529
November 18, 2025

Warren Buffett

10 บทเรียนจากปู่ Warren Buffett วัย 95 ในจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนลาตำแหน่ง CEO

Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) ไม่ได้เป็นแค่มหาเศรษฐีสายลงทุนที่โลกยกย่องกันมาครึ่งศตวรรษ แต่เป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการธุรกิจ เขาคือประธานและ CEO ของ Berkshire Hathaway บริษัทลงทุนขนาดยักษ์สัญชาติอเมริกัน ซึ่งถือหุ้นและลงทุนในธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ประกัน ขนส่ง ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค

สิ่งที่น่าสนใจคือบัฟเฟตต์ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในมุมการตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำเท่านั้น แต่ยังมีวิธีคิดที่เฉียบคม และแนวทางการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ในทุกๆ ปี เขาจะเขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Berkshire Hathaway ในวัย 95 ปี และส่งตำแหน่งต่อให้ Greg Abel ในปลายปีนี้

ถ้าใครคิดว่านี่หมายถึงการเกษียณเต็มตัว ก็อาจพลาดประเด็นสำคัญไป เพราะบัฟเฟตต์ชี้แจงว่า “ผมยังไปทำงานที่สำนักงานห้าวันต่อสัปดาห์” เขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เลือกที่จะถอยออกมา และในการถอยครั้งนี้ เขาได้เขียนข้อความที่ไม่เหมือนบันทึกบริษัทหรือจดหมายรายงานผลประกอบการทั่วไปเลย แต่เป็นจดหมายที่สอนบทเรียนและข้อคิดชีวิตอันลึกซึ้งที่สั่งสมจากประสบการณ์เกือบศตวรรษ ตั้งแต่ความสำเร็จระดับตำนาน ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่หล่อหลอมจนกลายมาเป็นบัฟเฟตต์แบบที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักแบบทุกวันนี้

และนี่คือ 10 บทเรียนชีวิตที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับชีวิต โชคชะตา และความสำเร็จ จากข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายของ Warren Buffett

1. กฎทองคำ (The Golden Rule) คือการให้

ความยิ่งใหญ่ไม่ได้มาจากการสะสมเงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่เกิดจากการให้ ความช่วยเหลือผู้อื่นและการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความเมตตา บัฟเฟตต์เริ่มจดหมายด้วยการประกาศการแปลงหุ้น Berkshire Hathaway (BRK.A จำนวน 1,800 หุ้น) เพื่อมอบให้มูลนิธิในครอบครัว ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ในการใช้ความมั่งคั่งเพื่อกุศลและสร้างโอกาสให้ลูกๆ บริหารและทำงานกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่การแบ่งปันและสร้างผลดีให้ผู้อื่น

2. ตระหนักว่าโชคชะตามีผลต่อความสำเร็จ

บัฟเฟตต์เปิดเผยว่าเขาเกิดมาพร้อมโชค โดยยกตัวอย่างทั้งการเป็นคนที่เกิดในอเมริกา สุขภาพที่แข็งแรงและผ่านการรักษาจากคุณหมอมาได้ในช่วงวิกฤต โดยยอมรับว่าโชคเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตสู่ความสำเร็จ การยอมรับความจริงข้อนี้อย่างถ่อมตนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับคนที่ถูกยกให้เป็นบุคคลที่เป็นไอคอนของระบบทุนนิยม เพราะในวัฒนธรรมที่มักยกย่องการสร้างความสำเร็จจากตัวเองล้วนๆ เขากลับเลือกบอกว่าความโชคดีมีส่วนสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตระหนักถึงโชคที่ได้รับจะช่วยทำให้เรารู้จักแบ่งปันและใช้โอกาสที่ได้มาอย่างมีคุณค่าย่างมีคุณค่า

3. ความสำเร็จมีรากฐานมาจากบ้านเกิด และอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองใหญ่อย่างที่คุณคิด

