Newly Opened Selected Shop
สนทนาพาช้อปกับ 5 selected shop เปิดใหม่ใน 5 ย่าน
ของกุ๊กกิ๊ก เสื้อผ้า ไอเทมแฟชั่น เครื่องราง และเครื่องเขียน จัดอยู่ในหมวดข้าวของดีต่อใจที่ซื้อเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจอร้าน selected shop ที่คัดสรรแบรนด์เก๋และของคุณภาพดีมาให้เลือกช้อปในบรรยากาศที่รื่นรมย์ และเบื้องหลังการเปิดธุรกิจที่เปี่ยมไปด้วยแพสชั่น
ตั้งแต่ lucky13th ร้านของกุ๊กกิ๊กที่โตจากผู้ติดตามไอจีหลักแสนที่เย็นอากาศ, In By In แฟล็กชิปสโตร์เสื้อผ้าสไตล์มินิมอลในราคาน่ารักที่อารีย์, LOFT EYES มัลติแบรนด์น้องใหม่รวมแบรนด์ไทยสุดฮิปที่ทองหล่อ, Libra & Pisces บูทีกแห่งความสุขใจที่รวมสินค้าจากเทรนด์พลังงานบำบัดที่สามย่าน และ Lamune ร้านเครื่องเขียนเจ้าเก่าในย่านใหม่ที่ช้อปจุใจกว่าเดิมย่านแจ้งวัฒนะ
ถ้าใครปักหมุดไว้ว่าอยากไปร้านเหล่านี้แต่ยังไม่รู้จักเจ้าของและคอนเซปต์ธุรกิจของแต่ละร้าน วันนี้เราขออาสาพาไปคุยกับเหล่าผู้ประกอบการจาก 5 ร้าน หลายร้านเริ่มจากการขายออนไลน์มาก่อนจนมีลูกค้าหนาแน่นจึงขยายร้านออฟไลน์ตามมาเพื่อออกแบบประสบการณ์และบริการให้ลูกค้ารักแบรนด์ยิ่งขึ้น บางร้านก็มีโจทย์จากการอยากสร้างคอมมิวนิตี้ทำให้การออกแบบพื้นที่หน้าร้านเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทุกร้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการมีหน้าร้านช่วยเติมเต็มความฝันและทำให้การทำธุรกิจด้วยแพสชั่นเป็นเรื่องสนุกยิ่งขึ้น
lucky13th
ร้านของกุ๊กกิ๊กที่โตจากผู้ติดตามไอจีหลักแสน
lucky13th เป็นร้านที่ตุ๊กตา–พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล และหญิง–ปรียปราณ อรุณจินดาตระกูล เปิดร่วมกันและให้นิยามว่าเป็นร้านที่คัดสรร ‘ข้าวของบ้านๆ ที่อยากเป็นเรื่องลัคกี้เล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วัน’ ความลัคกี้ของ lucky13th คือการเริ่มเปิดร้านออนไลน์เมื่อ 15 ปีที่แล้วในยุคที่แทบยังไม่มีใครรู้จักการขายของออนไลน์ เลยทำให้สะสมแฟนคลับมานานจนทุกวันนี้มีผู้ติดตามในอินสตาแกรมถึงหลักแสน
ตุ๊กตาเริ่มเปิดร้านขายของออนไลน์เป็นงานอดิเรกตั้งแต่สมัยยังเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Knock Knock! ช่วงแรกเธอเริ่มจากออกแบบเสื้อผ้าขายเองก่อนจะเปลี่ยนมาขายจานวินเทจเพราะสู้รบกับกระบวนการตัดเสื้อไม่ไหว ในยุคหนึ่งที่จานวินเทจเซรามิกสไตล์ยุโรปเป็นที่นิยมมาก lucky13th กลายเป็นที่จดจำจากคอลเลกชั่นจานใบสวยจากตลาดวินเทจที่ต่างประเทศ
ชื่อเต็มของร้าน luckly13th จึงเป็น lucky13th flea market ตามความชื่นชอบการเดินตลาดวินเทจของตุ๊กตาซึ่งหลายคนมักจดจำเรื่องราวการเดินทางของเธอได้จากหนังสือซีรีส์ Guggig Guide (กุ๊กกิ๊กไกด์) สำนักพิมพ์ polkadot
