เบื้องหลัง ปา เฮ่า เถียน มี่ ร้านขนมที่แปลงร่างมาจากบาร์คอนเซปต์โรงเตี๊ยม ปา เฮ่า

ปา เฮ่า เถียน มี่

ปา เฮ่า เถียน มี่ Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

การวางแผนกระแสเงินสดและเรื่องที่ผู้ประกอบการควรรู้

คำถามจากผู้อ่านวันนี้เป็นเรื่อง cash flow หรือกระแสเงินสดที่ผู้ประกอบการควรรู้ว่าจะจัดสรรอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจไปได้ต่อ

ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น เวลาทำธุรกิจมี 2 เรื่องที่เราอยากให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ

เรื่องแรกคือ ใครคือกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการที่เราตั้งใจทำ ซึ่งก็เป็นหลักการเบื้องต้นของเรื่องมาร์เก็ตติ้ง หรือเรื่องการตลาด แต่ตั้งใจจะขายใครก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งนั้นสร้าง value ให้ลูกค้าได้จริงมั้ย จงสร้างสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าและบริการจากเรานั้นมีค่า เช่น การส่งมอบอาหารที่ให้คุณค่าคุ้มราคา นี่คือโจทย์แรกๆ ที่ผู้ประกอบการควรผ่านให้ได้ก่อน 

คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังจะขายใคร ขายที่ราคาเท่าไหร่ ถ้าขายราคาเท่านี้ในต้นทุนที่คุณมีนั้นคุณอยู่ได้หรือเปล่า คุณอาจจะบอกว่า ต้นทุนกาแฟของคุณแก้วละ 20 บาท คุณขาย 40 บาท คุณอยู่ได้ เพราะได้กำไร 20 บาทต่อแก้ว แต่คุณต้องคิดต่อว่า วันหนึ่งคุณจะขายได้กี่แก้ว ถ้าขายได้ 10 แก้ว คุณได้กำไร 20 บาทต่อแก้ว แปลว่าคุณได้เงินวันละ 200 บาท คุณก็อาจจะอยู่ไม่ได้ใช่มั้ยคะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องคิดให้รายละเอียด หนึ่งคือขายใคร และขายแล้วอยู่ได้มั้ย อันนี้เป็นโจทย์แรก

เรื่องที่สองคือ เรื่อง finance หรือเรื่องการเงิน ซึ่งมาสู่คำถามที่เปิดไว้ตอนต้นเกี่ยวกับกระแสเงินสดหรือวงจรเงินสดที่ผู้ประกอบการควรรู้

วงจรเงินสดที่อยู่ในธุรกิจประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ส่วนแรกเรียกว่า operating cash flow คือกระแสเงินสดที่ใช้ในการทำธุรกิจในแต่ละวัน เช่น เปิดร้านราดหน้า มีห้องแถวที่เซ้งเรียบร้อยแล้ว วันนี้คุณซื้อหมู ซื้อเส้น ซื้อผักหมดเงินไป 3,000 กว่าบาท ขายจานละ 50 บาท ขายได้ทั้งหมด 200 จาน ได้เงินมาทั้งหมดประมาณ 10,000 บาท อย่างนี้ร้านอยู่ได้ แต่ถ้าปรากฏว่าวันนี้ผัดราดหน้าแทบตาย ขายได้ 100 จาน ได้เงิน 5,000 บาท เหลือของสดในตู้เย็นต้องทิ้งเสีย อันนี้ร้านอาจจะเริ่มอยู่ไม่ได้ 

ส่วนที่สองคือ investing cash flow เวลาที่เราจะเริ่มธุรกิจแล้วต้องลงทุนเช่าห้องแถว ซื้อโต๊ะ ซื้อตู้ ซื้ออะไรต่างๆ ใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ นอกจากเป็นเงินก้อนสำหรับลงทุนอะไรชิ้นใหญ่แล้ว สิ่งที่อยากแนะนำคือ investing cash flow ต้องสามารถเลี้ยง operating cash flow ได้สัก 3 ปี สมมติถ้าคุณคิดว่าคุณจะใช้เงินทั้งหมดเบ็ดเสร็จเดือนละ 100,000 บาท นั่นหมายถึงว่าคุณใช้เงิน 1.2 ล้านบาทต่อปี หรือใช้เงิน 3.6 ล้านบาทใน 3 ปี เพราะฉะนั้นคุณต้องตั้งเงินตั้งต้น 3-4 ล้านบาท เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจคุณจะไปต่อได้แม้ไม่มีรายได้ในช่วง 3 ปี เหมือนติดกันชนให้กับธุรกิจ และหากระหว่างทางคุณหารายได้มากพอที่จะทำให้ operating cash flow เป็นบวก ธุรกิจก็อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องไปแตะต้องเงิน 3 ล้านบาทนี้ 

แต่ถ้าเรามี investing cash flow ไม่พอ สมมติเราใช้เดือนละ 100,000 บาท เราคิดว่าเราเอาเงินแสนบาทแรกลงไปหมด ปรากฏเดือนนี้ทั้งเดือนหาเงินกลับมาไม่ได้ เท่ากับว่าคุณเปิดร้านเดือนเดียวก็ปิดร้านได้ทันที

ส่วนที่สามคือ financing cash flow คือระหว่างที่คุณอาจจะหาเงิน 3 ล้านมาเป็น investing cash flow ไม่ได้ แต่มีเงินตั้งต้น 100,000 บาทแล้วแน่ๆ financing cash flow คือเงินที่คุณกู้ยืมคนอื่นมาก่อน อาจจะไม่ใช่สำหรับ 3 ปี แต่เป็นเงินทุนสำหรับ 6 เดือน แล้วลองหมุนจากตรงนั้นเพื่อที่อย่างน้อยที่สุดคุณจะมีแรงสู้ทำธุรกิจไปได้ 6 เดือน เพราะไม่มีทางที่ลูกค้าจะรู้จักสินค้าคุณตั้งแต่วันแรก คุณอาจจะต้องให้เวลาสร้างการรู้จัก 2-3 เดือนเป็นต้นไป 

