohemian Rhapsody ผมตามไปดูย้อนหลังเลย ประทับใจมาก

แล้วทำไมตั้งชื่อร้านว่า Freddie Rice Curry

มันเริ่มจากการที่ผมมีแพลนจะทำร้านข้าวแกงกะหรี่ พอเราคิดว่าเราจะเปิดร้านที่มันมีเมนู curry เราก็เลยมาคิดชื่อ จริงๆ ผมเป็นคนชอบเล่นมีมในโลกออนไลน์อยู่แล้ว และคำว่า ‘เฟรดดี้’ (เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่) มันจะเป็นมีมที่ถูกเล่นหลักๆ อยู่แล้วบนโลกออนไลน์ คือโลกออนไลน์ มันจะมีมีมที่เป็นสากล ที่คนทั้งโลกเข้าใจร่วมกันอยู่ประมาณ 10-20 มีม และมีมของเฟรดดี้ คือหนึ่งในนั้น 

คือผมง้างรอมานานแล้วว่าวันไหนผมเปิดร้าน curry ผมจะใช้ชื่อเฟรดดี้ แต่จริงๆ มันไม่ได้มีแค่ร้านผมนะ การ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องมีเฟรดดี้แทรกอยู่เป็นตัวละครเยอะมากเลย

ผมเลยรู้สึกว่าถ้าผมเปิดร้านที่ชื่อเฟรดดี้ผมสามารถเล่นมีมได้ทั้งปีอะครับ เพราะผมมี source อยู่เยอะมาก เต็มเครื่อง ผมเซฟไว้ตลอดเวลา

ตอนนั้นทำไมถึงอยากเปิดร้านขายข้าวแกงกะหรี่

เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมเคยเปิดร้านอยู่ร้านนึง เป็นร้านขายผัดกะเพราชื่อร้านกะเพราผัด รัชบาร์ อยู่ที่รัชดาซอย 32 ตอนนั้นผมก็เห็นว่ามันมีพวกแพลตฟอร์มเดลิเวอรีเข้ามาใหม่ๆ หลายแพลตฟอร์ม แล้วผมก็เห็นว่าพวกแพลตฟอร์มพวกนี้เนี่ย ทำให้ร้านเราขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ เลย จนแบบจะแซงยอดขายปกติของหน้าร้านอยู่แล้ว เราก็เลยมาลองคิดและคุยกับเพื่อนว่าอะไรทางๆ นี้ พวกขายเดลิเวอรียังไม่เคยเห็นมีคนขายเท่าไหร่นะ เราลองไปขายกันดูไหม เพราะตอนนั้นมันมาใหม่ๆ GP ต่ำมากๆ

ทีนี้โจทย์ต่อไป คือมานั่งคิดว่าเราจะขายอะไรกันดี ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีหลายๆ แบรนด์ที่เขาเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วในหลายๆ หมวดหมู่ประเภทของอาหาร เช่น พวกไก่ทอด พวกอาหารตามสั่ง แต่มันจะมีอาหารอยู่อย่างนึงที่ผมคิดว่ายังไม่ค่อยมีใครขายนะ ก็คือ ข้าวแกงกะหรี่ สมัยนั้นจะสั่งข้าวแกงกะหรี่ทีเราจะสั่งผ่านแพลตฟอร์มไม่ได้นะครับ ต้องเดินไปสั่งที่หน้าร้านแล้วเดินถือกลับบ้านเอง ก็เลยคิดว่า มีช่องว่างตรงนี้อยู่

แต่ตอนนั้นร้านขายแกงกะหรี่ก็เปิดอยู่หลายร้านแล้วไม่ใช่หรือ

ใช่ครับ ส่วนใหญ่เป็นร้านชื่อดังด้วยที่มาจากญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นถ้าเราจะขายสู้กับเขาแบบหน้าร้านเราคงสู้เขาไม่ได้หรอก เราเลยมาเปิดขายแบบออนไลน์ดีกว่า คือขายออนไลน์น่าจะพอสู้เขาไหวครับ

พอได้ไอเดียจะขายข้าวแกงกะหรี่แล้วทำยังไงต่อ

เราก็ไปคุยกับเพื่อนอีกคนนึงที่ต่อมาพาร์ตเนอร์กัน คนนี้เขาเป็นเชฟอยู่แล้ว เขาก็จะมีความรู้ด้านพวกนี้ ผมเลยชวนเขามาทำข้าวแกงกะหรี่ดู เลยได้เปิดร้านข้าวแกงกะหรี่ด้วยกัน เริ่มแรกก็เปิดที่ลาดพร้าว-วังหิน

ทำไมเลือกเปิดที่ลาดพร้าว-วังหิน

คือตอนแรกเราตั้งใจจะเปิดเป็นเดลิเวอรีอย่างเดียว เลยเปิดที่ชั้นล่างของบ้านผม บ้านที่ผมเช่าอยู่นี่แหละ เห็นมันว่างๆ อยู่ ซึ่งพื้นที่ชั้นล่างอันนี้ตอนแรกมีเพื่อนมาทำโปรดักชั่นเฮาส์อยู่นะครับ เป็นสตูดิโอเล็กๆ มีข้าวของ มีอุปกรณ์การถ่าย แต่พอเพื่อนย้ายออกห้องก็เลยว่าง เราก็เลยเอาข้าวแกงกะหรี่ไปขายในนั้นนั่นแหละครับ

แล้วจริงๆ คุณชอบแกงกะหรี่ไหม

ผมชอบ และเพื่อนอีกคนก็ชอบเหมือนกัน คือเรากินแกงกะหรี่ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้งอยู่แล้ว เพื่อนผมก็กินบ่อยเหมือนกัน เราก็เลยเชื่อว่า เฮ่ย มันต้องมีช่องทางที่จะขายคนแบบเราสิ

พอรู้สึกอยากเปิดร้านแล้วคุณเริ่มต้นกิจการยังไง

พอผมมีไอเดียว่าจะเปิดร้านแกงกะหรี่แล้ว เราก็ไปถามเพื่อนในกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนจากกลุ่มมัธยม สมัยเรียนด้วยกันมา ก็ถามว่าเขาจะกินกันไหมถ้าเป็นแบบนี้ ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่บอกว่า ไม่กิน ไม่ชอบ เพราะกลิ่นของมันและความเลี่ยนของมัน

พอเซอร์เวย์แล้วเพื่อนบอกไม่ชอบ คุณก็ยังยืนยันจะเปิดร้านอยู่เหรอ

เราก็พยายามแก้ปัญหานั้นน่ะครับ ด้วยการคิดข้าวแกงกะหรี่ที่ไม่เลี่ยน โดยปกติข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นมันจะมีมัน ครีม เนย พวกอะไรที่เลี่ยนๆ มันๆ เราก็มาตัดออกทีละอย่างไปเรื่อยๆ เมื่อลองกินดูจนคิดว่ามันไม่เลี่ยนแล้ว เราก็คิดว่า เอ๊ะ มันจะมีเมนูที่ขายดีของร้านอาหารตามสั่ง ก็คือหมูกรอบ เราก็เลยคิดว่า ข้าวแกงกะหรี่ท็อปปิ้งด้วยหมูกรอบมันยังไม่มีใครทำนะ แต่ไอ้ครั้นจะไปขายแต่หมูกรอบเฉยๆ เลยก็ไม่ได้ เพราะคอนเซปต์ร้านเรา เราอยากได้ข้าวแกงกะหรี่ที่ไม่เลี่ยนนี่ เลยได้ออกมาเป็นเมนูแรกคือ ข้าวแกงกะหรี่หมูกรอบพริกเกลือ

 พอได้เมนูแรกแล้วคุณหาทางขายยังไง

ตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าจะขายยังไง ผมก็แค่เปิดเพจแล้วโพสต์ลงไปในเฟซบุ๊กเลย โพสต์แรกนั้นเป็นมีมตัวนึงที่เป็นเชฟหน้าตาคล้ายๆ เฟรดดี้ เขาน่าจะเป็นชาวมาเลเซียนะผมว่า (หัวเราะ) แล้วก็เขียนประมาณว่า ครัวเราพร้อมแล้ว พอโพสต์เสร็จผมก็ไปนั่งดื่มกับเพื่อน คือผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเช้ามา ปรากฏว่ามีคนแชร์โพสต์นั้นไป 500 แชร์ ผมตกใจมาก คือผมเปิดเพจมาแค่ไม่กี่นาทีแล้วก็โพสต์ แล้วก็ใช้เฟซบุ๊กตัวเองแชร์นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็มา 500 แชร์เลย

กระแสคนที่แชร์โพสต์แรกของเราไปเป็นยังไงบ้าง

ส่วนใหญ่เขาก็จะแชร์ไปพร้อมคำถามครับว่า นี่เป็นร้านอาหารจริงไหม (หัวเราะ) หรือเป็นแค่มีม ผมก็เลยไปคุยกับเพื่อนว่าเราจะทำยังไงดี เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงจะปลายปีพอดี คือตัวผมกับเพื่อนเป็นคนต่างจังหวัด คือปลายปีเราก็ต้องกลับบ้านต่างจังหวัด แต่พอมันมีกระแสมาแล้วหลังจากที่เราโพสต์ เพื่อนก็เลยพูดว่า ถ้าเราไม่ทำร้านออกมาอย่างจริงจังในตอนนี้ ให้มันทันกับกระแส เราจะเสียโอกาส เรากลัวเราจะพลาดโอกาสตรงนี้ไป

ผมกับเพื่อนที่จะกลับบ้านต่างจังหวัดกันสี่ห้าวันนี้ก็วางแผนกันเลยว่าแต่ละคนจะทำอะไรบ้าง เพื่อนก็ไปเตรียมแพ็กเกจจิ้ง ไปคิดเรื่องอาหาร ส่วนฝั่งผมก็เตรียมพวกเรื่องดีไซน์โพสต์เพจอะไรแบบนี้ ผ่านไปน่าจะสักแค่ 5-6 วันหลังจากโพสต์แรกเราก็เปิดร้านขายเลย 

แล้วตอนคิดเมนูอื่นๆ ที่ขายในร้าน คุณมีแรงบันดาลใจยังไง

คือเอาจริงๆ ตอนนั้นเรามีแค่เมนูเดียว แล้วเราโพสต์ไปเลยในเพจ แล้วช่วงนั้นรัฐบาลเขามีนโยบายแจกเงิน 500 บาท เราก็ล้อไปกับรัฐบาลว่า ถ้าใครช่วยคิดเมนูให้เรา เดี๋ยวเราจะให้ 500 บาท ตอนนั้นก็มีคนแชร์และคอมเมนต์ค่อนข้างเยอะ ตอนแรกผมก็ไม่รู้จะเลือก จะตัดสินใจยังไง ผมก็เลยเลือกจากปริมาณของคนกดไลก์ แล้วก็ดูว่า เออ มันน่าจะเป็นเมนูที่เราทำได้ เราก็เอาเมนูนั้นมา add ลงเมนูของเรา เช่น เมนูข้าวแกงกะหรี่คอหมูย่าง เมนูนี้พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่เป็นคนคิดนะครับ ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เขาเข้ามาคอมเมนต์ แล้วผมก็คิดว่า เออ เรามีเมนูเผ็ดแล้ว การที่มีเมนูไม่เผ็ดมาตัดบ้างมันน่าจะดีนะ แล้วก็มีเมนูข้าวแกงกะหรี่กะเพราเป็ดหนังกรอบ อันนี้ผมก็ว่าไอเดียดีนะ เราไม่เคยคิดจะทำหนังกรอบๆ มาโรยกะเพราเป็ดอีกที เขาไอเดียดีมาก

