ชวน Joytoys ผู้นำเข้าแบรนด์ Jellycat และอื่นๆ หยิบ 9 สิ่งที่เป็นที่สุดใส่ตระกร้า

Joytoys

Joytoys add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Joytoys

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

นักวิ่งมาราธอน คนรักกาแฟ ผู้บริหารและพิธีกร หมวก 3 ใบของ ซุป–วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ

วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ

วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

Take Me (away from) Home, Country Roads แพลนการเงินยังไงเมื่อคิดย้ายไปต่างประเทศ

ต่างประเทศ นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

ต่างประเทศ WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

‘เพราะชีวิตคือการเก็บเลเวล’ เบื้องหลังโฆษณาเกม Tree of Savior โดยคนไม่อินที่หาอินไซต์จนเจอ

บางทีอินไซต์มันก็คล้ายๆ ความรักนะครับ

ไม่ได้จะมาชวนพูดอะไรที่ละมุนอุ่นรัก แค่จะบอกว่ามันกว้างใหญ่ และมีมุมให้เล่นมากมายจนไม่สามารถมาเขียนเป็นสูตรตายตัวได้ ถ้าใช่มันก็ใช่ในทันที อาจจะซ้ำก็ได้ แต่ถ้าความลึกไม่เท่ากัน มันก็ไม่เหมือนกันแล้ว หรือเผลอๆ หลายๆ เรื่องก็ใช้อินไซต์ชุดเดียวกัน แต่เล่าในคนละท่าที ก็ยังได้อีก

และบางครั้งอินไซต์ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอินไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายมีต่อสินค้าก็ได้ คือไม่เกี่ยวเลยก็ได้ แต่เราก็สามารถหยิบมันมาผูกรวมกัน ให้อินไซต์นั้นมันเป็นสะพานเชื่อมเข้ากับจุดขาย หรือโจทย์ได้

แล้วเราก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า สินค้าบางชนิดมันก็ไม่มีอินไซต์อะไรให้จับตรงๆ เลย นักโฆษณาต้องสร้างมันขึ้นมาเอง สร้างความสมเหตุสมผลขึ้นมาเอง จะว่าขี้ตู่หรือซุยก็ได้นะ 5555 แต่ถ้ามันเมคเซนส์เมื่อไหร่อินไซต์นั้นก็จะใหม่ทันทีเลยนะ

ในฐานะนักโฆษณาเราปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งมันก็มีโจทย์ที่เราไม่อินเข้ามาให้ทำ และถ้าเราเป็นนักโฆษณาที่หิวตลอดเวลา บางทีเราก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมทำ เหมือนครั้งหนึ่งที่ได้โจทย์จากเกมออนไลน์ชื่อ Tree of Savior

Tree of Savior เป็นเกมออนไลน์แนว MMORPG (massively multiplayer online role-playing game) ที่ให้เลือกอาชีพแล้วเข้าไปอยู่ในเกม สู้มอนสเตอร์อัพเลเวลแล้วเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ​

โดยโจทย์ของงานนี้คือ ต้องโปรโมตเกมนี้ ผ่านตัวละครที่ชื่อว่า Popolion ที่เขาพยายามจะปั้นให้เป็นมาสคอตของเกม เจ้า Popolion มีหน้าตาเหมือนสิงโต โดยที่แผงคอมันคือโดนัทพอนเดอร์ริง

โดยระบุเงื่อนไขอยู่ในชิ้นงานว่าจะต้องใช้มาสคอตไอ้ตัว Popolion ในหนังด้วย

กล่าวโดยรวมคือ โจทย์งานนี้รวมทุกอย่างที่วิชัยไม่อินที่สุดไว้ด้วยกัน เกมออนไลน์ MMORPG (ไม่เล่น ไม่อิน) ตัวโปะโปะอะไรนะ? (โคตรไม่อิน) และตัวมาสคอตที่ต้องวิ่งไปมาในงาน (โคตรของโคตรไม่อิน)

ทำให้งานนี้แอบงอแงไม่อยากทำ เฉไฉงานยุ่ง งอแงให้ AE ไปเลื่อนคิวให้หน่อย ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ

จนได้รับคำขาดจาก AE ว่า ไม่ได้ค่ะพี่ พี่ต้องทำ ส่งงานอาทิตย์หน้านะคะ

มาคุยกันทีละเรื่อง, อย่างแรกเลย ตัวมาสคอต

มีช่วงนึงเมืองไทยเป็นประเทศที่บ้ามาสคอตมาก เพราะทุกคนต่างมองความสำเร็จของคุมะมงแล้วอยากเป็นแบบนั้น

โดยที่ลืมไปว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางมาสคอตต่ำมากกกก เราคือประเทศโลกที่ห้าของการทำมาสคอต ลองจินตนาการมาสคอตงานหนังสือดูครับ ตัวใหญ่ๆ แขนยาวๆ ตัวเป็นขนๆ ยืนโยกไปมา แล้วไม่ว่าคาแร็กเตอร์ที่คุณออกแบบจะมีลักษณะตัวป้อมน่ารักแค่ไหน พอมันเป็นมาสคอตปุ๊บ มันจะมีขางอกออกมาทันที แล้วเรื่องตลกที่สุด มาสคอตจะเดินไปไหนมาไหนต้องมีคนจูง เพราะคนข้างในมองไม่เห็นอะไรเลย! นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องความหนัก ความร้อน ข้างในอีกนะ และที่เล่าความลำบากทุลักทุเลมานั้น มาสคอตก็ยังเป็นสิ่งที่แพงมาก

เราจะเอาไอ้สิ่งที่ขนาดเดินยังต้องมีคนจูงมาออกกองไม่ได้ (โว้ย)

โอเค สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องคิดเรื่องที่ดีมาก จนลูกค้ายอมทิ้งไอเดียใช้ตัวมาสคอตให้จงได้

กลับมาที่คำถามต่อไป… คนเราจะเล่นเกมที่ไม่มีวันจบกันไปเพื่ออะไรวะ?

และนั่นคือจุดที่อันตรายที่สุดของการคิดงานนี้

ส่วนตัวผมเป็นคนเล่นบาสตั้งแต่มัธยม เรียกได้ว่าคลั่งไคล้ ก็เลยทำให้รู้สึกโมโหทุกครั้งเวลาเห็นหนังหรือโฆษณาอะไรก็ตามที่มีซีนเล่นบาสแล้วนักแสดงเล่นไม่เป็น เราจะรู้สึก eject ทันที 

ไม่ๆๆๆ มึงเล่นไม่เป็น มึงอย่ามาโม้ ใครเค้าชู้ตบาสแบบนั้นกัน ใครเค้าเลี้ยงบาสแบบนั้น มึงไม่จริงจัง

เราเลยรู้สึกว่า ถ้าเราทำโฆษณาเกม โดยที่เราไม่เข้าใจกระทั่งวัตถุประสงค์ของการเล่นเกมนี้ คนที่เล่นเกมนี้จริงๆ เค้าต้องโมโห เหมือนกับที่เราโมโหโฆษณาที่ใช้คนเล่นบาสไม่เป็นมาเล่นบาสแน่ๆ

เพราะงั้น อย่างแรกที่ต้องทำ คือหาแง่มุมที่เราอิน และสามารถสร้างสตอรี่ได้อย่างแนบเนียน ไม่เขิน

พอดีที่ช่วงที่ทำงานนี้ มีข่าวเกี่ยวกับคนเลียนแบบเกม ความรุนแรงในเกม และกระแสเกี่ยวกับเกมออนไลน์เป็นสิ่งไร้สาระ

(จริงๆ ทุกวันนี้ข่าวพวกนี้ก็ยังอยู่อะเนอะ)

ถ้าเราจะทำโฆษณาเกมออนไลน์ที่ตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ตลอดเวลาว่า ไร้สาระ

เราก็ต้องสร้างสาระและความหมายอะไรสักอย่างมาเป็นคีย์เมสเซจหลักของโฆษณาตัวนี้ โจทย์ของงานคือต้องโปรโมตตัว Popolion งั้นเจ้าสาระที่จะเป็นคีย์เมสเซจที่ว่าก็ต้องเริ่มจากเจ้าตัวนี้แหละ

Popolion คือมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในเกม

ธรรมชาติของคนที่เล่นเกมประเภทเก็บเลเวล (level หรือ ค่าประสบการณ์ ในเกมใช้คำว่า EXP ที่ย่อมาจากคำว่า experience ความเก่งของเกมแบบนี้ก็มาจากค่าประสบการณ์ เวลาที่เราชนะสัตว์ประหลาดที่เก่ง เราจะได้ค่า EXP เยอะ แล้วมันจะทำให้เราเลเวลสูงขึ้น เก่งขึ้น มีท่าไม้ตายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เล่นด่านได้มากขึ้น ฯลฯ)

เวลาเริ่มเล่นเกมที่เลเวลน้อยๆ คนเราจะเริ่มตีจากมอนสเตอร์ที่อ่อนแอเพื่อสะสมค่า EXP พอเลเวลเรามากขึ้น เราก็จะค่อยๆ ขยับไปตีมอนสเตอร์ที่พลังมากขึ้น เพื่อให้ได้ค่า EXP ที่มากขึ้นตามลำดับ

เวลาคนที่เล่นเกมประเภทนี้จนเลเวลสูงแล้ว จะไม่กลับมาตีมอนสเตอร์เล็กๆ อีก เพราะได้ค่า EXP ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องเสีย

พูดให้ถูกต้องกว่านั้น Popolion เป็นมอนสเตอร์ขั้นพื้นฐาน ที่ไม่ว่าผู้เล่นจะเก่งขนาดไหน ต่างก็ต้องเคยไล่ตีเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ทั้งนั้น และเมื่อผู้เล่นเลเวลสูงแล้ว ก็ไม่มีใครอยากมาเสียเวลากับ Popolion อีก

เมื่อเทียบสมการแล้ว Popolion เท่ากับพื้นฐาน พื้นฐานเท่ากับธรรมดา ไม่หวือหวาหรือน่าเบื่อ

จุดนี้ตั้งไว้ก่อน

เรากลับไปดูธรรมชาติของเกมแนว MMORPG ที่มันไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่มีวันจบ ตอนเริ่มสามารถเล่นไปเรื่อยๆ

คอนเซปต์เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในเกม

งั้นได้คีย์เวิร์ดอีกคำคือคำว่า ชีวิต

แล้วใครก็ไม่รู้ในที่ประชุมพูดปนบ่นขึ้นมาว่า ตอนที่เราทำงานใหม่ๆ เป็นน้องใหม่ในออฟฟิศ หรือเป็นเด็กฝึกงาน

เรามักจะโดนสั่งให้ไปทำอะไรสักอย่างที่รุ่นพี่ไม่อยากทำ จำพวกถ่ายเอกสาร ไปชงกาแฟ ย่อยเอกสาร ไปทำกระดาษรีไซเคิล

หรือกระทั่งการทำงาน น้องใหม่ต่างๆ มักจะโดนสั่งให้ไปทำงานฝ่ายหาข้อมูลต่างๆ

ซึ่งทั้งหมดที่เล่าล้วนเป็นงานที่น่าเบื่อ ที่รุ่นพี่เลเวลสูงๆ ไม่อยากทำ

เห็นความเหมือนแล้วใช่มั้ยครับ

แปลว่า ในชีวิตการทำงาน เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องเคยตี Popolion หรือทนทำงานน่าเบื่อ (ที่รุ่นพี่ไม่อยากทำ) เพื่อสะสมประสบการณ์ให้ตัวเองเก่งขึ้นทั้งนั้น เราทุกคนเลี่ยง Popolion ไม่ได้หรอก

จบ!

