Super Risk

คุยเรื่องเงินและการปรับตัวของ ‘SuperRich’ ร้านแลกเงินสีส้มผู้บุกเบิกนำเทคโนโลยีมาใช้ก่อนใคร

Super แปลว่า ยิ่งใหญ่

Rich แปลว่า รวย

เมื่อสองคำนี้มารวมกันจึงมีความหมายว่า ทั้งยิ่งใหญ่ทั้งรวย

และหากพูดถึง ‘SuperRich’ ภาพที่ลอยมาคือร้านแลกเปลี่ยนเงินตราที่อยู่แถวราชดำริ ที่ในแต่ละวันมีผู้คนทั้งไทยและเทศมากมายต่างแวะเวียนไปแลกเปลี่ยนเงินกันที่ร้าน

แม้จะมีหลายซุปเปอร์ริช แม้จะมีหลายสีทั้งส้ม เขียว หรือฟ้า ที่ชื่อมีคำว่า ซุปเปอร์ริช เหมือนกัน 

แต่ซุปเปอร์ริชที่เรากำลังจะพูดถึงนี้คือ ซุปเปอร์ริชสีส้ม ร้านแลกเงินที่เริ่มทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2508 มีสีส้ม-สีมงคลของชาวจีน เป็นสีประจำบริษัท มีโลโก้เป็นลูกศร 2 อันประกบกันเป็นสัญลักษณ์อินฟินิตี้ แรกเริ่มทำธุรกิจด้วยตัวเองแค่ 2 คน สามี-ภรรยา และค่อยๆ มีเครือญาติเข้าช่วยบริหาร ที่สำคัญคือปรับปรุง พัฒนา และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในระบบหลังบ้านทำธุรกิจก่อนใคร จนสามารถขยายสาขาไปมากมาย และมีพนักงานกว่า 380 คน และส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 ดูแล

58 ปี ของซุปเปอร์ริชสีส้ม ทำธุรกิจยังไง มีหลักการบริหารแบบไหน ‘ปิยะ ตันติเวชยานนท์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ริช เคอเรนซี่ เอ็กซ์เชนจ์ (1965) จำกัด ทายาทรุ่นที่ 2 วัย 57 ปี รอให้คำตอบอยู่แล้ว

คำถามที่หลายคนสงสัยและไม่ถามไม่ได้คือ ซุปเปอร์ริชสีส้มและสีเขียวเป็นเจ้าของเดียวกันไหม

ตอบอย่างตรงไปตรงมาคือเป็นคนละเจ้า คนละบริษัท แต่เป็นญาติกันที่แยกออกไปทำเป็นเจ้าใหม่ เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องของแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน เริ่มแยกตัวออกไปตอนที่ผมเข้ามารับช่วงในการบริหารต่อ

งั้นอยากให้คุณช่วยย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของซุปเปอร์ริชสีส้มหน่อย

ซุปเปอร์ริชที่ตอนนั้นยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้เกิดจากคุณพ่อวิบูลย์ ตันติเวชยานนท์ ที่ตอนนั้นท่านทำงานกับบริษัททัวร์ และเกิดเห็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินตรา เงินต่างประเทศสะพัด มีทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุน เลยออกมาทำเอง แรกเริ่มเลยคือขี่มอเตอร์ไซค์รับแลกเงินตั้งแต่หัวถนนสีลม สุรวงศ์ แล้วก็ไปส่งให้ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินเจ้าใหญ่ในตอนนั้น

จากนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ตัดสินใจไปเช่าตึกเปิดหน้าร้านครั้งแรกชื่อว่า ‘จิตรวานิชย์’ ปัจจุบันที่ตรงนั้นคือเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดร้านไปได้สักพักก็ถูกปล้น จนเจ้าของตึกไม่ให้เช่าอีก เลยต้องหาทำเลใหม่ ทำเลใหม่คือฝั่งตรงข้ามแถวราชดำริที่ตอนนี้คือสำนักงานใหญ่ในปัจจุบัน และตั้งชื่อว่า SuperRich ที่เป็นมงคลทั้งยิ่งใหญ่ และร่ำรวย และมีสีประจำร้านเป็นสีส้ม ซึ่งเป็นสีมงคลของชาวจีน

