Bittersweet Soulpreneur

คุยกับดุจดาวถึง wisdom ในหมวกนักธุรกิจเบื้องหลัง SOULSMITH และรสชาติชีวิตที่ขมแต่หวานปลาย

หลายคนที่สนใจเรื่องจิตบำบัดอาจคุ้นเคยกับชื่อของ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ นักจิตบำบัดและผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce กับ SOULSMITH กันมาบ้าง บทสนทนากับดุจดาวตามสื่อมักเล่าเรื่องราวผ่านบทบาทนักจิตบำบัดด้านศิลปะการเคลื่อนไหว (Dance Movement Therapist) หรือนักแสดงละครเวที แต่วันนี้ Capital อยากชวนคุยกับดุจดาวในหมวก ‘นักธุรกิจ’ 

เริ่มจากอยากรู้ว่าดุจดาวมองตัวเองเป็นนักธุรกิจไหม 

“ถ้าใช้คําว่านักธุรกิจ สําหรับเรานะ ดาวคิดว่าต้องเก่ง หรือมันไม่จําเป็นนะ เพราะนักแสดงก็ยังมีนักแสดงที่ไม่เก่งได้เลย ดาวจะเป็นส่วนหนึ่งก็แล้วกัน เพราะมีหลายแบ็กกราวนด์ เป็นคนหลาย ‘นัก’ เป็นนักแสดง ผู้กํากับ Therapist และมีหมวกนักธุรกิจอยู่หลายวันต่อสัปดาห์”

ช่วงหลังเทรนด์ mindfulness กำลังกลายเป็นกระแสจากกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่กำลังโตขึ้น ซึ่งถึงแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ดุจดาวมองว่าภาพจำของการดูแลใจเริ่มกลายเป็นความขาวใสที่มีความขุ่นมัวปนไม่ได้เลย และกําลังทอดทิ้งคนที่รู้สึกว่ายังจัดการตัวเองไม่ได้ หรือยังมีความรู้สึกขุ่นในใจอยู่ ทำให้อยากดึงภาพจำของการบำบัดใจให้เป็นภาพที่ไม่ต้องเพอร์เฟกต์หมดจด

SOULSMITH ให้บริการทางด้าน mental health และ soul well-being สำหรับคนทั่วไป ปีนี้จึงจัดเทศกาล Mental Matters Fest 2025 ธีม Honoring Life’s All Shades ในเดือนตุลาคม เพื่อเฉลิมฉลองทุกเฉดรสชาติของชีวิต ทั้ง ขม หวาน กลมกล่อม เปรี้ยว เผ็ดร้อน

“ปีนี้เราก็กล้ามากเลยในการดึง mental health มาเป็นงานไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและหลายรสชาติ มันต้องมีพาร์ตที่เปรี้ยว พาร์ตที่มันไม่ต้องถูกต้องทั้งหมด สถานที่จัดงานปีนี้เลยเป็นโรงแรม The Fig Lobby ที่มีความเปรี้ยวซ่าสุดๆ แต่เป็นพื้นที่ที่พูดเรื่อง mental health ได้ไหม…ต้องได้สิ จัดการแสดงเพิ่มได้ไหม…ต้องได้สิ  หรือแม้กระทั่งการมาเฉลิมฉลองกัน หรือจัดทอล์ก เราก็ทำให้มันมีความฉูดฉาด มีนักแสดงละครเวทีเพิ่มขึ้นมาเพื่อมาดึงรสชาติของการแสดง”

ดุจดาวในวันที่สวมหมวกนักธุรกิจบอกกับเราว่ารสชาติชีวิตของตัวเองในวันนี้เหมือน ‘มะระขี้นก’  ซึ่งเป็นเมนูค็อกเทลที่เพิ่งไปชิมจากบาร์แถวเยาวราชเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

“รสมะระขี้นกคือขมจัดเลย เคี่ยวกรํา สมบุกสมบันจนคิดว่า ความขมในชีวิตมันตั้งอยู่อยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งบางอย่างของตัวดาวเอง ณ วันนี้ แต่ว่ารอบๆ ก็ยังมีรสชาติหอมหวาน สดชื่นแล้วก็ท้าทายไปกับก้อนน้ำแข็งเย็นๆ สี่เหลี่ยมตรงกลางแก้ว”

