246
December 18, 2025

Wonderfruit 2025

Wisdom ทางวัฒนธรรมจาก Wonderfruit 2025 ที่มากกว่าแดนซ์ฟลอร์กลางป่าและดนตรีดีเจ

เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ Wonderfruit เทศกาลระดับโลกด้านดนตรี ศิลปะ อาหาร และวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน ปักหลักจัดขึ้นที่ The Fields, Siam Country Club พัทยา จังหวัดชลบุรี และในปีนี้ เทศกาลก็กลับมาอีกครั้งตลอดระยะเวลา 5 วันในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

สำหรับหลายคน การมาเทศกาลดนตรีคือการดื่มด่ำกับเสียงเพลงและการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่บันทึกการเดินทางครั้งนี้อยากชวนเปิดมุมมองใหม่ ชวนสำรวจ wisdom และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคอนเซปต์การออกแบบเสียง ดนตรี และศิลปะของ Wonderfruit รวมถึงแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนที่ถ่ายทอดผ่านการปลูกป่าและการดูแลระบบนิเวศอย่างจริงจัง

ทริปนี้ได้รับการต้อนรับจาก พีท–ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้ง Wonderfruit, เจ–มณฑล จิรา ผู้ร่วมก่อตั้ง และจอน ลอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Scratch First สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมาเยือน Wonderfruit นี่คือคำแนะนำตัวจากพีทที่ช่วยอธิบายภาพรวมของ The Fields ได้อย่างดี “ตอนนี้ The Fields มีระบบบริหารจัดการตลอด 365 วันต่อปี มีระบบนิเวศของตัวเอง และเราได้ปลูกป่าไปแล้วกว่า 30,000 ต้น เป็นพื้นที่ที่เราเรียกว่า ancestral forest โดย Wonderfruit มุ่งมั่นพัฒนาวัฒนธรรมให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสสามสิ่งสำคัญที่เราสนใจ คือ mind, nature ซึ่งมีความหมายกว้าง และ sound ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดนตรี แต่รวมถึง sense (ประสาทสัมผัส) ด้วย”

“วัฒนธรรมในความหมายที่เราแปลคือ การนำผู้คนมารวมกันเพื่อเกิดความสร้างสรรค์ มันอาจจะเป็นทั้งดนตรี ศิลปะ อาหาร การจัดแลนด์สเคป สถาปัตย์ เราอยากให้วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อให้คนเข้าหา 3 แกนที่เราสนใจ นี่คือระบบบ้านของเราที่ทำไว้ตลอด 10 ปี”

Forest Wisdom

จุดหมายแรกของทริปนี้ไม่ใช่แดนซ์ฟลอร์ แต่เป็น Ancestral Forest พื้นที่ป่าที่ Wonderfruit ออกแบบและพัฒนาอย่างต่อเนื่องร่วมกับ TK Studio บริษัทด้านภูมิสถาปัตยกรรมเชิงนิเวศมาเป็นระยะเวลากว่า 3-4 ปีแล้ว ที่นี่ไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้เพื่อความสวยงาม แต่ปลูกเพื่อฟื้นฟูให้ผืนดินกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ดร.สิรินทร์ แก้วละเอียด ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศ ได้ถ่ายทอดแนวคิดการปลูกป่าด้วยศาสตร์ Miyawaki Restoration Method ซึ่งใช้เวลาศึกษาและปฏิบัติมานานกว่า 4 ปีให้ฟัง หลักการคือการปลูกต้นไม้หนาแน่นในพื้นที่จำกัด โดยในพื้นที่ 1 ตารางเมตรจะปลูกประมาณ 3-4 ต้น วิธีนี้ทำให้ต้นไม้เติบโตแข่งขันกันเพื่อแย่งแสงแดด ทำให้การฟื้นตัวของป่าเร็วขึ้นกว่าปกติถึง 2-3 เท่า