การเปิดร้านวันแรกของคุณเป็นยังไง

โห เปิดวันแรกคนเยอะมาก พวกพี่ๆ ไรเดอร์เดลิเวอรีมากันเต็มหน้าร้านเลย คือวันแรกที่เปิดร้านผมยังไม่ได้เอาป้ายไปแปะไว้ที่หน้าซอยเลยนะครับ แบบป้ายที่ชี้ทางเข้าจากหน้าซอยมาจนถึงหน้าร้านยังไม่มีเลย คือเรายังเตรียมอะไรไม่พร้อมเลย เพราะเรามัวแต่ง่วนกับอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นเพราะเราไม่คิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ด้วย

มันเป็นไปตามที่เราคาดหวังไหมกับการเปิดร้านวันแรก

จริงๆ ผมกับเพื่อนเราไม่ได้คาดหวังเลย เราคุยกับเพื่อนไว้แล้วว่า ของที่เราต้องลงทุนมันมีน้อยมาก เพราะเพื่อนเขามีร้านที่ต่างจังหวัด แล้วเขาเพิ่งปิดร้านไป เขาก็เลยมีอุปกรณ์อยู่เยอะ ส่วนตัวผมเองก็ซื้อแค่เตาแก๊สกับถังแก๊สอะไรประมาณนี้ ก็คือเราลงทุนกันไม่เยอะ ถ้าเปิดแล้วมันขายไม่ดีเราเปลี่ยนเมนูได้ เพราะเราลงทุนไม่แพง กะว่าลงแค่คนละประมาณ 5,000 แต่เอาจริงๆ ไปๆ มาๆ ก็มีเลยไป 15,000 นะครับ (หัวเราะ)

ไม่คาดหวังแต่สุดท้ายฟีดแบ็กก็ดีมาก

ดีมากครับ ทำไม่ทันเลย แล้ววันแรกก็มีเพจนึงที่เกี่ยวกับดนตรี ชื่อเพจ แปลงซะเสีย เขาอินบอกซ์มาบอกเลยครับว่าวันเปิดร้านขอสั่งคนแรก แล้วพอเขากินเสร็จวันแรก เขาก็โปรโมต ทำวิดีโอเพลงให้ร้านผมอย่างดีเลย ทำให้คนรู้จักร้านเราจากโพสต์นี้เยอะขึ้นมากๆ แล้วรู้จักร้านผมเร็วขึ้นด้วย ต่อจากนั้นก็เริ่มมีนักดนตรีเข้ามาแชร์เพจไปเรื่อย ผมก็ต้องขอบคุณพี่เขามากๆ เลยครับ ถือเป็นคนปลุกปั้นเพจร้านผมให้ดังไปไกลเลย

แล้วอันที่จริงผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า เจ้าของบ้านที่ผมเช่าคือแม่ของพี่ที่เป็นเจ้าของเพจ แปลงซะเสีย โลกกลมมากครับ ตกใจมากเลย

ฟีดแบ็กในวันแรกดีมาก แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ

เดือนแรกที่เราเปิดที่ชั้นล่าง ก็เริ่มมีสื่อมีอะไรมาถ่ายบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมก็แอบตกใจนิดนึงที่สื่ออย่างช่อง ONE เขาติดต่อผมมาก่อนผมเปิดร้านอีก เพราะเขาคิดว่าผมเปิดไปแล้ว แล้วก็มีเพจมีสื่อต่างๆ ติดต่อเข้ามาถ่าย แล้วพอเข้าเดือนที่สอง เราก็ไปเปิดป๊อปอัพบูทในอีเวนต์ที่พารากอน ซึ่งอันนี้ก็ทำให้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น แล้วพอเราออกไปข้างนอก ก็มีพวกเพจต่างๆ มาแชร์มาโพสต์อะไรอย่างนี้ค่อนข้างเยอะ

พอคนเริ่มรู้จักเยอะแล้ว พอเข้าเดือนที่สามเราเลยคิดว่าเดี๋ยวเราต้องปรับปรุงออกไปอยู่ข้างนอกบ้างแล้ว เพราะที่ลาดพร้าว-วังหินมันเป็นใต้ถุนบ้าน ผมก็ไม่มีที่ให้เขานั่งทาน ลูกค้าเขาก็มาขอนั่งทานตรงบันไดอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็เกรงใจลูกค้าเขา

แล้วจริงๆ เลยมันคือบ้าน มันก็ไม่ได้เหมาะกับการเตรียมรับลูกค้า ตอนหลังเราก็เลยคิดว่าออกไปหาที่ข้างนอกดีกว่า ซึ่งไม่ไกลจากที่เดิม ประมาณเดือนที่สามเราก็เลยออกไปเปิดหน้าร้าน

แล้วเปิดหน้าร้านแล้วคนยังมาเยอะอยู่ไหม

ก็ยังดีอยู่นะครับ คนมาเยอะเลย ช่วงนั้นก็มีเพจรีวิวเข้ามาช่วยเยอะเลย

ตอนนี้คุณมีหน้าร้านทั้งหมดกี่สาขาแล้ว

ตอนนี้มี 7 สาขา

มี KPI อะไรไหมที่คุณใช้วัดว่าคุณพร้อมจะไปเปิดสาขาต่อๆ ไปแล้ว

คือพอเปิดร้านอาหารมันจะมีคนชอบมาคอมเมนต์ว่า “มาเปิดที่นั่นที่นี่หน่อย” บางทีเขามากินที่ร้าน เขาก็มาคุยกับเราแล้วเขาก็บอกว่าเขามาจากแถวไหนย่านไหน เช่น ตอนแรกร้านผมอยู่ลาดพร้าว-วังหิน ก็จะมีคนจากนนทบุรีมากินบ่อย หรือไม่บางทีเขาก็มากันจากต่างจังหวัด แล้วหลายๆ คนก็จะคอยมาคอมเมนต์ว่าให้ไปเปิดที่นั่นที่นี่หน่อย

มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่ผมดูออร์เดอร์เอง ผมก็จะเห็นว่าประมาณ 1 ใน 3 ที่ค่าส่งแพงกว่าค่าอาหาร เราเลยมาคิดว่า เฮ่ย มันอาจจะเป็นตลาดที่ขยายวงกว้างได้อีกนะ เราก็เลยโพสต์ถามไปว่า มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง เราก็ซาวนด์เสียง แล้วเราก็ไปหาที่ ก็ได้เจอที่ที่ดีพอดี นั่นก็คือ แถวป้อมพระสุเมรุ ก็เลยได้เปิดสาขาที่สองที่นั่น

คุณดูยังไงว่าตรงไหนเป็นที่ที่ดี

จริงๆ ตรงป้อมพระสุเมรุเนี่ยเราชอบอาคารด้วย มันเป็นอาคารบ้านเก่า เราก็คิดว่าน่าจะทำต่อได้ง่าย แล้วตรงป้อมพระสุเมรุก็เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างดี เพราะว่าปกติแล้วถ้าเดลิเวอรีก็จะประมาณ 6 กิโลเมตรที่ค่าส่งมันจะโอเค ซึ่งจากตรงนั้นมันคลุมไปได้ถึงพวกสยามพารากอนเลย แล้วถ้าข้ามไปอีกฝั่งนึงก็คลุมไปถึงฝั่งธน เพราะฉะนั้นพื้นที่ตรงนั้นมันตีวงได้ค่อนข้างกว้าง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนโควิด แถวนั้นก็มีนักท่องเที่ยวเดินประจำ ทั้งคนไทยคนต่างชาติผมก็เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นทำเลที่ดี

แล้วจากสาขาที่ 2 มันนำพาไปถึงสาขาที่ 7 ได้ยังไง

พอเรามีสาขาที่ 2 ผมก็คุยกับเพื่อนว่าอยากทำระบบแบบแฟรนไชส์ คือเราจะทำอาหารจากที่ครัวกลางที่วังหินแล้วก็ส่งให้ทางป้อมพระสุเมรุ คือเริ่มวางระบบแบบแฟรนไชส์ อันนี้ก็ต้องยกให้เพื่อนเลย เพราะเขาเป็นเชฟ เขาก็เลยสามารถวางระบบที่ดีให้เราได้

พอเราเทสต์ระบบนี้ไปได้สักพักนึง น่าจะประมาณปีกว่าๆ นะตอนนั้น เราก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเราสามารถส่งของไปได้ ควบคุมรสชาติได้ค่อนข้างโอเค แล้วหลังจากนั้นก็มีโควิด เราก็คิดว่า เราน่าจะเปิดขายแฟรนไชส์นะ

คุณเปิดขายแฟรนไชส์ในช่วงโควิด?

(หัวเราะ) ผมก็ว่ามันก็แปลกๆ นะ แต่ก็ใช่ครับ และมีคนสนใจเยอะเหมือนกันนะ คือตอนนั้นที่ผมกะขายแฟรนไชส์ช่วงโควิด เพราะผมกะให้คนซื้อแฟรนไชส์ไปเพื่อขายเฉพาะเดลิเวอรี  ไม่ต้องเปิดหน้าร้านก็ได้ เพราะหน้าร้านมันลงทุนค่อนข้างสูง แล้วสถานการณ์ก็ไม่แน่นอนด้วย

ก็มีคนสนใจค่อนข้างเยอะ เราก็ไปคุย ไปถึงสถานที่ของเขาทุกๆ ที่ แต่หลายๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้มีของมีอุปกรณ์พร้อมที่จะทำได้เลย แล้วถ้าจะให้เขามาลงทุนอะไรเพิ่มผมก็คิดว่ามันจะหนักไปสำหรับเขา แต่ทีนี้พอดีว่ามีร้านอยู่ร้านนึง ที่เขาเปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อยู่แล้วช่วงกลางคืน ฉะนั้นกลางวันเขาว่าง ถ้าเสริมเฟรดดี้ของเราเข้าไป เขาก็พร้อมเปิดได้เลย เพราะเขามีครัวเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ก็เลยเป็นสาขาที่ 3 อยู่ที่สาทรครับ แล้วสาขาที่เหลืออื่นๆ ก็เป็นแฟรนไชส์ตามมา

ได้ข่าวว่าความเผ็ดของเมนูร้านคุณนี่ขึ้นชื่อมาก

จริงๆ เลือกได้นะครับตั้งแต่ไม่เผ็ดเลย คือระดับ 0 ไปจนถึงระดับ 5 คือ Hell แต่ขอเล่าย้อนหน่อยว่าตอนแรกเรามีเผ็ดแค่ 3 ระดับ ตอนเปิดร้านแรกๆ คือระดับ 1-3 แต่ด้วยความที่เราโดนต่อว่าเยอะเรื่องความเผ็ดว่าขอให้มันเผ็ดน้อยกว่านี้ได้ไหม ไอ้เวอร์ชั่น 0-5 ตอนนี้ที่เห็นนี่คือเวอร์ชั่นเผ็ดน้อยแล้วนะครับ นี่คือเผ็ดน้อยที่สุดที่เราทำได้แล้ว อย่างเช่น เผ็ดระดับ 1 ของสมัยก่อนอาจจะเท่ากับระดับ 3 ของตอนนี้ คือทุกคนในร้านเป็นคนกินเผ็ดหมดเลย ตอนเราเทสต์รสชาติกันเองเราเลยคิดว่าประมาณนี้ได้แล้วแหละ รสคนทั่วไป ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เลย (หัวเราะ) 

คือคนอินบอกซ์มาด่าจริงจังมาก ด่ามาเยอะมากครับตอนนั้น เยอะจนแบบปรับก็ได้เว้ย ซึ่งตอนแรกก็ดื้อนะครับ ดื้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน ไม่ยอมปรับ เพราะตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะเป็นทางของร้านเราที่เราไม่ชนกับใครในตลาด แต่สุดท้ายคือไม่ชนกับใครแล้วมันจะพานไม่มีใครกินเอานี่สิ (หัวเราะ) 