ปี 2508 ก็ถือเป็นปีต้นกำเนิดซุปเปอร์ริชอย่างเป็นทางการ

หากให้ย้อนไปไกลกว่านี้อีกนิดก็ต้องบอกว่ารุ่นอากงก็ทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินเหมือนกัน อากงเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาทำงานในไทยและเริ่มรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลหยวนกันในกลุ่มชาวจีนที่มาทำงานในยุคนั้น

แล้วธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรากำไรที่ตรงไหน

ผมมองร้านแลกเงินเป็นเหมือนธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจแลกเงินคือการซื้อมาขายไป และเน้นเรื่องปริมาณ จริงๆ ดูเหมือนน้อยแต่ในแต่ละวันเราหมุนเงินวันหลายรอบ ผมสมมติให้เห็นภาพว่าหากเรามีต้นทุน 1 ล้านบาท เอาไปซื้อเงินดอลลาร์ 30,000 ดอลลาร์ เราทยอยซื้อเรื่อยๆ และระว่างทางเราก็มีขายไปด้วย ในจำนวนเงิน 1 ล้านบาท เราหมุนเป็นสิบๆ รอบ รอบนึงสมมติว่ากำไรห้าสตางค์ เอาไปคูณสามหมื่นก็จะเท่ากับ 1,500 บาท วันนึง 10 รอบ ก็เท่ากับ 15,000 บาท เดือนนึงก็ 450,000 บาท อันนี้คือแค่คุณมีต้นทุน 1 ล้านบาทนะ วันนึงมันเกินอยู่แล้ว ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ ทำไป อัตราแลกเปลี่ยนมันมีทั้งช่วงขึ้นและช่วงลง แต่รวมๆ แล้วร้านแลกเงินก็ยังสามารถทำกำไร

แล้วคุณรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังไง

อย่างที่บอกไปว่าธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินเป็นธุรกิจ cash flow เราปิดความเสี่ยงด้วยการซื้อมาขายไปนั่นแหละ ขายทุกวัน diversify ทุกวัน เพราะเราไม่ได้ซื้อเงินมาแล้วเก็บ มีการหมุนเวียนตลอดเวลา ตกตอนเย็นของทุกวันแม้จะมีสต็อกเงินตราเหลือค้างอยู่บ้าง ถ้าวันรุ่งขึ้นค่าเงินขึ้นเราก็ได้กำไร ถ้าค่าเงินลงก็ขาดทุน แต่เราขายในแต่ละวันเราหมุนได้รอบเยอะกว่า ถ้าเรตลงยังไงร้านแลกเงินก็ cover อยู่แล้ว

ถ้าเรามองว่ามันถัวเฉลี่ยกันทั้งปี เรตจะขึ้นหรือจะลงก็ไม่ต้องไปดูมัน เราขายเมื่อไหร่คือเราได้กำไรแล้ว สิ่งที่มัน liquidate กว่าคือ เงินตราสามารถซื้อ-ขายเมื่อไหร่ก็ได้ โอกาสขาดทุนมันเลยแทบไม่มี

เรื่องของคนก็เป็นสิ่งสำคัญในการบริหาร

ใช่ ซุปเปอร์ริชบริหารแบบให้ใจพนักงาน มีระบบ HR ที่ดี มีการฝึกเทรนนิ่ง และอบรมให้พนักงาน พนักงานของซุปเปอร์ริชมีความเชี่ยวชาญเพราะถูกฝึกอย่างชำนาญจนดูแบงก์ปลอมเป็น สิ่งเหล่านี้คือความเป็น Original Exchange Expert ของซุปเปอร์ริช

