609
November 20, 2025

Supermama

Supermama ร้านสินค้าดีไซน์ที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมผ่านนักออกแบบกว่า 100 คนทั่วเอเชีย

หลายคนที่หลงใหลในงานออกแบบท้องถิ่นที่มีสไตล์ร่วมสมัยและวางแผนไปเยือนสิงคโปร์ไม่ควรพลาด Supermama ร้านสินค้าดีไซน์และของที่ระลึกอายุ 15 ปี เบื้องหลังของร้านนี้มีเรื่องราวไม่ธรรมดาเพราะออกแบบสินค้าร่วมกับนักออกแบบชาวสิงคโปร์กว่า 100 คน และผู้ผลิตจากเอเชียกว่า 70-80 ราย อีกทั้งยังถูกเชิญไปแสดงผลงานในเวทีนานาชาติตั้งแต่มิลานจนถึงโตเกียว

Edwin Low ผู้ก่อตั้ง Supermama ชาวสิงคโปร์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้คัดสรรและสร้างสรรค์สินค้าภายในร้านเท่านั้น ล่าสุดเขายังทำหน้าที่เป็นหนึ่งใน Co-curator ของงาน EMERGE @ FIND Design Fair Asia 2025 ที่จัดแสดงผลงานดีไซน์ 166 ชิ้นจาก 12 ประเทศในเอเชีย เพื่อสะท้อนเสน่ห์ของงานคราฟต์ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมของเอเชียเข้ากับความร่วมสมัย

เส้นทางของ Supermama เริ่มต้นจากการเป็นร้านค้าปลีกอิสระเล็กๆ ที่นำเข้าสินค้าญี่ปุ่นเป็นหลัก ก่อนจะขยับมาออกแบบสินค้าของตัวเอง โดยตั้งต้นจากคำถามง่ายๆ จากการอยากเรียนรู้การทำธุรกิจรีเทลว่า ทำไมสินค้าบางอย่างดีไซน์ไม่เด่นและราคาสูง แต่กลับขายดี ขณะที่บางครั้งสินค้าดีไซน์ดี ราคาถูก กลับไม่ค่อยมีคนหยิบ

หลังจากทดลองออกแบบสินค้าดีไซน์สวยทั้งถ้วย จาน เก้าอี้ของตัวเอง เอ็ดวินก็เริ่มเข้าใจจิตวิทยาลูกค้าว่า สิ่งที่ทำให้ของชิ้นหนึ่งมีคุณค่าคือ การเล่าเรื่อง ผู้ซื้อมักมีใครสักคนอยู่ในใจเสมอ ไม่ว่าจะซื้อเป็นของขวัญให้คนอื่นหรือซื้อให้ตัวเอง

เมื่อ Supermama หันมาเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมของสิงคโปร์และเอเชีย ร้านก็ได้รับความสนใจจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยมีคอลเลกชั่นเด่นอย่าง Singapore Blue ที่นำจานลายครามสีน้ำเงิน-ขาวอันเก่าแก่ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมหลักร้อยปีมาต่อยอดด้วยไอคอนของสิงคโปร์นับร้อยชิ้นที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เมอร์ไลอ้อน จนกลายเป็นของที่ระลึกที่เติบโตสู่ตลาด B2B และองค์กรต่างๆ เริ่มอยากให้ Supermama ถ่ายทอดเรื่องราวของบริษัทตัวเองเป็นลวดลายบนจานที่มีความหมายเฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมีคอลเลกชั่นอื่นอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบรุ่นใหม่ออกแบบสินค้าดีไซน์ร่วมสมัย ทั้ง Japan Crafts และ New Nanyang ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างนักออกแบบสิงคโปร์กับผู้ผลิตญี่ปุ่น

จากร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้คิดเรื่องขยายสาขา เมื่อพิพิธภัณฑ์เห็นศักยภาพของผลงาน จึงเกิดการขยายสู่ Supermama สาขาใหม่ในพิพิธภัณฑ์ ทั้งที่ Asian Civilizations Museum และ Peranakan Museum ในสิงคโปร์ กลายเป็นร้านที่เล่าเรื่องราวมรดกทางวัฒนธรรม และแสดงให้เห็นว่างานคราฟต์ของเอเชียสามารถต่อยอดได้ไม่รู้จบ

