Glamour Your Nails

Nailfie Always เปลี่ยนความชื่นชอบมาสู่ร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บที่มีให้เลือกมากกว่าหมื่นรายการ 

ใครที่ชื่นชอบการทำเล็บ หรือเคยลองเสิร์ชหาร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บในราคาที่ไม่แพงแบบจับต้องได้ เราเชื่อว่าพวกคุณต้องเคยได้ยินชื่อของ Nailfie Always ผ่านหูแน่ๆ

เพราะ Nailfie Always คือร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีสารพัดสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วไป และร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสีทาเล็บ เจล เบสโค้ต ท็อปโค้ต วิตามินบำรุงเล็บ กลิตเตอร์ สติ๊กเกอร์ตกแต่ง เล็บปลอม น้ำยาล้างเล็บ พู่กัน เครื่องอบ เครื่องเจียรตกแต่ง และอีกมากมาย 

จากแรกเริ่มที่เป็นคนชื่นชอบการทำเล็บอยู่แล้วของ เก้ย–อมลณัฐ สิริวัฒน์ธนกุล และทุกวันนี้ก็ยังชอบทำเล็บอยู่ บวกกับแฟนของพี่ชายที่เปิดร้านทำเล็บเป็นทุนเดิม และต้องการหาซื้อของเข้าร้านแบบถูกใจ เพราะร้านที่มีอยู่ในตลาดมีสินค้าไม่ตรงกับความต้องการเท่าไหร่ จึงตัดสินใจบินไปยังประเทศจีนดูไลน์สินค้า และตัดสินใจนำสินค้าเข้ามาขายเอง เปิดเป็นหน้าร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บที่มีสินค้าให้เลือกเยอะที่สุดมากกว่า 10,000 SKU 

ในโอกาสที่ได้มาเยี่ยมเยือนร้าน Nailfie Always ที่เพิ่งย้ายโลเคชั่นใหม่มาตั้งอยู่ที่จามจุรีสแควร์ได้ราวๆ 7 เดือน เราจึงชวนเก้ยมาคุยถึงการสร้างแบรนด์ ความเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงกลยุทธ์เคล็ดลับในการทำร้าน และสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ในวงการทำเล็บมาถึงขวบปีที่ 7 แล้ว

Rebranding to Nailfie Always

ก่อนที่เราจะเห็นหน้าร้านที่ดึงดูดสายตาด้วยเชลฟ์สีทาเล็บที่วางเรียงรายมีให้เลือกเป็นร้อยๆ สีอยู่ในร้าน มองทีไรก็สะดุดตา และชักชวนให้ลองแวะเดินเข้าไปในร้านหน้าตาวัยรุ่น มีสีแดงเด่น และสีฟ้าสดใส ตกแต่งร้านดูเฟรนด์ลี่และเป็นมิตรมากขึ้นที่จามจุรีสแควร์ที่เราเห็นในตอนนี้ ร้านเดิมของเก้ยมีชื่อว่า ‘Nailfie Studio’

“ถามว่าเริ่มทำช่วงแรกๆ เสี่ยงไหม ก็ถือว่าเสี่ยงนะเพราะในตอนนั้นทำร้านโดยที่เรายังไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่ได้ศึกษาให้ดี แต่เราแค่เห็นช่องว่าง เห็นว่าร้านทำเล็บ ร้านขายอุปกรณ์ต่างๆ มันมีน้อย ของที่มีวางขายในตลาดมันก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ที่แท้จริงกับทุกร้าน เราจึงเริ่มทำร้านนี้ขึ้นมา”

Nailfie Studio ณ ตอนนั้นเริ่มต้นในปี 2017 อยู่ที่ตึกตั้งฮั่วปัก เป็นอาคารสำนักงาน Nailfie Studio เป็นร้านห้องเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ชั้น 4 

เห็นร้านเล็กๆ แบบนั้นแต่มีสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ทำเล็บให้เลือกอย่างครบครันจากหลากหลายประเทศทั้งจีน อเมริกา เกาหลี ใครที่ชื่นชอบการทำเล็บด้วยตัวเอง หรือร้านค้าต่างๆ ที่ต้องการซื้อของคุณภาพและราคาไม่แพง ต่างก็แนะนำให้มาหาซื้อที่นี่ อยู่ตึกนี้ได้ 3 ปี ก็ถึงเวลาที่เก้ยตัดสินใจย้ายโลเคชั่นใหม่ เพิ่มพื้นที่ในร้านให้ใหญ่และมากกว่าเดิมหลายเท่าไปอยู่ที่เดอะสตรีท รัชดา มีพื้นที่มากกว่า 750 ตร.ม. และมีโกดังสินค้าขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม.ในการสต็อกสินค้า