ไอเดียที่เล่าว่า ในชีวิตจริงเราต่างต้องเคยตี Popolion มาทั้งนั้น เราเลี่ยงไม่ได้หรอก

คือครบทุกอย่างที่อยากได้แล้ว แต่งานคิดหนังเพิ่งจะเริ่มตรงนี้ต่างหาก

สิ่งที่ต้องเล่าเป็นภาพในหนังให้ได้

1. ชีวิตการทำงาน

2. งานที่น่าเบื่อ

3. การอัพเลเวล (เลื่อนตำแหน่ง)

แน่นอนสิ่งแรกที่คิดคือเล่าเรื่องมนุษย์ออฟฟิศ แล้วชีวิตมนุษย์ออฟฟิศคืออะไรล่ะ ตอกบัตรเข้าทำงาน นั่งอยู่กับโต๊ะ หน้าคอมพ์ อยู่ในห้องประชุม ยกมือแสดงความคิดเห็น อะ แถมอีกนิด นั่งรถเมล์กลับบ้าน

แล้วงานที่น่าเบื่อของมนุษย์ออฟฟิศมันมีอะไรบ้างนะ…ถ่ายเอกสาร ชงกาแฟ ไปซื้อของเซเว่น หมดแล้ว

การอัพเลเวลของมนุษย์ออฟฟิศคืออะไร เออ เราจะแบ่งความเป็นหัวหน้าของมนุษย์ออฟฟิศเพื่อเล่าในหนังให้ชัดได้ยังไง

อีกอย่างเรารู้สึกว่า วิชวลมนุษย์ออฟฟิศ + บรรยากาศออฟฟิศ มันถูกใช้ไปในหนังโฆษณาเกือบจะทุกเรื่อง มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแฮะ

สรุปมนุษย์ออฟฟิศโดนปัดตก

เราต้องการอาชีพที่มีสถานที่ทำงานแปลกตา ไม่ค่อยถูกเล่าในหนังโฆษณา

การทำงานของอาชีพนี้ต้องมีแอ็กชั่น มากกว่าการนั่งหน้าจอคอมพ์

และสุดท้าย การอัพเลเวลของอาชีพนี้ต้องชัด เห็นปุ๊บรู้เลยว่าเก่งขึ้น

พอเงื่อนไขการอัพเลเวลของอาชีพต้องชัด ทำให้อาชีพอย่างพวกฟรีแลนซ์แทบจะหายหมดเลย เพราะเราต้องหาอาชีพที่การเลเวลอัพเท่ากับการเปลี่ยนชุดแต่งกาย 

มันก็เลยมาลงเอยที่อาชีพพ่อครัวในร้านอาหาร (ขอบคุณชีวิตนี้ที่เคยทำงานโรงแรมมา 5555)

พ่อครัวในห้องครัวมีตำแหน่งที่ชัดเจน แต่ละตำแหน่งมีเครื่องแต่งตัวที่ไม่เหมือนกัน เวลาทำงานมีแอ็กชั่น มีควัน มีไฟ

และที่สำคัญตำแหน่งต่ำๆ ในห้องครัว จะมีหน้าที่ที่ทำงานน่าเบื่อจริงๆ เช่นปอกมัน 20 กิโลฯ หรือหั่นผัก 30 กิโลฯ

โดยที่พนักงานที่ตำแหน่งยังไม่สูง ในบางครัวจะไม่ได้รับอนุญาตให้ปรุงอาหารเลย เรียกว่าคนที่อยู่หน้าเตาคือคนที่มีตำแหน่งแล้วเท่านั้น

สุดท้ายเจ้าหนังโปรโมตเกม Tree of Savior ก็กลายเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มในสายงานพ่อครัว ที่ต้องทนตี Popolion ในห้องครัว (ซึ่งเราแทนค่า Popolion คือการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ) สามารถไต่เลเวลจนกลายเป็นหัวหน้าเชฟได้ในที่สุด

เพื่อสรุปหนังด้วย copy ว่า… “เพราะชีวิตคือการเก็บเลเวล”

ทีนี้มันจะมีคำถาม 2 คำถามเกี่ยวกับบทนี้

1. ทำหนังวัยรุ่นที่เกี่ยวกับเกม แต่ไปเล่าผ่านการทำครัว คนดูเก็ตเหรอ?

2. แล้วอินไซต์เรื่องนี้ทำงานยังไง?

ข้อแรกเลย หนังเรื่องนี้เป็นหนังประเภท metaphor หรือหนังเปรียบเทียบตีความประมาณว่า ความหมายของ A เท่ากับหรือเหมือนความหมายของ B หรือในกรณีนี้ เราสามารถเล่าได้สองแบบคือ

แบบที่ 1 ชีวิตการทำงานที่น่าเบื่อก็เหมือนกับการตี Popolion

และแบบที่ 2 การตี Popolion ก็เหมือนกับชีวิตการทำงานที่น่าเบื่อนั่นแหละ

เล่าแบบนี้ในหนังสืออาจจะมีค่าเหมือนกัน แต่ในเชิงบททั้งสองแบบให้ผลลัพธ์ที่ไม่เท่ากัน

ถ้าเราเล่าหนังแบบที่ 1 การมาถึง Popolion อาจจะช้าไป และอาจจะให้ความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่ เพราะในเชิงความหมาย ‘ชีวิตการทำงาน’ มันมีความใหญ่มากเกินไปเมื่อเทียบกับ Popolion แปลว่าถ้าเล่าจากสิ่งที่ใหญ่มากๆ แล้วตวัดเข้าตัว Popolion ที่มีความเล็กมันอาจจะไม่เมคเซนส์เกินไป

และอีกอย่าง เมื่อเราเปิดตัวด้วยการทำงาน ที่ทุกคนมีความคุ้นเคย เพื่อไปเปรียบเทียบกับสิ่งใหม่ที่คนไม่รู้จัก เราอาจจะต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อแนะนำเจ้า Popolion ด้วย โครงสร้างหนังมันจะประมาณนี้

แนะนำคอนเซปต์การทำงาน – เห็นภาพการทำงานซ้ำๆ ตัวละครเบื่อ – เล่าว่าตัวละครอยากเติบโต – กลับมาเล่า Popolion – อธิบายตัว Popolion – อธิบายความเหมือนกันของทั้งสองอย่าง – เข้าสู่ช่วงสรุป

จะเห็นว่า มันมีการ estabilsh สิ่งใหม่อยู่กลางเรื่อง

และประเด็นสำคัญคือ การมาถึงของโจทย์อาจใช้เวลานานเกินไป คนดูอาจจะไม่สนใจแล้วก็ได้

แต่ถ้าเราเล่าแบบที่ 2 การตี Popolion ก็เหมือนชีวิตการทำงานที่น่าเบื่อนั่นแหละ

ตัวบทจะเริ่มต้นจากการพูดถึงตัว Popolion แนะนำทุกอย่าง แล้วเข้าเรื่อง

แปลว่าเริ่มซีนแรก เราก็แนะนำสารตั้งต้นก่อนเลยว่า Popolion คืออะไร แล้วมันเกี่ยวกับอาชีพครัวได้ยังไง

แบบนี้เราจะไล่ระดับความใหญ่ได้อย่างเหมาะสม คือเล่าจากสิ่งที่เล็กที่สุด (Popolion) ไปสู่ความหมายที่ใหญ่ที่สุดของหนัง (ชีวิตคือการเก็บเลเวล)

ข้อสอง ตกลงอินไซต์เรื่องนี้ทำงานยังไง?

อย่างที่ผมบอกเลยครับ บางครั้งอินไซต์ของงานมันก็ไม่ได้มาจากโจทย์ของงานด้วยซ้ำ

แต่เราสามารถคิดได้จากตัวกลุ่มเป้าหมาย กลับมาหาโจทย์ก็ยังได้ หรือในกรณีนี้คือ เกมออนไลน์ถูกตราหน้าว่าเป็นของไร้สาระ เราจึงสร้างความหมายบางอย่างให้เกมออนไลน์มีความลึกซึ้ง เพื่อไปตอบอินไซต์ของคนเล่นเกมว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นมันความหมายนะ การเล่นเกมมันไม่ได้ไร้สาระอย่างที่สื่อบอกนะ หนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นกระบอกเสียงให้เขาเหล่านั้นไปแชร์ต่อ เพื่อบอกต่อคนอื่นว่า เห็นมั้ย มีคนคิดเหมือนกู

แล้วก็น่าจะเป็นงานโฆษณาไม่กี่งานที่คอมเมนต์วิดีโอแต่ละอันยาวมากกกกก เหมือนอัดอั้นกันมานาน แต่ละคนมาเล่ากันอย่างยาว อย่างอิน เห็นแล้วก็ชื่นใจ

และสุดท้าย เวลาเจองานที่ไม่อิน ก็ตกใจได้ งอแงได้

แต่ถ้ามีเวลา พอจะตั้งสติได้ ลองหาเหลี่ยมมุมที่พอจะทำให้ตัวเองอินให้ได้ แล้วทุกอย่างจะโอเค

ป.ล.

สุดท้าย เราก็ต้องถ่ายมาสคอตตัว Popolion อยู่ดีนะ แล้วทุกอย่างก็เป็นแบบที่เราคิด คือทำงานด้วยยากมาก ทุลักทุเลไปหมด

แล้วพอตัดต่อจนเสร็จแล้ว ลูกค้าก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดให้ตัดออกจากหนังดีกว่า…กราบขอบคุณลูกค้าอีกครั้ง

สะเทือนคนรักบุฟเฟต์แซลมอน เมื่อราคาแซลมอนกลายเป็นต้นทุนอันโหดร้าย ที่ร้านอาหารต้องแบกรับ 

‘ดารุมะซูชิ’ น่าจะเป็นชื่อที่หลายคนได้ยินบ่อยในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ที่เจ้าของร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นชื่อดัง มีสาขากว่า 27 สาขาขายเวาเชอร์ล่วงหน้าจำนวนมาก ในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าร้านมากกว่า 50% ทำให้มีคนแห่ไปซื้อจำนวนมาก ที่สำคัญนอกจากลูกค้ารายย่อยทั่วไปแล้ว ยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่ตัดสินใจพลาด กักตุนคูปองจำนวนมากหลายราย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเจ้าของธุรกิจหายตัวปิดทุกสาขา กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนเกิดความเสียหายหลักร้อยล้านบาท

ในกรณีของดารุมะซูชิอาจจะแปลกกว่าธุรกิจแฟรนไชส์ทั่วไปสักหน่อย เพราะใครก็ตามที่อยากเปิดจะต้องเอาเงินสดมาให้เจ้าของธุรกิจประมาณ 2-2.5 ล้านบาท โดยที่มีการการันตีผลตอบแทนเดือนละ 10% คืนให้ทุกเดือน มันเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ที่ให้ความรู้สึกคล้ายเป็นการระดมทุนหาเงินไปหมุนหรือแชร์ลูกโซ่ก็ไม่ปาน เพราะบางสาขากำลังก่อสร้าง บางสาขาเปิดได้ไม่กี่วันก็ต้องปิดตัวลงซะแล้ว