ทุกวันนี้จานวินเทจจากยุโรปไม่ได้ป๊อปเท่าแต่ก่อน สินค้าในร้านจึงเปลี่ยนตามความนิยมที่เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์กุ๊กกิ๊กกึ่งแมสที่มีเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชอบแต่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จัก เช่น เสื้อยืด Mardi ลายดอกไม้จากเกาหลีที่แม้จะดูเรียบง่ายแต่ใส่แมตช์กับอะไรก็ดูดี, ไอเทมโปรดสมัยเด็กที่กลับมาฮิตอีกครั้งอย่างตุ๊กตา monchhichi, NouNou แบรนด์หน้าคนจากไอเดียสร้างสรรค์ของครีเอทีฟชาวเกาหลีและศิลปินชาวฝรั่งเศส และยังมีของกุ๊กกิ๊กแทบทุกหมวดจากทุกมุมโลกทั้งจานชาม, พวงกุญแจ, กระเป๋า และของใช้กระจุกกระจิก
ของกุ๊กกิ๊กทั้งหมดนี้ล้วนเลือกจากความชอบและแพสชั่นของพาร์ตเนอร์ทั้งคู่ โดยตุ๊กตายังมีอีกเหตุผลสำคัญในการเปิดร้านออฟไลน์คืออยากให้ลูกเห็นกระบวนการทำงานของแม่เพราะตอนเด็กๆ คุณแม่ของเธอก็เปิดร้านขายของกุ๊กกิ๊กมาก่อนเช่นกัน
สำหรับการตกแต่งร้านของ lucky13th นั้น ภายในร้านมีบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน อยากให้ลูกค้าเข้ามาเดินเลือกของแต่งบ้านได้แบบไม่เกร็ง และเพราะเลือกของน่ารักมากับมือทำให้สินค้าบางอย่างมีจำนวนจำกัด บ้างก็มีเพียงชิ้นเดียวในร้าน ซึ่งตุ๊กตาบอกว่าถึงแม้เธอจะเป็นเจ้าของสินค้าทุกชิ้นไปตลอดไม่ได้ แต่แค่ได้อยู่กับของสวยๆ งามๆ ทุกวันก็มีความสุขแล้ว
จากความชอบในของกุ๊กกิ๊กและขายของออนไลน์เป็นเพียงงานอดิเรกในตอนแรก ทุกวันนี้ lucky13th เติบโตขึ้น เติมเต็มความสุขและก่อเกิดกำไรที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้จริงๆ
ตามไปช้อปได้ที่อินสตาแกรม @lucky13thfleamarket
In By In
แฟล็กชิปสโตร์เสื้อผ้าสไตล์มินิมอลในราคาน่ารัก
In By In เป็นร้านของโจ–ศุภรักษ์ โตศักดิ์ศรี และเต้ย–วัชรพงษ์ เต็มแป้น ทั้งคู่เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจด้วยการขายเสื้อผ้าออนไลน์เป็นระยะเวลาราว 8 เดือนเพื่อทดลองตลาดก่อนจะหันมาเปิดแฟล็กชิปสโตร์อย่างเต็มตัว ด้วยคัตติ้งและดีไซน์เรียบง่ายที่เหมาะกับสาวๆ ทุกวัยในราคาน่ารักสมเหตุสมผล ทำให้ลูกค้ามักแนะนำต่อๆ กันว่าเป็นร้านเสื้อผ้าสไตล์เกาหลีที่มีคุณภาพในราคาหลักร้อย
หากนิยามสไตล์ลูกค้าของ In By In จะเห็นภาพเพื่อนผู้หญิงที่แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อผ้าโทนสีเรียบ ขาว เบจ เทา ดำ แต่ไม่น่าเบื่อ ใส่ได้ทุกวันในทุกสถานการณ์ ในทางกลับกัน หากเป็นคนที่ชอบแต่งตัวแบบมิกซ์แอนด์แมตช์ก็สามารถแวะมาซื้อไอเทมตัวเก่งที่ใส่ได้กับทุกลุค โดยกลุ่มเป้าหมายของร้านจะเป็นผู้หญิงวัยทำงานอายุ 24-40 ปี
ด้วยโลเคชั่นติดถนนหลักย่านอารีย์ โจจึงอยากทำกระจกหน้าร้านให้ใหญ่ที่สุดเพื่อให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมารู้สึกเฟรนด์ลี่และมีโอกาส window shopping หรือ ‘ลองชุดผ่านดวงตา’ จนเกิดความประทับใจแรกโดยยังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจซื้อ
ภายในร้านเน้นการออกแบบด้วยคอนเซปต์เรียบง่าย สเปซโล่งโทนเรียบสวยงามสะอาดตา คุมโทนสีด้วยการดิสเพลย์เสื้อผ้าแต่ละคอลเลกชั่นเรียงตามสีเพื่อเป็นไกด์ให้ลูกค้าที่เดินเข้ามาแล้วไม่รู้จะเลือกสีกางเกงและเสื้อแบบไหน
