Creative Retail Design At New York ชวนเดินเล่นร้านรีเทลสุดครีเอทีฟที่มหานครนิวยอร์ก

ถ้าพูดถึงย่านช้อปปิ้งในนิวยอร์ก หลายคนอาจนึกถึงย่านดังที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่าง
Time Square หรือ 5th avenue ที่เต็มไปด้วยแบรนด์เนมไฮด์เอนชื่อดังกับแฟล็กชิปสโตร์สาขาใหญ่ระดับโลก   

แต่เอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างของนิวยอร์ก มหานครซิตี้ยักษ์ใหญ่ของโลกคือการเป็นเมืองใหญ่ที่รวมผู้คนหลากหลาย ย่านต่างๆ มีเอกลักษณ์ด้วยคนหลากเชื้อชาติซึ่งแปลว่าในแง่ธุรกิจ นอกจากกิจการยักษ์ใหญ่แล้ว เมืองที่เต็มไปด้วยโอกาสแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยร้านรวงขนาดเล็กของผู้ประกอบการหลายสัญชาติที่สร้างโมเดลธุรกิจแปลกใหม่

ไม่ว่าจะเป็นร้านจานวินเทจที่รวบรวมจานเก่าจากโรงงานและร้านอาหารชื่อดังในนิวยอร์ก, ร้านปลากระป๋องซาร์ดีนสุดพรีเมียมจากโปรตุเกสที่เลือกขยายสาขามาอเมริกา, ร้านลูกปัดแฮนด์เมดที่ขายไอเทมแฟชั่นทั้งร้านในราคาหลักหมื่นดอลลาร์, ร้านสวีดิชแคนดี้ของชาวสวีเดนที่อยากนำเสนอวัฒนธรรมแคนดี้ในเมืองใหญ่, ร้านของนักสะสมยาสูบและของเล่นเรโทรที่อยากสร้างบรรยากาศย้อนยุคในเมืองที่วุ่นวาย และร้านหนังสือที่
ขายเฉพาะนิยายรักเป็นหลัก  

จาน ปลากระป๋อง ลูกปัด แคนดี้ บุหรี่และของเรโทร หนังสือ’ สินค้าของร้านเหล่านี้เป็นสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไปในราคาถูก แต่เหล่าร้านรีเทลที่คัดเลือกมาในวันนี้ ล้วนเป็นธุรกิจของผู้ประกอบการรายเล็กที่เพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้ด้วยไอเดียครีเอทีฟ  ไม่ว่าจะด้วยการออกแบบประสบการณ์ในร้าน การออกแบบแพ็กเกจและสินค้า การนำเสนอวิธีขาย หรือโมเดลธุรกิจใหม่

ร้านเหล่านี้มีที่มาที่ไปยังไง โมเดลธุรกิจเหล่านี้น่าสนใจแค่ไหน ไปทำความรู้จักกัน

Fishs Eddy
ร้านจานวินเทจที่บรรยากาศเหมือนมิวเซียม

Fishs Eddy ร้านจานวินเทจเก่าแก่ในนิวยอร์กแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1986 โดย Julie Gaines และ David Lebovitz ผู้ให้คำนิยามร้านว่าเป็น ‘the biggest gift shop for the smallest museum’  

จุดเริ่มต้นของร้านนั้นแสนเรียบง่าย นั่นคือการหาจาน deadstock จากโรงงานและร้านอาหารมาขายแบบซื้อมาขายไป เหล่าเจ้าของจานเหล่านี้ขายสิ่งที่พวกเขามีให้ Fishs Eddy เพราะมองว่าคอลเลกชั่นเก่าที่เก็บไว้เป็นเพียงแค่ขยะและต้องการโละจานที่ไม่ใช้แล้วออกไป ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจจานที่รวบรวมสารพัดคอลเลกชั่นจาน ชาม แก้วน้ำเก่าแก่หลากหลายยุคที่ผู้คนหลงลืมนำมารวบรวมไว้ด้วยกันในปริมาณมากแล้วขายในราคาที่จับต้องได้

ความพิเศษของ Fishs Eddy คือการนำจานชามแต่ละยุคมาดิสเพลย์อย่างสร้างสรรค์และรวบรวมทั้งหมดอยู่ในร้านเดียวกันโดยแยกหมวดหมู่ความเก่าแก่ การเดินช้อปปิ้งที่นี่จึงเหมือนเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์จานที่ได้ย้อนประวัติศาตร์ผ่านข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะ

ถึงแม้จานชามหลายใบจะมีหน้าตาธรรมดา แต่การดิสเพลย์ของ Fishs Eddy นั้นมีการจัดแสดงสินค้าดั่งผลงานศิลปะ เช่น มุมจานมือสองที่ชำรุดมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘Slightly Imperfect Bowls, But are you that Perfect ?’ อีกมุมของร้านนำจานสีเหลืองมารวมไว้ด้วยกันในตู้ไม้และเขียนป้ายว่า ‘Sunshine Lives Here’ ทั่วร้านยังมีการจัดตู้ขายผลงานศิลปะของศิลปินในนิวยอร์กสลับกับตู้ที่ดิสเพลย์จานชามอย่างกลมกลืนทั้งโปสต์การ์ด โปสเตอร์ ภาพวาด คำคมต่างๆ

หากมองจานแต่ละใบเดี่ยวๆ เป็นสินค้าแยกจากกัน จานเหล่านั้นคงเป็นสินค้าหน้าตาธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ แต่ Fishs Eddy สามารถคงสโลแกน ‘We Do Dishes !’ มาได้ถึง 38 ปีและปัดฝุ่นให้จานเหล่านี้มีมูลค่าขึ้นมาได้

แวะช้อปปิ้งได้ที่ fishseddynyc.com

The Fantastic World of the Portuguese Sardine
ร้านปลากระป๋องคราฟต์สัญชาติโปรตุเกส 

ขายปลากระป๋องยังไงให้ตั้งราคาสูงได้ถึง 40 กว่าดอลลาร์?

ณ Time Square ย่านช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงและคนพลุกพล่านที่นิวยอร์ก ร้านที่น่าสนใจไม่ได้มีแค่แฟล็กชิปสโตร์ของแบรนด์เนมดังเท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์จากโปรตุเกสที่ตั้งชื่อร้านได้อย่างแฟนตาซีว่า ‘The Fantastic World of the Portuguese Sardine’ ซึ่งเปิดเป็นสาขาแรกที่โปรตุเกสในปี 2016 และขยายหลายสาขาทั่วประเทศจนมาถึงสาขาในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก 

ความประทับใจแรกเมื่อเดินเข้ามาในร้านคือความหรูหราที่แทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือร้านขายปลากระป๋อง 
ด้วยบรรยากาศที่ตกแต่งเหมือนร้านของเล่นในธีมเวทมนตร์และเสก ‘ห้องสมุดปลากระป๋อง’ สีเขียวทองซึ่งอัดแน่นไปด้วยปลากระป๋องแพ็กเกจหรูตั้งแต่พื้นจรดเพดาน

เหล่าสินค้าในแพ็กเกจสีสันสดใสมีลายกระป๋องที่แทบไม่ซ้ำกันและยังจัดเรียงกระป๋องตามปีของสูตรปลาที่หลากหลายตั้งแต่ยุค 90s ไล่มาจนถึงปัจจุบัน ภายในมีป้ายไฟนีออนสีแดงเป็นชื่อร้านและภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ภูมิใจนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์

สูตรเด่นของที่นี่มีทั้งปลาซาร์ดีนในน้ำมันมะกอกและสูตรอาหารที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโปรตุเกส นอกจากภาพประกอบสุดสร้างสรรค์ที่แพ็กเกจซึ่งเพิ่มมูลค่าสินค้าแล้ว วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม คุณภาพปลาอย่างดี และการออกแบบประสบการณ์ในร้านเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้ขายปลากระป๋องเป็นดั่งของขวัญที่ระลึกได้ในราคาสูง 

แม้แต่คนที่ไม่อยากชิมปลากระป๋องมาก่อน ถ้ามาเห็นแพ็กเกจและบรรยากาศร้านแล้วอาจอดใจไม่ไหว

แวะช้อปปิ้งได้ที่ portuguesesardine.com/en

Susan Alexandra 
ร้านสารพัดแฟชั่นจากลูกปัดของศิลปิน  

แวบแรกเมื่อเห็นร้านนี้ คนไทยหลายคนน่าจะนึกถึงกระเป๋าลูกปัดที่สำเพ็ง แต่แฟชั่นลูกปัดจากร้านของศิลปินผู้นำชื่อของตัวเอง ‘Susan Alexandra’ มาตั้งเป็นชื่อร้านนั้นมีความพิเศษกว่านั้นจนอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จัก

บรรยากาศภายในร้านเป็นสีเหลืองและชมพูสดใสเต็มไปด้วยสารพัดแฟชั่นจากสินค้าลูกปัดทั้งกระเป๋า เครื่องประดับ ที่ใส่การ์ด สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ของใช้สำหรับเด็ก และไอเทมกระจุกกระจิกต่างๆ จุดเด่นคือคอนเซปต์ครีเอทีฟและการเล่นสีสันสดใสของลูกปัด 