เปิดมาแล้ว 58  ปี จุดแข็งที่แตกต่างของคุณกับคู่แข่งคืออะไร

ย้อนกลับไปตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ไม่เกิด conflict และไม่ต้องแข่งกับใคร ยุคนั้นมีร้านแลกเงินไม่มาก สิ่งที่ง่ายที่สุดในการทำมาร์เก็ตติ้งคือ ใช้เรื่องของราคา แต่ผมเองกลับมาตั้งคำถามว่า หากไม่ใช้เรื่องของราคา ซุปเปอร์ริชสีส้มจะแข่งอะไร  

คำตอบคือ ซุปเปอร์ริชเน้นเรื่องของเซอร์วิส และทำยังไงให้อยู่ใกล้กับลูกค้ามากที่สุดแทน 

เซอร์วิสของเราคือ การขยายสาขาเข้าไปให้ใกล้กับผู้บริโภคมากขึ้น ผมเริ่มขยายสาขาเข้าห้างสรรพสินค้าที่บิ๊กซี ราชดำริ ในปี 2544 เป็นครั้งแรก จากนั้นขยายไปเปิดสาขาที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม เมื่อเราขยายสาขานั่นเท่ากับว่าเราขายบริการให้กับลูกค้า ขายความสะดวกสบายในการมาแลกเปลี่ยนเงิน สิ่งที่ต่างออกไปคือ สาขาที่เราขยายไปนั้นเรตค่าเงินที่เรารับซื้อและขายนั้นต่างกว่าสาขาสำนักงานใหญ่เล็กน้อย เมื่อหักลบค่าเดินทางมาแลกเงินที่สำนักงานใหญ่แล้วก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก ลูกค้าได้ประโยชน์อยู่แล้ว

ช่วงแรกๆ ที่ทำลูกค้าไม่เข้าใจว่าทำไมเรตต่างกัน ก็หาว่าซุปเปอร์ริชโกง กว่าจะเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้ได้ใช้เวลาปีกว่าเกือบสองปี หลักจากลูกค้าติดใจในการใช้บริการแล้ว ก็ค่อยๆ ขยายสาขาไปเรื่อยๆ แต่ละสาขาที่ซุปเปอร์ริชเปิดมีกำไรทุกที่ สมมติกำไรสาขาละ 50,000 บาท เปิด 10 สาขาก็กำไร 500,000 บาท เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มาก ทำให้ซุปเปอร์ริชสีส้มเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซุปเปอร์ริชขยายสาขาไปทั้งในห้างสรรพสินค้าและตามเส้นรถไฟฟ้า และขยายออกต่างจังหวัด เคยมีสาขามากกว่า 50 สาขาในช่วงที่ผ่านมาและช่วงก่อนโควิด-19

เพราะฉะนั้นบริษัทไหนที่เน้นแข่งด้วยราคาตายหมด เพราะต้องรับซื้อในราคาที่สูง และขายในราคาที่สูงเช่นกัน พอขายไม่ออกก็ลดราคา กำไรก็ถูกกดลงไปอีก

แล้วตอนนี้ภาพรวมของตลาดธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นยังไง

ผมมองว่าแนวโน้มมันจะลดลงนะ ลดลงตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ซุปเปอร์ริชเองตอนโควิดก็มีปัญหาเช่นกัน ต้องลดสาขา ลดคน พอกลับมาในช่วงแรกก็มีปัญหาเรื่องคนไม่พออีก แต่ตอนนี้ค่อยๆ ดีขึ้น

ผมมองว่าธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินเป็นธุรกิจที่หมดอายุ

ขยายความคำว่าธุรกิจหมดอายุให้ฟังหน่อย

ในความหมายคือเราทำธุรกิจที่อยู่ในรูปของ physical คือถือเป็นเงินสด จะทำให้ไม่หมดอายุได้นั้นคือการหาโซลูชั่น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ 

แล้วคุณเอาเทคโนโลยีอะไรมาใช้บ้าง

ซุปเปอร์ริชเป็นเจ้าแรกเลยนะที่นำเทคโนโลยีมาใช้ ย้อนกลับไปตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ผมนำโปรแกรมซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ชื่อว่า LOTUS 123 มาจัดการระบบหลังบ้าน พร้อมกับใช้โปรแกรมบัญชี EASY-ACC  ทำให้เราเห็นยอด เห็นเรตค่าเงิน เห็นรายรับ-รายจ่าย เห็นข้อมูลต่างๆ ได้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