ในยุคที่หลายคนเชื่อว่าความทะเยอทะยานและเงินทุนจะอยู่รวมกันตามนิวยอร์กหรือซิลิคอนแวลลีย์ บัฟเฟตต์กลับยืนยันอย่างชัดเจนว่า เขาและ Berkshire ประสบความสำเร็จมากขึ้นเพราะเลือกอยู่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่เรียบง่าย และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนและพันธมิตรสำคัญหลายคนในเมืองนี้

ไม่ว่าจะเป็น Charlie Munger เพื่อนสนิทที่สุดของบัฟเฟตต์มานานถึง 64 ปี ซึ่งเคยอยู่ห่างเพียงบล็อกเดียวจากบ้านบัฟเฟตต์ในปี 1958, Donald Keough อดีตพนักงานขายกาแฟที่เลี้ยงลูกห้าคนและเคยอยู่ตรงข้ามถนนจากบ้านบัฟเฟตต์ โดยเริ่มต้นมีรายได้เพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต่อมาได้ก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัท Coca-Cola และเป็นกรรมการที่ทุ่มเทของ Berkshire Keough, Stan Lipsey ผู้เติบโตในละแวกบ้านของบัฟเฟตต์เช่นกัน และต่อมาได้ช่วยกู้สถานการณ์ของหนังสือพิมพ์ Buffalo Evening News ทำให้การลงทุน 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ Berkshire สามารถสร้างกำไรในช่วงต้นทศวรรษ 1980

ความสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้บัฟเฟตต์ได้พบกับผู้คนที่มีความสามารถและยึดมั่นในคุณค่าที่กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของ Berkshire ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเป็นชุมชน

4. เลือกฮีโร่ที่ถูกต้อง แล้วเลียนแบบอย่างจริงจัง

บัฟเฟตต์เน้นย้ำว่าเราควรเลือกฮีโร่ของตัวเองอย่างระมัดระวังและเลียนแบบคนเหล่านั้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นดูตัวอย่างจาก Thomas Murphy อดีต CEO และประธานของ Capital Cities/ABC ซึ่งเป็นคนที่บัฟเฟตต์ชื่นชมว่าเก่งที่สุดที่เคยเจอ ส่วนเพื่อนสนิทและครูผู้ยิ่งใหญ่ของเขาอย่าง Charlie Munger ก็เป็นเสมือนพี่ชายคนโตที่คอยปกป้องและมีอิทธิพลต่อชีวิตเขามานานกว่า 60 ปี การเลือกแบบอย่างที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้เราเรียนรู้วิธีคิดและการตัดสินใจ แต่ยังสร้างกรอบมาตรฐานของคุณธรรมและความรับผิดชอบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

5. แม่บ้านก็เป็นมนุษย์เหมือนประธานบริษัท

บัฟเฟตต์ย้ำว่าเราควรให้เกียรติมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน พนักงานทำความสะอาดก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับประธานบริษัท การเคารพซึ่งกันและกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมที่ดีและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในชีวิตและการทำงาน รวมถึงสะท้อนถึงความอ่อนน้อมและคุณธรรมที่แท้จริงของคนเรา

6. หลีกเลี่ยงความริษยาและความละโมบที่มาจากการเปรียบเทียบ

ความริษยาและความโลภเป็นสิ่งที่เดินเคียงกัน บัฟเฟตต์ใช้จดหมายสุดท้ายวิเคราะห์ว่าทำไมค่าตอบแทนผู้บริหารถึงสูงลิ่ว โดยอธิบายว่า มาตรการเปิดเผยค่าตอบแทนของ CEO เพื่อหวังให้เกิดความพอดีแบบพอประมาณกลับสร้างความริษยาและการแข่งขันแทน เพราะ CEO จะกดดันบอร์ดของตนให้เทียบค่าตอบแทนกับคู่แข่ง เกิดเป็นวงจรที่เลื่อนค่าตอบแทนขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าการวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับผู้อื่นมักเป็นกับดัก เราควรเน้นพัฒนาตัวเองและความพึงพอใจในชีวิตของเราเอง และเตือนว่าไม่มีนโยบายใดที่ปลอดภัยจากแรงขับเคลื่อนของธรรมชาติมนุษย์