แบรนด์เริ่มดังเป็นไวรัลจากกระเป๋าลูกปัดลาย I Love NYC แล้วจึงต่อยอดทำสินค้าหมวดอื่นๆ ราคาของสินค้าขายดีอย่างกระเป๋าลูกปัดอยู่ที่ราวหลักหมื่นดอลลาร์ และแม้จะเป็นร้านลูกปัดแฮนด์เมดเล็กๆ แต่ก็เคยคอลแล็บกับแบรนด์มีชื่อเสียงอย่าง Warby Parker, Disney, Post Cereal และอีกมากมาย ในบางคืนที่ร้านยังมีการจัดอีเวนต์ Bead Night ในธีม beading, beauty and baubles ที่ชวนผู้สนใจมาฝึกร้อยลูกปัด DIY ด้วยกัน

รายละเอียดทุกอย่างในร้านออกแบบมาอย่างตั้งใจ เมื่อมองงานลูกปัดให้เป็นงานออกแบบที่มีมูลค่าและมีคอนเซปต์จึงทำให้ Susan Alexandra กลายเป็นร้านรีเทลที่น่าจับตามอง 

แวะช้อปปิ้งได้ที่ susanalexandra.com 

BonBon
ร้านสวีดิชแคนดี้สีพาสเทลที่ดังเป็นไวรัล

อะไรจะเติมเต็มความฝันวัยเด็กได้ดีกว่าการเดินเลือกตักขนมมากมายในร้านแคนดี้! 

ที่สวีเดนผู้คนเชื่อว่า Candy is the way of life! เด็กสวีเดนมีธรรมเนียมการกินแคนดี้ทุกวันเสาร์ เจ้าของร้าน BonBon ซึ่งเป็นคนสวีเดนมองเห็นช่องว่างทางตลาด จึงต้องการแนะนำวัฒนธรรมการทานแคนดี้
ให้คนนิวยอร์กรู้จัก 

ความพิเศษของ BonBon คือการเป็นร้านแคนดี้สแตนด์อโลนสัญชาติสวีดิชที่ตั้งใจออกแบบทั้งรสชาติ แพ็กเกจ และบรรยากาศจนสร้างแบรนด์ให้มีชื่อเสียงได้ในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก BonBon จึงจริงจังเรื่องแคนดี้ถึงขั้นที่สาขาส่วนใหญ่เปิดขายถึงเที่ยงคืนและมี candy sommelier หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการแนะนำเลือกรสแคนดี้คอยให้คำปรึกษาเวลาลูกค้าเลือกรสขนมในร้าน

รสเด่นคือ sweet and sour และขนม gummy Swedish fish ที่ทางร้านคิดค้นรสชาติเอง แน่นอนว่าความพิเศษของร้านแนวนี้คือมีรสให้เลือกหลากหลายและสามารถมิกซ์ได้ตามใจ ในโอกาสพิเศษเช่นงานเฉลิมฉลองต่างๆ ก็ยังมีบริการสั่ง candy cart ไปตั้งในงานหรือสามารถสั่ง candy box แจกเป็นของชำร่วยได้ด้วย

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา BonBon ยังโด่งดังเป็นไวรัลในช่องทางออนไลน์อย่าง TikTok และมียอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นถึงหลักพันในข้ามคืนหลังจากเปิดมา 6 ปี ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะขนมเยลลี่ กัมมี่ แคนดี้ต่างๆ กำลังเป็นกระแสที่ TikTok ในต่างประเทศ อีกปัจจัยคือแคนดี้จากสวีเดนเป็นขนมที่ขึ้นชื่อด้านคุณภาพ รสชาติที่แตกต่าง ไปจนถึงวัตถุดิบที่ดี ทั้งมีแคนดี้แบบ gluten-free และ vegan ให้เลือกซื้อ  

Biggie’s Bodega
ร้านแอนทีกของนักสะสมยาสูบและของเล่นเรโทร   

Biggie’s Bodega เป็นร้านเล็กๆ ขนาด 1 คูหาที่นิยามตัวเองว่าเป็น antique smoke store ขาย

อุปกรณ์วินเทจเกี่ยวกับยาสูบและบุหรี่ (Tobacciana Antiquities) ไปจนถึงของเรโทรกระจุกระจิกต่างๆ

Sammy Levin และ Derek Nussbaum ผู้ก่อตั้งอยากให้เวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้านรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยุคก่อน ทั้งคู่มองว่าอุปกรณ์วิินเทจเกี่ยวกับยาสูบนั้นเหมือนของตกแต่งบ้านที่สวยงามและมีการพัฒนาไปตามยุคสมัย ที่ร้านจึงมีของที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน เช่น เซ็ตกล่องบุหรี่แฟนตาซีรูปลูกเต๋า,รองเท้า cowboy และกล่องหรูหราสีทอง