โดยสรุปแล้ว เงินทั้ง 3 ส่วนนี้คือเงินลงทุนที่จะถูกรันทุกวันว่า สตางค์เหลือหรือขาด ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แค่เงินเข้าและเงินออกเท่านั้นแหละ เงินเข้าเท่าไหร่ เงินออกเท่าไหร่ กระแสเงินสดแต่ละวันเป็นอย่างไร นี่คืองานอันดับแรกสุดของเจ้าของธุรกิจ ต้องเข้าใจและรู้จักบริหารจัดการวงจรเงินสดเหล่านี้

นอกจากนี้ ระยะเวลาการจ่ายเงินช้าหรือเร็วก็มีส่วนสำคัญในการบริหาร cash flow ด้วย เช่น หากต้องจ่ายค่าเช่าร้านล่วงหน้า 6 เดือน แสดงว่าเงินของคุณจะลงไปจมอยู่ในค่าเช่าถึง 6 เดือน ซึ่งคุณจะเหนื่อย ทำไมไม่เจรจาขอจ่ายมัดจำแค่เดือนเดียว แต่ขอจ่ายค่าเช่าตรงเวลาทุกเดือน หากเขายอมรับเงื่อนไข จากเงินทุนที่จะจม 6 เดือน ก็กลายเป็นจมแค่เดือนเดียว ส่วนเงินที่ใช้เป็นค่าวัตถุดิบ จะวางแผนอย่างไรที่จะสั่งของเดือนนี้ แต่จ่ายเงินเดือนหน้า เพื่อให้เครดิตวิ่งไปถึง 40-45 วัน อันนี้เรียกว่าการบริหาร cash flow 

สิ่งที่สำคัญสำหรับการเงินก็คือ เงินเข้าเร็ว เงินออกช้า ไปจนถึงถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ เรารู้เองว่าอะไรคือเรื่องที่เราควรและไม่ควรฟุ่มเฟือย เช่น ในวันนี้เห็นน้องๆ สตาร์ทอัพหลายคนพยายามทำออฟฟิศในฝัน มีเลี้ยงข้าวกลางวัน มีขนมขบเคี้ยว มีของกิน คำถามคือพวกนี้เป็น extra เท่าไหร่ สมมติเดือนละ 50,000-60,000 บาท ถ้ามีรายได้เพียงพอก็ควรทำ แต่ถ้ารายได้ไม่เพียงพอไม่อยากให้ทำเลย แต่น้องๆ ก็อาจจะบอกว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้ ออฟฟิศสตาร์ทอัพก็จะแห้งเหี่ยวมาก 

เราอยาก recommend ว่าให้ไปเอาไอศครีมมาเลี้ยงน้องๆ มันไม่บูดไม่เน่า แล้วการกินไอศครีมในช่วงบ่ายคือดีที่สุด หรือถ้าไม่มีเงินตั้งตู้เย็นก็ลองคุยกับร้านรถเข็น บอกให้เขามาที่ออฟฟิศทุกๆ บ่ายสอง มันก็อยู่ที่การคิด การวางแผน การบริหารจัดการ จริงๆ หลายครั้งเราไม่สามารถอยู่แบบฟุ่มเฟือยได้ แล้วทำไมต้องฟุ่มเฟือย เราสามารถอยู่แบบ lean หรือวันนี้ที่เวิร์กฟรอมโฮมได้ ออฟฟิศไม่จำเป็นต้องหรูหราแล้ว อยู่ที่ไหนก็นั่งทำงานได้ ตัดสินใจได้ อันนี้ต่างหากที่สำคัญนะคะ

และเมื่อธุรกิจไปได้ดี เมื่อไหร่ที่เจ้าของกิจการควรคิดที่จะขยาย คำตอบคือเรื่องคน 

ทั้งคนที่ทำงานให้คุณ สาขาแรกอาจจะ the best แต่ไปสาขาที่สอง สมมติคุณควบคุมคุณภาพไม่ได้กลายเป็นทำแบรนด์เสีย และคนที่เป็นลูกค้า คุณมีคนที่ต้องการสินค้าและบริการจากคุณเพียงพอหรือเปล่า วันที่เราเปิดร้านร้านเดียว คุณมีลูกค้ามาใช้บริการแน่นร้านจริง เปิดร้านที่สองคนอาจจะไม่แน่นร้านก็ได้

เราพบว่าแทนที่ผู้ประกอบการจะมุ่งไปที่การขยายร้าน สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำอย่างไรให้ process หรือกระบวนการของงานใช้เวลาน้อยลง อย่างในอดีตมีร้านอาหารหลายร้านที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า เขาอาจจะขายได้แค่สองมื้อต่อวัน คือกลางวันกับเย็น ก็มีร้านอาหารที่ทำมื้อเช้ามาขายในช่วงเวลา 10 โมง เช่น McDonald’s ที่มี breakfast set แล้วก็มี lunch set ระหว่างวันก็มี meal ที่กินได้ตลอดวัน มีทั้งข้าว ขนมปัง บางร้านตอนเย็นอาจจะขายเครื่องดื่มอย่างเบียร์ หรือครีเอตเมนูแปลกๆ ในขณะที่คนอื่นมี turnover แค่ 2 รอบ ทำอย่างไรร้านเราจะมี turnover 3-4 รอบได้ นี่เป็นวิธีคิดที่น่าสนใจ

ในเรื่องธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ออฟฟิศที่คุณใช้ พนักงานที่คุณมี ทำอย่างไรที่จะใช้คนและเวลาเท่าเดิม แต่เพิ่มศักยภาพในงานให้มากขึ้น ทำ process ให้ดีขึ้น และถ้าถึงจุดที่ธุรกิจต้องขยายต้องก็ดูว่าตลาดพร้อมมั้ย คุณอาจจะใช้ตัวคุณเองในวันแรกที่คุณทำธุรกิจ เพื่อเทสต์ว่า วันแรกที่เราเปิดสำนักงานใหญ่นี้ เราใช้เวลากี่เดือนในการสร้างขึ้นมา สาขาใหม่ก็ควรทำได้ในสัดส่วนที่เร็วขึ้น เพราะคนรู้จักแบรนด์หรือธุรกิจคุณมากขึ้นจริงมั้ย จากนั้นดูว่ากระแสเงินสดดีขึ้นแค่ไหนมั้ย สะดุดมั้ย เหล่านี้จะตอบคำถามว่าคุณควรจะขยายสาขาหรือเปล่า

สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ เรื่องบัญชีนั้นไม่น่ากังวลเท่าแผนธุรกิจ ถ้าเป็นร้านอาหาร อะไรคือ signature dish อะไรคือความแตกต่างที่ลูกค้าหาจากที่อื่นไม่ได้ และสุดท้ายคุณสร้าง loyalty customer ได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะธุรกิจอะไร หากคุณสามารถทำให้ลูกค้าคนนั้นกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณคือผู้ชนะ

หนังที่คุณเห็นว่าทำรายได้ 100 ล้านบาท นั่นคือหนังที่มีคนดูมากกว่า 2 รอบ เพราะว่าคนกลุ่มที่ดูจริงๆ มันมีอยู่จำนวนนึงเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการที่หนัง 1 เรื่องภายใน 1 อาทิตย์ ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท เท่ากับว่ามีเขาที่ยอมซื้อตั๋วดูเรื่องนั้นเกิน 2 รอบ หมายความว่าเขาชอบจนไปชวนเพื่อนอีกคนนึงมาดู นี่คือความลับของฟ้า แต่ถ้าคุณทำให้เขาชอบหนังของคุณไม่ได้ นอกจากคุณจะพาเขากลับมาดูซ้ำไม่ได้แล้ว เขายังจะ kill คนอื่นที่มีโอกาสมาดูอีก เพราะเขาสามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงไม่ควรเสียเวลา 2 ชั่วโมงไปกับหนังเรื่องนั้น

คุณเดช บุลสุข เจ้าของร้าน McDonald’s ประเทศไทยชอบพูดถึง 4HIT ว่าในฐานะเจ้าของธุรกิจ hit แรกคือ hit first หมายถึงคุณเจออะไรดีๆ เจอไอเดียดีๆ ก็ไม่ต้องรอคนอื่น จงทำเลย คิดเป็นคนแรกก็ทำคนแรก หลายคนพอคิดไอเดียนี้ รอคนอื่นทำก่อน ทำดีแล้วค่อยเลียนแบบเขา ค่อยทำตาม

แต่ถ้าเกิดบางเรื่องเป็นไอเดียที่ดีมากๆ แต่เราไม่ได้คิดคนแรก คุณเดชบอกว่าต้อง hit it harder ถ้าทำก็ต้องทำให้แรงกว่าเขา เขา Midnight Sales 30% เราก็ต้อง Midnight Sales 50% หรืออาจจะตีหนึ่ง Sales ไปเลย คือถ้าทำเท่าเขาแล้วลูกค้าจะมาทำไม ในเมื่อคนเก่าเขาก็ให้แบบนี้ หรือธนาคารนี้ให้ดอกเบี้ยเท่านี้ ถ้าเราลดดอกเบี้ยเท่าเขา เราจะทำทำไมใช่มั้ยคะ ถ้า hit ก็ hit it harder ให้เป็นที่จดจำ 

แต่ถ้าเกิดมีคน hit first แล้ว hit harder แล้ว เรามี budget น้อยมากๆ เลย คุณเดชก็บอกว่าต้อง hit it accuracy ตีให้แม่น ตีให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของเรา มีเรื่องที่ผู้เขียนชอบเล่าเสมอ สมมติคุณมีร้านเสริมสวยอยู่ร้านหนึ่ง มีเก้าอี้ 10 ตัว คุณจะโฆษณามหาศาลไปทำไมในเมื่อร้านคุณมีเก้าอี้แค่ 10 ที่นั่ง สิ่งที่คุณควรทำคือ โฆษณากับคนที่ใช้อยู่ ให้เขาพาเพื่อนมาก็พอแล้ว เราต้องการให้ลูกค้าต่อรายมาเสริมสวยสักครั้งก็ 20,000-30,000 ร้านก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องการให้ลูกค้ามาทีละ 500 คน ซะที่ไหน ดังนั้นคุณจะออกไปหว่านโฆษณาทำไม สิ่งที่คุณต้องการคือปากต่อปากที่มาจากลูกค้าเพียงกลุ่มเดียว นี่คือสิ่งที่ hit it accuracy ใช้ budget ให้ถูกต้องและตรงกลุ่ม แล้วสินค้าเราอย่างที่บอกมีความแตกต่างอยู่แล้ว สมมติคุณจะเปิดร้านกาแฟ คำถามคือซิกเนเจอร์ร้านคุณคืออะไร เป็นเมนูนี้ที่ทุกคนมาต้องลอง หรือถ้าไปร้านแหลมเจริญต้องไปกินปลากระพงทอดน้ำปลา ไป After You ทำไมต้องกินบิงซูหน้าตาแบบนี้ ไปร้านเจ๊โอวทำไมต้องสั่งมาม่าเที่ยงคืน ไปเจ๊ไฝทำไมต้องสั่งไข่เจียวปู 

เมื่อมี hit first, hit it harder, hit it accuracy คุณเดชบอกว่าทั้งหมดจะชนะด้วย hit ตัวสุดท้าย นั่นคือ hit it consistency คือมาให้สม่ำเสมอ การมาสม่ำเสมอนี่รุนแรงที่สุดแล้ว

สมัยตอนเด็กๆ จำได้เลยว่ามีโฆษณาคิกคาปู้มาแป๊บเดียวแต่จำได้ สมัยนี้ก็ยังมีโฆษณาลักษณะนี้ คือฉายตามหลังปิดช่วงข่าว เช่น น้ำยากระต่าย หรือสบู่อะไรแล้วแต่ เขามาน้อยมากแต่เขามาที่เดิมทุกวัน ทุกครั้งที่มีการปิดเบรก นั่นแหละคือสิ่งที่เป็น consistency ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว กิจการร้านค้าใดที่มาด้วยความสม่ำเสมอ ทั้งคุณภาพ ราคา และการดูแลลูกค้า สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้ธุรกิจยืนระยะได้ 

เคยมีร้านที่แต่ไหนแต่ไรมาขายลูกชิ้น 12 ลูก คิดชามละ 50 บาท พอเกิดวิกฤต เขาอยากคงราคา 50 บาท แต่เลือกที่จะลดจำนวนลูกชิ้นจาก 12 ลูก เหลือ 6 ลูก 