อธิบายหน่อยว่าเผ็ดระดับ Hell คือเผ็ดขนาดไหน

คือถ้าคิดเป็นพริก ก็จะประมาณครึ่งช้อนชาต่อ 1 ระดับความเผ็ด เพราะฉะนั้นถ้าเผ็ดระดับ 5 ก็จะประมาณ 2 ช้อนครึ่งครับ แต่จริงๆ เราใช้ทั้งพริกไทยและพริกเกาหลีนะครับ มันก็เลยจะมีความเผ็ดยาวกับเผ็ดสั้น แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ยาวมากหรอกครับ ถ้ากินเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้เผ็ดนานขนาดนั้น แต่ส่วนที่เผ็ดที่สุดจริงๆ อาจจะไปอยู่ที่พริกไทยอ่อนในหมูกรอบพริกเกลือครับ ถ้าไปทานเจอตรงนั้นก็จะเผ็ดมากและเผ็ดยาว

เคยคิดอยากทำอย่างอื่นบ้างไหม นอกจากทำธุรกิจร้านอาหาร

คือก่อนหน้านี้ผมเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งการเป็นฟรีแลนซ์เวลาไม่มีเงินเข้ามันเครียดนะครับ เราเลยต้องหาอะไรทำแก้เครียด และเมื่อทำอาหารแล้วมันก็คลายเครียดจริง แต่มันจะพาเราไปเครียดกับอย่างอื่นอีกนะครับ (หัวเราะ) เครียดเรื่องการลงทุนอะไรแบบนี้ครับ แต่พอได้ทำไปเรื่อยๆ เราก็เห็นว่ามันน่าจะมีอะไรที่เราปรับแก้ไขให้มันดีขึ้นได้ในโอกาสหน้า เราก็เก็บความตั้งใจนั้นไว้แล้วก็พยายามปรับให้มันดีขึ้นๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าผมติดใจในการอยู่ในแวดวงอาหารไปแล้ว ก็เลยอยู่ในแวดวงอาหาร

คุณใช้คำว่าอยู่ในแวดวงอาหาร

ใช่ครับ ก็ที่ผมทำตอนนี้ก็มีร้านกะเพรา ‘ที่นี่ Basil’ มีร้านยากิโทริ แล้วก็มีร้านกาแฟ เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ผมไปหุ้นกับเขาอยู่ที่งามวงศ์วาน 18 ครับ แล้วผมก็เคยทำร้านคราฟต์เบียร์ด้วยนะครับ ทำมา 3 ปี อันที่จริงหม้อที่ใช้ต้มแกงกะหรี่ของเราตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้คือหม้อต้มคราฟต์เบียร์นะครับ เพราะผมไปเรียนทำคราฟต์เบียร์มา แล้วปกติแล้วเราไม่สามารถหาหม้อขนาดใหญ่ขนาดนั้นได้ทั่วไปในตลาด แล้วพอผมไปเรียนคราฟต์เบียร์ผมเลยมีหม้อนี้ที่สามารถวัดอุณหภูมิ มีก๊อกมีอะไร ที่เหมาะกับการต้มเบียร์ขนาดใหญ่ขนาดหลายลิตร ผมเลยได้หม้อนี้มาต้มแกงกะหรี่ทุกวันนี้

เห็นว่าเวลาคุณทำร้านอาหารคุณทำกับเพื่อน คุณทำยังไงให้ทำธุรกิจกับเพื่อนแล้วมันรอด

เพื่อนผมแต่ละกลุ่มที่ทำร้านอาหารกับผมเราไม่ใช่ทางเดียวกันเนอะ บางคนถนัดทางคราฟต์เบียร์ บางคนถนัดกะเพรา แต่คือโดยรวมแล้วเวลาเราทำร้านทำงานกับเพื่อน ตำแหน่งหน้าที่ของเราจะไม่ทับซ้อนกัน ถ้าเราตกลงกันแล้วว่าเรื่องนี้ให้เพื่อนเราดู งั้นก็ไปเลย ให้เพื่อนเราตัดสินใจไปได้เลย คือเราไม่ก้าวก่ายกัน อย่างเรื่องอาหาร เรื่องการปรับปรุงรส หรือหาซัพพลายเออร์ เพื่อนผมเขาจะมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว อันนี้ก็ทางเพื่อนไปเลย ให้เขาจัดการ ส่วนทางเพจทางอะไรเพื่อนก็ไม่เคยติหรือว่าผม คืออยากโพสต์อะไรโพสต์ไปเลย คือถ้ามีคะดงคดีอะไรค่อยไปรับพร้อมกันครับผม (หัวเราะ)

ก็คือเราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเลย มันก็เลยไม่มีปัญหากัน

เวลาจะชวนใครสักคนมาลงหุ้นทำร้านด้วยกันคุณมองหาอะไรในตัวหุ้นส่วน

ผมว่าผมมองหาคนที่คุยกันได้ คุยกันง่าย เพราะถ้ามันเกิดปัญหาจริงๆ เราต้องกล้าคุยกัน ถ้าเพื่อนสนิทมากๆ แบบสนิทมากๆ จริงๆ ผมกลัวนะ ผมจะไม่กล้าไปร่วมงานขนาดนั้น เพราะเราก็จะกลัวว่าเราพูดอะไรไปเราจะไปทำร้ายจิตใจเขาหรือเปล่า แต่กับเพื่อนที่ทำด้วยกันอยู่จริงๆ เราก็สนิท แต่เรารู้สึกว่าเราพูดกับเขาตรงๆ ได้

คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการทำร้านอาหาร

ผมคิดว่าเป็นเรื่องรสชาติที่ลูกค้าได้รับ คือเวลาทำร้านอาหารลูกค้าเขาอาจจะเจอปัญหาหลายๆ อย่างนะ อย่างเช่น บริการไม่ดี มานั่งรอนาน แล้วอากาศร้อน หรืออะไรก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่เราได้เสิร์ฟอาหารที่ดีให้เขา มันจะช่วยเขาได้เยอะเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญหาอะไรอินบอกซ์มา ผมจะเทคแอ็กชั่นทันที อย่างเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สำคัญที่สุดเลย เรื่องรสชาติ เรื่องคุณภาพอาหาร

แล้วคุณควบคุมคุณภาพและรสชาติยังไงตั้ง 7 สาขา

เรามีครัวกลางสำหรับแกงกะหรี่และซอสสำหรับผัด อันนี้ก็จะมาจากครัวกลางเลย เราจะใช้มาตรวัดเลยว่า ใส่ขนาดนี้ ผัดขนาดนี้ ได้ขนาดนี้ แล้วเขาก็จะเตรียมแค่เนื้อสัตว์กับผัก เนื้อสัตว์อื่นๆ เราจะมีซัพพลายเออร์ส่งไปอยู่แล้วเนอะ แต่มันจะมีความยากเรื่องหมูกรอบนิดนึง ที่เขาต้องทำให้ได้คุณภาพตามที่เราวางไว้ อันนี้ยากที่สุด การเตรียมหมูกรอบให้กรอบทั้งวัน หรือการเตรียมหมูกรอบให้มันพอดีกับการขายในแต่ละวัน

คุณคิดว่าลูกค้าของ Freddie RiceCurry คือใคร

ถ้าเป็นตอนแรกๆ ลูกค้าของเฟรดดี้จะเป็นเด็กครับ เด็กแบบ ม.ต้น ถึงประมาณมหาวิทยาลัยที่ชวนพ่อแม่มากิน อันนี้คือตอนแรกๆ ที่จะเห็นมาเล่นในเพจบ่อยๆ แต่พอเริ่มเปิดร้านไปสักพัก เริ่มมีลูกค้าวัยทำงานเข้ามาแล้ว อายุสัก 20-40 ประมาณนี้ ซึ่งอันนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นลูกค้าหลักของเราแล้วแหละ แต่พอเราไปเปิดที่ป้อมพระสุเมรุผมกลับแปลกใจเพราะลูกค้าเป็นคนสูงอายุซะเยอะ อายุจะประมาณแบบ 45+ เลย เราเลยมองเห็นว่า เออ แต่ละสาขาจริงๆ ลูกค้าต่างกันมากนะ อย่างอโศกก็จะเป็นน้องๆ นักเรียน นักศึกษา

ลูกค้าต่างกันแล้วเราทำการตลาดยังไง

จริงๆ เราก็เน้นออนไลน์ เน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นที่เขาอยู่ในแพลตฟอร์ม เพราะถ้าเป็นคนที่สูงอายุมากๆ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์มบ่อยๆ เขาก็กินหน้าร้านอยู่แล้ว เราก็เลยจะเน้นเฉพาะวัยรุ่นที่อยู่ในแพลตฟอร์ม เฉพาะเพื่อนๆ ที่อยู่ในเพจ มาเอนเกจกับเรา มาตอบนี่ตอบนั่นไปเรื่อยๆ คือมาช่วยเราปั่นนั่นแหละครับ

คอนเทนต์แบบไหนที่เล่นในออนไลน์แล้วฟีดแบ็กดี

ร้านเรามันจะมีมุกนึงที่ลูกเพจเขาตั้งให้นะครับ คือแกงกะหรี่น้ำประปา คือเขาจะเล่นว่าเราไปเอาแกงกะหรี่เจ้าอื่นมาละลายน้ำขาย เขาก็เลยจะแซวกันประมาณนี้ว่า เฮ่ย แกงกะหรี่น้ำประปา หรือไม่บางทีเขาก็เรียกน้ำประปาเลย ซึ่งบางทีคนที่เขาเข้ามาใหม่ๆ เขาก็จะงง แล้วมาถามว่าจริงหรือเปล่า ไอ้เราก็ตอบกลับไปเลยครับว่า จริง! (หัวเราะดังลั่น) อันนี้ก็จะเป็นมุกการันตีประจำเพจเลยครับว่าเล่นเมื่อไหร่ฟีดแบ็กดีแน่นอน

แล้วมีมุกไหนไหมที่เราจะไม่เล่น

จริงๆ ก็มีครับแต่เราก็พยายามดันเพดานของเราไปเรื่อยๆ ว่าเราแตะได้ขนาดไหน เพราะมันก็มีหลายๆ เรื่องเนอะที่เป็นเรื่องใหญ่ อย่างพวกเรื่องเหตุบ้านการเมืองอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เราก็พยายามแตะไปเรื่อยๆ ว่ามันไปได้ขนาดไหน จะโดนตีกลับเมื่อไหร่ เราก็เลยอาจจะโดนแขวนบ่อยๆ น่ะครับตามบางกลุ่ม (หัวเราะ) แต่เราก็จะพยายาม อะไรที่ไปวิจารณ์คนอะไรตรงๆ อย่างนี้เราก็ไม่ทำ ส่วนใหญ่เราจะแซวมากกว่า 

ถ้าเราบอกว่ายินดีด้วย แสดงว่าตรงกันข้ามนะครับ โพสต์ว่ายินดีด้วยคนก็จะรู้แล้วว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้ว (หัวเราะ)

ถึงวันนี้คุณคิดว่า Freddie RiceCurry ประสบความสำเร็จหรือยัง

คิดว่ายังไม่ประสบความสำเร็จนะครับ แต่ว่ามันจะมีความสำเร็จเล็กๆ ตรงที่เราสามารถรอดจากโควิดมาได้ คือช่วงโควิดแรกๆ ผมกับเพื่อนเดาว่าอาจจะต้องปิดร้านไปเลย อย่างผมเองต้องกระโดดไปหางานประจำทำเพื่อให้มีเงินมาซัพพอร์ตเลี้ยงร้าน เพื่อนผมก็เช่นเดียวกันนะ หาเงินมาซัพพอร์ตร้าน แล้วเราก็พยายามไม่หักเงินใคร จ่ายเงินเดือนปกติให้ทุกคน แต่รายได้มันหายไปเยอะเลย ตอนนั้นเลยคิดว่าอาจต้องปิดร้านไปเลย แล้วค่อยกลับมาเปิดใหม่ก็ได้