ในการปลูกป่าครั้งนี้ ดร.สิรินทร์แนะนำให้รู้จักกับพันธุ์ไม้ท้องถิ่นหลากหลายชนิด ตั้งแต่ยางนา พันธุ์ไม้เมล็ดมีปีกที่บินถลาลมได้บนฟ้าเหมือนลูกควิดดิชแม้ตกจากความสูงกว่า 40 เมตร ไปจนถึงต้นแก้ว ดอกหอม มันปู มะเกลือ และพันธุ์ไม้อื่น ๆ รวมกว่า 65 ชนิด จำนวนประมาณ 700 ต้น ที่จะถูกปลูกลงบนผืนดินแห่งนี้

“ความจำเป็นที่เราต้องปลูกป่าที่นี่คืออะไร” ดร.สิรินทร์อธิบาย “เมื่อฝนตก พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งชะลอน้ำ ถ้าไม่มีต้นไม้เลย น้ำจะไหลบ่าจนเกิดการกัดเซาะ แต่เมื่อมีป่า ความชื้นจะถูกเก็บไว้ ความเขียวขจีจะกลับมา และระบบนิเวศก็จะเริ่มฟื้นตัว นี่คือเหตุผลหลักของการปลูกป่าแห่งนี้”

พีทยังแนะนำให้รู้จักกับปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกป่าวัย 70 ปีอีกท่านที่แนะนำตัวว่าเป็น ‘พ่อเลี้ยงผู้ชอบปลูกต้นไม้’ และเล่าถึงปรัชญาการปลูกต้นไม้ที่ทำให้ใจสงบ

“ผมตั้งปณิธานว่าจะปลูกต้นไม้ให้ได้วันละ 3 ต้นเหมือนกินข้าววันละ 3 มื้อ เพราะฉะนั้นจะปลูกป่า 1095 ต้นต่อปี จนกว่าจะเดินไปดูไม่ได้

“ขงจื่อกล่าวไว้ว่าถ้าเราอยากมีความสุข 3 ชั่วโมง ให้กินอาหารที่จะย่อยภายใน 3 ชั่วโมง ถ้าเรามีความสุขสัก 3 วันให้เดินทางท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน กำลังดี กำลังสนุก ถ้ามากกว่านั้นอาจจะทะเลาะกันก็ได้

“ถ้าเราอยากมีความสุข 3 สัปดาห์ ลองให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาใส่ เราก็จะชื่นชมอยู่ 3 สัปดาห์ ถ้าเราอยากมีความสุข 3 เดือนให้ไปฮันนีมูน

“ถ้าเราอยากมีความสุข 3 ปี ให้ปรับปรุงบ้านใหม่ แต่ถ้าเราอยากมีความสุขตลอดชีวิต ให้ปลูกต้นไม้”

ทุกครั้งที่ปลูกต้นไม้ พ่อเลี้ยงจะตั้งจิตอธิษฐานและกล่าวคาถาประจำตัว “เวลากลุ้มใจก็ขุดหลุมใหญ่ กลุ่มเล็กก็ขุดหลุมเล็ก เอาถุงพลาสติกที่ห่อต้นไม้ออก เอาต้นไม้ลงไป แล้วก็เอากรวยดินออกมา ท่องคาถากับต้นไม้ว่า ลูกเอ๊ย หาอยู่หากินเอาเด้อ รีบโตนะ รีบโตไวๆ จะได้เป็นร่มเงาของแม่พระธรณี”

การปลูกป่า ณ ผืนดินแห่งนี้จึงน้อมรับภูมิปัญญาการเคารพธรรมชาติมาไว้ด้วย สมกับชื่อ Ancestral Forest ที่แปลว่าป่าแห่งภูมิปัญญา ซึ่งย้ำว่า Wonderfruit ไม่ได้เป็นเทศกาลที่เต้นไปกับเสียงดนตรีเท่านั้น หากยังขยับไปพร้อมกับจังหวะของธรรมชาติและการดูแลผืนดินอย่างยั่งยืน