In By In ยังให้ความสำคัญกับการบริการ พนักงานในร้านจะคอยแนะนำสีของแต่ละคอลเลกชั่นอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ลูกค้าได้เดินดูสินค้าครบทุกราว การออกแบบบริการเหล่านี้ ทั้งคู่ได้แรงบันดาลใจจากร้านแสตนด์อโลนตามประเทศต่างๆ ที่เคยไป ซึ่งไม่เพียงขายของแต่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้มากกว่าราคาที่จ่าย
โจมองว่านอกเหนือจากช่องทางออนไลน์ที่แบรนด์เป็นคนบุกเข้าหาลูกค้าเองแล้ว การสร้างแฟล็กชิปสโตร์เป็นการสร้างสเปซที่ลูกค้าเดินเข้าหาแบรนด์เองซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เจอลูกค้าใหม่ๆ มอบประสบการณ์ให้คนตกหลุมรักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องธุรกิจ การเปิดร้านก็เป็นหนึ่งในความฝันของผู้ก่อตั้งทั้งคู่ด้วย
ตามไปช้อปได้ที่อินสตาแกรม @inbyin.th
LOFT EYES
มัลติแบรนด์น้องใหม่รวมแบรนด์ไทยสุดฮิป
LOFT EYES เกิดจากไผ่–จิติวี บาลไธสง และ มิ้ม–ชิดชนก สุจินพรัหม เห็นโอกาสการสร้างคอมมิวนิตี้จากสเปซ ไผ่เป็นสถาปนิกและมองหาโชว์รูมสำหรับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ JITIVI ของตัวเอง จนวันหนึ่งเจออาคารเก่าย่านทองหล่อที่รู้สึกว่ามีเสน่ห์ มองออกไปเห็นวิวด้านนอกที่ชวนหลงใหลจึงอยากทำสเปซที่สื่อสารถึงความเรียบง่าย คงความซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ของอาคารเก่า
ด้วยแบ็กกราวด์ของมิ้มที่ทำแบรนด์เสื้อผ้าและขายของมานานถึง 10 ปี ทำให้มีเพื่อนกลุ่มแม่ค้าอยู่เยอะ ประกอบกับทั้งคู่อยากทำให้พื้นที่คึกคักมากขึ้น จึงชักชวนแบรนด์ที่ชอบและมีสไตล์ไปในทิศทางเดียวกันเข้ามาวางขายด้วยกัน LOFT EYES จึงมีโซนเฟอร์นิเจอร์ตั้งอยู่ด้านหน้า มีเสื้อผ้า ของทำมือ เครื่องประดับ และหนังสือจากร้าน Vacilando Bookshop มาเพิ่มความสนุก หลายแบรนด์เป็นสินค้าคุณภาพของคนรุ่นใหม่ที่หาซื้อยาก ไม่ได้วางขายที่ไหน แถมยังเป็นแบรนด์ไทยทั้งหมดและบางแบรนด์ก็เดินทางมาไกลจากเชียงใหม่
มิ้มบอกว่าความสนุกในฐานะคนคัดสรรแบรนด์เข้ามาคือการได้เป็นเพื่อนช่วยแต่งตัวและเป็นคนป้ายยาให้ลูกค้า ปั้น LOFT EYES ให้กลายเป็นที่อัพเดตแฟชั่นให้แขกของร้านได้มาจับสินค้าจริง ฟังเรื่องราวของแบรนด์และได้ของที่ประทับใจกลับไป สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ตั้งใจเลือกแบรนด์คุณภาพเข้ามาแต่อยากสร้างคอมมิวนิตี้ที่ได้เจอเพื่อนใหม่ จัดกิจกรรมไม่ซ้ำกันอย่างจัดดอกไม้และ book club สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปให้ผู้คนอยากแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ
ทั้งคู่ยังบอกว่า LOFT EYES เป็นร้านที่ไม่น่าถ่ายลงอินสตาแกรมมากๆ เพราะไม่มีมุมที่ตะโกนเสียงดัง ทั้งนี้เพราะไม่อยากออกแบบร้านหรือเร่งโปรโมตให้รู้สึกว่าไม่มาที่นี่ไม่ได้ แค่อยากทำร้านที่ชักชวนให้คนที่สนใจแวะเข้ามาเยี่ยมแบบสบายๆ ไม่อยากทำร้านแบบฉาบฉวย แต่อยากทำร้านที่น่าประทับใจและอยู่ได้นาน ทั้งคู่จึงพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกเพลงที่เปิด ไปจนถึงการออกแบบประสบการณ์ภายในร้านในแต่ละวันที่อากาศไม่เหมือนกัน