แต่พอมาคิดอีกทีก็คิดว่าถ้าปิดร้านไปเลย โอกาสกลับมาใหม่ก็อาจจะยาก ด้วยความพร้อมด้วยอะไรหลายๆ อย่างเราอาจจะหลุดไปแล้ว ตัวพวกเราเองก็อาจจะไม่พร้อมกับการกลับมารวมกันใหม่ เราก็พยายามปั่นไป ลดราคาบ้างอะไรบ้าง ออกเมนูใหม่ๆ เอาตัวรอดไปวันต่อวัน ให้มันมีกระแสเงินสดเข้ามาในร้าน แต่เราก็ผ่านมาได้ 

อันนี้ผมคิดว่าคือความสำเร็จที่เราภูมิใจได้แล้วนะ

“คู่แข่งของเราคือถังขยะ” Flashfood และ Too Good to Go แอพฯ ต่อชีวิตให้อาหารก่อนถูกทิ้ง

หากเรานับเศษอาหารหรือขยะอาหารที่รวมกันทั้งโลกเป็นประเทศ มันจะเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับสามของโลก รองจากอเมริกาและจีนเพียงเท่านั้น เพราะจากอาหารที่ปลูกและผลิตทั้งหมดทั่วโลกแล้ว จากรายงานของ World Wildlife Fund (WWF–องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล) ในปีที่แล้วบอกว่ากว่า 40% ของมันกลายเป็นเศษอาหารและขยะที่ไม่ได้ถูกกินหรือใช้งาน และเมื่อขยะอาหารเหล่านี้ไปกองอยู่ในหลุมฝังกลบ มันก็จะสร้างก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ช่วงหลังๆ เราเห็นบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีต่างๆ ออกมาช่วยกันพยายามแก้ไขปัญหาตรงนี้กันเยอะขึ้น ตั้งแต่แอพฯ ที่ให้คนซื้ออาหารเหลือจากร้านในราคาที่ถูกลง หรือซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรที่ไม่สวยงามตามมาตรฐานของซูเปอร์มาร์เก็ตได้โดยตรงจากฟาร์ม แอพฯ เหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะกับกลุ่มที่เป็นลูกค้ายุคใหม่ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องสภาพแวดล้อมและตระหนักถึงผลกระทบของเศษอาหารที่เหลือ ไม่ใช่แค่ในอเมริกาหรือประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น ตอนนี้ในหลายๆ ประเทศ หรืออย่างบ้านเราเองก็มีเช่นเดียวกันอย่างเช่นแอพฯ ที่ชื่อ Yindii

ความสนใจนี้ถูกแชร์ลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่บ่อยๆ ทั้งทาง TikTok หรือ Reddit ที่จะคอยพูดถึงวิธีการลดขยะอาหารหรือแชร์เรื่องราวที่พวกเขาสามารถกอบกู้ชีวิตของอาหารที่จะเหลือทิ้งจากร้านอาหารหรือซูเปอร์มาร์เก็ตให้กลับมามีประโยชน์อีกครั้ง

ลูซี่ แบสช์ (Lucie Basch) ผู้ร่วมก่อตั้ง Too Good to Go สาขาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสตาร์ทอัพจากประเทศเดนมาร์กที่ก่อตั้งในปี 2015 กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Guardian ว่า

“ไอเดียของแอพฯ ที่เป็นเทคโนโลยีของโลกดิจิทัลทุกวันนี้ คือการเชื่อมต่อถึงกันและกัน และนั่นคือโอกาสของคุณที่จะสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก”

เมื่อดูตัวเลขของขยะอาหารที่ผลิตขึ้นมากลายเป็นขยะไป 40% เราอาจคิดว่าเหตุผลคือร้านอาหารทำมาแล้วขายไม่หมด แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวของขยะอาหารที่เกิดขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอันยิ่งใหญ่เท่านั้น เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่หน้าฟาร์ม ตั้งแต่ผลิตมากเกินไปไม่มีผู้รับซื้อ ราคารับซื้อในตลาดต่ำเกินไปจนไม่คุ้มค่าแรงพนักงานในการเก็บเกี่ยวจึงปล่อยให้เน่าเสียไป ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน ไม่สวยงาม ไม่มีคนรับซื้อ การแพ็กของและสายการบรรจุที่ทำงานผิดพลาด การขนส่งที่ล่าช้าทำให้ของเน่าเสีย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุของความเสียหายตั้งแต่ยังไม่ถึงที่จุดจำหน่ายเลยด้วยซ้ำ 

เมื่อไปถึงปลายทางสินค้า ขึ้นขายบนชั้นหรือกลายเป็นวัตถุดิบตามร้านอาหาร บ่อยครั้งที่ขายไม่ได้หรือขายไม่หมดสุดท้ายก็ต้องทิ้ง สำหรับส่วนของครัวเรือนบางครั้งไปซื้อของที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตมาใส่ตู้เย็น ซื้อมาเกินความพอดี เยอะเกินไป กินไม่ทัน หมดอายุหรือเน่าเสียก่อนก็ต้องโยนทิ้ง สิ่งเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมปัญหาขยะอาหารมากขึ้นไปอีก

แอพฯ ต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมอบโอกาสให้กับลูกค้าได้บอกกับร้านค้าหรือร้านอาหารว่าพวกเขาพร้อมจะซื้อสินค้าหรืออาหารที่ยังทานได้ นอกจากจะลดขยะอาหารแล้วยังสามารถประหยัดเงินค่าอาหารไปได้ด้วยในเวลาเดียวกัน

flashfood.com

อย่างเช่นแอพฯ Flashfood ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2016 จากการที่น้องสาวของจอช โดมิงเกส (Josh Domingues) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ได้รับจัดงานเลี้ยงแห่งหนึ่งแล้วโทรมาบอกเขาว่าเธอต้องทิ้งอาหารมูลค่ากว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐเพราะคนกินเหลือ โดมิงเกสรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่น้อยและเริ่มศึกษาจริงจังกับเรื่องนี้ ช่วงนั้นใต้คอนโดของโดมิงเกสมีซูเปอร์มาร์เก็ตพอดีและเขาก็เริ่มสงสัยว่าแต่ละอาทิตย์มีขยะอาหารที่ทิ้งไปเท่าไหร่กันนะ เขาจึงลองสังเกตและคำนวณดูก็พบว่าสูงถึงราวๆ 5,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

นี่คือเหตุผลและจุดเริ่มต้นของ Flashfood ที่เป็นแอพฯ ให้ลูกค้าสามารถกดเลือกซื้อของที่ใกล้วันหมดอายุ หรือถ้าบ้านเราก็คือสินค้าที่ติดป้ายแดงได้จากแอพฯ ในมือถือ และโดยส่วนใหญ่แล้วอาหารหรือสินค้าเหล่านี้จะราคาลดมากกว่า 50% โดมิงเกสอยากยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ลดราคาตามซูเปอร์มาร์เก็ตให้สะดวกขึ้น เพียงกดเปิดแอพฯ แล้วเลือกซื้อ จ่ายเงิน แล้วก็ไปรับที่ซูเปอร์ได้เลย ตอนนี้ Flashfood มีพาร์ตเนอร์มากกว่า 1,500 ร้านค้าและลดขยะอาหารไปแล้วกว่า 23 ล้านกิโลกรัม

จอช โดมิงเกส บอกว่า “สิ่งที่เราต้องการคือทำให้ลูกค้าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยกระเป๋าเงินของตัวเอง และนั่นก็สร้างผลกระทบอย่างมากเลย เราช่วยลูกค้าประหยัดเงินไปแล้วหลายสิบล้านดอลลาร์จากการไปซื้อของ

“มันต้องใช้คนทั้งหมู่บ้านเพื่อจะแก้ปัญหาตรงนี้ มันไม่มีทางที่คนเดียวจะทำได้ ต้องใช้การผสมผสานของคนที่มีความต้องการที่ดีมาร่วมมือกัน” ซึ่งแบสช์แห่ง Too Good to Go ก็บอกเหมือนกันว่า “คู่แข่งเดียวของเราคือถังขยะ”

ปัจจุบัน Too Good to Go ให้บริการใน 5 ประเทศและ 13 เมืองในยุโรปและอเมริกา โดยเริ่มต้นเปิดตัวที่ยุโรปในปี 2015 ก่อนขยายตลาดมาเรื่อยๆ จนเปิดในอเมริกาเมื่อปี 2020 ตอนนี้พวกเขามีบริการแล้วในเมืองอย่างออสติน,ชิคาโก้, ลอสเอนเจลิส, ซีแอตเทิล และฟิลาเดลเฟีย แบสช์บอกว่าโดยประมาณแล้วพวกเขาลดขยะอาหารนับเป็น 300,000 มื้อต่อวันเลยทีเดียว 

ลูกค้าของ Too Good to Go สามารถเปิดแอพฯ ขึ้นมาแล้วค้นหาร้านอาหาร เบเกอรี่ และร้านซูเปอร์มาร์เก็ตในแอพฯ และซื้อถุง ‘Surprised Bags’ ที่ทางร้านจะเตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง เบเกิล ผัดไทย หรือผักผลไม้สดที่ยังคุณภาพดี (แต่ตามกฎหมายระบุไว้ว่าต้องทิ้งเมื่อหมดวัน) ใส่ไว้ในนั้นให้ ราคาต่อถุงก็ประมาณ 3-5 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ของที่อยู่ในนั้นอย่างน้อยจะมีมูลค่ามากกว่า 3 เท่าของที่จ่ายไป เพราะฉะนั้นถือว่าเป็นดีลที่ดีมากๆ สำหรับลูกค้า

แม้จะยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็เป็นการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมีผลกระทบทางบวกกับโลกใบนี้ยังไง แบสช์กล่าวว่า “ทั้งสายการผลิตของอาหารนั้นล้วนสร้างขยะทั้งสิ้นและเราต้องช่วยกัน แต่สำหรับเรา เริ่มจากการทำให้ลูกค้าตระหนักก่อนโดยการใช้แอพฯ ง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดและเริ่มใช้ได้เลยวันนี้ นี่คือโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างของเราเอง”

แน่นอนยังมีแอพฯ อื่นๆ ที่มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นน้ำอย่าง Misfits Market ที่ขายผลิตภัณฑ์ที่รูปร่างหน้าตาไม่สวย ซึ่งปกติแล้วซูเปอร์มาร์เก็ตจะไม่รับซื้อเพราะขายไม่ได้ พวกเขาก็เอามาขายออนไลน์ ส่งตรงจากชาวสวนชาวไร่ถึงหน้าบ้านแบบระบบสมาชิกที่ราคาจะถูกกว่าในซูเปอร์ประมาณ 30-50%

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตัมมารา โซมา (Tammara Soma) ผู้ช่วยศาสตราจารย์และผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของห้องปฏิบัติการระบบอาหารที่คณะการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ Simon Fraser University กล่าวว่าแอพฯ ต่างๆ เหล่านี้แม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่พอ 

“มันช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อและสื่อสารกันมากขึ้น แต่มันไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของขยะและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติที่ไม่มีประสิทธิภาพ

“มันเป็นเรื่องที่ยากมากเลยที่แอพฯ จะจัดการกับปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติที่ไม่ดี จริงอยู่ที่ว่าแอพฯ เหล่านี้สามารถช่วยลดและหลีกเลี่ยงการเป็นขยะในทางหนึ่ง อย่างเช่นฟาร์ม ร้านขายของ หรือร้านอาหาร แต่มันก็ไม่ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วอาหารเหล่านี้จะถูกกินทั้งหมดรึเปล่าหรือมันก็ลงไปในถังขยะอยู่ดี”

โซมาอธิบายว่าเมื่อเราพูดถึงขยะอาหาร ต้องแยกออกเป็นสองส่วนคือ หนึ่ง ‘food loss’ ขยะที่เกิดขึ้นที่ต้นน้ำ ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงหน้าประตูบ้านและร้านขายของ และสอง ‘food waste’ ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ปลายน้ำ จากร้านขายของไปยังร้านอาหาร และต้นทุนของขยะอาหารนั้นไม่ได้มีแค่อาหารเท่านั้น ต้องมองไปถึงแรงงาน เวลา การขนส่ง น้ำ ปุ๋ย ยา และอะไรอีกมากมายที่ทำให้อาหารเหล่านี้มาถึงมือของลูกค้าได้