 Business Wisdom 
    Business Needs Time to Brew

เอ็ดวินเล่าว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นนักธุรกิจ ไม่ได้มีภาพว่าร้าน Supermama จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ตอนแรกคิดว่าธุรกิจจะปิดภายในหนึ่งปีด้วยซ้ำ

“ผมไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ได้เรียนธุรกิจ ผมเป็นนักออกแบบ ก่อนหน้านั้นผมสอน Product Design และ Experience Design อยู่ที่สถาบันการออกแบบในสิงคโปร์ ก่อนหน้านั้นก็เคยทำบริษัทโปรดักชั่นของตัวเอง ทำงานเป็นทั้งช่างถ่ายวิดีโอ ช่างภาพ นักตัดต่อ ผมชอบทำงานสร้างสรรค์ สาเหตุที่เริ่ม Supermama เพราะผมคิดว่าเมื่อล้มเหลว ผมจะกลับไปสอนและบอกนักเรียนเรื่องความล้มเหลวของผมให้พวกเขาได้เรียนรู้”

การเปิดร้าน Supermama เป็นความฝันของเอ็ดวินในฐานะนักออกแบบที่ฝันอยากมีร้านสินค้าดีไซน์เป็นของตัวเอง เพราะอยากออกแบบและขายสิ่งที่ชอบ ช่วงแรก เอ็ดวินกับภรรยาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่ออกแบบ การตลาด การเงิน ไปจนถึงงานขาย และต้องใช้เวลาถึง 4 ปีกว่ากำไรจะงอกเงย

“พอครบปีแรก ร้านเราไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน ผมเลยบอกเพื่อนว่า จะปิด Supermama แต่เพื่อนที่ทำธุรกิจรีเทลบอกว่า ‘ในธุรกิจรีเทล ถ้าคุณไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่ขาดทุนหลังหนึ่งปี นั่นก็ไม่เลว คุณควรทำต่อ’ ผมก็คิดว่า จริงด้วยนะ ก็เลยตัดสินใจทำต่อ”

บทเรียนแรกที่เอ็ดวินเรียนรู้คือ ความสัมพันธ์และการสร้างคุณค่าในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญมาก “ถ้าไม่มีเพื่อนที่คอยบอก ผมคงไม่รู้ว่าการไม่ทำเงินก็โอเค เรามักคิดว่าถ้าไม่ทำเงิน เราควรปิด แต่บางครั้ง business needs time to brew ธุรกิจต้องใช้เวลาในการสร้างกำไร ต้องใช้เวลาในการเล่าเรื่อง”

เอ็ดวินเล่าย้อนถึงสถานการณ์ตอนเริ่มทำ Supermama ว่า ในช่วงนั้นคนสิงคโปร์นิยมสินค้านำเข้าตลาดเต็มไปด้วยงานดีไซน์จากต่างประเทศ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตมาได้ภายหลังคือการสร้างความหมาย (meaning) ในธุรกิจ

“ตอนนั้นประเทศเราไม่ได้สร้างสรรค์งานออกแบบของเราเอง ผมจึงรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่ชาวสิงคโปร์จะต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็น Singapore design หากคุณทำธุรกิจทางวัฒนธรรม ผมคิดว่าการค้นหาความหมายและเหตุผลว่าทำไมธุรกิจคุณถึงควรมีอยู่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากคุณไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อว่าธุรกิจสร้างความหมายได้ คุณก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อในความฝันหรือวิสัยทัศน์เดียวกับที่คุณมีได้”

จุดเปลี่ยนเมื่อธุรกิจได้กำไรคือ การออกคอลเลกชั่นจานเซรามิกลาย HDB flat (Housing & Development Board flat หรือ โครงการบ้านที่อยู่อาศัยสาธารณะของรัฐบาลสิงคโปร์) ที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ในราคาเข้าถึงง่าย ไม่ถึง 50 ดอลลาร์ ซึ่งเอ็ดวินมองว่า เป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์มีผลงานออกแบบเป็นของตัวเองจริงๆ แถมคนสิงคโปร์ยังคุ้นเคยกับ HDB flat เป็นอย่างดีทำให้เล่าเรื่องง่าย 

ประจวบกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงฉลองครบรอบ 50 ปีของวันชาติสิงคโปร์ ทำให้เกิดกระแสความภูมิใจในชาติ เกิดความนิยมในของที่ระลึกและแบรนด์ท้องถิ่น อยากสนับสนุนแบรนด์สิงคโปร์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Supermama อยู่รอดและเติบโตในช่วงเริ่มต้นได้ 