“มันเป็นรสชาติที่พาเราไปแตะจุดที่มันลึกจนเกือบจะเป็นแกนของชีวิต เพราะฉะนั้นแปลว่าทุกครั้งที่เราสัมผัสรสขม มันทำให้เราระลึกว่าเราผ่านมาทุกรส แล้วก็ได้ดําดิ่งไปเจอตัวเองในจุดที่มันลึกซึ้งมาก ลึกจนเราสามารถเรียกพื้นที่ตรงนั้นเป็น wisdom ของชีวิต มันไม่ใช่ความรู้ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ know-how แต่มันคือการซ้อนทับของประสบการณ์ทั้งชีวิต เหมือนใบไม้ ต้นไม้ แล้วข้างล่างมันคือปุ๋ย รสขมพาเราไปเจอ essence นั้นของชีวิต เราเป็นคนไม่กินหวาน ถ้าให้แตะหวานรสเดียว จะไม่ชอบหวานแบบนั้น แต่มันจะมีรสหวานปลายที่เกิดจากความขมอยู่”

เรื่องราวการทำธุรกิจบำบัดใจของดุจดาวในวันนี้เป็นรสขมที่หวานปลายเช่นกัน หากพร้อมแล้วตามไปนั่งฟังบทสนทนาที่ SOULSMITH พร้อมๆ กัน  

Infinite Service  

ในฐานะคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านจิตวิทยา คำถามที่เราสงสัยคือ ในเมื่อบริการบำบัดเปรียบเหมือน infinite service ที่ต้องรักษาต่อเนื่องแทบไม่มีที่สิ้นสุด คาดการณ์ระยะเวลาที่บาดแผลทางใจจะดีขึ้นไม่ได้แน่นอน บางรายอาจต้องใช้ระยะเวลารักษาใจหลายปี และชีวิตมนุษย์ที่ยืนยาวก็มีแผลใหม่ เรื่องราวใหม่ให้ต้องดูแลใจตลอด แล้วการทำธุรกิจจะคาดการณ์ระยะเวลาบริการและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ยังไง

มุมมองที่น่าสนใจจากดุจดาวคือ การออกแบบการบำบัดควรเป็น user-centric ที่ยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง และมอบอำนาจทางการตัดสินใจในรูปแบบและระยะเวลาการรักษาแก่ลูกค้าด้วย

“SOULSMITH ตั้งขึ้นมาในโมเดลที่เราพยายามจะลด pain point ของเซอร์วิส therapy ที่เคยปรากฏอยู่ในคลินิกจิตเวช เพราะดาวเคยอยู่คลินิกจิตเวชมาก่อน ซึ่งความคิดเห็นว่าควรจะหยุดบำบัดเมื่อไหร่ อํานาจจะอยู่ที่ Therapist ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยในการบอกว่า ฉันคิดว่าคุณน่าจะมาต่อนะ หรือคิดว่าน่าจะเบรกได้แล้วนะ  ซึ่งสําหรับบางคน เขาจะรู้สึกว่า แล้วฉันล่ะ ฉันไม่มีสิทธิ์บอกว่าไม่อยากทำต่อหรือโอเคแล้วตอนไหนเหรอ เราก็เลยทําสิ่งที่เรียกว่า private practice ซึ่งเมืองนอกก็ทํากัน คือการบำบัดในเซตติ้งที่ไม่ใช่คลินิก” 

แนวคิดของ SOULSMITH คือการผสานศาสตร์บำบัดหลากหลาย (mixologist service) เพื่อตอบโจทย์ผู้คนที่แตกต่างกัน

“เราตั้งใจมีหลายศาสตร์เพราะว่า ณ ตอนนี้ การจะดูแลจิตใจใครสักคนหนึ่งที่อยากทํางานกับตัวเอง มันเข้าได้หลายประตู แล้วมันไม่มีประตูใดประตูหนึ่งที่ดีทั้งหมด การรู้ว่าคนเราแต่ละคนจะเหมาะกับการรักษาแบบไหน มันก็ต้องหาวิธีเหมือนกันนะ ถ้าเรามีทางเลือกน้อยก็จะนึกว่าหาทางแก้ไม่เจอ หรือไม่ fit in”

