1344
September 19, 2025

Sewthern Style

Concur Patchwork แบรนด์ของคนใต้ที่อยากปั้นสามจังหวัดชายแดนใต้เป็นดินแดนแห่งธุรกิจ อัพไซเคิล

จะมีสักกี่แบรนด์ที่เลือกให้นายแบบเป็นอดีตชาวประมงพื้นบ้านวัย 69 ปีอย่าง ‘บอบอ’ ผู้ยังคงปั่นจักรยานเก็บขวดขายเลี้ยงชีพ และ ‘แบเลาะ’ นักปั่นสามล้อรับจ้างคันสุดท้ายของปัตตานีวัย 62 ปี ผู้แบกวิถีชีวิตเรียบง่ายไว้ในทุกลมหายใจ และเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ก็ช่างเท่ เซอร์ เหมาะกับจิตวิญญาณนักสู้ของแบรนด์เหลือเกิน

Concur Patchwork ตั้งใจเลือกคนเหล่านี้เป็นนายแบบผู้เล่าเรื่องแบรนด์ เพราะทุกฝีเข็มที่เย็บปะบนเสื้อผ้าเกิดจากฝีมือของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้ที่สื่อสารถึงความหวัง ความยั่งยืน การเยียวยา และสันติภาพ 

จู–ฮุสนีย์ สาแม ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Concur Patchwork ไม่ได้มองว่าการทำเสื้อผ้าเป็นเพียงเรื่องของแฟชั่น หากแต่เป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เขาเลือกปันหนึ่งในสามของรายได้กลับคืนสู่ชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีและครอบครัวที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 

เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่การรีเมคผ้าเหลือทิ้งให้กลายเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่เท่ แต่คือการทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปพร้อมกับพัฒนาบ้านเกิด

“จุดแข็งของแบรนด์เราจะอยู่ที่เรื่องเล่าในการทำงานที่เชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาในชุมชน ซึ่งโดยปกติแล้ว การทำธุรกิจแฟชั่นจะเชื่อมกับชุมชนค่อนข้างยาก เพราะต้องคุมทุกอย่างแม้กระทั่งดีไซน์ แต่ผมเลือกที่จะทำต่างออกไป”
จูไม่ได้เรียนจบด้านแฟชั่นโดยตรง แต่เรียนรู้เซนส์ด้านแฟชั่นจากประสบการณ์เป็นพ่อค้ามือสอง ควบคู่กับการทำงานใกล้ชิดกับช่างฝีมือในพื้นที่ โดยมีทีมงานที่ดูแลการออกแบบและควบคุมโปรดักชั่น ขณะที่คนในชุมชนมีบทบาทหลักในการเย็บชิ้นงาน

วันนี้ Concur Patchwork กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่หก พร้อมการเติบโตต่อเนื่องกว่า 90% ในปีที่ผ่านมา จากกระแสแฟชั่นรักษ์โลกและเสื้อผ้าแพตช์เวิร์กที่กำลังเป็นที่นิยม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จที่แท้จริงของแบรนด์กลับสะท้อนผ่านการสร้างผลกระทบทางสังคม ด้วยการใช้ศิลปะแห่งการเย็บปะเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืน เปิดโอกาสทางการศึกษา และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในชุมชน

เลิกกั๊ก แล้วปักก่อน

เมื่อสินค้าขายไม่ออก เหลือค้างในสต็อก คุณจะกั๊กให้กลายเป็นของเหลือทิ้งที่ไร้ราคาไหม หรือจะเพิ่มมูลค่าและต่อยอดเป็นสิ่งใหม่

ก่อนเริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง จูมีประสบการณ์เป็นพ่อค้าขายเสื้อมือสองมาก่อน โดยเริ่มจากทำเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้รู้จักเครือข่ายพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนัดสามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เขายกตัวอย่างตลาดสำคัญในภาคใต้ เช่น ตลาดนัดมะพร้าวในยะลา ซึ่งเป็นแหล่งช้อปสินค้ามือสองที่มีอายุยาวกว่า 20 ปี และตลาดนัดรูสะมิแลในปัตตานี