หลายคนบอกว่าเจ้าของหน้ามืดทำไปเพราะเห็นเงินเยอะ บางคนก็บอกว่ามันเป็นการวางแผนเอาไว้แล้วตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะขายคูปองถูกลงเรื่อยๆ ไม่ว่ายังไงความตั้งใจที่แท้จริงของเจ้าของนั้นคงไม่มีทางทราบได้ แต่สิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดารุมะต้องเผชิญวิกฤตตรงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของราคาอาหารทะเลที่พุ่งขึ้นสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สำหรับดารุมะมันเลวร้ายกว่านั้นอีกเพราะธุรกิจของพวกเขาตั้งอยู่บนวัตถุดิบหลักชนิดเดียวนั่นก็คือ ‘แซลมอน’

ซึ่งในบ้านเราปลาแซลมอนถือเป็นอาหารทะเลยอดนิยมอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ เหตุผลก็เพราะมันสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่น ซาชิมิ ซูชิ ข้าวปั้น แล้วยังทำเป็นเมนูย่าง ยำ ทอด ต่างๆ นานาได้อีกด้วย แซลมอนในบ้านเรานำเข้าจากต่างประเทศร้อยเปอร์เซ็นต์ จากสองประเทศหลักๆ คือนอร์เวย์และชิลี โดยมีการเปิดเผยตัวเลขจากสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ว่าครึ่งปีแรกของปี 2564 เรานำเข้าปลาแซลมอนจากนอร์เวย์แล้วกว่า 10,000 ตัน ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ของไทย เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนถึง 43%

ไม่ใช่แค่บ้านเราเท่านั้นที่โปรดปรานแซลมอน แต่ถ้านับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา มนุษย์ทั่วโลกบริโภคปลาแซลมอนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวแล้ว จากที่เคยเป็นเมนูหรูราคาแพงสมัยก่อนเพราะเป็นแซลมอนธรรมชาติ ตอนนี้เกือบ 70-80% ของแซลมอนที่ซื้อ-ขายในตลาดคือแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มทั้งสิ้น ความต้องการในตลาดผลักดันให้ธุรกิจการทำฟาร์มแซลมอนเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา แต่มันก็สร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน เพราะการเลี้ยงแซลมอนในฟาร์มจะต้องใส่สารเคมี ยาฆ่าเชื้อ สารกันบูด ลงไปในน้ำทะเล ยิ่งมีการเลี้ยงในปริมาณที่เยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผลกระทบรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่รอบ ๆ บริเวณ

ฟาร์มแซลมอนเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูงและมีผลตอบแทนที่สูงเช่นเดียวกัน มูลค่าอุตสาหกรรมทั่วโลกมีค่ามากถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2028 โดยมีตลาดเอเชียแปซิฟิกที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องหลายปี

สำหรับใครที่เคยซื้อแซลมอนสดหรือตามข่าวราคาอาหารทะเลบ้างคงพอทราบเรื่องนี้ ช่วงกลางปี 2019 ก่อนที่โควิดจะระบาดกลายเป็นโรคที่ช็อกโลกไปเกือบสามปี ราคาซื้อ-ขายของปลาแซลมอนสดอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมละ 350 บาท แต่มาถึงตอนนี้ราคาปลาส้มที่เป็นเมนูโปรดของหลายต่อหลายคนก็ขึ้นมาเกือบ 80% อยู่ที่กิโลกรัมละ 550-600 บาท โดยราคานี้ถือว่าเป็นราคาส่งสำหรับร้านอาหารด้วย เพราะถ้าไปซื้อตามห้างสรรพสินค้าอาจจะเจอกิโลกรัมละเกือบพันเลยทีเดียว

โควิดเป็นเพียงหนึ่งในหลายสาเหตุที่ทำให้ราคาปลาแซลมอนเพิ่มสูงขึ้น หลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ การขนส่งต่าง ๆ จากทางยุโรปมาสู่เอเชียนั้นต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางปกติ ทำให้ต้นทุนของการขนส่งนั้นเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม แถมไม่พอสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีท่าทีว่าจะจบง่ายๆ ราคาของแซลมอนในเวลานี้ยังสามารถขึ้นไปต่อได้อีก

แต่ข่าวร้ายสำหรับแฟนปลาแซลมอนคือตอนนี้มีปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าสงครามหรือโรคระบาดที่ต้องพยายามเร่งแก้ไขโดยด่วนยิ่งกว่า นั่นก็คือเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่กำลังร้อนขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้อุณหภูมิในน้ำสูงและกระทบกับปลาแซลมอนโดยตรงเพราะนั่นคือบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ ในรายงานของสำนักข่าว The Guardian บอกว่าในประเทศนิวซีแลนด์ที่เป็นผู้ผลิตปลาแซลมอนรายใหญ่ของโลก อุณหภูมิในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งองศา ทำให้ปลาแซลมอนที่เลี้ยงอยู่นั้นตายไปจำนวนหลายพันตัน Grant Rosewarne ผู้บริหารบริษัท New Zealand King Salmon ให้สัมภาษณ์ว่า

“นี่คือสัญญาณเตือนบางอย่าง ตอนที่ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทไม่เคยได้ยินคำว่า ‘marine heatwave’ (คลื่นความร้อนในทะเล) เลยสักครั้ง แต่ไม่นานมานี้มันเกิดขึ้นถึงสามครั้งแล้ว”

‘คลื่นความร้อนในทะเล’ เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิน้ำสูงผิดปกติ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อปลาที่อาศัยอยู่เท่านั้น อุณหภูมิที่สูงผิดปกติยังหยุดการเจริญเติบโตของแหล่งอาหารที่จำเป็นสำหรับปลาเหล่านี้ แถมยังส่งผลกระทบต่อรูปแบบการที่อพยพย้ายถิ่นอย่างปลาแซลมอนด้วย ทำให้ปลาแซลมอนเสียชีวิตก่อนที่จะโตเต็มวัย จนต้องนำไปทิ้งกลายเป็นขยะและขายไม่ได้เลย

“เราคิดว่าเรามีเวลามากกว่านี้ ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นช้าๆ แต่เร็วกว่าที่หลายคนคิด อุตสาหกรรมบางชนิดเป็นสัญญาณเตือนถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เราคิดว่าผลกระทบของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นช้า ๆ ตรวจสอบได้ในหลายทศวรรษ และเราก็คิดว่าน่าจะมีเวลาอีกสักสองทศวรรษกว่าจะเห็นผลกระทบ แต่ไม่ใช่เลย”

ภายในครึ่งปีแรกของ 2022 อุตสาหกรรมปลาแซลมอนในประเทศนิวซีแลนด์ได้ขาดทุนไปแล้วกว่า 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟาร์มของบริษัท New Zealand King Salmon ต้องปิดไปแล้ว 3 ใน 4 แห่งเพราะเลี้ยงปลาแซลมอนไม่ได้ ต้องพยายามย้ายไปยังน่านน้ำที่อุณหภูมิเย็นลงแต่ก็ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน

สถานการณ์ในประเทศอื่นๆ อย่างนอร์เวย์หรือชิลีก็เลวร้ายไม่ต่างกัน ผลผลิตที่ได้ปริมาณลดลง ผลักให้ราคาในตลาดสูงขึ้น ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งที่สูงขึ้นจากสงครามกลายเป็นต้นทุนที่ทับถมเพิ่มเข้าไปอีก จนตอนนี้ร้านอาหารหลายร้านโดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น เริ่มมีการปรับตัวขึ้นราคาเมนูปลาแซลมอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางร้านถึงขั้นตัดเมนูที่มีปลาแซลมอนออกเลยเพราะสู้ราคาไม่ไหว ถ้าขึ้นไปก็ไม่มีลูกค้าทานอยู่ดี ผลผลิตอื่นๆ อย่างไข่ปลาแซลมอนก็ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต้องพยายามเปลี่ยนมาใช้ปลาชนิดอื่นแทน หรือบางเจ้าก็หันไปใช้ปลาแซลมอนแช่แข็งแล้วปรับเป็นเมนูแซลมอนแบบปรุงรสชาติเท่านั้น

ผลกระทบในบ้านเราก็เลวร้ายไม่แพ้กัน ราคาแซลมอนสดที่เพิ่มขึ้นมาเกือบ 80% กลายเป็นต้นทุนราคาแพงที่ร้านอาหารต้องแบกรับ บ้านเราต้องพึ่งพาการนำเข้าปลาแซลมอนจากต่างประเทศอย่างเดียว ราคาที่รับมาก็ต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก ร้านอาหารที่ยังคงใช้ปลาแซลมอนในเมนูต้องปรับตัวขึ้นราคา เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาซื้อแพงขายถูก ขายดีแต่กำไรไม่เหลือเหมือนอย่างในกรณีดารุมะซูชิได้

สถานการณ์โรคระบาดกำลังเริ่มดีขึ้น แม้สงครามที่ยังดูยืดเยื้อสุดท้ายก็คงจบลงสักวันหนึ่ง แต่สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี่แหละที่เป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมปลาแซลมอนที่ต้องเผชิญต่อไป ซึ่งสุดท้ายแล้วในอนาคตถ้ายังไม่มีอะไรดีขึ้น ผลผลิตยังไม่เพียงพอ ราคายังสูงอยู่ เราอาจจะต้องหันมาทานเนื้อปลาแซลมอนที่มาจากห้องแล็บกันแทนก็ได้ (ซึ่งตอนนี้เทคโนโลยีก็ทำได้แล้ว) แม้จะฟังดูหดหู่ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีปลาส้มในดวงใจของใครหลายคนให้ทานเลย

อ้างอิง

ศรัญญู เพียรทำดี ผู้อยู่เบื้องหลัง ‘น้ำพริกแคบหมูยายน้อย’ ที่ฉีกกฎการตลาดจนโด่งดังในโลกออนไลน์

“คำแรกติดใจ คำต่อไปติดคอ”

สโลแกนของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อยข้างต้นคงทำให้คุณรู้สึกฉงนใจไม่น้อย เพราะดูจะเป็นสโลแกนที่ผิดแผกแหวกธรรมเนียมสินค้าโดยทั่วไปที่มักขายคุณสมบัติอันดีโดดเด่นในทันใดที่เราปรายตาเห็น

เหตุเพราะเป็นที่เข้าใจกันดีว่าหน้าที่โดยปกติของสโลแกน คือการหยิบฉวยความสนใจของลูกค้าในอนาคตเอาไว้ให้ได้ภายในไม่กี่พยางค์คำ ฉะนั้นแบรนด์จึงต้องสื่อสาร ‘ของดี’ ที่มีออกมาให้ชัดที่สุดในคำเพียงไม่กี่คำแรกนี้

หากวัดจากผล เบียร์–ศรัญญู เพียรทำดี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและการสื่อสารของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อยอาจจะเป็นคนที่เข้าใจในหลักการการตั้งสโลแกนได้ดีกว่าใคร เพราะสโลแกนของน้ำพริกแคบหมูยายน้อยโดนแชร์ผ่านทางเฟซบุ๊กเป็นระดับหลักพันหลักหมื่นแชร์

นอกจากความเอร็ดอร่อยของอาหารที่ช่วยให้แบรนด์อาหารขายดิบขายดี การทำการตลาดก็มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่การจะแนะนำคนหมู่มากให้รู้จักกับความอร่อยของแบรนด์อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคุณสามารถนำตัวอย่างอาหารไปให้กลุ่มเป้าหมายทดลองชิมได้ และถ้าจริตลีลารสชาติของอาหารคุณบังเอิญตรงกันพอดีกับลูกค้า นั่นหมายความว่าคุณได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการให้ลูกค้ารู้จักกับแบรนด์คุณเรียบร้อยแล้ว

แต่ถ้าคุณทำแบรนด์อาหารแล้วไม่มีหน้าร้าน เน้นการขายแบบออนไลน์ล่ะ? 