คำถามคือ คุณทำทำไม 

เพราะลูกชิ้น 6 ลูก ลูกค้าหาจากที่ไหนก็ได้ ทำไมคุณไม่ขึ้นราคาลูกชิ้น 12 ลูก จาก 50 บาทเป็น 80 บาท เราว่าลูกค้ายังแฮปปี้กับคุณภาพมากกว่าที่คุณจะไปลดราคา 

ผู้เขียนชอบเล่าเรื่องหนึ่ง เวลาไปซื้อข้าวหมกไก่ เราจะพบว่ามีไก่ชิ้นๆ เรียงรายเต็มตู้ สิ่งที่แม่ค้าชอบทำคือ เอาไก่ชิ้นเล็กที่สุดตักให้เรา แล้วเขาจะเก็บชิ้นใหญ่ไว้ เพื่อที่คนมาทีหลังจะได้เห็นว่ามีไก่ชิ้นใหญ่ๆ อยู่ที่ร้าน 

เราจะบอกว่านั่นเป็นความผิดพลาดที่สุดของการค้าขาย 

ถ้ามีโอกาส เราจะบอกเขาว่าทำไมคุณไม่ตักชิ้นใหญ่ที่สุดให้ลูกค้าตรงหน้า เพราะลูกค้าจะจำได้ว่าคุณตักชิ้นใหญ่ที่สุด และคนที่มาที่สองเขาก็ไม่เห็นแล้ว เพราะเขาจะได้ชิ้นใหญ่ที่สุดของชิ้นถัดไปที่อยู่ตรงนั้น และทุกคนจะจดจำว่าแม่ค้าเจ้านี้ตักชิ้นใหญ่ที่สุดให้ตลอดเวลา 

แต่การที่แม่ค้าตักไก่ชิ้นเล็กให้ ลูกค้าจะจำว่าแม่ค้าคนนี้ให้ชิ้นเล็กตลอดเวลา เขาจะไม่มาครั้งที่สอง 

ใช่ แม่ค้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้โกงด้วย แต่ ณ โมเมนต์นั้น คุณได้ส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าคุณหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นคนค้าขายคุณต้องทำตรงนี้ แล้วถ้ายังทำไม่ได้ คุณจะไม่มีทางชนะในเกมนี้เลย เพราะเขาจะจำได้ว่าเมื่อมาหาคุณ คุณไม่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา แล้วทำไมเขาต้องกลับมาหาคุณอีก

คนค้าขายต้องเป็นอย่างนี้ คุณต้องให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคนที่ตัดสินคุณคือลูกค้าของคุณ ถ้าเขาชอบคุณ เขาก็จะชักชวนคนอื่นมาซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ มันไม่ใช่เรื่อง cash flow มันไม่ใช้เงินใดๆ เลย มันเป็นเรื่องที่คุณรู้สึกกับลูกค้าคุณอย่างไร และคุณดูแลเขาดีที่สุดจริงๆ มั้ย

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของและผู้ประกอบการทุกท่านนะคะ ถ้าคุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แล้วก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

หลัก 4P+1 ของ Younglek UNDER แบรนด์ชุดชั้นในที่ไม่ทำการตลาดแต่ลูกค้ายอมรอสินค้าข้ามเดือน

หลังกลับบ้าน ถอดรองเท้า วางกระเป๋า ไอเทมต่อไปที่ผู้มีหน้าอกหน้าใจหลายคนปลดออกไปจากร่างกายคงหนีไม่พ้นเสื้อชั้นใน แต่ถ้าจะอยากสบายจนไม่ต้องถอด เราขอแนะนำแบรนด์ชุดชั้นใน Younglek UNDER

แต่ถ้าได้รู้จักชุดชั้นในสุดคราฟต์ของ Younglek UNDER ความสบายอาจทำให้ใครหลายคนลืมถอดไปเลย

Younglek UNDER คือแบรนด์ชุดชั้นในของ เล็ก–ภัทรสิริ อภิชิต ที่หลายคนตกหลุมรักดีไซน์วินเทจและสีย้อมธรรมชาติตั้งแต่แรกเห็น (เราก็ด้วย!) และยิ่งรักปักใจเมื่อใส่แล้วได้สัมผัสความสบาย ทั้งสบายตัวจากผ้าที่เลือกใช้และสบายใจที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากค่านิยมความสวยความงามของสังคม

younglek under

จากความอึดอัดนิดๆ ไม่สบายตัวหน่อยๆ เมื่อใส่ชุดชั้นในสำเร็จรูป เธอชวนแม่ซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อลองออกแบบชุดชั้นในผ้าแบบสาวๆ รุ่นแม่ ใช้ผ้าที่เหมาะกับอากาศเมืองร้อนสำหรับคนที่ต้องการเลี่ยงเส้นใยสังเคราะห์ ก่อนเอะใจว่านอกจากตัวเองก็น่าจะมีคนอื่นๆ ที่เจอปัญหาไม่ต่างกัน แบรนด์ Younglek UNDER จึงเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายว่าจะเป็นชุดชั้นในสำหรับคนที่ต้องการความสบายที่แตกต่าง

นอกจากชุดชั้นใน ธุรกิจของเล็กก็ดำเนินไปแบบสบายตัว หลังเปิดมาเกือบ 6 ปีเธอมีพนักงานแค่สามคน (รวมตัวเองแล้ว) ไม่มีสินค้าสต็อกไว้แต่เปิดจองแบบพรีออร์เดอร์เป็นรอบ เฉลี่ยปีละเพียงสองรอบ ไม่ทำมาร์เก็ตติ้ง ไม่เคยลดราคา และไม่มีโปรโมชั่นใดๆ แต่ลูกค้าก็สั่งจนเต็มโควตา​ทุกครั้ง (บางทีก็เกิน) แถมยังพอใจจะรอสินค้านานหลักหลายเดือน

เล็กทำยังไงให้ผู้หญิงหลายคนเทใจให้ชุดชั้นในที่เธอทำ?