Sound Wisdom

นอกจากการใส่ใจผืนดินแล้ว ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เวทีและกิจกรรมของเฟสติวัลยังถูกออกแบบให้เหล่า Wonderer ดื่มด่ำกับเสียงเพลงและศิลปะตลอด 24 ชม. ตั้งแต่โยกเบาๆ กับเพลงดีเจพร้อมชมแสงยามเช้าที่ Solar Village เวทีไม้แบบโมดูลาร์ที่ออกแบบให้แสงสีแปรเปลี่ยนตามแสงของวัน ไปจนถึงม่วนจอยกับเพลงหมอลำในตอนค่ำกับเวทีสีแสบตาสไตล์อีสานที่ Molam World

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของปีนี้ คือ Baan Bardo พาวิลเลียนใหม่ล่าสุด ผลงานของศิลปินมัลติมีเดีย วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจการออกแบบมาจากแนวคิดเขาวงกตในพิธีกรรมโบราณของชุมชนพื้นถิ่นหลากหลายวัฒนธรรมทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคใกล้เคียง ในอดีตผู้คนจะรวมตัวกันสร้างเขาวงกตขึ้นกลางพื้นที่สำหรับพิธีศักดิ์สิทธิ์ และเดินผ่านเขาวงกตนั้นเพื่อฝึกโฟกัสจิตใจ ปรับจังหวะก้าวของตนเอง และทำพิธีถวายเครื่องบูชาที่กลางเขาวงกต

Baan Bardo จึงออกแบบให้เป็นเวทีที่มีการเคลื่อนไหว ยกขึ้น ยกลง และเปลี่ยนรูปทรงได้หลากหลายตามโปรแกรมเสียงเพลงและกิจกรรมที่แตกต่างกัน สื่อถึงจิตใจของมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านอยู่ตลอดเวลา เมื่อโครงสร้างเขาวงกตถูกจัดวางใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เปรียบเหมือนการสร้างนิยามใหม่ของการรวมตัวและการพบปะสังสรรค์กันในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่แสดง Sound Meditations ซึ่งทำให้ Baan Bardo กลายเป็นการจำลองพิธีกรรมและวัฒนธรรมของชุมชนแบบร่วมสมัย

จะเห็นได้ว่าการออกแบบเวทีเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความบันเทิง แต่คือการออกแบบประสบการณ์เชิงเคลื่อนไหวที่ชวนมาดื่มด่ำกับเสียงดนตรีและการเต้น นอกจาก Baan Bardo แล้ว หากอยากฟังดนตรีท่ามกลางป่า The Quarry คือเวทีที่เปลี่ยนเหมืองร้างกลางผืนป่าในยามค่ำคืน ให้กลายเป็นโลกข้ามมิติ ผ่านการออกแบบเหนือจริงของ Jiro Endo ที่ผสานเสียง แสง และเลเซอร์แตกต่างกันไปในแต่ละคืน 

และหากอยากพักกายพักใจ เมื่อลองแวะนั่งกลางทุ่งหญ้าที่ Creature Stage อัฒจันทร์กลางแจ้งซึ่งมีการแสดงสดระดับนานาชาติ แสงบนเวก็จะทีค่อยๆ คลี่ตัวออกเป็นวงแหวนซ้อนกันราวผิวน้ำ ชวนให้รู้สึกสงบและหยุดนิ่งอยู่กับช่วงเวลาตรงหน้า เป็นรูปแบบหนึ่งของเสียงบำบัดที่ช่วยให้ผ่อนคลายและยังสนุกไปพร้อมกัน 

Wellness Wisdom

Free Spirit คือคำที่ผุดขึ้นมาในใจเมื่อได้มา Wonderfruit เพราะเทศกาลนี้ไม่ได้มีไว้แค่ให้ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงจากดีเจเท่านั้น หากยังมอบความรู้สึกผ่อนคลายและอิสระที่ค่อยๆ คลี่ตัวออกตลอดทั้งวัน ผ่านกิจกรรมที่ดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