คุณจะแนะนำความอร่อยน่ากินของแบรนด์คุณให้กลุ่มเป้าหมายคุณได้ยังไงในเมื่อไม่มีที่ตั้งของร้านที่ลูกค้าจะเดินผ่านไปมาได้ 

วกกลับมาตรงที่สโลแกนและข้อความโฆษณาของร้านดูเหมือนจะเป็นคำตอบแรกที่ทุกคนคิดถึง ใครต่อใครชอบพูดว่าสโลแกนมันต้อง ‘ปัง’ ต้องโดนใจ พูดสั้นๆ อาจพอสรุปได้ว่า ต้องสื่อสารถึง ‘ของดี’ ของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเสมือนเป็นตัวอย่างอาหาร หรือ ‘คำแรก’ ที่ลูกค้าจะสามารถชิมรสของแบรนด์ได้นั่นแหละ

การสื่อสารถึง ‘ของดี’ ของแต่ละแบรนด์อาจมีหลักการไม่เหมือนกัน บางแบรนด์อยากได้ถ้อยคำสั้นที่สุดเพื่อให้กระชับจับใจความ บางคนอยากได้คำคล้องจอง แต่สำหรับเบียร์สโลแกนและหลักการตลาดของน้ำพริกแคบหมูยายน้อย ไม่เข้าตามกฎเกณฑ์ใดที่ว่ามาเลยแม้แต่อย่างเดียว

น้อยที่หมู หรูแต่แพ็กเกจ

อาจจะเพราะ ‘ของดี’ ของน้ำพริกแคบหมูยายน้อยไม่ใช่เพียงแค่ความพรีเมียมของวัตถุดิบ ความสวยงามของแพ็กเกจ หรือรสชาติความอร่อย (ที่เบียร์ ลูกชายแท้ๆ ของยายน้อยเองก็ยังไม่เคยการันตีที่ไหนว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองอร่อยจริงหรือใช้วัตถุดิบพรีเมียมจริงหรือไม่) แต่ ‘ของดี’ ของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อย คือ… 

‘อารมณ์ขัน’ ต่างหาก

“เราอยากให้มันสะดุดเป็นอย่างแรก อยากให้คนพูดต่อ แชร์ต่อ ถ้าเป็นแบบดีๆ ทั่วๆ ไป คนเขาก็อาจจะอ่านแล้วผ่าน แต่ถ้าเป็นแบบนี้ คนเขาก็จะพูดต่อ เล่าต่อ”

จากปากคำให้การถึงที่มาที่ไปของสโลแกนแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อยที่มีมากมายหลากหลายเสียจนเราเองก็ไม่มั่นใจว่า จะยกตัวอย่างมาให้คุณผู้อ่านอ่านได้หมดหรือไม่

เบียร์เล่าว่าเมื่อที่มาที่ไปของสถานการณ์อันบีบบังคับให้เบียร์ต้องคิดสโลแกนของนำ้พริกแคบหมูยายน้อยเพื่อการทำป้ายไวนิลโฆษณาประกอบการออกบูทขาย ‘น้ำพริกแคบหมูยายน้อย’ เป็นครั้งแรกที่สยามสแควร์ เมื่อช่วงปลายปี 2020 

ด้วยความอ่อนประสบการณ์ในการเป็นพ่อค้าขายน้ำพริก เขาจึงคิดว่าอยากจะขอแรงสนับสนุนจากเหล่าเพื่อนพ้องในเฟซบุ๊กโดยการให้เพื่อนๆ ช่วยคิดสโลแกนน้ำพริกแคบหมูยายน้อย เพื่อประเดิมการออกขายยังพื้นที่จริงครั้งแรกของแบรนด์น้ำพริกเขา จากเดิมเคยแต่เพียงขายผ่านช่องทางออนไลน์

“วันนั้นผมโพสต์เสร็จแล้วผมไปนอน เปิดมาตอนเช้า โอ้โห คนมาคอมเมนต์กัน 2-3 หมื่นคอมเมนต์”

ลองหลับตานึกถึงจำนวนข้อความที่ถูกส่งเข้ามาหาคุณเพียงชั่วข้ามคืนจำนวนเรือนหมื่นว่ามันจะมหาศาลขนาดไหน เบียร์อ่านข้อความเหล่านั้นจนครบทุกข้อความ แล้วเลือกมาทั้งหมด 20 สโลแกนที่เบียร์คิดว่านี่แหละ คือ ‘ของดี’ ที่จะมาช่วยยายน้อยขายน้ำพริกแคบหมูได้ อาทิเช่น

อร่อยปาก ลำบากสัปเหร่อ

โปรดสั่งเสีย ก่อนสั่งซื้อ

ดีต่อใจ แต่บรรลัยต่อฟัน

ดื่มน้ำทั้งมหาสมุทร ยังไม่หยุดติดคอ

น้ำพริกแคบหมูยายน้อย อร่อยเกินร้อย ให้น้อยสมชื่อ

อร่อยให้หก สกปรกให้สิบ

กิน 1 คำ สวดอภิธรรม 7 คืน

กินน้อยอร่อยน้อย กินมากก็อร่อยน้อย

ท่ามกลางบูทร้านค้ามากมายที่ขายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้คนที่เดินผ่านไปมาสนใจบูทขายอาหารน้องใหม่ คุณไม่รู้ว่าแต่ละคนที่เดินผ่านหน้าร้านของคุณเป็นใครมาจากไหนบ้าง เขาชอบกินน้ำพริกแคบหมูมากน้อยแค่ไหน

อาจจะเป็นความคิดที่แยบยลหรืออารมณ์ขันที่เหนือชั้นที่เบียร์ตั้งใจจะเอามาเป็นอาวุธในการดึงความสนใจของผู้คนให้หยุดอยู่ตรงนี้ที่บูทน้ำพริกแคบหมูยายน้อย หากแต่แค่ทำให้คนหยุดอ่านสโลแกน แต่เขาเหล่านั้นไม่ซื้อของล่ะจะทำยังไงดี 

แค่อารมณ์ขำขันจะทำให้ของขายได้จริงหรือ

“มันก็ทำให้เขาหยุดที่บูทเรา ส่วนเขาจะซื้อไม่ซื้อก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เขาหยุดแล้วเขาจะยืนขำและถ่ายรูป…จะบอกว่าครั้งแรกที่ไปออกบูท ทำไม่ทันเลยนะ คือ 2-3 วัน ผมขายได้ 6 หมื่น”

6 หมื่นบาท ถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยกับการเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการของน้ำพริกแคบหมูยายน้อย แบรนด์อาหารที่เริ่มต้นมาจากความขยันขันแข็งของ ‘ยายน้อย’ ที่อดีตเคยเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่งหน้าโรงเรียน พอเริ่มวางมือจากวงการอาหารตามสั่งแต่ใจยังมีไฟอยากทำกับข้าวบวกกับการเข้าถึงยูทูบ ยายน้อยจึงเริ่มเรียนรู้การทำน้ำพริกแคบหมู และเริ่มมีไอเดียการทำนำ้พริกแคบหมูขาย

แรกเริ่มยายน้อยเริ่มการขายน้ำพริกแคบหมูด้วยการโพสต์ขายน้ำพริกแคบหมูในกลุ่มไลน์หมู่บ้าน และระหว่างการขายน้ำพริกแคบหมูผ่านไลน์กลุ่มของหมู่บ้านนั้น เบียร์–ลูกชายผู้เป็นหนุ่มอารมณ์ดีผู้ประกอบอาชีพประจำเป็นพนักงานโลจิสติกและมีอาชีพเสริมพาร์ตไทม์เป็นแอดมินร่วมดูแลเพจ Buffalo Gags ตั้งแต่ปี 2010 เกิดความอยากเพียรทำดีช่วยเหลือคุณแม่ขายน้ำพริกแคบหมูบ้าง

ตำนานน้ำพริกแคบหมูยายน้อยบนโลกออนไลน์จึงได้เริ่มต้นขึ้น

สะอาด ปลอดภัย ถูกอนามัย ไปร้านอื่น

“ผมอยากช่วยแม่ขาย ผมก็โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ผมโพสต์จริงจังเลยนะ แต่ก็มีเพื่อนมาปั่นมาเล่นกัน ผมก็คิดว่า เออเว้ย ฮาดี ผมเลยเอาไปลองโพสต์ใน Buffalo Gags ดู กระแสดีมากตอบรับดี คนชอบ แล้วก็มีคนติดต่อมาขอซื้อ”

นอกจากการเพียรทำดีด้วยการช่วยคุณแม่ขายน้ำพริกแคบหมู เบียร์ก็ยังเพียรยิงมุกตลกเกี่ยวกับน้ำพริกแคบหมูยายน้อยในเพจ Buffalo Gags เพจที่มีคนติดตามระดับหลักล้านคน ถึงแม้เบียร์เองยังไม่เคยการันตีที่ไหนถึงความสะอาด มาตรฐานความอร่อย และความปลอดภัยในการผลิต แต่เพื่อนแอดมินเพจ Buffalo Gags คงเห็นความเป็นไปได้ในการเติบโตของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อย จนเอ่ยปากออกความเห็นกับเบียร์ว่า ไปสร้างตัวตนของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อยให้จริงจังไปเลยดีกว่า

เพจน้ำพริกแคบหมูยายน้อยจึงได้ถือกำเนิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2020

เบียร์เปิดเพจน้ำพริกแคบหมูยายน้อยอย่างเป็นทางการ และยังคงเพียรโพสต์ขายน้ำพริกอยู่ทุกวันทั้งทางตรงและทางอ้อม บางโพสต์เบียร์เอารีวิวจากลูกค้าผู้ซื้อกินจริงมาโพสต์ บ้างมาเป็นข้อความสนทนา บ้างก็มาเป็นรูปภาพ ซึ่งแต่ละรีวิวส่วนใหญ่เป็นรีวิวขำขันที่พูดถึงความแข็งแกร่งที่น้ำพริกแคบหมูถุงหนึ่งจะสามารถทำได้ ทั้งหนุนยางล้อรถ ทั้งทำให้ฟันบิ่น เรียกได้ว่าเป็นการรีวิวน้ำพริกแคบหมูที่ตลก เรียกรอยยิ้ม และสร้างความสนุกสนานให้ทั้งคนกิน คนขาย และคนอ่านไปในเวลาเดียวกัน