แม้จะออกตัวว่าเป็นร้าน antique smoke store แต่ลูกค้าบางคนที่ไม่สูบบุหรี่ก็โดนร้านแห่งนี้ตกได้ เพราะทั้งคู่ก็มองว่าไฟแช็กวินเทจก็น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากสร้างความสุนทรีย์ในการจุดไฟต่างๆ ในบ้าน Biggie’s Bodega ยังมีลักษณะคล้าย curiosity shop ที่ขายของน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีอยู่บนโลกนี้ เช่น โซดารสชาติแปลกๆ จากทั่วโลกที่เก็บในตู้เย็นยุค 1960s  นิตยสารวินเทจ ขนมโบราณ การ์ดเกม 

ลูกค้าที่ร้านเป็นชาว New Yorkers หลากหลายกลุ่มทั้งเจน Z ที่มองหาร้านฮิปๆ ผู้ที่สนใจสินค้าหมวด Tobacciana สำหรับสูบไปจนถึงคนที่อยากเดินเล่นในร้านบรรยากาศย้อนยุค ร้านยังมองหาสินค้าหมวดที่เรียกว่า Oddities หรือคอลเลกชั่นแปลกใหม่หายากมาขายอยู่เสมอ

แวะช้อปปิ้งได้ที่ biggiesbodeganyc.com/store-gateway

The Ripped Bodice
ร้านหนังสือที่ขายแต่นิยายรัก

แม้นิวยอร์กจะมีร้านหนังสือขนาดใหญ่ชื่อดังหลายแห่ง เช่น The Strand และ Barns & Noble แต่ก็มีเหล่าผู้ประกอบการที่เปิดร้านหนังสืออิสระอยู่ไม่น้อย และโอกาสการชูจุดเด่นของร้านหนังสือขนาดเล็กให้แตกต่างจากร้านใหญ่คือโมเดลธุรกิจร้านหนังสือ Niche ที่จับลูกค้าเฉพาะกลุ่มและเน้นขายหนังสือหมวดเดียวอย่าง The Ripped Bodice

A Romantic Bookstore น่าจะเป็นคำจำกัดความของร้านหนังสือแห่งนี้ได้ดีที่สุดเพราะจุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากการสานฝันความรักในธุรกิจร้านหนังสือให้เป็นจริงของคู่พี่น้อง Leah Koch และ Bea Hodges-Koch  
ด้วยการเสนอไอเดียธุรกิจในเว็บไซต์ระดมทุนอย่าง Kickstater จนประสบความสำเร็จและเปิดร้านหนังสือ 2 สาขาทั้งที่นิวยอร์กและลอสแอนเจลิส

ร้านสีชมพูหวานแหววแห่งนี้เต็มไปด้วยนิยายรักโรแมนติกที่มีหมวดย่อยหลายหมวด ทั้งนิยายรักหมวด ประวัติศาสตร์, sci-fi, young adult, L.G.B.T.Q, นิยายรักของผู้แต่งหลากหลายเชื้อชาติและหมวดอีกมากมายเท่าที่เรื่องราวในนิยายรักจะมีได้ซึ่งรวมถึงหมวดกิมมิกพิเศษที่ทางร้านเขียนติดป้ายเอง เช่น ‘No Happily Ever After guaranteed here’ หรือหมวดที่ไม่การันตีตอนจบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง 

ปัจจัยหนึ่งในความสำเร็จของร้านรีเทลอย่าง The Ripped Bodice คือการสร้างคอมมูนิตี้ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน 
ไม่ใช่แค่ด้วยสินค้าแต่ด้วยกิจกรรมอย่าง Book Club ไปจนถึงบริการ ‘Read.Romance.Repeat’ โมเดล subscription box ที่จัดส่งนิยายโรแมนติกเล่มใหม่ให้ถึงบ้านแบบรายเดือนซึ่งเป็นบริการแปลกใหม่ที่ไม่มีร้านหนังสือใดในท้องตลาดทำอย่างแพร่หลายทำให้ร้านมีกลุ่มแฟนคลับที่ชัดเจนอย่างเหนียวแน่น

แวะช้อปปิ้งได้ที่ readromancerepeat.com

อ้างอิง

Tagged:

Writer

Craft Curator, Editor-in-Cheese, Chief Dream Weaver, Wicker Expressionist, Design Researcher, Entrepreneur Crybaby 'Instagram : @rata.montre'

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like