การสร้างทางเลือกหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกได้รับความเข้าใจและการสนับสนุน แต่ยังลดความเสี่ยงของการหยุดบำบัดกลางทางในขณะที่ยังรักษาแผลใจไม่หาย และยังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของบริการ

หลายครั้งผู้รับบริการอาจมีบาดแผลหลักในใจที่อยากทำงานภายใน แต่ก็มีแผลเล็กๆ ประเด็นอื่นประกอบ การบำบัดจากหลายศาสตร์จะช่วยรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งมิติด้านจิตใจและร่างกาย แม้หลายคนจะติดภาพจำว่าการบำบัดคือการพูดคุยเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้ว กระบวนการรักษาที่เรียกว่า psychotherapy (การบำบัดด้วยการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต) ต้องอาศัยการขบคิด ตีความ และสื่อสารภายในกับตัวเองเยอะ

หากบางคนเหนื่อยล้ากับการเป็นนักสู้ที่คิดเยอะตลอดเวลา การสลับไปทำบำบัดแบบรับพลังงาน เช่น sound bath ที่เปิดโอกาสให้นอนฟังคลื่นเสียงโดยไม่ต้องสู้ด้วยตัวเอง ก็จะช่วยคลายพลังงานบางอย่างออกไป และช่วยให้การรักษาเดินหน้าเร็วขึ้น หรือหากใช้ศิลปะบำบัดถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแล้วรู้สึกนามธรรม อธิบายความรู้สึกในใจเป็นคำพูดไม่ได้ ก็อาจสลับมาเป็นคุยบำบัดด้วยภาษาพูด

บริการของ SOULSMITH จึงเป็นการออกแบบเฉพาะตามรายบุคคล (customize) และเพื่อความง่ายในการรักษาจึงวางแพ็กเกจพื้นฐานในการบำบัดอยู่ที่ 5 และ 10 ครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริการรับรู้ว่ามีจุดตัดสินใจร่วมกันในทุกห้วงเสมอระหว่างการรักษา ภายใต้ความเข้าใจร่วมกันว่า หากวิธีบำบัดยังไม่ตรงกับตัวเรา ไม่ได้หมายความว่าการบำบัดไม่สำเร็จ แต่เป็นเรื่องของการเลือกเครื่องมือให้เหมาะสมที่สุด

“เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปหาลูกค้าที่ป่วยหรือเป็นโรคแล้วเท่านั้น นั่นไม่ใช่กลุ่มหลักของเรา เรามองกลุ่มคนที่ยังไม่ต้องรักษาโรค แต่มีประเด็นในใจบางอย่างที่วิ่งวนคนเดียวจนรู้สึกทรมานแล้ว  พอมาเจอเรา เราก็จะออกแบบโดยตัดสินใจร่วมกันว่าอยากรักษานานแค่ไหน”

Impactful Customers

แม้คนจำนวนมากที่ก้าวเข้ามาหาบริการจิตบำบัด จะเป็นผู้ที่ ‘รู้ตัว’ ว่ามีบางสิ่งในใจที่อยากจัดการ แต่ก็มีไม่น้อยที่ ‘ไม่รู้ตัว’ ด้วยซ้ำว่าบาดแผลทางใจของตนส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง คำถามที่น่าสนใจในเชิงธุรกิจคือ เมื่อมีทั้งคนที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แล้วในการทำธุรกิจจะเลือกกลุ่มลูกค้ายังไง

คำตอบของดุจดาวคือ เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีผลกระทบสูงต่อสังคม

ณ ปัจจุบันเรามองกลุ่มมนุษย์วัยทํางานที่มีหลายหมวก และการตัดสินใจของเขาจะส่งผลต่อคนหลายคน ซึ่งก่อนที่จะมองกลุ่มนี้ ความจริงเราย้ายกลุ่มเป้าหมายมาหลายแบบ ก่อนหน้านี้เรามองคนที่หลุดตะแกรง mental wellbeing ที่มีอยู่ เช่น คนที่เป็น masculine figure หรือ leader ที่เขารู้สึกว่า การบำบัดไม่ใช่เรื่องของคุณผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องของผู้นำเพราะเขาแข็งแรงอยู่แล้ว