จนเมื่อต้นปี 2021 เมื่อเพจน้ำพริกแคบหมูยายน้อยมีผู้ติดตามแตะหลักแสนคน และเบียร์เริ่มเห็นลู่ทางการเติบโตของแบรนด์ จึงมีความคิดอยากจะมาเป็นพ่อค้าขายน้ำพริกแคบหมูเต็มตัว

“เราเริ่มมาคิดว่างานที่เราทำ เราไม่ได้ชอบมันขนาดนั้น แต่งานคอนเทนต์ครีเอเตอร์เป็นงานที่เราชอบ คือผมได้ลองทำมันดูแล้ว ผมเริ่มคิดเรื่องลาออก แต่ผมยังไม่ออกทันทีนะครับ ผมเริ่มดูสถิติ เริ่มมอนิเตอร์ ผมดูสถิติย้อนหลังตั้งแต่ตุลาคม 2020 จนผมตัดสินใจลาออกตอนเมษายน 2021”

คนบางคนอาจค้นหาตัวเองเจอตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่คนบางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเราอาจเรียกกรณีเบียร์ได้ว่า เขาใช้เวลาไปหลายสิบปีกับอาชีพพนักงานประจำ แต่ในที่สุดเขาก็ได้เจอที่ทางที่เขารัก นั่นคือสิ่งที่เราอยากเรียกเขาว่า ‘นักเล่าเรื่อง’

ที่เรียกว่า ‘นักเล่าเรื่อง’ เพราะเบียร์สามารถทำให้คนที่ไม่เคยเดินทางมาที่บ้านของตัวเองที่ปัจจุบันยังคงใช้เป็นที่มั่นสำคัญในการผลิตน้ำพริกแคบหมูยายน้อย อยากกินน้ำพริกแคบหมูฝีมือยายน้อยได้ทั้งๆ ที่เขาแทบไม่เคยพูดถึงรสชาติความอร่อยของน้ำพริกแคบหมูฝีมือยายน้อย แต่เบียร์สามารถสร้างและถ่ายทอดเรื่องราวของน้ำพริกแบรนด์นี้ที่เกิดจากความอารมณ์ขันและอารมณ์ดีของตัวเบียร์และครอบครัวจนทำให้ใครต่อใครแห่พากันสั่งน้ำพริกแคบหมูยายน้อย

เมื่อมีงานประจำเบียร์ยังโพสต์มุกตลกในเพจน้ำพริกแคบหมูยายน้อยได้ทุกวัน พอลาออกมาปั้นแบรนด์เต็มตัว เบียร์ให้ทั้งเวลา ให้ทั้งความสนใจมาที่เพจนี้อย่างเต็มเวลาทำการ และผลตอบแทนที่เบียร์ได้ก็นับว่าคุ้มค่า เพราะน้ำพริกแคบหมูของยายน้อยยอดขายขึ้นเป็นทวีคูณ

“ผมจดทะเบียนบริษัทเลยครับ เดือนมิถุนายน ปี 2021 ยอดขายขนาดนี้ถ้าผมไม่จด คงอยู่ไม่ได้”

ที่ว่ายอดขายดีนั้นไม่เว้นช่วงโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ประเทศ มีการจำกัดระยะห่างทางสังคม หลายธุรกิจต่างได้รับผลกระทบ น้ำพริกแคบหมูยายน้อยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เป็นผลกระทบในเชิงบวก นั่นคือน้ำพริกแคบหมูยายน้อยขายดิบขายดีขึ้นไปอีกจากเดิมจนรายได้แตะหลักหลายแสนบาทต่อเดือน 

ท่ามกลางเงินทองและชื่อเสียงอันล้นหลามของแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อย แต่เบียร์กลับมองว่าสิ่งที่ดีที่สุดของการตัดสินใจลาออกมาทำแบรนด์น้ำพริกแคบหมูยายน้อยอย่างเต็มตัว ก็คือ

การได้มีเวลาอยู่กับยายน้อย–แม่ของเขา มากขึ้น

“ข้อดีที่สุดคือการได้อยู่กับครอบครัว มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาให้ยายน้อย คือผมเดินลงมาผมก็เจอแกแล้วครับ เจอกัน อยู่ด้วยกันทั้งวัน ทุกวัน ผมว่านี่คือเรื่องที่ดีที่สุดที่ผมลาออกจากงานมาทำเพจนะ”

ทั้งได้อยู่กับคุณแม่ ทั้งได้คอยสร้างเสียงหัวเราะให้แฟนๆ ร้านน้ำพริกแคบหมูของยายน้อย ที่ไม่เคยการันตีความอร่อย ไม่เคยการันตีความสะอาด ไม่การันตีสุขภาพเหงือกและฟัน แต่พร้อมการันตีอารมณ์ขำขันได้ทุกครั้งที่คุณเข้ามาแวะซื้อแน่นอน

XXXYYY คาเฟ่และ Project Space ของดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่อยากชวนแวดวงดีไซน์มาปล่อยของ

ถ้าจะมีคาเฟ่ไหนที่ไปแล้วสนุก คาเฟ่นั้นน่าจะเป็น XXXYYY

จะเรียกว่าคาเฟ่ก็ไม่เชิงเพราะชั้นล่างเป็นร้านกาแฟก็จริง แต่เมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้นสอง โต๊ะ เก้าอี้ก็หายไปเหลือแต่พื้นที่สีขาวโล่งๆ ที่พวกเขาเรียกว่า ‘Project Space’ สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียน ไม่ใช่แค่งานศิลปะและดีไซน์แต่จะจัดแสดงโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่ ใช้จัดเวิร์กช็อป หรือเปลี่ยนเป็นป๊อปอัพสโตร์ก็ทำได้

เริ่มสนุกแล้วหรือยัง

xxxyyy
xxxyyy

คาเฟ่กับดีไซน์ที่นี่ไม่ได้แยกชั้นกันชัดเจน งานอาร์ตอาจกลายเป็นที่รองแก้วกาแฟ ตู้สติกเกอร์ด้านล่างอาจเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการด้านบน และจะแน่ใจได้ยังไงว่าอินทีเรียร์ดีไซน์ของร้านไม่ได้เป็นสิ่งที่พวกเขากำลัง ‘จัดแสดง’

X = กาแฟ, Y = ดีไซน์ คือคอนเซปต์ตั้งต้นนำไปสู่วิธีคิดในการนำสิ่งหนึ่งมารวมกับอีกสิ่งหนึ่ง กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่จำกัดว่าหน้าตาต้องเป็นยังไงขอแค่คนมาดูได้สนุกก็พอ

XXX Why? Why? Why?

ทำไมต้องกาแฟและดีไซน์? X กับ Y บวกกันได้อะไร?

พักจิบกาแฟสักแก้วแล้วตามไปดูโมเดลธุรกิจสนุกๆ ที่ XXXYYY ออกแบบกัน

xxxyyy

X = Permanent Job, Y = Work From Home

ในขณะที่ธุรกิจบางแห่งหยุดชะงัก XXXYYY กลับเกิดขึ้นในช่วงเวิร์กฟรอมโฮม

ช่วงเวลานั้น ไนน์–กชพร เปี่ยมราศรี เป็น Project Manager ในดีไซน์เอเจนซีแห่งหนึ่ง ส่วน หลิง–อรวรรณ กอเสรีกุล เป็น Visual Designer ของบริษัทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนสาขา Industrial Design เริ่มต้นทำงานพร้อมๆ กันและเจอปัญหาแบบเดียวกัน

“ช่วงโควิดปีแรกเรายังทำงานประจำและต้องเวิร์กฟอร์มโฮม เราไม่เอนจอยกับวิธีการทำงานบวกกับรู้สึกว่าเราน่าจะทำธุรกิจสักอย่างได้ เรากับหลิงชอบไปร้านกาแฟ ชอบไปที่ที่นั่งทำงานได้ เลยอยากทำครีเอทีฟสเปซสำหรับคนที่ชอบกินกาแฟแล้วก็ชอบงานดีไซน์ขึ้นมา” ไนน์เล่า

xxxyyy
xxxyyy

หลิงเสริมว่าดีไซน์เป็นงานที่ทั้งคู่ทำจึงเข้าใจอินไซต์ของดีไซเนอร์อยู่แล้ว ส่วนกาแฟ จากที่แค่ชอบดื่มเฉยๆ พวกเขาก็ไปลงเรียนเพิ่มเติมจนสามารถรันบาร์กาแฟได้ด้วยตัวเอง

“ถ้าจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างเราอยากเริ่มจาก asset (สินทรัพย์) ที่ตัวเองมีจะได้รู้จักมันและทำได้ดีที่สุด เราเลยคิดว่าเอาสองอย่างนี้แหละมาทำให้จริงจัง เป็นที่มาของชื่อ XXXYYY เราอยากเอา identity 2 อย่างมาสร้างเป็น identity ใหม่ของตัวเอง และเป็นพื้นฐานนำไปสู่คอนเซปต์ว่าทุกอย่างที่นี่จะเกิดขึ้นจากการเอา X และ Y มาชนกันเป็นสิ่งใหม่”

X = Project Space, Y = Designers

“เราเป็นพวกที่สนใจกระบวนการคิด อยากรู้ว่าก่อนจะเป็นไฟนอลโปรดักต์ระหว่างทางเขาทดลองอะไรมาบ้าง กับพื้นที่ชั้นบนเราเลยไม่ใช้คำว่าแกลเลอรีแต่เรียกว่าโปรเจกต์สเปซ คนที่มีโปรเจกต์อะไรก็ตาม ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นงานศิลปะก็มาจัดแสดง มาสร้างคอมมิวนิตี้ตรงนี้ได้” หลิงอธิบาย

“ที่ผ่านมา งานที่เราจัดส่วนใหญ่เป็นการเปิด open call มีโจทย์ให้คนสมัครเข้ามาร่วม แต่ละโจทย์ก็เน้นกระบวนการคิด เช่น งานชื่อ Worked in Progress เราบอกให้ทุกคนเอากระบวนการทำงานมาโชว์กัน เราคิดว่างานที่ยิ่งใหญ่มันอาจจะถูกเชปมาหลายรอบกว่าจะออกมาเป็นไฟนอลโปรดักต์ แต่จุดที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มันคือจุดที่เราเริ่มคิดก็เลยอยากให้เอากระบวนการมาแชร์ ส่วนนิทรรศการเดี่ยวที่ตอบโจทย์เราคือไอเดียไม่ฟุ้งเกินจนจับต้องไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ solid จนคิดต่อไม่ได้เลย

“ที่ประทับใจงานนึงคือนิทรรศการ Another New Year Bloom ศิลปินเขาเคยทำงานดอกไม้จากหยดหมึกเป็นทีสิสได้รางวัลเยอะมากแต่ก็ไม่ได้ทำต่อ ช่วงปีใหม่เราเลยชวนเขาเอางานนั้นมาต่อยอด เขาก็ลอง explore ดูว่าถ้างานนี้มาอยู่ในร้านกาแฟมันจะไปอยู่ตรงไหนจนได้เป็นที่รองแก้วซ่อนข้อความ พอน้ำหยดลงไปหมึกส่วนที่ไม่ละลายจะกลายเป็นคำอวยพรสุ่มให้แต่ละคน งานนี้เป็นตัวอย่างการเอาคาแร็กเตอร์ของ XXXYYY ไปอยู่กับงานที่มี identity จัดๆ และมันก็ออกมาดีมาก”