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมที่จริงแล้วปัญหาของขยะอาหารนั้นควรเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ เป็นการ ‘ป้องกัน’ ไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้มีการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยสูญเปล่าในภายหลัง แต่การป้องกันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย เพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบวงจรของอาหารทั้งหมดที่ต้องแก้ไขเรื่องของการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและการผลิตที่มากจนเกินไป 

flashfood.com

โซมาบอกว่าตอนนี้มีแอพฯ อย่าง LiteFarm ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ชาวสวนไร่สามารถติดตามผลผลิตและยอดขายของตัวเองก็กำลังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น มันยังช่วยทำให้การวางแผนการจ้างงานและจัดการผลผลิตที่ขายไม่ได้และเป็นขยะได้ดีมากขึ้นด้วย

นอกจากแอพฯ ที่ช่วยชาวสวนชาวไร่จัดการผลผลิตและลดขยะอาหารที่ต้นเหตุอย่าง LiteFarm แล้ว โซมาก็บอกว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีมากหากมีแอพฯ ที่ช่วยเชื่อมผู้ผลิตในท้องถิ่นกับคนในท้องถิ่นโดยตรง ลดการขนส่งและวงจรทั้งหมดลง สร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่เราทานทุกวันกับคนที่สร้างจะทำให้สังคมที่อยู่นั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นด้วย

ปัญหาขยะอาหารคือปัญหาใหญ่ และมันไม่ใช่ปัญหาที่คนคนเดียว หรือแอพฯ เพียงไม่กี่แอพฯ จะทำได้ แม้ว่าจุดประสงค์หรือเป้าหมายของแอพฯ เหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สุดท้ายมันก็ต้องอาศัยความร่วมมือ การตระหนักรู้ของทุกคน การปรับโครงสร้างของสังคม ตั้งแต่การผลิตและเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่ทรัพยากรไปจนถึงขยะอาหารที่ถูกทิ้งลงถัง 

ก็เหมือนอย่างที่โดมิงเกสบอกว่า ต้องใช้ทุกคนทั้งหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหานี้ด้วยกัน และถ้าทำได้โลกใบนี้ก็จะน่าดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่มากทีเดียว

อ้างอิง

คุยกับ ธเนศ โฆษิตวุฒิโสภณ แห่ง ‘Ari’ ธุรกิจที่ทำโดยคนบ้าฟุตบอล เพื่อคนที่รักฟุตบอล

“เราต้องการจะเป็น Your Football Specialist เป็นกูรูเรื่องฟุตบอลส่วนตัวให้กับคุณ ถ้าคุณคิดถึงเรื่องฟุตบอล คุณต้องคิดถึงเรา”

จากคำอธิบายของ ซันชิโร่–ธเนศ โฆษิตวุฒิโสภณ รองประธานฝ่ายการตลาดของ Ari ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าที่มาที่ไปของตึก 4 ชั้นขนาดใหญ่ใจกลางสยามสแควร์ซอย 6 ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นจำนวนมากนั้น เกิดจากคนบ้าฟุตบอลกลุ่มหนึ่งที่ต้องการนำเสนอสินค้าและเรื่องราวเกี่ยวกับโลกฟุตบอลให้กับคนไทยได้สัมผัส ด้วยการนำสินค้าลิมิเต็ดต่างๆ เข้ามาจำหน่าย เสริมด้วยการนำเสนอที่รู้ลึกรู้จริง ตอบได้ทุกคำถามเรื่องฟุตบอล จนทุกวันนี้มีคำพูดติดปากเล่นๆ ในวงการฟุตบอลว่า ‘หากหาสินค้าไหนไม่เจอ คิดอะไรไม่ออก ให้ลองเดินไปดูที่ร้าน Ari ก่อน’

ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังดุเดือดอยู่ในตอนนี้ เราได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนทีมเจ้าบ้านอย่าง Ari เพื่อพูดคุยถึงการปรับตัวในช่วงฟุตบอลโลกแต่ละครั้ง ตั้งแต่การก่อตั้งร้านขึ้นมาเมื่อปี 2009 อีกทั้งยังชวนพูดคุยถึงเส้นทางการเติบโตของแบรนด์ รวมถึงมุมมองทางธุรกิจที่พยายามต่อยอดและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ 

จนทุกวันนี้ Ari ถือเป็นร้านจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับฟุตบอล ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของคนรักฟุตบอลมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย

ย้อนกลับไปในวันแรก ความคิดในการเปิดร้านที่ชื่อ Ari เกิดขึ้นมาได้ยังไง 

ช่วงนั้นน่าจะปี 2009 เป็นวันที่กลุ่มผู้บริหารตอนนี้ ซึ่งเป็นคนบ้าฟุตบอลและรองเท้าฟุตบอลมองเห็นถึงโอกาสในการทำธุรกิจเกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศไทย

คือพวกเราเชื่อว่ารองเท้าฟุตบอลมีคอนเซปต์ มีเรื่องเล่าของมัน ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็แล้วแต่ ดังนั้นเราจึงใช้จุดนี้มาเป็นคอนเซปต์หลักของร้าน Ari สาขาแรกที่ทองหล่อ อย่าง Ari Football Concept Store เป็นสถานที่รวบรวมสินค้าและเรื่องราว เกี่ยวกับรองเท้าฟุตบอลในช่วงแรก ใครอยากได้สินค้าอะไร อยากแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องฟุตบอลตรงไหนก็มาหาเราได้ ซึ่งตอนนั้นในประเทศไทยยังไม่มีร้านรองเท้าฟุตบอลแบบ stand-alone แบบนี้ขึ้นมาเลย

ผมรู้สึกว่า Ari เริ่มต้นขึ้นด้วยความแตกต่างจากร้านอื่นๆ คือความพยายามสร้าง products with personality อย่างในช่วงแรกเราก็เป็นเจ้าเดียวที่มีการทำ personalize ด้วยการนำเทคโนโลยีสกรีนชื่อเข้ามาเป็นที่แรกๆ ในไทย คือไม่ใช่แค่สกรีนเสื้อนะ สกรีนยันรองเท้าฟุตบอล แสดงความเป็นเจ้าของติดลงไปเลย

แสดงว่าการสร้าง products with personality ถือเป็นหัวใจสำคัญและจุดแข็งของ Ari ในขณะนั้น 

ถูกต้อง ผมว่าการทำอะไรแบบนี้มันมหัศจรรย์มากนะ มันเพิ่มความมีส่วนร่วมระหว่างตัวคุณกับสิ่งของบางอย่างลงไป มันทำให้เราตอบคำถามที่อยู่ในหัวมาตลอดได้ว่า ถ้าจะเปิดร้านทำไมลูกค้าต้องมาซื้อรองเท้าฟุตบอลกับเรา ทำไมเขาไม่ไปซื้อร้านอื่น คำตอบก็คือเรื่องนี้แหละ

แล้วสิ่งนี้มันอยู่ในดีเอ็นเอของความเป็น Ari แทบทุกอย่าง ผมมองว่าเราแตกต่างจากที่อื่นตรงที่เรารับฟังและทำความเข้าใจลูกค้า ในวันแรกที่เปิดสาขาทองหล่อ คือถ้าใครอยากได้อะไร หาของอะไรอยู่ ก็เข้ามาหาเรา มาคุยกับเรา ทำตัวเหมือนคนที่บ้าฟุตบอลสองคนคุยกัน ตอนนั้นบรรยากาศมันเป็นแบบนั้นเลย เราเปิดอกคุยกัน ทำความเข้าใจลูกค้า เพื่อหาสิ่งที่เขาต้องการและเหมาะกับตัวเขา

ซึ่ง Ari ก็เติบโตไปได้ของมันนะ อ้อ แล้วอีกอย่างคือเราเป็นร้านแรกๆ ที่เริ่มใช้โซเชียลมิเดียเข้ามาทำการตลาด คือพอร้านตั้งปี 2009 ตอนนั้น เฟซบุ๊กเริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย เราก็เปิดเพจ Ari ถ่ายรูปสินค้าลงเพจ ชักชวนนักบอลเข้ามาซื้อบ้างอย่างเช่น ลีซอ ธีรเทพ, จักรพันธ์ พรใส ที่เป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของเราเลย ร้านมันก็ถูกบอกเล่าต่อทั้งในโลกออนไลน์และปากต่อปาก ได้รับรู้ว่ามีร้านของคนคลั่งฟุตบอลที่ชื่อ Ari อยู่แถวทองหล่อ  

ก่อนหน้าจะมาเปิด Ari คุณและหุ้นส่วนเคยทำธุรกิจมาก่อนไหม

ไม่เลย ก็เป็นพนักงานบริษัททั่วไป แต่มารวมตัวกันเพราะความสนใจเรื่องฟุตบอลล้วนๆ

คำว่าร้านขายรองเท้าฟุตบอล stand-alone แห่งแรกในประเทศไทย กับการทำธุรกิจครั้งแรกของพวกคุณ ฟังดูเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก

ยอมรับว่าเสี่ยงมาก เราทำกันด้วยแพสชั่นเพียงอย่างเดียวจริงๆ ไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างเริ่มจากพวกเราหุ้นส่วนนั่งทำกันเอง สกรีนรองเท้าฟุตบอลกันเอง ขายกันเอง จนคนเริ่มรู้ว่าร้านที่ชื่อ Ari สกรีนชื่อได้เหมือนที่ต่างประเทศ สามารถนำสินค้าลิมิเต็ดเข้ามาจำหน่ายได้ มันก็ตอบโจทย์คนกลุ่มหนึ่ง จนสามารถเติบโตมาได้ในเวลาต่อมา

หลังเริ่มอยู่ตัว Ari มองการต่อยอดทางธุรกิจต่อยังไง

หลังจากนั้นเราเริ่มนำเสื้อฟุตบอลเข้ามาขาย ตอนแรกก็เป็นเสื้อจาก J1 League ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสมัยนั้นราคาแพงมาก 8,000 กว่าบาท แน่นอนว่าคนไทยยังไม่เข้าใจ แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่เขาตามหาเพื่อสะสมอยู่ เราก็เลยเจาะตลาดลูกค้าตรงนั้น แล้วก็ค่อยๆ ทยอยนำเสื้อฟุตบอลอื่นๆ ทั้งทีมผลิตโดยจาก Nike และ Adidas ที่เราเป็น authorised distributor เข้ามาจัดจำหน่าย

จุดเปลี่ยนอีกเรื่องหนึ่งคือการขยาย Ari สาขาสยามสแควร์ ซอย 6 แห่งนี้คือขึ้นมา บอกเลยว่าตรงนี้เป็นจุดแจ้งเกิดของเราจริงๆ ร้านนี้เราตั้งใจสร้างเป็น flagship store เป็นตึก 4 ชั้น ที่มีแต่สินค้าและเรื่องราวของฟุตบอล คือเป็นที่สุดของประเทศ รวมของไว้เยอะที่สุด ถ้าคุณเข้ามาจะเจอแต่สินค้าฟุตบอลตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย สมัยก่อนคือผมจะมีสนามหญ้าเทียม มีโกลฟุตบอล ให้ลูกค้าได้ทดสอบรองเท้าเลยนะ ช่วงนั้นคือเราบ้ามาก ตั้งใจให้ลูกค้าเข้ามาและเห็นว่าเราเป็นคนขายสินค้าฟุตบอลที่เข้าใจและรักฟุตบอลมากจริงๆ 

คุณมีหลักเกณฑ์พิจารณายังไงในการตัดสินใจจะขยายมาสู่สาขาตรงนี้ ซึ่งเป็นการต่อยอดทางธุรกิจที่ต้องลงทุนค่อนข้างมาก 