“อีกกลุ่มคือสายไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้อยากใช้ชีวิตแบบต้องเป็นคนดีเป๊ะทุกอณู เป็นสายปาร์ตี้ที่เพิ่งกลับจากเทศกาล wonderfruit หรือมิวสิกเฟสติวัล เพิ่งกลับจากต่างประเทศ แล้วเขารู้สึกว่าเวลาไปบำบัดในกิจกรรมตอนนั้นน่ะเขาโดนดุในท่าทีที่ว่า คุณก็รู้ว่าสิ่งที่คิดหรือทำมันไม่ดี แล้วจะทำทําไม ซึ่งมันก็ทําให้เขารู้สึกว่าไม่อยากโดนดุ แต่อยากถูกซัพพอร์ต เราที่มีแบ็กกราวนด์สายอาร์ตอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าดีลกับคนเหล่านี้ดีกว่า แล้วแก๊งนี้ก็เป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของเราเลย

“พอทํามาเรื่อยๆ แล้วประเด็นพวกนี้มันเริ่มคลี่คลาย คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่เห็นต้องอายที่จะมาหา psychotherapy แล้ว ณ ปัจจุบันเราก็เลยมองกลุ่มคนวัยทํางานที่เป็นทั้งหัวหน้า พ่อแม่ คู่ครอง ที่ถ้าสุขภาพจิตของคุณไม่ดีหนึ่งคน จะส่งผลไปทุกที่ เราเองก็เป็นคนเหล่านี้”

ดุจดาวเล่าว่าจิตวิยาเป็นศาสตร์ eurocentric ที่กำเนิดจากโซนยุโรป ซึ่งในต่างประเทศ ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปและไม่ต้องสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมกับตลาดมากนัก แต่ในไทยยังต้องสื่อสารกับผู้ใช้บริการ ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลและการปรับความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ รวมถึงปรับวิธีการสื่อสารให้เข้ากับลูกค้าคนไทย ซึ่งมีความเชื่อและกรอบวัฒนธรรมแตกต่างจากโซนตะวันตก

“การนำจิตวิทยาเข้ามาในสังคมไทยจึงมีพื้นที่เปิดให้สำรวจและสร้างสรรค์เยอะ แต่นั่นก็แปลว่าต้องแม่นจรรยาบรรณว่าเส้นไหนที่เราจะต้องไม่ข้าม เส้นไหนที่ต้องยึดเป็นกฎเหล็กในการบำบัด” ธุรกิจที่เกี่ยวพันกับจิตใจยังมีลักษณะเฉพาะคือ ต้นทุนหลักไปลงกับนักบำบัดและบริการบำบัด แถมเรื่องจิตใจยังไม่สามารถนำเสนอเป็นสรรพคุณหรือโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเหมือนบริการอื่นได้ ทำให้ต้องทุ่มทั้งแรงและเวลาเป็นสองเท่าในการสื่อสารบริการให้เข้าใจง่าย

แม้ธุรกิจสาย mental wellbeing ในไทยจะเติบโตมากขึ้นตามเทรนด์โลกแล้ว แต่ดุจดาวก็ยังมองว่า จะหยุดสื่อสารกับคนทั่วไปไม่ได้ เพราะโครงสร้างพื้นฐานและกฎหมาย ระบบระเบียบของประเทศไทยยังไม่รองรับการทำงานบำบัดอย่างเต็มรูปแบบ

“ก่อนหน้านี้เรามองเรื่องการสื่อสารเพื่อปูพรมทางวัฒนธรรมว่า คนเราสามารถขอซัพพอร์ตทางใจจากนักบำบัดได้ การทำพ็อดแคสต์ R U OK (พ็อดแคสต์เล่าเรื่องสุขภาพจิต) ก็ทําให้การบำบัดใจกลายเป็นเรื่องปกติที่แพร่หลายมากขึ้น ตอนนี้เลยหันมาให้ความรู้เรื่องการสร้างประสบการณ์และการให้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น ว่าบริการเฉพาะทางในศาสตร์ต่างๆ มีฟังก์ชั่นการรักษายังไง หานานแค่ไหนถึงจะดีขึ้น เข้ามาแล้วจะเจออะไร เพื่อที่เวลามาขอคำปรึกษาแล้วช่วยลดความกังวล สำหรับคนที่เคยมาแล้วถอยหลัง หรือเคยมาแล้วไม่แน่ใจว่ามันใช่ไม่ใช่เรา”