“ปกติแล้วเสื้อผ้ามือสองที่ขายออกได้จริงจะอยู่แค่ 10-30% ของทั้งหมด เสื้อผ้าที่เหลือมักมีตำหนิ ไซส์เล็ก สีไม่สวย ซึ่งจะขายออกช้าและราคาต่ำ คนขายหลายคนก็เลยเลือกที่จะทิ้ง บริจาค หรือขายเซลล์ในราคาถูก เพราะต้องการเคลียร์ของให้ไวที่สุด”

ด้วยจำนวนพ่อค้ามือสองในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีหลักพันคน ประกอบด้วยพ่อค้าออนไลน์ พ่อค้าในตลาดนัด นักศึกษา และผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้ามือสองมานานหลายปี ทำให้จูเล็งเห็นโอกาสว่า ผ้าที่เหลือจากการขายเหล่านี้มีมูลค่าและสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้

“เราพยายามสร้างการตระหนักรู้ทางสังคมให้กับคนในพื้นที่ว่าการทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องคิดไกล ผมเองก็เอาเสื้อผ้าที่หลายคนมองข้ามในพื้นที่มาทำ พยายามชูประเด็นว่าลองกลับมามองทรัพยากรในท้องถิ่นดูว่าเราพัฒนามันได้ยังไงบ้าง 

“และการที่มีเสื้อผ้าเยอะมากในพื้นที่ ก็เท่ากับว่าเรามีชอยส์ในการเลือกเสื้อผ้าเหล่านี้มา upcycle ได้เยอะมาก ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่ผมขายเอง แต่เป็นเสื้อผ้าที่เหลือทิ้งในการขายจากทั้ง 3 จังหวัด ทำให้เรามีแหล่งวัสดุที่ไม่หมดไปและมีเพียงพอให้เอามาทำเสื้อผ้าใหม่ ผมเลยอยากชูประเด็นว่า จุดแข็งของ 3 จังหวัดชายแดนใต้สอดคล้องกับการเติบโตเป็นพื้นที่แห่งธุรกิจ upcycle ในอนาคต ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต่อไป”

แทนที่จะคิดว่าอยากทำแบรนด์แพตช์เวิร์กเจ้าเดียว จูบอกว่าเขาไม่กั๊กวิชาและอยากถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิคการเย็บและการสร้างสรรค์แบรนด์จากผ้าเหลือใช้ผ่านการจัดเวิร์กช็อปให้หลายองค์กรที่เขาถูกเชิญไปบรรยาย เช่น บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดยะลา โครงการฝึกอาชีพในจังหวัดนราธิวาส ฯลฯ

“การที่ผมไปถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้จะทําให้เกิดแบรนด์ลักษณะนี้เพิ่มขึ้น โดยแต่ละคนอาจไปหาพัฒนาแนวทางของตนเองต่อ เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่การอยากทําธุรกิจแบบผูกขาด เราจะเป็นธุรกิจที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะลําพังแค่ผม ปีหนึ่งผมกําจัดขยะได้ไม่กี่ตันหรอก เราก็ต้องอาศัยการเกิดขึ้นของแบรนด์ลักษณะนี้ให้เยอะมากขึ้นในพื้นที่

“ยิ่งขยะจากเสื้อผ้ามีมากเท่าไหร่ แบรนด์เหล่านี้ก็ต้องเกิดมากขึ้นด้วย เพราะเราจะไปเปลี่ยนวิถีการค้าของพ่อค้าแม่ค้าที่ทำให้เกิดเสื้อผ้าเหลือก็ไม่ง่าย ดังนั้นเราต้องออกแบบทางแก้ที่ตอบโจทย์ ยิ่งในปัจจุบัน เสื้อผ้ามือสองกำลังล้นโลก เพื่อนผมที่สิงคโปร์ทำผลสำรวจมาพบว่า เสื้อผ้าทั่วโลกตอนนี้มีจำนวนมากจนสามารถให้คน 6 รุ่นใส่ต่อกันได้ นี่จึงกลายเป็นมุมมองว่า บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหา เราอาจพลิกมันเป็นจุดแข็งทางโอกาสในการสร้างสินค้าที่ไม่สิ้นสุดก็ได้”