ตอนนั้นเราพิจารณาจากกระแสตอบรับกับร้านที่ชื่อ Ari จำได้ว่าในโซเชียลฯ นี่กระแสแรงมาก ในอินสตาแกรมเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่เอารองเท้ามาถ่ายในสตูจัดไฟสวยๆ จนคนสนใจอยากได้ อยากเข้ามาลองสินค้า

แล้วอีกอย่างคือเราได้สถานที่ตรงสยามเซ็นเตอร์ ใจกลางเมืองพอดี ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีของ Ari แต่ก็ยอมรับว่าวัดดวงนะ ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นว่าจะออกมาดีร้อยเปอร์เซ็นต์ 

แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด ทุกวันนี้คือถ้าใครหาอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลไม่ได้ก็ให้มา flagship store ของ Ari ก่อน

ถูกต้อง เราต้องการจะเป็น Your Football Specialist เป็นกูรูเรื่องฟุตบอลส่วนตัวให้กับคุณ ถ้าคุณคิดถึงเรื่องฟุตบอล คุณต้องคิดถึงเรา

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ช่วงปี 2009 ที่คุณเริ่มก่อตั้ง Ari หลังจากนั้นปีต่อมาคือการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2010 ตอนนั้น Ari มีแผนทางธุรกิจยังไงบ้าง

ในปี 2010 วันนั้นเรายังมีร้านแค่สาขาทองหล่อ ซึ่งถ้าให้พูดถึงกระแสฟุตบอลโลกวันนั้น เอาเข้าจริงยังไม่มีใครใส่เสื้อบอลตัวละ 2,700 บาทเลยนะ คนยังไม่เข้าใจว่าทำไมเสื้อฟุตบอลจึงต้องแพงขนาดนี้ เรายังเปลี่ยนความคิดคนไม่ได้ จึงคุยกันว่าถ้าเรานำเข้ามาในวันนั้นน่าจะยังไม่ถึงเวลา ฟุตบอลโลกในปีนั้นจึงเป็นปีที่ Ari ยังไม่มีการขยับตัวใดๆ

ยากไหมกับการทำให้คนไทยเข้าใจการใส่เสื้อฟุตบอลแท้

เหนื่อยมาก ในช่วงแรกที่ผมเริ่มนำเสื้อฟุตบอลเข้ามาขาย เราก็ไม่ได้จัดเต็มขนาดนี้ ทีมในพรีเมียร์ลีกเรายังมีเสื้อฟุตบอลไม่ครบทุกทีมเลย ตอนนั้นเราไม่กล้าลงทุน เพราะยังเปลี่ยนความคิดคนไทยไม่ได้

แต่หลังจากนั้นเราก็ใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ พยายามอธิบายว่าข้อดีของการซื้อเสื้อฟุตบอลแท้เป็นยังไง การที่คุณเชียร์สโมสรแต่คุณไม่สนับสนุนสโมสรโดยการไปซื้อเสื้อฟุตบอลปลอม มันเป็นการทำร้ายสโมสรที่คุณรักยังไงบ้าง 

อีกอย่างคือเราพยายามนำเสนอว่า เสื้อฟุตบอลจริงๆ แล้วสามารถแต่งตัวเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นได้ จากที่แต่ก่อน เราใส่กันเพื่อเล่นฟุตบอลกับใส่นอนเท่านั้น แต่ปัจจุบันการออกแบบของแบรนด์ต่างๆ ก็พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการใส่เสื้อฟุตบอล (jersey culture) ใส่ไปเที่ยวห้าง ใส่ไปเที่ยวกลางคืน ซึ่งเราใช้เวลานานมากกับเรื่องนี้ กว่าผู้คนจะเข้าใจและกลายเป็นกระแสก็ใช้เวลาพอสมควร

เวลาคนสงสัยว่า ทำไมต้องซื้อเสื้อฟุตบอลแท้ราคาหลายพันบาท แทนที่จะซื้อเสื้อฟุตบอลปลอมในราคาหลักร้อยบาท คุณบอกเขาว่าอะไร

สมมติเขาเป็นแฟนฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เราจะถามก่อนเลย คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงใช่ไหม รู้ไหมว่าคุณกำลังทำร้ายสโมรสรอยู่นะ ถ้าอยากช่วยสนับสนุนมาซื้อเสื้อฟุตบอลแท้ดีกว่า มันแตกต่างกันแน่นอนทั้งคุณภาพและการใช้งาน แล้วก็จะคำนวณให้ดูต่อปีเลยว่า ซื้อเสื้อฟุตบอลปีละครั้งมันตกวันละกี่บาท ซึ่งคุณใส่ได้ยาวๆ ตลอดทั้งปีแน่ๆ ต่างจากเสื้อฟุตบอลปลอมที่จะพังได้ง่ายกว่า

นอกจากเรื่องนี้ที่ผ่านมา Ari เราพยายามนำเสนอว่าการใส่เสื้อฟุตบอลแท้มันเท่จริงๆ เราทำการตลาดโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์มาใส่เสื้อฟุตบอลแท้หลากหลายแบบ ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมการใส่เสื้อฟุตบอลมากขึ้นไปอีก 

แล้วในช่วงการแข่งขันบอลโลกปี 2014 ตอนนั้น Ari เป็นยังไง เสื้อฟุตบอลทีมชาติต่างๆ เริ่มเข้ามาเป็นจุดขายหรือยัง

ผมจำได้ว่าช่วงนั้นไม่ว่าจะแบรนด์ Adidas, Nike หรือเจ้าอื่นๆ เขาจะมีคอลเลกชั่นฟุตบอลโลก ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเราก็นำเข้ามาและได้รับการตอบรับที่ดีมาก เรากลับไปจัดอีเวนต์เล็กๆ ที่ทองหล่อ ผู้คนก็ให้ความสนใจเข้ามาซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก จำได้ว่าปีนั้นเสื้อทีมชาติไนจีเรียขายดีมาก เพราะด้วยแฟชั่น ลวดลาย และเรื่องราวของทีมชาติเขามันโดดเด่นจริงๆ นอกจากนี้ก็มีเสื้อทีมชาติญี่ปุ่นที่จะขายดี เพราะเป็นประเทศจากทวีปเอเชียด้วยกันเอง ส่วนอังกฤษนี้ไม่ต้องพูดถึง ยังไงก็ขายดีอยู่แล้ว เพราะเป็นทีมชาติยอดนิยมของแฟนฟุตบอลชาวไทย

แล้วช่วงนั้นคือเราเริ่มมีการนำเข้าเครื่องปักชื่อบนรองเท้าเข้ามาที่ร้าน ดังนั้นช่วงฟุตบอลโลก 2014 ใครที่มาซื้อรองเท้ากับเรา ก็จะได้ปักชื่อตัวเองลงบนรองเท้าเลย ไม่ต้องมาสกรีนชื่อแล้วกังวลว่ามันจะหลุดหรือเปล่า อันนี้คือปักลงไปเลย อยู่กับเราไปถาวร

อยากรู้ว่าแนวคิดการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ Ari Gear เกิดขึ้นมาได้ยังไง

จริงๆ Ari Gear เริ่มต้นจากเสื้อยืดที่เขียนแค่คำว่า Ari แค่นั้นเลย ไม่ได้คิดว่าจะทำขายหรือสร้างแบรนด์ขึ้นมา แค่จะทำให้พนักงานในร้านใส่กันเอง

แต่ช่วงปี 2014 เราเป็นพาร์ตเนอร์และมีโอกาสได้ทำเสื้อร่วมกับสโมสรทรูแบงค็อกยูไนเต็ด เป็นครั้งแรกที่เราได้ทำเสื้อให้กับสโมสรระดับไทยลีก ก็เลยมองเห็นโอกาสกันว่าในเมื่อเรามีความสามารถในการผลิตสินค้าเองได้ ทำไมจึงไม่ทำแบรนด์สินค้าขึ้นมา

ในวันนั้นเสื้อฟุตบอลของ Ari Gear มีความแตกต่างจากเสื้อผ้าอื่นๆ ยังไง

แหวกมาก อย่างดีไซน์เสื้อฟุตบอลสำหรับสโมสรทรูแบงค็อกยูไนเต็ด วันนั้นเราก็เป็นรายแรกๆ ที่ทำเสื้อฟุตบอลที่เบาที่สุด เป็นเสื้อรัดกล้ามเนื้อ ทรง Slim Fit ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครเข้าใจเลย ขายแฟนบอลไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเขาบอกว่าใส่แล้วอึดอัด (หัวเราะ)

แต่นั่นก็เป็นตัวอย่างที่เราอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ใส่ความสนใจ ความบ้าคลั่งของเราลงไปในสินค้าของ Ari Gear ซึ่งต่อมาสินค้าอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นด้วยคอนเซปต์อะไรประมาณนี้อยู่ตลอด  

ทำไม Ari ถึงมุ่งมั่นจะเป็นพาร์ตเนอร์กับสโมสรฟุตบอลไทยลีก และทำยังไงถึงทำให้สโมสรฟุตบอลเขาเชื่อใจในแบรนด์ Ari Gear

คือช่วงนั้นฟุตบอลไทยอยู่ในช่วงบูมมากๆ เป็นปีที่เรามีนักเตะอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, ชาริล ชัปปุยส์ และสารัช อยู่เย็น เราเองจึงเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ที่จะสนับสนุนและร่วมผลักดันฟุตบอลไทย เลยเข้าไปคุยกับทาง ทรูแบงค็อกยูไนเต็ด นำเสนอเขาไปว่าเราจะ personalize สร้างสตอรี่ให้เขายังไงบ้าง 

ซึ่งเคล็ดลับที่ทำให้เขามั่นใจและตกลงทำเสื้อร่วมกับ Ari Gear ผมมองว่าเป็นเพราะเราทำให้เขาเห็นภาพได้ว่า เราจะนำเสนอความเป็นตัวเขาออกมายังไงผ่านเสื้อฟุตบอลตัวหนึ่ง รูปแบบการตัดเย็บ ลวดลายที่ใช้ ทุกอย่างมีความหมาย มีเรื่องราวที่สอดคล้องกับคอนเซปต์ที่เขาต้องการทั้งหมด

อีกอย่างทำเรื่องการตลาดให้มันแตกต่างด้วย ถ้าจำกันได้ ช่วงที่เราเปิดตัวเสื้อสโมสรทรูแบงค็อกยูไนเต็ด แล้วเรานำน้าค่อม ชวนชื่น (อาคม ปรีดากุล) กับต้า (ลิขิต สิทธิพันธุ์) และยัตห่า (กิตติศักดิ์ เวชประสาร ) จากยูทูบช่อง FEDFE มาแสดงในคลิปเปิดตัว ก็สร้างความฮือฮากลายเป็นกระแสจนเขาไว้วางใจว่าเราฝีมือถึงจะทำเสื้อให้เขาในปีต่อๆ มาได้

ในวันนี้ Ari Gear มีสินค้าอะไรบ้าง

ตอนนี้ก็มีเสื้อยืด เสื้อโปโล แจ็กเกต กางเกง ถุงเท้า รองเท้าแตะ ผ้าล็อกข้อเท้า สิ่งที่นักฟุตบอลควรต้องมี ผมว่าตอนนี้ Ari Gear มีหมด 

นอกจากนี้ Ari ยังมีแบรนด์อื่นๆ อย่าง Ari Running และ Ari Barber ตามมาหลังจากนั้น โมเดลธุรกิจตรงนี้ความตั้งใจเป็นยังไง

สำหรับ Ari Running ต้องย้อนกลับไปช่วงปี 2015 ที่การวิ่งและรองเท้าวิ่งเป็นกระแส คนไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในทีมผู้บริหารเราก็มีคนชื่นชอบการวิ่งด้วยเช่นกัน และเราก็ทำธุรกิจฟุตบอลประสบความสำเร็จมาประมาณหนึ่ง ก็เลยคิดกันว่าน่าจะเจาะตลาดธุรกิจวงการวิ่งได้ จึงตัดสินใจลองแตกไลน์ธุรกิจเพื่อขยายฐานลูกค้าดู ก็สร้างยูนิตใหม่ รับคนเข้ามาดูแลส่วนนี้โดยเฉพาะ