ความท้าทายในการทำ SOULSMITH จึงเป็นเรื่องการทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น หาท่าการเติบโตของธุรกิจที่ไม่ละทิ้งใครในสังคม และถ้าเป็นไปได้ ดุจดาวก็บอกว่าไม่อยากให้บริการบำบัดกระจุกอยู่แค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเท่านั้น

 In Honour of Empathy  

นอกจากกลุ่มลูกค้าที่มีผลกระทบสูงต่อสังคมแล้ว ในระดับ B2B ธุรกิจในส่วน Empathy Sauce ของดุจดาวยังเน้นสื่อสารกับกลุ่มคนทำงาน (workplace people) โดยจัดเวิร์กช็อป ออกแบบคอร์ส และ toolkit เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติต่อกันอย่างเห็นอกเห็นใจกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้เรื่อง empathy และ leadership ในองค์กรเป็นเรื่องพื้นฐาน โดยออกแบบคอร์สให้พนักงานทุกระดับตั้งแต่ปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหารผ่าน Empathy Sauce Academy

“ความยากอยู่ที่การเรียงลำดับในการเข้าไปทำกระบวนการ ถ้าเราทำงานกับฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนใหญ่จะเข้าไปในเชิง reactive approach คือมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นเราก็เข้าไปแก้ปัญหาปลายทาง หรือไปสื่อสารบางอย่าง แต่ถ้าเราได้เข้าไปแตะในพาร์ตของ executive หรือ top management ความท้าทายคือเราไม่เคยได้เวลาเยอะ แต่ข้อดีคือ ถ้าผู้บริหารเข้าใจในสิ่งที่เราพูด มันจะส่งแรงกระเพื่อมไปสู่ความยั่งยืนขององค์กรได้

“ส่วนพาร์ตที่รู้สึกว่าเราเข้าไปถูกที่คือพนักงานระดับ middle management เพราะเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนองค์กรที่ท้าทายหลายอย่าง  บางคนจะชินกับการทำงานแบบโอเปอเรชั่นมาก่อน พอเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ก็ยังใช้ทักษะเดิมที่ติดตัวมา แต่ทักษะการบริหาร การจัดการเรื่องคน หรือการสื่อสาร ยังไม่เคยเรียนมาก่อน ซึ่งถามว่าคนเราเรียนเรื่องสื่อสารกันมาจากไหน ไม่มี มาจากประสบการณ์ มันเลยเป็นคลาสที่ค่อนข้างจะท้าทายเสมอเลย เพราะเราไม่รู้ว่าส่วนผสมของทีมในแต่ละบริษัทเป็นคนแบบไหนบ้าง ซึ่งถ้าเราทําได้โดยไม่ไปลดทอนกําลังใจในการพัฒนาตัวเองของใคร ก็จะเห็นประโยชน์ของมันหลายเลเยอร์”

เวลาที่ต้องออกแบบกระบวนการสำหรับองค์กรที่มีปัญหาซับซ้อน เช่น วัฒนธรรมลำดับขั้นหรือการเมืองภายในที่ฝังรากลึก ดุจดาวแชร์ว่า สิ่งสำคัญคือการได้รับข้อมูลจากคนในองค์กรอย่างตรงไปตรงมาเพื่อมองเห็นภาพใหญ่ตรงกัน และให้คำปรึกษาอย่างซื่อตรงว่าการทำเทรนนิ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรต้องใช้เวลา