รุงรัง ‘เซอร์ไตล์’ 

แรงบันดาลใจด้านแฟชั่นของ Concur Patchwork ไม่ได้เกิดจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่เกิดจากประสบการณ์ตรงของจูในการขายเสื้อผ้าที่หล่อหลอมให้เขามีสัญชาตญาณพ่อค้าที่มองออกทันทีว่าสินค้าแบบไหนจะขายได้

“พอผมเคยขายเสื้อผ้ามือสองเป็นระยะเวลาหลายปี สิ่งที่เราได้ติดตัวมามากที่สุดก็คือการได้มีโอกาสเห็นงานดีไซน์ที่หลากหลาย ผ่านเสื้อผ้ามือสอง เพราะเราขายเป็นพันเป็นหมื่นตัว เราจะได้เห็น กระเป๋า เสื้อ กางเกงจนเป็นภาพติดตา พอสะสม ทําไปนานๆ มันจะเกิดการตกผลึกว่า ในเมื่อเราขายของเหล่านี้ได้อยู่แล้ว ทําไมเราไม่ทําซ้ำเพื่อขายอีกนะ

“ดีไซน์ของแบรนด์จึงอิงจากสินค้าที่เคยขายได้ที่ผ่านมา เพราะพอเคยขายได้ก็แสดงว่ามีความต้องการ และพอเราทําไปสักพักหนึ่ง มันจะมีเซนส์ทางเสื้อผ้าที่เกิดจากการสังเกตบ่อยๆ เหมือนคนทำธุรกิจมานานที่จะมองเห็นโอกาส”  

เสื้อผ้าของ Concur มีดีไซน์ไม่เหมือนกันเลยเพราะเกิดจากการเย็บปะเศษผ้าออกมาเป็นเสื้อกั๊ก แจ็กเก็ต กางเกงวินเทจ กางเกงยีนส์ เย็บด้วยเทคนิคที่ได้แรงบันดาลใจจากการเย็บแบบซาชิโกะและโบโร่จากประเทศญี่ปุ่น 

“ถ้าเป็นเสื้อแจ็กเก็ตจะใช้เทคนิคคุมโทนเสื้อผ้าให้ภาพรวมออกมาสวย  ส่วนถ้าเป็นกางเกงขายาวจะเลือกผ้าแบบแรนด้อม เน้นความคิดสร้างสรรค์ แต่ละตัวไม่ซ้ำกัน เพื่อชูประเด็นว่าความไม่สมบูรณ์แบบก็สวยงาม บางทีเราก็มั่วเอา บางทีเราก็มีการวางคอมโพซิชั่นของสีให้ดูแล้วลื่นตา”

จูบอกว่าตอนทำแรกๆ คนทั่วไปยังไม่ค่อยเข้าใจสไตล์เสื้อผ้าแนวเซอร์เท่าไหร่ แม้แต่ชาวบ้านที่เย็บชุดแพตช์เวิร์กก็ยังเกิดคำถามกับเขาบ่อยครั้ง  “สิ่งที่ท้าทายสุดในการทำเสื้อผ้าคือการสื่อสารกับชาวบ้าน ต้องบอกตรงไปตรงมาว่าช่างของเราไม่ได้เข้าใจแฟชั่นที่เราพยายามนําเสนอออกมาตั้งแต่แรก ชาวบ้านจะติดภาพว่างานเย็บควรจะมีคุณสมบัติสามอย่าง หนึ่งคือเนี้ยบ สองคือต้องสวย สามคือราคาไม่แพง แล้วผมกลับทําตรงข้ามหมดเลย งานก็เย็บออกมาเปรี้ยว เลือกเสื้อผ้ามือสองที่คนมองว่าเป็นขยะมาทำ แล้วก็มีราคาสูงขึ้นมา ซึ่งมันก็ย้อนแย้งกับความรู้สึกเขา  