Stories and Meaning Matter

สำหรับนักออกแบบแล้ว การทำการตลาดและการขายย่อมเป็นเรื่องยาก แต่เอ็ดวินเล่าว่าเขามีหลักการอันเรียบง่ายที่ทำให้คนสนใจ 

“ตอนเริ่มต้น ผมมักบอกคนอื่นว่าผม ‘ทำการตลาดโดยไม่ทำการตลาด’ ผมไม่มีเงินทุนแม้แต่จะติดป้ายหน้าร้าน คุณอาจอยู่หน้าร้าน Supermama แต่ไม่กล้าเดินเข้าไป เพราะไม่รู้ว่านี่คือ Supermama หลังจากนั้น คุณก็เดินออกไป แล้วมารู้ทีหลังว่านี่คือประตูของร้านนี้ แต่ครั้งต่อไปที่คุณมา คุณก็จะเดินเข้าไปและใช้เวลามากขึ้นในร้าน”

เอ็ดวินเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบออร์แกนิกเพราะตอนเริ่มต้นเมื่อ 15 ปีที่แล้วเป็นยุคที่ยังไม่มีอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก แม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังเชื่อว่าการบอกต่อ หรือ word-of-mouth เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ดีที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าการซื้อโฆษณาหรือจ้างอินฟลูเอนเซอร์ และสิ่งที่ทำให้เกิดการบอกต่อคือเรื่องราวที่สร้างความประทับใจแก่ผู้คน

เมื่อถามถึงวิธีคิดในการออกแบบของใช้ในชีวิตประจำวันให้ร่วมสมัย เอ็ดวินแนะนำว่ามีสองสิ่งที่ให้ความสำคัญเสมอ สิ่งแรกคือการเล่าเรื่อง (storytelling)

“ตอนนี้คุณสามารถผลิตอะไรก็ได้ในโลก แต่ลองคิดดูว่า โลกต้องการเก้าอี้อีกตัวไหม คุณสามารถหยิบปากกาและกระดาษมาสเกตช์โคมไฟ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าการออกแบบนั้นมีคนผลิตแล้วที่ไหนสักแห่ง คุณสามารถสเกตช์เก้าอี้ที่ดู crazy ได้มากมาย แต่ความจริงคือ มันอาจถูกผลิตแล้วที่ไหนสักแห่ง

“ผมเชื่อว่าโลกไม่ได้ต้องการเก้าอี้อีกตัว โคมไฟอีกอัน หรือวัตถุอีกชิ้น แต่โลกต้องการความหมาย โลกต้องการเรื่องราวที่ถูกเล่า ดังนั้นผมมักถามนักออกแบบของผมเสมอว่า เราต้องการเล่าเรื่องอะไร เราอยากให้คนรู้เรื่องราวชีวิตคนสิงคโปร์ในชีวิตประจำวันมากขึ้นไหม หรืออยากให้คนรู้เรื่องอาหารที่เรากิน เรื่องที่เราอยากเล่ามันเกี่ยวกับอะไร เราไม่ได้ออกแบบแค่ผลิตภัณฑ์ เราออกแบบเรื่องราว และเล่าเรื่องผ่านผลิตภัณฑ์”

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพที่สุดคือ จานเซรามิกลายไอคอนของสิงคโปร์กว่า 100 อย่าง ที่ออกแบบลายใหม่ทุกปีเพราะพื้นที่บนจานมีจำกัด และทุกปีสิงคโปร์ก็มีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือเหรียญทองโอลิมปิกครั้งแรก ทุกลายจึงเป็นเหมือนบันทึกทางวัฒนธรรมที่เติบโตไปพร้อมเมืองและผู้คน

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เอ็ดวินทำคือการรับรู้เทรนด์และเรื่องราวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมองไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ทิ้งมรดกเก่าแก่ ทีม Supermama เดินทางไปสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวในอดีตทั้ง ทั้งพิพิธภัณฑ์ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (National Archives) ก่อนจะออกแบบไอคอนต่างๆ บนจาน