อยู่ที่ใหม่อีก 3 ปี พอเข้าขวบปีที่ 7 เก้ยมองว่าถึงเวลาแล้วที่ Nailfie Studio ต้องลุกขึ้นมาสลัดลุคของตัวเองให้ดูเฟรชมากขึ้น พร้อมกับต้องการจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยทำงาน 

ไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนสไตล์การตกแต่งร้านใหม่ แต่เก้ยตัดสินใจเปลี่ยนทั้งชื่อ บรรยากาศ รวมถึงเปลี่ยนโลเคชั่นของร้านเป็นครั้งที่สาม มาอยู่ที่ที่เรามาในวันนี้คือจามจุรีสแควร์ และใช้ชื่อใหม่ว่า ‘Nailfies Always’ แม้พื้นที่จะเล็กลงกว่าเดิม แต่สินค้าในร้านยังมีครบเหมือนเดิม

“เมื่อรีแบรนดิ้งเราต้องการให้ร้านสดใสขึ้น ดูเด็กลง และเข้าถึงง่าย ถ้าใครเคยเห็นภาพร้านก่อนหน้านี้ ร้านเนลฟี่จะให้ลุคแบบ professional ดูทางการทั้งอาร์ตเวิร์กและฟีลลิ่ง ภาพลักษณ์ไม่ได้ดูไม่กล้าเข้า แต่คนจะตีราคาไปก่อนว่าขายของแพงแน่ๆ ลูกค้ามีฟีลลิ่งว่ายังไงของก็ไม่ถูกกว่าสำเพ็งอยู่แล้ว มันจะถูกกว่าได้ยังไง แถมยังขายอยู่บนห้างอีก แต่ในมุมกลับกันร้านเนลฟี่มีสโลแกนว่า Always Low Price เราขายของราคาที่คุ้มค่า ซึ่งเอาจริงๆ สินค้าหลายตัวของที่ร้านถูกกว่าสำเพ็งด้วยซ้ำ

“และพอตั้งใจเปลี่ยน จึงมีโจทย์ขึ้นมาว่า จะทำยังไงให้ร้านของเราเข้าถึงง่าย ไม่แพง จึงเกิดร้านโฉมใหม่ที่มีสีสันแบบที่เห็นนี้” 

Quality at Heart 

‘คุณภาพ’ คือคำที่เก้ยเน้นย้ำบ่อยมากๆ ในทุกช่วงของบทสนทนา 

เพราะไม่ใช่แค่การขายของ ขายสินค้าแล้วจบไป แต่ยังหมายถึงสินค้าที่ถูกขายออกไปนั้นถูกนำไปใช้ต่อกับผู้คนมากมาย เรื่องของคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

แน่นอนว่าความสนุกของเก้ยคือการหาโปรดักต์ใหม่ๆ เข้ามาที่ร้าน แต่ใช่ว่าเมื่อมีสินค้าใหม่ทีไร Nailfie Always จะนำเข้ามาขายแบบทันที และนำเข้ามาทุกแบบ  เพราะก่อนที่จะนำสินค้ามาวางบนเชลฟ์ขายนั้นต้องทดลอง ลองใช้ก่อน และถ้าสินค้าดีจริงก็จะเห็นผลิตภัณฑ์นั้นๆ วางขายอยู่ในร้านแน่นอน

“ทุกวันนี้มีหลายร้านที่เน้นความเร็ว มีสินค้าใหม่แล้วนำเข้ามาเลย แต่ของที่ร้านยังคงยึดเรื่องของคุณภาพอยู่ จะขายถูกขายแพงไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณภาพ ถ้าขายถูกคุณภาพเหมาะสมกับราคาก็โอเค แต่หากขายแพงแต่คุณภาพไม่ได้ลูกค้าก็ไม่โอเค

“เป็นสิ่งที่ร้านพยายามบอกอยู่แล้ว อยากจะเอาสินค้าเข้ามาสักชิ้นหนึ่ง ยิ่งเป็นตัวที่สำคัญๆ อย่างท็อป เบส เจล สีทาเล็บ เครื่องอบ ต้องมีการทดลองใช้เองก่อนว่าคุณภาพดีไหม ให้ลองทา อาบน้ำสระผมอาทิตย์นึง เดือนนึง มันเวิร์กไหม ถ้าเวิร์กก็นำเข้ามาขาย เพราะฉะนั้นของที่ขายอาจจะไม่เร็วเท่าร้านอื่น”

หัวใจของการทำซูเปอร์ขายอุปกรณ์ทำเล็บคือคุณภาพ ราคาที่มาพร้อมกันอย่างสมเหตุสมผล และบริการเสริมอื่นๆ ที่ช่วยในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า