“Empathy Sauce มีหลักการคือ เราจะไม่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คนในองค์กรเก่งหลายเรื่อง แต่เรื่องเข้าใจคนก็เป็นเรื่องยากจริงๆ เราเลยออกแบบกระบวนการไม่ให้เกิดความรู้สึกว่า ฉันไม่รู้อะไรเลยซะเหลือเกิน เราจะไม่เข้าไปสอนแล้วทําให้ทุกคนรู้สึกว่า คนนํากระบวนการใช้สิทธิ์ดุจดาวเก่งเหลือเกิน แล้วฉันช่างอ่อนด้อย  ไม่มีทาง เราจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์จากกันและกันได้ แล้วสร้างการเรียนรู้แบบที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าตัวเองโคตรเก่ง”

Ignite the Conversation

การจุดประกายบทสนทนาด้านจิตใจในชีวิตประจำวัน สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่ดุจดาวเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนเข้าใจและเข้าถึงบริการบำบัดมากขึ้น ทีม SOULSMITH จึงจัด Mental Matters Fest ในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย โดยมีหนึ่งในกิจกรรมหลักคือ mental monologue

“เรามักจะได้ยินแต่เรื่องที่ประสบความสําเร็จและเรื่องราวเจ๋งๆ ของผู้คน แล้วคนทั่วไปก็จะมองว่า
ก็เพราะคนเหล่านั้นเก่งไง ก็เลยผ่านมันมาได้ เราก็เลยคุยกันว่า มันสามารถเปิดให้ทุกคนรู้ว่าแม้กระทั่งซูเปอร์แมน คนเก่งๆ ทั้งหลายก็มีมุมที่ติดขัดเหมือนกัน คนที่จะขึ้นเวทีของเราเลยเป็นจอมยุทธ์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง เพื่อจะทําให้ทุกคนรู้ว่า จอมยุทธ์ก็มีพาร์ตเหล่านี้เหมือนกัน แต่เขาไม่มีพื้นที่จะเล่า เพราะโลกเราโฟกัสแต่ความสําเร็จ” 

กติกาของกิจกรรม mental monologue คือ การเชิญเหล่าจอมยุทธ์ทั้ง ศิลปิน ผู้ประกอบการ และผู้ทรงอิทธิพลในหลากหลายวงการ มาเล่าเรื่องจริงของตัวเอง ผ่านบทพูดเดี่ยวที่ไม่ได้เน้นความสำเร็จ แต่เล่าถึงช่วงเวลายากๆ ที่เคยเจอ แชร์จากประสบการณ์ตรงว่าอะไรบ้างที่เวิร์กและไม่เวิร์กในการดูแลใจตัวเอง โดยทีม SOUSLMITH สนับสนุนให้ทุกคนเล่าเรื่องในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด ไม่ว่าจะเล่าเปล่าๆ หรือผสมผสานการแสดง พร็อพ หรือพรีเซนเทชั่น

นอกจาก mental monologue แล้ว ยังมีกิจกรรมที่ออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้คลี่ดูสภาวะภายในของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทอล์ก เวิร์กช็อปศิลปะ การเคลื่อนไหว ดนตรี การใช้ประสาทสัมผัส รวมถึงการแสดงเดี่ยว Innerforce ที่กำกับโดยดุจดาว และกิจกรรมบำบัดรูปแบบสร้างสรรค์ที่ฉีกกรอบจากเดิม เช่น การเรียนรู้ mindfulness ผ่านการเต้น Swing Dance, บอร์ดเกมชีวิต Actual Life Game, และวงไพ่ Mind Magnifying

ดุจดาวเล่าอินไซต์จากการจัดงานในปีก่อนๆ ว่า “หลายคนจะบอกว่าไม่อยากให้งานแมสขึ้นเลย ปกติทุกคนจะรู้แหละว่าการบำบัดแบบ 1 ต่อ 1 เป็นพื้นที่พิเศษ ที่พอเราเข้าไปแล้วจะสามารถเปิดได้หมดใจ แล้วก็เจอคนที่ปลอดภัย งานปีที่ผ่านมาทุกคนก็จะทึ่งว่า นี่มันงานอีเวนต์ระดับที่บางคืนมีผู้ฟัง 80 คนนั่งฟัง ทำยังไงให้ผู้ฟังทั้ง 80 กว่าคนเหล่านั้นอยู่ด้วยกันในพื้นที่ปลอดภัยได้ รู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์มาก