“ตอนเราออกแบบดีไซน์สไตล์มาเลย์ (Malayan design) มันไม่ใช่แค่เป็นดีไซน์น่ารักๆ ที่คาวาอี้ แต่เราศึกษาว่าสัญลักษณ์ของมาเลย์คืออะไร มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งหมดนี้สำคัญมาก บางครั้งเราไม่รู้คำตอบ ดังนั้นเราจะไปที่หน่วยงานรัฐ พิพิธภัณฑ์เหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวของสิงคโปร์ในฐานะเมืองท่า แล้วก็เริ่มออกแบบจากความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรม (heritage) จากตรงนั้น”

สิ่งที่สองที่เอ็ดวินให้ความสำคัญคือความตั้งใจและเจตนารมณ์ในการผลิต เมื่อโลกเต็มไปด้วยการผลิตตลอดเวลา และทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้สินค้าทุกอย่าง การใคร่ครวญถึงคุณค่าและเหตุผลในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จึงสำคัญ 

“ผมคิดว่ามันจะเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ถ้าผมผลิตสินค้าออกมา แล้วพยายามบอกว่า ซื้อสินค้าของผมสิ แล้วจะได้ลดราคา 50% หรือ 10% แบบนั้นผมกำลังขายของหรือแค่เคลียร์สต็อก ดังนั้นในฐานะนักออกแบบและผู้ผลิต เราต้องมีความรับผิดชอบ และต้องตระหนักว่าเราจะขายอะไร ขายให้ใคร เราสามารถทำให้การบริโภคหรือการซื้อสินค้ามีความตระหนักรู้ได้ไหม”

หลังจาก Supermama เปิดมานานถึง 15 ปี ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเอ็ดวินยังเปิดร้านน้องใหม่ในเครือชื่อ ‘We Are Super’ ซึ่งเป็น inclusive design agency ที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานที่ออกแบบร่วมกับคนพิการ เพื่อคนพิการ เป็นพื้นที่เปิดที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ มีทั้งคาเฟ่, สตูดิโอ, แกลเลอรี, ร้านหนังสือเล็กๆ, โรงคั่วกาแฟ, 3D printing lab และมีเป้าหมายอยากจ้างงานคนพิการให้มีส่วนร่วมผ่านเฟรมเวิร์ก 4Ps คือ Programs, Product, Publishing และ Public Platforms โดยเอ็ดวินหวังว่าธุรกิจส่วนนี้จะเป็นหน่วยเพื่อสังคมของธุรกิจที่ทำให้ชีวิตคนพิการดีขึ้นได้จริง

Life Wisdom
Southeast Asia Ecosystem Builder 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Supermama ประสบความสำเร็จคือการร่วมมือกับนักออกแบบและผู้ผลิตจากหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งทำให้เอ็ดวินตกตะกอนสิ่งสำคัญในการออกแบบดีไซน์ร่วมสมัย

“ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากคือ การมองภาพรวมของระบบนิเวศทั้งหมด บ่อยครั้งที่นักออกแบบเมื่อออกแบบก็ออกแบบเฉยๆ ส่วนผู้ผลิตเมื่อผลิต ก็แค่ผลิต พวกเขาไม่เข้าใจการออกแบบ ไม่ได้สื่อสารกับนักออกแบบจริงๆ ส่วนนักออกแบบก็มักจะบอกว่า เฮ้ ผลิตดีไซน์ของฉันให้หน่อยสิ แต่บางครั้งฝั่งผู้ผลิตไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องออกแบบแบบนี้ ทำไมกระบวนการงานผลิตของฉันถึงถูกทำให้ยากขนาดนี้

“ดังนั้นผมมองตัวเองเหมือนเป็นนักแปล ผมเป็นเหมือนกาวที่เชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมผู้ผลิต ผมเริ่มจากเข้าใจผู้ผลิต พูดคุยกับพวกเขาเพื่อดูว่าสิ่งไหนเป็นไปได้ สิ่งไหนเป็นไปไม่ได้ จากนั้นผมก็พยายามพบปะนักออกแบบและเริ่มเข้าใจ design philosophy ของพวกเขา เข้าใจว่าสิ่งไหนสามารถปรับได้ สิ่งไหนไม่สามารถปรับได้ จากตรงนั้น ผมก็เริ่มนำทุกคนมารวมกันโดยการสื่อสารกับทุกฝ่าย