คำตอบซ่อนอยู่ในหลัก 4P+1 ที่ไม่ได้อิงจากตำราการตลาดเล่มไหน แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสบายตัว สบายใจของคนทำและคนใส่ล้วนๆ

younglek under

Product
ความสบายที่เป็นตัวเอง

เล็กนิยามชุดชั้นในของเธอง่ายๆ ว่าเป็น ‘ชุดชั้นในทางเลือก’ สำหรับคนที่ตามหาชุดชั้นในที่ใส่สบายแต่ใส่แล้วยังสวย เห็นตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกดี

สบายแรกคือสบายร่างกาย เริ่มจากวัสดุที่สำคัญที่สุดอย่าง ‘ผ้า’

“เราประสบปัญหากับการใส่บราที่ทำมาจากผ้าเส้นใยสังเคราะห์ เช่น ผ้าไนลอน เรารู้สึกว่ามันร้อน แล้วก็อบ ถึงจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้แห้งไวเราก็ยังไม่ค่อยแฮปปี้ ขณะที่ผ้าที่เป็นเส้นใยธรรมชาติมันเฟรนด์ลี่กับเรามากกว่า ฉะนั้นผ้าที่เราตามหาคือผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์”

คุณสมบัติของผ้าที่เล็กตามหาคือถ่ายเทอากาศได้ดี หนาพอที่จะอยู่ทรงแต่บางพอให้จักรเย็บผ้าสามารถสร้างรายละเอียดโค้งเว้า เข้ามุมของชุดชั้นในได้ และที่สำคัญคือทนทาน เพราะท้ายที่สุดแล้วชุดชั้นในก็เป็นของใช้ที่เล็กหวังให้อยู่คู่กายไปนานๆ

younglek under
younglek under

ในรุ่นแรกๆ เล็กไปเดินเลือกผ้าลินิน ผ้าฝ้ายญี่ปุ่นลายน่ารักจากพาหุรัดมาใช้ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเป็นผ้าฝ้ายอินทรีย์ที่ปลูกและทอในเมืองไทย กระทั่งล่าสุดที่เธอค้นพบผ้าที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสบายและสิ่งแวดล้อมที่เล็กใส่ใจ

และนั่นคือความสบายอย่างที่สอง คือสบายใจที่ชุดชั้นในเป็นมิตรต่อโลก

“ล่าสุดผ้าที่เราใช้เป็นผ้าฝ้ายออร์แกนิคผสมกับผ้าฝ้ายรีไซเคิลตรงตามแนวทางที่เราสนใจคือการนำสิ่งทอหรือสิ่งต่างๆ กลับมาใช้ใหม่ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากจนเกินไป เราก็รู้กันอยู่ว่าการปลูกฝ้ายใช้น้ำเยอะและถ้าไม่ปลูกแบบอินทรีย์จะใช้สารเคมีเยอะมาก ฉะนั้นการที่มีคนที่ทำผ้าแบบนี้ก็ค่อนข้างตอบโจทย์

“ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะให้มันเป็นสินค้าที่ไม่เหลือทิ้งเป็นภาระกับโลกนี้ อยากให้มันย่อยสลายได้ทั้งชิ้นเลยหรือไม่มีส่วนผสมที่ไม่ใช่ธรรมชาติเลย”

แล้วอะไรทำให้ชุดชั้นใน Younglek ยังย่อยสลายไม่ได้ทั้งชิ้น–เราสงสัย

เล็กชี้ไปที่ตัวปรับสายบราขนาดเล็กจิ๋วเป็นคำตอบ

younglek under

“นี่เลย พวกอุปกรณ์แบบนี้ ตอนนี้เราใช้อุปกรณ์พลาสติกอยู่ หรืออย่างฟองน้ำในบราตอนนี้ก็ยังเป็นวัสดุสังเคราะห์อยู่ ซึ่งเราก็พยายามมองหาทางเลือกอื่นมาทดแทน

“ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นอีกคือเราอยากให้วัสดุทั้งหมดที่ใช้ผลิตในประเทศหรือมาจากผู้ผลิตรายเล็กๆ อยากซัพพอร์ตธุรกิจเล็กๆ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่คนอยากจะผลิตสินค้าออกมาเร็วๆ ในปริมาณมากๆ มันยากที่จะรักษาความใส่ใจสิ่งแวดล้อมเอาไว้ได้ก็เลยคิดว่าคนที่เขาเลือกทำธุรกิจเล็กๆ คือคนที่เลือกแล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันอยู่ในสมดุล คือผลิตสินค้าที่คนต้องใช้แต่ก็ไม่ทำมากจนเกินไป ไม่ได้สนับสนุนการบริโภคจนเกินพอดี”

และธุรกิจเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เธอสนับสนุนคือช่างย้อมผ้าจากสีธรรมชาติ ที่มาของสีบราน่ารักๆ อย่างสีคราม สีเขียวหูกวาง หรือสีชมพูแก่นฝางที่เราพยายามเลือกเท่าไหร่ก็ตัดสินใจไม่ได้สักที

โชคดีที่เล็กเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกคัสตอมชุดของตัวเองได้เต็มที่ ถ้าเลือกสีไม่ได้จริงๆ จะจับคู่ชิ้นบนกับชิ้นล่างเป็นคนละสีก็ยังไหว นำมาสู่ความสบายที่สาม คือสบายใจที่ได้เป็นตัวของตัวเอง

เล็กหยิบชุดออกมาให้ให้ดูแล้วค่อยๆ อธิบายว่าลูกค้าสามารถเลือกคัสตอมทรง สี ไซส์ได้ตามใจ และแม้จะมีขนาดมาตรฐาน S M L เอาไว้ให้แต่ถ้าใครอยากได้ไซส์ที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น หรือแม้กระทั่งปรับดีเทลนิดๆ หน่อยๆ  สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการพิเศษ เช่น ทำบราที่ไม่ใส่ยางยืดเลยสำหรับคนแพ้ยางยืด หรือออกแบบ first bra ให้คุณแม่ที่มีลูกสาวเข้าวัยรุ่น เล็กก็ยินดี

“เรามีไซส์เบื้องต้นเพื่อความสะดวก คนที่รูปร่างตรงตามไซส์นั้นก็เลือกสั่งได้เลย แต่สำหรับคนที่ไซส์ไม่ตรง S M L ก็สามารถวัดตัวมาให้เราได้ เราอยากให้ทุกคนมีทางเลือก ไม่อยากให้ใครรู้สึกว่ารูปร่างของตัวเองเป็นข้อจำกัดหรือเป็นสิ่งที่ไม่เข้ามาตรฐาน” เล็กเล่าความเชื่อด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ 