อีกจุดที่ต่างจากคนอื่นคือ การเปิดเว็บไซต์ ในอดีตเวลาจะแลกเงินทุกคนจะไม่เห็นเรตราคาว่าค่าเงินไหนแลกเปลี่ยนในราคาเท่าไหร่ จะรู้ได้คือการโทรเข้ามาถามเท่านั้น แต่เราเป็นเจ้าแรกที่เอาเรตราคาแลกเปลี่ยนทั้งหมดขึ้นโชว์ในเว็บไซต์ ใช้โปรแกรมสูตรตั้งค่าไว้ เวลาอัตราแลกเปลี่ยนปรับขึ้น-ลง ซุปเปอร์ริชก็ปรับได้ทันการณ์กว่าใคร  

เห็นแบบนี้ซุปเปอร์ริชทำเรื่องดาต้ามาตั้งแต่ต้น เพราะหากใครอยากเข้ามาดูเรตอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องสมัครสมาชิกก่อน เราได้ดาต้าของสมาชิกมาปรับปรุงแนวทางการทำงานให้ดีขึ้น

แม้จะโดนเจ้าใหญ่เจ้าอื่น เพื่อนร่วมวงการถามว่าผมบ้ารึเปล่าที่เอาเรตข้อมูลไปโชว์ทั้งหมดบนเว็บไซต์แบบนั้น แต่ผมก็ไม่สนใจ ก็ปล่อยให้ผมบ้าของผมไป สุดท้ายทุกคนก็ทำตามกันหมด ส่วนยุคนี้ที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีมากขึ้น การใช้เงินอยู่ในรูปของออนไลน์หรือการ์ดมากขึ้น ซุปเปอร์ริชเองมีทำบัตรเงินสด cash card ออกมาช่วงปี 2561 เช่นกัน แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ไม่ทันเปิดตัวโควิด-19 ก็มาพอดีอีก

บัตร Travel Card มาดิสรัปต์คุณและวงการธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราไหม

ปัญหาที่เจอคือผมมองเรื่องดิจิทัลมาก่อนใคร ลองทำมาก่อน แต่ติดปัญหาตอนไปขออนุญาตกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บางบริการติดเรื่องกฎหมาย ซุปเปอร์ริชเป็น non-bank ไม่สามารถทำได้

ตอนแรกๆ บัตร Travel Card ไม่กระทบเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กระทบกับลูกค้าที่เป็นคนไทยของที่ร้านค่อนข้างเยอะเหมือนกัน พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปใช้มากขึ้น ลูกค้าหายไปเลยประมาณ 40%  แม้ปิดยอดปีที่ผ่านมาจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่ยอดจำนวนเงินที่ลูกค้าแลกเปลี่ยนเงินลดลง

ต่อจากนี้เราจะเห็นอะไรใหม่ของซุปเปอร์ริชสีส้มบ้าง

เร็วๆ นี้ ซุปเปอร์ริชกำลังจะรีแบรนด์ดิ้งใหม่ รีแบรนด์ให้มีความชัดเจนและสะท้อนตัวตนของซุปเปอร์ริชมากขึ้น สะท้อนความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจแลกเงินเป็น Original Exchange Expert พร้อมกับทำการตลาดและโปรโมชั่นมากขึ้น

ส่วนบริการซุปเปอร์ริชกำลังพัฒนาบริการทางดิจิทัลใหม่ๆ บริการแลกเงินผ่านวอลเล็ตที่กำลังจะเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้ พร้อมกับใส่อินโนเวชั่นใหม่ๆ เข้ามา บางผลิตภัณฑ์ก็ยังขออุบไว้ก่อน ขณะที่การขยายสาขาก็จะกลับมาขยายสาขามากขึ้นหลังจากที่มีปิดตัวลงไปบ้างในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา

You Might Also Like