 “Nailfie Always พูดกับลูกค้าเสมอว่า ของถูกที่ก็มีแต่ต้องดูที่คุณภาพ ที่ร้านขายสินค้าตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพง ซึ่งคุณภาพก็ตามราคา ลูกค้าอยากได้คุณภาพแบบไหน ราคาเท่าไหร่ที่รับได้เรามีหมด แต่ต้องมั่นใจว่าซื้อของแท้แน่ๆ เพราะราคาต่างกันไม่กี่ร้อยบาท หากเอาสินค้าไปใช้แล้วเกิดอะไรขึ้นก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง”

Enhance Customer Experience

เปิดร้านมาเข้าปีที่ 7 หลายคนคงอยากรู้ว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บที่มีคู่แข่งมากมายโดยเฉพาะสินค้าที่มีขายในออนไลน์ยังเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้

คำตอบของเก้ยคือเรื่องของ ‘คน’ ที่ต้องเริ่มจากภายในองค์กร 

ขยายความลงไปอีกนิดคือ การทำให้พนักงานแฮปปี้ก่อน มีความรู้ มีความสุข เมื่อพนักงานในร้านมีความสุข การขายของส่งต่อออกไปยังลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาในร้านก็จะดีตามไปด้วย

“พนักงานในร้านมี generation gap เยอะมาก แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนสนุก และอยู่ร่วมกันได้ พอพนักงานเกิดความสบายใจ สิ่งที่เราได้กลับมาคือฟีดแบ็กจากลูกน้องที่ทำให้เรานำไปปรับปรุงแก้ไขได้ตลอดและอยู่ได้”

อีกหนึ่งสิ่งที่เก้ยทำคือ การเทรนนิ่งพนักงานในร้าน พนักงานในร้านทุกคนจะต้องรู้จักสินค้า รู้วิธีใช้ ไล่เรียงตั้งแต่โครงสร้างของเล็บ การทำเล็บแบบต่างๆ ทำยังไง และสินค้าแบบไหนมีวิธีใช้ยังไงบ้าง  และแต่ละขั้นตอนสินค้าที่ขายในร้านสามารถไป combine กันได้ยังไง 

เมื่อมีลูกค้าสอบถาม คำตอบที่ห้ามตอบออกไปคือ ‘ไม่ทราบค่ะ ไม่รู้ค่ะ’

“พนักงานในร้าน Nailfie Always ต้องแนะนำ อธิบายลูกค้าได้ทุกคน ลูกค้าจะยังไม่ซื้อของในร้านก็ไม่เป็นไร แต่เราจะแนะนำอย่างตรงไปตรงมา จากพนักงานในร้านที่ทำเล็บไม่เป็น ตอนนี้ทำเป็นทุกคน ถ้าเราทำไม่เป็นเราก็ยากที่จะขายได้ บางคนไม่ชอบทำเล็บ เราก็ให้มาเป็นแบบมือ เพราะพอมาเป็นแบบก็จะได้เห็นวิธีการ ได้เรียนรู้ไปด้วย”

ลองเดินดูภายในร้าน Nailfie Always เพลินๆ นอกจากเราจะเห็นสินค้าให้เลือกอย่างครบครันแล้ว เรายังเห็นอุปกรณ์อื่นๆ ที่มาเสริมอย่างพวกขนตา เก้าอี้นวด ที่เมื่อเราไปตามร้านทำเล็บในยุคนี้ก็จะเห็นบริการมากมายที่มากกว่าแค่บริการทำเล็บอย่างเดียว

เก้ยบอกกับเราว่า นอกจากทำให้พนักงานในร้านมีความสุขแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องโฟกัสมากกว่าการขายของคือการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า จึงเป็นที่มาว่าในร้าน Nailfie Always ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ตอบโจทย์บริการด้านความงามที่กำลังทยอยเพิ่มเข้ามาขายอีกด้วย

“เราต้องเป็นมากกว่าร้านขายของ นอกจากจะมีป้ายแปะชื่อสินค้าภาษาอังกฤษที่จะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มต่างชาติแล้ว ที่ร้านยังมีคลิปให้ดูประกอบซึ่งสามารถถามวิธีการใช้จากพนักงานในร้านได้เลย และนอกจากสินค้าใหม่ๆ ที่กำลังจะเพิ่มเติมเข้ามาที่ร้านเองยังมีมุมเวิร์กช็อป มุมเทรนนิ่งให้กับลูกค้าที่สนใจมาเรียนรู้ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง

“ในส่วนของออนไลน์ เราก็ไม่ได้ทำแค่โปรโมชั่นที่เน้นแต่ขายของอย่างเดียว แต่ที่ร้านยังทำคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับเล็บ คอนเทนต์วิธีการทำเล็บที่ถูกต้องให้ทุกคนดูได้อีกด้วย”