LOFT EYES เพิ่งเปิดได้ไม่กี่เดือนและได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่บอกต่อกันปากต่อปาก ไผ่มองว่าสเปซและวิธีเล่าเรื่องของร้านเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เจอลูกค้าที่มีความชอบแบบเดียวกันและทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก
ตามไปช้อปได้ที่อินสตาแกรม @lofteyes
Libra & Pisces
บูทีกแห่งความสุขใจที่รวมสินค้าจากเทรนด์พลังงานบำบัด
เทรนด์พลังงานบำบัด เช่น คริสตัลบำบัด การรับพลังงานจากพระอาทิตย์และพระจันทร์ กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ร้านบูทีกในไทยที่สร้างแบรนด์และสเปซเพื่อนำเสนอสินค้าหมวดนี้ให้น่าสนใจยังมีไม่มากนัก
หนึ่งในร้านที่โดดเด่นสะดุดตาคือ Libra & Pisces ของ ปิยะมาศ สิทธิปรีดานันท์, คล้ายเดือน สุขะหุต, บัวชมพู สหวัฒน์ และสิริอร เฑียรฆประสิทธิ์ ที่ Slowcombo คอมมิวนิตี้สเปซสายดูแลใจและสุขภาพ ณ สามย่าน
จุดเริ่มต้นคือ co-founder ทั้ง 4 คนต่างมีโอกาสได้รู้จักพลังงานบำบัดด้วยตัวเองและรู้สึกว่าการยกระดับพลังงานชีวิตจากพลังธรรมชาติเป็นเรื่องที่พิเศษและน่าค้นหา คอนเซปต์ ‘บูทีกแห่งความสุขใจ’ จึงเกิดขึ้นจาก ไอเดียอยากออกแบบเครื่องรางให้มีดีไซน์ที่สวยงามและน่าใช้โดยไม่ต้องแอบพกเพราะเขินอายว่าเป็นสายมู
สินค้าแนะนำของทางร้านมีทั้งเครื่องประดับใจ (adornment) ไม่ว่าจะเป็นสร้อย pendulum ช่วยยืนยันคำตอบ, คริสตัลสำหรับพกพา, กำไลหินคริสตัลที่ช่วยเสริมพลังงานด้านความรัก สุขภาพ ความสำเร็จ และจี้สร้อยคอและกำไลข้อมือของร้านยังเป็นจี้พิเศษที่รวมสองพลังงานจากพระอาทิตย์-พระจันทร์ไว้ด้วยกัน ความโดดเด่นคือการออกแบบเครื่องประดับเหล่านี้ให้มีความโมเดิร์นน่ารักน่าใช้สำหรับคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ยังมีสิ่งของและเครื่องมือที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัย (sacred space) เช่น palo santo ไม้จากทวีปอเมริกาใต้ที่กลิ่นช่วยขจัดพลังงานไม่ดีไปจนถึงเครื่องหอมที่ช่วยให้ได้รับพลังงานที่ดีเมื่อสัมผัสกับร่างกาย โดยมี essential oil blend สูตรพิเศษของทางร้านคือ กลิ่น Sun ที่มีส่วนผสมของโคพาอิบา, พาโลซานโต, ต้นสน และต้นที ให้ความสดชื่นยามเช้า และกลิ่น Moon จากส่วนผสมของกำยาน, ไวต์เสจ, กระดังงา และลาเวนเดอร์ ให้ความสงบและนุ่มนวลสำหรับกลางคืน
สำหรับคนที่อยากทำกิจกรรมสายพลังงานบำบัด ทางร้านยังจัดกิจกรรม sacred ritual หรือพิธีกรรมแห่งความสุขเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ เช่น เปิดปฏิทินพระจันทร์เพื่อรับคติของวันที่ดี, จัดวางคริสตัลเพื่อ manifestation ในวัน new moon และดื่มน้ำพลังงานจากแก้วมักที่ออกแบบพิเศษให้มี flower of life อยู่ภายใน
ถ้าใครได้แวะไป Libra & Pisces จะพบว่าทางร้านได้ถ่ายทอดเรื่องราวทางโหราศาสตร์ผ่านการออกแบบแบรนดิ้งที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นลายภาพบนสินค้าและการตกแต่งสเปซ เป็นร้านที่เหมาะแก่วันที่อยากหาสิ่งผ่อนคลายและพลังงานธรรมชาติเป็นที่พึ่งทางใจ
ตามไปช้อปได้ที่อินสตาแกรม @libraandpisces.official
Lamune