“หรือการที่ผมบอกชาวบ้านว่าช่วยเย็บเบี้ยวๆ ให้หน่อย เขาก็จะเกิดคำถามว่า จะขายได้จริงใช่ไหม ใครจะซื้อแบรนด์ของเรา เจอคำถามแบบนี้ประจําในการทําความเข้าใจกับช่าง ต้องสื่อสารให้เขาเข้าใจว่าแฟชั่นไม่จำเป็นต้องเป็นเสื้อผ้าดีไซน์เนี้ยบอย่างเดียว ดีไซน์รุงรังก็ขายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโลกให้ช่างของเรา และก็เป็นความสนุกในการอธิบาย เราก็พยายามทำให้ชาวบ้านเห็นโอกาส ต่อไปเขาอาจจะไปบอกต่อให้ลูกๆ หรือคนรู้จักมาศึกษาต่อ ซึ่งก็ตอบโจทย์กับความต้องการของผมในการสร้างช่างและผู้ประกอบการที่ทำเสื้อผ้าสไตล์เซอร์ให้เยอะมากขึ้น” 

อนาคต จูยังมองไกลไปถึงการทำเสื้อผ้าแพตช์เวิร์กจากผ้าทุกชนิดบนโลก แม้ปัจจุบันแบรนด์จะเน้น upcycle จากผ้าคอตตอนที่มีความหนา เย็บมือได้ง่าย แต่เขาก็สนใจหาวิธีการนำผ้าเนื้อบางประเภทอื่นๆ เช่น ชีฟองมารีเมคเป็นเสื้อผ้าใหม่เช่นกัน

ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทอดเทคนิคเย็บปักถักร้อยจากญี่ปุ่น จูกลับมองว่าเป็นเรื่องง่ายที่สุด เพียงแค่เปิดยูทูบให้ชาวบ้านเรียนรู้ตามตัวอย่าง 

“ในการสื่อสารกับชาวบ้าน ถ้าเราเอาหลักการต่างๆ มาสอน แกจะไม่เห็นภาพ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือเราต้องทําทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ซึ่งยูทูบก็มีข้อดีตรงย้อนกลับมาดูได้ง่าย งานซาซิโกะคล้ายกับเทคนิคการเนา เราแค่วาดเส้น แล้วก็เย็บตามรอยที่ขีดเส้น ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนทําได้”

สโลว์แฟชั่นที่อยากเย็บแบบชิลล์ๆ

ปัจจุบัน Concur Patchwork ได้รับการยอมรับในฐานะ global street fashion มากขึ้นเรื่อยๆ จูมีโอกาสพาเสื้อผ้าจากฝีมือของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้ไปเฉิดฉายที่แฟชั่นโชว์ที่สิงคโปร์ในงาน Eco Fashion Weekend ซึ่งเขาเป็นเจ้าของแบรนด์ไทยเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมแสดงผลงาน และยังมีคนสนใจอุดหนุนผลงานจากคนไทยมากมายในงานนั้น

สิ่งที่ทำให้จูมั่นใจว่าฝีมือคนไทยโดดเด่นไม่แพ้ใครคือความประณีตในการเย็บ และรสนิยมที่หลอมรวมจากคนหลายวัฒนธรรมในภาคใต้ การที่ชาวบ้านพูดได้ทั้งภาษามาเลย์ ไทย และอังกฤษ ยังทำให้เปิดกว้างในการเสพแรงบันดาลใจด้านแฟชั่นจากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทำให้เกิดไอเดียสดใหม่และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์จนกลายเป็นจุดขายที่แตกต่าง

จูมองว่าประเทศต่อไปที่อยากขยายตลาดคือออสเตรเลีย เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าประเทศนี้เป็นจำนวนมาก แต่การเดินหน้าต้องมาพร้อมการวางแผนการผลิตอย่างรอบคอบ เพราะทีมช่างหลักของแบรนด์ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุวัย 40-50 ปี ซึ่งย่อมไม่อาจผลิตได้รวดเร็วเทียบเท่าโรงงานที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวจำนวนมาก แต่แทนที่จะมองเป็นข้อจำกัด จูกลับเห็นว่านี่คือจุดแข็งที่สะท้อนคุณค่าของการทำเสื้อผ้าแบบสโลว์แฟชั่นอย่างแท้จริง