“จริงๆ ถ้าไม่ลำบากเราก็อยากให้ลูกค้าวัดตัวแล้วสั่งตามขนาด เราจะบอกรายละเอียดว่าต้องวัดตรงไหนบ้าง วัดยังไงให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง ทุกวันนี้น้อยคนที่จะเคยวัดตัว วัดตัวเป็น หรือรู้ว่าตัวเองสัดส่วนเท่าไหร่ เพราะเราซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจนชิน การวัดตัวมันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เรารู้สึกว่าลึกๆ แล้วมันเป็นการยอมรับตัวเองนะ มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้คนหันกลับมารู้จักตัวเองในเบื้องต้น”

younglek under

จากที่แค่ตั้งใจให้ผู้หญิงทุกไซส์ได้สวมชุดชั้นในพอดีตัว เล็กบอกว่าการคัสตอมกลับกลายเป็นสเน่ห์ตกแฟนๆ ให้กลับมาซื้อ Younglek UNDER ครั้งแล้วครั้งเล่า

“การคัสตอมมันกลายเป็นประสบการณ์ที่มีเสน่ห์ ทำให้ลูกค้าอยากสั่ง เขารู้สึกดีที่ได้ซื้อสิ่งที่เป็นของตัวเขาจริงๆ  ขณะที่ถ้าเราทำชุดเสร็จก่อนแล้วก็โพสต์ขายคนอาจจะไม่ได้สนใจหรือแย่งกันสั่งเท่ากับที่เขาได้เลือกเอง”

ฟังแล้วชุดชั้นในแบบนี้ช่างแตกต่าง ตอบโจทย์ช่องว่างที่มีในตลาด แต่เล็กก็ย้ำว่าเธอไม่ได้กำลังจะบอกว่าอะไรดีกว่าอะไร คำว่า ‘ชุดชั้นในทางเลือก’ หมายถึงการเป็นทางเลือกให้คนที่ชอบของแบบนี้ได้ใช้ของแบบนี้ก็เท่านั้น

“จากประสบการณ์ของเราเองและที่คุยกับคนมา เรารู้ว่าถึงในท้องตลาดจะมีชุดชั้นในให้เลือกเยอะแต่เราก็ยังไม่เคยเจอที่ถูกใจ คนเรามีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกันมากๆ ฉะนั้นเราก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะตอบโจทย์คนที่ชอบของแบบนี้ได้”

แล้วคุณละชอบชุดชั้นในแบบไหน

ไม่ต้องรีบตัดสินใจ ลองอ่านให้จบก่อนแล้ว Younglek อาจจะเป็นทางเลือกใหม่ของคุณ

Price
ราคาคือคุณภาพสินค้าและคุณภาพชีวิต

บราของ Younglek ราคาเริ่มต้นที่ 750 บาท ส่วนกางเกงชั้นในราคาเริ่มต้นที่ 450 บาท

เทียบกับตัวเลือกในตลาดนี่ไม่ใช่ราคาตั้งต้นที่ถูกนัก แต่เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนและคุณภาพสินค้าขนาดที่ลูกค้าหลายคนออกปากว่าเล็กตั้งราคาต่ำไปด้วยซ้ำ

“เรามีช่างตัดเย็บคนเดียวเลยค่ะ” เล็กพูดถึงทีมที่เล็กสมชื่อ ทุกวันนี้เธอรับบทเป็นเจ้าของและดีไซเนอร์ มีแม่ซึ่งเป็นอดีตช่างตัดเสื้อนั่งเก้าอี้ที่ปรึกษา และช่างตัดเย็บที่เคยทำงานกับคุณแม่อีกหนึ่งคน

“ชุดชั้นในมันมีดีเทลเล็กๆ เยอะมาก เช่นการกุ๊นขอบไม่ให้บาน หรือผ้าต้องไม่หนาแต่การเย็บก็ต้องแข็งแรง แล้วเราก็ทำดีไซน์ผ้าสองชั้นให้ถอดฟองน้ำได้ สวยงาม เราเคยลองให้ช่างอีกคนเย็บก็ออกมาไม่เหมือนกัน ทำยังไงก็ไม่เหมือนแต่เราอยากได้ของที่มีมาตรฐานเดียวกัน”

ราคายังมีที่มาจากความน่าปวดหัวของการคัสตอมไซส์อย่างละเอียดลออ

“แค่แต่ละออเดอร์สั่งไม่ซ้ำกันนี่มันก็ปวดหัวมากแล้วสำหรับช่าง (หัวเราะ)​ โชคดีที่ว่าเขาเคยทำงานคัสตอมเมดมาไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมทำให้”

นอกจากราคาจะนำมาซึ่งคุณภาพสินค้า ยังสร้างคุณภาพชีวิตของช่างตัดเย็บที่ต้องสบายไม่แพ้บราที่ลูกค้าสวม

“อีกอย่างที่ทำให้มันมีราคานี้เพราะเราไม่ได้ผลิตแบบอุตสาหกรรม เราไม่อยากส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นที่เหมือนใช้แรงงานทาส เราไม่ได้ให้ค่าแรงช่างเป็นวันหรือเป็นชั่วโมง แต่ให้ตามจำนวนชิ้นงานและให้ในราคาที่เป็นธรรม แต่ก่อนเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราให้เยอะหรือให้น้อยจนได้ไปเจอช่างที่เขาเย็บเสื้อสำเร็จรูป เราถึงเพิ่งรู้ว่าเย็บเสื้อเชิ้ตตัวนึงเขาอาจจะได้เงินแค่หลักสิบหรือบางทีเขาเย็บชุดราตรีทั้งชุดยังได้แค่ 300 บาท เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว 

“เราเติบโตมาในบ้านที่คุณแม่เป็นช่างตัดเสื้อ คลุกคลีกับงานพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เรารู้ว่ามันเป็นงานที่มีคุณค่า มีราคาฝีมือที่เขาสั่งสมประสบการณ์มา โดยเฉพาะช่างที่มีฝีมือหรือว่าช่างที่ยังเย็บแบบคัสตอมเมดซึ่งจะหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็จะมีแต่เสื้อผ้าที่เป็นระบบอุตสาหรรม พยายามใช้คนน้อยที่สุด ใช้ฝีมือน้อยที่สุด ใช้เครื่องจักรให้เยอะที่สุด ฉะนั้นเมื่อเราทำงานกับช่างฝีมือ เราก็ควรให้เขาเต็มที่ให้เหมาะสมกับคุณภาพและความทุ่มเท