ร้านเครื่องเขียนเจ้าเก่าในย่านใหม่ที่ช้อปจุใจกว่าเดิม
12 ปีที่แล้ว Lamune เริ่มจำหน่ายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะโดยมีหน้าร้านที่สยามสแควร์และเป็นร้านแรกๆ ที่ตั้งใจแนะนำแบรนด์เครื่องเขียนคุณภาพดีจากต่างประเทศให้คนไทยได้ใช้ เช่น TRAVELER’S notebook แบรนด์สมุดที่ทำให้การจดบันทึกระหว่างวันและระหว่างเดินทางเป็นเรื่องสนุกขึ้น, MIDORI สมุดที่พิถีพิถันเรื่องกระดาษคุณภาพ, mt masking tape เทปวาชิลวดลายน่ารักสดใส ฯลฯ
ปีนี้ร้านมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือร้านโฉมใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมสินค้าเยอะและหลากหลายในโลเคชั่นใหม่คือแจ้งวัฒนะ เจ้าของร้านอย่างอ๊อก–วริศ อารยสมบูรณ์ และจอย–จิตติมา อภิวาทน์วิทยะ บอกกับเราว่าคอนเซปต์ของ Lamune ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านยังคงเดิมเสมอมาคือการสร้างความรื่นรมย์ผ่านสิ่งของด้านการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต
ทั้งคู่นำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั้งญี่ปุ่น เกาหลี อิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อเดินเข้ามาช้อปในร้านจะได้เห็นแบรนด์จากต่างประเทศมากมาย เช่น Clairefontaine แบรนด์สมุดจากยุโรป, Pébéo แบรนด์สีจากฝรั่งเศส ฯลฯ ความเปลี่ยนแปลงของร้านใหม่คือมีอุปกรณ์ศิลปะตามเทรนด์ที่ผู้คนชื่นชอบกิจกรรม DIY มากขึ้น เช่น สีที่ระบายได้บนทุกพื้นผิว และมีหมวดสินค้าไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นมาจากไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนชอบอยู่บ้านมากขึ้นหลังโควิด-19
สินค้าแนะนำเข้าใหม่ที่ Lamune อยากแนะนำเป็นพิเศษคือ hibi ไม้ขีดหอมกลิ่นธรรมชาติ (incense) จากย่านคันไซ เกียวโต ที่มีลักษณะคล้ายไม้ขีดไฟ จุดเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมและจะดับได้เองภายใน 10 นาที
เพื่อส่งเสริมให้ได้ปลีกจากชีวิตที่วุ่นวายมาพักผ่อนกับตัวเองเป็นระยะเวลาสั้นๆ
นอกจากนี้ด้วยโลเคชั่นใหม่ที่ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย จึงมีกลุ่มลูกค้าเป็นครอบครัวและเด็กมากขึ้นทำให้มีหมวดอุปกรณ์การเรียนและศิลปะสำหรับเด็กไปจนถึงเวิร์กช็อปสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นมา เช่น กิจกรรมสอนศิลปะ, เปเปอร์มาเช่, calligraphy ฯลฯ
ด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นทำให้อ๊อกและจอยวางแผนจัดกิจกรรมเพื่อความรื่นรมย์อื่นๆ อาทิ เช่นฉายหนังกลางแปลงที่ร้านในอนาคต ทั้งคู่มองตรงกันว่าช่วงแรกที่ทำร้านต่างมองเรื่องธุรกิจเป็นหลัก แต่ความชื่นใจที่ได้กลับมาในท้ายที่สุดนั้นมีมากกว่ากำไร แค่ได้เสียงตอบรับจากลูกค้าว่าเครื่องเขียนกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจหรือเห็นลูกค้ามีความสุขและความรื่นรมย์ในชีวิตมากขึ้นก็เป็นกำลังใจที่ทำให้อยากพัฒนาร้านต่อไป
ตามไปช้อปได้ที่อินสตาแกรม @lamuneshop
อ้างอิง :
ภาพจาก lucky13th, In By In, LOFT EYES, Lamune