Challenges in the Nail Industry

“ร้านทำเล็บที่อยู่ได้นานคือร้านที่เจ้าของทำเล็บเองเป็น” เก้ยเน้นประโยคนี้เมื่อเราชวนคุยถึงสิ่งสำคัญในการทำร้าน

เพราะแม้การทำเล็บ เพนต์เล็บจะเป็นสิ่งสวยงาม สร้างสุนทรียะ แต่ในอุตสาหกรรมความงามเกี่ยวกับการทำเล็บก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด

เก้ยอธิบายขยายความว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการมาเจอปัญหามาตลอด ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะของที่ร้าน แต่ปัญหาที่มีมันเชื่อมโยงทั้งอุตสาหกรรม ตั้งแต่ร้านขายอุปกรณ์ทำเล็บที่ต้องต่อสู้กันเรื่องราคา

ส่วนร้านทำเล็บเอง แม้จะเห็นว่ามีเปิดใหม่ขึ้นมาก แต่ไม่ได้เติบโตในแบบที่หลายคนคิด เพราะร้านใหม่เข้ามา ร้านเก่าออกไปเป็นวัฏจักร กำไรที่ได้ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด รวมถึงค่าแรงของช่างทำเล็บที่ได้ไม่มาก กลายเป็นว่าช่างที่มีฝีมือก็หายออกไปจากวงการ

“ปัญหาเหล่านี้ของวงการเล็บคือไม่มีคนมาคุม เลยทำให้วงการเล็บไม่ได้เติบโตไปไหนแบบที่ควรจะเป็น เวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้านปรึกษาเราว่าอยากเปิดร้านทำเล็บสักร้าน เราก็จะอธิบายกันตรงๆ ว่า ถ้าคุณมีทุนอย่างเดียว สิ่งที่คุณจะไปรอดคือการหาช่างคู่บุญที่ไว้ใจได้ และจะอยู่รอดได้เมื่อเกิดปัญหาช่างขาดแคลนคือคุณต้องทำเล็บเองเป็นด้วย”

Next Step of Nailfie

สเตปถัดไปของร้านที่เก้ยวาดฝันไว้คือการทำ Nailfie Always ให้ครบวงจรมากกว่าเดิม เพิ่มเติมคือการที่จะมี refill station แบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ที่จะตอบโจทย์ความหลากหลายของลูกค้าได้มากขึ้น และจะปั้น house brand ที่มีอยู่ให้ดีกว่าเดิม

“ตอนนี้เรากำลังจะปล่อยสินค้า house brand ตัวใหม่ออกมา จากเดิมที่เราเคยมีสินค้าแบรนด์ตัวเองอยู่แล้ว เราพัฒนาใหม่ในชื่อแบรนดว่า Nailgic จะใช้กลยุทธ์การขายกับร้านค้าด้วยโมเดล subscription  ที่ไม่ได้ต้องการแค่ถูกอย่างเดียว แต่ต้องเป็นแบรนด์ที่ถูกใจลูกค้า พร้อมยังมี refill station ให้ลูกค้าครีเอตสีเองในแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

“และด้วยดาต้าที่เรามีจากลูกค้า ร้านค้าที่ส่งพนักงานมาเทรนนิ่งหรือเวิร์กช็อป ถัดจากนี้ Nailfie Always จะทำตัวเป็นเหมือนตัวกลาง มีบริการแมตช์ร้านค้ากับช่างทำเล็บ รับออกแบบและตกแต่งร้านทำเล็บให้กับลูกค้าเพิ่มด้วย”

และแม้ว่าเก้ยจะเข้ามาบริหารทำอาชีพขายสินค้าในวงการทำเล็บอย่างเต็มตัว แต่ท้ายที่สุดแล้วเก้ยก็ยังเลือกที่จะไปทำเล็บกับร้านต่างๆ อยู่ดี 

ไม่ใช่ว่าทำเล็บเองไม่เป็น แต่เพื่อหาฟีดแบ็ก ดูภาพรวมตลาด เพื่อนำมาปรับ หาสินค้าให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และให้ร้านดำเนินต่อไปได้นั่นเอง

หากคุณอยากหาร้านที่ตอบโจทย์มีสินค้าให้เลือกซื้อมากกว่าหมื่นรายการ ก็ลองแวะมาที่ Nailfie Always เดินเลือกซื้อสินค้าดูสักครั้ง น่าจะได้ของถูกใจติดไม้ติดมือกลับบ้านไม่น้อย

Writer

กองบรรณาธิการธุรกิจ

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like