“ผู้ผลิตจึงทำงานกับผมง่ายขึ้น นักออกแบบก็ทำงานกับผมง่ายขึ้น ผลลัพธ์คือเราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไอเดียใหม่ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นระบบนิเวศทั้งหมด ทุกคนเข้าใจกันและกัน ทุกคนได้ประโยชน์จากระบบนี้ และแต่ละคนมีความรู้ลึกซึ้งในสาขาของตัวเอง เมื่อคุณนำทั้งหมดนี้มารวมกันมันก็จะสมบูรณ์แบบ”

แน่นอนว่าการทำงานในฐานะนักแปลที่ต้องเจอคนหลายฝ่าย จากหลายวัฒนธรรมย่อมมีความท้าทาย เอ็ดวินมองว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ การเรียนรู้ที่จะ ‘learn how to unlearn’ ฝึกวางความรู้ที่ติดตัวมาและไม่สันนิษฐานล่วงหน้าจากมุมของตัวเองเท่านั้น

“เรามักคิดว่าการทำงานกับช่างฝีมือญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก เพราะคุณไม่พูดภาษาของพวกเขา คุณคิดว่าพวกเขาอาจไม่อยากทำงานกับคุณ แต่ความจริงคือ ถ้าคุณทำงานกับช่างฝีมือหรือผู้ผลิตและใช้เวลาอยู่กับพวกเขา ความจริงแล้วช่างฝีมือก็อยากทำงานกับคุณ และอยากลองพัฒนาไอเดียใหม่ๆ แต่พวกเขาเองก็กลัว เพราะอยากทำออกมาให้ดีที่สุด เวลาพบว่าทำไม่ได้ดีที่สุด พวกเขาก็พยายามไม่รับปากอะไร ถึงแม้เราจะคิดจากมุมมองของเราว่า ช่างฝีมือต้องภูมิใจมากแน่ๆ ทำไมถึงจะไม่อยากทำงานกับเรา แล้วเราก็อาจคิดสันนิษฐานอะไรหลายอย่างไปเอง”

Put yourself in someone else’s shoes. เข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายมากกว่าการคาดเดา แล้วลืมสมมติฐานหลายอย่างที่เคยมี จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การทำงานกับคนหลายกลุ่มราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสิงคโปร์ที่เป็นพหุวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลจากทั้งญี่ปุ่นและจีน เอ็ดวินจึงบอกว่าเขาไม่ได้นิยามสไตล์การออกแบบหรือสินค้าของ Supermama ว่าเป็นสไตล์ไหน

“คนมักจะพูดว่า ถ้าคุณมาสิงคโปร์ ร้าน Supermama เป็นเหมือน organized chaos ที่เห็น random stuff วางอยู่รอบร้าน แต่เพื่อทำร้านที่สะท้อนความเป็นเอเชียและสิงคโปร์ คุณไม่สามารถนิยามตัวเองได้ ถ้าผมเลือกเอาแต่ของที่ตัวเองชอบมา ร้านนั้นก็จะไม่ใช่ร้านออกแบบของสิงคโปร์ แต่จะเป็นร้านออกแบบของเอ็ดวิน ถ้าจะให้เป็นร้านออกแบบสิงคโปร์ คุณต้องเคารพการออกแบบ เคารพแนวคิดจากคนหลายประเภทและดีไซเนอร์สิงคโปร์หลายสไตล์ให้ได้มากที่สุด

“ดังนั้นตอนนี้ร้านที่ Asian Civilizations Museum ของเรา เราจึงวางโพซิชั่นเป็นร้านออกแบบเอเชียร่วมสมัย (Contemporary Asian design store) เราต้องมีงานออกแบบจากทุกส่วนของเอเชีย ถึงจะสมเหตุสมผล สิ่งที่ผมทำคือออกแบบประสบการณ์ของพื้นที่ (curate space) เพื่อให้เมื่อคุณเดินเข้ามาในร้าน คุณจะเริ่มช้าลง ผ่อนคลาย โดยแต่ละชิ้นงานมีพื้นที่ของมันเองที่จะสื่อสารกับคุณในแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก

“เมื่อคุณเห็นผนังสีขาว ชั้นไม้ที่ Supermama คุณจะรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เริ่มอยากช้าลงและใช้เวลาอยู่ตรงนั้น แม้จะไม่มีสินค้า คุณก็จะอยากยืนอยู่เฉยๆ ผ่อนคลายและมองของต่างๆ ดังนั้นสำหรับผม สิ่งนี้คือการสร้างพื้นที่เพื่อให้ดีไซน์แต่ละชิ้นสามารถสื่อสารเรื่องราวของตัวมันเองได้”

นอกจากการเป็นผู้ก่อตั้ง Supermama แล้ว เอ็ดวินยังเล่าว่าบทบาทการคัดสรรผลงานดีไซน์จากทั่วเอเชียมาจัดแสดงที่ EMERGE @ FIND Design Fair Asia 2025 ยังเปิดโลกและให้ข้อคิดเยอะมาก

“ผมตระหนักว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานออกแบบและงานคราฟต์ของเรามีความรุ่มรวยมาก และดีไซเนอร์จากแต่ละที่ก็มีความถนัดและสไตล์ของตัวเอง สำหรับคนสิงคโปร์ งานคราฟต์เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ใกล้ตัว ส่วนในญี่ปุ่น งานคราฟต์ถูกมองเป็นสิ่งสำคัญที่น่ายกย่องมาก จนบางครั้งรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม ตอนเริ่มคัดเลือกผลงาน ผมเริ่มเข้าใจมุมมองที่แตกต่างเหล่านี้และคิดว่าการผสานทุกวัฒนธรรมมารวมกันในงานเป็นสิ่งสำคัญ

“อีกสิ่งที่ผมเรียนรู้คือ เรามักตามดีไซน์เทรนด์จากประเทศตะวันตก แต่เมื่อผมดูแลงาน Emerge ปีนี้ รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นมากที่งานฝั่งเอเชียมีความหลากหลาย ทั้งงานคราฟต์ งานออกแบบ ศิลปะจากหลายวัสดุและเทคนิค ทั้งแก้ว ไม้ไผ่ งานทอ งาน textile การพิมพ์ 3D printing การออกแบบ lighting และแม้ว่าของทั้งหมดจะต่างกันมากจนดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่เมื่อมารวมกัน มันกลับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน และผมคิดว่านี่คือ ความงดงามของการออกแบบสไตล์เอเชีย

“ผมคิดว่าพวกเราชาวเอเชียจำเป็นต้องมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มั่นใจในปรัชญา มุมมองการออกแบบและมุมมองชีวิตของเรามากขึ้น ผมคิดว่าผู้คนชอบสิ่งเหล่านี้ในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะความจริงแล้ว we have a voice เรามีความคิดเห็นและมุมมองของเราเอง และผมหวังว่า Emerge จะเป็นแพลตฟอร์มให้ดีไซเนอร์ทุกคนได้พูดและแสดงความคิดเห็น ถ้าคุณคิดว่าความยั่งยืนเป็นประเด็นสำคัญ ก็แสดงให้เห็นผ่านผลงานของตัวเองว่าอยากจัดการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งหลายคนที่จัดแสดงผลงานก็ทำได้ดี 

“สำหรับผม งาน Emerge ทำให้รู้สึกว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เราพร้อมแล้ว เราเจริญ เรามีสิ่งที่จะนำเสนอให้โลก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือการออกแบบที่ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ และเราสามารถมีส่วนร่วมทำให้โลกดีขึ้นได้”

 Craftsmanship Mindset 

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือสร้างสรรค์งานออกแบบ ข้อคิดสำคัญอีกหนึ่งอย่างจากเอ็ดวินคือการมี craftsmanship mindset

“ผมจะยกตัวอย่างศัพท์ภาษาญี่ปุ่นคำหนึ่งคือ Temahima หลักการนี้เกี่ยวกับการให้เวลาและใส่ความตั้งใจลงไปในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (time and effort) เหมือนช่างฝีมือแต่ละคนที่ใช้ชีวิตกับการทำสิ่งเดียวซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง แต่นี่คือปรัชญาที่เกินขอบเขตงานฝีมือหรืองานผลิตสินค้า มันคือการตั้งใจทำอย่างมีจุดมุ่งหมาย

“สำหรับผม มันคือการตั้งคำถามว่า มีสิ่งใดบ้างที่เรายินดีจะใช้เวลาในการทำ เราสามารถใช้เวลา ให้คุณค่าและชื่นชมสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ในประเทศอย่างสิงคโปร์หรือกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองใหญ่ เราควรใช้เวลาไตร่ตรองว่างานที่เราทำหรือสิ่งที่เราผลิตนั้นจำเป็นจริงหรือไม่ และเมื่อพบว่าสิ่งนั้นจำเป็น เราก็ค่อยๆ ผลิตอย่างตั้งใจ แทนที่จะเร่งทำเพื่อสร้างกำไรสูงสุดตั้งแต่ต้น”