ในสเปซนี้หลิงและไนน์รับบทเป็นทั้งคิวเรเตอร์ เลือกและช่วยพัฒนางาน เป็น Gallery Manager ทำให้นิทรรศการมีองค์ประกอบครบสมบูรณ์ เป็น rental space ให้เช่าพื้นที่จัดเวิร์กช็อป และเป็น catering service หากผู้เช่าอยากได้ขนมกับเครื่องดื่ม ส่วนกับนิทรรศการที่พวกเขาเป็นโฮสต์นั้นไม่เก็บค่าเช่าพื้นที่จากศิลปินที่มาจัดแสดงแต่จะรับบทแกลเลอรี เก็บค่า GP (gross profit) จากงานที่ขายได้เท่านั้น

ทำด้วยแพสชั่นอย่างจริงจัง ธุรกิจก็ไปได้ดี ถึงอย่างนั้นเป้าหมายของ XXXYYY ก็ไม่ใช่การทำให้ตัวเองอยู่รอดเพียงคนเดียวแต่รวมไปถึงการซัพพอร์ตดีไซเนอร์คนอื่นๆ ด้วย

xxxyyy

X = People, Y = People

“เราคิดว่าเมืองไทยยังไม่ค่อยมีสถานที่ซัพพอร์ต young designer ขนาดนั้น โดยเฉพาะที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ หรือพอแกลเลอรีหรือสเปซงานดีไซน์ไปกระจุกอยู่ในบางย่านมันก็ไม่ได้ส่งเสริมคนที่อยู่นอกบริเวณ ก็เป็น pain point ที่ทำให้กล้าเปิดร้านที่แบริ่ง” หลิงเล่าจากมุมมองของนักเรียนดีไซน์

“เราโตมากับสภาพแวดล้อมที่ทุกคนไม่ได้ทำอะไรอย่างเดียวแล้วคิดงานออก แต่ต้องทำสิ่งที่แตกต่างไปจากรูทีนเพื่อไดรฟ์ความคิดสร้างสรรค์ออกมา ถ้าเราทำอะไรเหมือนเดิมทุกวันไม่มีทางที่เราจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป แต่ต้องไป explore อย่างอื่นด้วย ที่ตรงนี้ของเราจึงอาจเป็นเหมือนสมุดสเกตช์ของใครบางคนที่แค่รู้สึกเบื่อก็เลยนั่งวาดรูปไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกว่า ‘เอ๊ะ ชิ้นนี้ดีจังเอาไปทำอะไรต่อดีกว่า’ 

xxxyyy
xxxyyy

“เราอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นแบบนั้น ไม่ต้องไปเค้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดออกมาแต่ทำแค่เพราะอยากสนุกก็ได้ ถ้าให้เทียบน่าจะเป็น second place ของดีไซเนอร์แล้วกัน เป็นที่รองรับไอเดียที่ทำให้เขาสบายใจที่ยังจะอยู่ในวงการนี้ต่อ”

“แต่ไม่ได้เจาะจงว่าเราอยากซัพพอร์ต young gen เท่านั้นนะ” ไนน์รีบเสริม ถึงนิทรรศการครั้งที่ผ่านๆ มาจะมีส่วนผสมของดีไซเนอร์รุ่นใหม่เป็นหลักแต่ทั้งสองก็บอกว่าพวกเขาอยากชวนคนมาแลกเปลี่ยนไอเดียแบบไม่จำกัดรุ่นมากกว่า

และไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นดีไซเนอร์เท่านั้นด้วย

“งาน Open Call หรืองานที่เราเป็นโฮสต์รอบที่ผ่านๆ มามีพี่ๆ ดีไซเนอร์มาเล่นด้วยเหมือนกัน อย่าง TNOP หรือ Teaspoon Studio ตามธรรมเนียมเราจะมี opening event เชิญพี่ๆ น้องๆ มา มันจะเกิดไวบ์ที่เขาได้แชร์กัน พี่ธี (ธีรนพ หวังศิลปคุณ) ก็มารอคุยกับเด็กรุ่นใหม่ๆ ว่ามุมมองการทำงานในโลกที่เปลี่ยนไปมันเป็นยังไง เด็กๆ ก็ดีใจได้เจอพี่ธี พอมันเกิดไวบ์แบบนั้นมันก็เกิดความเป็นคอมมิวนิตี้ เป็นความตั้งใจที่เราอยากให้เกิดจุดตัด ทุกคนได้มาเจอกันที่นี่จริงๆ” หลิงว่า

“จริงๆ แท็กไลน์ของร้านที่ตั้งไว้แต่แรกคือ intersection where people connect ไม่ใช่แค่แก๊งดีไซเนอร์เท่านั้นแต่ people คือใครก็ได้ จะเป็นคนที่ชอบกินกาแฟ คนที่ชอบทำเฟอร์นิเจอร์ มาเจอกันที่ร้านแล้วก็แลกคอนแทกต์กันก็ได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ลูกค้ามาเจองานที่ตั้งอยู่แล้วเขาก็หยิบนามบัตรไปหรือขอคอนแทกต์ดีไซเนอร์เลย มันเกิดการแลกเปลี่ยน การพบปะกันที่นี่ เราก็ดีใจที่มันเป็นอะไรสักอย่างจริงๆ”

xxxyyy

X = Coffee, Y = Design

จับสิ่งหนึ่งมารวมกับอีกสิ่งเพื่อให้เกิดเป็นสิ่งใหม่

จับคาเฟ่มารวมกับโปรเจกต์สเปซ จับเอาความเป็นย่านโรงงานมาตีความเป็นการตกแต่งแบบอินดัสเทรียล จับงานดีไซน์มาใส่ในทุกจุดของร้าน ตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ จนถึงที่รองแก้ว

กับการออกแบบเมนูเครื่องดื่มและเบเกอรี่ พวกเขายึดคอนเซปต์นี้ไว้ไม่ให้หลุดมือ

“เมนูหลักๆ ของเราจะเป็นการเอาวัตถุดิบหลักสองอย่างมาชนกันตามคอนเซปต์ X และ Y” ไนน์ยกเมนูเด็ดของร้านมาให้โชว์และให้ชิม ทั้งพานาคอตต้าเนื้อละมุนเจอกับซอสกาแฟเข้มๆ กินคู่กับ Sip x Crisp กาแฟดำเย็นๆ ท็อปด้วยครีมนมนุ่มๆ โรยคุกกี้ครัมเบิลกรอบๆ เมื่อจิบแล้วจะได้พบการรวมตัวของรสชาติและเทกซ์เจอร์หลากหลาย

xxxyyy
xxxyyy

“เรายังมีเมนูพิเศษเป็นเหมือนการค้นหาผลลัพธ์คิดจากโจทย์ X และ Y เหมือนกัน เอาอะไรมาเจออะไรแล้วก็ได้ออกมาเป็นเมนูนี้เราเลยเรียกว่า result of the month”

เมื่อเมนูพิเศษเปลี่ยนไป ดีไซน์โซนร้านกาแฟก็เปลี่ยนไปด้วยตามแต่ละธีม แม้ว่าจะไม่ถึงกับเปลี่ยนโครงสร้างหลักแต่การได้สังเกตการตกแต่งหรือรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ก็เพียงพอให้คนสนุกตาม

“จริงๆ ตั้งใจว่าจะทำทุกเดือนแต่ว่าตอนนี้ก็เอาเท่าที่ไหว (หัวเราะ)” หลิงแอบเสริม “แต่หลักๆ เลยเมนูพิเศษจะถูกโปรโมตในช่วงที่ไม่มีงานจัดแสดงเพราะเราจะมาโฟกัสกับสิ่งนี้ได้มากขึ้น และร้านก็จะได้ไม่เงียบเหงาเกินไปในช่วงที่ไม่มีนิทรรศการ

xxxyyy

“เห็นได้ชัดเลยว่ามันเรียกคนกลับมาได้เยอะมากเพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะกินอะไรเหมือนเดิมทุกวัน บางคนเขาไม่ได้ทรีตกาแฟเป็น everyday drink แต่ว่าให้เป็นโอกาสสำคัญ กระทั่ง engagement ภาพเมนูพิเศษที่โปรโมตในออนไลน์ก็ยังดีกว่าเราลงรูปกาแฟเมนูปกติ มันสดใหม่ เขาก็อยากกลับมาดูว่าตอนนี้ร้านเราเป็นยังไง”

เมนูใหม่ก็มีมาเรื่อยๆ นิทรรศการก็หมุนเวียนมาไม่ซ้ำ คราวนี้คนคนหนึ่งจะไป XXXYYY กี่ครั้งก็ได้ จริงมั้ย

X = Creativity, Y = Neighborhood

XXXYYY ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ไม่ไกลจากสถานีบีทีเอสแบริ่งมากนัก

จะว่าเดินทางสะดวกก็ใช่ แต่จะบอกว่าไกลย่านคาเฟ่และแกลเลอรีก็พูดได้เช่นกัน

“ตอนจะเปิดร้านที่นี่เราก็ไปเซอร์เวย์กับเพื่อน แทบทุกคนจะบอกว่า มึง จริงเหรอ แบริ่งคืออะไร” หลิงเล่ากลั้วหัวเราะ

“ถามว่าทำไมมันต้องอยู่ตรงนี้ เราคิดว่าทุกวันนี้ร้านที่มีบรรยากาศน่านั่ง มีเครื่องดื่มคุณภาพเสิร์ฟมันไปกองรวมกันในบางย่านทั้งที่คนในย่านอื่นก็ต้องการเหมือนกัน เลยคิดว่าเราลองออกมาเปิดร้านในย่านที่ไม่ได้เรียกว่าเป็นย่านคาเฟ่ ย่านดีไซน์ดีไหม อย่างไนน์เองบ้านอยู่แถวนี้แต่ต้องทนขับรถเข้าเมืองเพราะแค่จะไปหาที่นั่งที่มีไวบ์น่าทำงาน”

“แต่ยากไหม ยาก ไม่ง่ายเท่ากับเปิดในทองหล่อ อารีย์เลย” ไนน์ที่รู้จักย่านนี้ดียังยอมรับ

“จริงๆ ตอนเปิดร้านคนแถวนี้ตื่นเต้นมากนะเพราะเราติดสติกเกอร์สีๆ เต็มหน้าร้านไปหมดเลย หน้าตามันตะโกนมาก กรี๊ดมาก คนไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรแต่เข้ามาก่อน สิ่งที่เราต้องทำคือจับเขาให้อยู่ ช่วงแรกๆ ก็ยากเพราะว่ากาแฟ specialty มันไม่ง่ายสำหรับคนนอกเมือง ยิ่งตอนแรกเมนูไม่เยอะ ขายแต่กาแฟ single origin กาแฟคั่วอ่อน ไม่มีเมนูกาแฟแฟนซี เมนูที่คนชอบอย่างเดอร์ตี้ก็ไม่ทำ เราก็ต้องมานั่งปรับเมนูกันใหม่ ปรับตัวให้เข้ากับย่าน 3 เดือนแรกเราก็พอจับทางได้ว่าคนต้องการเมนูที่ไม่ใช่กาแฟด้วย”