เขายังมีแผนผสมผสานระหว่างการผลิตแบบสโลว์แฟชั่นที่ใช้ฝีมือชุมชนกับการผลิตกึ่งแมสเชิงอุตสาหกรรมที่มีแพตเทิร์นเสื้อผ้าอยู่แล้วเข้าด้วยกัน เพราะในขณะที่งานเย็บมือทำได้เพียงวันละ 3-4 ชิ้น การเพิ่มไลน์สินค้าที่มีแพตเทิร์นสำเร็จรูปจะช่วยให้ช่างในพื้นที่มีรายได้มั่นคงขึ้น อีกทั้งยังช่วยขยายธุรกิจให้เติบโต โดยวางโพซิชั่นแบรนด์ไว้ในตลาดเสื้อผ้าระดับกลาง

“ผมมองว่าเราจะเล่นตลาดกลางเพราะเป็นตลาดที่เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้ คนรวยก็ใส่เสื้อผ้าราคากลางๆ ได้ คนทั่วไปก็มาสั่งสินค้าจากแบรนด์ราคากลางๆ ได้เหมือนกันถ้าเขาสนใจ ซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดพิเศษที่สุดและปลอดภัยที่สุดในตลาดการทำธุรกิจนี้”

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างในการเลือกตลาดคือการคำนึงถึงช่างฝีมือ หากเลือกตลาดระดับกลางจะทำให้ชาวบ้านทำงานเย็บโดยไม่ต้องกดดันจนเกินไป ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็ยังได้รับเสื้อผ้าที่สอดคล้องกับราคาและคุณภาพ การเข้าใจขีดจำกัดที่ชาวบ้านทำงานได้โดยไม่กังวลถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะงานสร้างสรรค์ไม่ควรเป็นภาระ หากเกิดความเครียด ผลงานก็จะไม่สามารถสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ออกมาได้อย่างที่ตั้งใจ

ปักใต้บ้านเรา

บทเรียนสําคัญที่สุดในการทำธุรกิจของจูคือการต่อสู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่วันที่คนทั่วไปยังมองไม่เห็นคุณค่าของงานแพตช์เวิร์ก องค์กรรัฐยังไม่เห็นความสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของคนตัวเล็กที่อยากกลับมาพัฒนาชุมชนบ้านเกิด ทำให้จูบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘เราต้องเก่ง’

“ช่วงแรกของการทำแบรนด์ ผมไม่มีใครสนับสนุนเงินทุน ไม่มีใครสนใจ ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยเงิน 70 บาทของตัวเอง เริ่มทำเล็กๆ จากลงทุนค่าเย็บ 10 บาทแล้วเอามาขาย แล้วค่อยเอากำไรจากตรงนั้นมาต่อยอด เราถูกมองว่าเป็นเด็กนอกแถวที่มาทำแบรนด์ จนพอแบรนด์เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็เริ่มมีหน่วยงานรัฐมาให้ความสนใจ 

“เรื่องราวการดิ้นรนด้วยตัวเองแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับทุกคนในประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งเป็นบทเรียนสําคัญว่า การที่เราจะเอาตัวรอดได้ เราต้องพึ่งพาตัวเอง เราต้องเก่งให้ได้ ถ้าเราโง่ เราไปต่อไม่ได้เลย เพราะไม่มีใครสนับสนุนเราในตอนแรก พอพัฒนาตัวเองมาขนาดนี้ก็เลยคิดต่อว่าเรียนปริญญาเอกให้เก่งไปเลยแล้วกัน”

จูเรียนจบปริญญาตรี เอกวิชาภาษาอังกฤษ จบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ (MBA) และตอนนี้กำลังเรียนต่อปริญญาเอกด้านความยั่งยืน (sustainability development) เพราะมองว่าการศึกษาต่อด้านความยั่งยืนอย่างตรงสายจะสามารถต่อยอดการทำงานด้านธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

จากการเริ่มต้นสร้างธุรกิจท่ามกลางความไม่รู้และการลองผิดลองถูกมาทั้งหมด จูบอกว่าส่วนหนึ่งที่แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ในทุกวันนี้ก็เพราะโชคและจังหวะเวลาเข้าข้างด้วย วันนี้เขาจึงเลือกถ่ายทอดความรู้ให้คนรุ่นใหม่เดินตามง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลุ้นโชค เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงสร้างแบรนด์ที่แข็งแรง แต่เป็นการสร้างวิธีคิดที่ช่วยยกระดับคนและสังคมไปพร้อมกัน

โมเดลธุรกิจของ Concur จึงไม่เพียงแค่สร้างรายได้ แต่ยังแบ่งผลกำไรหนึ่งในสามคืนกลับสู่ชุมชน ผ่านทุนการศึกษา การสนับสนุนชาวบ้าน และกิจกรรมช่วยเหลือผู้ยากไร้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากแบรนด์ TOMS ที่ใช้โมเดล ‘ซื้อหนึ่ง บริจาคหนึ่ง’ แต่เลือกปรับให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ที่ยังขาดการศึกษาและโอกาสในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยที่ผ่านมามอบทุนการศึกษาให้คนในพื้นที่กว่า 20 คน บริจาคอาหารและข้าวของให้กับครอบครัวที่ลำบากมากกว่า 36 หมู่บ้าน แม้จะเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆ แต่ก็ทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีทางออกในชีวิตไม่โดดเดี่ยวจนเกินไปและมีกำลังใจใช้ชีวิตต่อไป 

“ผมมองว่าการยกระดับการศึกษาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการมากที่สุด เพราะเราเจอเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้มาตลอดเวลา 20 กว่าปี เรามองว่ากลไกการสร้างสันติภาพในพื้นที่ยังมีคนที่ลงมาสนับสนุนตรงนี้ไม่มากพอ

“ด้วยความที่เราเป็น social enterprise มาตลอด ผมเชื่อว่าถ้ามีคนทำธุรกิจเริ่มมาลงสนามช่วยเหลือคนในพื้นที่ด้วยกัน มันจะเกิดแรงกระเพื่อมใหม่ในการทำธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อช่วยเหลือสังคมด้วย ซึ่งมันจะเกิดเป็นโมเดลให้คนอื่นทำตามต่อไป และถ้าเรายกระดับการศึกษาให้ดีขึ้นได้สำเร็จ เยาวชนจะได้เรียนรู้วิธีคิดมุมใหม่ ความรุนแรงก็จะลดลง สันติภาพในพื้นที่จะเกิดขึ้นได้ผ่านการศึกษา” 

ถ้าเสื้อผ้าของแบรนด์ Concur Patchwork สามารถพูดกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปได้ จูบอกว่าแบรนด์ของเขาอยากขอบคุณลูกค้าที่เห็นความพิเศษของเสื้อผ้าจากฝีเข็มของชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนใต้

“ผมอยากขอบคุณพี่น้องของผม เราเติบโตมาในพื้นที่ที่แทบไม่มีแสงสว่างนำทาง ความรุนแรงเกิดขึ้นตรงหน้าบ้าน เรากลัวกับเหตุระเบิดและการเผาโรงเรียน เรื่องเหล่านี้กลายเป็นปมที่ผลักดันให้ผมอยากแก้ไขปัญหาในบ้านเกิด เพราะเราพึ่งพาใครไม่ได้ รอองค์กรรัฐลงมาแก้กว่า 20 ปี ก็ยังไม่เห็นผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มิหนำซ้ำความรุนแรงกลับยิ่งเพิ่มขึ้น เกิดความไม่ยุติธรรมมากมาย แต่ผมเลือกจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ และยืนยันว่าเราไม่มีสิทธิ์จะใช้ความรุนแรงกับใครทั้งนั้น

“ผลงานแพตช์เวิร์กที่เรานำเสนอจึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่า บ้านเราไม่ได้มีแค่เรื่องราวความรุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ ผ่านงานของชาวบ้านที่เข้ามาร่วมกับเรา และสามารถก้าวไปสู่เวทีในระดับสากลได้

“ผมอยากขอบคุณทุกคนที่ซื้อแบรนด์ Concur Patchwork เพราะถ้าไม่มีพวกเขา ผมก็คงไม่มีวันนี้”

ขอบคุณรูปจาก Concur Patchwork

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

You Might Also Like