แต่พูดตามตรงเลยว่ายากมาก และไม่ได้คิดว่าจะยากขนาดนี้ด้วย

อันดับแรกเลยคือคนที่รักฟุตบอลอย่างพวกเรา เอาจริงไม่ใช่ทุกคนที่จะวิ่ง อย่างผมเองก็แทบจะไม่ได้วิ่งเลย อีกอย่างคือคนวิ่งเขาไม่ได้เปลี่ยนรองเท้าวิ่งบ่อยเท้ากับรองเท้าฟุตบอลในตอนนั้น คนเขาซื้อไว้วิ่งจริงๆ เก่าแล้วก็ยังใช้อยู่ถ้าไม่พัง ไม่เหมือนกับรองเท้าฟุตบอลที่ออกสีใหม่ คอลเลกชั่นใหม่ ก็จะอยากซื้อเก็บกันแล้ว สุดท้ายคือฐานลูกค้าควบคุมยากมากเพราะนักวิ่งมีทุกเพศทุกวัยเลย ใครก็วิ่งกันหมด ไม่เหมือนฟุตบอลที่พอจะกำหนดฐานลูกค้าได้อยู่ 

แต่เราก็สู้นะครับ ใช้คอนเซปต์เดิม พยายามสร้าง products with personality รวมไปถึงเป็นจุดรวมทุกสิ่งเกี่ยวกับการวิ่ง หากคุณคิดอะไรไม่ออกก็เข้ามาหาที่ Ari Running ได้

ส่วน Ari Barber เป็นคำตอบที่ถูกต่อยอดขึ้นมาจากโจทย์ ร้านฟุตบอลตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะตอนนั้นเรามีทุกอย่างแล้วขาดแค่หัวอย่างเดียว ก็เลยมองว่าตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสในการทำธุรกิจได้

เพราะนักกีฬาฟุตบอลจริงๆ เขาเลือกอยู่ได้ไม่กี่อย่างหรอก เสื้อผ้าก็ต้องใส่ของสโมสร รองเท้าบางทีถ้ามีสปอนเซอร์ก็เลือกไม่ได้อีก ก็เหลือแค่รอยสักกับทรงผมเองที่พอจะตัดสินใจได้ ดังนั้นเราเลยพยายามนำเสนอว่า ถ้าคุณอยากตัดผมเหมือนนักฟุตบอลที่คุณชื่นชอบ อยากตัดผมเหมือน ชาริล ชัปปุยส์ อยากตัดผมเหมือนคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็มา Ari Barber ใช้ทรงผมของนักฟุตบอลที่เขาชื่นชอบเป็นต้นแบบและการตลาดในการดึงดูดลูกค้า 

ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่น่าสนใจนะ เพราะฐานลูกค้าของ Ari Barber จะอายุอยู่ที่ 13-18 ปีเท่านั้นเอง แต่ก็มีผู้ใหญ่เข้ามาบ้าง เพราะจริงๆ ทรงผมทั่วไปเราก็ตัดได้ ไม่จำเป็นต้องตัดตามนักฟุตบอลเพียงเท่านั้น 

มาถึงฟุตบอลโลกปี 2018 ตอนนั้น Ari ขยับตัวรับกระแสที่ค่อนข้างฟีเวอร์ยังไงบ้าง จำได้ไหม 

ปีนั้นดีมาก ผมใช้คำว่าดีจริงๆ จำได้ว่าเรามีเสื้อฟุตบอลไม่พอขาย บางทีมหมดตั้งแต่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายยังไม่เริ่มเตะเลย เพราะไม่คิดว่าคนจะสนใจฟุตบอลขนาดนี้ 

แต่กลายเป็นว่ากระแสฟุตบอลมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกสิ่งที่เราพยายามนำเสนอมันเริ่มออกดอกผล คนเริ่มเข้าใจการใส่เสื้อฟุตบอลแท้ และวัฒนธรรมการสวมใส่เป็นแฟชั่น คือถ้าเทียบกับฟุตบอลโลกปี 2010 และ 2014 กราฟมันพุ่งดิ่งขึ้นมาเลย ซึ่งเสื้อที่ขายดีก็ยังคงเป็นทีมเดิมๆ เช่นญี่ปุ่น อังกฤษ บราซิล เยอรมัน และ ฝรั่งเศส  

แล้วปีนั้นทาง Ari ก็มีการจัดพื้นที่ร่วมกับทาง Adidas ตั้งจอขนาด 100 นิ้ว ทำเป็นอีเว้นต์ให้คนเข้ามานั่งดูฟุตบอลโลกกันที่หน้าร้านเลย ก็เป็นภาพและบรรยากาศที่น่าประทับใจเหมือนกันในปีนั้น 

แล้วสำหรับฟุตบอลโลกปี 2022 ครั้งนี้มีโปรเจกต์อะไรใหม่ๆ บ้าง 

ความจริงเราตั้งใจจะตั้งจอฉายการแข่งขันฟุตบอลโลกให้คนได้ดูเหมือนเดิม แต่ด้วยเวลาและงบประมาณที่ไม่เพียงพอ เราจึงไปเน้นที่การนำเสื้อทีมชาติที่เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกมาจำหน่ายให้มากที่สุด ปีนี้เรามีเสื้อทีมชาติกว่า 20 ทีม มียันประเทศกาน่า จะมีเพียงแค่บางประเทศที่เขาไม่ได้ขายให้เรามากกว่า 

มองว่าอะไรที่เป็นเรื่องท้าทายในการทำธุรกิจรองเท้าและเสื้อผ้าฟุตบอลมากที่สุด

สำหรับผมคือการคาดเดาทิศทาง และกระแสของวงการฟุตบอล

ผมยกตัวอย่างกรณีที่ ลีโอเนล เมสซี่ ย้ายไปสโมสรปารีส แซงต์-แชร์กแมง คือเวลาสั่งเสื้อฟุตบอลมาจำหน่ายที่ประเทศไทย เราต้องสั่งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 6 เดือน ดังนั้นในวันที่เมสซี่ตัดสินใจย้ายสโมสร คนก็แห่กันเข้ามาซื้อเสื้อปารีส แซงต์-แชร์กแมง และต้องการสกรีนชื่อเป็นจำนวนมาก แต่พอเราไม่ได้ตุนเสื้อปารีส แซงต์-แชร์กแมง เอาไว้มากพอ ก็กลายเป็นเราเสียโอกาสตรงนี้ไป

กลับกันเสื้อบาร์เซโลนาสโมสรเก่าของเมสซี่ที่เราสั่งมาก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็นสินค้าตกรุ่น ขายไม่ได้ ต้องเอามาลดราคาภายหลัง อันนี้เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการทำธุรกิจฟุตบอลอย่างหนึ่งที่ต้องแบกรับ 

อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องปรับตัวให้ทันตลอด อ่านให้ขาดว่าทิศทางของวงการกีฬากำลังไปทางไหน อย่างทุกวันนี้ Ari ก็เริ่มเดินทางภายใต้สโลแกนใหม่อย่าง Football for All คือเป็นฟุตบอลของคนทุกเพศ ทุกวัน เพราะทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่าฟุตบอลเป็นกีฬามหาชนจริงๆ ผู้หญิงก็เล่นฟุตบอลได้ ใส่เสื้อฟุตบอลเป็นแฟชั่นได้ เราก็พยายามนำเสนอจุดนี้ มีการใช้อินฟลูเลนเซอร์ที่เป็นผู้หญิง มีการจัดตั้งทีมฟุตบอลหญิงของ Ari เพื่อช่วยโปรโมทสินค้า ขึ้นมาเป็นต้น

แล้วการทำแบรนด์ส่วนตัวอย่าง Ari Gear มีความท้าทายอย่างไรบ้าง

อันดับแรกเลยคือ มีราคาที่จับต้องได้ คุณภาพของสินค้าดี หลังจากนั้นคือเรื่องของการทำการตลาด การเลือกอินฟลูเลนเซอร์ที่เข้ากับสินค้า จัดแคมเปญหรือการร่วมงาน (Collaboration) ที่เหมาะสม ยกตัวอย่างที่เราเคยร่วมงานกับ Masked Rider เพื่อออกแบบเสื้อผ้าในคอลเลกชัน The Masked Rider X Ari Collection ก็เป็นหลักฐานหนึ่งของการพยายามผลักกรอบเดิมๆ ของเสื้อผ้ากีฬาให้มันกว้างมากขึ้น 

มีบ้างไหมโปรเจกต์ที่พยายามออกนอกกรอบ แต่สุดท้ายกลับไม่ประสบความสำเร็จ 

โปรเจกต์ The Masked Rider X Ari Collection สำหรับผมก็มองว่าสอบตก ไม่ได้รับการตอบรับตามที่คาดการณ์ ซึ่งเราก็ยอมรับและพยายามปรับปรุง เก็บฟีดแบ็คมาเป็นบทเรียนพัฒนาต่อในครั้งต่อไป ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ยังคงสนุกกับการได้นำแพชชั่นของตัวมาทำอะไรใหม่ๆ อยู่

มีเหตุการณ์ไหนไหมที่ทำให้คุณรู้สึกว่า Ari ที่ดำเนินกิจการมาตลอด 13 ปีมันประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ

ผมยกตัวอย่างช่วงโควิด-19 แล้วกัน ตอนนั้นคือเราเพิ่งขยายสาขากันไปเอง แล้วก็ไม่ได้คิดเลยว่าสถานการณ์จะหนักขนาดนััน แต่เราก็รอดมาได้เพราะทั้งตัวเราและลูกค้ายังคงเชื่อมั่นและไว้ใจใน Ari อยู่ 

ในวันนั้นเราเปิด Session chat&Shop มาไลฟ์สดขายของแก้ปัญหาที่ไม่สามารถเปิดหน้าร้านได้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ที้งที่ในตอนนั้นลูกค้าซื้อเสื้อผ้าหรือรองเท้าฟุตบอลของเรา เขาก็ไม่สามารถใส่ไปที่ไหนได้ เพราะเมืองมันล็อกดาวน์อยู่ทั้งหมด แต่เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือ พร้อมสนับสนุนพวกเราอยู่ตลอด

ซึ่งผมมองว่าสิ่งนี้มันเป็นผลลัพธ์จากการที่เรา จริงใจกับลูกค้าของ Ari มาตลอดใน 13 ปีที่ผ่านมา 

สุดท้ายมองว่าเคล็ดลับสำคัญในการทำธุรกิจกีฬาฟุตบอลคืออะไร 

ผมก็ยังจะพูดคำเดิมว่าคือแพชชั่น มันคือทุกสิ่งเลย มันต้องถูกแสดงออกผ่านตัวเรา ลูกค้า หน้าร้าน ในโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างเลย แล้วคนรักฟุตบอลเขาจะเชื่อและรับฟังเรา และเมื่อเรามีลูกค้าแล้วสิ่งสำคัญคือต้องสร้าง Brand Loyalty ให้กับลูกค้า จะทำอย่างไร คุยกับเขาแบบไหน ให้รู้สึกว่า Ari เป็นร้านที่เขาจะเดินเข้ามาทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องฟุตบอล 

สุดท้ายอย่าหยุดนิ่ง ต้องเป็นปลาเร็ว เคลื่อนไหวเร็ว ตรงไหนเป็นโอกาสต้องรีบคว้า เป็นคนแรกที่ทำก่อน จะไม่เป็นปลาใหญ่ที่ค่อยๆ ขยับตัว ถ้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่เป็นไร เรียนรู้ ปรับตัว และลองหาทุกความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจอยู่เสมอ

35 ปี ‘บาร์บีคิว พลาซ่า’ และ 35 เรื่องน่ารู้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และการทำให้ธุรกิจเติบโตในปีถัดไป

“35 ปี ถ้าเปรียบเป็นคน นี่ก็คงเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผ่านวิกฤตต่างๆ มามากมาย” 

ชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์อย่างบาร์บีคิว พลาซ่า เรดซัน และฌานา กล่าวประโยคนี้กับสื่อมวลชนในงานแถลงข่าวครั้งล่าสุด

โดยนี่ถือเป็นการแถลงข่าวครั้งใหญ่ของบริษัท เพราะนอกจากจะเป็นการออกมาพบปะสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของชาตยาครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปีนับตั้งแต่มีโควิดมา เธอยังพาทีมผู้บริหารทั้งที่เป็น COO, CMO, CFO มาร่วมล้อมวงเพื่อพูดคุยเรื่องภาพรวมของธุรกิจฟู้ดแพชชั่นในปัจจุบันและแผนการเติบโตในขวบปีถัดไป

และต่อไปนี้คือ 35 เรื่องน่าสนใจที่สรุปจากสิ่งที่ชาตยาบอกเล่าในงานแถลงข่าวครั้งนี้ 

1. ก่อนจะเล่าถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ชาตยาเล่าเรื่องของอดีตและปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในธุรกิจให้ฟังว่า “ในปี 2565 ที่ผ่านมาถือว่าฟู้ดแพชชั่นได้ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดอย่างโควิดมาแล้ว”

2.โดย 3 ไตรมาสที่ผ่านมาฟู้ดแพชชั่นสามารถทำรายได้ไปได้ 2,700 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตจากปี 2564 มากถึง 60% ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนที่จะเกิดโควิด 

3. รายได้จำนวน 2,700 ล้านบาทนี้มาจาก บาร์บีคิว พลาซ่า 2,606 ล้านบาท ฌานา 9 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ อีก 85 ล้านบาท (เช่นธุรกิจร้านรูปแบบใหม่, ธุรกิจต่างประเทศ, ธุรกิจสินค้าสำเร็จรูป, ธุรกิจศูนย์การอบรมและศูนย์การเรียนรู้)

4. นอกจากการกลับมาใช้ชีวิตปกติของผู้คน อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้รายได้ของบาร์บีคิว พลาซ่าพลิกฟื้นกลับมาจนใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดคือการเอาเทคโนโลยีและดาต้ามาช่วยตัดสินใจในการวางกลยุทธ์ต่างๆ 

5. ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีทำให้บาร์บีคิว พลาซ่าสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าออกมาได้เป็น 11 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน ไล่เรียงตามระดับความรอยัลตี้ลดหลั่นกันลงไปได้แก่กลุ่มลูกค้าที่เป็น champion, loyal, potential loyalist, promising, need attention, new customer, about to sleep, at risk, cannot lost them, hibernating customer, lost customer เมื่อกลุ่มเป้าหมายชัด การทำกลยุทธ์ต่างๆ ก็ย่อมชัดเจนและแม่นยำมากขึ้นไปด้วย 

6. เทคโนโลยียังทำให้ในปีที่ผ่านมา บาร์บีคิว พลาซ่าสามารถออกโปรโมชั่นได้มากกว่า 50 โปรโมชั่น ซึ่งแต่ละโปรโมชั่นจะมีไดนามิก คือออกในช่วงสั้นๆ 7 วัน 14 วัน และ 30 วัน 

7. เมื่อโปรโมชั่นมีไดนามิก นั่นหมายความว่าทันทีที่รัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ของโควิด ก็ทำให้บาร์บีคิว พลาซ่าสามารถกลับมาทำมาร์เก็ตติ้งกระตุ้นการขายได้อย่างทันท่วงที คว้าโอกาสในการอยากกลับมานั่งกินที่ร้านของผู้คนเอาไว้ทัน 

8. มาถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้ในไทยมีบาร์บีคิว พลาซ่าอยู่ 148 สาขา เรดซัน 15 สาขา GON Express 8 สาขา และฌานาอีก 1 สาขา 

9. โดยบาร์บีคิว พลาซ่ามีจำนวนสมาชิกมากถึง 1,915,376 ราย 

10. นอกจากในไทยแล้ว บาร์บีคิว พลาซ่าก็ยังมีร้านอยู่ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา ด้วยเช่นกัน 

11. การไปเปิดสาขาที่ต่างประเทศนั้นจะเน้นการทำ localize ทำให้แบรนด์สามารถเข้ากับคนในประเทศต่างๆ ได้ เช่นการนำเอาเมนูท้องถิ่นของแต่ละประเทศมาอยู่ในบาร์บีคิว พลาซ่า 

12. ในปีหน้าเป็นครั้งแรกที่บาร์บีคิว พลาซ่าจะไปเปิดที่ลาว ซึ่งจะเป็นร้านแบบสแตนด์อโลนขนาดใหญ่

13. การเปิดสาขาในต่างประเทศ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาของปี 2565 ฟู้ดแพชชั่นมีรายได้จากธุรกิจต่างประเทศราว 425 ล้านบาท 

14. นอกจากนี้ก็ยังมีแผนขยายสาขาไปยังฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนามด้วยเช่นกัน

15. ส่วนในอนาคต–เริ่มที่อนาคตอันใกล้กันก่อน ฟู้ดแพชชั่นตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรายได้รวมทั้งหมด 3,500 ล้านบาท

16. คาดว่ารายได้จะขยับขึ้นเป็น 3,800 ล้านบาทในปี 2023

17. ส่วนในปี 2025 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า รายได้ของฟู้ดแพชชั่นก็จะขยับมาเป็น 4,500 บาท 

18. การจะไปถึง 4,500 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า จำเป็นต้องขยายช่องทางในการหารายได้ ตั้งแต่การปรับปรุงร้านเดิม ขยายสาขาใหม่ และขยายโอกาสที่ทำให้ลูกค้ามาเจอกับแบรนด์ได้บ่อยมากขึ้น แม้จะไม่ได้ไปนั่งปิ้งกินที่ร้านก็ตาม 

19. นี่เลยเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฟู้ดแพชชั่นขยายแบรนด์ออกมาทำแบรนด์ GON EXPRESS และออกมาทำน้ำจิ้มที่อยู่ในรูปแบบขวดออกมาขายเป็นครั้งแรก ซึ่งจะเริ่มขายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันแรกบน Lazada 

20. จากการชิมลางทดลองขายน้ำจิ้มตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ น้ำจิ้มบาร์บีคิว พลาซ่าสามารถสร้างรายได้ไปได้ทั้งหมด 11.2 ล้านบาท 

21. คาดว่าการเอาน้ำจิ้มมาบรรจุขวดขายจะสามารถทำให้รายได้ที่มาจากน้ำจิ้มเพิ่มขึ้นมาเป็น 12-15 ล้านบาทในสิ้นปีนี้

22. ส่วนในแง่ของสาขาหน้าร้านก็จะมีการเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในร้านมากขึ้น ทั้งการเพิ่มพนักงานที่เป็นหุ่นยนต์เข้ามาช่วยเสิร์ฟภายในร้าน หรือการทดลองเปิดร้านที่เป็นดิจิทัลสโตร์สาขาแรกที่สีลม คอมเพล็กซ์ 

23. บาร์บีคิว พลาซ่าตั้งเป้าว่าจะเปิดสาขาที่เป็นดิจิทัลสโตร์ให้มีจำนวนทั้งหมด 40 สาขาภายในปี 2566 

24. ความต่างของดิจิทัลสโตร์กับสาขาแบบดั้งเดิมที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป คือจะมีการเอาความเป็นดิจิทัลมาใช้ตั้งแต่ลูกค้ายังไม่ก้าวเข้ามาในร้าน เริ่มตั้งแต่การจองคิว ดูเมนู สั่งอาหาร จ่ายเงิน ซึ่งทุกอย่างจะทำบนช่องทางดิจิทัลทั้งหมด 

25. นอกจากจะเป็นการปรับธุรกิจให้เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป การเอาดิจิทัลเข้ามาใช้ก็ยังช่วยทำให้การจัดการในธุรกิจง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเงินสด ที่ต้องอาศัยต้นทุนในการจัดการเป็นอย่างมาก ทั้งคนที่ต้องมานับเงิน คนที่ต้องเอาเงินไปเข้าธนาคาร ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของบาร์บีคิว พลาซ่า ก็พบว่าแต่ละสาขาต้องเสียกำลังคน 50 ชั่วโมง / เดือน ไปกับการจัดการเรื่องเงินสดเพียงอย่างเดียว

26. ในแง่ของดิจิทัลก็ยังมีการพัฒนา LINE OA เป็นของตัวเองที่ให้ลูกค้าสั่งบาร์บีคิว พลาซ่าบนไลน์ได้ แบบไม่ต้องโหลดแอพฯ เข้ามาเพิ่มในมือถือ

27. ความพิเศษของช่องทางไลน์คือ มีบริการให้ยืมเตา ปิ้งเสร็จก็ไม่ต้องล้าง เพียงใส่ถุงวางไว้หน้าบ้าน เดี๋ยวมีพนักงานมาเก็บกลับไปให้ ซึ่งถ้าสั่งทาง Grab, LineMan หรือแอพฯ สั่งอาหารอื่นๆ จะไม่มีบริการให้ยืมเตา

28. นอกจากแบรนด์ที่เป็นเรือธงอย่างบาร์บีคิว พลาซ่าแล้วนั้น ‘เรดซัน’ แบรนด์ร้านอาหารสไตล์เกาหลีก็มีมูฟเมนต์ในการปรับตัวที่น่าสนใจเช่นกัน โดยปีนี้เรดซันจะขยายโมเดลร้านในรูปแบบใหม่ เป็นป๊อปอัพสโตร์ที่มีสไตล์เป็นเหมือนร้านอาหารเต็นท์แบบในเกาหลี และจะทดลองเปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ ในวันที่ 16 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ 

29. ไม่เพียงแค่ธุรกิจอาหาร แต่ฟู้ดแพชชั่นยังทำศูนย์การอบรมและศูนย์การเรียนรู้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันมีนักเรียนอยู่ 310 คน 

30. ทั้งยังมีศูนย์ฝึกอบรมฟู้ดแพชชั่น เปิดสอนหลักสูตรการสุขภิบาลอาหาร สำหรับคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมาตั้งแต่ปี 2564 โดยจากตัวเลขในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้แล้วกว่า 10,000 คน 

31. ในพาร์ตธุรกิจการศึกษา ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าภายในปี 2025 จะมีนักเรียนในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพเป็นจำนวน 1,000 คน และจำนวนผู้เข้ามาในศูนย์ฝึกอบรมฟู้ดแพชชั่นเป็นจำนวน 25,000 คน

32. ไม่เพียงแต่เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ หรือเพื่อพัฒนาคนในองค์กรเท่านั้น แต่การเปิดหลักสูตรหรือศูนย์อบรมนี้ ก็เป็นส่วนสำคัญในการทำให้อุตสาหกรรมมีบุคคลากรเก่งๆ มากขึ้น และย่อมส่งผลให้อุตสาหกรรมร้านอาหารเติบโตขึ้นไปด้วย 

33. นอกจากธุรกิจ คน ‘สิ่งแวดล้อม’ ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ชาตยาหยิบยกมาเล่าในครั้งนี้ โดยเธอได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าฟู้ดแพชชั่นจะเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 

34. และตั้งเป้าไว้อีกว่าภายในปี 2050 ฟู้ดแพชชั่นจะเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือหมายถึง Net Zero ที่หลายๆ องค์กรทั่วโลกกำลังพูดถึงนั่นเอง

35. อย่างที่เล่าไปในตอนต้น ชาตยาบอกว่า “35 ปี ถ้าเปรียบเป็นคน นี่ก็คงเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผ่านวิกฤตต่างๆ มามากมาย”