“ก่อนเปิดร้านเราคุยกับพี่ๆ ที่ทำร้านกาแฟ เขาบอกว่าช่วงแรกๆ ให้ถามลูกค้าเลยว่าเป็นคนที่ไหน อยู่แถวนี้หรือเปล่า เราจะได้รู้ว่าคาแร็กเตอร์ของลูกค้าที่ตั้งใจมาไกลๆ กับลูกค้าที่อยู่แถวนี้ความต้องการเป็นยังไง” หลิงขยายความ
“คือคนที่ตั้งใจมาจากที่ไกลๆ ส่วนใหญ่จะมา hunt มาหาซิกเนเจอร์และดูบรรยากาศ เราเสิร์ฟอะไรเขาพร้อมจะกินแต่คนที่เป็นเพื่อนบ้านเราเขาต้องการความอุ่นใจว่ากาแฟที่เขาจะมากินทุกวันรสชาติมันประมาณไหน เขานั่งทำงานที่นี่ได้ไหม ซึ่งได้ เรามีปลั๊กแล้วก็มีระบบสมาชิก ถ้ากินครบ 10 แต้มก็เอามาแลกเครื่องดื่มฟรีได้แก้วนึง

xxxyyy
xxxyyy

“ถามว่าทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้าน เพราะคนกลุ่มที่เป็น cafe hopper ยังไงเขาก็มาอยู่แล้วแต่ลูกค้าที่ยั่งยืนยังไงก็คือลูกค้าแถวนี้ คือต่อให้เราไม่มีงานยังไงเขาก็มา”

“แต่หลักๆ คือเราอยากขยายและแนะนำความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนย่านนี้เพราะฉะนั้นเราเลยให้ความสำคัญ บางงานที่เราจัดแสดงมันอาจจะดูยากแต่ว่าถ้าเขาเข้ามาเขาก็โดนโอบล้อมไปด้วยบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งก็นับเป็นจุดเริ่มต้นแล้ว” ไนน์สรุป

X = Coffee Shop, Y = Consultant

หลิงและไนน์เริ่มต้นร้านนี้ด้วยการเรียนรู้เองทั้งหมด นอกจากรู้วิชาการทำร้านกาแฟ (และ Project Space) พวกเขายังรู้ว่าความลำบากของคนที่กำลังจะเปิดคาเฟ่คืออะไร

นั่นคือที่มาของโปรเจกต์ WXY ที่ปรึกษาแบบ one-stop service สำหรับคนที่อยากเปิดร้านกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นด้านกาแฟ เมนูอื่นๆ ดีไซน์ ไปจนถึงการบริหารร้านซึ่ง XXXYYY ทำร่วมกับเอี๊ยดแห่งร้าน Wonderroom

“หลิงกับไนน์ทำทุกอย่างด้วยตัวเองแต่แรก เจ็บปวดล้มลุกคลุกคลานกันมาเยอะ เพื่อนๆ เราเองเปิดร้านก็เจอปัญหามากมายเราเลยรวบเอาทุกปัญหาที่เคยเจอมาลิสต์เป็นเหมือนบทเรียนแล้วก็ทำเป็นเซอร์วิสให้คำปรึกษาสำหรับคนที่อยากเปิดร้านกาแฟ” หลิงเล่าถึงจุดเริ่มต้นก่อนไนน์จะเล่าต่อว่า

“ตอนที่เปิดร้านมันก็ลำบากนะ แบบเราทำแบรนด์ดิ้งได้แต่อินทิเรียร์ต้องไปหาใคร เราจะทำกาแฟยังไง

“แล้วแต่ละที่เขาก็แยกกันอีก สมมติเราอยากเรียนเรื่องกาแฟก็ต้องไปหาสถาบันกาแฟหรือโรงคั่วที่จะช่วยเราได้ เราเลยรวบเป็น one-stop service เลยดีกว่า เราถนัดเรื่อง creativity และกาแฟ เอี๊ยดถนัดเรื่อง green beans หรือเมล็ดที่จะนำไปคั่วเลยมาทำร่วมกัน” ไนน์เสริม

เพียงเปิดเซอร์วิสมาไม่นาน ตอนนี้ WXY ให้คำปรึกษาแก่คาเฟ่ไปแล้วมากกว่า 5 แห่ง เช่น ออกแบบเมนูเครื่องดื่มให้ Stockroom ราชเทวี และเป็นที่ปรึกษาให้ Mad Bacon ร้านของชำรุ่นใหม่ในย่านอารีย์

“งานนี้ทำให้เรารู้สึกดี ถึงกับบางร้านเราจะไม่ได้ช่วยเขาทุกด้านแต่มันก็ทำให้เราได้เห็นความตั้งใจ เห็นร้านกาแฟเกิดใหม่ที่โฟกัสคุณภาพรอบด้านเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรานับว่าเป็นเวฟที่ดีนะ” หลิงพูดด้วยรอยยิ้ม

XXXXYYY

ร้านเปิดมาได้ปีครึ่ง เคยจัดนิทรรศการรวมดีไซเนอร์มากมาย และกลายเป็นที่ปรึกษาร้านกาแฟเปิดใหม่ แต่หลิงและไนน์ก็ยังเห็นว่า XXXYYY พัฒนาได้อีกมากอยู่ดี

“เราอยากพัฒนาทุกด้านเลย ทั้งร้านกาแฟและโปรเจกต์สเปซ อยากให้อะไรกับคนที่มาแสดงงานได้มากขึ้น อย่างงาน Whatever Sticker (นิทรรศการที่ชวนศิลปินมาตีความสติกเกอร์ในแบบของตัวเอง) พวกเราดีใจที่ได้ทำเพราะว่าทุกคนที่มาแสดงงานเขารู้สึกจริงๆ ว่าลูกค้าหรือคนที่มาดูงานปฏิสัมพันธ์กับเขา เขาได้ฟีดแบ็กจริงๆ เราอยากให้บรรยากาศแบบนั้นขยายขึ้นอีกซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราสองคนที่ต้องไปเรียนรู้วิธีจัดนิทรรศการให้คนดูมีส่วนร่วมไปด้วย ไม่ใช่แค่ใช้ตาดู แต่ว่าดูแล้วรู้สึก ดูแล้วเกิดอะไร เขาได้อะไรกลับไปจริงๆ” หลิงพูดด้วยความตั้งใจ

“ต่อไป XY อาจจะไม่ได้แปลว่าร้านก็ได้นะ อย่างงาน Whatever Sticker เราจะขยายมันขึ้นไปอีกก็ได้ ไม่ได้ยึดติดว่าต้องทำที่แค่ร้านของเราอย่างเดียว ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจับเพราะยังสนุกกับมันอยู่​” ไนน์ซึ่งชอบนิทรรศการนี้เป็นพิเศษบอกก่อนหลิงจะทิ้งท้าย

“เราอยากมีโอกาสถ่ายทอดให้คนรับรู้ว่าเราว่าไม่ได้เป็นร้านที่มาได้แค่เพื่อเช็กอินหรือมีมุมถ่ายรูปสวย แต่ว่าเป็นร้านที่ใครมาก็ได้ไวบ์อะไรบางอย่างกลับไปเพื่อต่อยอด

“เราชอบเวลาคนรีวิวว่ามาร้านนี้สนุก ชอบคำนี้ อยากคีปความรู้สึกนั้นไว้แล้วก็ทำให้มันสนุกยิ่งๆ ขึ้นไป”

Chicago Express : นักบริหาร vs นักลงทุน

เส้นทางสู่ความมั่งคั่งในโลกธุรกิจสมัยใหม่มีมากมายหลายเส้นทาง แต่ถ้าจะนับอย่างหยาบๆ เราอาจแบ่งเส้นทางทั้งหมดออกเป็นถนนสองสายใหญ่ๆ คือ สาย ‘นักบริหาร’ กับสาย ‘นักลงทุน’ 

‘นักบริหาร’ สนใจด้านการบริหารธุรกิจ คิดค้นสินค้าและบริการ ขยายตลาด หารายได้ใหม่ๆ ให้กับองค์กร ยิ่งสามารถบริหารบริษัทให้เติบโต มีกำไรดีเพียงใด ยิ่งได้ค่าตอบแทนสูงเป็นเงาตามตัวเท่านั้น ส่วน ‘นักลงทุน’ ไม่ได้ชอบการบริหารจัดการเท่ากับการแสวงหาผลตอบแทนจากการเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทต่างๆ ที่มีแนวโน้มดี (ซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะดีเพราะนักบริหารบริหารเก่งนั่นแหละ!) 

เมื่อคนแบบ ‘นักบริหาร’ และ ‘นักลงทุน’ มาอยู่ในองค์กรเดียวกัน พวกเขาอาจขัดแย้งกันก็ได้เพราะมองจากคนละมุม แน่นอนว่านักลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทย่อมอยากได้คนเก่งๆ มาเป็นนักบริหาร และจ่ายค่าตอบแทนสูงพอที่จะดึงดูดนักบริหารเก่งๆ ให้อยู่กับบริษัทไปนานๆ แต่พวกเขาย่อมไม่อยากจ่ายเยอะเกินจำเป็น เพราะยิ่งนักบริหารได้ค่าตอบแทนและโบนัสต่างๆ มากเพียงใด ยิ่งแปลว่านักลงทุนยิ่งมีโอกาสได้เงินปันผลน้อยลงเพียงนั้น (เพราะปันผลจ่ายจากกำไรสุทธิของบริษัท หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่าตอบแทนผู้บริหาร) 

นอกจากนี้ นักบริหารกับนักลงทุนอาจมองไม่ตรงกันเรื่องแผนการลงทุนเพื่ออนาคตของบริษัท นักบริหารอาจอยากนำเงินเก็บสะสมของบริษัทไปเสี่ยงลงทุนสร้างโครงการใหม่ๆ เพราะเชื่อว่ามันจะสร้างกำไรได้ดี ขณะที่นักลงทุนอาจไม่อยากให้นำเงินของบริษัทไปเสี่ยงขนาดนั้น อยากให้นำกำไรสะสมออกมาจ่ายเป็นปันผลให้นักลงทุนมากขึ้น หรือไม่อยากให้กู้เงินมาลงทุนเพราะมองว่าเสี่ยงสูงเกินไป เป็นต้น

ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดในบริษัทแบบธุรกิจครอบครัวที่นักลงทุนกับนักบริหารมักเป็นคนกลุ่มเดียวกัน (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่ว่าคนในครอบครัวอาจบริหารได้ไม่เก่งเท่ากับผู้บริหารมืออาชีพ) แต่ในบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนในหมวกผู้ถือหุ้นย่อมไม่อยากปล่อยให้นักบริหารมีอำนาจกำหนดค่าตอบแทนของตัวเอง ผู้ถือหุ้นจะอยากแต่งตั้งกรรมการบริษัทอิสระ (independent director หมายถึงกรรมการที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ไม่ได้มีตำแหน่งบริหารใดๆ ในองค์กร และดังนั้นจึงน่าจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของคณะผู้บริหาร) มาเป็นคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทน มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินเดือน โบนัส และค่าตอบแทนอื่นๆ ของผู้บริหารสูงสุดในองค์กร 