7. เป็นผู้นำที่กล้าขอโทษ

บัฟเฟตต์แนะนำให้เรียนรู้จาก Donald Keough อดีตประธาน Coca-Cola ในช่วงวิกฤต New Coke ในปี 1985
ซึ่งได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเผชิญกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง Donald Keough ได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณะและยอมรับความผิดพลาดอย่างตรงไปตรงมา การยอมรับความผิดพลาดดังกล่าวไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง การเป็นผู้นำที่กล้าขอโทษจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญของความยิ่งใหญ่

8. ยอมรับความผิดพลาดในอดีต แล้วเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้า

“อย่าตำหนิตัวเองกับความผิดพลาดในอดีตมากเกินไป แต่จงเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นเพียงเล็กน้อยแล้วก้าวต่อไป” นี่คือคำแนะนำจากบัฟเฟตต์ที่ยอมรับว่าตนเองก็เคยทำสิ่งผิดพลาดในช่วงชีวิตที่ยาวนานถึง 95 ปี โดยเน้นย้ำว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะปรับปรุง

9. อย่าพยายามสร้างปาฏิหาริย์ แต่จงตั้งเป้าหมายเพียงแค่การปรับปรุงให้ดีขึ้น

การพัฒนาตัวเองควรมุ่งไปที่ความต่อเนื่องและการปรับปรุง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบหรือทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินไป เขาให้ลูกๆ จัดการมรดกเพื่อการกุศลด้วยเป้าหมายในการให้มากกว่าเดิม ทัศนคติการมุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตส่วนตัว การทำงาน หรือการสร้างความดีให้สังคม โดยเน้นผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าความสมบูรณ์แบบเพียงชั่วข้ามคืน

10. เขียนพินัยกรรมชีวิตของตัวเอง แล้วใช้ชีวิตให้สมกับมัน

บัฟเฟตต์แนะนำให้ใช้ชีวิตด้วยความซื่อตรงและคิดล่วงหน้า เขาเล่าเรื่อง Alfred Nobel ที่ได้อ่านข่าวเสียชีวิตของตัวเองที่ถูกตีพิมพ์ผิดพลาด และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อก่อตั้งรางวัลโนเบล พร้อมบอกว่า “ตัดสินใจว่าคุณอยากให้พินัยกรรมชีวิตของคุณพูดอะไร แล้วใช้ชีวิตให้สมกับสิ่งนั้น” การคิดล่วงหน้าแบบนี้ช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของทุกการกระทำและสร้างแรงกระตุ้นในการสร้างตัวตนที่ดีอย่างต่อเนื่อง

หลักง่ายๆ แต่ทรงคุณค่าเหล่านี้  ไม่ว่าจะเป็น การให้แก่มูลนิธิ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซาบซึ้งในมิตรภาพและผู้คนรอบตัว ไปจนถึงการให้ความสำคัญกับคนตัวเล็กอย่างแม่บ้าน ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของ Warren Buffett อย่างลึกซึ้ง

บัฟเฟตต์คือคนที่วัด ‘ความมั่งคั่ง’ ไม่ใช่จากจำนวนเงินในบัญชี แต่จากคุณธรรมที่เขาเลือกยืนอยู่ ความสัมพันธ์ที่เขาทะนุถนอม และผลลัพธ์ดีๆ ที่เขาทิ้งไว้ให้โลก และนั่นทำให้จดหมายฉบับสุดท้ายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกปิดยุคของ Berkshire แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่ยังส่งต่อคุณค่าได้อีกนานหลังจากอ่านจบลง

Illustrator

แล้วแต่จะคิด ชีวิตคนละแบบ

You Might Also Like