“ค่าแรงช่างคือต้นทุนอันดับหนึ่งของเราแต่มันก็เป็นชอยส์ที่เรารู้สึกดีมาก นอกจากเราได้งานที่ดีแล้ว ช่างได้ทำงานที่บ้านก็ได้ดูแลครอบครัว พ่อแม่ไปด้วย และไม่ต้องไปทำงานอยู่ในที่ที่ไม่สบาย”

Place
ชุดชั้นในที่ขายดีในโลกออนไลน์

สำหรับชุดชั้นในที่ไซส์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน Younglek เลือกเปิดหน้าร้านแค่ในโลกออนไลน์ นานๆ ทีถึงจะไปออกบูทตามมาร์เก็ตต่างๆ ให้ลูกค้าหายคิดถึง

แรกเริ่มเดิมที การมีแค่ร้านออนไลน์เป็นไปเพราะเล็กอยากทำแบรนด์ให้กระชับที่สุด แต่ไปๆ มาๆ เธอกลับพบว่าการขายออนไลน์นั้นเหมาะกับสินค้าชุดชั้นในมากกว่าที่คิด

“ตอนแรกเราเริ่มทุกอย่างแบบเล็กๆ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะขายออนไลน์อย่างเดียว เรายังไปออกร้านบ้าง อยากให้เขาลองจนพอใจเลยแล้วค่อยซื้อแต่กลายเป็นว่าคนมาดูแล้วก็ อืมๆ เดี๋ยวไปสั่งออนไลน์นะคะ ไม่ค่อยมีใครลองค่ะ (หัวเราะ) 

“อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง คนค่อยๆ ชินกับการซื้อของ ซื้อเสื้อผ้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ๊ะ หรือจริงๆ แล้วเวลาที่ไปซื้อเสื้อชั้นในที่ห้างฯ เราก็ไม่ได้รู้สึก comfortable ที่จะลองอยู่แล้ว การซื้อชุดชั้นในออนไลน์จึงเป็นเรื่องที่คนรับได้”

ช่วงหลังๆ เล็กจึงแทบไม่ได้ไปออกบูทขายตามงานแต่เน้นขายทางเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมอย่างเดียวและขายดีทุกครั้งที่เปิดจอง แม้ว่าปีหนึ่งเธอจะโพสต์แบบนับครั้งได้ก็ตาม

“เราไม่ค่อยได้โพสต์ ไม่ได้ทำการตลาด ไม่ได้โปรโมทเพจ ไม่ได้ยิงแอด ไม่ได้ทำอะไรเลย (หัวเราะ)” เล็กไล่เรียงสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เราฟัง

“เราไม่ได้เป็นร้านที่ผลิตของได้ทีละเยอะๆ แล้วเอามาทำยังไงก็ได้ให้ขายได้เร็วๆ ของเรามันตรงกันข้ามทุกอย่าง กำลังการผลิตก็น้อย ทำก็ช้า รอก็นาน ฉะนั้นแค่จะโพสต์รูปอะไรสักอย่างระหว่างที่ให้ลูกค้าเขารอสินค้าเรายังไม่อยากจะโพสต์เลย เพราะทุกครั้งที่โพสต์หรือมีความเคลื่อนไหว อัพเดตอะไร ลูกค้าใหม่ก็จะอยากจะสั่งแล้ว เราไม่อยากปฏิเสธลูกค้า ขณะเดียวกันก็ไม่อยากกดดันช่าง เพราะว่ามันเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ก็เลยไม่ค่อยโพสต์บ่อย”

younglek under

เราคิดเองว่าไม่แน่ การไม่ค่อยโพสต์อะไรก็อาจเป็นข้อดีทำให้หน้าร้านของเล็กไม่รกรุงรัง เข้ามาก็หาสินค้าเจอทันที บวกกับการอธิบายสินค้าอย่างละเอียดในแต่ละโพสต์ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ ความตั้งใจของแบรนด์ ไปจนถึงระยะเวลารอสินค้าก็มากพอที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจร้านโดยไม่จำเป็นต้องโพสต์ถี่ขนาดนั้น

“ก็เลยกลายเป็นว่าจริงๆ การขายชุดชั้นในออนไลน์ ตอนแรกดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็กลายเป็นว่าไปได้ดีเฉยเลย” เล็กสรุปสั้นๆ ได้ใจความ

Promotion
แบรนด์ที่ไม่ขายมากจนเกินไป

ตัวโปรดักต์ทำตรงข้ามกับตลาดมากแค่ไหน วิธีขายของเล็กก็ทำตรงข้ามมากเท่านั้น

นั่นคือ Younglek UNDER เป็นชุดชั้นในที่ไม่เคยลดราคา ไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีแม้แต่นางแบบมาใส่ชุดให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเล็กไม่อยากชวนคนมาซื้อของที่ไม่จำเป็น

ร้านที่ไม่ชวนคนมาซื้อของของตัวเองมากเกินไปเป็นยังไงกันนะ

“เราอยากให้คนที่จะซื้อพิจารณาว่าเขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้จริงๆ หรือเปล่าโดยที่ไม่มีวัน 11.11 หรือ 12.12 มาเป็นตัวกระตุ้นให้ตัดสินใจ เราเลยไม่มีการเซลล์ใดๆ ทั้งสิ้น ราคานี้ก็ราคานี้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ซื้อ สมมติเราลดราคา 50% คนที่เขาไม่ได้ต้องการโปรดักต์เราตั้งแต่แรกเขาอาจจะอยากลองสนุกๆ แต่สุดท้ายพอเขาซื้อไปแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ เขาอาจจะไม่แฮปปี้กับราคา 50% นั้นด้วยซ้ำ แล้วเขาก็อาจจะใช้มันแค่ครั้งเดียว

“ที่ไม่ใช้นางแบบก็เป็นเรื่องคล้ายๆ กัน เวลาที่เราเห็นโฆษณาอะไรสักอย่างเรารู้สึกว่าเราอยากได้ของชิ้นนี้ บางครั้งเราไม่รู้ว่าเราชอบของชิ้นนั้นหรือว่าเราชอบบรรยากาศของภาพนั้น เราชอบการสไตล์ลิ่งหรือเราชอบทรงผมของนางแบบ จริงๆ เราชอบอะไรกันแน่ เราอาจจะไม่ได้ชอบของชิ้นนั้นจริงๆ ก็ได้

“การมีนางแบบมันเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้ดีก็จริง แล้วก็ทำให้ลูกค้าเห็นภาพว่าตอนอยู่บนตัวคนมันเป็นยังไง ถึงอย่างนั้นเรารู้สึกว่าไม่มีใครเหมือนใครอยู่แล้ว ฉะนั้นเราไม่อยากให้ไปติดภาพตามที่นางแบบใส่ ถ้าเราใส่แล้วไม่เหมือนอาจรู้สึกว่าตัวเราไม่ได้มาตรฐาน เราไม่ดีพอ แต่จริงๆ ทุกคนมีความงามเป็นของตัวเอง แค่คุณได้รับสินค้าเราแล้วคุณใส่นั่นก็คือออริจินัลแล้ว อยากให้ทุกคนแฮปปี้ที่เห็นตัวเองใส่”

เล็กแอบวิเคราะห์ว่าในโลกที่แบรนด์จำนวนมากเร่งเร้าให้เราซื้อสินค้าของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา การที่เธอไม่ผลักดันการขายจนเกินไปก็อาจเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อ พวกเขาก็อดทนรอได้ยาวๆ

“​​เราอาจจะไม่ได้พุชการขายมาก ไม่ได้เร่งให้เขามาซื้อ ก็เลยเจอแต่ลูกค้าใจดี ในขณะที่ทุกวันนี้คนใจร้อน ซื้ออะไรก็อยากจะได้ทันที แต่ลูกค้าเราเขาก็ทำใจไว้แล้วว่ารอไปเลย ยาวๆ ไป”

Purpose
แบรนด์ที่มีเป้าหมายมากกว่าหนึ่ง

‘P’ สุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในตะเข็บชุดชั้นใน Younglek เล็กบอกว่ามันคือ ‘Purpose’

“Purpose ในทีนี้หมายถึงเหตุผลที่เราเลือกทำสิ่งนี้ Purpose มันสำคัญทั้งในแง่ของการเป็นผู้บริโภคและคนทำ ยกตัวอย่างว่าทุกวันนี้เรามีร้านกาแฟเยอะมากเลย ทุกร้านมีโปรดักต์ที่ดีเหมือนกันหมด แต่งร้านสวย ราคาก็มีโปรโมชั่นแข่งกัน แต่ว่าร้านที่ดึงดูดเรามันจะเป็นร้านที่เขามีวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจที่เรามองว่าพิเศษหรือว่าโดนใจเรามากกว่าร้านอื่นๆ เราเคยเห็นร้านกาแฟที่ zero waste แบบแข็งขันมากๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเราจะอุดหนุนร้านสักร้าน เราก็อยากอุดหนุนร้านนี้”

ส่วนในฝั่งของคนทำ การมี Purpose จะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าของแบรนด์อยู่กับธุรกิจไปได้นาน โดยเฉพาะเมื่อ Purpose ของแบรนด์กับของคนทำซ้อนทับเป็นเรื่องเดียวกัน

“เราเองเริ่มทำแบรนด์จากการอยากทำโปรดักต์ที่ไม่มีในท้องตลาด แต่อันนั้นมันก็อาจจะเป็นวัตถุประสงค์แค่ผิวๆ วัตถุประสงค์ที่อยู่ลึกๆ คือเราอยากพูดเรื่องค่านิยม เรื่องทัศนคติของผู้หญิงที่มีต่อตัวเอง  แต่อยู่ๆ ให้เราลุกขึ้นมาพูดมันตรงๆ เราก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้น งานนี้เลยกลายเป็นงานที่ไปกับเราได้เรื่อยๆ เพราะว่ามันตอบความเชื่อของเราอยู่แล้ว เราไม่เบื่อที่เราจะพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“ทุกวันนี้การเริ่มธุรกิจอะไรมันดูง่ายแต่ purpose ที่เราเลือกทำมันจะยึดเราให้อยู่กับธุรกิจไปได้นานๆ เราคิดว่าการทำธุรกิจอะไรสักอย่างมันมีช่วงเวลาของมัน ถ้าเราทำแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มาแรงแล้วก็จบไว ตัวเราเองอาจจะไม่ได้เรียนรู้ หรือยังไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเอง อย่างตอนที่เริ่มทำ Younglek เราก็ไม่ได้ตั้งเป้าอะไรมาก แค่บอกตัวเองว่าเราจะลองทำมันไปโดยที่ไม่เลิกทำ ลองทำไปเรื่อยๆ ดูซิว่ามันจะพาเราไปถึงไหน”

แล้วการที่ยังทำ Younglek พาเล็กมาถึงไหน? เราถาม

“มันก็คือการตอบรับที่เราก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นทางเลือก โอ้โห เป็นตลาดนิชมากๆ เลยแต่ว่าผลตอบรับดีมากๆ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ดีไซน์แต่แรกว่าให้แบรนด์เป็นยังไง เราแค่ชอบของแบบนี้ สะดวกที่จะทำด้วยวิธีการแบบนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งคนอื่นเขาก็ยอมรับกันได้ซึ่งถ้าเราเลิกทำไปก่อนเราก็คงไม่รู้ว่ามันมาได้ถึงจุดนี้”

เอาล่ะ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากรู้ว่าชุดชั้นในของเล็กเป็นยังไง ก่อนจะรีบไป CF ลองสูดหายใจลึกๆ คิดให้ดีๆ ว่าเราจำเป็นต้องมีสิ่งนี้หรือเปล่า

และถ้าคิดแล้วคิดอีกและตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องมี เลือกทรง เลือกไซส์ เลือกสีเอาไว้ แล้วรออุดหนุนแบรนด์เล็กๆ แบรนด์นี้ในรอบต่อไปได้เลย