“มันเป็นคอมมิวนิตี้ที่ลึกซึ้งและเป็นอีเวนต์ที่เซนซิทีฟ คนที่มางานไม่ได้เดินเข้ามาแบบฉาบฉวย แล้วเดินออกไป กลายเป็นว่ามาแล้วนั่งหย่อนตัว หย่อนใจ เราแทบจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนมางานอีเวนต์ทั่วไปแทบไม่ได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ ที่เขานั่งอยู่เงียบๆ แต่ละคนอยู่ตรงจุดไหนของการเดินทางภายใน”

Innerforce 

เบื้องหลังการแสดง Innerforce ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มใหม่ของดุจดาวที่เล่าถึง ‘กําลังภายใน’  เรื่องราวแห่งการค้นพบว่าตัวเราเองสามารถผลิตกำลังภายในได้ด้วยตัวเองท่ามกลางเส้นทางที่ไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลง

“ในจังหวะที่เราใช้ชีวิตกัน เรามักจะรอให้มีกําลังจากภายนอกมาอัดฉีดเราในวันที่ข้างนอกมันยาก แต่ความจริงแล้วเราทุกคนมีกําลังภายใน คราวนี้พอมาทําเป็นการแสดง เราไม่ได้จะมาบอกทุกคนว่านี่คือกําลังภายในของฉัน เราตั้งใจทําการแสดงโดยเอานักแสดงละครเวที (อรอนงค์ ไทยศรีวงศ์) ที่เก่งมากมาแสดง เพื่อทำให้ทุกคนระลึกว่าเราต่างมีกําลังภายในเป็นของตัวเอง แต่เราต้องหา ค่อยๆ จูนกับตัวเอง แล้วก็อันล็อกมันออกมาใช้

“เพราะโลกใบนี้มันเริ่มหมุนเร็วขึ้น มีความไม่แน่นอน อะไรที่เคยเป็นแหล่งพลังของเราจากข้างนอกที่แน่นอน มันก็ไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก็เลยอยากให้ทุกคนได้เจออะไรบางอย่างผ่านการค้นหาของ ‘อรอนงค์’ การแสดงจะเป็นเหมือน physical theater ที่เน้นการเคลื่อนไหวเป็นหลัก เราจะไม่ได้ใช้เรื่องเล่ามากนัก เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนตีความกันเอง”

เช่นเดียวกับศาสตร์บำบัดศาสตร์อื่น การทำ dance movement psychotherapy เหมาะสำหรับผู้ที่อยากบำบัดใจในประเด็นไหนก็ได้ สามารถเคลื่อนไหวแบบฟรีฟอร์มในท่วงท่าอิสระ (improvise) ไปก่อน โดยที่ยังไม่ต้องรู้ล่วงหน้าชัดเจนว่าอยากให้ท่าทางเหล่านั้นมีความหมายอะไร เป็นกระบวนการทํางานกับร่างกายที่ไม่ต้องใช้ความคิด เพราะบางครั้งความคิดก็สับขาหลอกตัวเรา

และเมื่อปล่อยให้ได้ลองเงี่ยหูฟัง ประสานตัวเองกับร่างกายซึ่งเป็นภาษาแรกของมนุษย์ พินิจพิเคราะห์ข้อมูลผ่านเนื้อตัว ก็จะเกิดกระบวนการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า free association คือการเริ่มจับต้นชนปลายได้ว่าท่าทางเหล่านั้นสื่อสารความหมายหรือความรู้สึกบางอย่างในใจเรา เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ต้องรู้คำนิยามตั้งแต่แรก แต่ใจความจะปรากฏภายหลังการเคลื่อนไหว

บทสรุปการเติบโตภายในจากการทําธุรกิจ SOULSMITH กับ Empathy Sauce ของดุจดาวก็มีความคล้ายกัน คือแม้จะเต็มไปด้วยความไม่รู้ในศาสตร์ธุรกิจตั้งแต่แรก แต่ก็บ่มเพาะกำลังภายในจนทำให้ธุรกิจค่อยๆ เติบโตขึ้นมาได้ จากการลงมือ ‘ขยับ’ และปรับตัวทีละนิด เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหน้างานที่คาดเดาไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ต้องปรับโมเดลธุรกิจฉับพลันเพราะการมาถึงของโควิด-19 ไปจนถึงการเรียนรู้วิธีทำงานแบบไร้กระบวนท่าที่ต้องยืดหยุ่นอยู่เสมอ