ตั้งแต่การล้อมวงสร้าง flower mandala และร้องเพลงร่วมกัน การเต้นอย่างอิสระและเล่นฮูลาฮูปกลางทุ่งหญ้าร่วมกับเพื่อนใหม่ กิจกรรมดนตรีบำบัดที่ชวนทดลองเล่นเครื่องดนตรีชนิดใหม่ กิจกรรม Sonic Minds ที่บันทึกเสียงธรรมชาติไว้ในหูฟัง ชวนให้เราฝึกเงี่ยหูฟังเสียงที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ ทั้งเสียงน้ำ เสียงลม เพื่อขยายขอบเขตของ sound ecology หรือนิเวศวิทยาของเสียงที่เราคุ้นเคย ไปจนถึง Cheese Shack ต้นไม้คาราโอเกะที่เปิดพื้นที่ให้นั่งร้องเพลงในต้นไม้

จะกล่าวว่า Wonderfruit คือหมู่บ้านขนาดย่อมที่เสกทุกอย่างไว้ในที่เดียวก็คงไม่เกินจริงนัก มีทั้งชายหาดให้นอนอาบแดด ทะเลสาบสำหรับเล่น SUP board สนาม pickleball และกิจกรรมด้าน wellness นับไม่ถ้วน ตั้งแต่โยคะ การนั่งสมาธิ พิธีชงชา ice bath ไปจนถึง Medicinal Village โซนแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย ที่รวมทั้งนวดไทย ตอกเส้น นวดคลายเส้นแบบพื้นบ้านล้านนา เวิร์กช็อปทำยาดม และทำให้ได้รู้จักกับ ‘เบญจกูล’ ตำรับยาไทยโบราณจากว่านขิง ขิงแห้ง ผลดีปลี รากเจตมูลเพลิงแดง รากสะค้าน ผลพลู ซึ่งช่วยปรับสมดุลธาตุและการไหลเวียนของเลือด ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด

wellness ในแบบของ Wonderfruit จึงไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่รวมถึงอาหารสร้างสรรค์ที่สนับสนุนระบบนิเวศและชุมชนท้องถิ่นจากหลากวัฒนธรรม มุมที่ไม่ควรพลาดคือ Mushroom Tea House ที่นำเสนอเมนูแปลกใหม่อย่างชาที่มีส่วนผสมของไซรัปจากเห็ด ซึ่งมีสรรพคุณทางสุขภาพต่างๆ เช่น ถั่งเช่า (Cordyceps) ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เห็ดแผงคอสิงโต (Lion’s Mane) ที่ช่วยส่งเสริมความจำและสมาธ

ท่ามกลางบูทอาหารมากมาย เมนูที่ได้ลองชิมคืออาหารท้องถิ่นจาก ‘ถิ่นนิยม’ กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เลือกกลับบ้านไปทำเกษตรตามฤดูกาลที่เชียงดาว ตั้งแต่สุกี้ยากี้ น้ำผลไม้ปั่น และในงานยังมีน้ำมะพร้าวจากบ้านแพ้ว ซึ่งแม้แต่การจัดการขยะก็ยังคิดมาอย่างรอบคอบ ด้วยถังแยกสำหรับทิ้งลูกมะพร้าวโดยเฉพาะ

หลายคนอาจไม่รู้ว่า Wonderfruit มีร้านอาหารเต็มรูปแบบด้วย ที่ Jungle House โดยในทริปนี้ได้ลองชิมเมนูขนมปังซาวร์โดวจ์โฮมเมดเสิร์ฟคู่ตับไก่เมนูซิกเนเจอร์จาก Appia เนื้อแกะย่างเสียบไม้สไตล์อาบรุซโซ สลัดปุนตาเรลเล ปลาหมึกออร์แกนิกชุบแป้งเทมปุระ ปลาซาร์ดีนสเปน และไก่ปรุงปาปริก้ารมควันกับออริกาโน ทุกจานสะท้อนแนวคิดเดียวกันคือการกินอย่างรู้ที่มาและเคารพวัตถุดิบ

ผู้ที่มาเยือนและใช้เวลาในเทศกาลจะสัมผัสได้ว่า Wonderfruit ไม่ได้ให้เราแค่สนุกหรือพักผ่อน แต่ชวนให้ตั้งคำถามว่า free spirit หรืออิสรภาพที่แท้จริงอาจไม่ใช่การหลุดพ้นจากทุกอย่าง หากคือการใช้ชีวิตอย่างรู้ตัว เชื่อมโยง และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเลือก ทั้งเสียงที่ฟัง อาหารที่กิน และโลกที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมัน

The Fields Store 

ด้วยความเป็นเทศกาลที่ยึดแนวคิดรักษ์โลก ในงานจึงมี The Fields Store โซนคอลเลกชั่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่ Wonderfruit ทำร่วมกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ขายของที่ระลึก แต่คือพื้นที่ที่แนวคิดของ เทศกาลถูกแปลออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้ ตั้งแต่เรื่องความยั่งยืน ไปจนถึงการเคารพวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว

สินค้าหลายชิ้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้จริง ทั้งระหว่างอยู่ในเทศกาลและนำไปใช้ต่อในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่แก้วน้ำและกระติกน้ำที่ชวนให้มองการใช้ชีวิตแบบ zero-waste เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็น Wondercups ที่ร่วมสร้างสรรค์กับแบรนด์ Sonite โดยผลิตจากเปลือกไข่อัพไซเคิล และเลือกใช้สีแทนธาตุทั้งห้าตามแนวคิดแพทย์แผนไทย รวมถึงทัมเบลอร์ KINTO รุ่นพิเศษ

สำหรับใครที่อยากพกแก้วน้ำติดตัวแบบคล่องๆ ก็มีที่ใส่แก้ว สายคล้องโทรศัพท์ และกระเป๋า Bottle Sacoche สีสันสดใสจากคอลเลกชั่นที่ทำร่วมกับแบรนด์ Topologie เหมาะกับสายแอดเวนเจอร์ที่อยากเคลื่อนไหวอย่างคล่องตัวตลอดงาน

หากใครอยากเก็บความทรงจำของงานครั้งนี้ไว้ในรูปแบบกลิ่นน่าจะชอบ room spray และ pillow mist  โดย PAÑPURI ที่ชวนให้กลิ่นหอมกลายเป็นทางลัดพาเราย้อนกลับมาสู่ช่วงเวลาใน The Fields แม้เทศกาลจะจบลงแล้ว แถมยังมีคอลเลกชั่นที่น่าจะถูกใจสายคราฟต์อย่างถุงเท้าลายมัดย้อมที่ทำจากสีธรรมชาติ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างเกษตร งานฝีมือ ชุมชนโดย Philip Huang Indigo World และเสื้อยืดจาก Moreloop ซึ่งเปลี่ยนผ้าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วให้กลายเป็นเสื้อยืด ปิดท้ายด้วยแจ็กเก็ตยีนส์และแจ็กเก็ตทหารปักลวดลายเทพเจ้าจาก Yellow Fever พร้อมเสื้อยืด LTE คู่กับแผ่นรองแผ่นเสียงไวนิลจาก Zudrangma และสินค้าสร้างสรรค์อีกมากมายให้ตามสะสม

ทั้งหมดนี้ทำให้ The Fields Store ไม่ใช่แค่พื้นที่ช้อปปิ้ง แต่เป็นบทสรุปของ Wonderfruit ในรูปแบบสินค้าสร้างสรรค์ที่ทำให้แนวคิดทางวัฒนธรรมและช่วงเวลาในแดนซ์ฟลอร์กลายเป็นความทรงจำที่ดีของเรา

สำหรับใครที่ไม่ได้มาร่วมงานในปีนี้ ทีม Wonderfruit เล่าว่า ต่อจากนี้จะไม่หยุดอยู่แค่เทศกาลประจำปีอีกต่อไป แต่กำลังขยับบทบาทสู่การจัดกิจกรรมตลอดทั้งปีในฐานะแพลตฟอร์มทางวัฒนธรรม เพื่อเชื้อเชิญให้ผู้คนยังคงเชื่อมต่อกับจิตใจ ธรรมชาติ และเสียงรอบตัว แม้จะก้าวออกจากเทศกาลแล้วก็ตาม

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

You Might Also Like