หากสรุปปรัชญานี้เป็น 3 แนวคิดง่ายๆ คือ ใช้เวลา (take time) ไม่รีบร้อน (don’t rush through things) และใส่ความตั้งใจลงไป (put in effort) 

แต่ระหว่างทางที่มุ่งมั่นใส่ความตั้งใจและให้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมผ่านความล้มเหลวบ้างเป็นธรรมดา เอ็ดวินแนะนำว่า “ผมคิดว่าตอนเรายังอายุน้อย โฟกัสของเราคือ ทำสิ่งที่เราชอบ ตอนนั้นเวลาอยู่ข้างเรา เรายังไม่เสียอะไร และมันขึ้นอยู่กับเฟสของธุรกิจที่คุณอยู่ ถ้าเป็นสตาร์ทอัพ ผมคิดว่า ทำทุกไอเดียที่คุณมีให้เร็วที่สุดและล้มเหลวให้เร็วที่สุด แต่แนวคิดนี้อาจเหมาะกับสตาร์ทอัพเท่านั้น

“เมื่อบริษัทเริ่มโตขึ้น คุณต้องหาเหตุผลว่า ทำไมธุรกิจยังอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ เช่น Supermama อยู่มา 15 ปีแล้ว เพราะเราตอบโจทย์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอ  คุณต้องหาว่าทำไมคนถึงรักเรา ทำไมธุรกิจยังอยู่ ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ คุณก็จะสับสนไปมา กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงคือ ทำธุรกิจหลักให้ดีที่สุด แต่ก็เปิดกว้างให้ความร่วมมือกับคนอื่นๆ leave room for magic to happen”

การเริ่มทำ Supermama ทำให้เอ็ดวินได้มีโอกาสดูแลร้านในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่รักมาก มีคนติดต่อมาให้จัดงานดีไซน์แฟร์ระดับภูมิภาคเอเชีย ไปจนถึงได้พื้นที่สำหรับทำร้านใหม่อย่าง We are Super ซึ่งถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในบางครั้ง แต่ความคิดว่าอยากลองดู ก็ทำให้การลองทำสิ่งใหม่กลายเป็นเรื่องสนุก

ในบทบาทผู้ประกอบการ เอ็ดวินสรุปสามข้อที่ยึดเป็นสิ่งสำคัญตลอดมาในการทำธุรกิจด้านงานออกแบบและวัฒนธรรม  หนึ่ง เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่มี

“ไม่ว่าจะเริ่มด้วยหัวใจ ด้วยความรักหรือความสนใจในสิ่งใด แค่เริ่มต้น แล้วสิ่งต่างๆ จะเริ่มเกิดขึ้นตามมา จากนั้นคุณจะเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือชุมชนรอบข้างหรือไม่ และเมื่อคิดอย่างลึกซึ้ง คุณจะมีทิศทางชัดเจนว่าอยากไปทางไหน”

สอง สร้างความร่วมมืออย่างกว้างขวาง

“พยายามร่วมมือกับคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสุดท้ายมันเหมือนสำนวน it takes a village to raise a child (ต้องใช้ทั้งหมู่บ้านในการเลี้ยงเด็ก) เช่นเดียวกับธุรกิจ ถ้าเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ธุรกิจคุณก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ดังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องถามตัวเองว่า ธุรกิจสามารถให้คุณค่ากลับคืนแก่ชุมชนได้ยังไง”

สาม แบ่งเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นสามส่วน

“ผมมักบอกลูกๆ สามคนของผมว่า คนเรามี 24 ชั่วโมงต่อวัน แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง  ฃ8 ชั่วโมงแรกต้องนอนพักผ่อน 8 ชั่วโมงที่สอง ใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งที่รัก เล่นกีตาร์ วิ่ง หรือความสนใจในศิลปะและดนตรีที่เติมเต็มจิตวิญญานของเรา ส่วน 8 ชั่วโมงสุดท้ายใช้เวลาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

“สำหรับผม นี่คือสิ่งที่ผมอยากสนับสนุนให้ทำ คือทำสิ่งที่เรารัก แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือผู้อื่นในผ่านการทำสิ่งที่รักไปด้วย”

Image courtesy of Supermama

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

You Might Also Like