“เราเป็นคนชัดเจนตั้งแต่เด็กจนโต แม้กระทั่งการได้มาเป็น dance movement psychotherapist ก็เพราะชอบเต้นตั้งแต่เด็ก เราไม่ได้ชอบเรียนขนาดนั้น เรียนไม่เก่ง แต่จะชอบเต้น ชอบเรื่องจิตวิทยา ชอบการแสดง จะใช้ชีวิตตามสิ่งที่เราชัดเจนตลอดเวลา แล้วก็เลือกแม่นด้วย แต่นั่นแปลว่าดาวก็ไม่เลือกหลายอย่างมาตลอดเวลาเหมือนกัน” 

“พอวันหนึ่งเริ่มอยากทําสิ่งที่เราจัดการและกําหนดเองได้ค่อนข้างเยอะ แต่เพื่อจะได้ทำสิ่งนั้น โอ้โห มันต้องใช้ทักษะเยอะกว่าสิ่งที่เป็นหมุดหมายแกนหลักของตัวเรา แต่มันก็ทําให้เรารู้ว่า ยึดความอยากและแรงปรารถนาเอาไว้ให้มั่นเลยนะ เพราะหลังจากนั้นมันคือการหาความเป็นไปได้ใหม่ในตัวเองให้เกิดขึ้นให้ได้ แล้วมันก็เป็นไปได้ มันมาจากทักษะที่เราแอบสะสมตกค้างเอาไว้ ก่อนหน้านี้เราแค่ไม่เคยเอามาใช้แล้วคิดว่าตัวเองไม่มี มันก็เลยทําให้สัมผัสได้ว่า มนุษย์นี่วิเศษจังเลย มันมีกําลัง มี wisdom และความเป็นไปได้ในการที่จะเพิ่มศักยภาพได้เยอะเลย”

ความท้าทายของการทําธุรกิจของดุจดาวในวันนี้คือการผ่านช่วงเวลาทรานส์ฟอร์มเพื่อสเกลธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวเองอยู่ในทุกการบำบัด “ตอนที่ยังทำ SOULSMITH เป็นแค่ยูนิตหนึ่งและยังไม่ได้เกิดมาเป็นอีกธุรกิจ เราตั้งใจจะทําเป็นระดับโฮมเมด คือทำเล็กๆ แล้วพอวันหนึ่งเราไม่ได้ทำแบบโฮมเมดอีกต่อไป มันก็เป็นจังหวะที่เราต้องทรานส์ฟอร์มทุกอย่าง”

“แต่เดิมเวลาคนจะมาทําจิตบําบัดกับเรา คนก็จะมาหาดุจดาว เพราะก่อนหน้านี้มันมีแต่ดุจดาวคนเดียว มันมากองอยู่ที่ดาว วันหนึ่งพอเราจะมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายศาสตร์ให้เลือกมากขึ้น ก็ต้องผลักให้เซนเตอร์อยู่ที่แบรนด์ SOULSMITH แทนดุจดาว ตอนนี้คนเริ่มรู้จักกิจกรรมของนักบำบัดคนอื่นที่ไม่ใช่ดุจดาวแล้ว Empathy Sauce ก็เช่นกัน”

เรื่องของใจจะทำเป็นธุรกิจแบบโฮมเมดไม่ได้ ถ้าอยากขยายผลการสร้างอิมแพกต์ นี่น่าจะเป็นคำอธิบายของรสหวานปลายจากความขมในหมวกนักธุรกิจของดุจดาว ที่แม้ธุรกิจจะไม่ใช่ศาสตร์ถนัดดั่งยาขม แต่ก็ยังสนุกและเรียนรู้ไปกับมัน

ขอบคุณรูปจาก SOULSMITH

สำหรับผู้ที่สนใจเทศกาล Mental Matter Fests ที่จัดขึ้น ณ วันที่ 17-19 ตุลาคม 2025 ณ โรงแรม The Fig Lobby สามารถติดตามได้เพิ่มเติมที่เพจ Mental Matters Fest

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like