คำถามที่ว่า ‘ใคร’ ควรมีอำนาจควบคุมบริษัทมากกว่ากัน ระหว่าง ‘นักบริหาร’ ที่มีฝีมือแต่ไม่ได้ออกเงินลงทุน กับ ‘นักลงทุน’ ที่อาจไม่มีประสบการณ์บริหารแต่เป็นคนออกเงินลงทุน ไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ง่าย และแรงตึงเครียดระหว่างนักบริหารกับนักลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะขจัดได้ง่ายๆ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมองคนละมุมตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง สถานการณ์ที่ดีที่สุดอาจเป็นการใช้แรงตึงเครียดนี้อย่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างเคารพในบทบาทหน้าที่ของกันและกัน

บอร์ดเกม Chicago Express เป็นเกมเศรษฐศาสตร์เล่นง่ายที่ทำให้เราเข้าใจแรงจูงใจที่แตกต่างกันระหว่าง ‘นักบริหาร’ และ ‘นักลงทุน’ ได้ดีมากภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เกมนี้สร้างจากประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถไฟของอเมริกายุคบุกเบิก ยุคที่บริษัทสร้างทางรถไฟชื่อดังอย่าง B&O, C&O, Pennsylvania,  New York Central และน้องใหม่ไฟแรง Wabash แข่งกันวางทางรถไฟเชื่อมระหว่างชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาไปยังชิคาโก ที่มาของชื่อเกม เราสวมบทบาทเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่สนใจจะลงทุนในบริษัทรถไฟต่างๆ เหล่านี้ 

เรียกว่าเราจะสวมหมวกเป็น ‘นักลงทุน’ ตั้งแต่ต้น

Chicago Express

ผู้เล่นทุกคนเริ่มต้นด้วยเงินทุนตั้งต้นจำนวนเท่ากัน ก่อนเริ่มเกมต้องนำเงินนั้นมาประมูลหุ้นของบริษัทรถไฟชุดแรก 4 บริษัท ถ้าไม่มีหุ้นในบริษัทอะไรเลย เราก็จะทำแอ็กชั่น (สวมบทเป็น ‘นักบริหาร’) บริษัทนั้นๆ ไม่ได้

เงินที่เราจ่ายซื้อหุ้นของบริษัทจะเข้ากระเป๋าของบริษัท ไม่ใช่กระเป๋าส่วนตัวของเรา การแยกแยะระหว่าง ‘เงินส่วนตัว’ กับ ‘เงินของบริษัท’ เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเกมไม่แพ้ในโลกจริง และเป็นจุดที่ทำให้ Chicago Express ขับเน้นความแตกต่างระหว่าง ‘นักบริหาร’ กับ ‘นักลงทุน’ ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน การตัดสินแพ้-ชนะ ในเกมนี้ตัดสินจากความมั่งคั่งส่วนตัวของเราตอนจบเกม ไม่ใช่ความมั่งคั่งของบริษัท 

หลังจากที่จบการประมูลซื้อหุ้นแล้ว เราก็จะสลับกันเล่นคนละ 1 แอ็กชั่น แอ็กชั่นที่เลือกได้มี 3 อย่างเท่านั้น คือ หนึ่ง–สร้างทางรถไฟบนแผนที่ (ต้องใช้เงินของบริษัท ไม่ใช่เงินส่วนตัวของผู้ถือหุ้น) ผลลัพธ์คือเพิ่มรายได้ของบริษัท ยิ่งสร้างทางเชื่อมเมืองและเมืองอุตสาหกรรม บริษัทยิ่งทำรายได้เยอะ สอง–พัฒนาที่ดินตามทางรถไฟ ผลลัพธ์คือเพิ่มรายได้ของบริษัทเช่นกัน หรือสาม–ประมูลซื้อหุ้นเพิ่มจากบริษัทไหนก็ได้ในเกม (เราได้หุ้น บริษัทได้เงิน) ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นจากบริษัทเริ่มต้นของเราเพียงบริษัทเดียว 

กติกาการประมูลหุ้นในเกมนี้เรียบง่ายและสะท้อนกลไกตลาดในโลกจริง ราคาประมูลขั้นต่ำคำนวณจากรายได้ของบริษัท ณ ขณะนั้น หารด้วยจำนวนใบหุ้นที่ขายออกไปแล้ว นับรวมใบหุ้นที่กำลังประมูลด้วย ปัดเศษขึ้นให้ลงตัว 

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราอยากประมูลซื้อหุ้น New York Central ที่ตอนนี้มีรายได้ $22 และมีคู่แข่งเราถือหุ้นบริษัทนี้แล้วคนละ 1 หุ้น แปลว่าเราต้องเสนอราคาขั้นต่ำ ($22 / 3 หุ้น) = $7.33 ปัดขึ้นเป็น $8 ใครที่อยากประมูลแข่งกับเราต้องขานเลขสูงกว่าเรา การประมูลจะวนไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกคนจะผ่านหมด คนที่ชนะประมูลจะได้ใบหุ้นของบริษัทนั้นไป และต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นเข้าบริษัท

หนึ่งตาในเกมนี้จะจบลงเมื่อแอ็กชั่น 2 ใน 3 อย่างข้างต้นหมดโควตา (โควตาดูจากหน้าปัดแอ็กชั่นบนกระดาน) จากนั้นบริษัทรถไฟทุกบริษัทในเกมก็จะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในจำนวนเท่าๆ กัน แน่นอนว่าบริษัทไหนที่มีผู้ถือหุ้นหลายคน เงินปันผลต่อหุ้นก็จะน้อยกว่าบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นน้อยคนหรือคนเดียวที่ราคาตลาดเท่ากัน เพราะต้องกระจายเงินให้กับคนจำนวนมากกว่า 

Chicago Express สกัดแก่นสารของธุรกิจหลายอย่างลงมาเป็นกติกาที่เรียบง่าย แต่การตัดสินใจในเกมนี้ไม่ง่ายเลย เริ่มตั้งแต่การต้องประเมินว่าเราควรซื้อหุ้นบริษัทไหนตอนไหนดี และราคาหุ้นขั้นต่ำตอนที่เราจะประมูลน่าจะ ‘คุ้ม’ หรือเปล่า เราจะยอมทุ่มทุนถึงราคาไหน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินว่าแต่ละบริษัทมีแนวโน้มดีไหม คุ้มไหมที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ (และโกยปันผลเข้าตัวเองคนเดียว) และเราอยากให้บริษัทได้เพิ่มทุน (จากการขายหุ้น) เพื่อขยายทางรถไฟแค่ไหน

Chicago Express

เราจะพบความแตกต่างระหว่างวิธีคิดแบบ ‘นักบริหาร’ กับ ‘นักลงทุน’ อย่างชัดเจนด้วยการสังเกตดูพฤติกรรมผู้เล่น คนที่เป็นแนว ‘นักบริหาร’ มากกว่าจะสนใจสร้างทางรถไฟ พัฒนาที่ดินข้างทาง พูดง่ายๆ คือ บริหารบริษัทให้ก้าวหน้า รายได้เติบโต มากกว่าสนใจหาจังหวะซื้อหุ้นเพิ่ม (แต่แน่นอน เรามีสิทธิบริหารเฉพาะบริษัทที่เรามีหุ้นในบริษัทนั้นๆ เท่านั้น กติกานี้ก็คล้ายกับโลกจริงเหมือนกันตรงที่บริษัทจำนวนมากนิยมจ่ายค่าตอบแทนผู้บริหารบางส่วนเป็น stock option หรือสิทธิในการซื้อหุ้น เพื่อปรับแรงจูงใจของผู้บริหารให้สอดคล้องกับผู้ถือหุ้นมากขึ้น)

ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นที่เป็นแนว ‘นักลงทุน’ มากกว่าจะคอยสังเกตดูว่าบริษัทไหนมีแนวโน้มดี (หลักๆ ก็คือสังเกตผู้เล่นแนว ‘นักบริหาร’ ที่กำลังขยายทางรถไฟอย่างเมามัน!) แล้วประมูลซื้อหุ้นในจังหวะที่เหมาะสม เช่น เมื่อบริษัทยังมีรายได้น้อย และผู้เล่นคนอื่นมีเงินไม่เท่าเรา จากนั้นก็รอรับเงินปันผลงามๆ จากผลงานการบริหารของคนอื่น 

ผู้เล่นแนว ‘นักลงทุน’ อาจทำตัวเป็นนักลงทุนแนวบ่อนทำลาย หรือที่ครั้งหนึ่งในอเมริกาเคยเรียกว่า corporate raiders หรือนักจู่โจมบรรษัทก็ได้ เช่น ด้วยการซื้อหุ้น 1 หุ้นในบริษัทคู่แข่งที่กำลังสร้างทางรถไฟแข่งกับเรา เพียงเพื่อจะได้มีสิทธิในการบริหาร จากนั้นก็ ‘แกล้ง’ บริษัทนั้นๆ ด้วยการใช้เงินของบริษัทอย่างสุรุ่ยสุร่าย สร้างทางรถไฟยืดยาวไปกลางทุ่งที่ไม่สร้างรายได้อะไรเลย เพราะอยากบีบให้บริษัทนั้นขาดเงิน หมดโอกาสที่จะมาแข่งกับบริษัทที่ตัวเองอยากสนับสนุน เป็นต้น

ความสนุกของ Chicago Express อยู่ที่ความหลากหลายของกลยุทธ์ และการฟาดฟันระหว่าง ‘นักบริหาร’ กับ ‘นักลงทุน’ ในทางที่เล่นซ้ำได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีทางที่ 2 เกมจะเหมือนกัน และ ‘โชค’ ก็ไม่มีบทบาทในเกมนี้แม้แต่น้อย 

จุดเด่นอีกอย่างของเกมนี้ก็คือ เป็นเกมเศรษฐศาสตร์ส่วนน้อยที่เล่นได้ถึง 6 คน โดยไม่ต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง และประสบการณ์การเล่นก็จะแตกต่างตามจำนวนผู้เล่น แต่ไม่ว่าจะเล่นกี่คน เราก็เลือกได้เสมอว่าจะอยากเป็นอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง ‘นักบริหาร’ กับ ‘นักลงทุน’ และการให้น้ำหนักระหว่างสองแนวนี้ก็ขยับได้ตลอดเวลาระหว่างการเล่น 

เช่นเดียวกับโลกธุรกิจจริงที่เราต้องพร้อมเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่เสมอ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ใครที่เราเคยมองว่า ‘พันธมิตร’ เพราะลงทุนในบริษัทเดียวกัน อาจเปลี่ยนเป็น ‘คู่แข่ง’ หรือแม้แต่ ‘ศัตรู’ คู่อาฆาต ได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อผลประโยชน์เริ่มไปกันคนละทาง

Day 1 ของ JoyToys ผู้นำเข้า Jellycat แบรนด์ตุ๊กตาขนนุ่มจากอังกฤษ

Joytoys

Joytoys Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Joytoys

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม